‘ฉันจะรักษาตัวให้หายเร็วๆ รอฉันกลับไปนะ’
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
ลู่จยาถอนหายใจ รู้ดีว่าที่ทำไปนั้นมันไร้ประโยชน์ เธอยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงอี้เหิงดู ‘ทางสโมสรจะไล่ฉันออกแล้ว’
เฉิงอี้เหิงอ่านข้อความบนจอโทรศัพท์มือถือของลู่จยาแล้วรู้สึกขมฝาดในลำคอ เขารู้ดีว่าสนามแข่งขันนั้นมีความสำคัญกับนักแข่งรถอย่างพวกเธอมากแค่ไหน มันอาจหมายถึงชีวิตเลยก็ว่าได้
ทว่าตอนนี้กลับมีคนจะมายึดเอาชีวิตของเธอไป และลู่จยาก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ
‘แล้วคุณตัดสินใจยังไง’
‘จะทำอะไรได้ ก็ต้องรอให้ขาหายก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าไม่มีสโมสรไหนต้องการฉันแล้ว ฉันก็จะเช่ารถแข่งเอง แค่ต้องใช้เงินมากหน่อย’ ลู่จยาพูดอย่างสบายๆ ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร
ทั้งคู่เดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะข้ามถนนก็มีพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ร้องโหวกเหวกโวยวายผ่านหน้าทั้งสองคนไป ลู่จยาไม่อาจละสายตาจากคนเหล่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงอี้เหิงเห็นความเหงาหงอยในแววตาของลู่จยา
ตอนนั้นเอง เฉิงอี้เหิงถึงรู้สึกว่าท่าทางไม่สนใจอะไรของลู่จยาอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง และนั่นทำให้เขาพลอยเศร้าไปกับเธอด้วย
ลู่จยาเห็นว่าเฉิงอี้เหิงกำลังจ้องเธออยู่จึงถามขึ้น ‘คุณจ้องฉันทำไมเนี่ย’
‘ดูท่าทางคุณจะชอบแข่งรถมากๆ แถมคุณก็มีพรสวรรค์ด้วย แต่กลับมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมเชื่อว่ายังไงขาของคุณจะต้องกลับมาดีอีกครั้ง’
‘คุณขอโทษฉันเรื่องอะไร คุณไม่ใช่คนที่ทำให้ฉันเกิดอุบัติเหตุสักหน่อย เขาว่ากันว่าพวกหมอมีจิตใจเมตตาประหนึ่งบิดามารดา แต่คุณเนี่ยเมตตาเกินไปหรือเปล่า’ ลู่จยาพูดยิ้มๆ รอยยิ้มของเธอมีความดูแคลนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ส่อเจตนาร้ายอะไร ‘ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณด้วยนะ’
ถึงตอนนี้ลู่จยาก็รู้สึกแล้วว่าเฉิงอี้เหิงคนนี้เป็นคนดีทีเดียว เธอจึงรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้แสดงกริยาไม่ค่อยดีใส่เขาตอนอยู่ในโรงพยาบาล
‘ผมพูดจริงๆ นะ’ เฉิงอี้เหิงบอกทั้งที่ยังยืนอยู่กลางถนนในยามค่ำคืน เขาไม่ได้สนใจสัญญาณไฟจราจรแล้ว ‘ผมได้ดูการแข่งขันคุณอยู่หลายครั้ง ได้เห็นท่าทางฮึกเหิมของคุณตอนอยู่ในสนามแข่ง คุณน่ะเกิดมาเพื่อการแข่งขันจริงๆ’
ลู่จยายักไหล่ เธอไม่ได้คิดจะพูดอะไรต่อแต่กลับใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเดินต่อไปข้างหน้า เฉิงอี้เหิงจึงเดินตามเธอไป ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงแรมที่ดูกลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่ง
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์กำลังดูละครแนวแม่ผัวลูกสะใภ้พลางแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย เมื่อเห็นว่ามีคนมาจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะมองพวกเขาตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วพึมพำออกมา ‘ขาหักแล้วยังจะคิดมาเปิดห้องอีก’
‘ใช่ แบบนี้สิถึงจะสนุก’ ในเมื่อน้ำเสียงของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ไม่เป็นมิตร ลู่จยาเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นกัน
เมื่อถูกย้อนเข้า พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เปลี่ยนเรื่อง ‘บัตรประชาชน?’
‘ลืมเอามา’ ลู่จยาตอบง่ายๆ
ทว่าเฉิงอี้เหิงกลับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาส่งให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์แย้งขึ้น ‘ไม่ได้ เอกสารของใครของมัน’
‘งั้นก็ช่างเถอะ’ ลู่จยาหันหลังเดินกลับ
เห็นแบบนั้นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ถึงได้เรียกเอาไว้ ‘เดี๋ยวๆๆ ฉันหมายถึงเวลาปกติน่ะ แต่นี่มันดึกมากแล้ว ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรขนาดนั้น’
‘อ้อ’ ลู่จยาดึงคีย์การ์ดจากมือพนักงานหน้าเคาน์เตอร์
เฉิงอี้เหิงคิดจะหันไปบอกกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ว่าเขาขึ้นไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลงมาแล้ว แต่กลับโดนลู่จยาใช้สายตาห้ามเอาไว้เสียก่อน
ลู่จยาโขยกเขยกขึ้นบันไดไปหลายขั้นแล้วถึงค่อยยื่นมือมาทางเฉิงอี้เหิง ‘ขึ้นมาพยุงฉันหน่อย’
เฉิงอี้เหิงยื่นมือออกไปให้เธออย่างว่าง่าย เขาพยุงลู่จยาเอาไว้ ตัวของนักแข่งสาวพิงอยู่กับอกของเฉิงอี้เหิง แล้วลู่จยาพูดขึ้นอีกว่า ‘ในเมื่อเขาพูดซะขนาดนี้แล้ว คุณก็ทำตามนั้นไปเถอะ’