บทที่สอง
หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่าครึ่งเดือน ลู่จยาก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ก่อนกำหนดหนึ่งอาทิตย์
เหตุที่เธอสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ล่วงหน้าหนึ่งอาทิตย์นั้นไม่ใช่เพราะร่างกายของลู่จยาดีขึ้นหรือฟื้นฟูได้รวดเร็วกว่าคนอื่น แต่เป็นเพราะเธอไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว หลังจากเกิดอุบัติเหตุสื่อจากหลายๆ ที่ต่างก็รุมโจมตีเธอ มีคำพูดกล่าวหาว่าเธอคือสาเหตุที่ทำให้ฮว่าถิงเสียชีวิตทำให้เพื่อนกินมากมายที่เคยมีก็พากันหายตัวไปหมด หรือแม้กระทั่งพวกแฟนคลับก็ถูกบีบให้สลายตัว ลู่จยาคิดจะยืมเงินก็หาที่ยืมไม่ได้
โลกก็เป็นเช่นนี้
มีเรื่องดีใครๆ ก็ชอบ แต่พอเป็นเรื่องขอความช่วยเหลือกลับหาใครไม่เจอ
ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลลู่จยาได้มาหาเฉิงอี้เหิงที่ห้องทำงานของเขาเพื่อจะบอกลาเขา “คุณหมอเฉิงคะ ฉันกำลังเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลแล้ว ที่ผ่านมาต้องขอบคุณมากๆ ที่คุณช่วยดูแลฉันมาตลอด”
เฉิงอี้เหิงกำลังออกจากแผนกเพื่อไปตรวจคนไข้ เมื่อเห็นลู่จยาเข้าเขาก็พูดขึ้นว่า “คุณรอผมสักครู่นะ”
ลู่จยาจึงรอเฉิงอี้เหิงที่ออกไปตรวจคนไข้อย่างเชื่อฟัง
หลังจากรู้จักกันมาระยะหนึ่งปฏิกิริยาของลู่จยาที่มีต่อเฉิงอี้เหิงก็ดีขึ้นมาก หรืออาจเป็นเพราะกระทู้นั่นที่ทำให้ปฏิกิริยาของเธอเปลี่ยนไปก็เป็นได้ ในกระทู้มีชาวเน็ตเข้ามาสอบถามความคืบหน้าราวกับว่ากำลังตามเรื่องราวในนิยายอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาต่างเรียกร้องให้อัพเดตกิจวัตรประจำวันของเธอกับเฉิงอี้เหิง ชาวเน็ตจะชอบมากเวลาที่เธอหยอกเย้า ฉ.
‘ฉ. เป็นคนอบอุ่นจังเลย ดูนุ่มนิ่มๆ ด้วย’
‘ก่อนหน้านี้เจ้าของกระทู้แสดงออกว่าเป็นผู้หญิงที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาก ไม่เปิดโอกาสให้ ฉ. ได้แสดงออกเลย’
หลังจากออกตรวจคนไข้เรียบร้อยเฉิงอี้เหิงก็กลับมาที่ห้อง ยืดตัวบิดขี้เกียจจากนั้นจึงนั่งลงแล้วค่อยหันมาพูดกับลู่จยา “จากอาการของคุณ ผมว่าคุณควรจะรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อสักอีกระยะหนึ่ง”
“ไม่แล้ว” ลู่จยาบอก “ฉันไม่มีเงิน”
เฉิงอี้เหิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เขายิ้มพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่รู้คนที่พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะและใช้เงินเป็นเบี้ยคนนั้นหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ถึงเหลือแต่คนที่ร้องว่าไม่มีเงินในตอนนี้
“เรื่องเงินไม่เป็นไร ผมช่วยคุณได้” เฉิงอี้เหิงบอก ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของลู่จยานั้นไม่มากนักสำหรับเขา เฉิงอี้เหิงจึงยังหวังว่าเธอจะรับการรักษาในโรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั่นให้เอง
“ไม่ล่ะ คุณช่วยเหลือฉันมามากพอแล้ว” จริงๆ แล้วที่ลู่จยารีบร้อนออกจากโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่แค่เพราะไม่มีเงินเหลือเลยสักแดงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลมานานพอแล้ว การที่มีนักข่าวมารบกวนเธอแทบทุกวัน อีกทั้งยังมีคุณตำรวจเหลิ่งโผล่มาเป็นระยะๆ ทั้งหมดนั่นทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด เธออยากจะกลับไปอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของตัวเองที่ไม่ต้องมีใครมารบกวน และจะได้ใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในช่วงเวลานี้เธอกับเฉิงอี้เหิงก็ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หากเธอออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ไม่รู้เลยว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกมากน้อยแค่ไหน ทว่าจนถึงตอนนี้เฉิงอี้เหิงก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
ลู่จยานึกถึงกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ที่เธอเขียนขึ้นและกำลังคิดว่ากระทู้นั้นก็ควรจะจบลงเพียงเท่านี้
การที่คิดไปเองว่าเขาชอบเธอคงนับได้ว่าเป็นการมโนครั้งใหญ่ในชีวิตของลู่จยา
“ถ้าคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปอยู่ที่ไหนครับ จะมีคนคอยดูแลหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงเอ่ยถาม
“ไม่มีหรอก แต่ฉันมีห้องที่เช่าไว้แล้ว เรื่องดูแลตัวเองทั่วๆ ไปฉันก็ยังทำเองได้ คุณวางใจเถอะ หรือถ้าคุณไม่สบายใจจริงๆ จะมาเยี่ยมฉันได้นะคะ”
“ได้สิ ผมต้องไปหาคุณแน่นอน” เฉิงอี้เหิงตอบรับอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้นเฉิงอี้เหิงก็เปลี่ยนเวรเพื่อมาเป็นธุระช่วยทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กับลู่จยา และหลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วเขาก็ไปส่งเธอกลับบ้าน
ลู่จยาเช่าคอนโดฯ สไตล์ลอฟต์สำหรับอยู่คนเดียวเอาไว้ มันเป็นคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ในย่านที่แพงที่สุดของเมือง อ. ทว่าตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเธอก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย วันนี้เมื่อเฉิงอี้เหิงขับรถมาส่งเธอถึงคอนโดฯ ทั้งคู่จึงไม่คิดว่าจะได้เจอกับเจ้าของห้องที่ชั้นล่าง และที่คิดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือเจ้าของห้องได้ทำตามสิ่งที่ระบุเอาไว้ในสัญญาเรียบร้อยแล้ว นั่นคือปล่อยห้องของเธอให้คนอื่นเช่าเพราะลู่จยาไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนว่าจะอยู่ต่อ และมีกำหนดเวลาให้ลู่จยาย้ายของออกไปภายในอาทิตย์นี้
คราวนี้เป็นเรื่องเลย
ลู่จยาหอบสัมภาระมากมายของตัวเองมายืนอยู่ที่ชั้นล่างของคอนโดฯ เธอยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวคล้ายตุ๊กตาที่ถูกโยนออกมาจากบ้าน
พ่อแม่ของลู่จยาเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ตอนเธออายุสิบสี่ ซึ่งหลังจากตอนนั้นเธอก็ได้เข้าสู่วงการแข่งรถ ลู่จยาที่ไปพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของหมิ่นลู่และเลี้ยงตัวเองด้วยเงินเดือนที่สโมสรจ่ายให้ จนกระทั่งเธอมีความสามารถมากพอจึงย้ายออกมา และหลังจากย้ายออกมาแล้วเธอก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอด
เวลานี้ลู่จยาพยายามคิดทบทวนดูว่ามีคนในวงการคนไหนที่เธอพอจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง ทว่าตั้งแต่เธอเกิดอุบัติเหตุคนในวงการแข่งรถต่างพากันหลีกหนี ส่วนหมิ่นลู่นั้นเป็นแอร์โฮสเตสซึ่งกำลังบินเส้นทางระหว่างประเทศนั่นจึงหมายความว่าหมิ่นลู่จะไม่อยู่ในประเทศอีกนาน ดังนั้นเธอจึงต้องกัดฟันโทรหาเว่ยอิ้ง
ลู่จยารู้จักกับเว่ยอิ้งตอนเข้าสโมสรไปแล้ว เวลานั้นเว่ยอิ้งเริ่มมีชื่อเสียงในวงการและได้รับการขนานนามว่า ‘นักบิดฟ้าประทานรุ่นเยาว์’ ช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเข้าสโมสรลู่จยายังไม่รู้จักใครเท่าไหร่ แม้ว่าในสโมสรจะมีคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอไม่น้อยแต่คนที่ยินดีใกล้ชิดและยอมเล่นกับเธอมีเพียงเว่ยอิ้งเท่านั้น
เว่ยอิ้งเป็นเหมือนแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดส่องมายังลู่จยา
แสงอาทิตย์นี้ทำให้ช่วงเวลาวัยรุ่นของเธออบอุ่น เว่ยอิ้งทำให้เธอกลายเป็นดอกทานตะวัน ขอเพียงแค่ได้หันไปทางดวงอาทิตย์ลู่จยาก็จะเบ่งบาน
แต่ความสัมพันธ์ของดอกทานตะวันกับดวงอาทิตย์นั้นไม่มีทางยืนยาว ดวงอาทิตย์แขวนลอยอยู่สูงและไกลออกไป ส่องแสงสว่างไปทุกที่ แต่ดอกทานตะวันเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ดวงอาทิตย์สาดส่องแสงลงมาให้เท่านั้นเอง
ดอกทานตะวันมีใจกับดวงอาทิตย์ แต่ดวงอาทิตย์กลับหลงรักทิวทัศน์อื่น ซึ่งก็คือหมิ่นลู่
ลู่จยากับหมิ่นลู่รู้จักกันมาตั้งแต่แบเบาะทำให้ทั้งสองคนสนิทกันราวกับฝาแฝด ในความเป็นเพื่อนรักกันนั้นช่วงระยะเวลาสิบสองปีแรกของชีวิตทั้งคู่แทบจะไม่มีความแตกต่างอะไรกันเลย ดังนั้นลู่จยากับหมิ่นลู่จึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบมาตลอด
ทว่าหลังจากเข้าเรียนมัธยมร่างกายหมิ่นลู่ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เธอตัวสูงขึ้น ขายาวขึ้น พอถึงชั้นมัธยมต้นปีที่สามเธอก็กลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียน ส่วนลู่จยายังคงเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่นอกจากมีพรสวรรค์ทางด้านการขี่รถแล้วก็เป็นเพียงเด็กมัธยมต้นธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น
ซ้ำร้ายพ่อแม่ของเธอยังมาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันอีกทำให้ลู่จยาเสียใจอยู่นาน ใบหน้าของลู่จยามักแสดงอาการซึมเศร้า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่อยากจะคบค้าสมาคมกับใครอีก
ชีวิตของหมิ่นลู่ในช่วงเวลาไม่กี่ปีนั้นครอบครัวของเธอก็เหมือนมีโชคหล่นทับ พ่อหมิ่นลู่ลาออกจากงานมาเปิดบริษัทเองและประสบความสำเร็จใหญ่โตทำให้หมิ่นลู่กลายเป็นคุณหนูแสนสวย
ส่วนลู่จยาเป็นเพราะเธอมีพรสวรรค์ด้านการขับขี่ทำให้ได้รับคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ในสโมสรแล้วในเวลานั้นจึงยังไม่ได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับหมิ่นลู่มากนัก จนกระทั่งตอนมัธยมปลาย หมิ่นลู่ที่งดงามเป็นที่ประทับใจแก่ผู้คนที่ได้พบเห็นเสมอมาที่สโมสรเพื่อดูลู่จยาฝึกซ้อม เมื่อเธอเห็นสายตาของเว่ยอิ้งที่มองหมิ่นลู่ ลู่จยาก็รับรู้ได้ทันทีว่าดวงตะวันของเธอได้เปลี่ยนทิศไปแล้ว และจะไม่ส่องแสงสว่างมาที่เธออีกต่อไป
แววตาที่เว่ยอิ้งใช้มองหมิ่นลู่นั้นเธอเองก็รู้จักมันดี เพราะมันคือแววตาแบบเดียวกันกับที่เธอใช้มองเว่ยอิ้ง
เว่ยอิ้งเป็นคนที่เก็บอะไรๆ ไว้ในใจไม่อยู่ ดวงตะวันมักจะแสดงความกระตือรือร้นออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการทำร้ายคนอื่น ดังนั้นเมื่อเว่ยอิ้งไปสารภาพรักกับหมิ่นลู่ นอกจากหมิ่นลู่จะไม่ดีใจแล้วยังโมโหเขาเสียยกใหญ่
ความในใจของสาวน้อยก็เหมือนกับบทกลอนที่แบ่งปันให้กับเพื่อนรักได้รับรู้ หมิ่นลู่รู้มานานแล้วว่าลู่จยารู้สึกอย่างไรกับเว่ยอิ้ง แต่คิดไม่ถึงว่าเว่ยอิ้งจะมาสารภาพรักกับเธอ เพราะอย่างนั้นหมิ่นลู่จึงปวดหัวหนักแม้จะปฏิเสธเขาไปอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม
เดิมทีลู่จยาคิดว่าด้วยนิสัยของเว่ยอิ้งไม่เกินสามวันเขาก็คงลืมความเจ็บปวดนี้ได้แล้วหันไปชอบผู้หญิงคนอื่น แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมีความยึดมั่นกับหมิ่นลู่เป็นอย่างมาก เว่ยอิ้งไม่ไปชอบผู้หญิงคนไหนอีกเลยซึ่งความมั่นคงและแน่วแน่ของเว่ยอิ้งได้ทำให้ลู่จยาเสียใจมากขึ้นไปอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเธอจึงทุ่มเทใจให้กับการแข่งรถเพียงอย่างเดียว
หลายปีที่ผ่านมานี้ลู่จยาค่อยๆ สร้างผลงานของตัวเองขึ้นมาด้วยความยากลำบาก แต่แล้วก็กลับเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นก่อนการแข่งขัน ในเวลานี้ดูเหมือนว่าอนาคตของเธอจะดับลงซะแล้ว
เฉิงอี้เหิงได้รับสายด่วนจากทางโรงพยาบาลเขาจึงต้องรีบออกไป แต่ก่อนไปก็ทิ้งท้ายไว้ว่า เขาจะติดต่อมาอีกทีและบอกเธอไว้ว่าอย่ากังวลไปเขาจะคิดหาวิธีช่วยเธอจัดการเรื่องห้องพักเอง
ลู่จยาคิดว่าเฉิงอี้เหิงคงจะช่วยเหลือเธอตามมารยาท อาจจะเพราะเขาเป็นหมอจึงต้องมีเมตตาอย่างถึงที่สุด
เมื่อกลับเข้ามาในห้องที่คอนโดฯ แล้ว ลู่จยาก็ไปนั่งอยู่บนโซฟาสักพักจนแสงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังจุดอื่น
การนั่งอยู่ในห้องคนเดียวนานเกินไปทำให้เธออดคิดอะไรฟุ้งซ่านไม่ได้ ลู่จยาจึงลุกขึ้นเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกจากคอนโดฯ
วันนี้เธอวางแผนจะออกจากคอนโดฯ ไปที่ธนาคารเพื่อดูว่าจะรวบรวมเงินจากทรัพย์สินที่มีอยู่ได้สักเท่าไหร่ แล้วหลังจากนั้นก็จะหาที่พักใหม่ แต่จะว่าไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยจัดการทรัพย์สินของตัวเองเลย
ลู่จยาใช้ไม้ค้ำช่วยโบกแท็กซี่เพื่อไปที่ธนาคาร และเมื่อไปถึง ขณะที่เธอเข้าคิวอยู่นั้นจู่ๆ ก็ถูกชน ลู่จยายังไม่ทันจะได้ทำอะไร หญิงวัยกลางคนซึ่งเตี้ยกว่าลู่จยาประมาณหนึ่งช่วงหัวก็เริ่มชี้หน้าด่าเธอ
“ฆาตกรฆ่าคน!”
