“ข้า…ข้าแค่มาดูๆ เท่านั้น”
“ดู? เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าสนใจเอง? แม่นางน้อยชอบอ่านประเภทใด” เขายังคงถามโดยไม่คิดอะไรเช่นเดิม ก่อนจะหยิบ ‘หรูอี้จวินจ้วน’* ขึ้นมาเปิดดูตามสบาย
“ข้า…อ่านทุกประเภท”
“อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยม” เขาพูดยิ้มๆ เหมือนว่ากำลังหยอกล้อ “เจ้าอายุยังน้อยก็อ่านหนังสือตำราทุกประเภท อนาคตไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นบัณฑิตหญิงก็ได้” เขาแสดงชัดว่าไม่เชื่อ ถึงแม้เขาจะอบอุ่นมีมารยาท แต่เวลาเผลอก็มักหลุดแสดงความยโสออกมาเสมอ
“บัณฑิตหญิง? ข้าไม่ได้อยากเป็น ปัจจุบันบัณฑิตชอบร้องรำทำเพลงเที่ยวนางโลม แต่กลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา” นางมองหรูอี้จวินจ้วนที่เขาถืออยู่ปราดหนึ่ง “เถ้าแก่เนี่ยคิดว่าบัณฑิตหญิงจะสามารถเลี้ยงชายสวาทเป็นโขยงได้อย่างเปิดเผยโดยไม่จำเป็นต้องใส่ใจสายตาผู้อื่นเหมือนกับอู่เจ๋อเทียนหรือ”
นางกล่าวด้วยความใจกล้าเล็กๆ นัยน์ตาดำตรึงอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเขา เดิมนึกว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นชายชราอายุเกินห้าสิบ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะอายุน้อยเพียงนี้…วันนี้มาร้านหนังสือ นอกจากสามารถได้เปิดหูเปิดตากับร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นแล้ว ยังสามารถได้เห็นโฉมหน้าของเนี่ยเฟิงอวิ๋นและยังได้สนทนากับเขาอีกหลายคำ ถือเป็นความทรงจำที่ควรค่าให้หวนรำลึกถึงที่สุดในชีวิตนางแล้ว
มองพอแล้ว ควรต้องรู้จักพอแล้ว…
เนี่ยเฟิงอวิ๋นเดิมไม่ได้กำลังมองนาง ที่หยุดอยู่ตรงนี้ก็เพียงแต่ฆ่าเวลาที่ต้องรอหลิ่วหมิน ทว่าบัดนี้สายตาเขาได้ย้ายจากหรูอี้จวินจ้วนกลับมาอยู่บนหน้านาง
นางดูประหม่าอยู่เล็กน้อย และก็ดูตื่นเต้นอยู่เล็กๆ ใบหน้าไม่โดดเด่นมีลูกตาดำทอแววอบอุ่นเร่าร้อนประดับอยู่ มันมีประกายเจิดจ้าแพรวพราวน้อยๆ แต่ยังคงไม่ดึงดูดความสนใจ
“คำพูดเจ้าเหมือนว่ากำลังคัดค้าน…” เขาเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงขบคิด “เจ้าเคยอ่านนิยายเล่มนี้?”
นางยังไม่ทันตอบก็พลันมีคนมาชนด้านหลัง เนี่ยเฟิงอวิ๋นหันกลับไปจับไหล่ผู้มาได้ทันเวลา
“หลิ่วหมิน?” สองคิ้วเขามุ่นน้อยๆ มองเห็นใบหน้าผู้มาชัดแล้ว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงออกว่าไม่พอใจนัก “เจ้าไปไหนมา ข้ารอเจ้ามาครึ่งค่อนวันแล้ว”
“เถ้า…เถ้าแก่!” บุรุษร่างสูงผอมท่าทางสุภาพเรียบร้อยเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ท่านยังไม่ไป!” ริมฝีปากเขากำลังสั่นเบาๆ แขนขาก็กำลังสั่น
รอยย่นตรงหัวคิ้วของเนี่ยเฟิงอวิ๋นกดลึกขึ้น หลิ่วหมินเป็นหนึ่งในลูกน้องกำลังหลักของเขา สาเหตุที่เข้าตาเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เหมือนบัณฑิตเสเพลหยำเปทั่วไป ถึงแม้จะคร่ำครึไปสักหน่อย แต่ก็ซื่อตรงจนน่าชื่นชม ยากนักที่จะเห็นเขามีท่าทางตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก
“ข้ายังไม่ไป ถ้าผิดนัดกับใต้เท้ากวน ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า” เขาต่อว่า
“เถ้าแก่…ท่านดูสิขอรับ ข้าเจอของดีเข้าแล้ว!” หลิ่วหมินร้องบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่ฟังคำพูดเขาโดยสิ้นเชิง
เนี่ยเฟิงอวิ๋นมองของในอ้อมแขนเขาแวบหนึ่ง “เป็นต้นฉบับของมือใหม่?”
