บทที่ 3 มันเกิดไปแล้ว
ร้อยไม่จริง พันไม่จริง หมื่นไม่จริง แสนไม่ใช่!
ทยาดาแอบจิกปลายเล็บลงบนผิวเนื้อตัวเองอยู่สองสามครั้ง เผยให้เห็นรอยเล็บบุ๋มลงไปในอุ้งมือขาวจนแดงเป็นจ้ำๆ แต่เจ้าตัวยังคงจิกอยู่อย่างนั้นจนชายหนุ่มกระตุกข้อมือเธอเบาๆ ถึงได้รู้สึกตัว
“ตื่นเต้นจนเหงื่อซึมเลย” กวินแซว เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นเขาฝ่ายเดียวที่กุมมือเธอไว้ ไม่ใช่การจับมือสอดประสานทักทายกันทั้งสองฝ่าย
ทยาดารีบสะบัดมือออกพร้อมถอยห่างออกจากเขาไปเป็นช่วงตัว ไกลจนเกือบถึงประตูทางออก
“ถอยไปทำไมขนาดนั้นคุณ ผมไม่ใช่ตัวเชื้อโรคนะ อยู่ใกล้ๆ ได้” ชายหนุ่มยืนหัวเราะกับท่าทีตื่นตระหนก แต่ทยาดาไม่ตลกด้วย
เขาเพิ่งหลอกแต๊ะอั๋งเธอไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วจู่ๆ ก็เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท เสื้อสูทที่เห็นนั่นก็เป็นสูทของจริง ไม่ใช่ชุดแสดงแทนเสื้อคลุมพนักงานแอพพลิเคชั่นขับรถส่งของ และเมื่อครู่เขาก็เพิ่งแนะนำตัวเองไปว่าชื่อกวิน ภูธนากุล ซึ่งตรงตามรายละเอียดที่แจ้งมาในอีเมล
โอ๊ย! โลกกลมอะไรอย่างนี้วะ!
ชายหนุ่มนั่งลงกับที่ ทั้งยังผายมือและพยักหน้าเชื้อเชิญให้เธอกลับไปนั่งที่เดิม ทยาดาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปราวกลัวว่าเขาจะแว้งกัดประมาณนั้น
“คุณเริ่มเข้าทำงานหลังจากบริษัทนี้ก่อตั้งมาสามปี ผลงานเด่นๆ คือสามารถดีลงานขายกับสันติบาล สำนักงบประมาณ กรมป่าไม้ กรมบังคับคดีได้ภายในปีแรกที่เข้าทำงาน ในขณะที่พนักงานฝ่ายขายคนอื่นๆ ยังเจาะเข้าภาครัฐไม่ได้” กวินเปิดอ่านแฟ้มประวัติผลงานของเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นทางการราวกับสลับสวิตช์โหมดได้
“ไม่ทราบว่าคุณมีประสบการณ์การขายมาจากที่ไหนบ้าง” เขาถามในขณะที่หญิงสาวยังคงนั่งเหม่อ
“คุณทยาดา” กวินเรียกจนเธอสะดุ้งเล็กน้อย
“เอ่อ ขายของมาตั้งแต่เด็กๆ มั้ง” หญิงสาวตอบห้วนๆ แล้วก็ตกใจเอง “เอ้ย! ขอโทษค่ะ”
กวินกลั้นขำจนเห็นได้ชัดกับท่าทางตื่นตระหนกไม่เลิกของเธอ แต่ก็พยายามกระแอมปรับลุคให้นิ่งที่สุด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาจนได้
“โถ่คุณ ไม่ต้องระแวงเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นหรอก ทำตัวตามสบายเหมือนวันที่คุณด่ามาก็ได้ ผมไม่ถือ” ชายหนุ่มหัวเราะเหมือนมีใครจ้างคณะตลกมาเล่นในห้องประชุมก็ไม่ปาน
ทยาดาพ่นลมหายใจครู่ใหญ่ ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าแล้วปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นคนเดิม
“เราเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีสินะ” กวินกล่าว เธอเองก็ดันพยักหน้ารับไปเสียอีก
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ…ท่าน” คำขอโทษเธอพูดคล่องปาก แต่คำว่าท่านที่ตามมาทีหลังเหมือนคนกำลังรวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อสั่งลาประมาณนั้น
“ช่างเถอะ ไม่ต้องถึงกับท่านหรอก คนอื่นพูดคงไม่เท่าไหร่ แต่คุณพูดผมรู้สึกขัดหูแปลกๆ” กวินว่า “จะเรียกคุณหรือบอส หรืออะไรก็แล้วแต่ ได้หมด แค่ไปไม่ถึงขั้นไอ้…ก็พอแล้ว”
