14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
บทที่ 4
“พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ ว่างก็ไม่ไปปรนนิบัตินายน้อยสาม มาแอบอู้รับลมสบายใจอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” เสียงตำหนิของบุรุษดังขึ้น เสวียนจีกับหลินอันที่เดินเล่นอยู่ในสวนซั่งกู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
หลินอันอ้าปากพะงาบ กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เสวียนจียอบตัวคารวะ “พ่อบ้านหยวน”
“พ่อ…พ่อบ้านหยวน!” หลินอันรีบขานทักตาม เหลือบมองเสวียนจีแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ เมื่อครู่นางพูดไม่ออกเป็นเพราะแยกไม่ออกว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าคือหยวนซีเซิงหรือหยวนเจาเซิงกันแน่ แล้วเสวียนจีมองออกได้อย่างไรกัน “พ่อบ้านหยวน มิใช่พวกข้าแอบอู้ เป็นนายน้อยสี่จู่ๆ ก็มาตั้งแต่เช้า ดูเหมือนกำลังสนทนาเรื่องสำคัญที่เป็นความลับอะไรอยู่กับนายน้อยสาม แม้แต่พวกข้ายังถูกไล่ออกมาเจ้าค่ะ” นางรีบร้อนชี้แจง
“เป็นเช่นนี้เองหรือ” เขาคิดพิจารณาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคาง มองดูท้องฟ้าอีกนานกว่าจะเที่ยง มีฐานะเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์สกุลเนี่ย เขามีหน้าที่ทำให้บ่าวทุกคนทุ่มเททำงานโดยไม่แอบอู้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นายน้อยสี่มาหานายน้อยสามจะต้องเพราะมีเรื่องสำคัญมากแน่นอน คงยังไม่ออกมาในเร็วๆ นี้…หลินอัน เจ้ารอรับใช้อยู่ที่นี่แล้วกัน จะได้ไม่ทำให้นายน้อยสามจะหาคนแล้วหาไม่เจอ เสวียนจี เจ้ารู้หนังสือก็ตามข้าไปขนของสักหน่อย” บุรุษล้วนแต่ชอบสตรีที่ชวนรื่นตารื่นใจทั้งสิ้น ทิ้งหลินอันไว้อาจจะสบใจนายน้อยสามมากกว่า
เมื่อตัดสินใจแล้วก็พาเสวียนจีเดินออกจากสวนซั่งกู่ต่อหน้าต่อตาหลินอันที่มีสีหน้าเหมือนกินยาขม
“พ่อบ้านหยวน พวกเราจะไปขนของอะไรเจ้าคะ”
“ไม่นับว่าขนหรอก ที่โรงกระดาษมีของมีตำหนิอยู่จำนวนหนึ่ง นายน้อยสี่เห็นว่าเอาไปใช้ไม่ได้แล้วก็เลยให้เหล่าคนงานขนมาที่คฤหาสน์ ให้ข้าคัดเอาที่เหมาะๆ มาติดผนังห้องบ่าวไพร่ ข้าคิดว่าเจ้าเคยคลุกคลีกับพู่กันน้ำหมึกมาบ้าง เรียกเจ้ามาช่วยย่อมจะดีที่สุด”
ทั้งสองเดินตามระเบียงทางเดินผ่านสะพานเล็กที่มีธารน้ำไหลผ่านด้านล่าง ขณะก้าวเข้าไปยังระเบียงชั้นล่างก็เห็นบนผนังมีหลุนอวี่เขียนอยู่เต็มไปหมด
หยวนซีเซิงเห็นนางลดความเร็วฝีเท้าลงแล้วอ่านประโยคบนผนังออกมาเบาๆ เขาก็อธิบายด้วยความภาคภูมิลำพองใจ “นายน้อยสิบสองไม่ชอบอ่านหนังสือ นายน้อยสี่จึงเขียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ไว้เต็มผนังระเบียงทางเดินในคฤหาสน์ ทำให้เวลานายน้อยสิบสองออกมาเดินเล่นก็สามารถอ่านหนังสือได้”
“นายน้อยสี่เป็นพี่ชายที่ดีโดยแท้” นิ้วมือนางลูบตัวอักษรหวัดแกมบรรจงที่ด้านบนเบาๆ พลางอมยิ้ม
“ใช่แล้ว ระเบียงด้านนี้เป็นนายน้อยสี่เขียน อีกด้านเป็นนายน้อยสามเขียน เฮ้อ…” หยวนซีเซิงถอนหายใจหนักๆ “เมื่อก่อนนายน้อยสามเป็นอย่างตอนนี้เสียที่ไหน เขาหล่อเหลามีสง่า แม้จะดูสุภาพเรียบร้อยน้อยกว่านายน้อยสี่ไปนิดหนึ่ง แต่ก็เก่งกล้าสามารถทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ทั้งการเจรจาการค้า เป็นคนดังในเมืองหนานจิง แต่ดูตอนนี้สิ…”
