บทที่ 1 ฉันรู้ว่าฉันสวย
ทยาดากำลังหัวเสียอยู่กับการวนรถในตึกห้างสรรพสินค้านานร่วมชั่วโมง ด้วยเหตุผลที่เธอแค่ต้องการแวะซื้ออาหารแมวถุงเดียวก่อนกลับเข้าบ้านโดยลืมนึกไปว่าวันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติ วันที่เธอขยาดนักขยาดหนาที่จะต้องแวะที่ต่างๆ เพราะทุกพื้นที่เต็มไปด้วยรถ แล้วก็รถ แต่ถนนมีอยู่เท่าแมวดิ้นตาย
ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าขับรถหนึ่งคนต่อหนึ่งคันมันเปลืองพื้นที่ถนน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็คนมันตัวคนเดียวนี่นา
ดวงตาเรียวเล็กมองเห็นที่ว่างอยู่ข้างหน้ารางๆ หันมองหน้าหลังด้วยความหวังว่าที่ตรงนั้นจะตกเป็นของเธอ…แล้วก็สูญเปล่า เมื่อรถที่ต่ออยู่แถวหน้าเลี้ยวเข้าไปจอดเรียบร้อย ทยาดาได้แต่ถอนหายใจ แต่แล้วเหมือนสวรรค์เป็นใจให้รถคันข้างๆ ที่เธอจอดเหลื่อมรอคิวอยู่กำลังเลื่อนรถออก
เธอแทบจะลงไปกราบขอบพระคุณที่เจ้าของรถคันนั้นออกไปในตอนที่เธอต้องการที่จอดเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันจะตีไฟขอทาง รถคันข้างหน้าเธอก็ทำท่าจะไม่ถอยหลบให้รถด้านในออก หนำซ้ำยังถอยหลังมาบังคับให้เธอต้องถอยตามทั้งๆ ที่รถคันอื่นจี้หลังอยู่แทบจะเกยกัน
อารมณ์คนกำลังโล่งใจว่าได้ที่จอดกลับคุกรุ่นขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าคันหน้าไม่ยอมง่ายๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอเห็นโฆษณาอาหารแมวเจ้าประจำกำลังลดราคามากถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่หมดเขตวันนี้เป็นวันสุดท้าย และที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใกล้บ้านที่สุด เธอก็จะยอมล่าถอยให้อยู่หรอก
“คันนี้เขาก็จะออก ทำไมไม่เขยิบไปข้างหน้าเล่า จะถอยมาหาพระแสงอะไรยะ!” ทยาดาตะโกนว่าคันข้างหน้าลั่นรถ ติดที่ไม่ได้ลดกระจกลงแค่นั้น
แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งในชุดพนักงานแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารและบริการรับส่งผู้โดยสารเดินมาเคาะกระจกให้คันหน้าเดินรถไปข้างหน้าเพื่อให้คันด้านในออก แล้วส่งสัญญาณให้เธอเลี้ยวเข้าไปจอดแทน เรียกได้ว่าถ้าช้าอีกเสี้ยววินาทีคนที่ลงไล่คันหน้าคงต้องเป็นเธอแน่นอน เพราะความหัวร้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ยามที่กระบะติดหลังคาคันข้างหน้าเธอทำตีมึน กักทางไม่ให้เข้าไม่ให้ออกจนแถวยาวไปกว่าเดิม
เสียงแตรจากรถคันด้านหลังเริ่มทยอยดังขึ้นทีละคันสองคัน บวกกับหนุ่มน้อยในชุดพนักงานคนนั้นยังคงส่งสัญญาณให้รถเจ้าปัญหาเขยิบไปหาที่จอดใหม่ให้ได้ คงจะไปกระตุ้นต่อมจิตสำนึกของคนขับได้บ้างว่าควรจะต้องทำเช่นไรในภาวะคับขันเช่นนี้
กระบะติดหลังคาคันนั้นยอมเดินหน้าไปเข้าแถวใหม่ให้รถในซองได้ออก และที่จอดตรงนั้นก็ตกเป็นของเธออย่างเต็มรูปแบบเสียที ทำเอาทยาดาถอนหายใจโล่ง
“ขอบใจนะน้อง” ทยาดาลดกระจกลงพูดขอบคุณพนักงานคนนั้นที่ยังคงยืนรอข้ามถนนกลับไปหารถตัวเองที่จอดแอบไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าเดินเข้าห้างตัวปลิว
“พะยูนจ๋า โลมาเอ๊ย แม่กลับช้าหน่อยนะลูก รอหน่อยนะคะ” หญิงสาวพึมพำไปด้วยพลางเดินสับขาแข็งขัน ไม่สนของฟรีที่ยืนแจกอยู่สักเจ้าเพื่ออาหารแมว ลูกๆ สุดที่รักของเธอ
เวลาราวทุ่มเศษในวันศุกร์แห่งชาติเปรียบเสมือนเวลาเครื่องจักรมนุษย์กำลังทำงานในห้างอย่างไรอย่างนั้น ผู้คนเบียดเสียดเต็มลิฟต์และบันไดเลื่อน ร้านอาหารชื่อดัง (แต่รสงั้นๆ) คนรอคิวยาวเลื้อยเป็นงูเพราะโปรโมชั่นมาสี่จ่ายสาม มาสามจ่ายสอง มาคนเดียวไม่ต้องกินเพราะจ่ายเต็มอัตรา