ทยาดาหน้าเจื่อนเมื่อถูกเน้นย้ำให้นึกถึงภาพเธอกำลังยืนด่าเขาปาวๆ กลางลานจอดรถและหน้าบ้านตัวเองขึ้นมาเสียถนัด ไม่รู้ว่าเขาจงใจย้ำหรือพูดขึ้นมางั้นๆ
“ก็แปลกนะ ผมเจอคุณทีไรก็มีเรื่องทั้งนั้นเลย วันนี้ถ้าคุณไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเราก็คงไม่ได้เจอกันเร็วขนาดนี้ เพราะต่อให้พรุ่งนี้ประชุมก็คงจะไม่มีโอกาสได้คุยกันเป็นการส่วนตัวแน่นอน”
“ไม่ได้ย้ำหรือหลอกด่าอะไรกันใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยอย่างสงสัย สีหน้าที่ว่าระแวงแล้วกลับยิ่งหนักไปกว่าเดิม จริงๆ ก็เป็นตั้งแต่เขาบอกให้ทำตัวตามสบายเหมือนวันที่ด่าเขาแล้ว
“คิดมากน่ะ แต่ก็ดีนะที่ทำให้ได้เห็นแฟ้มประวัติของคุณ คุณเป็นคนที่ทำงานเก่งมากคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ” เขากำลังชมจากใจจริง…ล่ะมั้ง ถ้าสายตาของเขามันไม่โกหกเธออยู่
“ไม่หรอกค่ะ คุณเป็นถึงกรรมการบริษัท อย่างไรซะก็ต้องเก่งกว่าลูกน้องอยู่แล้วค่ะ” เธอพูดยกย่องเจ้านายหนุ่มแทน หลังจากที่คิดว่าเขาชมกันเกินไป แต่กวินกลับดีดนิ้วเปาะพร้อมยิ้มถูกใจ
“พูดจาได้ดี เปลี่ยนสีได้เร็ว สมแล้วที่ทำงานด้านนี้ เก่งสมคำโฆษณา”
สาบานเถอะว่าที่เขาพูดนั่นตกลงชมเธอแน่ใช่ไหม ความรู้สึกเหมือนมีเส้นคั่นบางๆ ระหว่างหลอกด่ากับแกล้งชมตีกันให้ยุ่งไปหมด
หญิงสาวยิ้มเจื่อนรับคำอย่างแกนๆ
“แล้วถามได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงมีการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น”
เขาเข้าประเด็นในทันทีจนทยาดาลังเลใจที่จะพูด แต่มองจากสายตาอยากรู้ของคนตรงหน้าที่มีมากกว่าการตำหนิแล้วเธอก็จำต้องเอ่ยออกไป
“มันเป็นการพูดจากระทบกระทั่งกันนิดหน่อยค่ะ”
กวินเลิกคิ้วสงสัย “ถ้าแค่นั้นผมไม่คิดว่าคุณจะลงไม้ลงมือกันได้นะ ถึงแม้ภาพลักษณ์ของคุณที่ผมเห็นครั้งแรกมันจะสวนทางกับท่าทีเรียบร้อยของคุณในตอนนี้ก็เถอะ”
ทยาดานิ่งเงียบไปอึดใจ
เขาไม่ได้กำลังว่าเธออยู่อีกใช่ไหม คนอะไรพูดจาเหมือนหลอกด่าได้ตลอดเวลา
ใครๆ ต่างบอกว่าเธอเป็นคนแข็งกร้าว ไม่ยอมคน หน้าตาบอกบุญไม่รับ จะแสร้งยิ้มได้ก็ตอนพบลูกค้า เสมือนว่าถ้าใครไม่มีผลประโยชน์เธอก็พร้อมจะใช้สายตาจิกได้ตลอดเวลา ทยาดาคนนี้เจอคำกล่าวหาจนชินชาไปหมด แต่ไม่เคยมีใครรู้หรอกว่าทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้ ต้องทำตัวเหมือนใส่เกราะอยู่ตลอดเวลาทั้งที่มันน่าอึดอัดจะตาย การใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองหลวงกว้างใหญ่ตั้งแต่อายุหลักสิบหล่อหลอมให้ทยาดาต้องปกป้องตัวเอง ไม่เช่นนั้นเธอจะอยู่ตัวคนเดียวมาจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
“ไม่ผิดหรอกค่ะ คนเราถ้าเจอการกระทบกระทั่งในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงบ่อยๆ การประมวลผลส่วนผิดชอบชั่วดีมันก็ขาดๆ หายๆ กันไปบ้าง ถึงจะรู้ผลที่ตามมาแต่มันก็เกิดไปแล้ว ฉันคงไม่มีอะไรจะแก้ตัว รวมถึงตัวคุณด้วย ฉันขอโทษที่ทำกิริยาไม่ดีใส่ตอนที่เจอกัน” ทยาดาพูดด้วยความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของจิตใจ
กวินหันมองคนพูดอย่างแปลกใจที่หญิงสาวมีท่าทีอ่อนลงจนเขาดันรู้สึกใจอ่อนตามไปด้วย สีหน้าจริงจังปรากฏขึ้นบนใบหน้านวลอิ่มนั่น ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวเธอมากขึ้น
“มันเกิดไปแล้วก็ช่างเถอะ ผมไม่ได้ติดใจอะไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ทยาดายังคงเหม่อลอยคิดไม่ตกจนชายหนุ่มต้องเรียกชื่อซ้ำถึงสองรอบ
“เอาเป็นว่าผมจะไม่คาดคั้นอะไรนะ เพราะฝ่ายบุคคลคงพูดแทนไปหมดแล้ว ทีนี้ผมจะพูดเรื่องของผมบ้าง” กวินตัดบทเปลี่ยนเรื่องแทนบรรยากาศชวนอึดอัด “คุณยังจำได้ใช่ไหมที่ผมบอกกับคุณไปเรื่องนั้น”
ทยาดาฟังแล้วสงสัยได้แป๊บเดียวก็ต้องร้องอ๋อ สายตาหม่นหมองเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นไม่ไว้ใจเขาแทบจะทันที ชายหนุ่มยังคงยิ้มนิ่งๆ แม้เธอจะแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่อยากสนทนาในหัวข้อนี้
“ผมเห็นเขาอยู่ข้างล่างบริษัท สงสัยเจ้าที่ที่นี่จะทำหน้าที่ได้ดีเลยตามคุณขึ้นมาถึงบนนี้ไม่ได้” กวินว่า
“ไม่มีเรื่องอะไรจะพูดนอกเหนือไปจากนี้แล้วใช่ไหมคะ” เธอถามด้วยสีหน้าบ่งบอกได้ว่าเพลียใจจะพูดถึง
“นั่นแหละ ผมถึงได้สงสัยว่าทำไมเขามาอยู่ที่นี่ แล้วก็เกินคาดที่เจอคุณเป็นพนักงานอยู่ที่นี่นี่เอง”
ทยาดานึกค่อนขอดอยู่ในใจ เขาไม่ได้สนใจที่เธอพูดเลยสินะ
“ผมมองเห็นเขา นี่เป็นเรื่องจริงจังนะคุณ”
“ฉันก็จริงจังค่ะ แล้วก็คิดว่าคุณควรเลิกพูดเรื่องนี้เสียที ฉันไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องอะไรพรรค์นี้เท่าไหร่นัก” ทยาดาถอนหายใจ เบือนหน้าหนีอย่างลืมตัวว่าคนตรงหน้าอยู่ในฐานะเจ้านาย ไม่ใช่ไอ้โรคจิตในวันนั้นแล้ว ส่วนคำตอบที่เธอพูดออกไปก็แค่แสร้งไม่ให้เขารู้ว่าอันที่จริงเธอน่ะเชื่อหมดหัวใจ แต่จะออกอาการกลัวขนหัวลุกต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด นั่นไม่ใช่ทยาดาอย่างที่ควรจะเป็นต่อหน้าสาธารณชน
“ผมเพิ่งจับมือคุณเมื่อก่อนหน้านี้” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ ถึงตอนที่ถือวิสาสะจับมือทักทายเธอ
“ค่ะ จะพยายามคิดว่าไม่ได้ตั้งใจอีกเหมือนคราวที่แล้ว”
แต่กวินกลับส่ายหน้าและยอมรับ “ผมตั้งใจ และผมก็เห็น”
ทยาดาอยากจะถอนหายใจให้ดังถึงนอกห้องประชุม ถ้าไม่ติดว่าครั้งนี้สถานะของเขากลายมาเป็นเจ้านายเธอแล้วล่ะก็นะ
“ฉันกลัวผี เลยไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น เป็นอันเข้าใจนะคะ” หญิงสาวจนใจจึงยอมรับเพื่อตัดบทให้สิ้นเรื่อง ก็คนมีความหลังฝังใจ ใครจะไปอยากทนฟัง
ตอนเด็กๆ ทยาดาร้องไห้บ่อย เพราะพ่อกับแม่ชอบทะเลาะกันแล้วหนีหายออกจากบ้านไปนานๆ ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวกับพี่เลี้ยง กว่าจะกลับก็มืดค่ำ บางวันเกือบเช้า
แล้วพี่เลี้ยงตัวดีนี่แหละที่ชอบพูดกรอกหูว่าถ้าเกิดยังร้องไห้อยู่อย่างนี้ผีจะมากินตับ วันดีคืนดีเธอร้องไห้จนหลับ ตื่นมาก็ร้องอีก ยายพี่เลี้ยงเลยแต่งผีมาหลอกซะจนได้
เหมือนจะตลก แต่ก็ทำให้เธอฝังใจมาตลอดว่าไม่เคยมีใครปลอบประโลมเธอเลยสักครั้ง รังแต่จะใช้วิธีหลอกล่อให้เธอกลัวเพียงอย่างเดียว และเวลาที่กลัวมันก็ไม่มีใครอยู่ข้างเธออยู่ดี
“ผมไม่ได้พูดให้คุณกลัว แต่ให้คุณรับรู้” กวินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม เพราะจับสังเกตได้ว่าที่เธอพูด แม้จะดูไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมแต่แววตาหวั่นลึกๆ นั่นคือเรื่องจริง
“คุณลองเดินไปพูดกับใครก็ได้สิว่านี่ๆ มีผีตามหลังมา ระวังนะ ใครมันจะยิ้มดีอกดีใจที่มีผีตาม ไม่ด่าว่าคุณบ้าก็ต้องเก็บไปคิดไปกลัวนั่นแหละคุณ เหมือนคนโดนทักว่ามีผีเด็กตาม ชาติที่แล้วเคยไปทำแท้งมาล่ะสิท่า ประมาณนั้นแหละค่ะ” ทยาดาร่ายยาว
“ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นคนขี้กลัว แต่เชื่อผม ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรเขาไม่ตามคุณแน่” กวินบอกน้ำเสียงหนักแน่น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทยาดารู้สึกเชื่อมั่นในความหนักแน่นของเขามากขึ้นเลย
“ฉันว่าฉันเพิ่งพูดไปหยกๆ เองนะคะว่าเพราะอะไรที่ไม่อยากรู้”
กวินทำท่านึกขึ้นได้ เขาได้แต่หัวเราะแก้เขินที่อุตส่าห์พูดจาเสียสวยหรู แต่สาวเจ้าก็ยังไม่คล้อยตามอยู่ดี
“ผมไม่ได้เป็นคนวิเศษอะไร แต่ที่ผมมองเห็นพวกเขาได้นั่นหมายความว่าเขากำลังมาเตือนคนที่เขาตามติดว่ากำลังมีอันตราย หรือไม่ก็คนที่เขาติดตามอยู่ไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้”
ทยาดารู้สึกหวั่นๆ แต่ก็แกล้งทำเป็นใจดีสู้เสือฟังต่อ แต่ที่ต้องฟังต่อก็เพราะยังไปไหนไม่ได้นี่แหละ ต้องมาฟังเขาพูดในสิ่งที่ไม่เข้าท่าอย่างแรง และไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยตั้งแต่พูดมา
“ฉันอยู่ในจำพวกไหนคะ”
“เขามาให้เห็นแบบดีๆ แสดงว่าเขากำลังมาเตือนคุณ” กวินบอกตามความเป็นจริง
“เรื่องอะไร” เธอถาม เป็นการถามอย่างต้องการคำตอบจริงๆ ไม่ใช่การลองใจคนตรงหน้าแต่อย่างใด แต่กวินก็ทำให้ความตั้งใจฟังมาเกือบตลอดลดลงเป็นศูนย์ด้วยคำตอบกำปั้นทุบดิน ทุบแรงเสียด้วย
“ไม่รู้…”
ทยาดาถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมสั่นศีรษะเล็กน้อย “ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ใกล้จะเลิกงานแล้ว เกรงว่าจะเคลียร์งานของวันนี้ไม่เสร็จ”
บอกไปอย่างนั้นแต่จริงๆ เธอจัดการหมดแล้วเรียบร้อย แค่อยากไปให้พ้นจากตรงนี้เสียมากกว่า
“คุณทำเหมือนไม่เชื่อว่าผมพูดจริง ตั้งแต่วันนั้นแล้ว” เสียงทุ้มแผ่วลงพร้อมกับสีหน้าคล้ายคนหมดหวัง
ถ้าเขาหยั่งรู้ได้ก็น่าจะเดาออกว่าเธอจะพูดว่ายังไง ในเมื่อเธอแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ว่าเหมือนคุยกับคนเพี้ยน
“คุณเคยนั่งรถบัสที่มีคนเต็มคันรถ และคุณเองก็ใส่เสื้อโปโลสีเหลืองนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ใส่ผ้าปิดตาไว้ตลอดจนถึงทะเล” กวินพูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วก็จบการสนทนาเพียงเท่านั้น
จากที่เคยนึกว่าเขาเพี้ยน ตอนนี้ทยาดาก็ยังไม่เปลี่ยนใจหรือถอนคำพูด เพียงแต่ว่าที่เขาพูดมันเรื่องจริง คนเพี้ยนที่พูดเรื่องจริงเกิดขึ้นแล้ว เธอควรรู้สึกยังไงกับคำพูดนั้นดี ตกใจ ตะลึง อึ้ง ทึ่ง หรือสับสน? เธอทำตัวไม่ถูก
ทยาดาได้แต่มองหน้ากวินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามล้านแปด ในขณะที่คนพูดกลับลอบยิ้มประหนึ่งว่าพูดจี้จุดเธอได้
หญิงสาวพาตัวเองที่ยังมึนงงไม่หายดีกลับบ้านมาด้วยอาการหัวสมองปลอดโปร่ง โล่งจนไม่รู้จะคิดอะไร ยังดีที่กลับบ้านถูกหลังจากที่โดนกวินทักแล้วถูกสามตัวตรงชนิดที่เธอเถียงไม่ได้แม้สักนิด
