บทที่ 2 ฉันรู้ว่าฉันซวย
บอร์ดแจ้งข่าวสำหรับพนักงานที่ชั้นล่างสุดของบริษัทถือเป็นประเด็นร้อนในการทำงานวันแรกของสัปดาห์ด้วยใบหน้าคนโกงที่แปะหราอยู่เต็มพื้นที่ อันประกอบไปด้วยกรรมการกิตติมศักดิ์ของบริษัท เลขานุการ หัวหน้าฝ่ายนำเข้าอุปกรณ์ และพนักงานฝ่ายขายสาขาภาคอีสาน พร้อมประวัติการโกงร่ายยาวเรียงต่อๆ กัน สร้างประเด็นฉาวในกลุ่มช่างเม้าท์ได้ดีเลยทีเดียว เรียกว่าวันนี้แทบจะไม่ต้องฟังอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงซุบซิบยิบย่อยที่วิเคราะห์เหตุการณ์เป็นขั้นเป็นตอนราวกับเป็นผู้ร่วมขบวนการไปด้วยกัน
ระบบสั่นแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นแชตกระเทือนอยู่ตลอดเวลา บ่งบอกให้รู้ว่าห้องแชตของสามสาวกำลังสนทนากันอย่างออกรสชาติแน่นอน
‘ตามคำให้การบอกว่ากรรมการเป็นคนต้นคิดและบงการให้เลขาฯ กับฝ่ายนำเข้าเป็นคนปลอมแปลงราคาสินค้า’
นลินีพิมพ์ส่งข่าวไปในแอพพลิเคชั่นแชตกรุ๊ปที่มีทั้งสามสาวอยู่ด้วยกันตามที่โดนเรียกไปร่วมฟังคำให้การเมื่อสุดสัปดาห์
‘แล้วก็ไปเสนอฝ่ายบัญชีว่าต้นทุนวัตถุดิบจากทางต่างประเทศราคาสูงขึ้น เลยต้องเบิกเงินเพิ่ม’
‘ร้ายกาจมาก’
นิสราพิมพ์ตอบพร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูปตัวการ์ตูนกำลังโดนตี
‘กรรมการสารภาพว่าที่ทำเพราะกรรมการกับเลขาฯ เอาเงินไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เสนอบัญชีว่าต้นทุนเพิ่มไม่พอ ยังไปบังคับให้ฝ่ายขายโก่งราคาลูกค้านอกเหนือจากใบเรียกเก็บเงินโดยอ้างว่าเพื่อลดภาษีให้ลูกค้า’
นลินีเล่าต่อ
‘อ้อ โอนเข้าบัญชีตัวเองแล้วบอกว่าเนี่ย…เลี่ยงภาษีให้แล้ว อย่างนั้นสินะ บริษัทเราเป็นพ่อค้าคนกลางก็เลยใช้ช่องโหว่นี้กันนี่เอง เข้าใจทำ’
ทยาดาสนทนาบ้างหลังจากอ่านมาได้สักพัก
‘แต่เดี๋ยวนะ กรรมการกับเลขาฯ เอาเงินไปเที่ยวต่างประเทศ แสดงว่าสองคนนั้น…’
นิสราส่งสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนทำหน้าสงสัย
นลินีจึงส่งกลับด้วยสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนที่ยกป้ายเครื่องหมายถูกเป็นการตอบคำถามนั้น
ทยาดาที่อ่านข้อความทั้งหมดได้แต่ทำหน้าเบ้ นึกถึงภาพกรรมการกิตติมศักดิ์รุ่นราวคราวพ่อลงพุงพลุ้ยกับเลขาฯ สาวหน้าสวยตัวเล็กๆ แลดูนุ่มนิ่มบอบบางเมื่อครั้งที่ประชุมรวมทุกสาขาแล้วก็เกิดอาการกระอักกระอ่วนพิกล เธอล่ะเกลียดกรรมการคนนี้นักตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก
ก็พวกเล่นทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่เธอตลอดการประชุม จนเธออยากจะเอานิ้วจกตาให้บอดไปข้าง
‘ฝ่ายนำเข้ากับฝ่ายขายเลยโดนร่างแหไปด้วยตามระเบียบ’
นิสราว่า
‘ก็คำสั่งกรรมการนี่จ๊ะ ใครจะไปขัดได้’
นลินีสมทบ
‘ฉันจำได้ว่าตาแก่นั่นก็เคยก้อร่อก้อติกใส่แกนี่หว่าทอย’
นลินีกล่าวถึงประเด็นเมื่อครั้งก่อน ซึ่งทยาดาเองก็ได้แต่ส่งสติ๊กเกอร์พยักหน้ากลับไป
‘รอดไปว่ะเพื่อน’
ทยาดาเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ฝ่ายนั้นเปลี่ยนเป้าหมายไป
ทว่าอย่างไรก็ไม่พ้นการถูกนินทาอยู่ดี เพราะตอนที่เข้าประชุมกรรมการคนนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก คงมีคนเข้าร่วมประชุมคนไหนสักคนสังเกตเห็นและไปแพร่กระจายข่าวกันอย่างรวดเร็ว กระจายว่าเธอหว่านเสน่ห์ใส่ตาแก่นั่น!
