X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 9

เช้าวันต่อมาทุกคนมารวมตัวกันที่โถงจยาอัน

ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มเหลนชายที่หลานสะใภ้บ้านรองเพิ่งคลอดออกมา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

ในโถงนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ช้อนตาขึ้นเห็นสายตาเปล่งประกายของเมิ่งซู่ซีมองไปที่ตัวลู่เยี่ยน

ส่วนลู่เยี่ยน เขานั่งหันข้างให้ จิตใจจดจ่อพูดกับลู่เยี่ยของบ้านรองกับลู่ถิงของบ้านสาม ไม่หันหน้ามามองเลย

ฮูหยินผู้เฒ่าฉีกยิ้มมุมปาก หลานชายของนางผู้นี้ไม่ยอมไว้หน้าผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย

นางกระแอมกลั้วคอก่อนจะพูดกับเมิ่งซู่ซีว่า “ยายหนู ภาพร้อยกระเรียนที่เจ้าให้ข้าภาพนั้นเจ้าเป็นคนวาดเองหรือ”

เมิ่งซู่ซีรีบลุกขึ้น “เจ้าค่ะ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเรื่องตลกแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าพอใจมากพลางพูดอีกว่า “เจ้าอายุเท่านี้ สามารถลงพู่กันได้ดีแบบนี้นับว่าดีมากแล้ว แต่พูดถึงความงดงามเชิงศิลป์แล้วยังอ่อนด้อยอยู่บ้าง”

ได้ยินคำพูดนี้เมิ่งซู่ซีก็รีบพูดว่า “ไม่รู้ว่าซู่ซีวันนี้จะมีโชคได้รับการชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่เห็นนางพูดเข้าทางจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพูดถึงวิชาการวาด เจ้าไม่ควรมาขอคำชี้แนะคนแก่อย่างข้า เจ้าควรไปถามพี่เยี่ยนของเจ้า เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นลู่เยี่ยนไม่มีการตอบสนองจึงปั้นหน้านิ่งตะโกนเรียกเขา “เยี่ยนเกอเอ๋อร์!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเช่นนี้ ต่อให้ลู่เยี่ยนอยากจะแกล้งตายก็แกล้งต่อไปไม่ได้แล้ว

เขาหมุนตัวกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย “ท่านย่าเรียกข้าหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่หยิบภาพภาพหนึ่งมาจากมือของสาวใช้และยื่นให้ลู่เยี่ยน “นี่เป็นภาพวาดของน้องซีของเจ้า เจ้าลองดูสิ”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง ความหมายชัดเจนมากว่าหากเขากล้าไม่รับก็คอยดูต่อไป

ลู่เยี่ยนลุกขึ้นไปรับภาพมา จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา มองดูอยู่ครู่ใหญ่

เมิ่งซู่ซีเห็นภาพวาดของตนเองถูกเขากุมอยู่ในมือ หัวใจก็เต้นตุบๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหมือนว่าสิ่งที่เขากุมอยู่ไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นตัวนางเองกระนั้น

ชายหนุ่มที่เหมือนดวงจันทร์ส่องกระจ่างเช่นนี้ใครบ้างจะไม่หวั่นไหว

ผ่านไปครู่ใหญ่ลู่เยี่ยนจึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า “นี่ก็ดีมากไม่ใช่หรือ”

เมิ่งซู่ซีกว่าจะได้พูดคุยกับเขาไม่ง่ายนัก ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสไป “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าลู่พูดว่าภาพวาดของซู่ซีนี้ขาดความงามทางศิลปะไปหลายส่วน ซู่ซีอยากจะขอให้พี่เยี่ยนช่วยชี้แนะสักนิด วันหน้าจะขยันฝึกฝนเพิ่มขึ้นแน่นอน”

ได้ยินคำเรียกว่า ‘พี่เยี่ยน’ ลู่เยี่ยนก็ช้อนตาขึ้นจ้องตรงไปที่นางอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แม่นางเมิ่ง นั่นคือพรสวรรค์ เจ้าคิดว่าความขยันชดเชยความโง่ได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น ความงามทางศิลปะนี้ อาจารย์ชื่อดังจำนวนมากอยากได้ แต่ชั่วชีวิตก็ยังหาไม่ได้”

ลู่เยี่ยนยังคงไว้หน้าแม่นางเมิ่งผู้นี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา การจะพูดจนสตรีผู้หนึ่งอายโกรธจนอยากตายก็ย่อมทำได้

เพิ่งสิ้นเสียงพูดเมิ่งซู่ซีก็มีสีหน้าซีดขาว ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าบึ้งตึง ลู่ถิงของบ้านสามอึดอัดจนรีบยกมือขึ้นลูบหน้า องค์หญิงใหญ่มุมปากกระตุกเบาๆ มีเพียงนกเอี้ยงที่อยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังส่งเสียงร้องอย่างอ่อนล้าสองที