‘เงียบแบบนี้แสดงว่าผมพูดถูก’ กวินยักคิ้ว
‘ถ้าฉันบอกว่าไม่ถูกล่ะ’
‘ถ้าไม่ถูกคุณจะแว้ดตั้งแต่แรก แถมมองผมเหมือนไส้เดือนกิ้งกือ ไม่นิ่งเงียบติดอ่างกะทันหันแบบนี้หรอก’
เขาเป็นคนแปลกที่เจอกันแค่แวบเดียวแต่สามารถอ่านเธอจนทะลุปรุโปร่งได้ขนาดนี้ ในขณะที่หลายคนต่างบอกว่าเธอเป็นคนเข้าถึงยาก เอาอารมณ์ด้วยยาก ไม่มีใครอยากมาเดาใจว่าคิดอะไรหรือไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ด้วย จะเรียกเขาว่าคนมหัศจรรย์หรือพิลึกพิลั่นดี
ทยาดาเดินเก็บของเล่นที่แมวน้อยทั้งสองตัวรื้อระเกะระกะให้เข้าทาง นำไปวางไว้บนชั้นสำหรับของแมวโดยเฉพาะ สายตาพลันมองไปยังตุ๊กตาหมาไขลานของเก่าเก็บในชั้นนั้นซึ่งตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเอามาวางรวมกับของเล่นแมวตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอหยิบมันขึ้นมามองด้วยสายตาหม่นหมอง ของเล่นชิ้นแรกของเธอที่ได้ในวันเกิดครบรอบสิบขวบจากพ่อและแม่
แต่ขาของหมามันหัก เพราะพ่อกับแม่ทะเลาะกันในวันนั้น วันที่เธอควรจะได้เป่าเทียนบนเค้กฉลองวันเกิด ไม่ใช่เก็บซากของเล่นกับกวาดเศษเค้กลงถังขยะทั้งน้ำตา
‘ซื้อของให้ลูกทั้งทีได้มาแค่ตุ๊กตาเน่าๆ แค่นี้น่ะเหรอ ทีกับเมียน้อยซื้อใหญ่ซื้อโต ทุเรศ’
มารดาของเธอเอ่ยเย้ยหยันบิดาที่ถือของเล่นชิ้นนี้มาให้ มือของบิดาที่กำลังยื่นของเล่นมาหาเธอถึงกับชะงักลง ร่างหนาท้วมลุกขึ้นยืนจ้องประจันหน้ากับคู่ชีวิตที่อยู่กันมาจนมีเธอโตถึงขนาดนั้นแล้วด้วยสายตาแข็งกร้าว
‘วันนี้วันเกิดมัน แทนที่จะพูดจาให้มันดีให้มันสร้างสรรค์ เสือกพูดทำลายบรรยากาศ มึงไม่ชอบก็เรื่องของมึง ไม่ต้องสาระแนพูด กูรำคาญ’
ทยาดายืนดูบิดาที่ตวาดเสียงสั่นด้วยความโมโห สลับกับมองหน้ามารดาที่พร้อมเอาเรื่องเต็มที่
‘ทำไม กูพูดจี้ใจดำล่ะสิ’
มารดายิ้มเยาะพลางถือเค้กเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าแววตาที่ดูอ่อนลง ผิดกับตอนหันไปว่าบิดาเมื่อครู่
‘ปากมึงมันหาเรื่องแบบนี้นี่แหละ ถึงได้โดนมือโดนตีนกูบ่อยๆ’ มือที่เตรียมจะจุดไฟเทียนที่ปักบนเค้กลดลง
‘คิดว่ามึงมีมือมีตีนคนเดียวเหรอ ที่มึงมีทุกวันนี้ มีเงินไปเลี้ยงอีเมียน้อย ไม่ใช่เพราะมึงได้เมียอย่างกูหรอกหรือ ถ้ากูไม่ไปลากมึงขึ้นมาทำสวนยางจะเอาปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงกะหรี่พวกนั้น แหม ทีกับลูกให้เหมือนขอทาน’ มารดาสวนกลับ
‘อ้อ ลำเลิกบุญคุณ ถ้าแม่มึงไม่ยัดเยียดมึงมาให้ก็ฝันไปเถอะว่าจะมีใครมาเอาคนอย่างมึง ทำห่าอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง ดีแต่ใช้ปากด่าเป็นอย่างเดียว กับข้าวหาให้ลูกให้ผัวยังต้องจ้างเขา ถ้ากูรู้แต่แรกกูไม่เอามึงหรอก!’
ทยาดาเห็นท่าไม่ดีจากอาการที่มารดากำมือแน่น เธอจึงวิ่งเข้าไปกระตุกแขนบิดาเบาๆ
‘พ่อจ๋าแม่จ๋าอย่าทะเลาะกัน หนูอยากเป่าเค้ก’
หยาดน้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มทยาดาในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว แต่เธอยังพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่เป็นผล
‘อีทอย มึงดูไว้นะ โตขึ้นอย่าหาผัวแบบพ่อมึง แม่มึงออกไปทำงานในสวนงกๆ ยังต้องมาปรนนิบัติรับใช้คนงอมืองอตีน!’
