“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา!”
เสียงตะคอกทำให้เสวียนจีตกใจจนหายง่วง นางรีบลืมตา สิ่งที่มองเห็นคือบุรุษนั่งรถเข็นผู้หนึ่ง
หน้าตาเขามิได้น่ามองเท่าเนี่ยมี่หยาง มันบึ้งตึงแข็งกร้าว นัยน์ตาดำราวกับมีเพลิงโทสะปะทุขึ้น ริมฝีปากบางเม้มแน่น
เสวียนจีหน้าถอดสี วิงเวียนตาลายขึ้นมาทันที อากาศร้อนแล้วกระมัง ถึงได้รู้สึกว่าเรี่ยวแรงจะหายไปหมดตัวแล้วเช่นนี้
“ไม่เคยเห็นเจ้านายขาพิการหรือไร!” เพลิงโทสะลุกขึ้นมาอีกครั้ง วัตถุสีน้ำเงินปามาถูกนางที่อยู่ไม่ไกลด้วยกำลังแรง
นางเซถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะล้มพับลงกับพื้น วัตถุสีน้ำเงินที่ตกอยู่บนพื้นคือนิยายเล่มหนึ่ง นางอึ้งไป ตาลายมองเห็นแต่หมอกขาว เป็นครู่ใหญ่ถึงปรับสายตาให้รวมศูนย์ได้
เขายังคงนั่งอยู่บนรถเข็น บนตัวสวมชุดสีเข้ม สองขามีผ้าขนสัตว์ผืนบางคลุมไว้ ด้านหลังเขามีพ่อบ้านหยวนติดตามอยู่…
ชุดท่อนบนของเขาหรูหรางดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ย
ยามนั้นเองหน้าอกนางพลันปวดรัดขึ้นมา รู้สึก…ใจหายอยู่สักหน่อยอย่างอธิบายไม่ได้
“เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ!”
“ข้า…” เสวียนจีได้สติกลับมาแล้วจึงรีบเก็บหนังสือลุกขึ้นยืน “บ่าวเสวียนจีเจ้าค่ะ” สองขายังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อเลย!
“ใครอนุญาตให้เจ้าเสนอหน้าเข้ามา” เนี่ยเฟิงอวิ๋นถลึงตามองนาง แววตาเหมือนจะกินคน
“บ่าว…” เสวียนจีเหลือบมองพ่อบ้านหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาอีกฝ่ายมองนางอย่างเย็นเยียบ เหมือนพลอยโมโหไปกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นด้วย เดิมก็เป็นเขาบอกให้นางรออยู่ที่นี่มิใช่หรือไรกัน
“สวนซั่งกู่ไม่อนุญาตให้สตรีและคนแปลกหน้าเข้ามา เจ้าอาจหาญอะไรมาถึงได้กล้าเหยียบเข้ามาที่นี่” เขาหรี่ตาลงด้วยท่าทางดุร้าย มองดูนิยายปกน้ำเงินเล่มนั้นถูกนางถือไว้แนบอก อดจะเกิดโทสะขึ้นมาไม่ได้ “หนังสือของข้าให้สตรีมาทำสกปรกได้ที่ไหน เอาไปเผาแล้วไล่นางออกไปด้วย!”
เผาหนังสือ?!
นางตกใจ นี่เป็นพฤติกรรมของคนรักหนังสือเสียที่ไหน นางเห็นพ่อบ้านหยวนที่ด้านหลังเขาสาวเท้าเดินมาก็ก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ “พ่อบ้าน…” ดวงตาของพ่อบ้านหยวนเย็นชา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก จ้องมองนางเหมือนมองคนแปลกหน้า
เขามีหน้าตาเหมือนพ่อบ้านหยวน ทว่า…นิสัยกลับมิได้เย็นนอกร้อนในอย่างพ่อบ้านหยวน
รู้ดีว่าอยู่ในคฤหาสน์ไม่มากความไม่มากคำจึงจะเป็นหนทางรักษาตัวรอด แต่ใครใช้ให้นางต้องมาเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าต่อหน้าต่อตาเล่า…นั่นเหมือนเป็นการเฉือนหัวใจนางก็มิปาน
นางกอดหนังสือแน่นพลางหลบหลีกการเคลื่อนไหวจะแย่งหนังสือของพ่อบ้านหยวน ก่อนจะรีบร้อนคุกเข่าลง “หากนายน้อยไม่ต้องการหนังสือแล้วก็โปรดมอบให้เสวียนจีเถิดเจ้าค่ะ!”
