ท่านพูดเสียตัวเองดูแก่นัก หรูหมิ่นหวิดจะหลุดปากพูดออกมาเช่นนี้ แต่ยั้งไว้ได้ทันเวลา ถึงนางจะไม่รู้หนังสือ ไม่เข้าใจการวาดภาพ ทว่าก็พอจะเข้าใจว่าประเด็นนี้ไม่ควรพูดต่อไปอีก ส่วนว่าเพราะอะไรนั้นก็บอกไม่ถูกแล้ว แม้สีหน้าของพี่เสวียนจีจะไม่เปลี่ยน แต่ความสดใสเปล่งปลั่งชวนลุ่มหลงเช่นขณะวาดภาพเมื่อครู่ก่อนกลับหายไปแล้ว
เป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะนางอายุยี่สิบสอง เลยวัยเหมาะสมที่จะแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ ปีนี้ตนอายุสิบหก ย่อมไม่อาจเข้าใจสภาพจิตใจของพี่เสวียนจีได้ แต่ก็ไม่อาจนึกภาพว่าจะไม่มีคนต้องการพี่เสวียนจีได้อีกเช่นกัน นางอาจจะไม่มีรูปโฉมเช่นหลินอัน แต่ก็ชวนให้คนอยากอยู่ใกล้ อายุนางอาจจะมากไปสักหน่อย แต่ก็เพราะนางอายุยี่สิบสองถึงได้มีสติปัญญาและท่าทีที่ชวนให้คนรู้สึกอบอุ่นสบายใจเช่นนี้มิใช่หรือ
บุรุษชอบสตรีอ่อนวัย กลับลืมเลือนไปว่าสติปัญญานั้นเพิ่มขึ้นตามอายุ พี่เสวียนจีในตอนนี้ดียิ่งนัก…หรูหมิ่นเริ่มเค้นสมองคัดสรรบ่าวชายในคฤหาสน์สกุลเนี่ยที่คู่ควรกับอีกฝ่าย แม้นางจะเพิ่งมาได้เพียงเดือนกว่า แต่ก็พอจะรู้จักบ่าวชายอยู่จำนวนหนึ่ง
ต้องเป็นคนเช่นไรถึงจะเหมาะสมกับพี่เสวียนจีกันนะ
ตกบ่าย หน้าต่างถูกเปิดออก ลมพัดผ่านเข้ามา วาดภาพเหล่าสาวใช้ที่นอนร่วมเตียงยาวแถวหนึ่งเสร็จแล้ว เสวียนจีก็เริ่มให้พวกนางฉีกกระดาษอวิ๋นหมู่* สีถั่วเขียวเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำมาติดลงไปอย่างไม่มีแบบแผน
มองจากไกลๆ บรรดาเด็กสาวในภาพก็ดูเหมือนอยู่กลางคลื่นน้ำ
นางอาศัยจังหวะที่พวกชุ่ยอวี้ช่วยกันติดเศษกระดาษพลางหัวเราะคิกคัก ค้นกระดาษเกาลี่หลายแผ่นออกมาจากในตั้งกระดาษ
“พี่เสวียนจี ท่านกำลังทำอะไรอีก เท่านี้ก็ดีพอแล้ว ดูเหมือนเป็นนางฟ้าจำนวนมากกำลังแหวกว่ายในน้ำเลย” หรูหมิ่นผละจากสาวใช้กลุ่มนั้นเดินมาใกล้นาง เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ พี่เสวียนจีเหมือนเป็นแม่เหล็กก้อนใหญ่ ตนมักอดจะอยากอยู่ใกล้นางไม่ได้
“ข้ากำลังทำกระดาษบันทึก พ่อบ้านหยวนบอกว่ากระดาษเหล่านี้จะถูกทิ้ง ในเมื่อจะทิ้งแล้ว ข้าก็ขอสักหลายแผ่น” เสวียนจีตัดกระดาษ
“มีประโยชน์อะไรหรือ” ดวงตาหรูหมิ่นเบิกโต มองดูนางตัดกระดาษเกาลี่จนมีขนาดใหญ่กว่ากระดาษอวิ๋นหมู่สีถั่วเขียวพอประมาณ จากนั้นก็แตะหมึกวาดดอกเหมยกิ่งหนึ่งไว้ทางขวาบน
“ไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าแค่สามารถเขียนกลอนเขียนคำลงบนมันได้ อยากเขียนอะไรก็เขียน” นางพลันจับพู่กันเขียนอักษรไม่กี่ตัว วาดดอกเหมยขาวกิ่งหนึ่งไว้ด้านบนเสร็จก็ยื่นให้หรูหมิ่น
“ให้…ให้ข้าหรือ” สีสันเรียบๆ ประกอบกับดอกเหมยกิ่งนั้นงามเรียบและยังน่ารัก เหมือนกับความรู้สึกที่พี่เสวียนจีให้นาง “แต่ว่า…ข้าไม่รู้หนังสือนะ”
“นี่คือ ‘หรูหมิ่น’ หรูจากคำว่างามปานบุปผา หมิ่นจากคำว่าอ่อนไหว เมื่อรวมกันก็คือหรูหมิ่นที่น่ารักน่าชัง” นางอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
หรูหมิ่นหน้าแดงก่ำ ก้มหน้ามองดูชื่อของตนเอง ที่แท้นี่ก็คือชื่อที่บิดามารดาเรียกนางมาตั้งแต่เล็ก…พี่เสวียนจีจะอย่างไรก็เป็นทายาทของอาจารย์สอนหนังสือ จะมากจะน้อยย่อมต้องเคยร่ำเรียนเขียนอ่านมาบ้าง ไม่เหมือนบัณฑิตในบ้านเกิดนางที่เอะอะก็ท่องกลอนออกมาเป็นชุดโดยไม่สนใจว่านางจะฟังเข้าใจหรือไม่ พี่เสวียนจีกลับใช้คำที่นางเข้าใจมาอธิบายให้นางฟัง…
“เป็นอะไรไป ไม่ชอบหรือ”
“ไม่ๆ ชอบสิ! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้จักหน้าตาของชื่อตัวเอง” หรูหมิ่นพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่เสวียนจี นี่เรียกว่ากระดาษอะไรหรือ”
เสวียนจียิ้มพลางส่ายหน้า “เป็นกระดาษที่ข้าทำขึ้นเล่นๆ ไม่ได้ตั้งชื่อหรอก ถ้าเจ้าอยากเรียกอะไรก็เรียกเถิด”
“ให้ข้าตั้งชื่อหรือ ได้…ข้าจะคิดให้ดี ชื่อ…ชื่อ…ชื่อกระดาษเสวียนจี ดีหรือไม่”
“ดี เอาตามเจ้าว่านี่ล่ะ” เสวียนจียิ้ม ตอนแรกที่ทำกระดาษบันทึกก็เพียงแต่ทำไปตามอารมณ์ มิได้ตั้งใจ เวลาเบื่อๆ ก็ซื้อกระดาษมาทำ สิ่งที่เขียนก็มิใช่กลอนเสียทั้งหมด เพียงแต่อยากเขียนอะไรก็เขียนลงไป ไม่เคยคิดว่าจะเรียกชื่อว่าอะไร
เสวียนจีอย่างนั้นหรือ ดี