แม้จะเป็นแค่การเข้าร่วมประชุมใหญ่แค่สองสามวัน แต่การนินทายังยาวนานอยู่เป็นเดือน บางข่าวถึงกับบอกว่าเธอไล่ตามไปถึงบ้านใหญ่ของกรรมการคนนั้นเพื่อแสดงตัวเป็นเมียน้อยอย่างออกหน้าออกตา ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ แค่แต่งหน้าแต่งตาจัดเต็มตามอารมณ์ในแต่ละวันเข้าหน่อยก็หาว่าชอบอ่อย จนต้องมาโฟกัสที่การงานและการเงินมากกว่าเสียงนินทา ไม่เช่นนั้นเธอคงเป็นบ้าและลาออกจากบริษัทไปแล้ว
‘กลางวันนี้เจอกันที่โต๊ะหน้าร้านป้าเหมือนเดิมนะ มีเรื่องเด็ดกว่านี้จะเล่า ตอนนี้งานเข้า ไม่ว่างพิมพ์แล้ว’
นลินีพิมพ์บอกทั้งสองสาว
อันที่จริงงานก็ยุ่งด้วยกันหมดทั้งสามคน แต่สกิลความไวในการพิมพ์ทั้งสามก็ไม่เป็นรองใครเหมือนกัน
หนึ่งวินาทีคุยกันได้เป็นหน้ากระดาษ…
ทยาดายังเคยแอบขำที่นิสราสารภาพว่าที่พิมพ์เก่งขนาดนี้ไม่ใช่เพราะวิชาการพิมพ์ในสมัยเรียน แต่เป็นวิชาการจีบผู้ชายสมัยโปรแกรมแชตบนโลกออนไลน์ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมไปถึงสกิลการแต่งภาพขั้นเทพของนลินีอีกคนหนึ่งด้วย
ส่วนทยาดาเองเก่งเพราะตอนเรียนล้วนๆ เนื่องจากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไม่ค่อยมีเวลามาใช้โปรแกรมแชตหาใครเหมือนคนอื่นเขา
สภาพห้องอาหารสำหรับพนักงานในวันนี้เนืองแน่นไปด้วยเหล่าพนักงานที่จับเป็นกลุ่มเยอะกว่าทุกวัน เนื่องจากเป็นช่วงใกล้สิ้นเดือน ห้องอาหารส่วนกลางแห่งนี้เลยกลายเป็นสถานที่สำคัญขึ้นมาในทันตาด้วยราคาอาหารที่ย่อมเยากว่าร้านอาหารรอบบริษัท ทยาดาไม่แปลกใจเพราะมันก็วนลูปแบบนี้เช่นทุกเดือน ในขณะที่ตัวเธอใช้บริการเป็นประจำ น้อยครั้งที่จะออกไปหาทานข้างนอกกับเพื่อน หรือไม่ก็ออกไปพบลูกค้านอกสถานที่ก็เท่านั้น
ฉะนั้นหลายๆ กลุ่มในบริษัทมักจะรู้ว่าโต๊ะหน้าร้านข้าวราดแกงจะเป็นโต๊ะประจำของเธอ นิสรา และนลินี ให้ความรู้สึกประหนึ่งสามสาวคนเด่นคนดังประจำโรงเรียนมัธยมอย่างไรอย่างนั้น
วันนี้เป็นทยาดาที่เคลียร์งานเสร็จก่อนใครจึงได้ลงมานั่งรอประจำที่ ระหว่างนั้นอีเมลส่วนตัวที่ใช้เฉพาะภายในบริษัทก็เด้งขึ้นมุมจอแท็บเลตเครื่องกะทัดรัด หญิงสาวไล่เปิดอ่านก่อนจะบันทึกนัดหมายลงปฏิทิน
‘พรุ่งนี้เวลาเก้าโมง มีประชุมใหญ่หัวหน้าแผนกทุกแผนกที่ห้องประชุมใหญ่’
“ห้องประชุมใหญ่ งั้นก็หมายถึงหัวหน้าแผนกทุกสาขาล่ะสิ” ทยาดาพึมพำ
เมื่อใดที่มีการเรียกประชุมที่ห้องใหญ่ เมื่อนั้น ‘สพล’ ก็ต้องมา บุคคลที่ทยาดามอบโล่น่ารังเกียจให้เป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้ากรรมการเฒ่ารายนั้นเข้าไปอีก
คนที่ทำให้เธอโดนนินทาไปสามบ้านแปดบ้านว่าใจง่ายไปนอนให้ท่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแค่เพราะสพลมีโอกาสติดตามเข้ามาดูสินค้าที่สำนักงานใหญ่เมื่อต้นเดือน พอมาเจอเธอที่เพิ่งกลับจากนัดพบลูกค้าเข้าก็ตามมาตื๊อจนน่ารำคาญ แม้จะปฏิเสธไปแต่ข่าวก็กลายเป็นว่าเธอเล่นตัวกลบเกลื่อนเพราะอยู่ในเขตบริษัทเลยไม่กล้าเปิดเผย บ้างก็ว่าโดนเมียหลวงตาเฒ่าคนนั้นเล่นงานจนต้องหาเป้าหมายใหม่ เลยต้องทำตัวราวกับจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำเข้าเสียหน่อยให้ดูมีราคา