รอบด้านบรรยากาศเย็นเยือก เวินซื่อรีบลุกขึ้นกู้สถานการณ์ “นั่นสิ ถ้าให้ข้าพูดนะ ยายหนูหวังสูงมากเกินไป ฝีมือการวาดนี้น่าดูกว่าลู่เหิงของพวกเรามากไม่ใช่หรือ”

ลู่เหิงมองหน้าเวินซื่ออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง

 

ลู่เยี่ยนเพิ่งกลับถึงเรือนซู่หนิง องค์หญิงใหญ่จิ้งอันก็ตามมาถึง

“เจ้าเป็นอะไร” องค์หญิงใหญ่จิ้งอันสองแขนกอดอก

ลู่เยี่ยนขมวดหัวคิ้ว คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของตนจะย้ายข้างเร็วแบบนี้

“ท่านแม่อยากให้ข้าแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเมิ่งนั่นหรือ” ลู่เยี่ยนถาม

องค์หญิงใหญ่จิ้งอันช้อนตาขึ้นมองเขา “แม่พูดเมื่อใดว่าจะให้เจ้าแต่งกับนาง แต่ต่อให้ไม่พูดถึงการแต่งงาน นางก็เป็นหลานสาวของอาสะใภ้สามของเจ้า เรียกเจ้าว่าพี่ก็เป็นการสมควร เจ้าต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ” บุตรชายของนางเอง นางรู้จักดีที่สุด

ลู่เยี่ยนปิดปากเงียบไม่พูดจา

องค์หญิงใหญ่จิ้งอันเห็นท่าทางเย็นชาของเขาแล้วความโมโหก็พุ่งมาจากหลายทาง “ทางองค์หญิงฝูอันได้อุ้มหลานชายแล้ว แต่เจ้าดีจริง แต่งงานก็ยังไม่ได้แต่ง แม่ไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร สรุปคือเด็กสกุลเมิ่งนั่นแม่ดูแล้วเห็นว่าไม่เลว ถ้าเป็นไปได้ ปีหน้าก็กำหนดการแต่งงานไว้เลย”

เริ่มแรกลู่เยี่ยนยังมีสีหน้าว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขานึกถึงความฝันประหลาดซ้ำไปซ้ำมานั้นขึ้นมาในทันที

เขาในความฝัน จนถึงตายล้วนไม่มีภรรยาไม่มีบุตร

เขาเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง คิดถึงท่าทางตอนที่นางร้องไห้เจ็บปวดแทบขาดใจหน้าป้ายวิญญาณ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้พูดคำโต้แย้งออกมา เพียงพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะลองดู”

องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มอย่างแปลกใจออกมา

ได้คำว่า ‘ลองดู’ จากเขานี้ เห็นได้ว่านางที่เป็นแม่ก็คิดไม่ถึงแล้ว

ลู่เยี่ยนเป็นคนที่พูดแล้วต้องทำ ในเมื่อพูดคำนี้ออกมาแล้วย่อมไม่มีทางเปลี่ยนใจ หลังจากนั้นเขาไม่มีสีหน้าเย็นชากับเมิ่งซู่ซีอีกจริงๆ ทั้งยังมอบภาพวาดให้นางหลายภาพแสดงความเสียใจกับเรื่องวันนั้นอีกด้วย

เมิ่งซู่ซีตื่นเต้นยินดีที่ได้รับความสนใจ คำโบราณว่าไว้ให้ตีเหล็กตอนร้อน สองวันนี้ขอเพียงลู่เยี่ยนกลับจวน นางก็จะเอาภาพอักษรและภาพวาดไปขอคำชี้แนะจากเขาเสียยกใหญ่

ผ่านไปอีกหลายวันลู่เยี่ยนได้รับเชิญไปร่วมงานแต่งงานของสุยอวี้ เซวียนผิงโหวซื่อจื่อ

เจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี คนเต็มห้องล้วนพูดคำเป็นมงคล

สุยอวี้ถูกสหายหลายคนมอมเหล้า ยกเหล้าขอบคุณมาถึงลู่เยี่ยน ความเศร้าสลดที่เก็บกลั้นอยู่ในดวงตาก็ซ่อนไม่อยู่อีกต่อไป

เขาชนจอกสุรากับสหายรักของเขา จากนั้นดื่มรวดเดียวหมดจอก

สุยอวี้ในสายตาของทุกคนได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา โชคดีได้แต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ตนเอง มีเพียงลู่เยี่ยนผู้เดียวที่รู้ว่าสุยอวี้ไม่เคยวางคนผู้นั้นลงได้เลย

พูดถึงคนผู้นั้น นั่นเป็นเรื่องเก่าที่จำต้องพูดถึงอีกครั้ง

สามปีก่อนสุยอวี้สอบได้จิ้นซื่อกำลังเตรียมจะไปทาบทามสู่ขอเสิ่นเหยาคุณหนูรองสกุลเสิ่นที่จวนอวิ๋นหยางโหว ของขวัญพร้อมสรรพ แม่สื่อก็หาไว้แล้ว แต่ในตอนนั้นเององค์ชายรองเผ่าหุยหูเกิดความรักแรกพบต่อเสิ่นเหยาในงานเลี้ยงล่าสัตว์ครั้งหนึ่ง