ลู่จยาขมวดคิ้วแน่น เธอถอยหลังออกมาเล็กน้อยถึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่กำลังด่าเธออยู่ตอนนี้คือคนเดียวกับที่สาดซุปไก่ใส่เธอที่โรงพยาบาล แม่ของฮว่าถิง
“คุณน้า…” เมื่อรู้ว่าเป็นแม่ของฮว่าถิง ลู่จยาก็ยึดไหล่ของหญิงวัยกลางคนเอาไว้ “นี่เป็นที่สาธารณะนะคะ ช่วยควบคุมอารมณ์หน่อยเถอะค่ะ”
แม่ของฮว่าถิงปัดมือของลู่จยาออก “แกทำให้ลูกสาวฉันตาย ตอนนี้ยังมีแก่ใจจะมาธนาคารอีกเหรอ”
แล้วฟางเส้นสุดท้ายของลู่จยาก็ขาดลง เธอสังเกตเห็นว่าในมืออีกข้างหนึ่งของแม่ฮว่าถิงถือใบเบิกเงินอยู่ บนนั้นเขียนตัวเลขไว้ห้าล้านหยวนพอดิบพอดี ลู่จยาจับมือของแม่ฮว่าถิงที่กำลังสะบัดไปมาเอาไว้
“ข้อแรก! ฉันไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคน จะใช้คำว่าฆาตกรฆ่าคนได้ก็ต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่นิติเวชและศาลตัดสินก่อน ตอนนี้ต่อให้คุณเป็นตำรวจก็เรียกฉันได้แค่ว่าเป็นผู้ต้องสงสัย แม้แต่พวกตำรวจก็ยังไม่กล้าเรียกฉันแบบนี้ เพราะอะไรน่ะเหรอ…เพราะพวกเขากลัวว่าฉันจะฟ้องหมิ่นประมาทไง ข้อสอง! ถ้าฉันดูไม่ผิด เงินห้าล้านในมือของคุณนั่นน่าจะเป็นเงินที่คนชื่อเสี่ยวเข่อโอนให้ล่ะสิ”
“แกรู้ได้ยังไง?!” สีหน้าของแม่ฮว่าถิงเปลี่ยนไปทันที
“เสี่ยวเข่อเป็นอดีตผู้จัดการของฉัน แล้วที่คุณถามฉันว่ายังมีแก่ใจมาธนาคารได้ยังไง ก็ เพราะฉันเอาเงินทั้งหมดที่มีโอนให้กับพวกคุณสองคนไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่ที่จะอยู่ถึงต้องมาที่ธนาคารเพื่อดูว่ามีทรัพย์สินอะไรเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ เปลี่ยนมันเป็นเงินแล้วฉันจะได้กลับไปเช่าห้องถูกๆ สักห้อง”
แม่ของฮว่าถิงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังเถียงกลับไป “ถ้าแกไม่ได้รู้สึกผิด แกจะโอนเงินมาให้ฉันทำไม”
ลู่จยารู้สึกสงสารฮว่าถิงขึ้นมาที่มีพ่อแม่แบบนี้ แต่เธอก็เข้าใจ ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็สูญเสียลูกสาวซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว
แม้ว่าเธอจะสูญเสียอนาคตไปแต่ก็ยังอายุน้อย ขอเพียงแค่เธอต้องการมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็ยังมีความหวัง ลู่จยาได้แต่คิดเช่นนี้ เพราะหากเธอมัวจมอยู่ในโลกที่มืดมิดก็คงจะหาทางออกมาไม่ได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่ลู่จยาเดินทางมาธนาคารนั้น เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวเข่อ
‘พี่จยา เมื่อวานฉันโอนเงินไปแล้วนะ ฉันอยู่กับพี่มาตั้งหลายปีไม่อยากให้พี่ต้องมาถึงจุดนี้เลย แต่ฉันรู้ว่าพี่เป็นคนดี หวังว่าจากนี้ไปพี่จะหางานทำเป็นเรื่องเป็นราว ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประสบการณ์ช่วงการแข่งรถที่ผ่านมานั้นก็ให้ถือซะว่าเป็นความฝันแล้วกันนะ’
‘อืมๆ’ ลู่จยาคุยโทรศัพท์ขณะที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ในลำคอของเธอรู้สึกขมปร่าจนแทบทนไม่ไหว
ทุกคนต่างบอกให้เธอจำนนต่อชะตากรรม แต่เธออยากจะไม่ยอม
ตั้งแต่อายุสิบสี่จนถึงตอนนี้เธอทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการแข่งรถ จะให้มาล้มเลิกทุกอย่างที่ทำมาเพียงเพราะอุบัติเหตุครั้งเดียวได้อย่างไร
ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องการที่จะเริ่มต้นใหม่
“นั่นก็เพราะฉันเป็นห่วงว่าชีวิตคนแก่สองคนอย่างพวกคุณจะไม่มีที่พึ่งไง” ลู่จยารู้สึกว่าถ้าเธอต้องพูดกับแม่ฮว่าถิงต่ออีกคำคงจะต้องโมโหจนตายแน่ๆ “ฉันไม่ได้รู้สึกผิด ที่โอนเงินให้เพราะฉันสงสารพวกคุณก็เท่านั้น สงสารพวกคุณที่เป็นคนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำ”
คำว่า ‘สงสาร’ ที่ลู่จยาพูดออกมาเหมือนมีดแหลมแทงเข้าไปในหัวใจของแม่ฮว่าถิง หญิงวัยกลางคนเริ่มอาละวาดพุ่งเข้าใส่ลู่จยาพร้อมผลักเธออย่างแรง ลู่จยาที่ต้องพยุงตัวด้วยไม้ค้ำจึงหงายหลัง เธอยื่นมือออกไปคว้าอะไรสักอย่างเพื่อยึดไว้ แต่กลายเป็นคว้าข้อมือของแม่ฮว่าถิง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีกลุ่มคนถือกล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้ามาในธนาคาร พวกเขาเห็นลู่จยากำลังคว้าข้อมือของแม่ฮว่าถิงอยู่ ภาพที่ทั้งสองคนกระชากข้อมือกันนั้นดูราวกับว่ากำลังทะเลาะและลงไม้ลงมืออยู่
นักข่าวกลุ่มนี้กำลังหาประเด็นไปทำข่าวจึงย่อมไม่ยอมพลาดแน่นอน พวกเขาไม่สนใจที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่กลับถ่ายรูปเอาไว้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน และพาดหัวข่าวก็คงถูกคิดขึ้นมาสดๆ ในตอนนั้น ‘ฮว่าถิงเสียชีวิต ลู่จยายังกลับมาหาเรื่องทั้งยังลงไม้ลงมือกับพ่อแม่นักแข่งสาวอีกด้วย’
ทันทีที่ข่าวออกไปเธอจะต้องตกเป็นประเด็นให้ถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนและโดนเหยียบจนจมดินอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่จยายอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้ ก่อนหน้านี้เธอก็แบกรับความกดดันไว้มากพอแล้วจนนอนฝันร้ายแทบทุกคืน ถ้าไม่ได้เฉิงอี้เหิงอยู่ข้างๆ เธอคงเสียสติไปนานแล้ว
นักแข่งรถนั้นมีความกบฏและหยิ่งยโสฝังอยู่ในกระดูก ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ
ลู่จยาเกลียดเสียงชัตเตอร์กับแสงแฟลชมาก เมื่อเธอแน่ใจว่าแม่ฮว่าถิงจะไม่ล้มลงไปแล้วจึงพยุงตัวด้วยไม้ค้ำก่อนหันกลับไปเผชิญหน้ากับนักข่าวโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว ลู่จยาเดินเข้าไปแย่งกล้องของพวกเขามา
เธอโกรธจนหัวร้อนไปหมดจึงไม่ทันได้คิดอะไรให้รอบคอบ ตอนเข้าไปแย่งกล้องถ่ายรูปมาเธอไม่ได้กลัวเลยว่าจะถูกถ่ายภาพตอนหน้าตาบิดเบี้ยวเอาไว้และจะโดนนักข่าวเอารูปนี้ไปเขียนข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่โต อีกทั้งไม่ได้คิดเลยว่าการเข้าไปแย่งกล้องมาแบบนี้อาจจะทำให้กล้องของอีกฝ่ายเสียหายจนต้องจ่ายเงินชดใช้อีกด้วย
เรือผุก็ยังมีตะปูสามชั่ง* แม้ว่าขาลู่จยาจะยังไม่หายดี แต่เธอออกกำลังกายอยู่ตลอด ดังนั้นหากเทียบกันแล้วร่างกายของเธอย่อมแข็งแรงกว่าพวกนักข่าวมาก หนึ่งต่อสามก็ยังไหว และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังใช้ไม้ค้ำเป็นอาวุธได้อีกด้วย
หลังจากลู่จยาถูกนักข่าวยั่วโมโหและทะเลาะกันยกใหญ่ เธอก็ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองเดินออกจากธนาคารไปพร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณน้าคะ ฉันหวังว่าคุณจะรอให้มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมาก่อนค่อยตัดสินว่าจะเรียกฉันว่า ‘ฆาตกรฆ่าคน’ หรือไม่ แล้วอีกอย่างในเมื่อคุณเกลียดฉันขนาดนี้ก็ไม่ต้องรับเงินห้าล้านของฉันสิ ฉันเชื่อว่าฮว่าถิงคงหาเงินให้พวกคุณได้มากกว่าห้าล้านสินะ คุณคงไม่เห็นค่าเงินเท่านี้หรอก”
ลู่จยาพูดจบก็เดินจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เพียงความสะใจไว้เบื้องหลัง
นักข่าวที่ถูกกำราบจนพ่ายแพ้ยังไม่กล้าจะลุกขึ้นมา ทั้งสองคนมองไปยังกล้องถ่ายรูปของตนที่แตกเป็นชิ้นๆ ได้แต่กัดฟันและกำมือแน่นพร้อมพ่นลมออกจากจมูกอย่างดูถูกการกระทำของลู่จยา พวกเขาคิดไว้แล้วว่าจะเขียนข่าวใส่ร้ายลู่จยาอย่างไร ถ้าคิดจะเล่นเกมปากกาแบบนี้ ยังไงซะพวกเขาก็เป็นมืออาชีพ
เมื่อออกจากธนาคารมาแล้ว ลู่จยาก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอเย็นวาบ
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นละอองฝนจึงเข้าตาของลู่จยา เธอรีบเช็ดออก ในตอนที่เดินออกมาจากธนาคารตลอดทางเธอก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรง ราวกับว่าได้จุดไฟในตัวขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นราวกับว่าตัวเธอได้กลายเป็นทหารหาญสวมชุดเกราะ แม้หนทางข้างหน้าจะมีระเบิดมากมาย แต่เธอก็สามารถเดินฝ่าพายุกระสุนและกับระเบิดเหล่านั้นไปได้และประสบความสำเร็จในที่สุด
แต่เดินมาได้ไม่ไกลนักอยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนพลังทั้งหมดถูกสูบออกไป ตัวเธอคล้ายลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ทำได้แค่ลากขาเดินไปข้างหน้า ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ยิ่งพบว่าฝนตกหนักขึ้น ถึงไม่มีนักข่าวตามมาแต่ลู่จยาก็รู้ดีว่าบ่ายนี้จะต้องมีข่าวของเธอออกไปอย่างแน่นอน และเธอก็จะต้องถูกผู้คนด่าทออีก
เธอต้องรีบกลับไปที่ห้องแล้วซ่อนตัวไว้ อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ที่ตรงนั้นก็เป็นโลกใบเล็กๆ ของเธอ ยังมีเวลาอีกอาทิตย์ให้หลบซ่อนตัวได้
ฝนตกลงมาเม็ดใหญ่ราวกับไข่มุกที่ขาดจากสาย ลู่จยายื่นมือออกไปเพื่อโบกรถ แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เหลือเงินเลยแม้แต่นิดเดียว
เงินทั้งหมดของเธอถูกนำไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หมดแล้ว ลู่จยาหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอคิดจะโทรขอความช่วยเหลือจากใครสักคน หลังคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงกดเบอร์โทรศัพท์ของเฉิงอี้เหิงออกไป เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งเธอก็ได้สติจึงรีบกดวางสาย แต่เพียงครู่เดียวเฉิงอี้เหิงก็โทรกลับมา เขาถามว่าเธออยู่ที่ไหน ลู่จยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกชื่อธนาคารไป จากนั้นเธอจึงวางสายแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณ
โลกทั้งใบเหมือนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเมฆหมอก รถประจำทาง คนเดินถนน ร่ม ทุกสิ่งเคลื่อนไหวไปมาอย่างรีบร้อน มีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน
เธอเปียกปอนไปทั้งตัว และเพราะเดินไม่ถนัดจึงทำให้เธอดูเหมือนตัวตลกที่เดินอยู่บนโลกด้วยความยากลำบาก เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ลู่จยาก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เธอไม่อยากจะเดินอีกต่อไปแล้ว เธออยากจะสูญสลายหายจากโลกนี้ไปเลย
ลู่จยาต้องการนั่งยองๆ และใช้ไม้ค้ำวางไว้ที่ข้างๆ เท้า แต่เธอไม่อาจค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไปได้ สุดท้ายจึงนั่งแหมะลงไปบนพื้นเสียเลย จากนั้นก็ปล่อยให้สายฝนชะล้างเธอไปทั้งตัว
คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ลู่จยาใช้มือข้างหนึ่งจับไม้ค้ำเอาไว้ ตอนนั่งลงไปมันง่าย แต่คิดจะลุกขึ้นยืนมาใหม่นั้นต้องใช้พละกำลังมาก เธอพยายามอยู่นาน อดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อจะยืนขึ้น แต่ก็โยกไปโยกมาแล้วล้มลงไปหลายครั้ง
แบบนี้ก็แล้วกัน หายไปแบบนี้เลยก็แล้วกัน
เสียงเล็กๆ จากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่างนั้น
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” น้ำเสียงอันอบอุ่นดังขึ้น มีคนเข้ามาช่วยพยุงเธอที่เปียกไปทั้งตัวขึ้นมา ลู่จยาหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าของเฉิงอี้เหิงปรากฏในสายตาของเธอ
แม้ว่าการมองเห็นของเธอจะถูกสายฝนบดบังจนพร่ามัวไปหมด แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเฉิงอี้เหิงกำลังกางร่มให้เธอ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เฉิงอี้เหิงดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
คำพูดปลอบโยนนั้นได้ทำลายกำแพงหนาๆ ของเธอลง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาลู่จยาต่อสู้บากบั่น เธอยอมให้ตัวเองบาดเจ็บแต่ไม่ยอมร้องไห้ออกมาให้ใครเห็น แต่แล้วในที่สุดเธอก็ไม่อาจแบกรับไว้ได้อีก ลู่จยาที่อยู่ในอ้อมกอดของเฉิงอี้เหิงร้องไห้เสียงดัง
“ฉันไปที่ธนาคารมาได้เจอกับแม่ของฮว่าถิงแล้วก็พวกนักข่าว แล้วก็เกิดมีเรื่องปะทะกับพวกเขาเข้า ฉันว่าพวกนั้นจะต้องเขียนอะไรมั่วๆ อีกแน่” ลู่จยาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไหล่ของเธอยังสั่นไม่หยุด
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เฉิงอี้เหิงลูบศีรษะของเธอพร้อมกับพูดขึ้น “ผมอยู่ตรงนี้ตลอด ผมจะอยู่เคียงข้างคุณนะ”
ลู่จยาจำไม่ได้แล้วว่าเธอร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่และร้องไห้เพราะอะไร แต่ในตอนนี้เมื่อต่อมน้ำตาถูกเปิดออกแล้วก็ราวกับว่ามีฝนห่าใหญ่ในรอบร้อยปีมาชำระล้างตะกอนในใจที่ถูกเก็บไว้หลายปีออกไปจนหมด
เฉิงอี้เหิงพยายามประคองลู่จยาที่ร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา รู้สึกได้ว่าร่างของนักแข่งสาวนั้นอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพาเธอขึ้นรถ เฉิงอี้เหิงเอื้อมไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ ขณะที่เขาดึงตัวกลับมาใบหน้าของทั้งสองคนก็อยู่ใกล้กันมากโดยไม่ทันตั้งตัว คล้ายว่าอากาศในบริเวณนั้นแข็งตัวไปในทันที ลู่จยาหยุดสะอื้น เธอเบิกตาแดงๆ ของตัวเองจ้องมองเขา ส่วนเฉิงอี้เหิงก็เอียงคอมองตอบเธอด้วยท่าทางแปลกๆ
จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวคนทั้งคู่ก็แปรเปลี่ยนไป ลู่จยาจึงหลับตาลงอย่างช้าๆ ยื่นริมฝีปากออกมาเล็กน้อย
เธอรออยู่พักใหญ่แต่จูบที่คาดไว้ก็ไม่มาสักที เฉิงอี้เหิงถอยออกจากที่นั่งข้างคนขับ เดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง เขาเข้ามานั่งแล้วสตาร์ตรถ
ลู่จยาแอบมองหน้าของเฉิงอี้เหิง ใบหูของแพทย์หนุ่มแดงระเรื่อ
ลู่จยาเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาแดงๆ ของตัวเอง เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ กับการจูบที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในรถของเฉิงอี้เหิงนั้นเปิดเครื่องทำความร้อนได้และเมื่อรวมเข้ากับอาการมึนๆ ของลู่จยา ดังนั้นเมื่อเขาหันหน้ามาอีกที เธอก็หลับไปแล้ว
เมื่อลู่จยาตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองอยู่ในลานจอดรถใต้ดินที่ไม่คุ้นเคย เธอเลยถามออกไปด้วยความสงสัย “ที่นี่ที่ไหนคะ ไม่เหมือนกับลานจอดรถที่คอนโดฯ ของฉันเลย”
“ลานจอดรถใต้ดินที่คอนโดฯ ผมเอง เสื้อผ้าของคุณเปียกหมดแล้วเดี๋ยวผมจะพาคุณขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ” เฉิงอี้เหิงช่วยลู่จยาปลดเข็มขัดนิรภัยและพาเธอลงจากรถ
ลู่จยายังคงมึนงง แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองขึ้นไปที่ชั้นบนพร้อมกับเฉิงอี้เหิง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงนั้นทั้งสว่างและกว้าง เป็นห้องที่ตกแต่งสไตล์ยุโรป ดูเรียบง่ายโปร่งสบาย เมื่อเข้ามาแล้วทำให้เธอรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาก
เฉิงอี้เหิงเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ สักพักเขาก็เดินถือเสื้อคลุมอาบน้ำชุดใหม่ออกมา “คุณเข้าไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อชุดชั้นในที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างแล้วจะเอาขึ้นมาวางไว้ให้ที่หน้าห้องน้ำ คุณจะได้หยิบได้ตามสบาย ผมไม่แอบดูแน่นอน แล้วตั้งแต่นี้ต่อไปก็ถือซะว่าที่นี่เป็นห้องของคุณเลย ไม่ต้องเกรงใจนะ”
ตอนที่เฉิงอี้เหิงบอกว่าจะไปซื้อชุดชั้นในให้เธอ เขาพูดเหมือนกับว่ากำลังไปซื้อขนมให้เธออย่างไรอย่างนั้น ชายหนุ่มไม่ได้มีทีท่าเขินอายแต่อย่างใด ก็เขาเป็นคุณหมอนี่นะคงไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป เขาน่าจะเห็นร่างกายของมนุษย์จนชินแล้ว
ลู่จยากอดเสื้อคลุมอาบน้ำเอาไว้อย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตู หลังจากเฉิงอี้เหิงเดินออกไปเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกลุ่ม ‘สายเม้าท์มาแล้วจ้า’ ในโต้วปั้นแล้วอัพเดตกระทู้
‘รายงานด่วน…
วันนี้ฉันตากฝนจนเปียกปอนไปทั้งตัว แล้วอยู่ๆ ฉ. ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ฉันเหมือนเป็นเทวดาพาคนไร้บ้านกลับบ้าน ที่ยิ่งไปกว่านั้น… พวกคุณลองเดาดูว่าตอนนี้เขาไปทำอะไร
เขากำลังไปซื้อเสื้อชั้นในกับกางเกงในให้ฉัน
อย่าเข้าใจผิดนะ! ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเราทั้งนั้น นี่เป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์แบบเพื่อนจริงๆ
แต่ว่าวันนี้ฉันได้ทำเรื่องโง่เง่าที่สุดไปเรื่องหนึ่ง ตอนที่เขาช่วยฉันคาดเข็มขัดนิรภัย ตอนนั้นพวกเราใกล้ชิดกันมากๆ แล้วก็อาจจะเป็นเพราะโดพามีน* ล่ะมั้งที่ดลใจให้ฉันหลับตาและยื่นปากออกไป คิดไปเองว่าเขาจะจูบฉัน แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรเลย (แบะมือออก)’
‘ฮ่าๆๆ…ตลกเป็นบ้าเลย กระทู้นี้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เหมือนว่าฉันจะชอบหมอของฉันนะ’ แล้วล่ะ’
‘จริงด้วย เจ้าของกระทู้ตลกเป็นบ้าเลย ทั้งบื้อทั้งน่ารัก’
‘ฉันว่าหมอคนนี้ต้องรู้สึกดีๆ กับเจ้าของกระทู้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่เที่ยวพาคนไข้กลับบ้านหรอก’
‘เจ้าของกระทู้ต้องไว้ตัวหน่อยนะ ยื่นปากอะไรกัน คิดถึงบรรยากาศเก้อเขินนั้นออกเลย ขออภัยที่หัวเราะอย่างไม่เกรงใจ’
‘ทุกคนกำลังหัวเราะ ไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าของกระทู้บอกว่าตัวเองไม่มีบ้านให้กลับ สงสารเจ้าของกระทู้ กอดๆ’
‘ประเด็นที่ฉันสนใจอยู่ที่กางเกงในเสื้อชั้นใน ปกติฉันเรียกให้แฟนซื้อผ้าอนามัยก็หน้างอแล้ว นี่ ฉ. ถึงกับไปซื้อเสื้อชั้นในกางเกงในให้กับเจ้าของกระทู้ พระเจ้า! อิจฉาอ่ะ’
‘นี่แปลว่าอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหม’
ความคิดเห็นมีการอัพเดตอย่างรวดเร็ว ลู่จยาอ่านความคิดเห็นต่างๆ ไปสักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู น่าจะเป็นเฉิงอี้เหิงที่กลับมา เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเสื้อคลุมโขยกเขยกเข้าไปในห้องน้ำ รีบร้อนเปิดฝักบัวเพื่อกลบเกลื่อนทุกอย่างให้เป็นปกติ
หลังจากเฉิงอี้เหิงไปซื้อชุดชั้นในที่ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดฯ ให้ลู่จยาเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นมาที่ห้อง ในตอนที่เปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังอยู่ในห้องและทันเห็นแผ่นหลังของลู่จยาหายเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องอาบน้ำ นั่นทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าผ่านมาตั้งนานแล้วเธอเพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำอย่างนั้นหรือ เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่ แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา นักแข่งรถก็คือนักแข่งรถ ขนาดขาเจ็บก็ยังเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้น
เฉิงอี้เหิงเคาะประตูห้องน้ำแล้วบอกเธอว่า “เสื้อผ้าวางอยู่หน้าประตูห้องน้ำแล้วนะครับ ผมจะเข้าครัวไปทำอะไรให้คุณกินแล้วกัน อาบน้ำเสร็จแล้วคุณเรียกผมด้วยล่ะ ผมไม่เดินเข้าไปในห้องน้ำหรอกคุณวางใจได้”
“อืม!” ลู่จยาขานรับเสียงดังจากด้านในห้องน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จลู่จยาก็สวมเสื้อคลุมไว้อย่างเรียบร้อย เธอใช้ผ้าขนหนูผืนใหม่เอี่ยมเช็ดผม พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาเธอก็เห็นชุดชั้นในและเสื้อฮู้ดอีกตัววางอยู่ที่หน้าประตู เสื้อฮู้ดน่าจะเป็นของเฉิงอี้เหิงเพราะเธอสวมแล้วชายเสื้อนั้นปิดไปถึงน่อง
แบบนี้ออกจะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย มีคนเตรียมข้าวของไว้ให้เธอด้วยความใส่ใจ ทั้งๆ ที่คนคนนี้ไม่ใช่ญาติของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ใช่คนรักของเธออีกด้วย
ลู่จยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินออกมาที่ห้องครัว เธอเห็นเฉิงอี้เหิงกำลังต้มเส้นสีเหลืองๆ อยู่
“จริงๆ แล้วผมก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็นหรอกครับ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวก็ทำอะไรกินแบบง่ายๆ เน้นสะดวกเลยต้มเส้นพวกนี้อยู่บ่อยๆ แต่ฝีมือการต้มเส้นของผมไม่เลวนะ”
เฉิงอี้เหิงกำลังต้มเส้นสปาเกตตี้
หลังจากต้มเส้นสปาเกตตี้เรียบร้อยแล้วเขาก็เอาซอสเนื้อที่เตรียมไว้ราดลงไป มีกลิ่นหอมโชยขึ้นมา
กระเพาะของลู่จยาเริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก
“คุณไปรอผมที่โต๊ะอาหาร เดี๋ยวผมยกออกไปให้”
ลู่จยาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย เธอนั่งลงอย่างเรียบร้อยเหมือนกับเด็กอนุบาลที่กำลังรอคุณครูแจกลูกอมอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเฉิงอี้เหิงยกจานสปาเกตตี้มาวางไว้บนโต๊ะและส่งช้อนส้อมให้เธอ ลู่จยาก็กินอย่างหิวโหย ความจริงแล้วเธอหิวมาก ทว่าเมื่อกินไปครึ่งหนึ่งเธอจึงคิดขึ้นได้ว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ แต่มุมปากของเธอก็เต็มไปด้วยคราบซอสเสียแล้ว
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมองเฉิงอี้เหิงแล้วรู้สึกอยากจะบ้าตาย เธอคิดจะดึงกระดาษทิชชูมาเช็ด แต่พบว่ากระดาษทิชชูอยู่ห่างจากเธอมาก ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจึงได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง สายตาของเฉิงอี้เหิงที่มองมานั้นราวกับว่าเคยชินกับท่าทางของเธอแล้ว เขาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดึงกระดาษทิชชูด้วยท่าทางสบายๆ แล้วค่อยๆ เอื้อมตัวมาเช็ดซอสที่เลอะอยู่ตรงมุมปากของเธอออก
ในตอนนี้ลู่จยารู้สึกว่าตัวเธอเองเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงของเฉิงอี้เหิง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นักบิดสาวที่หยิ่งยโสและเย็นชาอย่างเธอเมื่อใกล้ชิดกับเฉิงอี้เหิงก็พลันกลายเป็นสาวอ่อนโยนนุ่มนิ่มไปเสียอย่างงั้น ทั้งยังกลายเป็นแมวโง่ที่เขาจะหยอกเย้ายังไงก็ได้อีก
ความอ่อนโยนของเฉิงอี้เหิงในคืนนี้ทำให้ลู่จยารู้สึกว่าโลกสามารถอ่อนโยนกับเธอได้จริงๆ และหลังจากที่กินอิ่มแล้วลู่จยาก็นอนหลับอย่างสบาย
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉิงอี้เหิงก็มาเคาะที่ประตูห้องนอนของเธอ “ผมไปทำงานแล้วนะ วันนี้คุณอย่าเพิ่งไปเปิดเวยป๋อล่ะ ไม่ต้องออนไลน์นะเข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะ” ลู่จยาร้องถามพร้อมขยี้ตาด้วยความงัวเงีย
“ผ่านไปสักสองสามวันคุณค่อยดูแล้วกัน เป็นเด็กดีล่ะ รอผมเอาของอร่อยกลับมานะ”
“อื้อ” ลู่จยาง่วงมากจึงไม่ได้สนใจความหมายในคำพูดของเฉิงอี้เหิงเท่าไหร่นัก แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนต่อไป
เมื่อตื่นขึ้นมาลู่จยาก็ลืมคำพูดที่เฉิงอี้เหิงกำชับเอาไว้ไปหมดแล้วถึงได้เปิดเวยป๋อดู เวยป๋อของเธอแทบจะระเบิดแล้ว มีข้อความเป็นหมื่นข้อความถูกส่งเข้ามา และทุกข้อความนั้นล้วนแล้วแต่ด่าทอว่าเธอเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง ไม่รู้จักสำนึกผิด
ถึงกับมีคนมาเขียนในช่องแสดงความคิดเห็นไว้ว่า
‘ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต’
ลู่จยารู้สึกหวาดกลัวมากถึงกับโยนโทรศัพท์ออกไปทันที ยังดีที่เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหลังจากเกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นคงมีข้อความและสายโทรศัพท์เข้ามาจนทำให้โทรศัพท์ของเธอระเบิดไปแล้วจริงๆ
มือของลู่จยาที่ถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น ทีแรกเธอคิดจะโทรหาเฉิงอี้เหิง แต่แล้วก็นึกถึงคำเตือนของเขาเมื่อเช้าขึ้นมาได้ว่าไม่ให้เธอเข้าไปดูเวยป๋อ ลู่จยาจึงไม่ได้โทรไปหาเขา
ลู่จยานั่งอยู่ในคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงอย่างไม่เป็นสุข จนถึงตอนกลางวันท้องก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาด้วยความหิว เฉิงอี้เหิงทิ้งเงินสองร้อยหยวนกับกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ ในกระดาษเขียนว่า
‘ถ้าคุณหิวก็สั่งอาหารกลางวันมากินเองนะ บนโต๊ะมีเบอร์โทรศัพท์ร้านอาหารอยู่ หรือจะออกไปกินข้างนอกก็ได้’
เฉิงอี้เหิงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็คิดเอาไว้อย่างรอบคอบ
ลู่จยาอยู่ที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงจนแสงแดดยามบ่ายค่อยๆ สาดส่องเข้ามา การนั่งอยู่คนเดียวทำให้จิตใจว้าวุ่น เธอจึงกำเงินสองร้อยหยวนแล้วออกจากบ้านไป
เธอตั้งใจจะไปหาเฉิงอี้เหิงแล้วกินข้าวกับเขา
ลู่จยาไม่ใช่คนบ้าบิ่นไร้สติ ก่อนจะออกจากคอนโดฯ เธอจึงปลอมตัวสักหน่อย ตลอดการเดินทางก็ถือว่าราบรื่นไม่มีใครดูออก แต่ขณะที่กำลังจะเดินไปหน้าประตูโรงพยาบาลก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนเรียกเธอขึ้นมา คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ทั้งนักข่าวและตำรวจ ดูเหมือนจะเป็น ‘ชาวเน็ตผู้ชอบเผือก’ ซะมากกว่า หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่ลู่จยาเดินผ่านไปและไม่ทันระวังจนถูกชนไหล่เข้าทำให้หมวกของลู่จยาหลุดออกขาของเธอเดินไม่สะดวกอยู่แล้วทำให้ก้มลงไปเก็บเองไม่ได้ จึงเรียกผู้หญิงคนนั้นให้ช่วยเก็บหมวกแทน ผู้หญิงคนนั้นก็ทำตามที่เธอขอ ทว่าขณะที่อีกฝ่ายเก็บหมวกขึ้นมาเตรียมส่งให้ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณคือลู่จยาใช่ไหม”
ลู่จยาไม่ทันได้ตั้งตัวจึงพยักหน้ารับ
แล้วสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปแล้วจับตัวลู่จยาเอาไว้ หล่อนตะโกนเสียงดังบอกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา “นี่ไง! ลู่จยาที่ทำให้ฮว่าถิง ‘ควีนออฟเดวิล’ คนนั้นตาย แถมนักข่าวยังบอกว่ามันไปอาละวาดถึงบ้านของแม่ฮว่าถิงอีก ในที่สุดวันนี้ฉันก็จับตัวแกได้แล้ว แกต้องไปขอโทษฮว่าถิงและพ่อแม่ของฮว่าถิง”
ลู่จยาคิดจะเดินหนีแต่กลับถูกผู้หญิงคนนั้นกระชากเสื้อไว้ ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่นาน ทั้งที่เธอควรจะหลุดออกไปได้แล้ว แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นเสียงดังมากจึงทำให้มีคนรุมกันเข้ามา ทุกคนดูราวกับว่ามีความแค้นร่วมกัน พวกเขาต่างโกรธเคืองกับการกระทำของลู่จยาอย่างถึงที่สุด
“ยายลู่จยา วันนี้แกต้องพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการตายของฮว่าถิงนะ!”
ไม้ค้ำของลู่จยาที่เอาออกมาด้วยนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกดึงไปไว้ที่ไหนแล้ว
ขาของเธอยังไม่หายเป็นปกติดีจึงยืนได้ไม่ค่อยมั่นคงนัก เมื่อถูกดันไปดันมาขาก็เจ็บแปลบเข้าไปถึงหัวใจ
“ฉัน…ฉันไม่มี…” ลู่จยาเพิ่งรู้สึกว่าคำอธิบายของเธอนั้นช่างไร้น้ำหนักต่อกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ตอนนี้เธอเหมือนสุนัขไร้บ้านที่ถูกคนรังเกียจและเยาะเย้ยกลั่นแกล้ง ทำได้แค่นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่พื้น เสียงด่าทอต่างๆ นานาไหลเข้ามาในหูของเธอ คำด่าเหล่านั้นราวกับน้ำที่สาดใส่
และเธอใกล้จะจมน้ำแล้ว
แต่ก่อนที่เธอจะเป็นลมหมดสติไป ลู่จยาเหมือนจะได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงร้องเรียกเธออยู่
หลายวันหลังจากเขาพาเธอกลับมาลู่จยาก็ได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง เธอแทบจะไม่ออกจากคอนโดฯ อาหารสามมื้อมีเฉิงอี้เหิงเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่สั่งอาหารมาก็จะเป็นคนลงมือทำอาหารเอง
ลู่จยาโยนกระดาษทิชชูที่เปียกนมลงไปในถังขยะพลางนึกว่าตัวเองถูกเฉิงอี้เหิงพากลับมาที่คอนโดฯ ยังไง
หลังพบว่าลู่จยาถูกคนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บ เฉิงอี้เหิงก็ต้องการพาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาล ทว่าเธอกลับไม่ยอมและยังทำตัวดื้อกับเขาอีก
‘คุณดูแผลบนหน้าของคุณสิ หนักขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมไปรักษาอีก ไม่กลัวว่าจะเป็นแผลเป็นหรือยังไง’
ลู่จยาเบิกตากว้างมองเฉิงอี้เหิง ในแววตาของเธอมีความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งรู้สึกน้อยใจ ทั้งโกรธแค้น สับสน และไม่ยินยอม…
ในตอนนั้นเธอนั่งอยู่บนรถของเฉิงอี้เหิง เอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยล้า ‘แค่แผลเล็กๆ ไม่เป็นไรหรอก’
เธอเหนื่อยมากจึงพิงหลังไปกับเบาะรถแล้วหลับไป ซึ่งก็ได้เฉิงอี้เหิงนั่นแหละที่คาดเข็มขัดนิรภัยให้กับเธอ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งลู่จยาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องรับแขกที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง และแผลบนใบหน้าของเธอก็ได้รับการดูแลเรียบร้อยแล้ว
‘คุณอย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่คอนโดฯ ผมนี่แหละ ส่วนเรื่องในอนาคตรอให้คุณดีขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ’
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ จริงๆ แล้วลู่จยาควรจะอยู่ที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงเพียงไม่กี่วัน ทว่าตอนนี้เธอกลับเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯ ของเขาอย่างหน้าไม่อาย
‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ เป็นกระทู้ที่ได้รับความนิยมมาก มันร้อนแรงจนฉุดไม่อยู่ ลู่จยาที่ซุกตัวอยู่แต่ในห้องเปิดกระทู้ดูตั้งแต่เช้า
เฉิงอี้เหิงเคาะประตูเรียก “คุณเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง ต้องออกไปร่วมงานแล้วนะ”
ลู่จยามองนาฬิกาที่มุมล่างขวาของจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เธอต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าเตรียมตัวออกจากคอนโดฯ ก่อนหน้านี้ลู่จยาไม่ค่อยได้ออกจากห้องนัก อย่างแรกเพราะเรื่องคราวก่อนยังทำให้เธอหวาดกลัวอยู่ อย่างที่สองคือขาของเธอยังไม่หายดีเท่าไหร่
แต่ที่วันนี้ยอมออกจากบ้านเพราะเธอรับปากไว้ว่าจะไปร่วมงานวันเกิดคนไข้ของคุณหมอเฉิงอี้เหิง
เฉิงอี้เหิงบอกว่าคนไข้คนนี้เป็นนักธุรกิจ ใหญ่โตขนาดถึงขนาดที่เรียกลมเรียกฝนในพื้นที่ของเขาได้ ช่วงวัยรุ่นก็ถูกขนานนามว่าสามารถ ‘เปลี่ยนหินให้เป็นทอง’ ไม่ว่าจะไปไหนก็หาเงินได้ตลอดจึงมีทรัพย์สินสะสมไม่น้อยทั้งยังสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้อีก
ลู่จยาหัวเราะเขา “คุณหมอเฉิง ฉันคิดว่าคุณดูเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก จนไม่น่าจะไปร่วมงานเลี้ยงสร้างเส้นสายแบบนี้ ไม่คิดว่าคุณก็…”
“นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงสร้างเส้นสายอะไร แต่เป็นงานเลี้ยงขอบคุณของคนไข้ของผม ถ้าผมไม่ไปก็จะดูเหมือนผมไม่เอาใคร”
ที่จริงแล้วนอกจากจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้แล้ว สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือครอบครัวเฉิงอี้เหิงกับประธานคนนี้มีความสัมพันธ์กันแนบแน่นกันอยู่ แต่แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องครอบครัวของเขาให้ลู่จยารับรู้
จะเอาคน หรือไม่เอาคนสำหรับลู่จยาแล้วไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะตัวเธอเองก็เป็นคนที่ไม่เอาคนอื่นอยู่แล้ว ที่ผ่านมาสโมสรเป็นเหมือนร่มคันใหญ่ที่กันทุกอย่างเอาไว้ให้เธอ เป็นเหมือนอ่าวอันอบอุ่นปลอดภัยที่ช่วยปกป้องเธอจากลมฝนและพายุหิมะทั้งหลาย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสโมสรปกป้องเธอเอาไว้อย่างเพื่อให้เธอได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนและการแข่งขันอย่างเอาจริงเอาจัง สำหรับเรื่องอื่นๆ นั้นจะมีคนคอยช่วยจัดการรับมือให้เธอ เพราะเป็นแบบนี้ลู่จยาถึงไม่เคยคิดทบทวนเลยว่าตัวเองมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าเวลาไหนจะต้องทำอะไรหรือพูดอะไร ซึ่งนั่นก็ทิ้งภาพจำที่ดูเหมือนเป็นคนไม่แคร์สิ่งใดๆ ไว้
ลู่จยาอ่อนโยนขึ้นมากหลังจากที่ได้มาใช้ชีวิตกับเฉิงอี้เหิง ทำให้เขาได้เห็นมุมน่ารักๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ
“ฉันรู้แล้ว จะรีบแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละ” ลู่จยาตะโกนบอกออกไป เธอเดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเครื่องสำอางแต่ละชิ้นออกมา จากนั้นก็จัดวางมันไว้อย่างเป็นระเบียบ ครีมรองพื้น อายแชโดว์ มาสคาร่า คอนทัวร์สติ๊ก แป้งพัฟ…
เธอไม่ได้แต่งหน้ามาพักใหญ่แล้ว
เมื่อมองบรรดาเครื่องสำอางมากมายที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วเธอก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อยู่ๆ ก็หมดความมั่นใจไปเสียอย่างนั้น
ไม่ต้องสนใจอะไร ลู่จยาให้กำลังใจตัวเอง เธอหยิบขวดครีมรองพื้นขึ้นมาเขย่าแล้วบีบเนื้อครีมขนาดเท่าเม็ดถั่วออกมาไว้บนหลังมือ จากนั้นจึงหยิบฟองน้ำขึ้นมาแต่งหน้า เมื่อลงรองพื้นเรียบร้อยแล้วลู่จยาก็เตรียมจะวาดคิ้ว ตอนนั้นเองถึงได้เห็นว่ามีขนคิ้วขึ้นจนรก ทำให้ดูไม่เป็นทรงเท่าไหร่นัก เธอคิดว่าควรต้องกันคิ้วสักหน่อย
ขณะที่เธอหยิบมีดโกนขึ้นมาเตรียมจะกันคิ้วนั่นเอง เฉิงอี้เหิงก็ทะลึ่งพรวดเข้ามาในห้อง
“คุณดูซิว่าชุดเดรสนี่เป็นยังไง ผมให้เพื่อนผู้หญิงที่ทำงานช่วยแนะนำมา บอกให้คุณออกไปเลือกด้วยกันกับผมคุณก็ไม่ยอมไป…” เฉิงอี้เหิงหยิบชุดเดรสออกมาขณะพูดไปครึ่งประโยค เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นคิ้วด้านขวาของลู่จยาแหว่งไปกระจุกหนึ่ง เฉิงอี้เหิงอ้าปากกว้างร้องขึ้นอย่างตกใจ “คิ้วคุณเป็นอะไรน่ะ?!”
“ฉัน…” ลู่จยาลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “ฉันกำลังกันคิ้วอยู่! แล้วคุณก็พุ่งเข้ามา พอฉันมือสั่นก็…”
เฉิงอี้เหิงก้าวถอยหลังไปสองสามเก้าด้วยความรู้สึกผิด เขาเดินวนไปวนมาจากนั้นจึงมาหยุดอยู่ข้างๆ ลู่จยา วางมือลงบนไหล่ของเธอแล้วตบเบาๆ สองสามที ก่อนจะวางชุดที่อยู่ในมือลง “คุณค่อยๆ กันคิ้วไปนะ ผมออกไปก่อน…”
“หยุดเลยนะ!”
เฉิงอี้เหิงชะงัก รู้ตัวดีว่าตนไม่อาจจะหลบเลี่ยงความผิดนี้ไปได้ เขาจึงรีบล้วงเอาบัตรเครดิตใบหนึ่งส่งให้ลู่จยา “ถือว่านี่เป็นการชดใช้ความผิดของผมก็แล้วกัน คุณเอาไปรูดได้ตามสบาย” ความสนใจของลู่จยาไม่ได้อยู่ที่บัตรของเฉิงอี้เหิง แต่เป็นเดรสชุดนั้น “ชุดเดรสนี่…”
“ทำไมเหรอครับ”
“สวยดีนะ” ชุดเดรสตัวนี้ดึงดูดความสนใจลู่จยาได้สำเร็จ
ขณะที่ลู่จยากำลังชื่นชมชุดเดรสอยู่นั้นแววตาของเธอก็เป็นประกายราวกับอัญมณีที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางทะเลสาบ เฉิงอี้เหิงเห็นท่าทางเช่นนั้นของลู่จยาบางส่วนในใจก็เกิดความรู้สึกอ่อนยวบยาบขึ้นมา
ปกติแล้วลู่จยาไม่ค่อยได้สวมกระโปรงบ่อยนัก เพราะเธอต้องซ้อมขี่รถและลงแข่งขันอยู่ตลอดจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้สวมมันสักเท่าไหร่ อีกอย่างตัวเธอเองก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ด้วย ในสายตาของลู่จยานั้นผู้หญิงที่สวมกระโปรงเวลาเดินจะดูเหมือนกำลังลอยอยู่ เอวดูบางอ่อนช้อย เย้ายวนไปทั้งตัวเหมือนกับหมิ่นลู่และฮว่าถิง
ลู่จยาจึงรู้สึกว่าการสวมกระโปรงไม่ค่อยเข้ากับสไตล์ของตัวเองเท่าไหร่ อีกทั้งเธอยังต้องรักษาภาพลักษณ์เท่ๆ ของตัวเองเอาไว้ด้วย
เธอหยิบชุดเดรสขึ้นมา มันเป็นชุดราตรีแบบเดรสสั้นสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งมีกลิตเตอร์วิบวับประดับอยู่ เห็นแล้วเธอก็อยากจะลองสวมดู
เมื่อก่อนลู่จยาบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้เธอสามารถคงรูปร่างที่ดีไว้ได้ แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุเธอก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว กินไม่บันยะบันยังจนพุงป่องออกมา เธอจึงไม่รู้เลยว่าจะสวมเดรสชุดนี้เข้าไปได้ไหม
เธอบอกสิ่งที่กังวลอยู่กับเฉิงอี้เหิง แต่เขากลับฉีกยิ้มให้เธออย่างสดใส “ไม่เป็นไร ผมคิดเรื่องนี้ไว้แล้วเลยเลือกไซส์ใหญ่มาให้คุณโดยเฉพาะ”
“คุณออกไปได้แล้วคุณหมอเฉิง” ลู่จยาค้อนขวับ
เฉิงอี้เหิงเดินยิ้มออกไป ครั้งนี้เขาปิดประตูลงเบาๆ
ลู่จยาลูบคลำคิ้วแหว่งๆ ของตัวเอง รู้สึกว่ามันแสบนิดๆ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองได้อะไรมาและสูญเสียอะไรไปบ้าง เธอเติมคิ้วให้เรียบร้อยจากนั้นก็แต่งหน้าที่เหลือจนเสร็จ ทาลิปสติก เม้มริมฝีปาก แล้วใช้เครื่องม้วนผมม้วนผมของตัวเอง
สุดท้ายก็มองไปที่ชุดเดรสสีฟ้าน้ำทะเลตัวนั้น ลู่จยาสูดหายใจลึกก่อนเปลี่ยนชุด
ชุดเดรสพอดีตัวเธออย่างไม่น่าเชื่อ พุงน้อยๆ ของเธอที่ยื่นออกมาถูกกลิตเตอร์ของกระโปรงช่วยบังไว้
ลู่จยามองตัวเองในกระจก ตกตะลึงในความสวยของตัวเองจนแทบจะพูดไม่ออก ชุดเดรสนั้นพอดีตัวแต่ไม่ได้รัดจนแน่น อีกทั้งยังโชว์สัดส่วนอันสวยงามของเธอออกมาได้อย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
“เสร็จหรือยัง” เฉิงอี้เหิงเคาะประตูแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
“เสร็จแล้ว”
“งั้นผมเข้าไปนะ”
เฉิงอี้เหิงผลักประตูห้องเดินเข้าไป เมื่อเขาเห็นลู่จยาถึงกับตกตะลึง
ลู่จยาตัวใหญ่ขึ้นกว่าช่วงที่เป็นนักแข่งเล็กน้อย แต่มันเป็นความอวบอ้วนกำลังดีทำให้เธอดูแข็งแรงและสวยแบบที่คนมองแล้วรู้สึกสบายใจ
เฉิงอี้เหิงถึงกับรู้สึกว่าลู่จยาที่เป็นแบบนี้ เวลาอุ้มคงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มๆ ของตัวหญิงสาว
“คุณมองอะไร ไม่สวยเหรอ” ลู่จยาลูบต้นคอของตัวเองขณะที่ถามออกไปด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ “ไม่ใช่ ผมกำลังนับถือสายตาของตัวเองอยู่ เดรสชุดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มันดูเข้ากับการแต่งหน้าของคุณมาก” เฉิงอี้เหิงพูด
ลู่จยาก้มหน้ามองเดรสที่ตนสวมอยู่ เฉิงอี้เหิงไม่ได้ชมเธอแต่กำลังชมชุด เธอรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเลยเบะปากออกมา “งั้นไปกันเถอะ”
แม้ชุดเดรสจะสวย และการแต่งหน้าของเธอจะดูดี แต่ขาของเธอยังใส่เฝือกอยู่ การเดินเหินไม่สะดวกนักต้องอาศัยไม้ค้ำช่วย
ต่อให้เป็นสาวงามขนาดไหน แต่ถ้ามีไม้ค้ำอยู่ก็ทำให้คนมองห่อเหี่ยวไปได้มากทีเดียว
แต่งานนี้ลู่จยาแค่ไปเป็นไม้ประดับเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะเป็นจุดเด่นหรือโชว์อะไร จะว่าไปแล้วสถานะของเธอเองในตอนนี้ยังเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ถ้ามีคนจำเธอได้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก นักแข่งรถสาวเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้บอกกับเฉิงอี้เหิงไป ซึ่งเขาก็รับรองอย่างดีว่านี่เป็นงานเลี้ยงแบบส่วนตัวมากๆ ไม่อนุญาตให้เอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในงาน เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่จยาถึงได้เบาใจลง
อีกทั้งลู่จยาที่สวมชุดเดรสสั้นนั้นก็ดูแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง และหน้าตาก็เปลี่ยนไปเพราะการแต่งหน้าอีกด้วย ใช่ว่าคนทั่วไปจะจำเธอได้ง่ายๆ
ทั้งคู่นั่งรถมาถึงงานเลี้ยงก็มีเด็กเปิดประตูรถมาเปิดประตูและนำรถไปจอดให้ จากนั้นก็จะมีบริการมาช่วยนำทางพวกเขาเข้างาน แต่ก่อนที่จะเข้าไปในตัวงานเลี้ยงได้บริกรก็จะขอเก็บโทรศัพท์มือถือของแขกเหมือนที่เฉิงอี้เหิงบอกไว้ พร้อมทั้งลงทะเบียนรุ่นโทรศัพท์และสีของเครื่องให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงมอบการ์ดใบหนึ่งให้แขก เมื่องานเลิกแขกก็จะใช้การ์ดใบนั้นมารับโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับไป
เมื่อประตูใหญ่ตรงทางเข้างานเปิดออก เฉิงอี้เหิงก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ลู่จยาคล้องแขนของเขาไว้