ทยาดาแทบอยากจะจับคนต้นคิดกุข่าวมาตัดลิ้นทีละคน แต่ก็ยังจับไม่ได้เสียที จับได้แต่พวกลูกกระจ๊อกที่ไปฟังเขามาอีกที สาวไปไม่ถึงคนกุข่าวไม่พอ ไอ้คนที่พยายามอยากจะเป็นข่าวกับเธอก็ขยันสร้างเรื่องนัก
คำโบราณที่ว่าหมากัดอย่ากัดตอบ ทยาดาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอควรจะเริ่มกัดตอบบ้างเสียทีดีไหม
นิสรากับนลินีตามมาพร้อมกับแก้วชาไข่มุกรสโปรดของทยาดา โบกไม้โบกมือให้อีกคนที่ก้มหน้าก้มตาเลื่อนนิ้วบนแท็บเลตไม่สนใจใคร
“อัพเดตข่าวกับเขาเหมือนกันเหรอ” นิสราตบบ่าทยาดาจนเจ้าตัวสะดุ้ง
“มีอะไรให้อัพเดตอีก ก็แค่บันทึกนัดหมายการประชุมพรุ่งนี้เอง”
เพื่อนสาวชะโงกหน้าดู เห็นอย่างที่ทยาดาบอกว่ากำลังบันทึกนัดหมายจริงๆ ก็ได้แต่ทำหน้าเนือยๆ
“ตกข่าวตลอด” นิสราส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เข้าเรื่องต่อจากเมื่อตอนเช้าดีกว่า” นลินีถือจานข้าวลงนั่งพร้อมกับเปิดประเด็นของเมื่อช่วงเช้าเสียเอง
“กรรมการบริษัทยอมรับว่าตอนนี้ถังแตก แล้วก็ได้น้องเลขาฯ เป็นเมียนานแล้ว ที่ต้องทำเพราะต้องเลี้ยงดูกันต่อไป”
ทยาดายิ้มมุมปาก สิ่งที่เธอคาดเอาไว้ในใจเงียบๆ คนเดียวไม่ผิดไปเลยแม้แต่น้อย “มีน้องแล้วล่ะสิ”
นลินีพยักหน้า
“มันก็มีอยู่แค่ไม่กี่เรื่องหรอกที่คนสองคนจะรวมหัวกันทำอะไรผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสองคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แล้วทำงานกับคนพรรค์นั้นด้วยแล้ว ฉันสงสารน้องเลขาฯ คนนั้นมากกว่านะ ไม่รู้ว่าเต็มใจหรือโดนหลอก”
“อย่าเพิ่งสงสารอะไรมากเลย ฉันเองยังไม่มั่นใจว่าน้องเขาท้องกับอีตาลุงนั่นหรือกับใคร เพราะที่ยอมรับกันออกมาเหมือนน้องเขาทำท่าจะชิ่งตาลุงนั่นด้วยซ้ำไป” นลินีอธิบายถึงสีหน้าของอดีตเลขาฯ ที่ได้รู้ว่ากรรมการคนนั้นกำลังถังแตก
แต่ยังไม่ทันจะได้เล่า เสียงฮือฮาวี้ดว้ายของกลุ่มพนักงานทั้งสาวแรกสาวสองโต๊ะเยื้องๆ กันก็ดังลั่นห้องอาหารจนสามสาวอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมอง เห็นกำลังยื้อแย่งโทรศัพท์กันใหญ่ นลินีได้แต่หันกลับมากลอกตามองบนด้วยท่าทางระอา
“ไม่เปิดตัวผู้ใหม่ก็ต้องจับโป๊ะใครได้สักคนแหละน่ะกลุ่มนั้น” นลินีกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มักพบเจอได้บ่อยๆ ตามประสากลุ่มสาวแท้สาวเทียมเมื่อได้รวมทีมกัน
“ช่างเถอะ รีบกินรีบไปสิ จะได้ไม่ต้องไปทนฟัง” ทยาดาบอกผ่าน ตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารที่ปลีกตัวไปสั่งมาอย่างรวดเร็ว
พนักงานกลุ่มนั้นเป็นพนักงานบัญชีที่ทยาดาต้องติดต่อด้วยบ่อยๆ พอจะรู้นิสัยใจคอว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอสักเท่าไหร่ เลยไม่อยากจะวุ่นวายด้วยมากนักถ้าไม่จำเป็น เพราะคนกลุ่มนี้แหละที่เธอสงสัยที่สุดว่าต้นตอของข่าวลือน่าจะถูกปล่อยมาจากคนเหล่านี้ เพียงแค่ไม่มีหลักฐาน
“โอ๊ย กรี๊ดอะไรกันนักหนา หนวกหูจะแย่” นิสราบ่น ทยาดาจึงเร่งให้เพื่อนๆ ทานข้าวให้เร็วขึ้นอีก