ฮ่องเต้เดิมมีจุดประสงค์จะดึงเผ่าหุยหูมาเป็นพวกอยู่แล้ว พอได้ยินว่าอีกฝ่ายมีประสงค์จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงรีบมีราชโองการแต่งตั้งเสิ่นเหยาเป็นองค์หญิงหย่งเหอและเลือกวันมงคลให้ออกเรือนทันที

นี่เป็นพระบัญชาฮ่องเต้ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

แขกที่อยู่ด้านข้างดื่มมาก ตัวโอนเอนพูดขึ้นว่า “ถ้าข้ามีชีวิตแบบพี่เสี่ยวอวี้ได้คงตายอย่างไม่เสียดายแน่นอน”

สุยอวี้ได้ยินก็หันไปมองแวบหนึ่งแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

ไม่เสียดายหรือ

แต่ความเสียดายครั้งใหญ่สองครั้งในชีวิตเขา หนึ่งคือตอนมีชื่อในประกาศผู้ผ่านการสอบหน้าพระที่นั่งสองคือคืนวันเข้าห้องหอ

 

ตอนที่ลู่เยี่ยนออกจากจวนเซวียนผิงโหว ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว

เขาก้าวขึ้นรถม้า หลับตาอยู่นาน คิดถึงวิธีการเดี๋ยวรุกเดี๋ยวถอยของเมิ่งซู่ซีแล้วขี้เกียจกลับไปรับมือด้วยจริงๆ จึงพูดเสียงเย็นชาว่า “วันนี้ไม่กลับจวนแล้ว ไปเรือนหลันย่วนทางตะวันตก”

คำพูดนี้ออกมา หยางจงก็ตกใจ จากนั้นพูดเสียงอ่อยว่า “ซื่อจื่อ เรือนหลันย่วนพวกเราไปไม่ได้แล้วขอรับ”

ลู่เยี่ยนเลิกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีอะไร”

หยางจงมองดูท่าทางมึนเมาเล็กน้อยของซื่อจื่อตนเอง คิดว่าเขาคงลืมไปแล้วจึงพูดเตือนสติว่า “ท่านลืมแล้วหรือขอรับ หลายวันก่อนเพื่อรวบรวมเงินให้ครบแปดพันก้วน พวกเราขายเรือนหลันย่วนนั่นไปแล้ว”

หากรู้ว่าบ้านพักหลังหนึ่งในเมืองฉางอันมีราคาเพียงไม่กี่ร้อยก้วน เงินแปดพันก้วน พวกเขาต้องขายทรัพย์สินในมือไปจำนวนไม่น้อย

ได้ยินคำพูดนั้นแล้วลู่เยี่ยนก็พูดเสียงเบาว่า “อย่างนั้นหรือ”

เขากระตุกมุมปากยิ้ม แต่ในดวงตากลับมีไฟโกรธอย่างไร้สาเหตุ

“เช่นนั้นกลับจวนหรือไม่ขอรับ” หยางจงพูด

“ไม่ ไปคฤหาสน์เฉิงย่วน”

ไม่พูดเขาก็เกือบลืมไปแล้วว่าตนเองยังเลี้ยง ‘ภรรยาลับ’ ไว้นางหนึ่ง

ค่ำคืนอากาศเย็นเล็กน้อย เงียบสนิทไร้สุ้มเสียง

ตอนลู่เยี่ยนมาถึงคฤหาสน์เฉิงย่วน เสิ่นเจินเข้านอนแล้ว ภายในเรือนหลันเยวี่ยมืดสนิท ไม่ได้จุดไฟแม้แต่ดวงเดียว

ในเรือนนี้นอกจากเสิ่นเจินกับสาวใช้สองคนที่อยู่ที่นี่แต่เดิมแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก

เสิ่นเจินนอนหลับนิ่งเป็นพิเศษ ร่างบางนั้นตลอดทั้งคืนไม่ขยับแม้แต่น้อย

ลู่เยี่ยนพิงประตู เลิกคิ้วขึ้นสูง มองสำรวจแผ่นหลังของนางอย่างละเอียด แม้จะห่มผ้าห่มก็สามารถมองเห็นเรือนร่างเว้าโค้งนั้นได้ ส่วนที่ต่ำลงคือเอว ที่นูนสูงขึ้นคือสะโพก

ลู่เยี่ยนเข้ามาในห้อง จงใจทำเสียงดังเล็กน้อย เสียงฝีเท้าหนักอึ้ง เสียงขยับม้านั่งกลม