ทั้งแถวรอซื้อตั๋วหนังดังที่เพิ่งเข้าโรง รวมถึงร้านขนมเพิ่มปริมาณผู้ป่วยโรคเบาหวานก็หนาแน่นไปด้วยคนที่ยังยอมต่อแถวซื้อกัน ไหนจะซูเปอร์ด้านล่างที่เธอกำลังรอให้มีรถเข็นสักคันว่างหรือตะกร้าสักใบก็พอ ตอนนี้ไม่อยากเรื่องมาก
บางทีเธอก็รู้สึกคิดผิดที่อาจหาญเข้ามาในห้างสรรพสินค้าเวลานี้ แทนที่จะกลับบ้านแล้วเดินออกมาซื้ออาหารถุงเล็กๆ ที่มินิมาร์ตหน้าหมู่บ้านแทนไปพลางๆ แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกมาซื้อมันตอนห้างเพิ่งเปิดเสียเลย จะได้ไม่ต้องไปเบียดกับใคร
แต่ไหนๆ ก็ได้ที่จอดรถแล้วเธอก็ควรจะซื้อของให้คุ้มค่ากลับเข้าบ้านไปเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องออกมาหลายรอบ จึงจัดการเปิดโน้ตในโทรศัพท์ดูรายการที่ต้องซื้อเพิ่มแล้วจัดแจงช็อปปิ้งให้สมกับการที่อดทนเบียดเสียดผู้คนมาถึงขั้นนี้แล้ว
ระหว่างที่กำลังเลือกของสดกลับมีรถเข็นคันหนึ่งชนเข้าที่สีข้างของเธอเข้าอย่างจังจนหน้าเกือบจะทิ่มลงไปในกองปลาแช่แข็งที่เลือกอยู่ ตาเรียวตวัดมองผู้ประทุษร้ายแทบจะทันที แต่กลายเป็นหนุ่มน้อยที่มีแววตาคุ้นเคยเข้ามาประคองเธอเสียก่อน
“ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีคันข้างๆ เขาชนผมมาอีกที” หนุ่มในชุดแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารและสินค้าอื่นๆ รีบยกมือไหว้ขอโทษเป็นการใหญ่ เธอมองไปยังรถเข็นคันดังกล่าวที่ถูกสมอ้าง เห็นเด็กราวประถมต้นเป็นคนเข็นแล้วก็พอจะเข้าใจ
“ไม่เป็นไร” ทยาดาเอ่ย คลายความหัวเสียลงไปบ้าง
“เจ็บไหมครับ ผมขอโทษจริงๆ”
“ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบใจนะ” ทยาดาบอกปัดก่อนจะทรุดลงเก็บของที่เลือกไว้ใส่ตะกร้า หลังจากที่โดนชนซะเสียหลักจนข้าวของในตะกร้าบางส่วนกระเด็นออกมาโดยมีพนักงานหนุ่มเป็นคนช่วย มือขาวๆ คว้าเอามือเธอเข้าในตอนที่กำลังหยิบของโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาเรียวเล็กเบิกโพลงตกใจจะชักมือกลับ แต่มือนั้นเผลอรั้งไว้ นัยน์ตาคมสีดำขลับมองเธออย่างมีนัย จนเธอต้องกระแอมสองสามทีกว่ามือจะเป็นอิสระ
พอชายหนุ่มรู้สึกตัวจึงปล่อยมือแต่สายตายังมองหวานเชื่อม เวลาปกติเธอคงรู้สึกว่าน่ารักดีสำหรับลักยิ้มเล็กๆ บนแก้มนั้น แต่พอรีบๆ อะไรรอบตัวที่ทำให้เสียเวลาก็มักจะดูเกะกะขึ้นมาทันที
“น้องคะ ช่วยหยิบของชิ้นนั้นให้พี่ทีค่ะ พี่รีบ” หญิงสาวชี้นิ้วไปยังห่อผ้าอนามัยสีหวานที่ตกอยู่ข้างตัวหนุ่มคนนั้น แต่จู่ๆ กลับมีใครไม่รู้หยิบมันขึ้นมาพร้อมตบบ่าผู้ชายตรงหน้าเป็นเชิงล้อเลียน
“เฮ้ย เดี๋ยวนี้รับจ้างซื้อผ้าอนามัยให้สาวด้วยเหรอวะ” ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีขาวพับปลายแขนขึ้นมาอย่างลวกๆ ไม่เป็นระเบียบหยิบห่อผ้าอนามัยขึ้นมาพินิจพิจารณา
น้ำเสียงแซวอย่างเป็นกันเองกับหนุ่มชุดยูนิฟอร์มนั่นไม่ได้ทำให้ทยาดารู้สึกขบขันไปด้วยเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหน้าขึ้นสีก่อนจะลุกขึ้นไปแย่งออกมาจากมือชายปริศนาสำหรับเธอทันที ดวงตาเรียวเล็กมองหรี่ลงเป็นเชิงตำหนิ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บุคคลผู้ไร้มารยาทตั้งแต่แรกเจอรู้สึกสลดแต่อย่างใด
“แฟนแกเหรอไอ้วัน สวยนะรอบนี้ ตาถึงว่ะ” ร่างสูงไม่แพ้หนุ่มชุดยูนิฟอร์ม อีกทั้งใบหน้ายังละม้ายคล้ายคลึงกันยืนกระซิบกระซาบให้รู้กันสองคน แต่ทยาดาเองได้ยินเต็มสองรูหูประหนึ่งว่าเขาไม่ได้กระซิบอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะคะที่ชมว่าสวย แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเพื่อนคุณ” ร่างบางบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะหยิบตะกร้าเดินออกห่างจากทั้งสองคนทั้งที่หงุดหงิดจนอยากจะฟาดงวงฟาดงามันเสียตรงนั้น แต่เธอไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
