“ยืมหมึกกับพู่กันมาแล้ว!” ชุ่ยอวี้วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
ผ่านมาครึ่งค่อนวัน บนผนังห้องนอนรวมมีกระดาษที่ผ่านการตกแต่งเพิ่มติดอยู่เต็มแล้ว สาวใช้ที่หยวนซีเซิงทิ้งไว้ที่นี่มีเพียงสี่ห้าคน เลยเที่ยงถึงได้ติดเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่
เหอจูฝนหมึกพลางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว สะอาดสะอ้านดี จะเอาหมึกเอาพู่กันมาทำอะไร”
“นั่นสิ พี่เสวียนจี บ้านข้ายังไม่สวยเท่าห้องนอนรวมห้องนี้เลย ซ้ำพวกเราก็ไม่รู้หนังสือ ยืมหมึกยืมพู่กันมาจะมีประโยชน์อะไร”
เสวียนจียิ้มออกมา “พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือ” นางจับพู่กันที่คุณภาพหยาบไปสักหน่อยขึ้นมา ก่อนจะถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียง “นี่คือเตียงของหรูหมิ่นกระมัง”
“ใช่แล้ว เดิมทีพี่เสวียนจีก็นอนอยู่ข้างข้า แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเหอจูแล้ว…อ๊ะ พี่เสวียนจี ท่านกำลังทำอะไร”
เหล่าสาวใช้ในห้องเบิกตาโต เห็นนางจรดพู่กันลงบนกระดาษติดผนัง ไม่เหมือนกำลังเขียนอักษร กลับเหมือนกำลัง…วาดภาพ
“เจ้าลองทายดูว่าข้ากำลังวาดอะไร” นางหันหน้ากลับมามองหรูหมิ่นแวบหนึ่ง ก่อนมุ่งสมาธิกับภาพอีกครั้ง ลีลาลายเส้นดูเป็นธรรมชาติตามอารมณ์ วาดหน้าเสร็จ หรูหมิ่นก็พลันร้องออกมาเบาๆ
“อ๊ะ?! นั่นคือข้า!”
“จริง! จริงด้วย! ดูเหมือนหรูหมิ่นยิ่งนัก!” ชุ่ยอวี้ร้องอุทาน แม้จะยังไม่ถึงขั้นวิเศษยอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็สามารถมองออกได้ว่านั่นคือหรูหมิ่น “พี่เสวียนจี ท่านก็วาดภาพเป็นด้วย?!”
“วาดได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ลงลึกกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้ว” ที่ผ่านมาก็เคยลองศึกษาเรื่องภาพพิมพ์มาเล็กน้อย ทว่าความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสองมือนางมิได้ชำนาญ ภาพที่พิมพ์ออกมาทั้งหยาบทั้งตลก นางจึงยอมแพ้ไป
หวนนึกถึงเมื่อก่อน ใช่ว่าความทรงจำทั้งหมดจะล้วนไม่ดี เพียงแต่พอเข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาก็ย้อนคิดถึงอดีตน้อยยิ่ง อยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยนางต้องง่วนกับการรับมือทุกเรื่องที่สาวใช้พึงทำ รับมือกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เจ้าอารมณ์ผู้นั้น ทำไปทำมาก็กลายเป็นคิดน้อยครั้งลง…ยามนี้ก็พลันมุ่นหัวคิ้วเข้าด้วยกัน
ไม่รู้ว่าตอนเที่ยงเขาได้กินข้าวแล้วหรือยัง
แม้จะเพิ่งปรนนิบัติรับใช้เขามาได้เพียงวันสองวันเท่านั้น แต่ก็สังเกตเห็นว่าเขากินไม่มาก เวลาส่วนใหญ่ล้วนเอาแต่อารมณ์เสีย
“วาดเสร็จแล้วหรือ ดู…ดูเหมือนข้ายิ่งนัก!” หรูหมิ่นร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ก็ลังเลขึ้นมาอีกเล็กน้อย “แต่ว่า…แต่ว่าข้าไม่ได้ถือดอกเหมยเสียหน่อย” สาวน้อยน่ารักในภาพถือดอกเหมยอยู่กิ่งหนึ่ง
“ในสายตาข้า พวกเจ้าอายุยังน้อยกลับต้องขายตัวมาทำงานในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเพื่อพี่น้องในบ้าน เหมือนกับดอกเหมยดอกเล็กๆ เป็นที่สุด ดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่กลับสามารถรักษาตัวผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก ส่งกลิ่นหอมของตัวเองออกมาได้” เสวียนจียิ้มเขินอย่างหาได้ยากพลางกล่าวต่อ “นี่คือเหตุผลข้อหนึ่ง ส่วนเหตุผลอีกข้อคือข้าวาดเป็นแต่ดอกเหมย ดอกไม้อื่นข้าวาดได้ไม่งาม”
หรูหมิ่นมองนางอย่างไม่แม้แต่จะกะพริบตา “พี่เสวียนจี…”
“อืม?” นางเดินไปถึงตำแหน่งเตียงของชุ่ยอวี้ ชุ่ยอวี้ก้าวขึ้นเตียงมานั่งตัวตรงเป็นแบบให้นางวาดตามทันที นางหัวเราะเบาๆ เอาพู่กันแตะน้ำหมึกแล้วเริ่มวาดลงบนกระดาษติดผนัง
“ข้า…ข้ารู้สึกว่า…” รู้สึกว่าท่าน…ท่านงามยิ่งนัก แม้จะเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่รอยยิ้มอายหน้าแดงนั้นทำให้ข้าใจลอยแล้ว
พี่เสวียนจีไม่งามจริงๆ อย่างน้อยในแวบแรกที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ พวกนางเป็นสาวใช้ที่เข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาชุดเดียวกัน ทุกคนต่างอัดอยู่ด้วยกันบนรถม้า เวลานั้นเพียงรู้สึกว่าหลินอันงามจนน่าอิจฉา จนทำให้คนรู้สึกอายในความอัปลักษณ์ของตน ส่วนพี่เสวียนจีก็นั่งอยู่ในมุมอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรมาก ทว่าเห็นแล้วก็รู้สึกสบายตา พอเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกว่านางมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้คนสบายใจ แต่บัดนี้เห็นพี่เสวียนจีวาดภาพอย่างตั้งอกตั้งใจก็ทำให้นางละสายตาไปไม่ได้…
“เป็นอะไรไป” เสวียนจีไม่ได้ยินหรูหมิ่นพูดต่อก็ผินหน้ามามองนาง
“ไม่…ไม่มีอะไร” หรูหมิ่นหน้าแดง ถ้าบอกออกไปว่าแค่นางมองหน้าพี่เสวียนจีก็ใจเต้นตึกตักแล้ว ไหนเลยจะไม่ถูกคนหัวเราะเอา “ข้า…ข้าหมายถึง พี่เสวียนจีก็เหมือนกับพวกเรา มิใช่ขายตัวมาทำงานในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเช่นกันหรือไร พวกข้าทำเพื่อปากท้องคนในบ้าน ท่านทำเพื่อหาเงินฝังศพบิดา พวกเราล้วนลำบากเหมือนกัน ไฉนท่านถึงเอาแต่บอกว่าพวกข้าเหมือนดอกเหมย แต่กลับลืมตัวท่านเองไปเล่า”
พู่กันในมือเสวียนจีหยุดชะงัก ขนตาเรียวยาวบดบังข้อความในดวงตา
ผ่านไปครู่หนึ่งเสวียนจีถึงได้พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ต่อให้เป็นดอกเหมยก็คงเป็นดอกที่ใกล้โรยแล้ว”