เพียงเท่านั้นตุ๊กตาในมือบิดาก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นเข้าฟาดผนังบ้านจนขาหัก พร้อมกับร่างท้วมอุ้ยอ้ายที่ทยาดาในวัยเด็กพยายามยื้อยุดหลุดออกจากการเกาะกุมของเธอปรี่เข้าไปบีบคอร่างที่เล็กกว่าของมารดา ในขณะที่มือของมารดาข้างที่ถือเค้กอยู่ก็พาเอาเค้กก้อนนั้นฟาดลงบนใบหน้าของบิดาพร้อมละเลงจนไม่เหลือเค้าเดิม
สองผัวเมียสู้กันดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ในขณะที่ตัวเธอเองพอเข้าไปห้ามก็ถูกผลักกระเด็นจนแขนขึ้นรอยช้ำเพราะผิวขาวๆ ที่มองเห็นรอยได้ง่าย เสียงร้องของเธอตอนนี้ยังไม่สามารถกลบเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันได้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งคนแถวบ้านมาเห็นและช่วยแยกคนทั้งสองออกจากกัน เหลือเพียงเธอที่ยังนั่งร้องไห้อยู่มุมบ้าน ไม่มีใครสนใจสักคน
บิดาหันกลับมามองเธออีกครั้งหลังจากเพื่อนบ้านบอกให้เข้ามาปรามที่เธอร้องไห้อย่างหนัก แต่กลับได้คำตอบที่ฟังแล้วบาดลึกดั่งมีดกรีดใจ
‘ช่างหัวมัน มันก็แหกปากบ้านแตกอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ให้อีแม่มันไปดูลูกมันเอง กูรำคาญ!’ ร่างท้วมสะบัดตัวออกเดินหนีขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่หน้าตายังเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ส่วนมารดาที่ไอโขลกๆ เพราะถูกบีบคอก็รีบค้านขึ้นมาทันที
‘สันดานหน้าตัวเมียเอาไม่เลือกไปทั่วแล้วมาโยนว่าเป็นลูกกูคนเดียว’
คำที่เหมือนว่าเธอไม่ใช่ลูกของใครทั้งสิ้นถูกกรอกหูอยู่เป็นประจำ เกิดเป็นเธอจิตใจต้องเข้มแข็งเพียงไหนถึงมีทุกวันนี้ได้…ด้วยตัวเอง
ทยาดานึกย้อนไปวันที่ขอออกจากบ้านมาเรียนกรุงเทพฯ ขอออกไปขายของหาเงินมาใช้เองแล้วก็ได้แต่สมเพชตัวเองในใจที่รู้ว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอมันก็ตัวคนเดียวมาตลอด เธอจะทำอะไรมันก็ไม่มีใครสนใจแต่แรกอยู่แล้ว จะต้องไปขอทำไม มีแต่คนสนใจเรื่องตัวเองกันทั้งนั้น
ยิ่งได้เห็นภาพถ่ายวันแต่งงานของบิดามารดาสลับกับภาพวันที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน เธอก็ยิ่งปลงเรื่องความรักความสัมพันธ์ คนเราอยู่ด้วยกันเพราะผลประโยชน์ล้วนๆ ไม่มีใครเลยที่จะเข้าหาด้วยความจริงใจ หญิงสาวเลยต้องสร้างพื้นที่ไว้ปกป้องตัวเอง ยกเว้นนลินีและนิสราแค่สองคนที่ทำให้รู้จักคำว่าเพื่อนที่ยังมีความหมายอยู่จริง แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังเคยเปรยว่าเธออ่านใจยากอยู่ดี
ทว่าตอนนี้มีกวินที่ดันอ่านไปถึงความนึกคิดเธอออก
นิ้วเรียวปาดหยดน้ำที่หัวตา ก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมาไขลานมาวางทิ้งไว้ให้แมวเล่นพลางเก็บกระเป๋า จัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วหันมาสนใจเอกสารการประชุมที่จะต้องเตรียมในวันพรุ่งนี้แทน
การประชุมรวมครั้งใหญ่ที่หมายถึงการรายงานผลประกอบการของแผนกต่างๆ ให้กรรมการคนใหม่ทราบกำลังเริ่มขึ้น กวินในชุดสูทพร้อมทำงานก้าวลงจากรถด้วยท่าทีสง่าสมกับมาดกรรมการบริษัทหลังจากปล่อยตัวเองทำร้านอาหารอยู่ที่ออสเตรเลียเสียนานจนผู้เป็นบิดานึกว่าเขาจะไม่ยอมกลับมาทำงานให้บริษัทเสียแล้ว
ร่างสูงก้าวกระฉับกระเฉงผ่านเข้าตึกโดยไม่ต้องแสดงบัตรเหมือนพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมตึกเดียวกัน จังหวะนั้นเองเขาก็ชนเข้ากับชายอีกคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำชั้นล่างเพื่อตรงไปยังลิฟต์เหมือนกันจนกระเป๋าเอกสารทั้งของเขาและอีกฝ่ายร่วงกระจัดกระจาย แต่ด้วยราคาของกระเป๋าที่ผิดกันลิบลับ กระเป๋าของกวินจึงแค่ร่วงหล่น ไม่เปิดอ้ากระจายเท่าอีกคน
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง” อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษ ร่างสูงก้มลงเก็บกระเป๋าเอกสารของตัวเองพลางจัดเสื้อให้เข้าที่ แต่เห็นอีกฝ่ายยังคงไล่เก็บกระดาษเข้าแฟ้มอยู่เลยยื่นมือเข้าไปช่วย
สายตาคมกวาดมองชื่อบริษัทที่หัวกระดาษ จึงเอ่ยทักไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ทำงานอยู่บริษัทนี้หรือครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“ผมก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
กวินยื่นมือไปทักทายตามปกติ ซึ่งอีกฝ่ายที่เก็บเอกสารเข้าแฟ้มเสร็จเรียบร้อยก็ยื่นมือมาจับทักทายกลับ
กระแสลมเย็นพัดผ่านร่างสูงจนเขารู้สึกได้ ใบหน้าคมหันขวับไปทางลม ทางที่เขาเคยเห็นบางสิ่งตรงหน้าศาลทางเข้าบริษัท เขาเห็นร่างซีดเซียวอันคุ้นตา แล้วภาพตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
เปลือกตาหนาปิดลงท่ามกลางความวุ่นวายหน้าลิฟต์ในเช้าวันทำงาน เห็นเพียงชายคนหนึ่งกำลังลากร่างเล็กๆ ของใครบางคนถูลู่ถูกังไปตามทางเดินคอนโดมิเนียม มองดูแล้วเหมือนร่างนั้นจะไม่ได้สติ เพราะแม้แต่แขนตัวเองยังบังคับให้กอดคอชายคนนั้นไว้ไม่ได้จนถูกอุ้มปลิวหายเข้าไปในห้อง
อีกสักพักภาพชายหาดก็ปรากฏขึ้นแทน มีผู้คนจำนวนไม่น้อยกว่าสิบคนยืนทำกิจกรรมอะไรบางอย่างอยู่ริมหาดยามเย็น โต๊ะริมหาดเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย อีกทั้งคนเหล่านั้นต่างร้องเล่นกันอย่างสนุกสนาน กวินจำได้แค่ว่าทุกคนใส่ชุดสีเหลืองเหมือนกันหมด ร่างสูงโปร่งพยายามพาตัวเองออกจากภาพนิมิตนั้นแล้วหันกลับไปมองหน้าประตูอีกที
คนเดียวกัน!
กวินมองคนตรงหน้าสลับกับมองไปทางประตู ก่อนจะคลายมือออกเพราะลืมตัวว่าจับมือทักทายฝั่งตรงข้ามนานเกินไป ซึ่งอีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นกันที่ถูกเขาจับมือเอาไว้นานเกินปกติที่คนจะทักทายกัน
“พี่สพลมาแล้วเหรอคะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งทักคนตรงหน้าโดยที่ไม่ได้สนใจมองเขาแต่อย่างใด
กวินเลยปลีกตัวออกมาจากคนทั้งคู่เพื่อรอลิฟต์รอบต่อไป แต่สายตาของเขายังกวาดมองที่หน้าประตูเช่นเดิมเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเห็นไม่ผิด…วิญญาณตนนั้นเหมือนกับวิญญาณที่ตามทยาดาไม่มีผิดเพี้ยน
เขาไม่แน่ใจว่ามาสภาพอย่างไร เพราะค่อนข้างไกลกับระยะสายตาที่จะมองได้ชัด แต่ฟันธงในใจได้แน่นอนว่าผีที่ตามทยาดาต้องเป็นตนเดียวกันกับที่เขาเห็นจากผู้ชายคนนั้น เพราะภาพส่วนหนึ่งที่เขาเห็นมันก็น่าจะเป็นชายหาดที่เดียวกัน ไหนจะสีเสื้อผ้าอีก ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้เงียบๆ ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของตัวเองเพื่อเตรียมประชุม อีกใจก็อยากเจอตัวทยาดาเร็วๆ ด้วย
ร่างสูงเข้าห้องทำงานของตัวเองมาก็เห็นบิดานั่งรอรับทำหน้าดุอยู่หน่อยๆ
“ทำไมมาช้า วันนี้วันประชุมครั้งแรกของแกนะ” เสียงทรงพลังพร้อมท่าทางอันน่าเกรงขามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งกรรมการหันมามองเขาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
กวินก้มขอโทษทันที
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะพ่อ” ชายหนุ่มจับเนกไทให้เรียบร้อย วางกระเป๋าบนโต๊ะแล้วทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กในห้องอย่างผ่อนคลาย
“เรื่องอะไรที่มันสำคัญกว่าการที่แกจะมาเป็นกรรมการบริษัทรึไอ้วิน”
กมลภพ ผู้ก่อตั้งบริษัทนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการประชุมทางไกลแห่งนี้เอ่ยถามผู้เป็นบุตรชายคนโตที่นั่งทำตัวตามสบาย ไม่เคร่งเครียดในการเข้ารับตำแหน่งกรรมการอย่างเป็นทางการในวันนี้