“พี่ เห็นไหม เขาหนีไปเลย”
“เออ เห็น” กวินตอบน้องชายหน้าตาเฉย
“เห็นจับมือจ้องตากันอยู่ก็นึกว่าแฟน ใครจะไปรู้ล่ะวะ” กวินเกาศีรษะพลางกอดคอตะวัน น้องชายแท้ๆ ที่ชอบแอบมารับจ็อบหลังเลิกเรียนทั้งๆ ที่เขาก็บอกแล้วว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องเงินที่ตะวันต้องใช้กินอยู่ในมหาวิทยาลัยให้ทั้งหมด ถึงแม้เขาเองจะไปอยู่ถึงเมืองนอกก็ยังรับผิดชอบให้
“แต่สวยนะ สเป็ก” กวินบอกน้องชายด้วยสายตาที่เหม่อมองตามร่างเพรียวนั้นไป ตะวันได้ยินดังนั้นก็หันขวับร้องห้ามเสียงหลง
“เฮ้ย! ผมเจอก่อนนะ ตั้งแต่ลานจอดรถแล้ว นี่พรหมลิขิตของผม”
กวินหันกลับมามองน้องชายด้วยสายตาประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็หัวเราะออกมา เล่นเอาตะวันหน้าแดงซ่านที่พี่ชายยังมองว่าเขาเป็นเด็กชายตะวันตัวจ้อยอยู่เหมือนเดิม
“พี่นี่มันนอกจากจะปากร้าย ปากจังหวะนรก แล้วยังชอบกันซีนอีก ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย”
“ท่าทางพรหมลิขิตแกจะมีคนจองแล้วหรือเปล่าวะ เห็นเดินตามกันต้อยๆ” ไม่บอกเปล่า ยังชี้ไปที่หญิงสาวที่ยังคงต่อแถวรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง
ตะวันมองตามปลายนิ้วพี่ชายแล้วก็ได้แต่หันกลับมองหน้าคนเป็นพี่นิ่งๆ ผิวหน้าที่ขาวอยู่แล้วของตะวันกลับขาวจนซีดอย่างเห็นได้ชัด เพราะแถวที่สาวคนนั้นต่อมีแต่ผู้หญิง ไม่มีผู้ชายเลยสักคน
“พี่…อีกแล้วเหรอวะ” เสียงสั่นเล็กน้อยของตะวันสะกิดให้กวินเอะใจ ทันทีที่กวินได้ยินคำถามนั้น ชายหนุ่มถึงกับต้องหันไปมองอีกรอบ
“ชัดเลย…”
กวินพูดโดยไม่ได้ละสายตาไปจากร่างเพรียวระหงนั้นเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่ไม่ใช่คนก็ยังตามต้อยๆ ไม่ไปไหนราวกับเป็นเงาของผู้หญิงคนนั้น
สิบกว่าปีที่แล้วเขาเคยเห็นอะไร ทุกวันนี้ก็ยังเห็นเหมือนเดิม
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขามองเห็นร่างของคนที่ตายไปแล้วได้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเริ่มมาจากเพื่อนสมัยมัธยมของเขาในตอนที่อยู่ออสเตรเลีย เพื่อนคนนั้นประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งหนักสุดคือโดนรถชนอาการปางตาย กวินไปถึงร่างเพื่อนได้ก่อนที่รถพยาบาลจะมา พอได้จับมือประคองเพื่อนเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้น ดันต้องมาเจอร่างสาวผมบลอนด์ในชุดคลุมท้องสีขาว ทว่าหน้าท้องนั้นเต็มไปด้วยเลือด ไหลเปรอะเปื้อนลงขา ยิ่งไปกว่านั้นคือมีดที่ปักคาอยู่กลางท้องโต
พอเห็นแค่นั้นเขาก็สลบไปคืนหนึ่งเต็มๆ นอนอยู่โรงพยาบาลเดียวกันกับเพื่อนเพราะโดนรถพยาบาลเก็บไปพร้อมกัน
หลังจากวันนั้นกวินลืมเสียสนิทไปแล้วว่าเคยเห็นอะไร และเมื่อเพื่อนอาการดีขึ้น ระหว่างตอนที่แตะมือให้กำลังใจหลังออกจากโรงพยาบาลนั่นเอง เขาถึงเห็นภาพทั้งหมดผุดขึ้นมาพร้อมกับร่างของสาวผมบลอนด์ที่ปรากฏตัวอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าเพื่อนเขาทำเด็กสาวข้างบ้านท้อง และเด็กคนนั้นเลือกฆ่าเด็กในท้องจนตัวตายไปด้วยเพียงเพราะพอบอกเพื่อนเขาแล้วไอ้เจ้าบ้านั่นดันย้ายบ้านหนีทันที
ทั้งหมดนี้แค่เพราะเขาแตะมือเพื่อนไป จึงได้ไต่สวนจนมันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเอง ส่วนทำไมถึงเป็นเขาที่เห็น เหตุนี้กวินก็อยากรู้เหมือนกัน