เขาเพิ่งดื่มสุรามา ในตอนนี้รู้สึกปากคอแห้งอย่างไร้สาเหตุ เขาหยิบกาน้ำบนโต๊ะขึ้นมา ค่อยๆ เอียงกา ทำเสียงน้ำไหลลงถ้วยออกมาอีกครั้ง

เสิ่นเจินที่หลับตาอยู่ผ่านไปครู่ใหญ่จึงลืมตาขึ้น มือเล็กกำหมัด ร่างกายแข็งเกร็ง ไม่กล้าหันหน้ากลับไป

ในเวลานี้คนที่สามารถบุกเข้ามาในคฤหาสน์เฉิงย่วนโดยไม่มีใครขวาง นอกจากเขาแล้วไม่มีใครอื่นอีก

ลู่เยี่ยนมองไปทางเสิ่นเจิน พบว่าคนที่อยู่ริมเตียงนั้นลำคอแข็งเกร็งมาก จึงรู้ว่านางตื่นแล้ว

เขายกถ้วยขึ้นจิบน้ำหนึ่งอึก จากนั้นพูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้าทำหน้าที่ภรรยาลับแบบนี้หรือ”

คำพูดประโยคเดียวทำลายความเงียบของภายในห้องลงทันที

เสิ่นเจินฟังออกถึงความโกรธของเขารางๆ รู้สึกเหมือนบนเตียงมีตะปูวางเต็มไปหมด จำต้องกัดริมฝีปากล่างและฝืนใจลุกขึ้นมา

นางขยับลงพื้นอย่างเงียบๆ เดินมาข้างกายเขาและเอ่ยพูดเสียงเบาว่า “ใต้เท้า”

ลู่เยี่ยนกวาดตามองนางแวบหนึ่ง เห็นเพียงนางสวมเสื้อผ้ารัดกุม แม้แต่เสื้อชั้นนอกก็ไม่ได้ถอดออก ไม่รู้ว่ากำลังป้องกันระวังใครอยู่

เขาขานรับ “อืม” ทีหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้น หันหน้ามาทางนางและกางสองแขนออก

เสิ่นเจินตอนแรกไม่เข้าใจความหมาย หลังจากสี่ตาประสานกันจึงเข้าใจว่าตนเองควรจะทำอะไร แต่มือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มลงมือจากที่ใด ลังเลอยู่นานจึงโอบเอวของเขาและช่วยถอดเสื้อผ้าให้

แต่เสิ่นเจินเป็นบุตรสาวจวนโหวที่ยังไม่ได้ออกเรือน จะรู้วิธีการปลดแถบคาดเอวของบุรุษได้อย่างไรกัน

ลู่เยี่ยนเห็นนิ้วมือเรียวราวต้นหอมขาวของนางขยับไปมาตรงแถบคาดเอวของเขา ปลดไม่ออกเสียที จึงทนไม่ไหวพูดว่า “เหตุใดเรื่องเหล่านี้เจ้าก็ยังทำไม่เป็น”

เสิ่นเจินรู้สึกว่าเหนือหัวเต็มไปด้วยความเย็นชา ความเศร้าก็เอ่อล้นเต็มหัวใจ เรื่องนี้ไม่มีใครเคยสอนนาง นางจะทำเป็นโดยไม่มีคนสอนได้หรือ

“ตอบ” เขาพูดอย่างหัวเสีย

ไม่สนใจคนอื่นเป็นเรื่องที่เขาทำมาโดยตลอด ถึงตาคนอื่นไม่สนใจเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน

เสิ่นเจินถูกความเข้มงวดของเขาทำให้ไหล่สั่นเทา ในใจกลอกตาใส่ แต่เสียงพูดตอบกลับเป็นผู้ยอมเชื่อฟังมากผู้หนึ่ง “ใต้เท้าอภัยให้ด้วย ข้าเพิ่งทำเป็นครั้งแรก”

ได้ยินคำพูดนี้เขาก็มองดูผมดำขลับนุ่มสลวยของนางและนิ้วมือที่ไม่เคยแตะต้องงานบ้านมาก่อน หัวคิ้วที่ขมวดอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก

ก็จริง หนึ่งเดือนก่อนนางยังเป็นคุณหนูสามจวนโหวที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีนางนั้น

ผ่านไปครู่หนึ่งลู่เยี่ยนก็จับสองมือเล็กของนางโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง บีบนิ้วมือนาง แอบใช้แรงราวกับสอนคนจับพู่กัน และค่อยๆ สอนให้นางปลดแถบคาดเอวของเขา

“ทีนี้จำได้หรือยัง” ลู่เยี่ยนปล่อยมือนาง

เสิ่นเจินหน้าแดงก่ำ มือไม่รู้ว่าควรจะวางไว้ที่ใด แต่ก็นึกถึงคำว่า ‘ตอบ’ ที่เย็นชาของเขาขึ้นมาทันใดจึงรีบเอ่ยตอบว่า “จำได้แล้วใต้เท้า”

