14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
เข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาได้เดือนกว่ายังไม่เคยเห็นเหล่าเจ้านายสกุลเนี่ยเลย ก่อนเข้ามาที่นี่ก็เคยได้ยินว่าทั้งสกุลเนี่ยมีพี่น้องเป็นชายทั้งหมดสิบสองคน ข้างกายแต่ละคนจะมีชายฉกรรจ์ผู้จงรักภักดีปรนนิบัติรับใช้โดยเฉพาะหนึ่งคน ท่านสาม ท่านสี่ ท่านเจ็ด และท่านสิบสองล้วนอาศัยในคฤหาสน์ บุรุษผู้นั้นดูจากที่เขาแต่งกายเรียบร้อยดูดี สวมชุดปักลายตัวยาวสีขาว ด้านหลังมีบ่าวคอยกางร่ม จึงน่าจะเป็นหนึ่งในเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ย และเมื่อคาดคะเนจากอายุ ก็น่าจะเป็นท่านสี่เนี่ยมี่หยาง
นางเหลือบมองเขาอีกแวบหนึ่ง เสียงดังเปี่ยมความกระตือรือร้นของพ่อบ้านหยวนดังแว่วขึ้นริมโสต เหมือนว่ากำลังรายงานการงานของวันนี้ บุรุษชุดขาวผู้นั้นกางพัดออกด้วยท่าทางตามสบาย สายตากวาดมองมาทางนี้อย่างไม่ใส่ใจ ยามนั้นนางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ หลบหลังชุ่ยอวี้ได้ถูกจังหวะพอดี
แม้จะรู้ดีว่ารูปโฉมของตนเองมิมีจุดใดพิเศษ แต่เพื่อความไม่ประมาท นางยังคงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นนาง ชีวิตในตอนนี้ลำบากไปสักหน่อย การใช้แรงงานทำให้สิบนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดของนางหยาบกร้าน หากแต่นางพอใจกับชีวิตเช่นนี้…ที่ไม่มีความโกรธแค้นหรือการแก่งแย่งชิงดีใดๆ ทั้งสิ้น
หางตานางชำเลืองไปก็เห็นบุรุษผู้นั้นขยับหนีไปสองสามก้าว พ่อบ้านหยวนก็ตามไปพล่ามต่อ บุรุษผู้นั้นยิ้มอย่างค่อนข้างมีน้ำอดน้ำทน ทั้งยังมองมาทางนี้อีกสองสามอึดใจ ก่อนจะมองเห็นนางได้พอดิบพอดี…
เสวียนจีถอยหลังไปอีกก้าวอย่างเงียบเชียบแนบเนียน
“อ๊ะ คนรูปงามผู้นั้นเดินมาแล้ว ข้าเดาว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในเจ้านายของพวกเรา ใช่หรือไม่” ชุ่ยอวี้พูดกระซิบด้วยใบหน้าร้อนผ่าวดั่งถูกไฟเผา
“นายน้อยสี่ นายน้อยสี่ขอรับ!” หยวนซีเซิงรีบไล่ตามไป ปากก็พร่ำบ่น “ท่านเองก็ต้องคิดเผื่อเหล่าสาวใช้ เด็กสาวหลินอันนางนั้นรับใช้นายน้อยสาม แต่ต้องคอยหลบไปร้องไห้แทบไม่เว้นแต่ละวัน จะดีจะชั่วท่านก็ช่วยพูดหน่อยเถิดขอรับ อีกเรื่องหนึ่ง อากาศร้อนจัด หากท่านจะออกไปข้างนอก มิใช่ว่าบ่าวห้าม แต่ร่างกายท่านเดิมก็ไม่สู้ดี ถ้าเกิดไปหมดสติกลางทาง…”
“หรือเจ้าจะออกไปเจรจาการค้าแทนข้า” เนี่ยมี่หยางตัดบทเขาได้พอเหมาะแก่เวลา
“ไม่ขอรับ! บ่าวไม่ได้มีสมองขนาดนั้น และก็ไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้นเช่นกัน…” หยวนซีเซิงรีบร้อนเดินตามเขา
เนี่ยมี่หยางคลี่ยิ้มน้อยๆ เดินช้าๆ มาหาเหล่าสาวใช้ ดวงตาอบอุ่นปรายผ่านสาวใช้แต่ละคนที่ก้มหน้าอยู่ ก่อนกล่าวออกมาโดยไม่คิด “เช่นนั้นเจ้าไปเกลี้ยกล่อมให้นายน้อยสามรับร้านหนังสือของเขากลับไป เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกในวันอากาศร้อนจัดแล้ว ถูกหรือไม่”
“อา…” นายน้อยสี่อยากแกล้งเขาหรือ ปัจจุบันมีใครกล้าไปพูดเรื่องนี้กับนายน้อยสามบ้าง อันที่จริงไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ สามปีก่อนเขาชมชอบนายน้อยสาม เคารพนายน้อยสาม ตอนนี้ความเคารพชมชอบยังคงเดิม แต่แค่ไม่กล้าเข้าใกล้…เขายังไม่อยากถูกด่าจนต้องหลบไปร้องห่มร้องไห้ในมุมห้อง