ชายหนุ่มจึงเก็บงำความลับนี้ไว้ตลอด กระทั่งถึงวันที่ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากบอกกับทุกคนในครอบครัวออกไป แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นช่างตลกสิ้นดี คนอย่างเขาควรจะต้องมาเชื่ออะไรเช่นนี้งั้นหรือ ฉะนั้นกวินจึงเลือกปล่อยให้เป็นไปตามมีตามเกิด เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็แล้วไป แต่เผอิญว่าเป็นหญิงสาวที่ถูกชะตา การเห็นแล้วไม่เข้าไปช่วยก็คงจะผิดวิสัยของเขาไปเสียหน่อย
ร่างสูงวิ่งตรงมายังลานจอดรถหลังจากเห็นหลังไวๆ ของสาวเป้าหมาย กวินหันรีหันขวางจนเจอว่าเธอยังคงเก็บของเข้ารถอยู่ เขาจึงรีบตรงปรี่เข้าไปแตะข้อมือบางทันทีราวกับว่าไม่ได้จงใจมากนัก
“มา ผมช่วย”
กวินเดินผ่านร่างที่ตามเป็นเงาไปอย่างไม่ใส่ใจ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ไม่ใช่คนนั้นกำลังมองอย่างไม่สบอารมณ์ก็ตาม
ทันทีที่แตะลงไปบนมือของหญิงสาว กวินมองเห็นภาพชายหาดอยู่ตรงหน้าและขบวนรถบัสพนักงาน แต่ยังไม่ทันได้เห็นอะไรไปมากกว่านั้นก็ถูกสาวเจ้าสะบัดมือทิ้งอย่างแรง
“อะไรของพวกคุณเนี่ย” ทยาดาตกใจตะโกนดังลั่นลานจอดรถ เป็นเหตุให้กวินต้องรีบยกนิ้วจุปากให้เธอเงียบเสียงลง
“ผมแค่จะมาขอโทษเรื่องเมื่อกี้ มา ผมช่วยเก็บของให้” ไม่พูดเปล่า กวินยังพยายามแย่งของออกจากมือหญิงสาวด้วย แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการหาทางจับมือเธอเสียมากกว่า
ทยาดาเลยตวัดมือฟาดเขาไปเต็มแรง
“ไม่ต้องเลย อะไรกัน โรคจิตเหรอ หน้าตาก็ดี นี่เป็นแก๊งลวนลามผู้หญิงตามลานจอดรถใช่ไหม ทำกันเป็นขบวนการเลยนะ” ทยาดารีบเปิดประตูรถเตรียมกดแตรดังๆ ให้สนั่นลานจอดรถพลางมองหาคนช่วย แต่ก็ถูกร่างสูงยืนขวางประตูไว้ก่อน กวินอยากจะเขกกะโหลกตัวเองนักที่ดันบุ่มบ่าม แต่ยังพยายามเดินเข้าหาอย่างประนีประนอม
“คืองี้คุณ ผมกับน้องจะมาขอโทษจริงๆ คุณดูหน้าผมนะ หน้าตาไม่มีพิษมีภัยหรอก ออกจะดีซะขนาดนี้อย่างที่คุณบอกน่ะ”
ทยาดาทำตาโตพร้อมเบะปากอัตโนมัติให้กับคำพูดเข้าข้างตัวเองขั้นสุดของคนตรงหน้า
“นะๆ ดีกัน ผมขอโทษนะคุณ ผมมันปากไวไปเอง” กวินยื่นมือออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ ในใจกังวลว่าเธอจะจับหรือเธอจะตบกันแน่
ทยาดาหลุบตามองต่ำลงไปที่มือหนานั่น ก่อนจะล้วงลงไปควานเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าโดยที่ไม่ละสายตาไปจากคนทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย
“ช่วยด้วยค่ะ ดิฉันถูกชายแปลกหน้าสองคนรุมล้อมเอาไว้ พิกัดสุดท้ายของฉันอยู่ที่ลานจอดรถชั้นสามพี ล็อกเอ ทะเบียนเลขที่…”
ทยาดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ที่ขึ้นเบอร์ฉุกเฉิน กวินเหลือบเห็นเข้าจึงกระโจนเข้าคว้าโทรศัพท์มากดตัดสายทิ้งทันที ทั้งกวินและตะวันมีแววตาตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด และเป็นกวินที่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้างอย่างยอมจำนน
“พวกผมมาดีนะคุณ ก็คุณมีผีตามอยู่ข้างๆ ตัวเนี่ย รู้หรือเปล่า” ร่างสูงบอกออกไปอย่างลนลานเล็กน้อย เพราะปกติเขาก็ไม่เคยต้องทำอะไรอย่างนี้มาก่อน บางคนเผลอมองแต่หน้าเขาโดยไม่ได้สนใจว่าเขากำลังทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างเลยเป็นเรื่องง่ายมาโดยตลอด
ผิดกับคนนี้
ทยาดาอึ้งไปพักใหญ่กับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหัวเราะแกนๆ
“ผีงั้นเหรอ ไม่มีมุกอะไรดีกว่านี้แล้วใช่ไหม” พูดพร้อมส่งสายตาเหยียดคนตรงหน้าเต็มที่
“พี่ผมพูดเรื่องจริงนะครับ มีบางอย่างตามคุณอยู่จริงๆ” ตะวันที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหลบดวงตาเรียวเล็กที่ตวัดมองอย่างคาดโทษ