พอกล่าวถึงเนี่ยเฟิงอวิ๋น ความคิดก็ถูกดูดออกจากหลุนอวี่บนผนังอย่างยากจะห้ามตนเองได้ นางรีบก้าวตามไป เอ่ยถามอย่างจริงจัง “พ่อบ้านหยวนทราบสาเหตุที่เกิดเรื่องกับนายน้อยสามในตอนนั้นหรือไม่เจ้าคะ”
“หืม? เจ้าสนใจหรือ ได้ ข้าจะบอกเจ้า ต่อไปอยู่ต่อหน้านายน้อยสามเจ้าจะได้ระมัดระวังคำพูดบ้าง” อุตส่าห์มีโอกาสได้บ่นว่าทั้งที หยวนซีเซิงลูบๆ คาง ก่อนจะเอ่ยเล่าเรื่องในตอนนั้นออกมา “ปีนั้นน่าจะเป็นวันที่สามเดือนหกกระมัง นายน้อยสามถูกดักทำร้ายระหว่างทางไปพบใต้เท้ากวนตามนัด ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหนังสือขี้แพ้จ้างชาวยุทธ์มาเล่นงานนายน้อยสาม ถึงตอนนี้ก็ยังหาตัวการไม่เจอ เฮอะ รู้ว่าเอาชนะนายน้อยสามไม่ได้ก็ถึงกับใช้อุบายลอบกัด! เคราะห์ดีที่นายน้อยสามมีวรยุทธ์ ขณะตกหน้าผาชะลอความเร็วลงได้ ถึงได้แค่บาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง…”
พ่อบ้านหยวนส่ายศีรษะ ก่อนจะพล่ามต่อว่า “ที่จำได้ว่าวันนั้นคือวันที่สามเดือนหกเป็นเพราะหลิ่วหมินได้ต้นฉบับเรื่องคันฉ่องส่องบาปมาในวันนั้นพอดี ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือก็น่าจะรู้จักเรื่องนี้กระมัง หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่นายน้อยสามอ่านต้นฉบับหลังได้รับบาดเจ็บ และก็เป็นเรื่องเดียวในสามปีมานี้ที่เขาเขียนบทส่งท้ายให้…”
จากนั้นเขายิ่งพูดยิ่งออกนอกประเด็น จากเรื่องคันฉ่องส่องบาปมาถึงเรื่องการแพร่กระจายของการค้าหนังสือในปัจจุบัน สุดท้ายก็เริ่มพูดถึงความลำบากในการเป็นพ่อบ้าน…
เสวียนจีตอบรับเออออไปกับเขาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ที่แท้ก็ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันนั้น…สาเหตุที่นางชื่นชมเลื่อมใสในตัวเนี่ยเฟิงอวิ๋นหาใช่เพราะร้านหนังสือที่เขาดูแลจัดการได้กระจายตัวไปทั่วอาณาจักรไม่ แต่เป็นเพราะเขาคือบุคคลที่เหล่าบัณฑิตนักประพันธ์ชื่นชมสรรเสริญก็เท่านั้น นอกจากเรื่องทำการค้าแล้ว เขายังเขียนบทส่งท้ายในนิยายที่เขาให้ผ่านด้วย ไม่ว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ นิยายอิงตำนาน หรือว่านิยายรัก เขาล้วนเขียนแนะนำผู้แต่งหรือผู้เรียบเรียงของหนังสือนั้นๆ ไว้ในหนังสือ ระบุว่าที่ผ่านมาเคยออกหนังสือแบบใดสู่ท้องตลาดบ้าง และฉบับที่เขาตีพิมพ์ให้นี้มีจุดเด่นอะไร ยิ่งถ้าเป็นนิยายที่ได้รับความโปรดปรานให้ความสำคัญจากเขา เขาจะใช้ทัศนะของเขาเขียนเป็นบทนำร่องการอ่านสั้นๆ ไว้ข้างในด้วย บางครั้งบทนำร่องของเขายังมีถ้อยคำสำนวนชวนเพลิดเพลินยิ่งกว่าเนื้อหาข้างในเสียอีก
ทว่านิยายที่ผ่านมือเขาเช่นนี้มีอยู่ไม่มาก มักจะออกขายจำนวนจำกัด จึงยิ่งดูล้ำค่ามากขึ้นไปอีก เคยมีพ่อค้าหนังสือมาไกลจากอวิ๋นหนานเพียงเพื่อให้ได้มาสักเล่ม และก็มีชนชั้นสูงเจาะจงดั้นด้นมาจากเป่ยจิงเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของเขาเช่นกัน
เขาไม่เขียนบทความใดๆ ที่เป็นหนังสือได้ อย่างน้อยก็ไม่เคยประกาศสู่สาธารณะมาก่อน ตามข่าวลือ เขาเคยพูดว่าเขาเป็นเพียงสะพานเชื่อมระหว่างนักอ่านกับผู้ประพันธ์เท่านั้น รักษารูปแบบบทความดั้งเดิมของผู้ประพันธ์ไว้ แต่ยังอยู่ภายในขอบเขตที่นักอ่านเข้าใจได้เพื่อความสมดุล
และยังเคยมีพ่อค้าหนังสือลองเดินตามรอยเขา เขียนบทส่งท้ายเลียนอย่าง แต่ก็ไม่เคยกระชับตรงประเด็นได้อย่างเนี่ยเฟิงอวิ๋น
นี่คือข่าวที่นางรวบรวมมา ทว่ามีเพียงครั้งเดียวที่ได้ประสบพบหน้าเขาจริงๆ และการสนทนาสั้นๆ ในครั้งนั้นทำให้นางยากจะลืมเลือนชั่วชีวิต…