“ให้เจ้า?” ดวงตาเขาเปี่ยมด้วยแววเหยียดหยาม “ต่อให้เป็นรองเท้าพังๆ ที่ข้าเคยใช้ เจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เก็บไปสะสม เผาหนังสือซะเจาเซิง!”
หยวนเจาเซิงจับปลายหนังสือไว้ นางร้อนใจ อยากจะปัดมือเขาออก แต่กลับเหมือนตบลงบนมีดดาบ ทั้งเจ็บทั้งแข็ง อยากจะต่อต้านกลับถูกเขาสะบัดดึง แขนขวาเหมือนใกล้จะเคลื่อนหลุดจากข้อต่อแล้ว เจ็บแทบตาย นางหอบหายใจ พยายามกอดหนังสือไว้สุดชีวิต เอาแข็งปะทะแข็งมีแต่จะทำให้ตนเองแย่กว่าเดิม ต่อให้นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดก็ไม่เห็นว่าจะเอาชนะแขนหนึ่งข้างของหยวนเจาเซิงได้
“เนี่ยเฟิงอวิ๋น…นี่คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เคยทำให้ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นมีชื่อเสียงดังสะท้านใต้หล้าอย่างนั้นหรือ คนที่เผาทำลายหนังสือได้ลงคอจะคู่ควรเป็นคนรักหนังสือได้อย่างไร!” นางร้องลั่นออกมา
เนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ยินดังนี้ก็สะท้านเฮือก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “สาวใช้น่าตายอย่างเจ้ามาจากที่ไหน! ใครบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า!”
“ข้า…ข้า…” นางในสภาพทุลักทุเลสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหยวนเจาเซิงชะงักลงก็หอบหายใจเบาๆ สองสามคำรบ “ข้า…เพียงแต่เดาเอา…”
“เดา?!” คำโกหกพรรค์นี้ไปพูดกับสุนัขเถอะ “เจ้าเดาเก่ง ทั้งยังเดาได้ตรงเผง ตอนนี้เจ้าลองเดาชื่อหนังสือนี้ดู ขอเพียงเจ้าบอกได้ หนังสือเล่มนี้จะเป็นของเจ้า เจ้านายอย่างข้าไม่นับว่าใจจืดใจดำกระมัง”
น้ำเสียงของเขาส่อเจตนาร้าย และยิ่งมีความยโสโอหังของผู้ที่อยู่เหนือกว่า เขาคิดว่าสาวใช้นางหนึ่งไม่น่าจะรู้หนังสืออย่างนั้นหรือ นี่ก็คือตัวตนแท้จริงของเขาหรือไร
เสวียนจีหลุบตาลงมองตัวอักษรสีดำที่เลื้อยตวัดอยู่บนปกหนังสือ ยี่สิบสองปีมานี้ชีวิตนางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความสิ้นหวังที่ถาโถมมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งตอนท้าย หลังจากนางมีโชคได้พบเนี่ยเฟิงอวิ๋น แม้แต่ความหวังเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวของนางก็สูญสลายไปเช่นกัน
เขาดีดนิ้ว “เจาเซิงเผาหนังสือซะ แล้วไปพาตัวซีเซิงมาด้วย ข้าต้องการให้เขาอธิบายเองว่าสาวใช้ของเขาเอาความกล้าจากไหนเหยียบย่างมาที่สวนซั่งกู่”