“น้องคะ ถ้าน้องสนใจจะจีบพี่หรืออะไรก็แล้วแต่มาคุยกันดีๆ ค่ะ ไม่ใช่พากันมาหลอกแต๊ะอั๋งชาวบ้าน ถึงจะหน้าตาดีแต่พี่ก็ไม่ฟินนะคะ พี่ไม่ได้บ้าผู้ชายหล่อเข้าเส้น”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นคุณ ผมเห็นจริงๆ เขายืนอยู่ตรงนี้ ผมต้องจับมือคุณถึงจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงต้องมาตามคุณ” กวินชี้ไปยังที่ว่างข้างเธอ ใจจริงเขาอยากจะบอกด้วยซ้ำว่าไอ้ผีนั่นมันเข้าไปนั่งรอในรถแล้วหลังจากที่เขาชี้
แถมยังทำหน้าทำตาเหมือนว่าเมื่อไหร่จะเถียงกันเสร็จเสียทีอีกด้วย
“เอาอย่างนี้ งั้นผมจะจีบคุณได้ไหม เมื่อกี้คุณพูดเองนะว่าให้คุยกันดีๆ ผมเข้าประเด็นเลยแล้วกันว่าคุณน่ะสเป็กผม” กวินรีบเสนอตัวทันที มีโอกาสแล้วก็ต้องคว้าไว้ ถึงแม้เขาจะเป็นไอ้พี่ชายจังหวะนรกตามที่ตะวันว่าอยู่เป็นประจำก็ตาม
หญิงสาวมองแล้วถอนหายใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอโดนจีบซึ่งๆ หน้า แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกชายแปลกหน้าที่ดูดี แต่สติไม่สมประกอบดีมาจีบเธอด้วยเรื่องผีๆ นับว่าแปลกที่สุดที่เคยเจอในชีวิตเลยก็ว่าได้
“ฉันรู้ว่าฉันสวย” ทยาดาเดินกลับไปปิดกระโปรงหลังรถหลังจากเก็บของไปหมดแล้ว แต่เรียกว่าโยนน่าจะเข้าท่ากว่าเพราะเธอไม่อาจละสายตาไปจากชายแปลกหน้าสองคนนี้ได้ ถึงแม้หนุ่มน้อยอีกคนเธอจะจำแววตาได้ว่าเป็นพลเมืองดีที่ทำให้ตัวเองได้จอดรถตรงนี้ก็ตาม
กวินพยักหน้ารับกับคำพูดของเธอ พร้อมชี้นิ้วหลิ่วตาให้เป็นเชิงเห็นด้วย ยิ่งทำให้ทยาดาชักฉุน
“แต่ไปหลอกเด็กข้างบ้านนะ ไอ้โรคจิต!”
ร่างเพรียวผลุบเข้าไปนั่งในรถอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มก้าวมายื่นมือให้นั้นรีบพาตัวเองเข้าไปแล้วปิดประตูกระแทกใส่หน้าร่างสูงอย่างจัง ซึ่งเธอจะเปลี่ยนใจเปิดประตูไปกระแทกหน้าเขาเข้าจริงๆ ก็ย่อมได้ ส่งผลให้กวินที่ไม่ทันระวังรีบกระโดดออกห่างเมื่อเห็นว่าหญิงสาวสตาร์ตรถแล้วทำท่าจะเดินหน้ามาชนเขาที่ยืนอยู่ ตะวันจึงต้องรีบลากพี่ชายออกมาพร้อมสำรวจว่ากวินยังคงปลอดภัยครบสามสิบสองดีหรือไม่
ชายหนุ่มมองหน้าน้องชายด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนปิดประตูกระแทกใส่หน้าอย่างไม่ไยดีขนาดนี้มาก่อน ตอนกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทย แทบไม่ต้องทำอะไรสาวๆ ก็ตามห้อมล้อมแถมเปิดประตูรอด้วยซ้ำ จะว่าคนอย่างเขามีสิทธิ์เลือกอย่างเสรีก็ว่าได้
“ความหล่อของฉันมันไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วเหรอวะ” กวินพึมพำกับน้องชายพลางชี้ไปยังรถยนต์ที่เพิ่งเคลื่อนตัวออกไปโดยมีสารถีสาวตรงสเป็กที่เพิ่งด่าเขาไปหมาดๆ นั่งหัวเสียอยู่
ตะวันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ความหลงตัวเองของพี่ชายก็ไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเอาเสียเลย
เช้าวันหยุดอันแสนจะสดใสของทยาดาเริ่มต้นด้วยการล้างรถหลังจากที่เมื่อคืนวิ่งฝ่าพายุฝนมาตลอดทาง ทั้งที่เพิ่งจะเอารถเข้าคาร์แคร์ไปเมื่อกลางสัปดาห์ตอนที่เธอมีโอกาสออกไปพบลูกค้าแล้วฉวยโอกาสแวบกลับบ้านได้เร็วกว่าเวลาเลิกงานปกติ หากว่าวันนี้ล้างเองแล้วฝนตกอีก เธอจะถือตะไคร้สักสองกำมือไปปักแถวศาลพระภูมิหมู่บ้านดูสักครั้ง ถ้ายังไม่พออีกจะเหมาสักสองกิโลให้รู้แล้วรู้รอด
ที่คิดว่าน่าจะได้ผลก็เพราะเธอโสดมาจนอีกไม่กี่เดือนก็จะครบสามสิบปีบริบูรณ์แล้ว ตอนนี้แทบจะเหลือเธอคนเดียวในแชตกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ไม่สิ! แฟนยังหาไม่ได้ จะไปเอางานแต่งมาจากไหนกัน