ใช้ได้ รู้จักจดจำเพิ่มขึ้น ลู่เยี่ยนคิด

เสิ่นเจินตอบแล้ว คนผู้นี้ยังคงขวางอยู่ตรงหน้านาง นางเดาว่านี่คงหมายความว่าให้นางทำต่อไป

ในหัวของนางรีบย้อนคิดว่าปกติชิงซีปรนนิบัตินางอย่างไรบ้าง

พูดไปก็แปลก ถูกคนปรนนิบัติมาหลายปี การกระทำเหล่านี้เดิมทีควรจะคุ้นเคยที่สุด แต่ตอนนี้คิดไปแล้วกลับติดๆ ขัดๆ ต่อไม่ค่อยติดเลย

หากไม่ใช่เพราะท้องฟ้าข้างนอกยังมืดสนิทดังเดิม เสิ่นเจินถึงขั้นคิดว่าตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว

อยู่กับเขาหนึ่งวันราวหนึ่งปีจริงๆ

เสิ่นเจินช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหันไปจุดตะเกียง จากนั้นนำเสื้อที่เปลี่ยนแล้ววางไว้บนโต๊ะไม้พะยูงหอมรูปใบบัว

จากนั้นยืนอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงอะไร

ลู่เยี่ยนนั่งลงบนเตียง อาศัยแสงเทียนที่พลิ้วไหวมองใบหน้าของนาง ดูขาวสะอาด เลือนราง ดวงตาดูบริสุทธิ์แต่แฝงความงดงาม เขามองจนเพลินไปชั่วขณะ

ตอนที่ดึงสติกลับคืนมาก็อดคิดไม่ได้ว่านางคือคนในความฝันที่ทำให้ตนเองถึงตายก็ลืมไม่ลงผู้นั้นหรือ

ในเวลาเดียวกันนี้ เสิ่นเจินขยับก้าวมาข้างกายเขา พูดเสียงเบาว่า “ใต้เท้าจะค้างคืนหรือ”

ลู่เยี่ยนประสานสายตากับนางแล้วส่งเสียงตอบรับว่า “อืม”

ในเมื่อเป็นภรรยาลับของเขา นางย่อมรู้ว่าการอยู่ร่วมห้องกับเขา มีการสัมผัสผิวเนื้อกับเขา เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น แต่คิดก็ส่วนคิด การจะทำนั้น…มันช่างน่ากลัวจริงๆ

นางขยับเข้าไปห่มผ้าให้เขา จากนั้นก็เป่าตะเกียง

ภายในห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง

จากนั้นเสียงฝีเท้าเบาและเร็วย้ายไปที่ประตู “เช่นนั้นใต้เท้าก็รีบพักผ่อนเถอะ”

ยังไม่ทันเปิดประตู ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งกำลังจับจ้องเงาร่างงดงามนั้นก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “จะไปที่ใด”

ลู่เยี่ยนยิ้มเยาะเบาๆ เขาทำอะไรนางหรือนางจึงคิดหนี

คืนนี้…

ข้าต้องการตัวเจ้า เจ้าก็ต้องน้อมรับ

ไม่ต้องการตัวเจ้า ก็ห้ามหนีเช่นกัน

บทที่ 10

แสงจันทร์สีเงินถูกเมฆดำบดบัง ต้นอู๋ถงที่ใบร่วงโกร๋นกลางลานเรือนถูกลมพัดไหว กระดิ่งบนชายคาเรือนดังสองที มือของเสิ่นเจินชะงักอยู่บนห่วงประตู

นางหลับตาลงอย่างเสียใจและรำคาญใจมาก จากนั้นก็หันหน้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดเสียงอ่อนหวาน “ใต้เท้ายังมีอะไรอื่นอีกหรือ”

“กลับมา” เขาพูดเสียงเบา

เสิ่นเจินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา รู้สึกว่าเท้าหนักเป็นพันชั่งขึ้นมาทันใด แต่จำต้องเดินกลับไป

ลู่เยี่ยนเห็นนางเดินกลับมาก็ตบไปที่ผ้าห่มหนึ่งทีและพูดว่า “จุดตะเกียง นั่งลง”

เสิ่นเจินจุดตะเกียง จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลง

ลู่เยี่ยนโน้มตัวมองนาง สายตาของเขาเย็นเยือกยิ่งกว่าลมในฤดูหนาวเสียอีก เพียงแวบเดียวก็สามารถมองทะลุความคิดของนางได้ “ไปเตรียมน้ำ ข้าจะอาบน้ำ”

เสิ่นเจินรับคำ จากนั้นเรียกได้ว่าเหมือนหนีหัวซุกหัวซุน ย้อนคิดถึงสายตาของเขาเมื่อครู่ เป็นการสั่งให้นางเตรียมน้ำเสียที่ไหน เป็นการถามนางชัดๆ ว่า ‘ข้าให้เจ้าออกไปแล้วหรือ’

