14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
“บ่าวยังมิได้แต่งงาน”
“อ้อ…” อายุยี่สิบสองยังไม่แต่งงานย่อมต้องมีสาเหตุซ่อนเร้น ซักถามลงลึกกว่านี้เกรงว่าจะเกี่ยวถึงความลับส่วนตัวของนางแล้ว โดยทั่วไปขอเพียงอายุไม่มากจนเกินไป เขาย่อมจะไม่ก้าวก่ายเรื่องการว่าจ้างบ่าวไพร่ ซีเซิงใช้งานนางได้ก็หมายความว่าประวัตินางขาวสะอาด
ทว่าบนตัวนางมีกลิ่นกระดาษจางๆ อยู่ สมควรจะเคยเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหนังสือ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หุบพัดลงแล้วก้าวผละออกไปสองสามก้าว เสวียนจีเพิ่งจะผ่อนลมหายใจโล่งอก เขากลับพลันหันหน้ามาถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าเองก็น่าจะรู้หนังสือเช่นกัน?”
เสวียนจียอบตัว “บ่าวเคยได้รับการสอนจากบิดาที่ล่วงลับ จึงพอรู้หนังสือบ้าง แต่ก็ไม่กี่ตัวเจ้าค่ะ” เห็นเขาได้ยินคำตอบเสร็จและเดินออกจากระเบียงทางเดินไปแล้ว นางถึงระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง
นางมีอะไรชวนให้คนสะดุดตาเพียงนี้เชียวหรือ หน้าตาท่าทางออกจะธรรมดาชัดๆ ขณะเพิ่งเข้าคฤหาสน์มา พ่อบ้านหยวนก็มักลืมการมีอยู่ของนางเป็นประจำ เหล่าสาวใช้บางครั้งยังนึกชื่อนางไม่ออกด้วยซ้ำ ในกลุ่มคน ผู้ที่ควรเป็นที่สะดุดตาคือเด็กสาวผู้กระตือรือร้นอย่างหลินอัน มิใช่คนอย่างนาง
หรือว่าสายตาแหลมคมของนายน้อยสี่จะมองอะไรออก? หว่างคิ้วนางยับย่น หวังเพียงว่าหลังเหตุการณ์คราวนี้แล้วจะไม่ดึงดูดสายตาใครอีก
“ซีเซิง สาวใช้ชื่อฉินเสวียนจีนางนั้นเจ้าไปซื้อตัวมาจากที่ใด” หลังเดินออกจากระเบียงมาแล้ว เนี่ยมี่หยางก็ทำเป็นเอ่ยถามผ่านๆ
“ฉินเสวียนจี? นาง…นางน่ะหรือขอรับ” หยวนซีเซิงเกาศีรษะ ทำหน้ายับยุ่งพลางย้อนนึก “นาง…นางชื่อว่าฉินเสวียนจี พ่อของนางดูเหมือนจะเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในชนบทหลายปี ปีนี้เพิ่งจากโลกไป นางต้องการเงินฝังศพ บ่าวจึงฝืนใจให้นางเข้ามาทำงานให้คฤหาสน์ เรื่องน่าจะเป็นเช่นนี้ขอรับ” คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะสังเกตเห็นสาวใช้นางนั้น ถ้ามิใช่ก่อนหน้านี้เขาหูไว ได้ยินคำกระซิบกระซาบของหรูหมิ่นกับชุ่ยอวี้ ทำให้ความทรงจำของเขาถูกดึงขึ้นมา เขาคงได้ลืมจริงๆ ว่ามีสาวใช้นางนี้อยู่ด้วย
เนี่ยมี่หยางยิ้มหวาน “น่าจะ? เรื่องเช่นนี้เห็นได้น้อยนัก หายากที่จะมีเรื่องที่เจ้าจำไม่ได้”
หยวนซีเซิงหน้าเห่อแดง ความจำเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดตลอดมา ตั้งแต่บรรพบุรุษแปดรุ่นของคฤหาสน์สกุลเนี่ยลงมาถึงแม่ครัวและสาวใช้มาใหม่ โดยปกติขอเพียงได้คุยด้วยครั้งเดียว สมองย่อมจะมีร่องรอยความทรงจำประทับอยู่ ชั่วชีวิตก็ไม่ลืมเลือน คำพูดของนายน้อยสี่เวลานี้จึงไม่ต่างจากการฉีกหน้าเขา
“นายน้อย เรื่องนี้จะโทษบ่าวไม่ได้นะขอรับ” เขาอุทธรณ์ตัดพ้ออย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม “เดิมนางก็ไม่มีจุดเด่นอะไร คนแบบฉินเสวียนจีหาได้เกลื่อนกลาดตามท้องถนน สตรีที่ธรรมดาเช่นนี้จะทำให้คนสนใจได้อย่างไรขอรับ” พูดตามตรง ที่นายน้อยสี่ชี้ตัวนางออกมาได้ปุบปับกะทันหัน เขายังลอบคิดเลยว่านายน้อยสี่ดวงตามีปัญหา
เนี่ยมี่หยางเห็นอีกฝ่ายตัดพ้อต่อว่าก็กระแอมไอเบาๆ ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ซีเซิง ข้าไม่ได้จะก้าวก่ายงานเจ้า เพียงแต่ถามดูเท่านั้นเอง เจ้าอยากจัดสรรอย่างไรก็ตามใจเจ้า ถ้าทำได้ดี เจ้าก็ให้รางวัลไปตามผลงานก็พอ” เขาโบกมือและเดินจากไปพร้อมกับชายฉกรรจ์ข้างกาย
หยวนซีเซิงลูบจมูก เดินกลับไปที่ระเบียงทางเดิน “ไปกันเถอะๆ ผู้ที่พวกเจ้าเห็นเมื่อครู่คือนายน้อยสี่ วันหน้าถ้าได้พบอีกต้องขานคารวะ” กล่าวจบหางตาของเขาก็ตวัดมองฉินเสวียนจีอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางมีจุดใดชวนให้คนสนใจ
อา… สองตาของเขาพลันสว่างวาบ
“เจ้า…เจ้า เจ้านั่นแหละ! มิผิด เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับนายน้อยสี่นะ”
เสวียนจีช้อนตาขึ้นมอง ดูงุนงงแปลกใจอยู่บ้าง “ข้า…”
เมื่อครู่เขามิได้ฟังอยู่ข้างๆ ทั้งหมดหรือไร
“เจ้าว่าเจ้ารู้หนังสือ?” เขาถึงขนาดหน้าตาแจ่มใส ยิ้มจนหุบปากไม่ลงแล้ว
นางลังเลเล็กน้อยก่อนยอบตัว “เจ้าค่ะ บ่าวรู้หนังสือ” ดูเหมือน…ไม่ค่อยชอบมาพากลนัก แทบจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่าสองเท้าของตนก้าวลงปลักโคลนแล้ว ไม่เอานะ นางเพียงอยากจะใช้ชีวิตสงบเงียบอยู่ท่ามกลางผู้คนโดยไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลง
“โธ่เอ๊ย! ข้าควรโดนตี ควรโดนตีจริงๆ!” หยวนซีเซิงมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า ถ้ามิใช่นายน้อยสี่ออกมาก่อกวน เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสาวใช้ที่ปกติถูกเขาลืมเลือนไปนางนี้รู้หนังสือ ปัญหายุ่งยากและยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในงานทำความสะอาดก่อนหน้านี้นับว่ามีทางแก้ในที่สุด
“พ่อบ้านหยวนยิ้มได้พิกลนัก น่ากลัวยิ่ง” หรูหมิ่นพูดขึ้นเสียงค่อย
“เจ้า…เจ้าชื่อฉินเสวียนจีกระมัง”
“เจ้าค่ะ”
“ดีๆ นับตั้งแต่นี้เจ้าไม่ต้องไปทำความสะอาดกับพวกนางแล้ว อีกเดี๋ยวให้ตามข้าไป” ในที่สุดก็หาคนได้ ให้นางไปทำดีที่สุด ต่อให้ถูกด่าก็มาไม่ถึงเขา หึๆ คนพบเรื่องน่ายินดีก็เบิกบานแช่มชื่นเช่นนี้ล่ะ ทว่านี่มิใช่เขาเจตนาผลักความรับผิดชอบให้นางนะ แต่เขาลำบากมาสามปีแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องลำบากต่อไปอีก
“พ่อบ้านหยวน…หาคนอื่นเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยังคงทำงานกับพวกหรูหมิ่นจะดีกว่า” แย่หนักแล้ว มีสังหรณ์รางๆ ว่าพอแยกจากเหล่าสาวใช้อย่างพวกหรูหมิ่น วันเวลาอันทุกข์ยากของนางก็จะมาถึง วันเวลาทุกข์ยากยังไม่น่ากังวลเท่าไร ที่น่ากังวลคือนางไม่ชอบแตกต่างจากสาวใช้คนอื่นๆ การเป็นเช่นนั้นทำให้ในใจนางรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยยิ่ง
“เอ๊ะ? เจ้าจะไม่รู้ดีรู้ชั่วไปหน่อยแล้ว เรื่องนี้เจ้ามีสิทธิ์พูดได้ด้วยหรือ” หยวนซีเซิงเหลือกตากล่าวตำหนิ “ให้เจ้าทำ เจ้าก็ทำ เจ้าขายตัวมาทำงานให้คฤหาสน์สกุลเนี่ยเราแล้ว ต่อให้บอกให้เจ้าลงหม้อน้ำมัน เจ้าก็ไม่อาจปริปากขัดขืนได้”
หลังพูดจบด้วยสีหน้าถ้อยคำรุนแรง เห็นว่าบรรลุจุดประสงค์จะขู่คนแล้วถึงค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แน่นอนว่าไม่มีทางบอกให้เจ้าไปลงหม้อน้ำมันหรอก เพียงแต่ต้องการให้เจ้าทำงานง่ายๆ สบายๆ บางอย่างสักหน่อย มิได้มีอะไรหนักหนาสาหัส”
เสวียนจีเงยหน้าขึ้นมองหยวนซีเซิงตาไม่กะพริบ เห็นเขาน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีอะไรไม่น่าไว้วางใจแอบแฝงอยู่ นางถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมแล้วพลางกล่าว “พ่อบ้านหยวนกล่าวถูกต้อง ต้องการให้บ่าวทำอะไร บ่าวก็จะไปทำเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้จึงถูกต้อง” หยวนซีเซิงยิ้มพอใจ รู้สึกบาดหูอยู่สักหน่อย ไม่รู้เหตุใดจึงมักรู้สึกว่าคำว่า ‘บ่าว’ ที่นางพูดออกมาคล้ายจะบาดหูอยู่เล็กๆ
เหมือนว่า…เหมือนว่านางไม่เหมาะกับคำว่า ‘บ่าว’ นี้…เฮ้อ เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบหกก็เริ่มรู้จักคิดฟุ้งซ่านแล้วหรือ จริงๆ เลย ภาวนาขอพรต่อพระพุทธองค์ให้สาวใช้นางนี้จะดีกว่า
ฉินเสวียนจีที่น่าสงสาร นายน้อยเฟิงอวิ๋น…ที่น่ากลัว…
หวังว่านางจะสามารถทำงานที่ข้ามอบหมายได้เสร็จก่อนนายน้อยเฟิงอวิ๋นจะพบนางแล้วกัน