นลินีชอบค่อนขอดว่าเธอสเป็กสูงลิ่วเสียดฟ้า เรียกว่าถ้าเจ้าชายจากบรูไนหรือมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดจากดูไบชายตามองลงมานั่นก็ยังไม่เข้าตาเธอแน่นอน
“คนนู้นหล่อดีก็ไม่เอา คุณหมอเทกแคร์ดีแกก็ยังไม่สน จนฉันคิดว่าแกจะลงเอยกับอีตาหัวหน้าฝ่ายส่งออกนั่นแล้วนะ เห็นเทียวไล้เทียวขื่อแล้วแกดูไม่ปฏิเสธน่ะ” ปลายสายบ่นอย่างรำคาญเมื่อถูกทยาดาโทรมาล้งเล้งถึงเรื่องเมื่อคืนให้ฟังแต่เช้าหลังจากล้างรถเสร็จ
“รุ่นนั้นอ่ะนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องดีลเรื่องงาน ฉันก็คงไม่คุยกับเขาหรอก” ทยาดานึกไปถึงชายรุ่นพ่อตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายส่งออกสินค้าที่เข้ามาดีลงานกับเธอแล้วก็ได้แต่ทำท่าขนลุกขนพอง
“เห็นว่าชวนไปดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ที่ชั้นดาดฟ้าเรือสำราญใจกลางเจ้าพระยา ฉันว่าทั้งลำคงต้องเปิดเพลงลาวดวงเดือนถึงจะเหมาะ” นลินีแซว พาเอาทยาดาหัวเราะไปด้วยเมื่อนึกถึงสภาพถ้าเธอยอมไปดินเนอร์เพื่อให้ได้โปรเจ็กต์ใหญ่นั้นมา ผีปู่ย่าตายายได้บีบคอเธอตายแน่
ระดับหัวหน้าเซลส์อย่างทยาดาไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปแลกเพื่อให้ได้งาน แค่ใช้ฝีปากให้เป็นประโยชน์เธอก็ขายของได้สบายๆ อยู่แล้ว ยิ่งมาเจอความชีกอไม่เลือกรุ่นของชายรุ่นพ่อของพ่ออีกทีแล้วด้วย เธอยิ่งอยากปิดดีลให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องพบเจอกันอีก คราวหน้าก็แค่ส่งใครสักคนในทีมไปติดตามผลงานก็เพียงพอ
“มีแฟนสักทีเถอะแก จะได้มีคนช่วยดูแลพะยูนกับโลมาไง” นลินีแนะนำเป็นรอบที่ล้าน และทยาดาเองก็หน่ายที่จะฟังเป็นรอบที่ล้านเช่นกัน
“ฉันบอกแล้วว่าถ้าคู่กันจริงๆ เดี๋ยวก็เจอ ขี้เกียจหา หาเงินกับหาข้าวให้แมวกินก็พอแล้ว อีกอย่างฉันตัวคนเดียวมาเป็นสิบๆ ปี อยู่คนเดียวได้สบายมาก”
ตั้งแต่พ่อแม่แยกทางกันตอนเธอเริ่มเข้ามัธยมปลาย ทยาดาก็ขอปลีกตัวออกจากทั้งสองท่านมาใช้ชีวิตคนเดียวในกรุงเทพฯ ด้วยเงินเก็บก้อนหนึ่งที่ได้มาจากการทำอาหารเช้าง่ายๆ อย่างแซนด์วิชขายเพื่อนๆ หน้าโรงเรียนก่อนเข้าเรียน และเอาเงินไปต่อยอดตั้งแผงขายหมูปิ้งที่ตลาดนัดทุกเย็น ขึ้นมหาวิทยาลัยก็รับจ็อบเป็นเซลส์ขายรถอิสระ ได้เงินมาต่อทุนการศึกษา จนกระทั่งความฉลาดนำพาให้คว้าทุนได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลียมาหนึ่งปี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเธอคนเดียว เพราะพ่อแม่ต่างก็ไปมีชีวิตใหม่
ชีวิตที่ไม่มีเธอเป็นคนในครอบครัวไปนานแล้ว…
ภาพที่เห็นทุกวันทั้งตอนตื่นนอนและหลังเลิกเรียนคือภาพพ่อแม่ทะเลาะกันและหายออกจากบ้านไปคราวละสามสี่วันสลับกันไป ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอด จนตอนนี้การอยู่คนเดียวไม่ใช่ปัญหาอะไรในชีวิตเธอเลยสักนิด ทุกวันนี้ไม่เคยกลับไปในจุดนั้นอีก ในเมื่อไม่มีใครสนใจว่าเธอเป็นลูกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาโหยหาความรัก
“เปลี่ยนเรื่องเถอะ ฉันว่าฝนมันจะมาอีกแล้วแน่ๆ เลย ตั้งเค้ามาตั้งแต่ดาวอังคาร เป็นอย่างนี้ทุกทีที่ฉันล้างรถ เทวดาเป็นคนตลกนะเนี่ย” ทยาดาบ่นกระปอดกระแปด
“ว่าจะชวนออกมากินข้าว ถ้ามันตั้งเค้ามาแล้วก็แยกย้ายจ้า” นลินีเอ่ยปาก
“ตามสบาย ฉันสั่งเอาแล้วกัน ไม่อยากเอารถออกไปให้เปียก” ทยาดาตัดใจ ในเมื่อซื้อของจากห้างสรรพสินค้ามาแล้วก็ป่วยการที่จะต้องเสี่ยงดวงกับฟ้าฝน แต่ความขี้เกียจจากการล้างรถทั้งคันก็ทำให้เธอเลือกพึ่งพาความสะดวกสบายอย่างแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารให้มาส่งถึงบ้านแทน