ตอนลู่เยี่ยนกลับมาจากห้องอาบน้ำเสิ่นเจินยังอยู่ในห้อง เทียบกับตอนที่เขาเพิ่งเข้าห้องมาแล้วดูโอนอ่อนผ่อนตามขึ้นมาก

คงไม่มีเคยมีใครสอนให้ปรนนิบัติผู้อื่นสินะ

ลู่เยี่ยนคิดพลางนอนลงบนเตียง

ราชวงศ์จิ้นชายหญิงร่วมเตียงกัน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรืออนุภรรยาล้วนเป็นชายนอนชิดใน หญิงนอนริมนอก ทว่าลู่เยี่ยนขึ้นเตียงก็นอนลงบนตำแหน่งเดิมของเสิ่นเจิน

เสิ่นเจินเห็นเขาครั้งนี้จะนอนจริงแล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “ใต้เท้า ดับไฟหรือไม่”

ลู่เยี่ยนส่งเสียงรับ

ภายในห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง

ลู่เยี่ยนตะแคงตัวมองเสิ่นเจินที่สวมเสื้อเรียบร้อยแผ่นหลังแข็งตรงแวบหนึ่งแล้วถามประชดว่า “ตอนเจ้าอยู่จวนโหวก็สวมเสื้อชั้นนอกนอนหรือ”

มือของเสิ่นเจินที่วางอยู่บนตักกำแน่น “ใต้เท้า ข้าค่อนข้างกลัวหนาว”

สิ้นเสียงพูด ลู่เยี่ยนก็แค่นเสียงยิ้มเยาะหนึ่งที

สองวันมานี้แม้ตัวเขาจะไม่ได้มา แต่ถ่านไม้ก็ไม่ได้ขาดส่งให้นาง เขาสวมเสื้อตัวกลางยังไม่หนาว นางจะหนาวหรือ

ลู่เยี่ยนไม่ได้คิดจะทำอะไรและขี้เกียจเปิดโปงนาง แต่เห็นนางไม่นอนลงเสียทีจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นอีกครั้ง

ในความคิดของเขา การจะแตะต้องนางหรือไม่เป็นเรื่องของเขา ไม่ต้องให้นางคอยระวังเขาเลย ดังนั้นจึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “เจ้าจะนั่งแบบนี้ทั้งคืนหรือ”

เสียงเข้มของเขาราวกับแฝงการเตือนเอาไว้เล็กน้อย

พอได้ยินคำพูดนี้แล้วเสิ่นเจินก็นึกท้อใจไปหมด ร้องไห้ก็ไม่กล้าร้อง กัดริมฝีปากและแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแต่โดยดี

เป็นคุณหนูอยู่ในจวนอวิ๋นหยางโหวมาสิบหกปี เป็นครั้งแรกที่มีชายหนุ่มมานอนอยู่ข้างกาย ความง่วงเล็กน้อยเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว

นางตัวแข็งเกร็ง ไม่กล้าหายใจแรง กลัวว่าเพียงขยับจะแตะถูกตัวของเขา

นางไม่อยากได้ยินเขาพูดอีกแล้ว

ทุกคำพูดล้วนเหมือนมีดเล่มหนึ่ง และนางยังไม่สามารถต่อต้านได้อีกด้วย อย่าว่าแต่ตัวนางเองเลย แม้แต่เสิ่นหงก็ยังอยู่ในมือของคนเขาด้วย

รอจนลมหายใจของคนข้างกายสม่ำเสมอนางจึงได้โล่งอก

เสิ่นเจินลองหลับตาลง แต่จู่ๆ ก็มานอนขอบเตียงด้านนอก ไม่เคยชินเลยจริงๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ นางแทบจะพลิกตัวทุกๆ หนึ่งเค่อ

ลู่เยี่ยนถูกนางทำให้ตื่นจึงขมวดคิ้วเบาๆ ต่อให้เขานอนหลับสนิทเพียงใดก็ยังถูกนางทำให้ตื่นได้อยู่ดี

เขายื่นแขนยาวออกมาวางลงบนตัวนางและพูดเสียงแหบพร่า “เจ้าอย่าขยับอีกเลย”

การกระทำของเขาสำหรับเสิ่นเจินแล้วไม่ต่างอะไรกับชาวประมงฆ่าปลา ยกมือตวัดมีดลงมาและตีนางให้ตายในทันที

ตลอดทั้งคืนนางล้วนอยู่ในท่านี้ ไม่ได้ขยับอีกเลย

ที่ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง แสงอรุณที่สบายตาส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ความอบอุ่นพัดผ่าน ลู่เยี่ยนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

จะว่าไป เมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันประหลาดอะไรเลย นับว่าเป็นการนอนหลับสบายที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเลย

หันไปมองที่เสิ่นเจินกลับปวดหัวแทบแตก สองขาเป็นเหน็บชา ใต้ตาดำคล้ำ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