“ใช่แล้วขอรับ” สมกับเป็นเถ้าแก่ มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง
“แค่นี้ก็มีค่าถึงขนาดทำให้เจ้าตื่นตูมเป็นการใหญ่เชียวหรือ” เขาโบกมือ หันหน้ากลับมาคิดจะคุยกับสตรีนางนั้นต่อ แต่นางกลับหายตัวไปแล้ว
“เถ้าแก่ รอท่านได้อ่านนิยายนี้ก็จะเข้าใจขอรับ!” หลิ่วหมินพูดอย่างตื่นเต้น “ท่าน…ท่านไม่ทราบหรอกว่านิยายเรื่องนี้จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนเช่นไร…ควรพูดว่าอย่างไรดีเล่า ไม่ทราบจริงๆ ว่าควรเริ่มพูดจากที่ใด…” ผลลัพธ์ของการตื่นเต้นเกินไปคือพูดติดอ่าง
“อ้อ? เช่นนั้นเจ้าก็วางมันไว้ ข้ากลับมาค่อยอ่านแล้วกัน”
“หา? แต่ว่า…แต่ว่า…”
“ทำไม เจ้าจะไปตามนัดแทนข้าหรือไร” เนี่ยเฟิงอวิ๋นกล่าวจบก็เดินออกจากร้านหนังสือ พลิกตัวกระโดดขึ้นหลังม้าที่เตรียมไว้ สตรีนางนั้นก็เป็นเหมือนกับน้ำพุสายหนึ่ง เคยไหลผ่านในใจ แต่หลังนางจากไป เขาก็ลืมหน้าตาของนาง อารมณ์สนใจจะพูดคุยก็หายไปเกือบสิ้นเช่นกัน
“เถ้าแก่ ท่านต้องรีบกลับมาอ่านนะขอรับ!”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า ก่อนกระตุกสายบังเหียนบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ จากไป
“เถ้าแก่!” หลิ่วหมินไล่ตามออกไปร้องบอกเสียงดัง “ไม่ว่านานเพียงไร ข้าก็จะรอท่านกลับมา!”
“ไม่ต้องมองส่งแล้ว” ลูกจ้างร้านเดินออกมา หาได้ยากจริงๆ ที่จะเห็นหลิ่วหมินอารมณ์พลุ่งพล่านจนมีท่าทางเหมือนเพิ่งแต่งภรรยาแล้วภรรยาสิ้นใจตายไป “ถ้าท่านยังมองต่อไป ผู้อื่นคงได้คิดว่าท่านเป็นต่งเสียน* กลับมาเกิดใหม่” ลูกจ้างร้านมองต้นฉบับที่เขากอดไว้แน่นในอ้อมแขนแวบหนึ่งด้วยท่าทางตามสบาย “นั่นมีชื่อเรื่องว่าอะไร เหตุใดจึงมีค่าถึงขนาดทำให้ท่านตื่นตูมเสียยกใหญ่”
“คันฉ่องส่องบาป” หลิ่วหมินหันหน้ากลับมา สองตาเป็นประกายเรืองรองจนเทียบเคียงได้กับไข่มุกราตรีที่สามารถส่องสว่างในยามค่ำคืน ก่อนจะพูดต่ออย่างออกจะภาคภูมิใจ “มันชื่อว่าคันฉ่องส่องบาป คันฉ่องที่ส่องเห็นการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังของสรรพสัตว์ ตอนนี้ข้าตื่นตูมเพราะมัน แต่รอมันตีพิมพ์ออกมาแล้ว ผู้ที่ตื่นตูมจะเป็นชาวบ้านทั่วหล้า”