“ไปให้หน่อย ไม่ไหวแล้ว” ตะวันร้องครวญครางเมื่อเห็นออเดอร์ร้านอาหารปรากฏขึ้นที่โทรศัพท์ซึ่งบ่งบอกว่ามีคนสั่งอาหารในละแวกนี้ ปกติแล้วจะต้องรีบกุลีกุจอออกไปต่อแถวซื้อแล้วไปส่งให้ แต่ว่าพายุฝนกระหน่ำเมื่อคืนทำเอาตะวันนอนแบ็บติดเตียงอยู่ที่คอนโดฯ โดยมีกวินยืนด่ากำกับไม่ห่างไปไหนไกล
“ก็บอกแล้วว่าให้เลิกทำ เดี๋ยวฉันส่งเงินให้ พูดไม่รู้เรื่อง” พี่ชายตัวโตในชุดเสื้อยืดสีขาวเน่าๆ กับกางเกงบอลตัวโคร่งของตะวันยืนเท้าเอวบ่นไม่เลิกรา
“ไม่ไปโว้ย” ร่างสูงทรุดตัวนั่งบนโซฟา ก่อนจะโยนผ้าขนหนูเปียกที่เตรียมไว้ให้เช็ดตัวใส่หน้าน้องชาย
“กดรับงานแล้ว ไปให้หน่อย” ตะวันที่ตัวสูงไม่แพ้กวินแม้จะอายุห่างกันสิบปีนอนร้องโอดโอยขอความเห็นใจจากพี่ชายแท้ๆ ให้แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้
กวินทำลอยหน้าลอยตาเล่นเกมในโทรศัพท์ต่อไม่สนใจต่อน้ำเสียงอ้อนวอนของน้อง จนเสียงของตะวันเงียบไปเพราะพิษไข้ เขาถึงได้ลุกขึ้นมาดูโทรศัพท์ของน้องที่บอกว่าออเดอร์เข้ามาได้สักพัก ถ้าไม่ไปตามที่รับงานไว้จะโดนหักเงิน
“แล้วมันต้องทำยังไงวะ” ชายหนุ่มเอามือเขี่ยๆ ให้น้องชายตัวดีตื่น แต่ก็ไม่เป็นผล
“บังอาจใช้กรรมการบริษัทให้ไปวิ่งส่งของ ไอ้นี่…มันน่าบีบคอให้ตายนัก” กวินบ่น แต่อีกมือก็กำลังกดดูวิธีการทำงานไปพลางๆ ก่อนจะลุกไปหยิบเสื้อทำงานของตะวันมาใส่
ร่างสูงอยากจะส่งข้อความไปสรรเสริญคนสั่งอาหารก็ตอนที่เขาต้องมายืนต่อแถวรอหน้าร้านอาหารเจ้าเด็ดเจ้าดังที่รีวิวแน่นไม่แพ้คนซื้อซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรมในการรอคิวเหมือนกัน จะแอบไปซื้อร้านอื่นมาให้ก็กลัวรสจะเพี้ยนแล้วดันรู้ขึ้นมาอีก
หลังจากได้มาก็ต้องดูแผนที่บ้านปลายทางอีกว่าที่ไหน แต่พอเห็นแล้วก็ต้องร้องอ๋อเพราะโครงการหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลกับร้านเท่าใดนัก ทำให้กวินอดค่อนขอดไม่ได้
“แล้วทำไมไม่ออกมาซื้อเองวะ” ได้แต่บ่นตามลำพัง สุดท้ายเขาก็ต้องทำแทนน้องชายอยู่ดี
ทันทีที่เลี้ยวมอเตอร์ไซค์ของตะวันเข้ามาถึงหน้าบ้านที่เป็นจุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มเองก็นึกแปลกใจที่รถในบ้านค่อนข้างสะดุดตาเขาเลยทีเดียว
มือหนากดกริ่งเรียกโดยไม่รู้ว่าต้องโทรศัพท์แจ้งผู้ซื้อก่อนว่าได้ของแล้ว นั่นเพราะชายหนุ่มอ่านวิธีใช้งานจากในหน้าเว็บอย่างลวกๆ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนักด้วยเสียงแจ้งเตือนว่ากำลังจะถึงเวลาต้องออกไปรับออเดอร์ได้แล้ว ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนรับแล้วก็ตะลึงหนัก
แต่คนรับนั้นตะลึงยิ่งกว่าเขาอีก
“บอกฉันทีว่าไม่ใช่” ทยาดาที่เปิดประตูรอเกิดอาการนิ่งงัน พึมพำราวกับว่าตัวเธอเองแค่เพ้อไป
กวินก็เช่นกันที่นิ่ง แต่แล้วเขาก็ยิ้มหน้าบาน ซึ่งท่าทางแบบนั้นดึงทยาดาให้หลุดจากภวังค์ พลันแววตาก็แปรเปลี่ยนจากความดีใจที่ได้ของเป็นสายตาขุ่นเขียวแทน ที่ได้เห็นคนไม่พึงประสงค์จะเจอยืนยิ้มแป้นแล้นรออยู่
“ใช่คุณ ผมเอง” ทันทีที่เขาตอบ ทยาดาก็แทบจะปิดประตูไปพร้อมๆ กัน ดีที่ชายหนุ่มเอามือยันบานประตูไว้ได้ แต่ทยาดาเองก็ไม่ยอมแพ้
“รับของก่อนสิคุณ ผมมาแทนน้อง เดี๋ยวมันไม่ได้เงิน” หญิงสาวที่กำลังยื้อยุดประตูบ้านจำต้องหยุดมารับของตามที่เขาบอก เธอเองเห็นกรณีคนขับรถส่งอาหารแล้วปลายทางไม่รับหรือไม่มีตัวตนอยู่จริงจนต้องรับผิดชอบค่าอาหารทั้งหมดมานักต่อนัก ทำให้ต้องรับอย่างเสียไม่ได้