ทั้งสองคนขยับลงจากเตียง นิ่งเงียบไม่พูดจา

ลู่เยี่ยนกระหายน้ำจึงเดินไปถึงหน้าโต๊ะก่อนจะยกกาน้ำขึ้นมาเขย่าดู พบว่าในนั้นไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ไม่เพียงแค่น้ำ เขาตื่นนอนแล้ว ในห้องนี้แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าร้อนๆ ก็ยังไม่มีสักผืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารเช้า

เขากวาดตามองเสิ่นเจินที่ง่วงซึมอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาเข้าใจแล้ว เขาหาภรรยาลับมาเสียที่ไหน เขาหานายที่สูงศักดิ์กว่าตนเองมาผู้หนึ่งต่างหาก

อีกครู่ยังต้องเข้างาน ไม่มีเวลามาระบายความโกรธ เขาจึงลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ผลักประตูเรียกสาวใช้สองคนกลางลานเรือน

คนหนึ่งชื่อโม่เยวี่ย อีกคนชื่อถังเยวี่ย ทั้งสองคนเป็นสาวใช้ที่พ่อบ้านจวนเจิ้นกั๋วกงซื้อมา ย่อมรู้ฐานะของลู่เยี่ยน พอเห็นลู่เยี่ยน ทั้งสองก็ส่งเสียงเรียกพร้อมกัน “ซื่อจื่อ”

ถังเยวี่ยพูดขึ้นก่อน “บ่าวไม่รู้ว่าซื่อจื่อตื่นแล้ว จะไปเตรียมน้ำเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

โม่เยวี่ยพูดอีกว่า “วันนี้ฝางหมัวมัวในห้องครัวลางาน บ่าวฝีมือไม่ค่อยดี ทำเป็นเพียงข้าวต้มขาวและกับข้าวเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่ถูกปากซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

ลู่เยี่ยนก้มหน้าจัดแขนเสื้อ “ไม่เป็นไร”

“ซื่อจื่อจะกินอาหารที่เรือนหลันเยวี่ยใช่หรือไม่เจ้าคะ” โม่เยวี่ยถาม

ลู่เยี่ยนตอบว่า “ไปกินที่ห้องปีกตะวันตก”

หลังจากล้างหน้ากลั้วปากแล้วอาหารเช้าก็ส่งมาถึง

ที่วางอยู่บนโต๊ะคือข้าวต้มขาว ผักกาดเขียวปลีดอง ผัดสามสหายเพิ่มด้วยฮวาเจวี่ยนไหมทองหนึ่งจาน ยังมีน้ำแกงฟักเขียวอีกหนึ่งชาม

คราวนี้เสิ่นเจินนับว่าฉลาดขึ้น เห็นเขานั่งลงกินอาหาร ตัวเองก็รีบเดินเข้าไป การคีบอาหารให้เช่นนี้นางยังพอทำเป็น อย่างไรเสียตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่นางก็คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ บ่อยครั้ง

นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเหอเถาชิ้นหนึ่งวางไว้ในถ้วยของเขา เห็นเขากินแล้วก็คีบซิ่งเหรินให้อีกชิ้น จากนั้นก็ตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งวางไว้ข้างๆ

เดิมทีนางคิดว่าครั้งนี้คงไม่ต้องฟังเขาหาเรื่องอีกแล้ว แต่นางไม่ได้นอนทั้งคืนและไม่ได้กินอาหาร ความหิวยากจะทนไหว ในตอนนี้ท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา

เขานั่งอยู่ นางยืนอยู่ ด้วยความต่างส่วนสูงของร่างกายเสียงนี้จึงดังอยู่ข้างหูของเขาพอดิบพอดี เขาย่อมต้องได้ยินแน่นอน

ไม่ผิดไปจากที่คิด ลู่เยี่ยนชะงักตะเกียบช้อนตามองนาง

สี่ตาประสานกัน ใบหน้าของเสิ่นเจินราวกับถูกทาด้วยสี แดงก่ำทั้งหน้า แม้แต่แววตาก็ยังว้าวุ่นตามไปด้วย

ศักดิ์ศรีของนางในฐานะธิดาตระกูลใหญ่สองวันนี้ล้วนถูกเขาหยามไปพอสมควรแล้ว เห็นเขาจะเอ่ยปากพูดนางก็ยกมือขึ้นปิดหูตนเองโดยไม่คิดอะไรเลย นางไม่อยากฟังอีกแล้วจริงๆ

ลู่เยี่ยนเห็นปฏิกิริยาอย่างฉับพลันของนางทำให้หัวเราะออกมา

ครั้งนี้ลู่เยี่ยนไม่ได้เป็นเหมือนที่นางคิดไว้

เขาเพียงแค่แตะหลังของนาง พูดเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “หิวแล้วก็นั่งลงกินพร้อมกัน”