“เรื่องที่พ่อก็น่าจะรู้” เขาว่า
กมลภพถอนหายใจยาว ผู้เป็นบิดาทราบดีถึงความสามารถพิเศษที่ติดตัวกวินมา แต่ก็มิอาจช่วยลูกชายไปได้มากกว่าการให้คำปลอบและยอมปล่อยให้ชายหนุ่มทำอะไรตามที่ตัวเขาเองต้องการโดยไม่บังคับกัน ยกเว้นบังคับให้กลับมารับตำแหน่งกรรมการแทนคนที่ถูกไล่ออกไป
“แกอย่าเที่ยวไปช่วยคนนู้นคนนี้นัก ทำเป็นมองผ่านมันไปเสียบ้างก่อนที่จะประสาทกินไปเสียก่อน ฉันเองก็ยังหาทางติดต่อหลวงลุงของแกไม่ได้ เขาน่าจะรู้วิธีอะไรบ้างที่จะทำให้แกหายนอกเหนือจากวิธีที่แกไม่เชื่อนั่น เพราะฉะนั้นช่วยทำเป็นปล่อยผ่านไป เดี๋ยวมันก็น่าจะดีขึ้นเองถ้าแกไม่ไปใส่ใจมัน”
“ท่าจะยากนะพ่อ เพราะผมดันใส่ใจไปแล้วด้วย” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อน
เขาสนใจทยาดาตั้งแต่ที่เห็นภาพเข้ามาในหัวตอนจับมือแล้ว แม้คราแรกจะสนใจในหน้าตามากกว่า
และเมื่อครู่ก่อนมาถึงห้องเขาดันเห็นภาพคล้ายกันกับอีกคนที่เป็นพนักงานของที่นี่ด้วย ความอยากรู้อยากเห็นยิ่งพุ่งทะยานไปกันใหญ่ ซึ่งบิดาได้แต่ส่ายหน้าให้กับความรั้นของลูกชายคนโตด้วยอาการปลงตก
จะว่ากวินเป็นคนว่าง่ายก็ใช่ จะหัวรั้นก็ใช่ จนบางทีกมลภพก็ออกจะปวดหัวกับลูกชายคนนี้บ่อยๆ แม้เขาจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรก็ตาม
รตา เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายบุคคลเข้ามาเคาะประตูเรียกบุคคลทั้งสองไปที่ห้องประชุมทันทีที่เรียกหัวหน้าแผนกทุกฝ่ายเข้าไปรอพร้อมกันในห้องแล้ว ชายหนุ่มก้าวเข้ามาพร้อมบิดาโดยมีทุกคนยืนต้อนรับเป็นอย่างดี แต่สายตาของเขากลับเห็นแค่ทยาดาที่วันนี้สีหน้าดูหมองพิกล
“ทุกคนคงทราบถึงการทุจริตที่เกิดขึ้นภายในบริษัทแล้ว ฉะนั้นผมจึงขอแนะนำกรรมการบริษัทคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งเพื่อดูแลต่อในส่วนงานนี้” หลังจากเข้านั่งประจำที่ในแต่ละตำแหน่ง ประธานสูงสุดอย่างกมลภพก็พยักพเยิดให้กวินลุกขึ้นแนะนำตัว
สายตาของชายหนุ่มแทบไม่ได้ละไปจากทยาดาเลยสักนิด แม้เธอจะไม่ได้มองเขาเลยตั้งแต่เข้ามา
“ผมกวิน ภูธนากุล จะเข้ามารับตำแหน่งกรรมการลำดับที่หนึ่งซึ่งมีหน้าที่ดูแลและบริหารในทุกๆ ส่วนของบริษัทนี้โดยตรง หากพนักงานท่านใดมีปัญหาในเรื่องการทำงานก็สามารถนำเรื่องส่งมาที่ผมได้เลย”
ร่างสูงแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ และทุกคนก็ดูจะให้การตอบรับที่ดีด้วยการลุกขึ้นยืนโค้งรับเช่นกัน แม้แต่ทยาดาที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับก็ยังลุกขึ้น
กวินมองตามสายตาที่ทยาดาหันไปสบแล้วเสมองทางอื่นอย่างรวดเร็วประหนึ่งไม่อยากจะชายตาแล จึงได้เห็นร่างของคนที่เพิ่งเดินชนเขาเมื่อเช้า ซึ่งชายผู้นั้นกำลังจ้องหญิงสาวตาเป็นมันราวจะกลืนกินเธอเข้าไป พอเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกตงิดๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากจบการแนะนำตัวของเขา แต่ละฝ่ายก็เริ่มทยอยลุกขึ้นรายงานการทำงานในแต่ละฝ่ายของแต่ละสาขาให้ฟัง แม้จะตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี แต่สายตาเขาก็ยังมองไปทางทยาดาเป็นระยะ สลับกับคนที่แนะนำตัวเองว่าสพลนั่นด้วย
กวินรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่สพลจ้องมองหญิงสาวอย่างกรุ้มกริ่ม แต่ทยาดานั้นกลับหลบสายตาเป็นพัลวัน เผลอๆ ถ้าดวงตาเธอเอ่ยออกมาได้คงได้ยินเสียงด่าสนั่นออกมาจากสายตาจิกกัดคู่นั้นเป็นแน่ เพราะดูท่าทางหญิงสาวไม่ได้มีการตอบสนองที่ดีนักต่อชายผู้นั้นเลย
เห็นทีว่าเขาคงจะต้องทำความรู้จักทั้งสองคนนี้ให้มากขึ้นเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.