“เออ ฉันลืมบอกแกไปว่าพรุ่งนี้ไอ้สพลมันมาด้วย ระวังเนื้อระวังตัวหน่อยนะทอย” นลินีที่เพิ่งนึกขึ้นได้รีบบอกเพื่อนสาวทันที
ทยาดารับคำ ไม่ต้องบอกเธอก็ระวังตัวจากคนนั้นจนแทบจะหาเกราะกำบังมาหุ้มไว้อยู่แล้ว คนบ้าอะไรที่แค่อยู่ใกล้ๆ ยังไม่อยากใช้ลมหายใจร่วมกัน ผู้ชายอะไรขี้ตื๊อสิ้นดี หนำซ้ำยังหน้าหนาหน้าทนจนกระเบื้องต้องยอมแพ้ ยังไม่นับความปลูกไร่สะตออีก นอกจากนั้นก็หาอะไรดีๆ จากคนที่ชื่อสพลไม่ได้เลย ยกเว้นหน้าตาที่เธอเองประเมินไว้แค่ว่าก็พอเข้าวัดได้แล้วหมาไม่หอน
“เรื่องข่าวลือไม่ทันซา รอบนี้ฉันว่ามันมาพร้อมข่าวใหม่แน่ เดาไม่ถูกว่าจะมาไม้ไหนของมันอีก สันดานแบบนั้นไปขายของจังหวัดไหนก็ได้เมียไปทั่ว ช่างใจกล้าหน้าด้านมาวุ่นวายกับแก”
“ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง เว้นเสียแต่ว่าฉันจะตบหน้ามันนั่นแหละ มีโอกาสจะเอาให้หน้าสั่น” ทยาดาพูดอย่างไม่เป็นทางการ แต่แววตาก็พร้อมเอาจริงดังคำพูด “แต่ก็ไม่อยากตบ คนแบบนั้นไปยุ่งด้วยมันจะพูดพล่อยๆ ใส่ร้ายอะไรเราก็ได้ เสียเปรียบทุกทาง”
นิสราตบมือดังอย่างถูกใจ “เนี่ย ก็บอกแล้วว่าให้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน”
“มีแล้วจะช่วยให้ฉันหายจากการโดนนินทาหรือไง” ทยาดาย้อนถาม “ถ้ามีไว้แค่นั้นไม่มีดีกว่า”
นิสรากับนลินีส่ายหน้าดิกที่ทยาดาทำตัวเป็นคนแอนตี้ความรักเสียเต็มประดา แต่ก็ไม่มีใครเคยรู้ว่าสาเหตุใด ทำไมทยาดาจึงคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นโรคเกลียดความรักเข้าไปทุกที
“เจ๊ขา ขอหนูนั่งเบียดหน่อย”
จริตอ้อนแอ้นในร่างผู้ชายตัวผอมบาง ส่วนสูงไม่หนีกันกับสามสาวเท่าใดนัก ปรี่เข้ามานั่งข้างนลินีอย่างไม่ได้รับเชิญ ตามมาด้วยเหล่าเพื่อนสาวที่มายืนมุงด้วยข้างหลัง เมื่อแม่ทัพเปิดมาแล้วก็ไม่แปลกที่จะมีลูกทัพตามกันมาเป็นโขยง
“เข้าเรื่องแล้วกันนะคะเจ๊ขา” นลินีตวัดหางตามองคนเรียกที่ใช้สรรพนามแทนตัวหล่อนว่าเจ๊ราวกับหล่อนอายุหลักสี่หลักห้าไปแล้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยตัดรำคาญ
“มีอะไรกันอีก นี่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดโวยวายจนฉันจะส่งใบตักเตือนอยู่พอดี”
ได้ยินดังนั้นพนักงานสาวไม่แท้ก็ไม่รอช้า รีบยื่นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อใหม่ล่าสุด เปิดภาพบนหน้าจอขยายให้เห็นกันชัดๆ ทั้งโต๊ะ นิสราเองก็เผลอลุกมามุงด้วยตามสัญชาตญาณ ผิดกับทยาดาที่นั่งนิ่งใช้สายตาประเมินสถานการณ์อยู่เงียบๆ
“คนนี้ใช่กรรมการคนใหม่แน่นะคะ คอนเฟิร์มให้พวกหนูทีค่ะ”
นลินีหยิบโทรศัพท์มาพิจารณาดูรูปที่ถูกแอบถ่ายจากด้านข้างไกลๆ ในห้องประชุมที่เพิ่งเข้าร่วมไปเมื่อปลายสัปดาห์ วาดนิ้วขยายดูใบหน้าให้ชัดแล้วก็ส่งโทรศัพท์คืน
“ใช่ แต่ว่าใครเป็นคนส่งภาพนี้มาให้ รู้ใช่ไหมว่ามันไม่สมควร” นลินีเอ็ด แต่กลายเป็นว่าเหล่าพนักงานทั้งกลุ่มนี้กลับวี้ดว้ายเสียอาการหนักกว่าเดิมไปอีก สร้างความฉงนให้ทั้งสามสาวที่ถูกรายล้อมไปด้วยเสียงอันน่าปวดหู
ทยาดาที่เริ่มจะรำคาญความวุ่นวายตรงหน้ารวบจานข้าวทั้งของตัวเองและเพื่อนไปเก็บยังจุดวางภาชนะใช้แล้ว กะว่าให้ทั้งกลุ่มสลายตัวไปแล้วค่อยกลับมานั่งใหม่