เสิ่นเจินนั่งลง ไม่ได้ทรมานตนเอง หยิบตะเกียบขึ้นมา ยกข้าวต้มที่เหลือนั้นขึ้นมานั่งเงียบเรียบร้อย ค่อยๆ คีบผักกาดเขียวปลีชิ้นหนึ่งขึ้นมา ตอนที่ส่งเข้าปากไม่มีเสียงดังแม้แต่น้อย

แต่เพิ่งเคี้ยวไปหนึ่งคำ หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นมา

อาหารนี้ทำได้ไม่มีรสชาติเลย เทียบฝีมือกับหมัวมัวและชิงซีแล้วเรียกว่าหนึ่งคือฟ้า อีกหนึ่งคือดินเลยทีเดียว

นางผ่อนคลายอารมณ์แล้วกินฮวาเจวี่ยนไหมทองอีกหนึ่งคำ ใบหน้าเล็กผิดหวังโดยสิ้นเชิง

แม้แต่ฮวาเจวี่ยนก็แข็งมาก

นางขมวดคิ้ว หลังจากฝืนตนเองกินไปสองคำแล้วก็วางตะเกียบลงทันที

การกระทำเหล่านี้ของนางล้วนอยู่ในสายตาของลู่เยี่ยนไม่ขาดตกแม้แต่อย่างเดียว

เขากระตุกหนังตา พูดเสียงเอื่อยว่า “ปกติเจ้าเลือกกินอาหารแบบนี้หรือ”

ได้ยินเขาเอ่ยปากพูด เสิ่นเจินก็เหมือนถูกฟ้าผ่า ไม่กล้าพูดความจริง ทำได้เพียงกัดฟันพูดข้างๆ คูๆ “ใต้เท้า ข้าเพียงแค่…ไม่ค่อยหิว”

ลู่เยี่ยนมองนางกึ่งยิ้มแวบหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้น

แท้จริงแล้วเขาก็เลือกกินตั้งแต่เด็ก กลิ่นคาวดมไม่ได้แม้แต่น้อย ในจวนเจิ้นกั๋วกงเปลี่ยนพ่อครัวเพื่อเขามาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว แต่ว่าเขาเริ่มไม่สนใจอาหารคาวไม่คาว กินได้ทุกอย่างตั้งแต่เมื่อใดหนอ

เขาคิดว่าคงเป็นในปีที่เขาไปรับตำแหน่งนายอำเภอหยางซานกระมัง

ขุนนางราชสำนักไม่ได้กินดีอยู่ดีเท่ากับชนชั้นสูง ออกไปตรวจตราท้องที่ขึ้นมาก็ใช้เวลาเป็นวัน

ต่อให้เป็นปากที่ช่างเลือก สุดท้ายก็ยังพ่ายให้แก่ความหิว

เขาเข้าใจนางครั้งหนึ่งอย่างหาได้ยาก นางถูกเลี้ยงดูอย่างมีเกียรติมาสิบหกปี เสื้อมายื่นมือ ข้าวมาอ้าปาก สาวใช้นับไม่ถ้วนห้อมล้อมซ้ายขวา คิดจะแก้นิสัยในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องภายในวันเดียว

เขาใช้ผ้าเช็ดมือและเดินไปข้างกายนาง แตะหัวของนางทีหนึ่ง พูดอย่างไม่หนักไม่เบาว่า “ต่อให้ไม่ชอบกิน อย่างน้อยตอนนี้มันยังร้อนอยู่ อย่ารอให้มึนหัวตาลายแล้วมากินอาหารตอนเย็นชืด”

คำพูดนี้เข้าหูของเสิ่นเจินก็มีความหมายสองแง่อยู่บ้าง ฟังครั้งแรกเหมือนแค่ถูกเขาว่าเรื่องการเลือกกินของนาง แต่พอคิดอย่างละเอียดจะไม่ใช่การว่ากระทบนางได้อย่างไร

อาหารเย็นชืดนี้ก็เหมือนสภาพการณ์ของนาง อาหารหายากรสเลิศไม่มีเหลือนานแล้ว

ต่อให้ฝืนทนไม่ยอมกิน ฝืนทนต่อไปจะทนได้นานเท่าใดกัน

ช้าเร็วก็ต้องก้มหัวลงต่ำไม่ใช่หรือ

เสิ่นเจินเงยหน้ามองเขา ไม่รู้ว่าคิดตกแล้วใช่หรือไม่ นางยื่นมือไปคว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้และพูดเสียงเบาว่า “ใต้เท้ากำลังสอนให้ข้ารู้ตนเองใช่หรือไม่”

แท้จริงแล้วตอนที่ลู่เยี่ยนพูดคำนี้ไม่ได้คิดมากอย่างนั้น เขาเพียงแค่ทนไม่ได้ที่เห็นนางหิวจนถึงขั้นนั้นแล้วยังไม่ยอมกินอาหารอีก

แต่ถูกนางเข้าใจไปแบบนี้เขากลับไม่ได้คิดจะตอบโต้ จึงพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าคิดกระจ่างได้ย่อมดีที่สุด”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 64 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: