บทที่ 1
สามปีต่อมา…
“พี่เสวียนจี! พี่เสวียนจี!”
เสียงเรียกเบาๆ ดังปนกับเสียงไก่ขันทำให้เสวียนจีสะดุ้งตื่นขึ้นทันควัน นางลืมดวงตาอันง่วงงุนขึ้น จ้องมองเพดานอันไม่คุ้นเคยด้วยสายตาพร่าเลือนอยู่เป็นครู่ใหญ่ ใบหน้าเล็กกลมดิกของหรูหมิ่นถึงค่อยฉายเข้าในสายตาของนาง
“ลุกได้แล้ว” หรูหมิ่นพูดเสียงเบา เสียงสวบสาบแสดงถึงว่าเหล่าสาวใช้ร่วมห้องล้วนลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ใบหน้าขาวผ่องของนางจึงยิ่งซีดกว่าเดิม
“สว่างอีกแล้วหรือ” เสวียนจีเอ่ยอย่างยอมรับชะตากรรม แต่กลับแฝงด้วยความโศกเศร้าและแค้นใจตนเองอยู่หลายส่วน
หรูหมิ่นหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ “ฟ้าสว่างแล้ว ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว อีกเดี๋ยวถ้าพ่อบ้านหยวนมาเห็นท่านยังนอนอยู่ ต้องได้ด่าคนแน่ๆ”
เสวียนจียันตัวขึ้นมาด้วยความเมื่อยขบ หัวยังมึนงง นางเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเก่าเงียบๆ รู้สึกเหมือนว่าหัวเพิ่งถึงหมอน ฟ้าก็สว่างแล้ว ไม่เคยรู้เลยว่ากลางคืนสั้นขนาดนี้ ความที่นอนไม่พอบวกกับความเฉื่อยแฉะทำให้ตัวนางส่ายโงนเงนจะล้ม
“นี่ท่านจะหลับอีกแล้วหรือ พี่เสวียนจี” หรูหมิ่นปัดมือนางเบาๆ จัดแจงสวมเสื้อกั๊กตัวยาวให้นางอย่างคล่องแคล่ว
“ข้าใส่เองก็ได้…” เสวียนจีพูดงึมงำ ดวงตาปิดปรือ
“ท่านใส่กลับด้านแล้ว กว่าท่านจะใส่เรียบร้อยก็คงฟ้ามืด” หรูหมิ่นพูดยิ้มๆ
“ข้า…” นางสะบัดศีรษะหมายจะเรียกสติ รู้สึกหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง “พวกเรามีฐานะเป็นสาวใช้เหมือนกัน กลับทำให้เจ้าต้องคอยช่วยข้าอยู่เรื่อย…”
“ท่านคือพี่เสวียนจีนี่นา” ใบหน้ากลมๆ ของหรูหมิ่นกำลังยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ จูงมืออีกฝ่ายเดินตามสาวใช้ที่ตื่นสายจำนวนหนึ่งออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายชนกำแพงเข้า พี่เสวียนจีน่าสนใจยิ่ง ปกติเงียบขรึมไม่ค่อยพูด เวลาที่น่ารักที่สุดกลับเป็นตอนเพิ่งตื่นนอน
“อย่าทำเช่นนี้กับข้า ผู้อื่นเห็นเข้าจะเอาไปนินทา”
“ผู้อื่นอยากนินทาก็นินทาไปเถิด ถึงอย่างไรปากก็อยู่บนหน้าพวกนาง จะพูดอะไรล้วนเป็นพวกนางตัดสินใจเอง แค่พวกเรามีความสุขก็พอแล้ว”
หรูหมิ่นมีความสุข แต่นางไม่มี เสวียนจีลอบถอนหายใจเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงเดินออกไป
หนึ่งเดือนก่อนฉินเสวียนจีถูกซื้อเข้ามาเป็นสาวใช้ของสกุลเนี่ยชุดเดียวกับหรูหมิ่น เดิมคิดว่าตนเองรูปโฉมและบุคลิกท่าทางมิมีจุดใดพิเศษ ไม่ดึงดูดความสนใจผู้ใดแล้ว แต่ก็ดันถูกหรูหมิ่นมาคอยตามป้วนเปี้ยน
หรูหมิ่นเป็นสาวน้อยจากชนบทที่ขี้อายนางหนึ่ง เป็นพี่คนโตในบ้าน จึงขายตัวมาเป็นสาวใช้ถาวรในสกุลเนี่ยเพื่อเลี้ยงน้องสาวน้องชายอีกเจ็ดแปดคน เด็กสาวเช่นนี้ทนความเหนื่อยยากความลำบากได้ดียิ่ง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมาสนิทสนมกับนาง นางไม่มีจุดใดชวนสะดุดตา พอถูกป้วนเปี้ยนตามติด นางก็รู้สึกยุ่งยากใจแล้ว…