“รู้ค่ะ แต่แหม คนหล่อใครๆ ก็อยากเห็น แบบนี้ค่อยกระชุ่มกระชวย มีกะใจมาทำงานหน่อยเนอะ ว่าไหมพวกแก” หน่วยกล้าตายที่อุตส่าห์ถือรูปมาถามหันไปแสดงอาการดี๊ด๊ากับบรรดาเพื่อนๆ “เจ๊อ่ะ อยู่ที่นี่มาก็นาน จะมองแต่เพื่อนร่วมงานแก่ๆ โทรมลงพุงอยู่อย่างนั้นไปทำไมล่ะคะ มีคนหล่อๆ มาทั้งที อาหารตาอาหารใจจะตาย”
นลินีหยิกแขนพนักงานอ้อนแอ้นตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้แกมเข่นเขี้ยว
“ทำอย่างกับว่าบอสจะลงมาให้พวกเธอมอง บอกเลยนะว่าอีกห่างไกล เก็บรูปนี้ไว้ให้ดีๆ แล้วกัน เพราะคงเป็นรูปเดียวที่ได้เห็น” หัวหน้าแผนกบุคคลชี้นิ้วดุเรียงรายคน
“เจ๊มีโอกาสได้ประชุมร่วมบ่อยก็พูดได้สิ”
ทยาดาที่เก็บจานเสร็จแล้วกลับมาหยิบกระเป๋าเตรียมจะกลับขึ้นไปทำงาน หลังจากประเมินดูแล้วว่าคงไม่มีใครลุกไปง่ายๆ เป็นเธอที่ไปเองจะง่ายกว่า
“เอ…ว่าแต่พี่ทอยคนสวยเห็นหรือยังคะ หน้าตากรรมการคนใหม่” หนึ่งในกลุ่มพนักงานเอ่ยออกมา ร่างเพรียวที่กำลังจะเดินหนีหยุดชะงักทันที ด้วยอาการที่ถามนั้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจถาม คล้ายตั้งใจกวนเธอเสียมากกว่า
“บ้า! แกก็ไปถามพี่เขาแบบนั้น เขาก็ต้องหมายหัว เอ๊ย! เห็นแล้วป่ะ” แม่ทัพนำขบวนออกรับเป็นลูกคู่ทันที แล้วก็หัวเราะคิกคักกันในกลุ่ม
นลินีที่เห็นท่าไม่ดีเตรียมจะไล่ทั้งแก๊งออกไป
“ยังไม่เห็น” ทยาดาตอบห้วนๆ แต่ทั้งกลุ่มนั้นส่งยิ้มให้แก่กันในแบบที่ไม่มีใครเชื่อ “ฉันเห็นหรือไม่เห็นแล้วมีอะไรแปลกไปหรือไง” หญิงสาวถาม
“เปล่าค่า ปกติเห็นพี่ทอยไม่พลาด อุ๊บส์!” จบประโยคทั้งแก๊งก็พากันฮาครืนเป็นเรื่องสนุก มีแต่นิสรากับนลินีที่หน้าบอกบุญไม่รับ
“แยกย้ายๆ ไปไหนก็ไป จะได้เวลาทำงานกันอยู่แล้วยังมาจับกลุ่มเม้าท์ไม่เลิกอีก” นลินีโบกมือไล่
“แค่ถามเฉยๆ เองค่า ไม่เห็นก็จะได้เอารูปให้ดู แต่ก็นะ เดี๋ยวก็คงได้เจอกันแหละมั้งคะ เรื่องแค่นี้ไม่เกินความสามารถของพี่ทอยคนสวยแน่นอน” ร่างอ้อนแอ้นเกินสาวบิดตัวหัวเราะกับเพื่อนด้วยความน่าหมั่นไส้ไม่น้อยไปกว่าที่ทยาดาเคยเห็นๆ มา แต่ก็พยายามระงับอารมณ์ ควบคุมสติเอาไว้ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้มากความ
“ระดับหัวหน้าเขาก็ต้องได้เจอระดับหัวหน้าหรือขั้นกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วจ้ะ เพราะฉะนั้นก็จริงตรงที่ต้องใช้ความสามารถแหละนะ เพราะถ้าไม่มีความสามารถที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนได้ก็คงทำได้แค่มอง” ทยาดาเอ่ย ใช้สายตาปราดมองตั้งแต่เท้าไล่ขึ้นศีรษะคนพูดพลางทำท่าขอตัว
“มิน่าล่ะ ได้ระดับหัวหน้าหมดเลย พวกล่างๆ ไม่ชายตาแลนะจ๊ะ รู้กันไว้จ้า” หนึ่งในกลุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างล้อเลียน
ทยาดาในตอนนี้ใช้ความพยายามอย่างมาก มือบางกำแน่นแล้วค่อยๆ ผ่อนคลายสลับกันไปเพื่อเตือนสติตัวเอง
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง อย่าไปใส่ใจ กลับไปทำงานได้แล้วทอย