หยวนซีเซิงยังคิดจะโน้มน้าวอะไรต่อ ทว่าเนี่ยมี่หยางที่ด้านหน้ากลับพลันหยุดเดิน ทำให้เขาที่มีเรี่ยวแรงมากโดยกำเนิดศีรษะเกือบจะพุ่งชนอีกฝ่าย โชคดีที่ชายฉกรรจ์ถือร่มข้างกายเนี่ยมี่หยางยันศีรษะหยวนซีเซิงไว้ได้ทันเวลา ก่อนจะประคองเขาให้กลับมายืนตัวตรง
“นายน้อยสี่?!” ตกใจแทบตาย! ถ้าชนนายน้อยสี่กระเด็นออกนอกระเบียงไป เขาก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ผูกคอตายไปพบพญายมให้จบเรื่องเสียเลยเถอะ
“เจ้าเงยหน้าขึ้นมา” เนี่ยมี่หยางหยุดลงใกล้ๆ สตรีชุดขาวเรียบนางหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ก่อนจะเดินวนช้าๆ พินิจดูนาง
หยวนซีเซิงอึ้งไปเล็กน้อย “เอ๊ะ?” ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สาวใช้หน้าตาท่าทางไม่โดดเด่นเช่นนี้ก็ดึงดูดความสนใจของนายน้อยสี่ขึ้นมาได้ แต่จะว่าไปแล้ว ในบรรดาสาวใช้ที่ซื้อตัวมาวันนั้นมีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ไฉนเขาถึงลืมไปได้
เสวียนจีกลัดกลุ้มขึ้นมาน้อยๆ แต่ยังคงเงยใบหน้าขาวผ่องขึ้นอย่างเชื่อฟัง หลุบตายืนตัวตรง
“อืม…” เนี่ยมี่หยางพินิจดูอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ หน้าตาปานกลาง อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากสมควรจะดึงดูดความสนใจใครไม่ได้ แต่เขากลับมองเห็นนางท่ามกลางสตรีมากมาย
เห็นนางก้มหน้าคล้ายว่าประหม่าอยู่บ้าง เขาก็ยิ้มพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“บ่าวฉินเสวียนจีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ได้นุ่มนวลเป็นพิเศษ และก็ไม่ได้สั่นเครือ เป็นเสียงที่เหมือนฟังแล้วก็ลืมได้ทันที
“อ้อ? ฉินเสวียนจี? หายากที่หญิงสาวจะมีนามเช่นนี้ บิดามารดาเจ้ารู้หนังสือหรือ”
“บิดาที่ล่วงลับไปรู้หนังสืออยู่บ้างเจ้าค่ะ” น้ำเสียงยังคงไม่สูงไม่ต่ำ อ่อนน้อมเหมือนบ่าวไพร่ทุกคนในคฤหาสน์สกุลเนี่ย มองแล้วไม่เห็นว่าจะจำหน้าได้ ฟังแล้วไม่เห็นว่าจะจำเสียงได้
เนี่ยมี่หยางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มตัวน้อยๆ ดมกลิ่นรอบกายนาง ใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม แต่ค่อนข้างมีความหมายแฝง ก่อนที่เขาจะเอ่ยเรียกอย่างเกียจคร้าน “ซีเซิง?”
“บ่าวอยู่นี่ขอรับ!”
“สาวใช้เหล่านี้ซื้อเข้ามาเมื่อใด”
“หนึ่งเดือนก่อนขอรับ”
“อ้อ…เป็นพวกมาใหม่นี่เอง” มิน่าเขาถึงไม่เคยเห็น “เจ้ายื่นมือทั้งสองออกมา”
เสวียนจีลังเลเล็กน้อยก่อนยื่นเรียวนิ้วทั้งสิบออกไป
“สิบนิ้วของเจ้าเรียวขาวและเพิ่งมีรอยด้าน ผิวก็ขาว กายก็หอม ตามหลักแม่นางสมควรจะเป็นคุณหนูให้คนคอยรับใช้ ไฉนจึงลำบากมาเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเล่า” เขาเอียงศีรษะมองนางอย่างละเอียดอีกแวบหนึ่ง “อีกอย่าง เจ้าเลยวัยปักปิ่น* มานานแล้วกระมัง”
“บ่าวปีนี้อายุยี่สิบสองเจ้าค่ะ”
“ยี่สิบสอง?” เขาประหลาดใจอยู่เล็กๆ ที่เดาได้ว่านางเลยวัยปักปิ่นแล้ว เป็นเพราะแม้นางจะอยู่ท่ามกลางสาวใช้กลุ่มนี้ แต่นางดูแตกต่างออกไปพอสมควร ยืนนิ่งเงียบทั้งยังสงวนท่าที ไม่มีท่าทางกระสับกระส่ายอ่อนประสบการณ์เฉกเช่นสาวน้อยแรกเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่สักกระผีก “ข้านึกว่าในวัยเท่านี้เจ้าควรต้องเลี้ยงลูกดูแลสามีอยู่กับบ้านเสียอีก แม้จะเข้าคฤหาสน์มาก็ควรมาเป็นแม่นม” มาเป็นสาวใช้ออกจะอายุมากไปบ้างจริงๆ