“พวกท่านเกือบสายอีกแล้ว” ชุ่ยอวี้ที่กำลังตักน้ำล้างหน้าเงยหน้าขึ้นมากล่าว “ตื่นสายทุกวัน ถ้าถูกรู้เข้าคงไม่ดีแน่”
เสวียนจีคลี่ยิ้มเงียบๆ นั่งยองลงวักน้ำราดโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“น้ำเย็นยิ่งนัก!” หรูหมิ่นนั่งลงล้างหน้าตาม ก่อนจะตัวสั่นยะเยือกขึ้นมาทันที “อากาศก็หนาวเช่นกัน อยากซุกผ้าห่มนอนมันถึงสายๆ จริงๆ”
“นั่นสิ ใครไม่อยากซุกตัวบนเตียงรอคนยกน้ำยกข้าวมาให้บ้าง แต่พวกเราดันมีชะตาต้องรับใช้ผู้อื่นนี่สิ” เหอจูที่เริ่มตักน้ำตามที่ด้านข้างเสวียนจีทำหน้ามุ่ย “หลินอันค่อยโชคดีหน่อย เพิ่งมาวันแรกก็ถูกพ่อบ้านหยวนเรียกตัวไปรับใช้นายน้อยสามแล้ว ไม่ต้องคอยทำงานงกๆ อยู่ในคฤหาสน์เหมือนพวกเรา”
“ก็นั่นน่ะสิ แม้แต่ที่นอนก็ไม่ต้องมาเบียดกับพวกเรา” เสี่ยวหงตวัดสายตามองรอบข้างก่อนลดเสียงลงพูดว่า “พวกเจ้าลองเดากันดูซิว่าหลินอันมีโอกาสเข้าตานายน้อยสามหรือไม่”
สาวน้อยกำลังอยู่ในวัยเริ่มคิดเรื่องความรัก ขณะอยู่บ้านเกิดย่อมเคยได้ยินเรื่องเล่าประเภทว่าไปเข้าตานายน้อยจากตระกูลร่ำรวยจนได้เป็นอนุมาบ้าง ในใจจึงมีความเพ้อฝันอยู่เล็กๆ ว่าสักวันหนึ่งจะสามารถได้ดิบได้ดีเหมือนคนในเรื่องเล่า
“หลินอันทั้งงามทั้งร่าเริง ไม่ว่าใครได้คุยกับนางแค่ไม่กี่คำก็ล้วนนึกชอบนางทั้งนั้น” แม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่เรื่องจริงก็คือเรื่องจริง ในบรรดาสาวใช้ที่เข้ามาชุดเดียวกันก็มีหลินอันที่ชวนให้คนสนใจเป็นพิเศษ มองไม่ออกว่าเป็นบุตรสาวจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา มือไม้หยาบกร้านอยู่สักหน่อย แต่มิได้ทำลายความงามอันปราศจากการแต่งเติมของนาง ชุ่ยอวี้ถอนหายใจกล่าวว่า “ถ้านายน้อยสามเนี่ยถูกตาต้องใจในตัวนางเข้าแล้วก็มิใช่เรื่องแปลกเลย” นางมองเสวียนจีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามพร้อมยิ้มปะเหลาะ “พี่เสวียนจีเล่าคิดว่าอย่างไร”
เสวียนจีเงยหน้าขึ้นมาตอบยิ้มๆ อย่างจืดชืด “นี่เป็นเรื่องแน่นอน”
ชุ่ยอวี้กะพริบตา มองดูนัยน์ตาดำขลับของเสวียนจี จิตใจเคลิบเคลิ้มไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดปากออกมาว่า “พี่เสวียนจี อันที่จริงถ้าท่านไม่ได้มีนิสัยสงบเสงี่ยมเงียบขรึมปานนี้ ไม่แน่อาจจะมีชะตาเหมือนกับหลินอัน ได้ไปรับใช้นายน้อยสามก็เป็นได้” ที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจดูอย่างละเอียด บัดนี้พลันค้นพบว่าดวงตาของเสวียนจีเหมือนเป็นท้องทะเลอันไร้ขอบเขต ดูลึกล้ำจนทำให้คนละสายตาไม่ลง
เสวียนจีประหลาดใจเล็กน้อย ครั้นแล้วก็ยิ้มออกมา “โชคดีที่ข้าไม่ค่อยพูดและก็ไม่ได้มีนิสัยร่าเริง เลยไม่ต้องไปรับใช้นายน้อยสาม ข้าชอบทำงานที่นี่ มีคนมาก คึกคักดี”
ชุ่ยอวี้อ้าปากจะพูด กลับเห็นพ่อบ้านหยวนเดินมาแต่ไกล จึงหุบปากลงอย่างมีไหวพริบ