“เหลือคนนี้ไว้ให้มองให้ชื่นใจก่อนนะคะพี่ขา อย่าเพิ่งฮุบไปกินคนเดียว แบ่งปันน้องๆ ผู้ยากไร้ด้วย สวยแล้วต้องมีเมตตานะคะ” หนึ่งในกลุ่มเอ่ยโดยมีลูกหาบคอยรับช่วงตามกัน
“นั่นสิ พี่จะเหมาหมดไม่ได้นะคะ”
หญิงสาวแทบจะหมดความอดทน ดีที่นิสราดึงแขนเอาไว้ แต่ก็ไม่วายส่งสายตาจิกอันเป็นซิกเนเจอร์ประจำตัว
“เลิกแหย่พี่เขาได้แล้วพวกแกก็ เขาเรียกว่าสวยเลือกได้ย่ะ แต่สวยมากเลือกยากก็เหมาหมดแค่นั้นเอง” สาวไม่แท้ผู้กล้าเข้ามาร่วมโต๊ะก่อนปิดปากหัวเราะอย่างเหนียมอาย
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบแก้มสาวเทียมคนสุดท้ายที่พูดจนหน้าหัน ดวงหน้าเล็กขาวอย่างคนบำรุงผิวดีขึ้นเป็นรอยปื้นแดงเต็มแก้ม สร้างความตกตะลึงไปทั้งห้องอาหาร จากที่ฮือฮากันอยู่แค่กลุ่มเดียว ในพริบตากลับฮือฮาทั่วบริเวณและค่อยๆ ทยอยจับกลุ่มเดินมามุงดูเหตุการณ์เป็นแถว
นิสราอยากจะตีหน้าผากตัวเองที่จับทยาดาไว้ไม่ทัน
“ฉันสาธิตให้เห็นแล้วนะว่าตบมือข้างเดียวแล้วดังมันเป็นยังไง” ทยาดาหันมาบอกนลินีและนิสรา ก่อนเดินแหวกกลางวงออกไป “อ้อ แล้วแกก็เขียนใบตักเตือนมาด้วยเลยนะ เพราะฉันตั้งใจตบ”
นลินีหน้าเจื่อนเมื่อทยาดาพูดออกมาแบบนั้น หล่อนไม่อยากจะออกใบตักเตือนให้เพื่อนเลยจริงๆ พลางหันไปมองคาดโทษเหล่าไทยมุงทั้งหลาย
“มุงอะไรกัน เวลาเข้างานแล้วยังไม่ไป อยากโดนใบเตือนทั้งก๊กหรือไง ไปเลย”
“เพื่อนเจ๊ตบเพื่อนหนูแล้วก็ไล่ให้แยกย้ายกันง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ” หนึ่งในแก๊งนั้นถามขึ้นมา ทั้งยังประคองเพื่อนใจสาวที่กำลังเสียขวัญปากสั่นระริกจากความชาที่เริ่มเกิดขึ้น
นลินีหงุดหงิดจนอยากจะลากทั้งกลุ่มออกไปฟาดเรียงตัวหน้าบริษัทให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องอดใจ
“พวกเธอมายั่วเพื่อนฉันเองซึ่งๆ หน้า ถ้าให้นับความผิดดูแล้วฉันว่าไม่น่าจะเป็นการเข้าข้างใครได้นะ เห็นกันอยู่ มันดูออก” นิสราช่วยไล่ให้ทุกคนแยกย้าย รวมทั้งให้นลินีกลับไปทำงานด้วย แต่ไม่กี่อึดใจที่สลายตัวกันไป นลินีก็ส่งข้อความเข้าในกรุ๊ปแชตของสามสาว
‘กรรมการเรียกพบทุกคนในเหตุการณ์ เวลาบ่ายสามที่ห้องประชุมเล็ก’
สติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้าร้องไห้เด้งตามขึ้นมา
‘ฉันขอโทษนะทอย มันเป็นหน้าที่ เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ไม่รู้หน้าไหนกระจายข่าวไปไวมาก รู้ตัวแม่จะจับทำโพรไฟล์ส่งสำนักข่าวรอยเตอร์ไปเลย’
ทยาดามองข้อความแล้วได้แต่ถอนหายใจพลางส่งสติ๊กเกอร์หมีน้อยถอนหายใจตามอย่างที่เธอทำไปด้วย
‘ช่างเถอะ ฉันผิดเองที่ไม่ยั้งมือ เวลาโกรธมือมันไปก่อนสมองน่ะ’
หญิงสาวจบการสนทนาไว้แค่นั้น ไม่เปิดดูอีก แล้วรีบสะสางงานคั่งค้างเตรียมตัวเข้ารับการอบรมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแทน
นลินีเดินนำเพื่อนเข้าห้องประชุมโดยมีเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลนั่งรออยู่ด้านในพร้อมกับคู่กรณีที่เข้าห้องเย็นนำไปล่วงหน้าแล้ว และตอนนี้ก็คาดว่าจะโดนสวดเสร็จพิธีไปแล้วด้วย เพราะสีหน้าระรื่นชื่นบานที่ได้กระแหนะกระแหนเธอเมื่อตอนกลางวันกลายเป็นซีดเซียวพร้อมที่จะขึ้นเมรุเผาได้ทันทีหลังสวดจบ