“เพราะหิวหรอกนะ อ้อ! แล้วทำไมมาช้าขนาดนี้ ไม่แจ้งด้วยว่าถึงไหนแล้ว คงต้องคอมเพลนบริษัทสักรอบ” ทยาดายื่นมือไปรับของพลางขู่ไปอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกันกับกวินที่มัวแต่กดโทรศัพท์ว่าเสร็จงานเรียบร้อย ทั้งสองจึงแตะมือกันโดยไม่รู้ตัว
ภาพรถบัสที่กำลังวิ่งเลียบชายหาดกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับร่างเลือนรางของผู้ชายคนเดิมที่เขาเห็นเมื่อวานโผล่อยู่ข้างรั้วบ้าน
เป็นกวินเองที่ตกใจรีบสะบัดมือออกจนถุงอาหารเกือบร่วง ยิ่งทำให้ทยาดาไม่พอใจเข้าไปใหญ่
“เอ้า! คนยังไม่ทันรับจะรีบปล่อยทำไม ถ้ามันร่วงจะให้ไปซื้อใหม่” ทยาดาว่าเสียงดุจริงจัง
หลังจากตั้งสติได้เขาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แม้จะเจอแบบนี้เป็นประจำแต่ก็มีเผลอตกใจบ้างในเวลาที่ไม่ได้ตั้งตัว
“กดรับอาหารให้ผมด้วย” เขายื่นโทรศัพท์ให้ดู ซึ่งปกติแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องกดรับจากโทรศัพท์ของคนขับ เพราะฝ่ายผู้รับสามารถกดได้จากโทรศัพท์ของตนเอง แต่มือใหม่หมาดๆ อย่างกวินก็ทำลงไปด้วยความไม่รู้ หนำซ้ำหญิงสาวกลับเอื้อมมือมารับอีก และเมื่อเธอส่งกลับมา กวินก็คว้าหมับเข้าทันทีที่มือนุ่มทำเป็นเนียนว่าจะรับโทรศัพท์คืน
รถบัสสองชั้นดูโอ่อ่ากำลังวิ่งเลียบหาด ภายในมีพนักงานในชุดฟอร์มบริษัทนั่งกันเต็มคันรถ ก่อนจะเลี้ยวเข้ารีสอร์ตที่มีป้ายต้อนรับพนักงานขึงไว้หน้าทางเข้า และรถบัสไม่ได้มีคันเดียว
“นี่! เมื่อคืนยังโดนด่าไม่พออีกเหรอ หรืออยากจะให้ด่าอีก” เสียงทยาดาดังแหลมขึ้น กวินเองก็หลุดออกจากภาพนิมิตนั้นมาเห็นหญิงสาวจ้องเขาตาเขียวปั้ดพร้อมกับการชักมือนุ่มหลบไปด้านหลัง
“ส่งเสร็จก็ไปได้แล้ว” เธอไล่
“เดี๋ยวก่อนคุณ” กวินที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นส่งเสียงเรียกหลังจากทยาดาปิดรั้วไปแล้ว
สภาพเขาตอนนี้คือการเกาะประตูรั้วด้วยสายตาออดอ้อนปนอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับส่งเสียงเรียกคุณๆ จนเจ้าของบ้านอย่างทยาดาต้องกลั้นใจหันกลับมามองด้วยความระอา เจอชายหนุ่มชี้ไปที่ข้างประตูแล้วก็ได้แต่มองตาม
“เขาอยู่ตรงนี้” กวินป้องปากบอกราวกับไม่อยากให้เพื่อนบ้านได้ยิน
หญิงสาวทำหน้าเต็มไปด้วยคำถาม ก่อนจะถอนหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“ไปเล่นกับน้องที่บ้านนะ” ทยาดายักไหล่เดินฉับๆ เข้าบ้าน ไม่หันกลับมาสนใจเขาอีก
กวินหันไปมองหน้าวิญญาณที่ยืนหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยความขัดใจ
“ยากหน่อยนะ คนไม่ให้ความร่วมมือ ไว้คราวหลัง” เขาบ่นลอยๆ แต่ทยาดาหันกลับมาได้ยินพอดี
“อ้อ! แล้วนี่ไม่ต้องคิดจะมาอีกนะ มาอีกเมื่อไหร่ฉันแจ้งตำรวจแน่ ก่อกวนและคุกคามน่ะ เข้าใจไหม ถ้าเห็นคนขับชื่อนี้รับงานเมื่อไหร่ แม่จะกดแคนเซิลทันทีเลย” เธอว่าเขา “แล้วก็มุกผีตามบ้าบออะไรนั่นอีก เอาไว้ไปหลอกเด็กนะ เผลอๆ เด็กมันยังไม่กลัวเลยด้วยซ้ำ คงมองว่าตาลุงนี่เป็นโรคประสาท”
ทยาดาร่ายยาวจนกวินอึ้งแล้วอึ้งอีก
“โอ้โห สวยอย่างเดียวไม่ได้เหรอคุณ ทำไมต้องตีฝีปากขนาดนี้ด้วยเนี่ย” เขาพูดออกมาบ้างหลังจากที่ยืนนิ่งให้โดนว่าตั้งนานสองนาน
“จ้ะ ฉันรู้ว่าฉันสวย ขอบคุณ ไปไหนก็ไปได้แล้ว” พูดจบร่างเพรียวก็พาตัวเองเดินหายเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก กวินทำเสียงในลำคอเชิงไม่พอใจ
“เดี๋ยวได้เจอกันแน่ ปากจัดๆ อย่างนี้ล่ะชอบนัก จะสวนกลับให้หนักเลยคอยดู”
ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะชี้นิ้วเหมือนสั่งกับวิญญาณที่ยังยืนอยู่ให้คอยจับตาดูคนในบ้าน ซึ่งวิญญาณตนนั้นก็พยักหน้าตอบรับตามเขาไปเสียด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.