ลู่จยามองอยู่แวบหนึ่งก่อนคล้องแขนของเฉิงอี้เหิงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ทั้งคู่คล้องแขนกันเดินเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยท่าทางสนิทสนม หลังจากนั้นชายแก่ผมเทาท่าทางกระฉับกระเฉงก็เดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ รอบๆ ตัวของชายแก่มีคนยืนอยู่ด้วยไม่น้อย พอเขาเดินคนเหล่านั้นก็เดินตามเขาเข้ามาด้วย นั่นทำให้ความสนใจของผู้ร่วมงานมาหยุดอยู่ที่เฉิงอี้เหิงและลู่จยา
“คุณหมอเฉิง คุณมาแล้ว ยินดีต้อนรับ” ชายแก่หัวเราะอย่างเบิกบาน ท่าทางดูสนิทสนมและมีความเกรงใจเฉิงอี้เหิงอยู่
เฉิงอี้เหิงยื่นมือออกไปจับทักทายกับชายสูงวัย “ท่านประธานเฉิน ช่วงหลังมานี้สบายดีใช่ไหมครับ”
“ยังดีอยู่ โชคดีที่ได้คุณหมอเฉิงช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมคงจะยืนอย่างสง่าผ่าเผยตรงนี้ไม่ได้ คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณหมอสบายดีใช่ไหม” ประธานเฉินบิดเอวซ้ายทีขวาทีทำเอาคนทั้งหอประชุมหัวเราะกันใหญ่
เฉิงอี้เหิงพยักหน้ารับ “สบายดีครับ”
“ทุกท่าน ท่านนี้คือคุณหมอเฉิงที่รักษาหลังของผมจนหายดี” ประธานเฉินแนะนำเฉิงอี้เหิงให้กับแขกในงาน ปฏิบัติตัวราวกับเขาเป็นแขกพิเศษ
“วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบเจ็ดสิบปีของผม คำโบราณว่าไว้ ‘คนมีอายุถึงเจ็ดสิบปีตั้งแต่โบราณก็มีไม่มาก’ ผมเองก็ปล่อยวางในหลายๆ เรื่องแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเราคืออะไรคุณรู้ไหม ก็ต้องเป็นการที่มีสุขภาพแข็งแรงอย่างแน่นอน เมื่อมีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วเราถึงจะออกไปต่อสู้ บากบั่น และประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมต้องขอขอบคุณคุณหมอเฉิงอย่างมาก”
แล้วทั้งงานก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ ลู่จยาบิดตัวไปมาเพราะเธอไม่ค่อยคุ้นกับสถานการณ์เช่นนี้เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อเธอยังต้องใช้ไม้ค้ำอยู่
มีเพียงช่วงแข่งขันเท่านั้นที่ทำให้เธอยอมรับสายตาซึ่งจ้องมองมาได้
แต่เมื่อออกจากการแข่งขันแล้ว เธอจะรีบหลบสายตาและกล้องที่จับจ้องมา โชคดีที่สโมสรเอ็นดูเธอมาก เมื่อลู่จยาต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนั้นก็จะช่วยเธอปฏิเสธไปได้
เมื่อประธานเฉินกล่าวคำต้อนรับจบ ความสนใจของเขาก็พุ่งมาที่ลู่จยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เฉิงอี้เหิง
“แล้วท่านนี้คือ…”
มือของลู่จยาจับไม้ค้ำไว้แน่นราวกับเธอกำลังรอคอยอะไรอยู่ สิ่งที่เธอรอคอยก็คือคำตอบจากปากของเฉิงอี้เหิง แต่เธอก็หวั่นกลัวว่าคำพูดนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ยิน
“คู่ออกงานของผมน่ะครับ” เฉิงอี้เหิงตอบ
ลู่จยาถอนหายใจอย่างโล่งอก
คนในงานหลายคน รวมถึงประธานเฉินพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
“จะให้ผมเรียกคุณผู้หญิงคนนี้ว่า…”
“คุณ…คุณลู่ครับ” เฉิงอี้เหิงแนะนำ
“อ้อๆๆ คุณลู่ ดูท่าทางขาคุณลู่จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”
“เธอบาดเจ็บนิดหน่อยน่ะครับ” เฉิงอี้เหิงตอบแทนเธอ
“คุณหมอเฉิง คุณมาทางนี้หน่อย” ประธานเฉินดึงแขนของเฉิงอี้เหิง “จือฮวา หนูมานี่หน่อย” หลังจากเสียงตะโกนของประธานเฉินดังขึ้น หญิงสาวผมยาวในชุดราตรีสีขาวคนหนึ่งก็หันมามองก่อนจะเดินตรงมาทางนี้ ผมของจือฮวาเป็นลอนยาวขนาดใหญ่ทำให้เธอดูงดงามมาก ขณะที่เดินอยู่ก็มีรัศมีของคนมีเงินและความมั่นอกมั่นใจเปล่งประกายออกมาด้วย ทว่าเวลายิ้มกลับดูเป็นสาวหวานๆ
ลู่จยายืนอยู่ข้างๆ เฉิงอี้เหิงกำลังทำตัวไม่ถูก
เฉิงอี้เหิงบีบมือของเธอแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
ในใจลู่จยาคิด ฉันน่ะไม่เป็นอะไร นายต่างหากที่จะเป็น
สาวสวยที่ชื่อจือฮวาเดินเข้ามา เธอปัดเส้นผมไปด้านหลังด้วยท่วงท่ามีเสน่ห์ ภาพลักษณ์ของจือฮวามีการผสมผสานระหว่างความน่ารักและความเซ็กซี่อย่างลงตัวซึ่งหาได้ยาก
มือข้างหนึ่งของประธานเฉินเอื้อมไปจับมือของจือฮวาเอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ดึงมือของเฉิงอี้เหิงเข้ามา แล้วนำมือของทั้งคู่มาวางทับซ้อนกันก่อนเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นว่า “จือฮวา นี่คือคุณหมอเฉิงที่ปู่เคยพูดถึงยังไงล่ะ เป็นยังไง เขาดูเป็นคนมีความสามารถและบุคลิกดีใช่ไหม คุณหมอเฉิงเป็นคนที่เก่งมากนะ อีกทั้งยังพึ่งพาได้ด้วย พวกเธอสองคน…คนหนึ่งเป็นหนุ่มมากความสามารถ อีกคนก็เป็นสาวสวย รู้จักกันไว้ก็ดี”
จือฮวายิ้มด้วยท่าทางที่ดูเขินอาย ทว่าเธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นี่เป็นเพียงท่าทางซึ่งเอาไว้แสดงมารยาทเท่านั้น ลู่จยาเองเห็นแล้วก็อธิบายไม่ถูกแต่เวลาเขียนในกระทู้คนมักจะใช้คำประมาณว่า ‘มีท่าทางเขินอายพอเป็นมารยาท’
ประธานเฉินแนะนำตัวเฉิงอี้เหิงเรียบร้อยแล้วก็ไม่ลืมที่จะแนะนำตัวจือฮวา “คุณหมอเฉิง นี่หลานสาวของผมเอง เพิ่งเรียนจบกลับมาจากอังกฤษ ตอนนี้ดูแลจัดการเรื่องการนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล พวกเธอสองคนน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ”
ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ลู่จยาคิด
ไม่มีพ่อค้าคนไหนทำอะไรโดยไม่หวังผล หากจับคู่จือฮวากับเฉิงอี้เหิงได้ก็ถือว่าเป็นการร่วมมือกันที่แข็งแกร่งมาก คนหนึ่งคือคุณหนูผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุปกรณ์การแพทย์ อีกคนก็มีแบ็กอัพดี ซ้ำยังเป็นหมอที่มีอนาคตไกล เรียกได้ว่าวิน-วินกันทั้งคู่
“สวัสดีครับ คุณจือฮวา” เฉิงอี้เหิงยื่นมือออกไปทักทายอย่างสุภาพ
จือฮวายิ้มให้เขาเล็กน้อย “สวัสดีค่ะคุณหมอเฉิง”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอแลกวีแชตกันสิ ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ด้วยต่อไปจะได้นัดกันไปดื่มกาแฟหรือกินข้าวกันได้” ประธานเฉินทำหน้าที่พ่อสื่ออย่างโจ่งแจ้งตรงไปตรงมาแบบที่เรียกได้ว่าทุกคนรับรู้กันหมด
“ได้สิคะ ถ้าคุณหมอเฉิงโอเคหนูก็ไม่ขัดข้อง” จือฮวาเรียกบริกรเพื่อให้เขานำโทรศัพท์ของตัวเองและเฉิงอี้เหิงมาให้ จากนั้นเธอก็เปิดคิวอาร์โค้ดในวีแชตก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือของตนไปให้เฉิงอี้เหิง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เพราะถูกประธานเฉินจับตามองอยู่จึงต้องหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาสแกนคิวอาร์โค้ดวีแชตของจือฮวา
หลังจากที่จือฮวากับเฉิงอี้เหิงจัดการเพิ่มเพื่อนกันเรียบร้อยแล้ว บริกรก็มาเก็บโทรศัพท์ของทั้งคู่กลับไป ประธานเฉินเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างพึงพอใจเพื่อประกาศเริ่มงานเลี้ยง ทุกคนจึงเริ่มรับประทานอาหารและพูดคุยกันตามอัธยาศัย
หลังจากนั้นประธานเฉินก็ถูกผู้คนมากมายห้อมล้อมและพาเขาไปที่จุดอื่น
จือฮวายืนอยู่ตรงที่เดิมอีกครู่ใหญ่ เธอมองประเมินลู่จยาที่มากับเฉิงอี้เหิงด้วยความสนใจ “คุณผู้หญิงท่านนี้คือ?”
“เพื่อนผมเอง”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจือฮวา” จือฮวาเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปทักทายก่อน
“สวัสดีค่ะ ฉันลู่จยา” ลู่จยายื่นมือออกไปจับไว้
“คุณลู่ ขาของคุณเป็นอะไรเหรอคะ”
“บาด…บาดเจ็บนิดหน่อยค่ะ” เธอพยายามพูดให้เหมือนกับที่เฉิงอี้เหิงพูดไว้ก่อนหน้านี้เพื่อปิดบังสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่แท้จริงของตัวเองและหลีกเลี่ยงการพูดถึงอุบัติเหตุที่อาจจะทำให้พวกเขานึกข่าว ‘อุบัติเหตุของลู่จยาและฮว่าถิง’
“อ้อ” จือฮวาพยักหน้าด้วยท่าทางที่ดูยังสงสัย “งั้นขอให้คุณลู่แข็งแรงในเร็ววันนะคะ”
ลู่จยาพยักหน้ารับ จือฮวาอยู่ด้วยไม่นานก็เดินจากไป เธอมองตามหลังของคุณหนูสาวไปอย่างครุ่นคิด
เฉิงอี้เหิงมองลู่จยาที่กำลังใจลอยจึงถามขึ้น “คิดอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไรค่ะ” อันที่จริงแล้วลู่จยากำลังคิดว่าเธอจะอัพเดตกระทู้ว่าอย่างไรดี
หลังจากประธานเฉินแนะนำเขาไปแล้วก็มีคนเข้ามาทำความรู้จักกับเฉิงอี้เหิงอยู่เป็นระยะๆ ลู่จยาเห็นดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นเหนื่อยที่ต้องยืนนานๆ อยากจะหาที่นั่งพักสักครู่ เฉิงอี้เหิงเลยพาลู่จยาไปยังจุดที่ล้อมรอบไปด้วยอาหารพร้อมกำชับบริกรให้ดูแลเธออย่างดี
เมื่อกินผลไม้ไปสักพักลู่จยาก็เริ่มรู้สึกเบื่อจึงลุกเดินไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางได้เจอเข้ากับบริกรที่ดูแลโทรศัพท์มือถือเลยถามอีกฝ่ายว่าจะขอโทรศัพท์มาใช้ชั่วคราวได้หรือไม่ บริการตอบกลับมาว่าได้ แต่ถ้าจะกลับเข้าไปในงานก็ต้องนำโทรศัพท์มาให้พวกเขาเก็บไว้ ลู่จยาตอบตกลง เธอรับโทรศัพท์จากบริกร กำลังจะใช้ไม้ค้ำยันเดินต่อไปยังห้องน้ำ ทว่าในตอนนั้นเองก็มีบริกรเข้ามาจะช่วยพยุงเธอแต่กลับถูกลู่จยาปฏิเสธ
นักแข่งรถสาวค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเข้าไปด้านในลู่จยาก็วางไม้ค้ำพิงไว้ที่ผนังห้องน้ำก่อนจะนั่งลงบนชักโครกแล้วลงมืออัพเดตเนื้อหาในกระทู้อย่างรวดเร็ว
เธอเขียนเรื่องราวในงานเลี้ยงวันนี้ได้อย่างมีสีสัน จัดการเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้วจึงอัพเดตกระทู้ เมื่อโยนก้อนหินลงน้ำก็ทำให้น้ำกระจายเป็นวงกว้าง พวกที่อยากรู้อยากเห็นทั้งหลายต่างพากันตื่นเต้นยกใหญ่
‘ศัตรูหัวใจปรากฏตัวแล้วเหรอ! ดูท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นคุณหนูล่ะสิ สงสัยจะรับมือไม่ง่ายนะ’
‘เจ้าของกระทู้สู้ๆ! พวกเราอยู่ข้างคุณ!’
‘คุณหมอรูปหล่อเป็นที่นิยมขนาดนั้นเลยเหรอ?!’
‘จากที่เจ้าของกระทู้เขียน ฉันว่าคุณหนู จ. ต้องมาจากตระกูลดี สวย แล้วก็มีความสามารถด้วย พูดกันตามตรงถ้าฉันเป็นผู้ชายฉันจะต้องเลือกคุณหนู จ. แน่ๆ’
‘เจ้าของกระทู้ก็บอกอยู่ อย่าขัดจะได้ไหมอะ กระทู้นี้เขียนไว้ชัดๆ ว่า ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ไม่ใช่ ‘เหมือนว่าหมอของฉันจะชอบคนจากตระกูลดี หน้าสวย และมากความสามารถอย่างคุณหนู จ.’ สักหน่อย’
‘ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับความคิดเห็นที่เพิ่งตอบกลับมาหรอกนะ แต่ที่ฉันพูดมันเป็นความจริง ตอนนี้เจ้าของกระทู้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านให้อยู่ แถมขาก็ยังบาดเจ็บไม่หายดี จะเอาอะไรไปสู้กับคุณหนูนั่น แต่พูดกันตามตรง ที่ฉันรังเกียจสุดๆ คือพวกผู้หญิงที่ยังไม่ทันรู้ว่าความสัมพันธ์ของคนอื่นเขาเป็นยังไงก็แทรกเข้าไปแล้ว ไม่ต้องว่าเขาจะคบหรือยังไม่คบกันหรอก แค่เข้าไปยุ่งโดยไม่แคร์อะไรก็ไม่รู้แล้วว่าใจคิดอะไรอยู่’
‘ความคิดเห็นข้างบนพูดอะไรไม่ออกแล้วรึไง ความสัมพันธ์ยังไม่ชัดเจนแล้วยังไง เข้าบ้านเขาไม่ได้เหรอ เจ้าของกระทู้ไปทำอะไรให้กัน’
เมื่อเห็นคนในกระทู้ทะเลาะกันดุเดือด ลู่จยาก็รู้สึกเซ็งๆ ขึ้นมาจึงลบความคิดเห็นที่รุนแรงบางอันออกไปจากนั้นจึงกดชักโครก แต่เมื่อคิดจะลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกว่าขาชา…เธอลุกไม่ขึ้น
สวรรค์! เธอนั่งห้อยขาอยู่บนชักโครกแท้ๆ ไม่ได้นั่งยองๆ ที่ส้วมหลุมเสียหน่อย แล้วนี่จะลุกยังไงกัน
ลู่จยาอยากจะบ้าตาย
เธอพยายามลุกยืนอยู่หลายครั้งถึงพบว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ขาข้างที่ปกติ แต่อยู่ที่ขาข้างที่เข้าเฝือกไว้ ก่อนหน้านี้มันก็ใช้แรงมากไม่ได้เท่าไหร่อยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับมีอาการชาเป็นระยะๆ จนส่งผลต่อขาข้างที่ปกติไปด้วยจนทำให้ลุกไม่ได้
สิ่งแรกที่เธอนึกออกคือโทรหาเฉิงอี้เหิง แต่เมื่อโทรไปแล้วถึงคิดได้ว่าโทรศัพท์มือถือของทุกคนถูกบริกรเก็บไว้ให้ชั่วคราวซึ่งนั่นหมายความว่าเธอติดต่อกับเฉิงอี้เหิงไม่ได้
ลู่จยาคิดจะเรียกบริกรจึงพยายามตบประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เธอได้ปฏิเสธความช่วยเหลือของบริกรที่จะช่วยพยุงตัวเธอเข้ามาในห้องน้ำไป เขาคงคิดว่าเธอดูแลตัวเองได้ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ช่วยก็คงไม่มีใครมายืนอยู่แถวหน้าห้องน้ำหรอก
สถานการณ์กำลังย่ำแย่อย่างหนัก
จะทำยังไงดี ลู่จยาร้อนรนจนแผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมา
ลู่จยายังแอบคิดว่าอีกสักพักอาการอาจจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วเธอก็ยังรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว
เธอออกมาจากงานเลี้ยงมาเกินกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เฉิงอี้เหิงต้องรู้สิว่าเธอไม่อยู่ในนั้น เขาน่าจะออกมาตามหาเธอ
แต่ว่า…
ถ้าเฉิงอี้เหิงมาพบว่าเธอติดอยู่ในห้องน้ำหญิงแบบนี้ มันก็น่าขายหน้าน่ะสิ
ลู่จยาตัดสินใจพยายามที่จะออกจากห้องน้ำด้วยตัวเองอีกสักครั้ง แต่เมื่อยืนขึ้นได้ก็ถูกอาการชาที่ขาทำให้ต้องนั่งกลับลงไปเหมือนเดิม
ลู่จยาเงยหน้ามองเพดาน ในตอนที่กำลังคิดว่าจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเธอก็ได้ยินเสียงคนคุยกันใกล้เข้ามาทุกที
มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำหญิงแล้ว! ในที่สุดเธอก็รอดแล้ว!