นลินีมองหน้าเพื่อนเชิงขอโทษ ก่อนจะปล่อยให้ทยาดาเดินเข้าไปคนเดียวโดยมีสัญลักษณ์นิ้วบ่งบอกว่าโอเคจากเธอส่งไปให้
“เชิญนั่งค่ะ” ทยาดาทำตามคำสั่งพลางมองหน้าคู่กรณีนิ่งๆ สลับกับมองฝ่ายบุคคลด้วยท่าทางสงบ โน้มตัวทำความเคารพและนั่งลงอย่างว่าง่าย
“นี่ถือเป็นครั้งแรกของเราเลยหรือเปล่าทอย” ฝ่ายบุคคลเอ่ยถาม
“ค่ะ”
“วันนี้แค่เรียกมาตักเตือน ในฐานะที่ทอยทำงานมานานและพี่เองก็เป็นคนรับเราเข้ามาเองกับมือ ขอให้ถือว่านี่ไม่ใช่การตัดสินว่าใครผิดหรือถูก เพราะผิดด้วยกันทั้งคู่
ข่าวลือเกี่ยวกับเราพี่พอได้ยินมาบ้างและได้ชี้แจงกับน้องไปแล้วในเรื่องอุปนิสัยของทอยเบื้องต้นที่ร่วมงานกันมา และพี่คิดว่าน้องเขาก็น่าจะเข้าใจแล้ว”
ทยาดาลอบมองอีกฝ่ายหลังจากฝ่ายบุคคลพูดจบ เห็นสีหน้าที่ดูคล้ายจะสลดแหล่ไม่สลดแหล่แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจตามที่บอกจริงหรือเปล่า
“แต่ทางนี้พี่คงต้องปรับโทษลดเงินโอทีสามสิบเปอร์เซ็นต์ของเดือนนี้ออกไป เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินว่าไปพูดจาแบบนี้ใส่คนอื่นก่อน ครั้งนี้มีพยานยืนยันด้วย ก็ต้องยอมรับในการกระทำของตัวเองนะ” คำสั่งประกาศิตของเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายบุคคลหันมาบอกกับฝั่งคู่กรณีของเธอถือเป็นอันสิ้นสุด พร้อมกับแฟ้มประวัติการทำงานของทั้งสองฝ่ายที่ถูกปิดลง
ทยาดาเลิกคิ้วมองฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินบทลงโทษ พยายามปรับสีหน้าตัวเองให้เสียใจอย่างสุดซึ้งเท่าที่จะทำได้แม้มุมปากจะเหยียดยิ้มออกมาจนปิดไม่มิด พร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่งราวประกาศให้รู้ว่าใครแน่กว่าใคร
“ส่วนทอย อยู่ที่นี่ก่อน กรรมการจะขอพบด้วยสักครู่”
ประโยคที่ตามมาทำเอาฝั่งคู่กรณีทำหน้าเยาะเย้ยเปิดเผยยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าเธอต้องโดนอยู่ต่อ สายตาเดียดฉันท์ที่ส่งมานั้นแทบจะแสดงออกมาเป็นประโยคให้เห็นได้เลยทีเดียวว่าเธอต้องโดนหนักกว่าแน่นอน
“ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนลงอย่างเดาไม่ถูกว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก
ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมเล็กนี้ไม่ได้ทำให้ผิวเนียนสะท้านสะเทือนสักเท่าไหร่ จวบจนกระทั่งประตูเชื่อมห้องประชุมถูกเปิดออกแล้วปรากฏร่างสูงในชุดสูทกรมท่าที่ถูกรีดเนี้ยบตลอดลำตัวแทบไม่มีรอยยับให้เห็น
บัดนั้นเธอจึงได้รู้ว่าเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมนี้มันหนาวประดุจยืนเปล่าเปลือยบนยอดเขาในขั้วโลกเหนือ
ร่างสูงของชายผู้มาใหม่ถอดเสื้อสูทตัวนอกพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ เผยให้เห็นเชิ้ตสีขาวพับแขนครึ่งศอกตัดกับเนกไทสีดำขลับเป็นเงา
เขาบรรจงนั่งลงด้วยกิริยาท่าทางสุภาพ แฟ้มประวัติการทำงานของทยาดาที่มือหนาหยิบติดมาด้วยนั้นถูกวางลงบนโต๊ะอย่างใจเย็นพร้อมกับการเอ่ยน้ำเสียงที่แสนทุ้มนุ่มดุจมิตรสหายที่รู้จักกันมานาน มิตรเหรอ…มิจฉาชีพน่ะสิยายบ้าเอ๊ย!!
“สวัสดีครับคุณทยาดา พิธีบริรักษ์”
หญิงสาวเผยอปากค้างอย่างคนพูดอะไรไม่ออก สายตาเพ่งพินิจคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยในภาพจำครั้งแรกฉายชัดขึ้น คนที่ก้มเก็บห่อผ้าอนามัยขึ้นมาแล้วทำท่าตลกขบขันเหมือนได้ของเล่น คนที่วิ่งมากั้นประตูรถขวางเอาไว้ไม่ให้เธอไป คนที่ฉวยโอกาสจับมือหน้าด้านๆ และคนที่มาส่งอาหารในสภาพโกโรโกโสแม้หน้าตาจะดูดีมากแค่ไหนก็ตาม
ทว่าคนตรงหน้านี้มาในมาดภูมิฐานสมกับตำแหน่งกรรมการคนใหม่ และเขาคือคนเดียวกับภาพจำของเธอทั้งหมด ทยาดาสาบานได้ว่าเขากำลังมองเธอด้วยความปีติยินดีอย่างมาก มากเสียจนเธอรู้สึกได้ว่าขนลุกชันไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว
“หน้าตาคุณดูดีใจนะครับที่ได้เจอกัน” เขาส่งยิ้มเก๋ๆ ที่มีลักยิ้มบุ๋มลึกกว่าคนเป็นน้องเล็กน้อยให้ ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่เอาแต่ยิ้มแป้นแล้นอย่างเห็นได้ชัด
ทยาดาประจักษ์แล้วว่าเขานั้นคนละลุคกับที่เธอเคยเจอราวกับเป็นคนละคน แต่แววตาซุกซนที่ซ่อนไม่มิดนั่นทำให้เธอต้องเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันแน่นอน
“หลังจากที่ได้ดูแฟ้มประวัติการทำงานของคุณแล้ว น่าชื่นชมนะครับที่คุณเป็นคนทุ่มเทในการทำงานอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทที่เพิ่งเปิดมาสิบปีจะมีพนักงานที่เติบโตไปพร้อมกันจนได้รับตำแหน่งหัวหน้าทั้งที่อายุยังน้อยอย่างคุณอยู่ด้วย”
คำพูดเป็นการเป็นงานของเขาทำเอาทยาดาเริ่มลังเลว่าตกลงเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า สมองอันปราดเปรื่องรีบประมวลผลจากความทรงจำอย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อจับผิดว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนก็ได้ แต่ก็จบลงแค่นั้นเมื่อร่างสูงเอ่ยต่อ
“น่าเสียดายที่ผมเพิ่งกลับมารับตำแหน่งนี้ ถ้ารู้ว่าคุณทำงานอยู่ที่นี่คงไม่ต้องคิดวางแผนหาทางไปบ้านคุณอยู่เป็นคืนๆ ว่าจะทำยังไงให้มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ” รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ที่ประดับบนใบหน้าหล่อๆ นั้นอาจทำให้คนอื่นหวั่นไหวในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ทยาดาคนนี้หวั่นกลัวเสียมากกว่า
“ล้อเล่นน่ะคุณ แต่ในฐานะที่เราได้เจอกันอีกครั้ง ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยแล้วกัน” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เผยให้เห็นว่าที่จริงแล้วเขาสูงกว่าเธออยู่มากนักเท่าที่พอได้พิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน ซึ่งการพบกันก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้เธอใคร่จะมาไล่สังเกตอะไรมากนัก พอเอาเข้าจริงจากคนที่ดูทีเล่นทีจริงกลับมีมาดขึงขังเอาเรื่อง
“ผม กวิน ภูธนากุล จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง…”
“เอ่อ…เดี๋ยวค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ “ไว้แนะนำพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องเข้าประชุมพร้อมกันหมดทุกคนอยู่ดี”
ทยาดาโพล่งออกไปเท่าที่ใจคิด โดยลืมเสียสนิทว่าคนตรงหน้านั้นเป็นใครและเหนือกว่าเธอแค่ไหน แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อคิดได้ถึงตำแหน่งของเขา “ขอประทานโทษค่ะ”
หญิงสาวอยากจะหยิกตัวเองที่เผลอลืมตัว ก็เพราะเห็นแต่ภาพจำทับซ้อนกันขึ้นมามากกว่าร่างสุขุมตรงหน้า ชายหนุ่มแอบหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มละลายโลกทั้งใบแล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ส่งมือหนายื่นเข้ามาถือวิสาสะจับมือของเธอขึ้นทักทายแบบสากลพลางพูดด้วยอย่างอารมณ์ดี
“ยินดีที่ได้รู้จักและได้พบอีกหลายๆ ครั้งนะครับ”
ซวย! ซวยแน่ๆ ชีวิตไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วยายทอย!
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.