ใบหูของเฉิงอี้เหิงแดงขึ้นมาทันที แพทย์หนุ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มตรงหน้าอกของตน แต่ลู่จยากลับไม่สะทกสะท้านซ้ำยังยื่นนิ้วเย็นๆ ออกไปเขี่ยจมูกของเขาอีก
เฉิงอี้เหิงหน้าแดงจัดรีบลุกขึ้นยืน ทว่าลู่จยากลับไม่ยอมปล่อยเขา ‘คุณหมอเฉิงจมูกโด่งดีนะ’
เธอเคยได้ยินมาว่าคนจมูกโด่งมักจะเก่ง ‘เรื่องนั้น’
ในที่สุดลู่จยาก็ทำให้คุณตำรวจเหลิ่งกลับไปจนได้ ตำรวจหนุ่มทิ้งเบอร์ติดต่อไว้พร้อมกำชับเธอไม่ให้ออกจากพื้นที่ตามอำเภอใจก่อนจะกลับไป
เฉิงอี้เหิงอยู่ในห้องพักคนไข้ต่ออีกครู่ใหญ่ เขาหยิบบัตรเดบิตและกระเป๋าสตางค์ของเธอออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ส่งให้ลู่จยา
‘เมื่อครู่ตอนที่อยู่ด้านนอกผมเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นประธานของสโมสรที่คุณสังกัดอยู่ พอดีเขาเห็นตำรวจยังอยู่ก็เลยไม่สะดวกเข้ามา แล้วก็ฝากเจ้านี่มาให้คุณพร้อมกับจดหมายอีกฉบับ’
ลู่จยารับมาและเปิดจดหมายออกดู ในจดหมายเขียนไว้ว่า
‘จยาจยา พวกเราต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้เรื่องราวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกำลังลุกลามใหญ่โตทำให้ทางสโมสรไม่สามารถให้คุณเป็นนักแข่งของสโมสรต่อไปได้ เรื่องการยกเลิกสัญญานั้น ผมจะให้ผู้จัดการส่วนตัวของคุณมาเจรจาอีกที ส่วนเงินในบัตรนั่นถือซะว่าเป็นเงินชดเชยจากทางสโมสร คุณใช้มันได้ตามสบายเลย ผมแนบรหัสบัตรมาให้แล้วในซองจดหมาย แล้วก็เสี่ยวเข่อได้ฝากกระเป๋าสตางค์ของคุณมาด้วย ขอโทษจริงๆ ที่ทางสโมสรของเราทำได้เพียงแค่นี้’
ลู่จยารู้ดีว่าประธานสโมสรหมายถึงอะไร…
คำวิจารณ์ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลู่จยาเป็นคนวางแผนประชันความเร็วจนทำให้ฮว่าถิงต้องเสียชีวิต ตอนนี้แฟนคลับของฮว่าถิงก็กำลังทะเลาะกับแฟนคลับของลู่จยาอยู่ในอินเตอร์เน็ตนั่น
และเนื่องจากฮว่าถิงจากไปแล้ว คนทั่วไปจึงยืนอยู่ข้างฮว่าถิงเพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้เสียชีวิต พวกเขากระหน่ำโจมตีจนแฟนคลับลู่จยาไม่อาจตอบโต้อะไรได้ สุดท้ายแล้วกลุ่มแฟนคลับของลู่จยาก็ต้องประกาศสลายตัว
กลุ่มแฟนคลับนี้เป็นกลุ่มอย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีคนของสโมสรเป็นคนดำเนินการให้
สโมสรตัดสินใจไม่เก็บเธอไว้แล้ว
ลู่จยาเข้าใจดี
‘เกิดอะไรขึ้น’ เฉิงอี้เหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
‘ไม่มีอะไร แค่ประธานสโมสรจะไล่ฉันออกเลยให้เงินชดเชยมานิดหน่อย ก็บัตรที่คุณเอามาให้ฉันนั่นไงล่ะ’
‘หา? แต่คุณดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ผมยังคิดว่าคุณน่าจะเสียใจไม่น้อย’ เฉิงอี้เหิงเอ่ยขึ้น
‘มีอะไรที่ต้องเสียใจอีก มีเงินถึงจะเป็นพระเจ้า’
เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง จากข่าวคราวที่เขารับรู้มานั้น ลู่จยาเป็นคนที่ไม่ได้คิดมากเรื่องเงินๆ ทองๆ เธอมักจะใช้เงินโดยไม่คิด ทั้งยังดีกับแฟนคลับมากๆ ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดให้มีแฟนคลับกลุ่มใหญ่
‘เมื่อไหร่ฉันจะได้เปลี่ยนห้องพัก’
‘ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว’ เฉิงอี้เหิงนำเสื้อกันลมที่ถือไว้คลุมไหล่ให้กับลู่จยา บนเสื้อมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา ‘นี่เสื้อผมเอง ซักสะอาดแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณหลบสายตาของพวกนักข่าวไปที่ห้องพักผู้ป่วยใหม่ ยังไงคุณอดทนหน่อยแล้วกันนะครับ สวมเสื้อตัวนี้ไว้แล้วก็สวมหมวกด้วย’
เฉิงอี้เหิงทำเหมือนกับมีเวทมนตร์เสกทุกอย่างออกมาได้ เขาหยิบหมวกแก๊ปออกมาจากทางด้านหลังแล้วสวมให้กับลู่จยา
‘ส่วนข้าวของของคุณ ผมจะให้พยาบาลช่วยเก็บแล้วค่อยส่งตามไป’
เฉิงอี้เหิงเข็นรถวีลแชร์มาให้เพื่อที่เขาจะได้พาลู่จยาขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยใหม่ได้ ระหว่างทางเดินนั้นมีคนที่สะพายกล้องเอาไว้ยืนอยู่กันหลายคน
‘ท่าทางพวกเขาจะไม่ยอมเลิกรากันไปง่ายๆ นะ’
‘ก็จริง’ ลู่จยาหาวออกมา ‘ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบสักที’
ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกจากห้องผู้ป่วยก็มีพนักงานส่งของมาเคาะประตู ‘ขอโทษนะครับ ใครคือคุณลู่เหรอครับ’
‘ฉันเอง’ ลู่จยายกมือขึ้น
‘กรุณาเซ็นรับด้วยครับ’
ลู่จยาเซ็นรับพัสดุแล้วยื่นกล่องนั้นให้เฉิงอี้เหิง ‘ให้คุณน่ะ’
‘อะไรเหรอ’ เฉิงอี้เหิงรับมาอย่างงงๆ
‘มือถือน่ะ’ ลู่จยาตอบ
เฉิงอี้เหิงจึงนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาทำหน้าจอโทรศัพท์มือถือตกจนมันแตกร้าวเป็นใยแมงมุม คิดไม่ถึงว่าลู่จยาจะซื้อเครื่องใหม่ให้เขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
‘ผมรับไว้ไม่…’ เฉิงอี้เหิงยังพูดไม่ทันจบ ลู่จยาก็หมุนล้อวีลแชร์พาตัวเองออกจากห้องไปแล้ว
เฉิงอี้เหิงมองตามแผ่นหลังของลู่จยา เขาได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี จากคำพูดของฮว่าถิงแล้ว ลู่จยาเป็นคนแบบนี้ ใครดีกับเธอ เธอก็ดีตอบเป็นสิบเท่า
แม้ภาพลักษณ์ภายนอกของลู่จยาจะดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเธอก็แค่คนซื่อบื้อคนหนึ่ง
นี่คือคำจำกัดความของลู่จยาที่ฮว่าถิงเคยพูดไว้