ลู่จยารู้สึกราวกับว่าชีวิตได้เจอพบเจอแสงสว่างอีกครั้ง เธอรอให้คนเดินเข้ามาในห้องน้ำทว่าตอนที่กำลังจะส่งเสียงออกไปนั่นเองก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเฉิงอี้เหิงขึ้นมา
“เธอคิดว่าคุณหมอเฉิงเป็นยังไงบ้าง คุณปู่ของเธอกระตือรือร้นแนะนำเขาให้ขนาดนั้น ดูเหมือนท่านจะชื่นชอบเขามากเลยนะ”
ประโยคนั้นเป็นประโยคคำถาม เธอไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่จากที่พูดถึง ‘คุณหมอเฉิง’ นั่นก็น่าจะหมายถึงเฉิงอี้เหิงล่ะมั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงน้ำไหล คงมีใครเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือ แล้วหลังจากนั้นเสียงของอีกคนก็ดังขึ้น “คุณหมอเฉิงน่ะเหรอ ก็แค่หมอธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต่อให้มีอนาคตไกลยังไงก็เป็นแค่หมอเท่านั้น คุณปู่ฉันแก่แล้วถึงได้แนะนำฉันให้กับหมอธรรมดาๆ แบบนั้น”
น้ำเสียงนี้คุ้นหูมาก มันเป็นเสียงของจือฮวาซึ่งแตกต่างไปจากตอนที่เธอแสดงออกด้วยท่าทางอันแสนสมบูรณ์แบบเมื่อครู่อย่างมาก
ลู่จยารู้สึกโมโหขึ้นมาทันทีหลังได้ยินคำพูดดูถูกเฉิงอี้เหิง ทว่าพอเธอคิดจะลุกยืนก็ได้ยินเสียงคนที่เริ่มบทสนทนาถามจือฮวาดังขึ้นอีก “งั้นแปลว่าเธอไม่ได้ชอบคุณหมอเฉิงคนนั้นงั้นเหรอ แต่จะว่าไปเขาก็ดูหยิ่งๆ นะ ผู้ชายคนอื่นปกติเจอเธอเป็นต้องยอมอ่อนข้อให้ตลอด แต่นี่เขากลับทำท่าเหมือนไม่เต็มใจจะคุยกับเธอ แล้วยังพา ‘ยายง่อย’ มาร่วมงานเลี้ยงสำคัญแบบนี้อีก ไม่รู้ว่าเขาคิดได้ยังไง”
จือฮวาหัวเราะพรืดออกมาก่อนจะย้อนกลับไป “ฮ่าๆ ยายง่อย เธอไม่รู้หรือไงว่า ‘ยายง่อย’ ที่ยืนอยู่ข้างเขาน่ะไม่ธรรมดานะ”
ได้ยินประโยคนั้นลู่จยาก็กังวลขึ้นมาทันที เธอได้แต่คิดในใจว่า หรือจือฮวาจะรู้ว่าฉันเป็นใคร ไม่แน่ต่อไปพวกเธออาจจะพูดเรื่องไม่ดีของฉันขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงขอให้พวกเธอช่วยพยุงออกไปไม่ได้แน่…
ชีวิตคนเรานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ลู่จยาไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางไหนจึงจะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้
แต่ถึงอย่างนั้นลู่จยาก็ยังอยากรู้ว่าจือฮวาจะพูดถึงเธอว่าอย่างไร
“…ไม่ธรรมดายังไง” คนคนนั้นถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแสดงความอยากรู้อยากเห็น
“ก็เธอคือ…”
จือฮวากำลังจะพูดแต่กลับโดนเสียงจากด้านนอกขัดจังหวะเสียก่อน “ขอโทษนะครับ คุณจือฮวาอยู่ด้านในหรือเปล่า”
“อยู่ค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” จือฮวาขานรับ
บริกรคนหนึ่งเดินมาที่หน้าประตูแล้วพูดเสียงดัง “คุณจือฮวาครับ คือว่าบริกรหญิงของเราทั้งหมดถูกเรียกรวมตัวเพราะดูเหมือนคุณผู้หญิงที่มากับคุณเฉิงจะหายตัวไป ผมเลยต้องขอรบกวนให้คุณช่วยดูสักหน่อยครับว่ามีสุภาพสตรีที่ถือไม้ค้ำอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”
“อ้อ” จือฮวาหันกลับมากวาดตาดูภายในห้องน้ำ “ได้ ฉันจะดูให้เดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็พูดกับเพื่อนของตัวเอง “ไล่เคาะประตูทุกห้องแล้วเปิดเข้าไปดู”
ลู่จยาได้แต่คิดในใจว่าเสร็จแน่ งานนี้เธอต้องถูกจับได้ตอนนี้แน่ๆ นักแข่งรถสาวกัดฟันใช้ไม้ค้ำปลดล็อกประตูห้องน้ำแล้วผลักมันออกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะดังแหะๆ เมื่อหัวเราะเสร็จลู่จยาก็นึกอยากจะตบหน้าตัวเองสักที ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดด้วย คนที่ต้องรู้สึกผิดจริงๆ ก็คือคนที่พูดจาลับหลังคนอื่นต่างหาก
ทว่าคนที่พูดถึงเรื่องของคนอื่นลับหลังอย่างจือฮวากลับไม่มีท่าทางรู้สึกผิดแม้แต่น้อย จือฮวายังคงวางมาดส่งรอยยิ้มตามมารยาทในแบบของตัวเองให้ต่อไป ดวงตาของจือฮวาโค้งลง เธอพูดยิ้มๆ กับลู่จยา “คุณลู่ มีอะไรจะให้ฉันช่วยไหมคะ”
“ฉัน…ฉันลุกไม่ขึ้นค่ะ รบกวนคุณช่วยพยุงฉันหน่อยนะคะ พาไปที่หน้าประตูก็ได้”
“ดูเหมือนคุณหมอเฉิงน่าจะรออยู่ด้านนอกนะ” จือฮวาเดินเข้ามาใกล้จนลู่จยาได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวของหล่อน เป็นเพราะช่วงนี้เธอว่างมากพอไม่มีอะไรจะทำจึงไปศึกษาเกี่ยวกับน้ำหอมชนิดต่างๆ มาหลายตัว ทำให้พอได้กลิ่นจึงรู้ทันทีว่านี่คือกลิ่นยามรุ่งอรุณของยี่ห้อโลเอเว่
จือฮวายื่นมือข้างหนึ่งออกมาช่วยพยุงตัวลู่จยา ส่วนเธอก็ออกแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่เพราะขาของเธอชามากๆ จึงต้องนั่งลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ไม่ไหว ขาของฉันชามาก ลุกขึ้นไม่ไหวจริงๆ”
ทว่าจือฮวาไม่เชื่อจึงเรียกเพื่อนของตัวเองให้เข้ามาช่วย ทั้งคู่เข้ามาพยุงตัวลู่จยาอยู่หลายครั้ง แต่ทำยังไงลู่จยาก็ลุกไม่ได้สักทีทำให้จือฮวาเริ่มโมโห หล่อนจ้องลู่จยาก่อนพูดออกมา “คุณลู่ต้องให้คุณหมอเฉิงเข้ามาอุ้มคุณใช่ไหมคะถึงจะยอมลุกได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะไปเรียกคุณหมอเฉิงเข้ามาให้เดี๋ยวนี้เลย ยังไงซะตอนนี้ก็ไม่มีคนใช้ห้องน้ำพอดี”
“ไม่ใช่…” ลู่จยาไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่ขาชาจนลุกไม่ขึ้นยังไงดี หน้าผากของเธอมีเหงื่อซึมออกมา แม้จะไม่อยากจะให้ใครคิดว่าทำตัวสำออย แต่สุดท้ายเธอก็จำต้องพูดออกไป “คุณจือฮวาคะ รบกวนคุณช่วยเรียกคุณหมอเฉิงเข้ามาเถอะค่ะ ขาของฉัน…อาจจะมีปัญหาก็ได้”
จือฮวาปรายตามองลู่จยาด้วยความไม่พอใจจนแทบจะเป็นการค้อนใส่ ตอนนั้นเองลู่จยาถึงมองออกอย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่จือฮวาแสดงออกมาทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น
เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังกึกๆ เดินออกไปที่หน้าประตู จือฮวาพูดอะไรบางอย่างกับเฉิงอี้เหิงแต่เพราะระยะห่างมีไม่น้อยลู่จยาจึงได้ยินไม่ชัดนัก
ไม่นานนักจือฮวากับเพื่อนก็จากไป เฉิงอี้เหิงที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตะโกนถามออกมา “ขอโทษนะครับ ในห้องน้ำผู้หญิงมีคนอยู่หรือเปล่าครับ”
ไม่มีเสียงคนตอบรับ
เฉิงอี้เหิงเดินเข้ามาด้านในถึงเห็นลู่จยาที่มีเหงื่อออกเต็มหน้า ตอนนี้ตัวของหญิงสาวพิงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ เขารับรู้ถึงความผิดปกติได้ในทันทีจึงรีบเข้ามาเช็กขาข้างที่บาดเจ็บของลู่จยา “คุณเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ๆ ขาก็ชาขึ้นมา ตอนแรกเป็นแค่ข้างเดียว…” ริมฝีปากของลู่จยาซีดขาว บนหน้าผากของเธอมีเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด “แต่สักพักขาอีกข้างก็ชาด้วย แล้วก็ชาไปเลยครึ่งตัว…”
ริมฝีปากของลู่จยาสั่นเล็กน้อยขณะพูด
“อาจจะเป็นเพราะอาการแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ผมจะส่งคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” เฉิงอี้เหิงอุ้มเธอขึ้นมา พอออกจากห้องน้ำเขาสั่งการบริกรอยู่ครู่หนึ่ง หลังรับโทรศัพท์มือคืนมาแล้วก็เตรียมตัวจะออกจากงาน ทว่าตอนจะเข้าไปในลิฟต์ก็บังเอิญเจอเข้ากับจือฮวาที่สวนออกมา
จือฮวาประหลาดใจเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าเฉิงอี้เหิงจะอุ้มลู่จยาออกมาจึงทักขึ้นว่า “คุณหมอเฉิงดูจะกังวลใจเรื่องของคุณลู่มากเลยนะคะ”
“ขอทางหน่อยนะครับ” เฉิงอี้เหิงไม่สนใจที่จือฮวาประชด
“หา?” จือฮวาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
“ลู่จยามีอาการแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ตอนนี้ผมเลยต้องรีบพาเธอไปโรงพยาบาล ยังไงรบกวนคุณช่วยหลีกทางให้หน่อย” เฉิงอี้เหิงพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
เขาไม่ค่อยเรียกชื่อเต็มของลู่จยา จะมีก็แค่ตอนที่ร้อนรนมากๆ ถึงเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว
จือฮวาตกใจกับท่าทีของเฉิงอี้เหิงอย่างชัดเจนจึงรีบหลบทางให้ แล้วก็ได้แต่มองเฉิงอี้เหิงอุ้มลู่จยาเข้าไปในลิฟต์ตาปริบๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง โดยที่เฉิงอี้เหิงไม่มองจือฮวาเลยแม้แต่ปลายเล็บ
เพื่อนของจือฮวาซึ่งเดินออกจากลิฟต์มาด้วยกันอดใจไม่ไหวจึงอุทานขึ้น “ว้าว! หมอคนนั้นเท่มากอ่ะ อย่างกับกำลังเล่นละครอยู่เลย”
“เธออย่าเพิ่งไปหลงใหลเขานักเลย” จือฮวาพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน “เมื่อกี้เธอไม่ได้ยินที่เขาเรียกคุณลู่หรือไง ‘ลู่จยา’ ช่วงนี้ชื่อนี้ดังมากนะ น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย ไม่งั้นฉันจะถ่ายรูปเก็บไว้เพราะยายลู่จยาคนนี้ร้ายกาจมาก”
“ลู่จยา…” เพื่อนของจือฮวาคิดอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมา “…นักบิดสาวชื่อดังที่แข่งรถกันแล้วบาดเจ็บหนึ่งตายหนึ่งนั่นใช่ไหม”
“ใช่สิ ฉันยังเคยซื้อตั๋วเข้าไปดูการแข่งเลย แต่ไม่ได้เข้าไปเชียร์ยายนั่นหรอกนะ ฉันตั้งใจเข้าไปโห่เยาะเย้ยน่ะ” จือฮวาบอก
“ทำไมล่ะ”
“ฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียนของฮว่าถิง และชื่นชอบเธอมาตลอด ‘ควีนออฟเดวิล’ น่ะ ไม่ว่ายังไงก็ควรจะเป็นฮว่าถิงเท่านั้น ไม่ใช่คนอย่างลู่จยา” จือฮวาว่า
บทที่สาม
เฉิงอี้เหิงอุ้มลู่จยาวิ่งไปขึ้นรถด้วยความรีบร้อน เขาวางเธอไว้บนเบาะด้านหลังอย่างเบามือ ปกติแล้วเฉิงอี้เหิงเป็นคนที่ขับรถระมัดระวังมากไม่ค่อยขับเกินความเร็วที่กำหนด แต่ครั้งนี้แม้กระทั่งลู่จยาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรีบร้อนของเขา
ก่อนถึงโรงพยาบาล เฉิงอี้เหิงได้โทรศัพท์ติดต่อกับหมอเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงโรงพยาบาลลู่จยาก็ถูกส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำการรักษาทันที ลู่จยาในเวลานี้รอดพ้นจากช่วงวิกฤตแล้วและกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
เตียงคนไข้นั้นมีจำกัดทำให้เฉิงอี้เหิงต้องพาลู่จยาย้ายมานอนพักที่เตียงในห้องพักแพทย์ของเขาโดยมีผ้าม่านกั้นไว้ ส่วนเขาก็นั่งทำงานอยู่ทางด้านนอก ที่จริงวันนี้เป็นวันหยุดของเฉิงอี้เหิง แต่เมื่อต้องกลับมาที่โรงพยาบาลแล้วเขาจึงทำการรักษาคนไข้ไปด้วยเลย
ลู่จยาตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้เธอได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงพูดคุยเรื่องการตรวจรักษาคนไข้อยู่ด้านนอก เสียงของเขาทำให้จิตใจของเธอรู้สึกสงบลงได้อย่างประหลาด เมื่อรู้สึกปลอดภัยเธอจึงหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ด้านเฉิงอี้เหิงเองก็ตรวจคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ลู่จยานวดขมับของตัวเองเบาๆ เพราะนอนมากไปทำให้เธอรู้สึกมึนๆ พอก้าวลงจากเตียงได้เธอก็ดึงม่านกั้นออกจึงเห็นเฉิงอี้เหิงซึ่งสวมแว่นตากรอบทองกำลังเขียนอะไรบางอย่าง โคมไฟที่ตั้งอยู่ข้างๆ เขาเปิดสว่างไสว ส่องแสงอบอุ่นออกมา
พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเฉิงอี้เหิงก็เงยหน้าขึ้นมอง
ลู่จยายังอยู่ในอาการมึนงง แสงเหลืองนวลของโคมไฟที่ส่องกระทบใบหน้าของเฉิงอี้เหิงนั้นทำให้ใบหน้าของเขาดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติทั้งยังดูอ่อนโยนมากทีเดียว
“ลู่จยา” เฉิงอี้เหิงเรียกเธออยู่หลายครั้งกว่าลู่จยาจะรู้สึกตัว
“เอ่อ มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ผมถามว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง ยังรู้สึกชาไปทั้งตัวอยู่ไหม”
ลู่จยาส่ายหน้า “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ” ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมาเฉิงอี้เหิงก็เดินมาตรงหน้าของลู่จยาแล้ว ก็ยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของเธอพร้อมพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีไข้แล้ว”
ลู่จยาเคยเดินคู่กับเฉิงอี้เหิงอยู่บ่อยๆ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนตัวสูง แต่ในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ และเมื่อเทียบกับเธอแบบชัดๆ แล้ว ลู่จยาถึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนตัวสูงมากกว่าที่ตัวเองคิด
หน้าผากของลู่จยาอยู่แค่ปลายคางของเฉิงอี้เหิง หากเธอมองตรงไปก็จะเห็นลูกกระเดือกของเขา และยังมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวของเขาลอยมาแตะจมูกของเธออีกด้วย
ลู่จยากลืนน้ำลายลงคอ
“หิวแล้วล่ะสิ” เฉิงอี้เหิงบังเอิญได้ยินเสียงเธอกลืนน้ำลายจึงเอ่ยปากถาม
“ใช่ ฉันหิวตั้งนานแล้ว” ลู่จยาลูบท้องเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางขวยเขินก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านเพื่อพูดกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่ฉันกลืนน้ำลายเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะหิวสักหน่อย แต่เป็นเพราะความหล่อของนายต่างหาก”
“คุณพึมพำอะไรอยู่น่ะ” เฉิงอี้เหิงถาม
“เปล่าๆๆ” ลู่จยาหันกลับมาส่ายหน้าพรืด
ลมเย็นยามค่ำคืนพัดเส้นผมของเธอเบาๆ ทำให้ลู่จยาดูทั้งบ๊องทั้งน่ารัก
“คุณอยากกินอะไรล่ะ”
“อะไรจืดๆ หน่อยก็ดีนะ” ลู่จยาก้มหน้าลงมองพุงน้อยๆ ของตัวเองแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “คนเราถ้าไม่รู้จักควบคุมสักนิดก็จะต้องเจอการแก้แค้นของร่างกาย”
“ได้สิ”
จากประสบการณ์และบทเรียนหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้เฉิงอี้เหิงเลือกจะพาลู่จยาไปที่ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศดี และให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกค้า เขาขอห้องอาหารส่วนตัว
ขณะที่เดินเข้าไปในร้าน เฉิงอี้เหิงก็นำเสื้อนอกของเขามาคลุมตัวลู่จยาเอาไว้ เมื่อมีเสื้อนอกคลุมไว้ทั้งตัวซ้ำยังก้มหน้าลงไปอีกจึงยากที่จะดูรู้ว่าเธอเป็นใคร
หลังจากที่รับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถกลับคอนโดฯ ลู่จยานั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างคนขับ ศีรษะของเธอพิงกับหน้าต่างรถ เธอมองดูใบหน้าด้านข้างของเฉิงอี้เหิงขณะที่เขากำลังขับรถ จากนั้นจึงหันไปมองแสงจากหลอดไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่ทั่วทั้งเมือง และแล้วแสงจากหลอดไฟนีออนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป…ใจของลู่จยาไม่เคยสงบอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้เธอกำลังดื่มด่ำเมามายกับความมืดยามค่ำคืน
ระหว่างทางทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่บรรยากาศก็ยังดูสบายๆ ทำให้ลู่จยานึกถึงคืนก่อนวันแข่งขัน ก่อนแข่งเธอมักจะนอนไม่หลับทุกครั้ง มันเป็นค่ำคืนที่ทรมานและยาวนานราวกับว่าถูกดึงให้ยืดยาวออกไป รุ่งอรุณของวันใหม่มาไม่ถึงสักที และคนที่จมอยู่ในความมืดย่อมรับได้รู้ถึงความสิ้นหวัง หลังจากที่คิดได้เธอก็เอาหมวกกันน็อกมากอดไว้จึงทำให้นอนหลับลง
เมื่อหัวใจของเธอมีสิ่งของบางอย่างทับเอาไว้ เธอจึงไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป ไม่มีลมพัดเข้ามาก็ไม่โดดเดี่ยวและว่างเปล่า
ทว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนที่งดงาม ลู่จยารู้สึกว่าหัวใจของเธอไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากดทับเอาไว้ก็สามารถนอนหลับได้ นั่นเพราะเธอรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
ลู่จยาอัพเดตเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงลงในกระทู้ และนั่นก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่อีกครั้ง
‘ว้าว! เจ้าของกระทู้ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ อันตรายมากเลยใช่ไหม’
‘ตอนที่ ฉ. อยู่ในลิฟต์มีวิญญาณประธานจอมโหดเข้าสิงใช่ไหม! ยายคุณหนูนั่นกล้ามารังเกียจ ฉ. ว่าเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ ได้ยังกัน! ถ้าไม่เอาก็ส่ง ฉ. มาให้ฉันได้ไหม’
‘เอ๋?…ติดตามกระทู้มาตั้งนาน ดูจากระยะเวลากับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องของเจ้าของกระทู้เหมือนกับบุคคลในข่าวช่วงนี้เลย อย่าทำร้ายฉันนะ ฉันจะพูดแค่คีย์เวิร์ดให้พวกคุณไปเดากันเอง…อุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ นักบิด ขาหัก’
‘จากที่ความคิดเห็นข้างบนพูดถึงนะ ดูเหมือนฉันจะเดาได้แล้วล่ะ ล.จ. หรือเปล่า’
‘ลู่จยา…ยังต้องเขียนตัวย่ออะไรอีกอะ เธอไม่ใช่ดาราสักหน่อย ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นลู่จยานะ ฉันหมายถึงมันเหมือนเรื่องที่เกิดกับลู่จยาเลยอ่ะ แต่ว่าเธอไม่ใช่คนสไตล์นี้แน่นอน ถ้าไม่ใช่ว่ามีนักเขียนมือปืนมารับจ้างเขียน ก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองแน่นอน’
‘เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบน ฉันถือว่าเป็นแฟนคลับปลายแถวของนักแข่งความเร็วสองล้อ เคยตามไปดูการแข่งขันก็หลายครั้ง แถมเข้าร่วมแฟนมีตของนักบิดสาวก็บ่อย เรื่องไปรับส่งสนามบินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติตอนที่พวกเธอฝึกซ้อมกันฉันก็ไปดูตั้งหลายรอบ จากมุมมองของฉันนะ ฮว่าถิงเป็น ‘ควีนออฟเดวิล’ ของแท้แน่นอน ทั้งสาว ทั้งสวย แล้วเทคนิคการขี่รถก็ยอดเยี่ยมอีก แต่ปัญหาคือเวลาเธอพูดคุยอ่ะ ดูเป็นคนมีหลายอารมณ์เหมือนมีเรื่องปิดบังอยู่ในใจ แต่ลู่จยานี่อย่างกับปลาตาย ทื่อๆ เย็นๆ พูดก็ไม่เก่ง แล้วก็ดูไม่ค่อยอยากพูดด้วย เย็นชามาก ตอนนั้นพวกเรายังคิดเลยว่าเป็นแฟนคลับของลู่จยาต้องแย่แน่ๆ เพราะเธอไม่ค่อยพูดจา ไม่รู้จักเอาใจแฟนคลับหรือพูดขอบคุณแฟนคลับเลย’
‘เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบน ผมเป็นผู้ชายนะ อย่างแรกที่ดูก็ต้องดูรูปร่างหน้าตาของสาวๆ แน่นอน ฮว่าถิงกับลู่จยาหน้าตาสวยทั้งคู่ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าลู่จยาจะออกไปทางใสๆ แต่เพราะเธอชอบแต่งตัวด้วยสีดำใช่ไหมล่ะ ส่วนฮว่าถิงเนี่ยรู้ว่าตัวเองควรแต่งตัวยังไงมากกว่าเลยมีเสน่ห์น่าหลงใหล ทุกครั้งที่ฮว่าถิงถอดหมวกกันน็อกแล้วสะบัดผมเป็นลอนๆ ออกมา เห็นแล้วก็ใจหวิวๆ จังหวะนั้นเลยที่ผมตัดสินใจจะเป็นแฟนคลับฮว่าถิงไปตลอดชีวิต’
‘นี่ๆๆ กระทู้นี้ไม่ได้ถามว่าลู่จยาหรือฮว่าถิงใครสวยกว่ากัน จะว่าไปพวกคุณมั่นใจได้ไงว่าเจ้าของกระทู้คือลู่จยา’
กว่าลู่จยาจะเห็นความคิดเห็นพวกนี้ก็ผ่านไปสองวันแล้ว เพราะสองวันที่ผ่านมานั้นนักแข่งรถสาวมัวยุ่งอยู่กับการต้อนรับนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอ
หมิ่นลู่บินกลับมาจากยุโรปแล้ว
เช้านั้นเฉิงอี้เหิงกำลังพักผ่อนอยู่ในคอนโดฯ ส่วนลู่จยาก็ยังนอนหลับอุตุอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊งๆๆ ขึ้นมาแถมยังสั่นไม่หยุด ตอนที่ลู่จยารับโทรศัพท์ เสียงของหมิ่นลู่ก็ดังลอดออกมาเกือบจะทำให้ลำโพงระเบิด
‘ลู่จยา! เธอเกิดอุบัติเหตุจนขาหักทำไมถึงไม่บอกฉันสักคำ นี่ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม?!’
ลู่จยาขยี้ตาด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่งถึงรู้ตัวว่าเสียงที่ตะโกนออกมานั้นเป็นเสียงของใคร เธอยื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขนแล้วตะโกนกลับไป ‘เจ๊หมิ่น! เธอบินไปยุโรปสามเดือนไม่ใช่หรือไง’
‘แล้วทำไมไม่ไปหาเว่ยอิ้ง?!’
เมื่อพูดถึงเว่ยอิ้งรอยยิ้มบนใบหน้าของลู่จยาก็ค่อยๆ จางไป
‘เขาไปแข่งที่ยุโรป พวกเธอไม่ได้เจอกันที่ยุโรปหรือไง’ ลู่จยาถาม
‘ไม่เจอ’ หมิ่นลู่ไม่ได้ฟังว่าน้ำเสียงของลู่จยามีความผิดหวังเจือปนอยู่ ‘ฉันเพิ่งลงจากเครื่อง เธออยู่ที่โรงพยาบาลไหนน่ะ ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย’
‘ฉันไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว’
‘งั้นเธออยู่ที่ไหน’
‘บ้านคนอื่นน่ะ’
‘คนอื่นไหน’
‘หมอของฉันเอง’
‘แล้วบ้านเธอล่ะ’
‘ครบกำหนดเช่าตามสัญญาไปแล้ว และฉันก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าต่อด้วย สโมสรเองก็ยกเลิกสัญญากับฉันไปแล้ว’
ลู่จยาได้ยินเสียงหมิ่นลู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
‘นี่เธอ! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมให้รู้จักเก็บเงินเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ใช้จนไม่เหลือแบบนี้ เธอนี่มัน…’
‘เอาล่ะๆ ลู่ลู่พอเถอะ ฉันขาหักอยู่นะ’
‘เธอรู้ตัวเหมือนกันนี่ว่าขาหัก ส่งที่อยู่มา ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้’
ถ้าเปรียบลู่จยาเป็นเสือดาวตัวน้อย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสือสาวเจ้าป่าอย่างหมิ่นลู่แล้ว เธอกลับเป็นได้แค่แมวเหมียวตัวเล็กๆ เท่านั้น
ลู่จยาจึงได้แต่ส่งที่อยู่ของคุณหมอเฉิงให้หมิ่นลู่แต่โดยดี
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหมิ่นลู่ในชุดแอร์โฮสเตสเต็มยศก็ลากกระเป๋ามาปรากฏตัวที่หน้าคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง
“คุณคือหมอคนนั้น” หมิ่นลู่ไม่อยากจะมองหน้าของเขาด้วยซ้ำ เธอผลักเฉิงอี้เหิงแล้วเดินเข้าห้องไปพร้อมกวาดตามองรอบๆ “ลู่จยาล่ะ”
เฉิงอี้เหิงไม่อาจขวางหมิ่นลู่ไว้ได้ เขาโดนไล่ต้อนจนต้องถอยไปหลายก้าว
หมิ่นลู่เดินกลับมาตรงหน้าเฉิงอี้เหิงแล้วจ้องชายหนุ่มด้วยความสงสัย “คุณไม่ได้ทำอะไรจยาจยาใช่ไหม”
เฉิงอี้เหิงยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจพร้อมก้าวถอยหลัง “ลู่จยาแค่มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้นครับ”
หมิ่นลู่ข่มขู่ทันที “ถ้าคุณกล้าทำอะไรลู่จยา ฉันจะตัดแขนคุณแน่!”
“ลู่ลู่” เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก ลู่จยาที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำก็รีบพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาห้ามหมิ่นลู่เอาไว้ทันทีก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามไปใหญ่โต “เธอใจเย็นๆ ก่อน คนเขาใจดีอุตส่าห์ให้ฉันพักด้วย”
ความสนใจของหมิ่นลู่ไม่ได้อยู่ที่คำว่า ‘ใจดีให้พักด้วย’ แต่อยู่ที่ลู่จยาซึ่งตอนนี้มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันตัวเอาไว้
ลู่จยาลากตัวหมิ่นลู่เข้าไปในห้องนอนของตัวเองจากนั้นก็ปิดประตู
“นี่พวกเธอ…พวกเธอไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“ขั้นไหนอะไร” ลู่จยาถามอย่างงุนงง
หมิ่นลู่เปิดโหมดนักสืบ “ออกมาจากห้องน้ำโดยมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแสดงว่าพวกเธอคงสนิทกันมาก แล้วก็ไม่ได้แบ่งชายแบ่งหญิงด้วย พูดตรงๆ นะ พวกเธอ…ทำอย่างว่ากันแล้วหรือเปล่า”
“เจ๊หมิ่น เธอพูดบ้าอะไรเนี่ย!” ลู่จยาตะโกน “ก็แค่…ฉันรู้สึกว่าเขาชอบฉันอยู่เหมือนกันเท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริงๆ”
หมิ่นลู่ปรายตามองอย่างไม่อยากเชื่อ “ลู่จยา ฉันเตือนไว้ก่อนเลย เธออย่าไปหลงรักเขาล่ะ แล้วจู่ๆ เธอมาอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าเนี่ย ถ้าคนอื่นรู้เข้ายังไงก็ไม่ดี อย่าลืมว่าเธอเป็นที่รู้จักในสังคมนะ”
พอได้ยินคำพูดของหมิ่นลู่ ความรู้สึกของลู่จยาก็จมดิ่งลงไปทันที “แต่ตอนนั้นฉันไม่มีที่ไปจริงๆ นะ เธออยู่เมืองนอกด้วย ตอนเกิดอุบัติเหตุฉันก็มีแต่เรื่องทำให้ชื่อเสียงเสียหาย ทั้งโดนสโมสรไล่ออก ทั้งห้องเช่าก็ถึงกำหนด…”
หมิ่นลู่ยกมือขึ้นทำท่าบอกให้เธอหยุดพูด ก่อนจะเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องจนพบกระเป๋าเดินทางสองใบ หมิ่นลู่ลากมันออกมาแล้วโยนไปตรงหน้าของลู่จยา “เก็บของซะ แล้วไปกัน”
“ไปไหน” ลู่จยาถามอย่างระแวง
“ก็ต้องไปบ้านฉันสิ เธอจะมาอยู่บ้านผู้ชายแปลกหน้าอย่างนี้ได้ยังไง”
“แต่ว่าฉัน…หมิ่นลู่ฟังฉันพูดก่อนนะ คุณหมอเฉิงไม่ใช่ผู้ชายแปลกหน้า เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นหมอประจำตัวของฉันด้วย กว่าขาฉันจะหายดีให้ฉันอยู่กับเขาที่นี่น่าจะสะดวกกับการฟื้นฟูมากกว่า แล้วต่อให้ขาฉันหายดีก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ดี ไม่มีเขาไม่ได้นะ”
“เชอะๆๆ”
หมิ่นลู่มองลู่จยาด้วยสายตาดูถูก แต่ทำได้ไม่เท่าไหร่เธอก็พูดออกมาว่า “ไม่มีเขาไม่ได้งั้นเหรอ นี่! ลู่จยา ฉันว่าเธอหลงรักเขาแล้วใช่ไหม” แอร์โฮสเตสสาวจิ้มไปที่หน้าผากของลู่จยา จากนั้นก็ตะโกนเรียกเฉิงอี้เหิงให้เข้ามาในห้องแล้วถามเขา “คุณจะตัดสินใจเรื่องนี้ยังไง”
“เมื่อกี้ผมได้ยินที่ลู่จยาพูดหมดแล้ว ผมคิดว่าเธอมีเหตุผล เธออยู่ที่นี่ก็สะดวกกว่าอยู่กับคุณจริงๆ”
“เพราะอะไร”
“อย่างแรก ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่าคุณเป็นแอร์โฮสเตส ต่อให้ไม่ได้บินเส้นทางยุโรปแล้วแต่ก็ยังต้องบินเส้นทางในประเทศใช่ไหมล่ะ คุณลองคิดดูนะ ตอนนี้ลู่จยาเป็นผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก งานแบบคุณคงหาเวลามาดูแลเธอทุกวันไม่ได้แน่นอน ถ้าตอนที่คุณต้องเดินทางหลายวันแล้วลู่จยาอยู่ที่บ้านคุณคนเดียวเกิดล้มกระแทกขึ้นมาจะจัดการอะไรๆ ก็ไม่สะดวก แต่ผมน่ะต่อให้งานยุ่งก็ยังมีเวลากลับบ้านทุกวัน อย่างที่สอง บาดแผลของลู่จยายังไม่หายดีอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ก็ต้องรีบส่งตัวเธอไปโรงพยาบาล หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก ผมคิดว่าการดูแลของคุณน่าจะไม่ดีเท่าผม เพราะยังไงซะผมก็เป็นหมอของเธอ”
คำพูดของเฉิงอี้เหิงเป็นเหตุเป็นผลจนหมิ่นลู่ไม่อาจจะคัดค้านอะไรได้
หมิ่นลู่จึงทำได้แค่คว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วชี้นิ้วไปทางเฉิงอี้เหิงก่อนข่มขู่เขา “ก็ได้ ยังไงซะตอนนี้ฉันก็บินในประเทศ อีกไม่กี่วันฉันจะกลับมาเช็กดู ถ้าฉันรู้ว่านายคิดอะไรไม่ดีหรือทำอะไรไม่ดีกับลู่จยาของฉัน ฉันเอานายตายแน่”
ลู่จยาสูดหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจตัวเองพร้อมบ่นพึมพำอยู่ในใจ ‘เจ๊หมิ่นนะเจ๊หมิ่น เธอมีสิทธิ์อะไรไปข่มขู่เฉิงอี้เหิงแบบนั้น’
“คุณวางใจได้เลยครับ ผมรับรองว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณเรียกร้องแน่นอน” เฉิงอี้เหิงใช้คำพูดเป็นทางการเพื่อหวังให้หมิ่นลู่ยำเกรง
วันนั้นหมิ่นลู่ไม่ได้กลับบ้านทันทีแต่ยังพักอยู่ที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงหนึ่งคืนเพื่อดูว่าเขาดูแลลู่จยายังไง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเฉิงอี้เหิงดูแลลู่จยาได้เป็นอย่างดีเธอจึงกลับไปอย่างสบายใจ
ทว่าก่อนหมิ่นลู่จะกลับไปเธอก็ส่งบัตรใบหนึ่งให้เฉิงอี้เหิง “คุณหมอเฉิง ลู่จยาอาศัยอยู่ที่นี่คงรบกวนคุณไม่น้อย คงจะมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะ ในบัตรนี้มีเงินอยู่นิดหน่อยคุณเอาไปใช้ได้เลยนะคะ ถือซะว่าเอาไว้ซื้อของบำรุงร่างกายให้ลู่จยาก็ได้ค่ะ”
ใจเฉิงอี้เหิงได้แต่คิดว่าเพื่อนของลู่จยานั้นก็ไม่ต่างจากลู่จยาเลย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ชอบยื่นบัตรให้คนอื่น แต่เขาก็นึกถึงเมื่อก่อนที่ตัวเองก็เคยยื่นบัตรให้ลู่จยา หรือว่าเขาเองก็ได้อิทธิพลจากเธอมาด้วย
เขาไม่ได้รับบัตรของหมิ่นลู่มาแต่ยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา “คุณหมิ่นครับ คุณเข้าใจผิดแล้วที่ผมรับคุณลู่มาดูแลไม่ใช่เพราะต้องการเงิน”
“งั้นเพราะอะไรล่ะ” หมิ่นลู่ถาม “ก่อนหน้านี้พวกคุณก็ไม่รู้จักกัน คนไข้ของคุณไม่ถึงพันคนแต่ก็ต้องมีสักห้าร้อยใช่ไหมคะ ฉันไม่เห็นคุณจะรับคนพวกนั้นมาอยู่ด้วยเลยนี่”
“เพราะคุณลู่พิเศษมากครับ” เฉิงอี้เหิงพูด
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าหมิ่นลู่ก็ยิ้มแล้วมองไปที่ลู่จยาอย่างมีเลศนัย ทำเอาลู่จยารู้สึกแปลกๆ เธอผลักหมิ่นลู่ “ลู่ลู่ไม่ต้องมองฉันแบบนี้เลย มองซะขนลุกไปหมด”
หลังจากทั้งสามคนออกไปรับประทานอาหารกลางวันจนเสร็จเรียบร้อย หมิ่นลู่ก็เตรียมตัวกลับบ้าน เฉิงอี้เหิงบอกว่าจะไปส่งเธอ แต่หมิ่นลู่ปฏิเสธ
หมิ่นลู่แอบดึงลู่จยาให้มายืนอยู่ข้างๆ “คุณหมอคนนี้นิสัยใช้ได้ เธอจับให้มั่นนะ”
ลู่จยาซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ไม่แปลกใจสักนิดที่หมิ่นลู่จะมองเฉิงอี้เหิงใหม่ “ฉันบอกแล้ว คุณหมอเฉิงเป็นคนไม่เลวหรอกนะ”
“จยาจยา ดีแล้วที่เธอสามารถเดินออกมาจากตรงนั้นได้ ที่จริงฉันรู้สึกผิดมากๆ ตอนที่เธอต้องการความช่วยเหลือแต่ฉันกลับไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอ” เหมือนหมิ่นลู่จะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถอนหายใจ
ลู่จยารู้ดีว่าหมิ่นลู่หมายถึงอะไร การที่หมิ่นลู่ไม่รู้ว่าลู่จยาเกิดอุบัติเหตุนั้นอาจเป็นเพราะอย่างแรกคือเธออยู่ไกลถึงยุโรป แต่ในขณะนี้การสื่อสารได้พัฒนาไปไกลมาก ต่อให้มีมหาสมุทรขวางกั้นข่าวสารก็สามารถส่งไปถึงได้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมิ่นลู่ไม่ได้ใส่ใจ หรือเธอไม่รู้จริงๆ ส่วนอีกเหตุผลก็คือหมิ่นลู่ไม่รู้ว่าลู่จยาบาดเจ็บหนักขนาดนี้จึงไม่สนใจ
พวกเธอสองคนทะเลาะกันก่อนที่หมิ่นลู่จะไปยุโรป สาเหตุไม่ใช่เพราะเว่ยอิ้งแต่เป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อว่าโจวข่าย เมื่อก่อนนั้นสาเหตุการทะเลาะกันส่วนใหญ่มักมาจากเว่ยอิ้ง ทว่าตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนหลังลู่จยาตัดใจจากเว่ยอิ้งได้อย่างเด็ดขาดแล้ว สาเหตุของความขัดแย้งของทั้งคู่ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของโจวข่าย
ที่ผ่านมาหมิ่นลู่จะเป็นฝ่ายขอร้องให้ลู่จยาเลิกยึดติดกับเว่ยอิ้ง ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผันเปลี่ยนเป็นลู่จยาขอร้องให้หมิ่นลู่เลิกยึดติดกับโจวข่ายแทน
ในเรื่องความรักนั้น หมิ่นลู่ดึงดันกว่าลู่จยามาก หมิ่นลู่ถึงขั้นตัดสินใจย้ายไปบินเส้นทางยุโรปแทนเพื่อที่จะได้แอบบินต่อไปหาโจวข่ายที่อเมริกา พอลู่จยารู้จึงต่อว่าหมิ่นลู่อย่างรุนแรง
หมิ่นลู่ที่โกรธจัดก็ตอบโต้กลับไป ‘เมื่อก่อนเรื่องของเธอกับเว่ยอิ้ง เธอคิดว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ ไว้น้อยนักรึไง กล้าดียังไงมาห้ามฉันทำเรื่องโง่ๆ ด้วย’
‘เรื่องของเธอเรียกว่าเรื่องโง่ๆ ซะที่ไหน แบบนี้เขาเรียกว่าโคตรงี่เง่าเลยต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนที่เธอเรียนจบมหา’ลัยแล้วไปอเมริกามันทุลักทุเลขนาดแค่ไหน ตอนนี้ลืมบทเรียนนั้นไปแล้วหรือไง’
ถึงจะพูดขนาดนี้แต่หมิ่นลู่ก็ยังทิ้งลู่จยาบินไปยุโรป จากนั้นทั้งสองคนก็งอนกันมาตลอด และไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย นี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้หมิ่นลู่มาเยี่ยมเธอช้าไปมาก แต่พวกเธอก็เลือกมองข้ามความขัดแย้งก่อนหน้านี้ไปโดยไม่พูดถึงมันอีก ทั้งคู่ทำราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน และยังเป็นคู่ซี้ปึกกันเหมือนเดิม
หลังจากหมิ่นลู่กลับไปลู่จยาถึงมีเวลาว่างเปิดคอมพิวเตอร์ เธอล็อกอินเข้าไปในโต้วปั้นก่อนจะพบว่า มีความคิดเห็นเกือบพันกว่าข้อความพากันหลั่งไหลเข้ามาจนโต้วปั้นของเธอแทบระเบิด
ลู่จยาตกใจมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้กระทู้ของเธอจะค่อนข้างได้รับความนิยม แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาแสดงความคิดเห็นมากมายเช่นนี้
ลู่จยากดเข้าไปดูในกระทู้จึงพบว่าชาวเน็ตกำลังสืบหาตัวตนของเธอนั่นเอง และพวกเขาก็ใกล้เข้าถึงความจริงทุกทีแล้ว เธอรู้สึกว่าเลือดในตัวกำลังจับตัวเป็นน้ำแข็ง มือเท้าเย็นเฉียบ
นักซิ่งสาวค่อยๆ อ่านความคิดเห็นทีละอันซึ่งแยกออกได้เป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกคิดว่าเจ้าของกระทู้คือลู่จยามาเขียนเอง ส่วนอีกฝั่งคิดว่ามีนักเขียนมือปืนรับจ้างมาเขียนกระทู้
แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีความคิดเห็นตรงกันนั่นคือ พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับลู่จยาจริงๆ
การค้นหาความจริงในกระทู้เริ่มบานปลายถึงขนาดที่มีชาวเน็ตจะไปสืบหาโรงพยาบาลที่ลู่จยาเข้าผ่าตัดเพื่อจะตามหาตัวตนที่แท้จริงของ ฉ.
ลู่จยากดรีเฟรชกลุ่มอีกครั้ง หน้าแรกยังคงเป็นความคิดเห็นที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่
เมื่อเห็นว่าท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้ว และเธอไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ลู่จยาจึงรีบเข้าไปอัพเดตกระทู้
‘ฉันแค่เขียนกระทู้นี้เล่นสนุกๆ แต่กลับมีคนกำลังจะล้ำเส้นแล้ว ฉันบอกได้เลยว่าตอนนี้ทุกคนที่ตามสืบเรื่องราวอยู่นั้นผิดกันทั้งหมด ฉันเองก็ไม่อยากให้มีผลกระทบกับคนอื่น ดังนั้นจะขอหยุดอัพเดตและต้องขอให้ระบบระงับการตอบกลับด้วย ขอบคุณ’
หลังจากอัพเดตกระทู้เรียบร้อยลู่จยาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอได้แต่หวังว่าทุกคนจะไปสนใจเรื่องใหม่แล้วลืมเรื่องกระทู้ของเธอซะ จริงๆ แล้วถ้าทุกคนจะสืบหาแค่ตัวตนของเธอก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ที่กลัวคือหากสืบหาตัวตนของเฉิงอี้เหิงจนเจอนั่นคงจะสร้างความยุ่งยากครั้งใหญ่ให้กับเขาแน่ๆ ถึงตอนนั้นเธอกับเขาคงจะเป็นเพื่อนกันต่อไม่ได้
ลู่จยาตบหน้าผากตัวเองด้วยความหงุดหงิดพร้อมโทษตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงได้เขียนกระทู้เรื่องแบบนั้นในอินเตอร์เน็ตนะ เพี้ยนไปแล้วหรือไง!”
จังหวะเดียวกันนั้นเองเฉิงอี้เหิงที่ถือแก้วนมอยู่ก็เปิดประตูเข้ามา “กระทู้อะไร” ที่จริงเฉิงอี้เหิงเห็นกระทู้นั่นแล้ว และได้ติดต่อทนายของตัวเองให้ไปจัดการกับเรื่องนี้ด้วย แต่เขาไม่ได้บอกให้ลู่จยารู้
ลู่จยาตกใจจนเกือบจะตกจากเก้าอี้แต่ยังดีที่เธอทรงตัวเอาไว้ได้ เธอตอบกลับอย่างลนลาน “ฉันอ่านเจอกระทู้ตลกมากในอินเตอร์เน็ต”
“กระทู้ตลกอะไรเหรอให้ผมดูหน่อยได้ไหม” เฉิงอี้เหิงพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาว
“อย่าเลย” ลู่จยารีบปิดหน้าจอด้วยความตื่นตกใจ “เป็นพวกกระทู้ลามกน่ะ”
“อ้อ” เฉิงอี้เหิงส่งแก้วนมให้เธอ “ดื่มซะ คุณต้องเสริมแคลเซียมสักหน่อย”
หัวใจของลู่จยาเต้นตุบๆๆๆๆ เหมือนรัวกลอง ใบหูก็ร้อนขึ้นมา อาฟเตอร์ช็อกจากกระทู้ยังอยู่ ลู่จยาจึงดื่มนมเข้าไปรวดเดียวหมดจนแก้ว ในตอนนั้นเธอถึงรู้สึกว่าสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
“คุณ…คุณไม่ต้องดื่มเร็วขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่ได้รีบจะไปทำงาน” เฉิงอี้เหิงตกใจ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้ามีเรื่องอะไรที่อยากจะให้ช่วย คุณบอกผมได้เลยนะ”
ลู่จยาพยักหน้ารับ “ฉันรู้แล้ว” หลังดื่มนมหมดแล้วเธอก็ส่งแก้วคืนเฉิงอี้เหิง แล้วจึงผลักให้เขาออกไปที่หน้าประตู “คุณรีบไปทำงานเถอะค่ะ ฉันจะรบกวนเวลาคุณตรวจรักษาคนไข้ไม่ได้ มีคนไข้เยอะแยะกำลังรอคุณอยู่”
เฉิงอี้เหิงรู้สึกว่าตัวเองควรจะให้เวลาส่วนตัวกับลู่จยาบ้าง “ก็ได้ งั้นผมไปทำงานแล้วนะ”
เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็น เฉิงอี้เหิงเลิกงานกลับมาที่คอนโดฯ แล้ว แต่เรื่องราวยังไม่สงบลง
ลู่จยาตัดสินใจไม่อัพเดตอะไรในช่วงนี้ และจากที่เธอยื่นคำร้องไป ในที่สุดกระทู้ก็ไม่อนุญาตให้แสดงความคิดเห็นอีก แต่ถึงแม้ว่าหลายๆ ข้อความจะถูกลบไปแล้ว ทว่าไฟป่าก็ยังดับไม่สนิท หากมีลมพัดมาไฟก็พร้อมจะลุกติดได้อีก ในกลุ่มเองก็เริ่มมีการเขียนกระทู้ใหม่เพื่อวิจารณ์เรื่องนี้ขึ้นมา
สำหรับเรื่องซุบซิบนินทานั้นดูเหมือนจะเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ การเจอเรื่องแบบนี้ก็เหมือนได้ยากระตุ้น แม้จะถกเถียงกันทั้งวันแล้วได้ข้อสรุปไม่กี่อย่าง แต่ผู้คนก็ยังมีความสุขที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป
ยิ่งมีกระทู้มากขึ้นเท่าไหร่ ใจของลู่จยาก็ยิ่งไม่สงบ
ลู่จยาเข้าไปดูทุกกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ในนั้นดูเหมือนว่าทุกคนก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรใหม่ๆ มาเปิดเผย เธอแอบรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่คนรอบข้างไม่มีใครเห็นกระทู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลในโรงพยาบาล หรือคนที่ทำงานในสโมสร หากพวกเขาเห็นกระทู้นี้ยังไงก็จะต้องรู้ว่าเป็นเธอแน่นอน ถึงเวลานั้นเธอคงจบเห่แล้วจริงๆ
เฉิงอี้เหิงทำกับข้าวเรียบร้อยก็เรียกลู่จยาออกไปกิน เธอนั่งใจลอยอยู่บนเก้าอี้ แล้วอยู่ๆ ตรงหน้าของเธอก็พลันสว่างไสวขึ้น เฉิงอี้เหิงยื่นช่อดอกไม้ส่งให้เธอราวกับกำลังเล่นมายากล
“สุขสันต์วันเทศกาลครับ”
“เทศกาลอะไร”
“วันสตรีสากลไง”
ลู่จยาหัวเราะพรืดออกมา เธอยื่นมือออกไปรับดอกไม้แล้วสูดกลิ่นหอมของมันเข้าไปเต็มปอด “ตั้งอีกนานกว่าจะถึงวันสตรีสากลไม่ใช่เหรอ”
“ช่วงนี้เห็นคุณใจลอยบ่อยๆ ในหนังสือบอกไว้ว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะชีวิตขาดสิ่งแปลกใหม่”
“คุณถึงมอบดอกไม้ให้ฉันเหรอ”
เฉิงอี้เหิงพยักหน้ารับก่อนจะหยิบไวน์แดงออกมาจากทางด้านหลัง “แล้วก็มีเจ้านี่ด้วย”
“ดอกไม้คู่กับไวน์แดงและสาวงาม นับเป็นความสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด”
ทว่าได้ยินคำว่า ‘สาวงาม’ แล้วยังไม่ทันที่ลู่จยาจะได้ปลาบปลื้มใจก็กลับคิดถึงหน้าตาของตัวเองขึ้นมาเสียก่อน เธอรีบยกมือขึ้นมากุมใบหน้าเอาไว้ “นี่คุณกำลังประชดฉันใช่ไหม ฉันไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด”
เฉิงอี้เหิงเดินมาตรงหน้าแล้วค่อยๆ ดึงมือของลู่จยาออก เขาจ้องดวงตาของเธอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ตอนที่คุณหน้าสดน่ะดูสวยมากเลยล่ะ”
ลู่จยารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเห่อร้อนขึ้นมา “คุณพูดจริงใช่ไหม”
“จริงสิ” เฉิงอี้เหิงพยักหน้า “ไม่ว่าในชีวิตจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจขึ้นมา แต่คุณยังต้องมีความหวังสำหรับวันพรุ่งนี้เสมอนะ” เฉิงอี้เหิงบอกเธอ
ลู่จยารู้สึกประทับ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเธอประทับใจตรงไหน
เฉิงอี้เหิงลูบศีรษะของเธอ “กินอาหารกันเถอะ เดี๋ยวผมรินไวน์แดงให้”
ตอนนี้เองลู่จยาถึงเห็นว่าเฉิงอี้เหิงทำอาหารยุโรปหน้าตาน่ากินไว้เต็มโต๊ะ เขาใส่ใจขนาดเตรียมเทียนไขไว้อีกด้วย
เธอที่ยังอยู่ในชุดนอน ผมเผ้ายุ่งเป็นรังนก แต่กลับได้มานั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ดื่มด่ำบรรยากาศอาหารค่ำใต้แสงเทียนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรเช่นนี้
แต่ความรู้สึกว่าตนช่างโชคดีนั้นก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว เธอยังกังวลถึงเรื่องราวในกระทู้ที่ลุกลามไปทั่วจนอดจะหยิบมือถือขึ้นมาเช็กโต้วปั้นไม่ได้
ถ้าไม่ดูแต่แรกเธอคงปล่อยให้มันแล้วๆ ไปได้ แต่เมื่อได้เปิดดู ใจของเธอก็แทบจะระเบิด กระทู้นั้นถูกแชร์เข้าไปในเวยป๋อแล้ว
ตอนที่กดเข้าไปดูก็มียอดแชร์ไปแล้วเป็นพันครั้ง แถมยังมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกสามพันกว่าข้อความ คนกดไลค์ไปมากกว่าหนึ่งหมื่นครั้ง
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมองเห็นเฉิงอี้เหิงที่กำลังหั่นสเต๊กด้วยท่าทางจริงจัง อยู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าสเต๊กที่อยู่ในปากนั้นช่างฝืดคอ
เธอจิบไวน์แดงแล้วลุกขึ้นพูดกับเฉิงอี้เหิง “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ลู่จยาก็รีบติดต่อไปหาบล็อกเกอร์ที่แชร์กระทู้เรื่องนี้และบอกฝ่ายนั้นไป
‘ฉันคือเจ้าของกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ฉันเน้นย้ำไปไหนหลายครั้งแล้วนะว่าไม่อนุญาตให้แชร์ต่อ ตอนนี้คุณกำลังล้ำเส้นและละเมิดสิทธิของฉันอยู่ ฉันขอให้คุณลบโพสต์เวยป๋อที่เกี่ยวข้องออกทันที’
แล้วอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา ‘คุณจะยืนยันได้ยังไงว่าคุณคือเจ้าของกระทู้’
ลู่จยาถ่ายภาพหน้าจองานเขียนของกระทู้ส่งไปให้บล็อกเกอร์ แต่ฝ่ายนั้นกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
จำนวนการแชร์ในเวยป๋อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนลู่จยาสบถออกมา “แอดมินตายกันไปหมดแล้วหรือไง!” เธอทุบกำแพงด้วยความโมโห
เฉิงอี้เหิงอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของเธอจึงถามขึ้นด้วยความกังวลใจ “ลู่จยา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปค่ะ”
ลู่จยาติดต่อกับแอดมินของเวยป๋อเพื่อแจ้งสถานการณ์ของตัวเองโดยแสดงหลักฐานแนบไปด้วย เธอว่าวิธีนี้จะใช้ลบโพสต์ในเวยป๋อทิ้งได้ เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยเธอก็ออกมาจากห้องน้ำ
อย่างไรซะตอนนี้เธอกำลังดินเนอร์ใต้แสงเทียนอยู่กับเฉิงอี้เหิงไปได้ครึ่งทางแล้ว ทั้งๆ ที่นี่เป็นการดินเนอร์ใต้แสงเทียนครั้งแรกของพวกเขาซึ่งมันควรจะโรแมนติกและมีความสุขแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ากระทู้นั่นทำให้เธออารมณ์เสียซะได้
ลู่จยารู้สึกเศร้าหมองมาก
ทว่าก็ยังมีเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นรออยู่ข้างหลัง
หลังออกมาจากห้องน้ำลู่จยาก็นั่งลงแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์เธอก็เกือบจะสำลักไวน์แดงออกมา
‘เว่ยอิ้ง’
เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่เกือบสิบวินาทีจนเฉิงอี้เหิงต้องเตือน “คุณไม่รับสายเหรอ”
ในสิบวินาทีนั้นลู่จยาคิดอะไรเยอะแยะมาก ทว่าเมื่อรับสายโทรศัพท์แล้วปฏิกิริยาของเว่ยอิ้งกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ เสียงของเว่ยอิ้งสดใสและฟังดูดีทีเดียว
“ฮัลโหลลู่จยา ฉันกลับมาแล้ว”
“อืม”
“ได้ยินว่าเธอเกิดอุบัติเหตุ ขอโทษด้วยที่ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมตั้งแต่แรก เธอก็รู้ว่าอยู่ที่ยุโรปแล้วมันรับรู้ข่าวในประเทศเราได้ช้ามาก”
ลู่จยาได้แต่กลอกตาอยู่ในใจก่อนบ่นออกไป “เราอยู่สโมสรเดียวกันนะ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้นายจะไม่รู้เรื่องได้ยังไง”
เว่ยอิ้งแค่ไม่อยากจะติดต่อกับเธอ หรือไม่ก็กำลังพยายามกันตัวเองออกจากปัญหาเท่านั้นแหละ
“อา…” เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับอันแสนเย็นชาของลู่จยา เว่ยอิ้งจึงได้แค่ส่งเสียงตอบรับก่อนจะพูดต่อ “ลู่จยา เธอก็รู้ ฉันกับฮว่าถิงเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสองคนมาเกิดอุบัติเหตุพร้อมกัน แล้วคนพวกนั้นก็พูดว่าเธอเป็น…คือไม่ใช่ว่าฉันไม่ใส่ใจเธอนะ แต่ตอนนั้นฉันอยู่ยุโรปแถมยังเป็นช่วงแข่งขันอีก สโมสรไม่ต้องการให้ฉันยุ่งเรื่องนี้…ตอนนั้นฉันก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี แต่ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกฉันได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง หรือเป็นคนที่จะคอยช่วยเหลือเธอก็ได้”
ลู่จยาตอบกลับในใจ ถ้าฉันต้องการนาย นายจะยกตัวเองให้ฉันไหมล่ะ ตลกชะมัด
“อืม”
ปฏิกิริยาตอบกลับของลู่จยายังคงเย็นชาอยู่ทำให้บทสนทนาของทั้งคู่เป็นไปอย่างอึดอัด เว่ยอิ้งจึงเสนอขึ้นมาว่า “สุดสัปดาห์นี้ฉันนัดหมิ่นลู่ไว้ พวกเราสามคนไม่ได้เจอกันนานแล้ว เธอจะออกไปกินข้าวด้วยกันไหม”
“หมิ่นลู่ตกลงแล้วเหรอ” ลู่จยาถาม
“ตกลงแล้ว” เว่ยอิ้งตอบ
ลู่จยาเกิดลังเลขึ้นมา เธอสงสัยว่าเหตุใดหมิ่นลู่จึงไม่คิดถึงความรู้สึกของเธอบ้างเลย นัดกินข้าวกันสามคนแบบนี้มันไม่น่ากระอักกระอ่วนใจเกินไปหน่อยเหรอ แต่พอทบทวนดูอีกที สุดท้ายเธอก็ตอบตกลง “งั้นก็ได้ นายส่งเวลากับสถานที่มาให้ฉันแล้วกัน”
“ได้”
“หมิ่นลู่บอกว่าตอนนี้เธออยู่กินกับคุณหมอใช่ไหม ชวนเขาไปด้วยสิ”
“อยู่กิน?” ลู่จยาอยากจะเคาะหัวหมิ่นลู่ให้แตกจริงๆ “หมิ่นลู่ใช้คำว่า ‘อยู่กิน’ งั้นเหรอ”
เฉิงอี้เหิงที่กำลังกินอาหารชะงักทันที เขามองไปที่ลู่จยา แต่ลู่จยาโบกมือไปมาบอกให้เขาไม่ต้องใส่ใจสิ่งที่เธอพูด เธอไม่อยากให้ดินเนอร์ใต้แสงเทียนของเธอกับเฉิงอี้เหิงต้องถูกรบกวนไปมากกว่านี้จึงพยายามจะตัดบทให้เร็วที่สุด แต่ไม่คิดว่าเว่ยอิ้งจะไม่ยอมเลิกรา
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น” เว่ยอิ้งนึกไม่ออกว่าจะพูดยังไงดี “คือหมิ่นลู่บอกว่าเธอพักอยู่กับคุณหมอ ทีแรกฉันคิดว่าเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ กับเธอเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะรุนแรงขนาดนี้ ตอนนี้เธอไม่มีบ้านให้อยู่ถ้าต้องการความช่วยเหลือต้องบอกนะ ฉันเองเห็นเธอมาตั้งแต่ยังเด็กเลยอยากดูแลเหมือนเธอน้องสาว อย่าให้เรื่องที่ผ่านมาทำให้พวกเราห่างเหินกันเลย ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจไปว่าฉันไม่สนใจเธอแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง ฉันก็ไม่ทอดทิ้งเธอหรอก”
ตอนแรกที่ลู่จยารับโทรศัพท์ของเว่ยอิ้งนั้นเธอมีแต่อารมณ์โกรธเคือง ช่วงที่คุยกันได้สักพักเธอก็แอบรู้สึกว่าคำพูดของเว่ยอิ้งออกจะเสแสร้งอยู่หน่อยๆ แต่พอได้ยินประโยคที่ว่า ‘ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง ฉันก็ไม่ทอดทิ้งเธอหรอก’ ลู่จยารู้สึกขอบตาร้อนๆ ขึ้นมา
เธอยังมีความรู้สึกให้กับเว่ยอิ้ง
เขาคือดวงอาทิตย์ที่ดอกทานตะวันอย่างเธอแหงนหน้ามองมาตั้งแต่เด็ก เธอตัดใจไม่ได้ง่ายๆ จริงๆ
“ฉันรู้แล้ว แล้วค่อยนัดกันนะ” ลู่จยาตอบรับเสียงเรียบๆ แล้ววางสาย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลู่จยาดูแปลกๆ ไป
“ไม่มีอะไร แค่เพื่อนเก่าเชิญเราไปกินข้าวด้วยกันน่ะ หมิ่นลู่ก็ไปด้วย” ลู่จยาตอบ
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“ช่วงสุดสัปดาห์”
“งั้นคงต้องดูอีกทีว่าตอนนั้นผมว่างหรือเปล่า”
“อืม”
หลังจากมื้อค่ำจบลงลู่จยากำลังจะลุกขึ้นช่วยเก็บโต๊ะ แต่ถูกเฉิงอี้เหิงห้ามเอาไว้ “ผมทำเอง คุณไปนั่งพักผ่อนเถอะ”
การพักผ่อนนอกจากเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วก็คือการดูรายการต่างๆ ลู่จยาเปิดไอแพดขึ้นมาเพื่อเปิดดูการแข่งรถเอฟทรี* ชิงชนะเลิศของยุโรป ในระหว่างการแข่งขันมีฝนตกเล็กน้อยซึ่งถือเป็นการท้าทายความสามารถของนักแข่งอย่างมาก ดูแล้วน่าจะเป็นการแข่งขันที่ตื่นเต้น ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ลู่จยามัวแต่คิดถึงกระทู้ที่ยังไม่ถูกระงับ ซ้ำยังมีเรื่องเว่ยอิ้งโผล่มาอีก
ลู่จยาเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข่าวของเว่ยอิ้งที่เพิ่งกลับจากการแข่งขันในยุโรป แม้ว่าเขาจะได้ตำแหน่งในระดับโลกไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวที่ไม่เลวเลย และการกลับประเทศมาครั้งนี้ทำให้เว่ยอิ้งมีชื่อเสียงมากขึ้นกว่าเดิม ทางสโมสรโอ๋เขาจนเกือบจะลอยอยู่บนฟ้าแล้ว พอเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของเธอในตอนนี้เรียกได้ว่าต่างกันฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
เมื่อก่อนสิ่งที่เธอต้องกังวลใจก็มีแค่เรื่องของการแข่งขันเท่านั้น ทว่าในตอนนี้เธอไม่ต้องเข้าแข่งขันอะไรแล้วแท้ๆ แต่ชีวิตกลับยังมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ
ก่อนจะเข้านอนลู่จยาก็ห้ามใจไว้ไม่อยู่ เธอใช้อีกแอ็กเคาต์ของตัวเองเข้าไปเช็กในเวยป๋อ แอดมินของเวยป๋อยังไม่ได้ตอบกลับมาแถมกระทู้ของเธอถูกแชร์ไปเป็นหมื่นครั้งแล้วด้วย คนที่มาแสดงความคิดเห็นต่างกำลังพยายามสืบหาสถานะของเธอ และความคิดเห็นที่มีคนกดไลค์มากที่สุดคือ…
‘ต้องเป็นลู่จยาแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย หลังเกิดอุบัติเหตุกับเธอได้ไม่นานก็มีกระทู้นี้เกิดขึ้น ส่วนเรื่องโรงพยาบาลแค่ทุกคนไปถามนักข่าวที่เคยมาทำข่าวก็รู้แล้วไหมอ่ะ แต่ว่าฉันไม่แนะนำให้คุณไปสืบหาตัวหมอคนนั้นนะ เพราะยังไงหมอคนนั้นก็ไม่ใช่บุคคลสาธารณะ กระทู้นั่นแค่เรื่องที่เขียนขึ้นเอาสนุกเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องมาเอาจริงเอาจังเรื่องนี้หรอกน่า’
ความคิดเห็นนี้ไม่ได้ทำให้ลู่จยาสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ถึงความคิดเห็นนี้จะเรียกร้องไม่ให้ชาวเน็ตไปสืบหาตัวคุณหมอก็ตาม แต่ลู่จยายังกลัวว่าจะมีคนไปที่โรงพยาบาลเพื่อสืบหาตัวตนแท้จริงของเฉิงอี้เหิงจนส่งผลกระทบกับชีวิตการทำงานของเขาอยู่ดี
ที่ด้านล่างยังมีคนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีก
‘ฉันรู้สึกว่ากระทู้ที่เรียกร้องให้ไปสืบหาตัวตนที่แท้จริงของ ฉ. มันตลกจริงๆ ปกติถ้าไอดอลที่ตัวเองชอบถูกแอบถ่าย หรือถูกสตอล์กเกอร์ขึ้นมาก็จะพูดกันว่า ‘ออกห่างจากชีวิตของเขาสักนิด เข้าใกล้ผลงานของเขาอีกหน่อย’ แต่นี่ ฉ. เป็นคนธรรมดาแท้ๆ แถมยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย ทำไมถึงพวกคุณจะต้องไปสืบหาด้วย แล้วต่อให้นี่เป็นกระทู้ของลู่จยาจริงๆ เธอถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะด้วยงั้นหรือ เธอก็แค่นักแข่งรถคนหนึ่งหรือเปล่า คงไม่จำเป็นจะต้องมาถูกคนวิจารณ์ตั้งแต่หัวจดเท้าแบบนี้มั้ง’
‘โอ้โห นักเขียนมือปืนที่ลู่จยาจ้างมาแสดงความคิดเห็นนี่โคตรหน้าไม่อายจริงๆ อ่ะ อะไรคือการบอกว่าชีวิตของเธอเปิดเผยไม่ได้ ฮว่าถิงตายยังไงพวกคุณลืมไปแล้วเหรอ ลู่จยาไม่ใช่บุคคลสาธารณะจริงดิ ก่อนหน้านี้แฟนคลับของเธอกับแฟนคลับของฮว่าถิงเพิ่งจะทะเลาะกันจนดูไม่จืด…’
อ่านความคิดเห็นพวกนี้แล้วลู่จยาก็รู้สึกเริ่มปวดหัวจึงเลือกจะปิดโทรศัพท์แล้วหนีไปนอนยันฟ้าสว่าง
ด้านเฉิงอี้เหิงที่อยู่ห้องข้างๆ ลู่จยาก็ได้รับอีเมลจากทนายส่วนตัว
‘เรื่องราวลุกลามไปไกลค่อนข้างควบคุมยาก แต่จ้างคนเข้าไปคุมสถานการณ์แล้วครับ อีกสักพักคงค่อยๆ สงบลง’
เฉิงอี้เหิงตอบกลับ
‘ครับ รบกวนด้วย’
สุดสัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว ตอนเช้าหมิ่นลู่บินกลับมาจากเมืองซานย่าพอลงจากเครื่องก็รีบมาหาลู่จยาทันที และเธอก็ได้เจอเข้ากับเฉิงอี้เหิงตรงประตูลิฟต์ของคอนโดฯ หมิ่นลู่ทักทายเฉิงอี้เหิงอย่างเปิดเผย “คุณหมอเฉิง เช้าขนาดนี้เพิ่งกลับมาหรือกำลังจะออกไปล่ะ”
“เพิ่งลงเวรครับ”
“อ้อ ฉันมาหาลู่จยาน่ะ คืนนี้เรามีกินข้าวกัน เว่ยอิ้งจะเป็นเจ้ามือคุณรู้แล้วใช่ไหม”
“เว่ยอิ้ง?” เฉิงอี้เหิงรู้เรื่องราวของเจ้าของชื่อคนนี้พอสมควร นั่นเพราะว่าฮว่าถิงเคยพูดถึงอยู่บ้าง และโชคดีที่เขากับฮว่าถิงเคยดูการแข่งขันของเว่ยอิ้งอยู่หลายครั้ง
“ใช่ ก็เว่ยอิ้งคนนั้นแหละ คุณน่าจะรู้สถานะของลู่จยาดีใช่ไหมล่ะ” หมิ่นลู่เอ่ยขึ้น
เฉิงอี้เหิงพยักหน้า “ครับ ผมเคยดูการแข่งขันของเธอแต่ไม่ค่อยได้ดูการแข่งของคุณเว่ยอิ้งเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่าเขามีชื่อเสียง”
หมิ่นลู่เบะปาก “งั้นๆ แหละ”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์ แล้วจู่ๆ บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบจนอึดอัด หมิ่นลู่กระแอม “เอ่อ คุณหมอเฉิง ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“เชิญครับ”
“คุณชอบลู่จยาหรือเปล่า”
“…” เฉิงอี้เหิงเงียบ แล้วในตอนนั้นเองประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งคู่ก้าวออกมาพบลู่จยาที่กำลังพยุงตัวด้วยไม้ค้ำยืนอยู่แถวหน้าลิฟต์
หมิ่นลู่ถามขึ้นด้วยความตกใจ “เธอมาอยู่นี่ได้ไง?!”
“ฉันจะลงไปซื้อนมเปรี้ยวข้างล่าง”
“ผมลงไปซื้อให้ดีกว่า” เฉิงอี้เหิงหันหลังเดินกลับเข้าไปในลิฟต์ “พวกคุณอยู่คุยกันไปก่อนนะ แล้วมื้อกลางวันอยากกินอะไรกันครับ ผมจะได้ซื้ออาหารเข้าด้วยเลย”
“อะไรก็ได้” ลู่จยาพูด
หมิ่นลู่ดึงชายเสื้อลู่จยา “เธอจะทำอะไร ฉันกะจะให้เขาทำอาหารให้กินสักหน่อย”
“อย่าไปแกล้งเขาสิ คุณหมอเฉิงเพิ่งลงเวรดึกกลับมา พวกเรากินอะไรง่ายๆ ก็พอแล้ว”
หมิ่นลู่ส่งเสียง ‘เชอะ’ ออกมาก่อนจะเดินตามลู่จยาเข้าไปในห้อง ดูจากท่าทางแล้วดูเหมือนลู่จยาจะมีเรื่องในใจ แต่หมิ่นลู่ยังไม่ทันจะถามอะไรลู่จยาก็เปิดกระทู้ให้ดูซะก่อน เธอเล่าให้หมิ่นลู่ฟังถึงเรื่องที่ถูกสืบหาตัวและเรื่องที่กระทู้ถูกแชร์ไปในเวยป๋อ
ลู่จยาคิดว่าหมิ่นลู่จะต่อว่าเธอ แต่ไม่คิดว่าหมิ่นลู่จะรับโทรศัพท์ไปอ่านกระทู้อย่างสนุกสนาน พออ่านจบก็ดูเหมือนจะยังอารมณ์ค้าง “เมื่อไหร่จะอัพเดตต่อ”
“ยังจะให้ฉันอัพเดตอีกเหรอ” ลู่จยาตีเพียะไปที่หลังมือของหมิ่นลู่ เธอนั่งลงบนโซฟาเอาหมอนอิงมากอดด้วยความกลัดกลุ้มก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ฉันแทบจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว ฉันจะให้เธอช่วยหาวิธีแก้ไขนะ”
“กระทู้นี้เธอเขียนดีอย่างกับเขียนนิยายเลยนะ มันทำให้คนอยากอ่านต่ออ่ะ” หมิ่นลู่ยังติดใจเรื่องในกระทู้ “แต่ในฐานะที่เป็นคนอ่านฉันก็มีข้อสงสัยนิดหน่อย ทำไมเฉิงอี้เหิงถึงดีกับเธอขนาดนี้ล่ะ”
“ก็ตามชื่อกระทู้นั่นไง” ลู่จยาลำพองใจนิดๆ
“ลู่จยา ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็ควรจะระวังเอาไว้บ้าง ไม่มีใครจะมาดีกับใครโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ”
“ถ้าเป็นเพราะฮอร์โมนกับโดพามีนล่ะ”
“หรือถ้าเกิดเขามีเรื่องที่ปกปิดอยู่ล่ะ” ที่หมิ่นลู่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะต้องการทำร้ายจิตใจลู่จยา แต่เพราะหมิ่นลู่นึกถึงเฉิงอี้เหิงตอนที่อยู่ในลิฟต์ขึ้นมา อาการเงียบและลังเลของเขาทำให้หมิ่นลู่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย
หมิ่นลู่ไม่ได้อยากจะทำลายความรู้สึกของเพื่อนรัก ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุหมิ่นลู่ยังกลัวว่าลู่จยาจะล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ทว่าพอเห็นลู่จยาค่อยๆ ตั้งหลักใหม่ได้เธอก็ดีใจ แต่ก็อดกังวลด้วยไม่ได้เพราะเธอไม่รู้ว่าเฉิงอี้เหิงมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่นี้จะดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นการทำร้ายลู่จยาก็ตาม
หลังจากเฉิงอี้เหิงซื้อวัตถุดิบทำอาหารกับนมเปรี้ยวมาแล้ว หมิ่นลู่ก็นึกคึกอยากจะเป็นคนทำกับข้าวจึงให้เฉิงอี้เหิงซึ่งเพิ่งลงเวรดึกมาไปนอนพักผ่อนรอ
ลู่จยายืนพิงประตูมองหมิ่นลู่ทำกับข้าวก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
แล้วอยู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเธอก็มีเสียงร้องเตือนดังขึ้น ในที่สุดแอดมินของเวยป๋อก็ตอบกลับ
ฝั่งแอดมินตอบกลับลู่จยามาว่า
‘จากการตรวจสอบหลักฐาน การที่บล็อกเกอร์นำกระทู้ไปแชร์ต่อนั้นถือว่ามีพฤติกรรมละเมิดสิทธิจริง ทางแอดมินจึงได้ทำการลบเวยป๋อที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว’
ในเวลาเดียวกันนั้นเองทนายของเฉิงอี้เหิงได้ติดต่อเขามาเช่นกัน
‘คุณเฉิง เนื้อหาในเวยป๋อถูกเรากดดันจนลบไปเรียบร้อยแล้วครับ’
อ่านแล้วเฉิงอี้เหิงก็ตอบกลับ
‘ขอบคุณมากครับ’
แต่ว่าแอ็กเคาต์อื่นๆ ยังเอากระทู้ไปโพสต์ต่อในเวยป๋อราวกับไฟป่าที่ยังไม่มอดดี เมื่อมีลมพัดก็พร้อมจะติดไฟขึ้นมาใหม่ ไม่อาจจัดการดับไฟให้หมดได้
ลู่จยาเอาข้อความจากแอดมินให้หมิ่นลู่ดู โพสต์ในเวยป๋อถูกแชร์ต่อไปแล้วสามหมื่นครั้ง
หมิ่นลู่หยอกล้อ “ลู่จยาเธอได้แชมป์เป็นสิบครั้งยังไม่ดังเท่ากับเขียนกระทู้เดียวเลย เธอนี่มันเสียเวลาฝึกเป็นนักบิดไปสิบกว่าปีจริงๆ”
“ช่างปะไร” ลู่จยายกขาขึ้นคิดจะเตะหมิ่นลู่ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บซ้ำสองจึงต้องวางขาลงแต่โดยดี
พอมองลู่จยาที่โมโหแล้วทำท่ายกเท้าขึ้น แต่แล้วกลับค่อยๆ วางลงอย่างระมัดระวัง หมิ่นลู่ก็กุมท้องหัวเราะลั่น
หมิ่นลู่ทำอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่เฉิงอี้เหิงกลับไม่ออกมารับประทานอาหารด้วย หลังจากที่ต้องขึ้นเวรดึกมาเขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ พอหัวถึงหมอนจึงหลับไปยันหกโมงเย็น ตื่นขึ้นมาเขาก็อาบน้ำ จัดข้าวของ แล้วทั้งสามคนก็ออกไปร้านอาหารตามที่นัดกับเว่ยอิ้งไว้
ก่อนจะออกมาจากคอนโดฯ เฉิงอี้เหิงกับลู่จยาก็ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของแต่ละคน ส่วนหมิ่นลู่นั่งรออยู่ตรงห้องรับแขก ขณะนั้นเองหมิ่นลู่ก็นึกถึงคำพูดของเว่ยอิ้งตอนที่ยังอยู่ยุโรปขึ้นมา ในตอนที่ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับลู่จยาเธอก็ได้ติดต่อเว่ยอิ้งไป
เป็นเพราะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นกว่าหมิ่นลู่ที่ยังอยู่ในยุโรปจะได้ข่าวเรื่องลู่จยาเกิดอุบัติเหตุก็เป็นวันที่สองแล้ว ตอนนั้นเธอพยายามจะติดต่อลู่จยา แต่โทรศัพท์มือถือของลู่จยาพัง อีกทั้งตำรวจก็เก็บมันไว้เป็นหลักฐานด้วยทำให้เธอติดต่อลู่จยาไม่ได้ หมิ่นลู่รู้สึกร้อนรนเหมือนกับมดที่ตกลงไปอยู่ในหม้อร้อนๆ แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เธอนึกถึงเว่ยอิ้งที่ยังอยู่ในยุโรปเช่นกันและเป็นคนในสโมสรเดียวกันกับลู่จยาด้วย เขาจะต้องมีวิธีที่จะติดต่อกับลู่จยาแน่นอน
ก่อนที่เว่ยอิ้งจะไปยุโรป เขาได้พยายามจะนัดเจอหมิ่นลู่อยู่หลายครั้งแต่โดนเธอปฏิเสธไปตลอด หมิ่นลู่รู้ว่าเว่ยอิ้งคิดอย่างไรกับตนเองมานานแล้วแต่เพราะใจของเธอมีคนอื่น และยังมีเรื่องของลู่จยาอีก หมิ่นลู่จึงไม่เคยคิดจะมองเว่ยอิ้งเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากเห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนธรรมดาๆ เท่านั้น
ตอนที่เว่ยอิ้งรับสาย เขาเพิ่งจะจบการแข่งขันและทำผลงานได้ไม่เลว
หมิ่นลู่บอกเขาเรื่องที่ลู่จยาเกิดอุบัติเหตุ เว่ยอิ้งควรจะดีใจที่ได้รับโทรศัพท์จากหมิ่นลู่ แต่โทรศัพท์สายนี้กลับทำให้เขาดีใจไม่ออก
‘หมิ่นลู่ฉันรู้เรื่องที่เธอพูดแล้ว เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาพนักงานที่อยู่ที่นี่ก็เล่าให้ฟังหมดแล้ว’
‘งั้นนายก็รีบหาวิธีติดต่อลู่จยาสิ ฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเธอ’
เว่ยอิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า ‘หมิ่นลู่ ตอนนี้อุบัติเหตุทำให้คนคนหนึ่งตายไป แล้ว ฮว่าถิง…คนที่ตายเป็นคนที่ฉันรู้จักด้วย ถ้าติดตามข่าวเธอก็ควรจะรู้ว่าฮว่าถิงเป็นนักแข่งรถที่ดีและมีความสามารถ ที่สำคัญคือเธอเป็นคู่แข่งขันในประเทศที่น่ากลัวของลู่จยา ดังนั้น…’
‘ดังนั้น…นายกำลังสงสัยลู่จยา?’ หมิ่นลู่อดที่จะต่อว่าออกไปไม่ได้ เธอกับลู่จยาโตมาด้วยกัน ลู่จยาต้องการชัยชนะและจะต้องเป็นชัยชนะที่ใสสะอาดมาตลอด ไม่มีทางเล่นลูกไม้อะไรแน่ๆ การที่เว่ยอิ้งสงสัยลู่จยาแบบนี้ทำให้เธอโกรธมาก
‘หมิ่นลู่อย่าเพิ่งโกรธนะ ฉันรู้ว่าเธอกับลู่จยาเป็นเหมือนพี่น้องที่ผูกพันกันมาก แต่เธอต้องมองเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม ฉันติดต่อเพื่อนๆ ในประเทศแล้วพวกเขาบอกว่าหลังเกิดอุบัติเหตุลู่จยาก็หมดสติถูกส่งไปโรงพยาบาลตอนนี้กำลังทำการรักษาอยู่ ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ฉันคิดว่าช่วงนี้พวกเราควรจะอยู่นิ่งๆ ไว้ก่อน รอจนกลับประเทศแล้วค่อยว่ากัน’
เว่ยอิ้งหว่านล้อมจนหมิ่นลู่เห็นด้วย ก่อนจะบินมาต่างประเทศเธอเองก็ทะเลาะกับลู่จยา แล้วตอนนี้ดันมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีก ตั้งแต่นาทีแรกที่รู้ข่าวเธอก็อยากจะติดต่อไปหาลู่จยา แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่ลู่จยาพูดกับเธอก่อนเดินทางมาที่นี่อารมณ์โกรธของหมิ่นลู่ก็กลับปะทุขึ้นมาอีก
อีกทั้งยังมีเรื่องงานที่ยุ่งมาก เธอยุ่งจนเมื่อกลับประเทศแล้วถึงได้มีเวลาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกรอบ
แต่ตอนนี้เมื่อย้อนคิดกลับไปหมิ่นลู่ก็รู้สึกผิดและเสียใจมาก ในขณะเดียวกันเธอก็ประหลาดใจด้วยที่ลู่จยาไม่ได้โกรธเคืองอะไรเธอเลย นั่นทำให้รู้สึกหวั่นใจและมีความไม่พอใจแอบซ่อนอยู่บ้าง หมิ่นลู่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับลู่จยาไม่สามารถใช้คำว่า ‘เพื่อนรัก’ มาอธิบายได้ บางครั้งพวกเธอก็เป็นเพื่อนที่ผูกพันกันมานาน บางครั้งก็เป็นศัตรูกัน ทะเลาะกันบ้าง กอดกันบ้าง สงสารเห็นใจกัน แต่บางทีก็เกลียดอีกฝ่าย
พวกเธอมีชีวิตอยู่ในเลือดเนื้อของอีกฝ่าย เมื่อขาดอีกฝ่ายไปก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง
และเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ ทำให้บางครั้งหมิ่นลู่รู้สึกว่าการคบกับลู่จยาเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก
เมื่อทั้งสามคนมาถึงร้านอาหารเว่ยอิ้งก็รออยู่ตรงหน้าร้านแล้ว เว่ยอิ้งสวมชุดสูทยืนอยู่ที่หน้าประตูดูสะดุดตามากๆ ส่วนเฉิงอี้เหิงนั้นสวมชุดลำลองสบายๆ เขายังดูมีอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เว่ยอิ้งเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายหมิ่นลู่และลู่จยาอย่างกระตือรือร้น เมื่อเห็นเฉิงอี้เหิงที่ลงจากรถเป็นคนสุดท้ายเขาก็ทำราวกับว่าได้เจอเพื่อนรักอย่างไรอย่างนั้น เว่ยอิ้งทำท่าจะเดินเข้าไปโอบไหล่ของเฉิงอี้เหิงอย่างเป็นกันเอง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเฉิงอี้เหิงตัวสูงมาก ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่เตี้ยอะไรแต่จะโอบไหล่เฉิงอี้เหิงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้ามองแยกกันใครๆ ก็จะต้องรู้สึกว่าเว่ยอิ้งที่อยู่ในชุดสูทย่อมดูดีกว่าเฉิงอี้เหิงแน่ๆ แต่เมื่อทั้งสองคนยืนคู่กันแล้ว หมิ่นลู่กับลู่จยาก็รำพึงรำพันขึ้นมาพร้อมกันว่า ‘ความสูงสยบได้ทุกสิ่ง’
เว่ยอิ้งจองห้องส่วนตัวในร้านอาหารญี่ปุ่นเอาไว้ แต่ตรงโถงกลางของร้านก็ยังมีลูกค้าอยู่
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในร้านอาหารซึ่งมีบริกรพาพวกเขาเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัว แต่ระหว่างทางเฉิงอี้เหิงกลับขอตัวไปห้องน้ำและให้ทั้งสามคนเดินเข้าไปก่อน ขณะที่เดินผ่านโถงกลางลู่จยาก็รู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมา
บริกรเดินค่อนข้างช้าเพราะสวมชุดกิโมโนกับรองเท้าเกี๊ยะอยู่ ทำให้ทั้งสามคนที่เดินตามหลังมาจึงต้องเดินช้าลงไปด้วย
ลู่จยาพูดคุยหยอกล้อกับหมิ่นลู่มาตลอดทางไม่ได้ระวังตัวอะไร เธอลืมที่จะสร้างเกราะป้องกันตัวเองไป ทำให้เมื่อเดินผ่านเข้ามาถึงโถงกลาง อยู่ๆ ก็มีผู้ชายซึ่งคล้องกล้องไว้ที่คอลุกขึ้นมาพูดด้วยเสียงดัง “คุณผู้หญิงผมสั้นคนนั้น คุณคือนักบิดที่ชื่อลู่จยาใช่ไหมครับ”
ได้ยินคนตะโกนเรียกชื่อตัวเองลู่จยาก็ยืนตัวแข็งทันที หมิ่นลู่ใช้มือจับไหล่ของลู่จยาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะตอบคนที่มีกล้องคล้องคอออกไป “ไม่ใช่ค่ะ คุณจำคนผิดแล้ว”
“ไม่มีทาง!” ผู้ชายที่มีกล้องคนนั้นเดินผ่านโต๊ะของลูกค้าแล้วพุ่งมาตรงหน้าลู่จยา เขาจ้องหน้าของเธออย่างไร้มารยาท
ลู่จยาซุกหน้าเข้าไปในเสื้อแต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยื่นมือออกมาจะบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น
หมิ่นลู่ผลักเค้าออกไป “คุณจะทำอะไรน่ะ! ฉันจะแจ้งตำรวจ”
เว่ยอิ้งยืนอยู่หน้าหญิงสาวทั้งสองก็พูดขึ้น “ได้โปรดถอยออกไปเถอะครับ พวกเราแค่มารับประทานอาหาร”
ชายคนนั้นมองเห็นเว่ยอิ้งแล้วแสยะยิ้มออกมาทันที “ยังบอกว่าไม่ใช่ลู่จยาอีก โกหกเป็นตุเป็นตะจริงๆ ทุกคนมาดูสิ นี่คือเว่ยอิ้งกับลู่จยาที่เป็นคู่กันชัดๆ พวกดาวของสโมสรเดียวกัน เว่ยอิ้งอยู่ที่นี่แล้วแท้ๆ คนที่เหมือนกับลู่จยาจะไม่ใช่ลู่จยาได้ยังไง” เขาก้มมองไม้ค้ำยันของลู่จยาแล้วพูดต่ออีก “ขาที่บาดเจ็บของคุณยังไม่ดีขึ้นอีกหรือไง แต่ดูท่าว่าใกล้จะหายแล้วสินะ นี่คุณรู้ไหมฮว่าถิงน่ะไม่มีชีวิตแล้ว ถึงตอนนี้คุณเคยคิดจะออกมาขอโทษสักครั้งไหม”
“หุบปาก!” หมิ่นลู่ตะโกน “นายเป็นใครกัน ในร้านนี้จะไม่มีใครออกมาจัดการเลยหรือยังไง พวกเรามากินข้าวนะไม่ได้มาทะเลาะกับใคร”
ได้ยินแบบนั้นผู้จัดการก็รีบออกมาพร้อมกับบริกรอีกหลายคน พวกเขาช่วยกันดึงตัวชายที่มีกล้องออกไป ทั้งสามคนคิดว่าเหตุการณ์คงไม่มีอะไรแล้วจึงเดินต่อเพื่อไปยังห้องส่วนตัวของร้าน แต่ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะสลัดพนักงานออกมาได้แล้วพุ่งออกมายกกล้องถ่ายรูปลู่จยาอย่างบ้าระห่ำโดยไม่สนอะไร
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ลู่จยาก็รู้สึกว่าเธอทนกับเสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชมามากพอแล้ว เธอรู้สึกรังเกียจพวกมันมาก เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกถ่ายรูปก็ยิ่งก้มหน้าลงเรื่อยๆ แต่แล้วคนที่นิ่งๆ ไม่ค่อยตอบโต้อะไรอย่างเธอกลับรู้สึกเดือดขึ้นมา ลู่จยายกไม้ค้ำขึ้นฟาดไปที่ผู้ชายคนนั้น
ไม้ค้ำฟาดเข้าที่คิ้วของชายเจ้าของกล้อง เขาเจ็บจนกัดฟันร้องซี้ดพลางยกมือขึ้นกุมคิ้วแล้วตะโกนเสียงดังออกมา “ลู่จยาฆาตกรฆ่าคน ทำร้ายคนอีกแล้ว! ลู่จยาฆาตกรฆ่าคน ทำร้ายคนอีกแล้ว!!”
ตั้งแต่แรกก็มีลูกค้าที่มารับประทานอาหารลุกขึ้นมาดูอยู่แล้ว มีหลายคนที่รู้เรื่องของลู่จยากับฮว่าถิงมาบ้าง ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรตอนนี้ก็ถูกชักนำจนเริ่มด่าทอลู่จยาตามคนอื่นๆ
“ทำไมถึงยังโอหังอย่างนี้!! เรื่องการตายของฮว่าถิงคุณไม่ควรขอโทษหรือไง”
“แล้วยังจะทำร้ายคนอีก! ดูท่าจะเป็นขาใหญ่สินะ”
“แจ้งตำรวจ! แจ้งตำรวจมาจับเธอไปเลย!”
“…”
ผู้คนล้อมวงเข้ามา หมิ่นลู่ดันลู่จยาไปทางด้านหลังพร้อมตะโกนอธิบายเสียงดัง “ทุกคนใจเย็นๆ ก่อนค่ะ เพื่อนของฉันทนเสียงชัตเตอร์ไม่ได้ เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร พวกคุณก็เห็นอยู่ว่าผู้ชายคนนั้นเข้ามาหาเรื่องเราก่อน”
“แต่จะทำร้ายคนอื่นแบบนี้ก็ไม่ถูก!”
ถึงหมิ่นลู่จะพูดเก่งยังไง แต่ก็ไม่อาจสู้หลายสิบปากได้ ในสามสิบหกกลยุทธ์ของสามก๊ก หนีเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด หมิ่นลู่คิดจะพาลู่จยาหนีออกไปจากที่นี่ ทว่ากลับถูกฝูงชนที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธล้อมเอาไว้
“ทำร้ายคนแล้วคิดจะหนีเหรอ ไม่มีทาง!”
มีคนล้อมวงเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ แม้กระทั่งลูกค้าที่อยู่ในห้องอาหารส่วนตัวก็ยังออกมาร่วมวงด้วย สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้ ลู่จยา หมิ่นลู่ และเว่ยอิ้งถูกล้อมไว้ตรงกลาง ทั้งสามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ไม่รู้ว่าใครผลักหมิ่นลู่จนล้มลงไปที่พื้น พอลู่จยาพยายามดึงตัวหมิ่นลู่ขึ้นก็ถูกผลักลงไปที่พื้นเช่นกัน ผู้คนยิ่งล้อมเข้ามา เว่ยอิ้งทีแรกคิดจะใช้กำลังปกป้องหญิงสาวทั้งสองแต่ตัวเองกลับถูกกระชากตัวเอาไว้จึงได้แต่ใช้กำลังที่มีอยู่ดันคนพวกนั้นออกไป เขาดึงตัวหมิ่นลู่ขึ้นมา ด้านหมิ่นลู่ที่ถูกผลักจนล้มลงไปทำให้รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก ได้สติขึ้นมาอีกทีถึงรู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนน สูดอากาศที่สดชื่นเข้าไปเต็มปอด มือของเธอถูกกุมเอาไว้แน่น และตรงหน้าของเธอก็คือเว่ยอิ้งที่ยืนหอบอยู่
“แล้วลู่จยาล่ะ!!” สมองของหมิ่นลู่ได้สติขึ้นมาก็ร้องถาม
เว่ยอิ้งหน้าตาซีดเผือดไปทันที “หา?! ผมไม่เห็นเธอเลย พอดีตอนนั้นมันวุ่นวายมากผมคิดแต่จะช่วยคุณไว้”
หมิ่นลู่โกรธจนตาแดงก่ำ “เว่ยอิ้ง นายยังเป็นคนอยู่อีกไหม?! ลู่จยาขาหักอยู่นะ โดนล้อมเอาไว้แบบนั้นจะเอาตัวรอดได้ยังไง”
พูดจบหมิ่นลู่ก็จะคิดกลับเข้าไปในร้านแต่กลับโดนเว่ยอิ้งขัดขวาง “คุณกลับเข้าไปไม่ได้ ในนั้นมันอันตรายมาก ผมไปเอง!”
หมิ่นลู่สะบัดมือเขาออก “นายรู้เหมือนกันเหรอว่ามันอันตราย แล้วนายไม่คิดว่าลู่จยาจะมีอันตรายเลยหรือไง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.