‘นั่นคือเรื่องที่พวกคุณต้องไปตรวจสอบ ฉันเองก็เป็นผู้เสียหายนะ’ ลู่จยาเน้นย้ำ ‘คุณไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดเทียนหวั่งแล้วหรือยังคะ’
‘พอดีว่าในคืนนั้นมีพายุและฝนตกก็หนักอีกด้วยกล้องวงจรปิดจึงเสียหายครับ พวกเขาส่งกล้องไปซ่อมแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกข้อมูลคืนได้หรือเปล่า’
ลู่จยารู้สึกหงุดหงิด ‘แล้วจะทำยังไงต่อ’
‘เราคงต้องตรวจสอบต่อไปครับ’ คุณตำรวจเหลิ่งพูด ‘ยังไงก็ขอให้ติดต่อได้เสมอแล้วกันนะครับ ถ้าหากคุณต้องการอะไรก็บอกพวกเราจะได้ให้ความช่วยเหลือคุณ’
‘ฉันไม่คิดอยากจะติดต่อกับตำรวจตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่สำคัญฉันไม่คิดว่าพวกคุณจะช่วยอะไรฉันได้ คราวที่แล้วฉันถูกซุปไก่สาดใส่ แถมยังมีพวกนักข่าวรุมถ่ายรูปฉันอย่างบ้าคลั่งอีก แค่นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วนี่คะ’
คุณตำรวจเหลิ่งพูดไม่ออก เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า ‘เรื่องคราวที่แล้วเป็นเพราะพวกเราไม่รอบคอบ คราวหน้าพวกเราจะส่งเจ้าหน้าที่…’
‘เอาเถอะ’ ลู่จยาตัดบทคุณตำรวจเหลิ่ง เธอไม่อยากจะได้ยินคำแก้ตัวของเขาอีกจึงเปลี่ยนเรื่อง ‘เฉิงอี้เหิงล่ะคะ?’
‘คุณถามหาเขาทำไมครับ คุณสนิทกับเขาเหรอ’ คุณตำรวจเหลิ่งถามกลับ
‘คุณตำรวจเหลิ่ง วันนั้นมีนักข่าวจำนวนไม่น้อยพุ่งเข้ามาในห้องพักคนไข้ แล้วยังมียายป้าสติไม่ดีเอาซุปไก่สาดใส่ฉันทั้งตัวอีก เรื่องนี้คุณก็รู้นี่ ฉันต้องการเจอคุณหมอเพื่อจะเปลี่ยนห้องพักค่ะ ฉันไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่กลับต้องมาปวดหัวตายเพราะนักข่าว’
‘คุณลู่จยา คุณอย่าหาว่าคำพูดของผมไม่น่าฟังเลยนะครับ พ่อแม่ของฮว่าถิงมีลูกเพียงคนเดียว ตามข้อมูลที่เราได้รับมา สองคนสามีภรรยาฝากความหวังทุกอย่างไว้กับลูกสาว แล้วคุณฮว่าถิงมาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ คนผมขาวส่งคนผมดำ พ่อแม่ของเธอย่อมต้องเสียใจมาก สำหรับเรื่องสาดซุปเมื่อครั้งก่อน พวกเราได้ตักเตือนพวกเขาไปแล้ว คุณก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะครับ’
เด็กกำพร้าอย่างลู่จยาได้ยินคำพูดนี้เข้าในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา หากพูดในมุมมองของพ่อแม่ของฮว่าถิง พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาฮว่าถิงจริงๆ เมื่อทั้งคู่เสียลูกสาวไปก็ต้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง
เธอพยักหน้ารับ ‘ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันขอไปห้องน้ำหน่อยนะ’
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ลู่จยาก็ติดต่อกับอดีตผู้ช่วยส่วนตัวของเธอ ‘เสี่ยวเข่อ จำรหัสบัตรเอทีเอ็มของฉันได้ใช่ไหม รบกวนเธอไปหาเลขบัญชีธนาคารของพ่อแม่ฮว่าถิงให้หน่อยนะ แล้วเอาบัตรเอทีเอ็มในล็อกเกอร์ของฉันที่สโมสรไปโอนเงินให้พวกเขาห้าล้าน’
‘ห้าล้าน?’ เสี่ยวเข่ออดีตผู้ช่วยของเธอร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ‘พี่จยา พี่รู้ไหมว่าพี่มีเงินอยู่เท่าไหร่’
‘ให้โอนก็โอนเถอะ สองคนนั่นเขาสูญเสียลูกสาวไปคงไม่มีรายได้ไม่มีเงินเลี้ยงตัวแล้ว เงินห้าล้านคงจะพอให้พวกเขาเลี้ยงตัวเองต่อไปได้แล้วล่ะมั้ง’
‘พอให้พวกเขาเลี้ยงตัวต่อไปได้? แล้วพี่คิดหรือเปล่าว่าตัวเองจะอยู่ยังไง อีกอย่างนะพี่จยา เรื่องพ่อแม่ฮว่าถิงบุกเข้าไปในห้องพักคนไข้แล้วทั้งทำร้ายทั้งสาดน้ำแกงใส่พี่มันกระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้วนะ ทุกคนพากันพูดว่าพี่เป็นฆาตกรฆ่าฮว่าถิง แล้วตอนนี้พี่ยังจะโอนเงินให้พ่อแม่เขามากมายขนาดนั้นอีก คนอื่นต้องคิดเลอะเทอะไปกันใหญ่แน่’ เสี่ยวเข่อบ่นยืดยาว
‘เธอไม่พูดฉันไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ตอนโอนเงินก็ไม่ต้องใส่ชื่อไปอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เลิกพูดได้แล้วน่า ฉันมีธุระ อย่าลืมนะฝากไปจัดการด้วย ให้เร็วที่สุดล่ะ’ พอลู่จยาออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าคุณตำรวจเหลิ่งยังไม่กลับไป เธอจึงมองคุณตำรวจเหลิ่งด้วยความหงุดหงิด
‘คุณหมอเฉิง! คุณมานี่หน่อยสิคะ!’ เมื่อเห็นเฉิงอี้เหิงเดินผ่านมา ลู่จยาก็รีบตะโกนเรียกเขา เธอตั้งใจจะแสดงอะไรสักอย่างให้คุณตำรวจเหลิ่งดูเพื่อเร่งคุณตำรวจเหลิ่งให้รีบกลับไป
เธอดึงเฉิงอี้เหิงเข้ามากระซิบข้างหู ‘เรื่องที่พูดกันเมื่อคืน คุณยังจำได้ใช่ไหม’
เฉิงอี้เหิงพยักหน้ารับ
ทว่ากลับมีพยาบาลถือถาดเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาชนเฉิงอี้เหิง เฉิงอี้เหิงที่ไม่ทันระวังจึงล้มทับตัวลู่จยา
ดวงตาของทั้งสองมองสบกัน ใบหน้าอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร