บทที่สี่
ขณะที่หมิ่นลู่สะบัดมือเว่ยอิ้งแล้ววิ่งกลับเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นเธอก็พบว่าบรรยากาศในร้านผิดปกติมาก มีกลุ่มคนที่ล้อมวงกันเข้ามาแต่ตรงกลางกลับถูกเว้นว่างไว้
เฉิงอี้เหิงถูกล้อมไว้ตรงกลาง มุมปากเขียวช้ำและมีรอยเลือด หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แว่นตาตกอยู่ที่พื้นไม่รู้ว่าใครเหยียบแตก
หน้าผากของเขามีเหงื่อซึมออกมาจนเปียก ดวงตาเผยแววตาโหดเหี้ยม ตรงหน้าของเขามีชายสามคนถูกต่อยจนหมอบไปที่พื้นด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน ส่วนมืออีกข้างของเขายังปกป้องลู่จยาเอาไว้
คนถูกต่อยจนหมอบไปเป็นวัยรุ่น หนึ่งในนั้นเป็นวัยรุ่นตัวอ้วนที่ยังไม่ยอมแพ้ เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกไป หมิ่นลู่เห็นเข้าก็เลือดขึ้นหน้าตัดสินใจผลักคนที่ขวางอยู่ออกแล้วถีบเจ้าอ้วนที่เป็นหัวโจกนั่น เจ้าอ้วนถูกเตะจนมึนงงหันกลับมาเจอสาวสวยผอมสูงก็รู้สึกว่าเสียหน้ามากจึงยกมือขึ้นจะฟาดกลับไป
เว่ยอิ้งที่ตามหมิ่นลู่เข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบติดๆ เห็นเหตุการณ์เข้าก็รีบก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาแล้วพุ่งตัวไปตรงหน้าก่อนจะออกหมัดใส่ใบหน้าของเจ้าอ้วนสองทีจนเจ้าอ้วนหมอบไป วัยรุ่นอีกสองคนเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าจะหาเรื่องอีก
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ หลายคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปไว้ ส่วนพนักงานของร้านก็ได้แต่ร้องห้าม
สุดท้ายเจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นจึงโทรแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงก็สอบถามจนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตำรวจที่มานี้เคยได้ยินเรื่องราวของลู่จยามาบ้าง หลังพิจารณาสถานะในตอนนี้ของลู่จยาแล้วตำรวจก็เกรงว่าเรื่องนี้จะยิ่งทำให้เกิดคำวิจารณ์ในวงกว้างจึงขอร้องให้กลุ่มคนในเหตุการณ์ที่ถ่ายคลิปเอาไว้ให้ลบคลิปทิ้งก่อนจะปล่อยออกจากร้านอาหารไป หลังจากนั้นตำรวจก็พาคนที่ก่อเรื่องไปยังสถานีตำรวจ
เว่ยอิ้งแสดงตัวว่าตนเป็นนักแข่งรถที่มีชื่อเสียง เขาต้องการให้ทนายและผู้จัดการส่วนตัวมาถึงก่อนจึงจะยอมไปสถานีตำรวจ แต่ตำรวจไม่ได้สนใจและบอกให้เขาแจ้งทนายกับผู้จัดการส่วนตัวให้ไปเจอกันที่สถานีตำรวจแทน
ในตอนที่เตรียมจะขึ้นรถ เว่ยอิ้งก็เห็นว่ามีรถตำรวจอยู่สองคันซึ่งเบาะหลังนั่งได้แค่สามคน เว่ยอิ้งจึงเดินตามหมิ่นลู่เพื่อที่จะไปนั่งกับเธอแต่กลับถูกหมิ่นลู่ผลักออก ไล่ให้เขาไปนั่งเบียดกับวัยรุ่นที่ก่อเรื่องพวกนั้น
เว่ยอิ้งพยายามจะดึงดันแต่โดนหมิ่นลู่ใช้ประตูรถกั้นไว้
ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังมองท่าทางเอาเรื่องของหมิ่นลู่ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “แม่หนูดูจะร้ายไม่เบานะ” หมิ่นลู่ค้อนใส่เขา เธอผลักประตูออกไปแล้วขึ้นไปนั่งข้างคนขับแทนและให้เฉิงอี้เหิงนั่งเป็นเพื่อนลู่จยาที่เบาะหลัง
มือของเฉิงอี้เหิงวางอยู่บนไหล่ของลู่จยาตลอดเวลาไม่ได้ปล่อยเลยแม้แต่น้อย ลู่จยาที่สวมชุดหนังและใส่หมวกแก๊ปได้แต่ก้มหน้าตลอดไม่ยอมพูดอะไร
หมิ่นลู่ที่มองพวกเขาจากทางกระจกมองหลังถามขึ้นอย่างกังวลใจว่า “คุณหมอเฉิง หน้าของคุณบาดเจ็บจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม ต้องทำแผลก่อนหรือเปล่า”
คุณหมอเฉิงส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไม่เป็นอะไร ไปให้ปากคำกับตำรวจที่สถานีตำรวจก่อนเถอะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หมิ่นลู่ก็เดือดขึ้นมา “ลู่จยาฉันจำได้ว่าปีชงของเธอมันผ่านไปแล้วนี่นา ทำไมเธอถึงยังซวยอย่างนี้อีก เมื่อไหร่เรื่องของฮว่าถิงนี่จะจบสักที ครั้งหน้าถ้าฉันยังเจอพวกชอบหาเรื่องแบบนี้ฉันจะตีกบาลหมาๆ ของพวกมันให้แตกยับไปเลย”
“ระวังคำพูดของคุณหน่อย ตอนนี้คุณนั่งอยู่ในรถตำรวจนะ!” ตำรวจที่หมิ่นลู่ส่งค้อนให้เมื่อครู่พูดเสียงดังออกมา
หมิ่นลู่ยกสองมือขึ้นกอดอกแล้วส่งค้อนปะหลับปะเหลือก ไม่สนใจคำเตือนของตำรวจและยังบ่นต่อไป “ลู่จยาเธอเงยหน้าขึ้นมาได้ไหม หน้าตาเธอตอนนี้เหมือนกับหมาตกอับเลย!”
แล้วหมิ่นลู่ก็บ่นด้วยความหงุดหงิดไปตลอดทาง ส่วนตำรวจที่นั่งอยู่ทางด้านหลังต้องคอยออกปากห้ามเป็นระยะจนเกือบจะทะเลาะกับเธอแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ทะเลาะกันพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงสถานีตำรวจจนได้
ตำรวจที่ขับรถมาพอจอดรถได้ก็ถอนใจอย่างโล่งอก “ในที่สุดก็ส่งพระถึงตะวันตกแล้ว ยังดีที่ไม่ได้ตีกันตอนที่ฉันขับรถอยู่”
เมื่อเข้ามาในสถานีตำรวจ ตำรวจหญิงสองนายเข้ามาบันทึกปากคำหมิ่นลู่กับลู่จยา ส่วนเฉิงอี้เหิงและเว่ยอิ้งกับพวกวัยรุ่นที่ก่อเรื่องนั้นถูกพาตัวไปอีกด้านหนึ่ง
ในตอนที่ต้องแยกกับลู่จยา เขาก็รู้สึกว่าเธอมีท่าทีแปลกๆ ลู่จยาจับมือของเฉิงอี้เหิงไว้ไม่ยอมปล่อย แต่ยังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม
หมิ่นลู่เองก็ไม่เข้าใจนัก ในใจนึกอยู่ว่าตลอดทางว่าลู่จยาไม่ยอมพูดอะไรเลยอีกทั้งยังไม่ยอมปล่อยมือของเฉิงอี้เหิงอีกด้วย หรือว่าตอนที่เธอถูกเว่ยอิ้งลากออกไปนั้นลู่จยาถูกทำร้ายจนเป็นซึมเศร้าไปแล้ว หรือไม่ก็ลู่จยาถูกทำร้ายจนมีพฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ
ตำรวจหญิงพยายามแกะนิ้วมือลู่จยาออกจากมือของเฉิงอี้เหิง เมื่อแกะสำเร็จลู่จยาก็เงยหน้าขึ้นทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมทั้งหมิ่นลู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าลู่จยาถูกใครชกเข้าที่ดวงตา ทำให้เบ้าตาของเธอบวมเป็นลูกท้อปูดขึ้นมาจนลูกตานั้นยุบเข้าไปเห็นเป็นขีดเดียว
หมิ่นลู่ดึงมือลู่จยาที่ปิดตาออก “จะปิดอะไรอีก ให้คุณตำรวจเขาดูว่าผู้ชายสามคนนั้นรังแกผู้หญิงยังไง พวกนายมีความแค้นกับลู่จยาหรือไง พวกเราแค่มากินข้าวกันแต่กลับเจอคนที่ไม่รู้จักสามคนรวมตัวเข้ามาทำร้าย ทำตัวเป็นผู้ผดุงคุณธรรมในอินเตอร์เน็ตจนชินแล้วใช่ไหม คิดว่าออกมาร่ำร้องคำหนึ่งก็จะกลายเป็นวีรบุรุษเขาเหลียงซานหรือไง คิดว่านี่เป็นการกระทำของจอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรมงั้นสิ ร้ายกาจสุดๆ จริงๆ แล้วพวกนายมันเป็นแค่ไอ้โง่ที่ถูกคนเขาหัวเราะเยาะยังไม่รู้ตัวอีก”
คำว่า ‘วีรบุรุษเขาเหลียงซาน’ ทำเอาคนที่เหลือในสถานีตำรวจพากันหัวเราะ แม้กระทั่งตำรวจที่กำลังบันทึกปากคำวัยรุ่นพวกนั้นก็ยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
เฉิงอี้เหิงลูบหัวลู่จยาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรนะ ผมไปแค่แป๊บเดียว”
ลู่จยาไม่อาจจะสู้หน้าเฉิงอี้เหิงได้
ทันทีที่เฉิงอี้เหิงเดินไป ลู่จยาก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของหมิ่นลู่ร้องฮือๆ ออกมา “คราวนี้ฉันน่าเกลียดตายเลย”
หมิ่นลู่หัวเราะจนปวดท้องยังไม่ทันจะดีขึ้น “ฉันว่าเธอไม่ได้ขี้เหร่ตาย แต่จะโง่ตายต่างหาก”
ขณะที่กำลังบันทึกปากคำอยู่นั้นตอนแรกทุกคนยังดูปกติดี ตำรวจหญิงกำลังพยายามปลอบลู่จยาและหมิ่นลู่ “สังคมสมัยนี้มีแต่คนที่โมโหง่าย พวกคุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไปเถอะ ที่สำคัญสุดคือเราจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง”
แล้วจู่ๆ วัยรุ่นทางด้านโน้นก็ตบโต๊ะตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงดังลั่น “พวกเราทำเพื่อพิทักษ์คุณธรรม! ฮว่าถิงตายอย่างมีเงื่อนงำจะต้องมีคนรับผิดชอบต่อการตายของเธอ!! ฮว่าถิงเป็นเจ้าหญิงของพวกเราจะปล่อยให้คนอื่นรังแกอย่างนี้ได้ยังไง!”
ที่คนเหล่านี้สร้างความวุ่นวายไม่หยุดไม่หย่อนเป็นเพราะพวกเขาคือแฟนคลับของฮว่าถิงนี่เอง ลู่จยาไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาเป็นแฟนคลับของฮว่าถิงจริงหรือไม่ เพราะตอนฮว่าถิงยังมีชีวิตอยู่หล่อนก็ไม่ได้ดังมากมายขนาดนั้น ทว่าพอเสียชีวิตแล้วกลับมีแม้กระทั่งคนตามท้องถนนทั่วไปมาบอกว่าเป็นแฟนคลับและต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเธอเต็มไปหมด
ลู่จยาหันไปมองแต่หมิ่นลู่รีบดันหัวเธอกลับ “ไม่ต้องดู! ไม่มีอะไรน่าดู แล้วก็ไม่ต้องไปฟังด้วย”
พวกวัยรุ่นโวยวายอยู่อีกครู่ใหญ่ก่อนจะถูกเสียงตำรวจกลบไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงพูดขึ้น ฟังไปสักพักลู่จยาก็ไม่ได้ยินเสียงของกลุ่มวัยรุ่นนั้นแล้ว
หมิ่นลู่จิ้มไปที่ไหล่ของลู่จยา “ไม่คิดว่าแฟนเด็กของเธอก็ไม่ใช่ย่อยนะ”
ลู่จยากุมดวงตาตัวเองเอาไว้ ตอนนี้เธอค่อยๆ รู้สึกดีขึ้นแล้ว ลู่จยาแอบยิ้มแล้วทำท่าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา “อย่าพูดแบบนั้น เขาไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย”
“ตอนนี้ไม่ใช่ แต่ต่อไปก็ใช่เองแหละ”
ขณะที่ลู่จยากำลังถกเรื่องของเฉิงอี้เหิงกับหมิ่นลู่อย่างสนุกสนาน เว่ยอิ้งที่บันทึกปากคำเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมา
เพราะผู้จัดการส่วนตัวกับทนายของเว่ยอิ้งมาทันเวลา ตำรวจจึงไม่กล้าจะเมินเขาอีกและให้เว่ยอิ้งบันทึกปากคำก่อน ในตอนนี้เขาจึงสามารถออกไปได้แล้ว
เว่ยอิ้งรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เขามายืนอยู่ห่างจากลู่จยากับหมิ่นลู่ประมาณหนึ่งเมตร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “ลู่จยา สำหรับ…เรื่องวันนี้ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนั้นมันชุลมุนไปหมด ในหัวฉันก็เลยสับสนไปด้วย ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเธอไว้”
ขณะที่พูดนั้นดวงตาของเว่ยอิ้งก็มองไปยังไม้ค้ำของลู่จยา
ก่อนจะขึ้นรถตำรวจ เฉิงอี้เหิงได้ใช้โทรศัพท์เช่นกัน ไม่นานนักทนายของเขาก็มาถึงสถานีตำรวจและดูเหมือนว่าทนายของเขากับทนายของเว่ยอิ้งจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เฉิงอี้เหิงคุยกับทนายอยู่สักพักจนทนายเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้วเฉิงอี้เหิงจึงไปให้ปากคำต่อโดยมีทนายของเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
ตอนที่เว่ยอิ้งเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่จยาก็เลือนหายไปทันที เธอนั่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดอะไร หมิ่นลู่เห็นท่าทางดูเหมือนคนหมดกำลังใจของลู่จยาก็โมโหขึ้นมา และยิ่งได้เห็นความเสแสร้งแกล้งรู้สึกผิดของเว่ยอิ้งอีกเธอยิ่งโมโหไปใหญ่
หมิ่นลู่ลุกขึ้นยืนแล้วผลักไม้ค้ำยันของลู่จยาไปตรงหน้าเว่ยอิ้ง “มองอะไร รู้ทั้งรู้ว่าขาของลู่จยาเดินไม่สะดวก นายยังจะทิ้งเธอไว้ตรงนั้นอีก!”
เว่ยอิ้งหน้าแดงสลับซีดขาว เขาเป็นคนที่ชอบทำเป็นเท่และยังไม่เคยมีใครไม่ไว้หน้าเขาอย่างนี้มาก่อน แต่คนตรงหน้านี้คือหมิ่นลู่ เขาจึงได้แต่อดทนฟังคำตำหนิอย่างรุนแรงของหมิ่นลู่
“เว่ยอิ้ง ฉันไม่รู้ว่านายคิดยังไง แต่เราทุกคนเป็นเพื่อนกันนะ นายทำแบบนี้ได้ยังไง นี่คงเป็นสันดานของนายล่ะสิ”
เมื่อหมิ่นลู่จยาพูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าของเว่ยอิ้งแข็งทื่อไป
“สันดาน?” เขาเอียงคอแล้วถามกลับไป จากนั้นก็ก้มลงไปเก็บไม้ค้ำของลู่จยาขึ้นมา ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “หมิ่นลู่ ตอนนั้นมันชุลมุนมาก ที่ฉันแสดงออกไปไม่ใช่สันดานแต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง จะว่าไปเธอเองพูดปาวๆ ว่าให้ความสำคัญกับลู่จยา แต่ตอนที่ฉันพาเธอวิ่งออกมา เธอก็วิ่งตามไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่ทิ้งลู่จยาไว้ตรงนั้น”
ปกติเว่ยอิ้งเป็นคนพูดจาไม่ค่อยเกรงใจใคร แต่ยอมอ่อนลงให้หมิ่นลู่มาตลอด ทว่าเวลานี้โดนคำว่า ‘สันดาน’ กระแทกใจจึงประชดออกมาบ้าง
หมิ่นลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอรีบแก้ตัว “นั่นก็เพราะ…”
ถึงพยายามจะอธิบายยังไง แต่หมิ่นลู่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้
เว่ยอิ้งขัดขึ้น “นั่นก็เพราะ…จริงๆ แล้วในใจของเธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับลู่จยาสักเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ หมิ่นลู่ เธอก็รู้ว่าฉันสนใจเธอ แคร์เธอ เวลาคับขันถึงได้ไม่ลืมที่จะดึงมือพาเธอออกมาด้วย”
ประเด็นถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ เว่ยอิ้งก็เปลี่ยนท่าทีและแสดงความในใจออกมาทำเอาคนที่อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ในตอนนี้มีเพียงลู่จยาเท่านั้นที่จะหาทางลงให้กับพวกเขาได้ ลู่จยาดึงมือของหมิ่นลู่ไว้แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ลู่ลู่ช่างมันเถอะ เว่ยอิ้งไม่ได้ตั้งใจหรอก”
ประโยคนี้จุดไฟโทสะในตัวหมิ่นลู่ขึ้นมาได้สำเร็จ เหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้กลยุทธ์ที่จะทะเลาะกับเว่ยอิ้งให้ชนะจึงพูดต่อจากลู่จยา “เขาจะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง! มีเรื่องไหนบ้างที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอชอบเขา เรื่องที่เขามาไล่ตามจีบฉัน หรือเรื่องที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอยังบาดเจ็บอยู่?!”
บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่หมิ่นลู่ใช้ปกป้องตัวเอง เมื่อพูดออกไปแล้วทุกคนต่างก็พากันเงียบสนิท เฉิงอี้เหิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของหมิ่นลู่เช่นกัน
ลู่จยาที่ดวงตาบวมเปล่งมีสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่แล้วแต่แรก ตอนนี้สีหน้าของเธอยิ่งดูไม่ได้ขึ้นไปอีก ทุกคนต่างพากันมองมาที่เธอ ลู่จยาก้มหน้าลง สายตาล่อกแล่ก เธอหันมองไปที่หมิ่นลู่กับเว่ยอิ้งแล้วจึงกระโดดขาเดียวไปหยิบไม้ค้ำของตัวเองขึ้นก่อนจะใช้ไม้ค้ำพยุงตัวโขยกเขยกไปตรงหน้าเฉิงอี้เหิงก่อนจะพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบามากๆ “ไปได้หรือยัง”
เฉิงอี้เหิงกุมมือของเธอไว้ เขาหันกลับไปถามตำรวจ “บันทึกปากคำเรียบร้อยแล้ว ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ”
ตำรวจเห็นท่าทางของลู่จยาดูไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดรวมถึคุยกับพยานและพนักงานร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วด้วย แม้ทั้งสองฝ่ายจะต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ภาพจากกล้องเป็นที่ชัดเจนว่าวัยรุ่นพวกนั้นลงมือก่อน ตำรวจจึงเรียกให้พวกวัยรุ่นมาขอโทษลู่จยา เรื่องจะได้แล้วกันไป
แต่พวกวัยรุ่นกลับไม่ยอมขอโทษ ซ้ำยังหัวเราะเรื่องที่หมิ่นลู่ เว่ยอิ้ง และลู่จยาทะเลาะกันอีกด้วย
“ช่างเถอะ พวกเราไปกันเถอะ” ลู่จยาพูดขึ้น
บทที่ห้า
เฉิงอี้เหิงเห็นว่าลู่จยาอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเอาเสื้อนอกคลุมไหล่ให้แล้วค่อยๆ พยุงตัวเธอออกไปจากสถานีตำรวจ แต่ก่อนจะออกจากสถานีตำรวจเฉิงอี้เหิงก็มอบหมายให้ทนายความจัดการเรื่องที่เหลือต่อ ทนายความจึงขอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัยรุ่นทั้งสามคนกับทางตำรวจไว้
เมื่อออกจากสถานีตำรวจแล้วเฉิงอี้เหิงก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะขึ้นรถ หมิ่นลู่ก็วิ่งตามมา อากาศในวันนี้ดูครึ้มๆ น่าอึดอัด ราวกับว่าบรรยากาศในโลกถูกกดดัน ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันที่ฝนเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นเริ่มตกลงมา มีหมอกปกคลุมไปทั่ว อุณหภูมิก็ลดลงอย่างสัมผัสได้ชัด ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในเมืองแห่งเมฆหมอก
หมิ่นลู่เรียกลู่จยาเอาไว้ ลู่จยาชะงัก สายฝนโปรยปรายลงมากระทบใบหน้าของทั้งคู่ สีหน้าของหมิ่นลู่ไม่เคยดูย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน “ลู่จยาคำพูดเมื่อกี้เธออย่าเอาไปใส่ใจนะ เธอก็รู้ฉันแค่พูดเพื่อจะตอบโต้เว่ยอิ้งเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องที่เธอชอบเขามาทำเป็นเรื่องตลก”
ลู่จยาพยายามจะฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “ลู่ลู่ ถ้าเธอให้ปากคำเสร็จแล้วก็รีบกลับไปเถอะ นี่ดึกมากแล้วแถมฝนตกอีกด้วย ข้างนอกนี่หนาวมากนะ”
พูดจบลู่จยาก็รีบเข้าไปในนั่งในแท็กซี่ เฉิงอี้เหิงอยู่ทางด้านนอกตัวรถมองหมิ่นลู่อีกพักใหญ่ ด้านหมิ่นลู่ได้แต่อ้าปากทว่าพูดอะไรไม่ออก
เฉิงอี้เหิงปลอบหมิ่นลู่ “ลู่จยาคงไม่โกรธคุณหรอก คุณกลับไปก่อนเถอะครับ อย่าตากฝน เดี๋ยวจะไม่สบาย เรื่องนี้ผมจะคุยกับเธอเอง”
หมิ่นลู่ที่ยืนตากฝนอยู่จึงพยักหน้ารับ เธอไม่รู้ว่าเว่ยอิ้งวิ่งตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้เขาถอดเสื้อนอกของตัวเองเอามาให้หมิ่นลู่กันฝน หมิ่นลู่หันกลับไปมองเขาด้วยดวงตาแดงๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและปัดมือของเว่ยอิ้งที่ยื่นเข้ามาออกก่อนจะผลักเขาแล้ววิ่งไปท่ามกลางสายฝน
เว่ยอิ้งตะโกนเรียก แต่หมิ่นลู่ก็ไม่หันกลับมา ตำรวจหญิงที่เดินตามออกมาดูร้อนรน “นี่ยังให้ปากคำไม่เสร็จเลยนะ!”
สายฝนตกลงกระทบตัวรถไม่หยุด มองเห็นแสงไฟนีออนยามค่ำคืนได้เพียงรางๆ
เมื่ออยู่ในเมืองเมฆหมอกก็เหมือนกับได้ก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งความฝัน ลู่จยาที่นั่งอยู่ตรงด้านเบาะหลังใช้มือเท้าคางมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
เฉิงอี้เหิงมองใบหน้าด้านข้างของเธอ เส้นผมข้างหูของลู่จยาตกลงมาปรกใบหน้า เขาจึงยื่นมือออกไปทัดผมให้เธออย่างอดใจไว้ไม่อยู่
ลู่จยาหันกลับมามองเฉิงอี้เหิงแล้วถามขึ้น “ทำไมเหรอ”
เฉิงอี้เหิงส่ายหน้าปฏิเสธ “วันนี้คุณเหนื่อยแล้วล่ะสิ”
ลู่จยาส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก”
ในตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ในลิฟต์ของคอนโดฯ ลู่จยากำลังมองตัวเองผ่านกระจกในลิฟต์ ก่อนหน้านี้เธอแต่งตัวแต่งหน้าอย่างประณีตก่อนออกจากบ้าน ทว่าตอนนี้เครื่องสำอางพวกนั้นหลุดออกไปหมดแล้ว ริมฝีปากก็ซีดเผือด
เธอไม่อาจจะทนดูตัวเองต่อไปได้อีก เฉิงอี้เหิงสังเกตเห็นปฏิกิริยาของลู่จยาจึงลูบศีรษะของเธอเบาๆ “ไม่เป็นไร คุณยังดูดีอยู่”
แม้ว่าลู่จยาจะรู้ว่าเฉิงอี้เหิงต้องการปลอบโยนจึงพูดจาเอาอกเอาใจเธอ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาได้
เมื่อกลับมาถึงห้องในคอนโดฯ สิ่งแรกที่เฉิงอี้เหิงทำคือเปิดน้ำร้อนใส่อ่างอาบน้ำเตรียมไว้ให้ลู่จยาได้อาบน้ำ
ลู่จยาที่เหนื่อยล้ากำลังนอนพักอยู่บนโซฟา เธอยกเท้าขึ้นสูง ถือโอกาสตอนที่เฉิงอี้เหิงเปิดน้ำร้อนให้เปิดโต้วปั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เปิดกระทู้ของตัวเองเพื่อเข้าไปเขียนเรื่อง
‘อัพเดตวันนี้
เพิ่งกลับถึงบ้าน เหนื่อยจัง
วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย เจ้าของกระทู้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ แต่มีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นเข้าถึงขั้นต้องไปที่โรงพัก และเพื่อปกป้องฉันแล้ว แว่นของ ฉ. จึงถูกคนเหยียบหัก
นี่เป็นเรื่องทำให้เจ้าของกระทู้ประทับใจมาก แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ไม่ใช่ ฉ. ที่ทำให้เจ้าของกระทู้เสียใจนะ แต่หมายถึงเพื่อนๆ ของเจ้าของกระทู้ต่างหาก
เจ้าของกระทู้เห็นปากที่เขียวช้ำของ ฉ. แล้วรู้สึกทั้งเสียใจ ทั้งปวดใจ อีกเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะไปใส่ยาให้เขา ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้ช่วยไหม ไม่สิ ไม่รู้ว่าที่บ้านเขามียาหรือเปล่า แต่ว่าเขาเป็นคุณหมอเชียวนะ จะไม่มียาติดไว้ที่บ้านก็ดูแปลกไปหน่อยไหมนะ’
เนื้อหาที่อัพเดตในกระทู้มีไม่มากแต่ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นได้ มีคนเห็นกระทู้อัพเดต ด้านล่างจึงมีคนมาแสดงความคิดเห็นไว้
‘สวรรค์! ในที่สุดเจ้าของกระทู้ก็มาอัพเดต ฉันซาบซึ้งใจจนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว!’
‘เกิดอะไรขึ้นน่ะ ฉ. ถูกทำร้ายเหรอ’
‘เรื่องนี้ต้องบอกต่อ…ฉ. คงไม่ได้โกรธเจ้าของกระทู้ใช่ไหม’
‘ฉันว่าความคิดเห็นข้างบนน่าจะมีปัญหาด้านการอ่านนะ คนเขาพูดอยู่แล้วว่า ฉ. บาดเจ็บเพราะปกป้องเจ้าของกระทู้อ่ะ’
‘เจ้าของกระทู้! ผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บต้องการการเอาใจใส่ที่สุด! เจ้าของกระทู้รีบรุกเลย ถือโอกาสผลักให้ล้มเลย’
ลู่จยาเลื่อนดูหน้าจอเพื่ออ่านความคิดเห็นที่มีคนเขียนทิ้งไว้ มุมปากของเธอค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา อ่านอยู่สักพักเธอก็วางโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจยาว
“ถอนหายใจทำไม” เฉิงอี้เหิงเดินออกมาจากห้องครัว ในมือของเขาถือไข่ไก่อยู่ “ประคบที่ดวงตาสิ เดี๋ยวนะ รอแป๊บนึง”
เขาวางไข่ไก่ลงบนมือของลู่จยา ไข่ไก่ยังร้อนอยู่คงเพราะเพิ่งจะต้มสุกมา
เฉิงอี้เหิงหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ขอผมถ่ายรูปหน่อย”
“ถ่ายรูปทำไม” ลู่จยาถามด้วยความสงสัย
“เก็บไว้เป็นหลักฐาน” เฉิงอี้เหิงหาตำแหน่งที่จะถ่ายรูปได้แล้วก็พูดออกมาอย่างจริงจัง “แต่คุณไม่ต้องกังวลใจอะไรไปนะ ถึงคุณจะบาดเจ็บอยู่แต่ผมจะถ่ายคุณให้ดูสวย”
ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากลู่จยาได้สำเร็จ ใบหน้าของลู่จยาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอยกไข่ต้มขึ้น โพสต์ให้เฉิงอี้เหิงถ่ายด้วยท่าทาง ‘แม้ฉันจะบาดเจ็บแต่ก็ยังเท่อยู่’
นอกจากดวงตาที่ถูกชกเพราะไม่ทันระวังตัวแล้วก็มีรอยถลอกที่เข่าข้างหนึ่งของลู่จยา หลังจากที่ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วเฉิงอี้เหิงก็หยิบกล่องยาออกมา เขาใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อรอบๆ แผลก่อนจะทายาลงไป สัมผัสนี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายและไม่เจ็บ
ในตอนที่ทายา เฉิงอี้เหิงอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่าตรงหน้าลู่จยาทำให้เธอมองเห็นกระหม่อมของเขา ลู่จยาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบังคับไม่ให้ตัวเองเอามือวางลงไปแล้วลูบหัวของเขา
ท่านี้…เหมือนท่าขอแต่งงานเลยแฮะ ลู่จยาคิดในใจ
“เอ่อ…” ลู่จยากลืนน้ำลาย “เดี๋ยวฉันก็จะอาบน้ำแล้ว ทายาตอนนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เฉิงอี้เหิงเงยหน้าขึ้นทันที แววตาของเขาเป็นประกายสว่างไสวส่องกระทบเข้ามาในดวงตาของลู่จยา เธอรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“เดี๋ยวผมจะใช้พลาสเตอร์กันน้ำแปะให้คุณเพราะแผลของคุณโดนน้ำไม่ได้ ตอนอาบน้ำก็ระวังหน่อยนะ”
“อื้ม” ลู่จยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเหมือนกับเด็กอนุบาลที่นั่งรอคุณครูเอาลูกอมมาให้ เธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น
ในตอนที่เฉิงอี้เหิงปัดมือตัวเองก่อนจะลุกขึ้นแล้วพูดว่า ‘เรียบร้อย คุณไปอาบน้ำได้แล้ว’ ลู่จยาจึงได้ถามออกไปบ้าง “แล้วบาดแผลของคุณไม่ซีเรียสเหรอ ให้ฉันช่วยทำแผลก่อนไหม”
ตอนนั้นเองเฉิงอี้เหิงถึงได้รู้สึกตัว เขายกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากพร้อมส่งเสียงซี้ดออกมา
“ไม่เป็นไร อีกสักพักผมค่อยจัดการ คุณไปอาบน้ำเถอะ”
“อ้อ” ลู่จยาทำปากยื่นก่อนจะลุกขึ้นยืน เฉิงอี้เหิงเข้ามาพยุงเธอเดินเข้าไปส่งในห้องน้ำ
ห้องน้ำบ้านเฉิงอี้เหิงนั้นใหญ่มาก และเพื่อความสะดวกในการอาบน้ำของลู่จยาเขาถึงกับติดมือจับและวางเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไว้ให้ที่ข้างอ่างอาบน้ำ นี่ถือว่าเป็นการดูแลผู้ป่วยในระยะสั้นๆ อย่างดีเยี่ยม
หลังจากลู่จยาเข้าไปอาบน้ำ เฉิงอี้เหิงก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตามมาด้วยเปิดโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ดเพื่อเขียนรายงานอาการบาดเจ็บของตัวเองและรายการทรัพย์สินที่เสียหายในคืนนี้ลงไปในเอกสาร จากนั้นจึงเขียนจำนวนตัวเลขทั้งหมดลงไป ‘สามหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน’
แค่มูลค่าความเสียหายของแว่นตาก็เกินครึ่งของยอดทั้งหมดแล้ว
พรุ่งนี้เขาจะพาลู่จยาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลด้วยกัน แล้วเอาค่าตรวจร่างกายของคู่เติมลงไปในเอกสารด้วย จากนั้นจะประทับตราส่วนตัวลงในเอกสารพร้อมส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม*จากทนายความไปให้พวกวัยรุ่นที่ก่อเรื่องทั้งสามคน
ถ้าพวกวัยรุ่นนั่นยอมขอโทษลู่จยาแต่แรกเฉิงอี้เหิงก็จะไม่เอาเรื่อง แต่พวกนั้นกลับปากดี เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็จะใช้วิธีการของตัวเองสั่งสอนบรรดาวัยรุ่นพวกนั้นสักหน่อย
เช้าวันต่อมา เฉิงอี้เหิงซึ่งควรจะพักผ่อนอยู่กลับเดินมาเคาะประตูห้องของลู่จยาแล้วถามเธอว่านอนหลับสบายดีไหม ลู่จยานวดศีรษะของตัวเองที่กำลังปวด ดวงตาของเธอยังบวมเป่ง เธอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
เมื่อคืนลู่จยาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่พอหลับตาลง ใบหน้าของเว่ยอิ้งก็ปรากฏขึ้นในหัวจึงต้องพลิกตัวไปมาอยู่นานจนกลางดึกถึงหลับลง
ลู่จยารู้สึกสับสน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเว่ยอิ้งถึงทำกับเธออย่างนั้น
พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ฝึกซ้อมมาด้วยกัน แข่งขันมาด้วยกัน เธอรู้สึกว่าเว่ยอิ้งเป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิต ทั้งยังเคยรักและทุ่มเทอย่างจริงใจให้กับเว่ยอิ้งเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะรู้ว่าเขาชอบเพื่อนรักของเธอแต่เธอก็ยังแอบรักเขาข้างเดียวอย่างโง่ๆ มาตลอด
จนกระทั่งก่อนเกิดอุบัติเหตุ…อ้อ ไม่สิ จนกระทั่งก่อนเกิดเรื่องในร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นต่างหาก เธอก็ยังคงมีใจให้กับเว่ยอิ้ง
หากเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดบนร่างกายแล้ว ใจเธอนั้นเจ็บยิ่งกว่าเสียอีก
เรื่องทั้งหมดนี่ทำให้เธอคิดถึงเพลง ‘ความอัดอั้นอันไร้เดียงสา’ ของหลินโย่วจยาซึ่งมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า ‘มีดวงดาวที่ฉันเงยหน้ามองอยู่ดวงหนึ่ง ค่อยๆ ตกลงมา’ ทว่าดาวที่ตกลงมาของเธอนั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นดวงอาทิตย์
เธอชอบเว่ยอิ้งมาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เสียใจและหมดหวังเท่าตอนนี้
ทำไมเขาถึงได้เลือกที่จะจูงมือหมิ่นลู่ หรือเพราะในสายตาของเขาไม่เคยมีเธออยู่เลย แล้วหมิ่นลู่ล่ะ…ทำไมถึงได้วิ่งไปกับเว่ยอิ้ง
ถึงแม้ลู่จยาจะเข้าใจว่าในสถานการณ์คับขันนั้น การหนีเอาชีวิตรอดเป็นสัญชาตญาณหนึ่งของมนุษย์ แต่ทุกครั้งที่เธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็อดรู้สึกจุกในลำคอไม่ได้ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตำอยู่ในหัวใจ ในเวลานั้นคุณหมอที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานกลับออกมาปกป้องเธอ แต่เพื่อนรักสองคนที่เติบโตมาด้วยกันกลับทิ้งเธอไว้ข้างหลัง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเศร้า
“ผมพาคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลหน่อยดีกว่า ได้ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย” น้ำเสียงอันอบอุ่นของเฉิงอี้เหิงดึงเธอออกมาจากความเศร้า
ลู่จยาคิดว่าเฉิงอี้เหิงคงจะพาเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเท่านั้นจึงยอมออกจากบ้าน แต่ครั้งนี้เธอแต่งตัวอย่างมิดชิดกว่าเดิม ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ทั้งใส่หมวก
หลังจากจอดรถในลานจอดรถของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็ขึ้นลิฟต์ ลู่จยาใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเดินไปจนถึงโถงกลางแล้วบังเอิญมาเจอเข้ากับหมิ่นลู่และเว่ยอิ้ง เธอทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทั้งคู่ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนหลังจากทะเลาะกันเมื่อคืนยังไม่ได้หายไป การที่พวกเขามาปรากฏตัวต่อหน้าทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออก
“ลู่จยา” หมิ่นลู่ก้าวเข้ามาหาเธอ เว่ยอิ้งตามหลังหมิ่นลู่มาติดๆ หมิ่นลู่ถลึงตามองเว่ยอิ้งอย่างหงุดหงิด “นายเลิกตามฉันสักทีจะได้ไหม!”
เว่ยอิ้งอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก เขายอมหยุดอย่างว่าง่าย ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็เดินตามอีก
หมิ่นลู่ทำเหมือนเว่ยอิ้งไม่มีตัวตน เธอเดินตรงมาหาลู่จยา ขณะที่เตรียมจะเอ่ยปากขอโทษก็ถูกขัดด้วยคำพูดของเว่ยอิ้งเสียก่อน
“ลู่จยา พวกเรามาขอโทษ เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันไม่ควรจะพูดกับหมิ่นลู่อย่างนั้นเลย พอฉันได้ยินคำประชดก็เลยรับไม่ได้ถึงพูดกับเธอแบบนั้นไป ยกโทษให้ฉันกับหมิ่นลู่นะ จริงๆ เธอจะไม่ให้อภัยฉันก็ได้ แต่อย่างน้อยยกโทษให้หมิ่นลู่เถอะ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันจะมาแตกหักเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ได้”
คำพูดของเว่ยอิ้งฟังดูแล้วไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าลู่จยาจะให้อภัยหรือเปล่า เขาก็แค่อยากจะพูดแทนหมิ่นลู่เท่านั้น
รอยยิ้มของลู่จยาหายวับไปทันที เธอขยับไม้ค้ำพาตัวเองเข้าไปใกล้กับเฉิงอี้เหิงอีกหน่อย เฉิงอี้เหิงที่สัมผัสได้ว่าเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงโอบไหล่ของลู่จยาไว้
“เว่ยอิ้ง นายหยุดทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นไปอีกได้ไหม” หมิ่นลู่ได้ยินคำพูดของเว่ยอิ้งแล้วโมโหจนอยากจะซัดไปสักที
หมิ่นลู่ผลักเว่ยอิ้งออกแล้วรีบเข้ามากุมมือลู่จยาไว้แน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จยาจยา เมื่อวานฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนั้นจริงๆ นะ ตอนนั้นฉันโมโหเว่ยอิ้งจนขาดสติ พอใจเย็นลงแล้วถึงได้รู้ว่าทำผิด ฉันขอโทษ เธอจะลงโทษฉันยังไงก็ได้ เอาอย่างนี้ ให้ฉันพาเธอไปเที่ยวยุโรปไหม หรือจะไปญี่ปุ่นก็ได้นะ ฉันจำได้ว่าเธอชอบการ์ตูนนี่ พวกเราไปดูหิมะที่เมืองโอะตะรุกัน หรือจะไปดูกวางที่เมืองนาราก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่เธอชอบ ทั่วทั้งโลกนี้ฉันไปกับเธอได้หมดเลย ถือว่าไปพักผ่อนกันนะ”
หมิ่นลู่ยังวาดภาพอนาคตอันแสนสวยงามกับลู่จยาไม่หยุด ลู่จยาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยขัดหมิ่นลู่ขึ้น “หมิ่นลู่ ทำไมถึงคิดว่าเธอหาทางลงให้ฉันได้ แล้วฉันจะต้องทำตามด้วย”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกไปบรรยากาศโดยรอบก็นิ่งสนิท
ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่จยาจะพูดแบบนี้ ไม่สิ อันที่จริงแล้วไม่มีใครคิดเลยว่าลู่จยาจะพูดกับหมิ่นลู่แบบนี้ ลู่จยากับหมิ่นลู่ตัวติดกันเป็นฝาแฝด ในสายตาของคนทั่วไปแล้วพวกเธอไม่ใช่คนที่จะคบด้วยง่ายๆ ทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกันตลอด ทุกคนรวมทั้งหมิ่นลู่ยังรู้สึกว่าลู่จยาไม่น่าจะโกรธจริงๆ อย่างมากคงเป็นแค่การผิดใจกันเล็กๆ น้อยๆ สักสามวันก็คืนดีกันแล้ว
ทว่าลู่จยาตอกกลับหมิ่นลู่แรงมากจนหมิ่นลู่ได้แต่อึ้งไป ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
เว่ยอิ้งเดินมาหยุดตรงหน้าลู่จยาแล้วใช้น้ำเสียงราวกับเป็นผู้ใหญ่ตำหนิเด็กพูดขึ้น “ลู่จยาทำไมถึงพูดแบบนี้!”
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันพูดจายังไง พวกเธอสองคนไม่เห็นเหรอว่าฉันยังต้องใช้ไม้ค้ำอยู่ สถานการณ์แบบนั้นพวกเธอกลับทิ้งฉันไว้แล้วหนีไปด้วยกันเนี่ยนะ อีกอย่างเรื่องเลี้ยงข้าวนี่เป็นความคิดนายไม่ใช่เหรอเว่ยอิ้ง นายยังมีหน้าทิ้งแขกไว้ในสถานการณ์อันตรายอีก นี่เป็นมารยาทในการดูแลแขกของนายเหรอ”
ลู่จยาพูดรวดเดียวจบ ทิ้งให้เว่ยอิ้งตะลึงอ้าปากค้างอยู่กับหมิ่นลู่ที่มองมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ลู่จยาคล้องแขนเฉิงอี้เหิงแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราต้องเข้าไปตรวจร่างกายแล้วใช่ไหม”
“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้” เฉิงอี้เหิงถามเธอด้วยความลังเล
ลู่จยาพยักหน้า แม้ว่าตอนนี้เธอจะแสบจมูกมากก็ตาม
ลู่จยาเดินไปหลายก้าวแล้ว อยู่ๆ หมิ่นลู่ก็ตะโกนเรียกออกมาด้วยเสียงขึ้นจมูก
“ลู่จยา! เธอทำขนาดนี้เพราะเว่ยอิ้งงั้นเหรอ?!”
ลู่จยาหันกลับไป “ไม่ใช่เพราะเว่ยอิ้งหรอก หมิ่นลู่ ฉันคิดว่าเราต้องการเวลามากกว่านี้ ที่ผ่านมาเธอคงชินกับการทำตัวเป็นผู้เสียสละ ส่วนฉันก็ได้แต่เงยหน้ารอรับความหวังดีจากเธอ เธออาจจะไม่รู้ตัว แต่รู้ไหมเธอดูภาคภูมิใจกับบทบาทนี้นักหนาทำเหมือนว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าฉัน เรื่องเว่ยอิ้งนั่นเป็นตัวอย่างที่ดี ฉันรู้ว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน แต่ถ้าให้ฉันเงยหน้ารอตลอดเวลาคงปวดคอแย่ ให้ฉันพักเถอะ พวกเราต้องการเวลาคิดมากกว่านี้ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนแล้วกัน ฉันคิดได้เมื่อไหร่จะติดต่อไปหาเธอเอง”
“แล้วถ้าเธอคิดไม่ได้ล่ะ” หมิ่นลู่ถาม
ลู่จยาไม่ตอบอะไรอีก เธอคล้องของแขนเฉิงอี้เหิงเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในแผนกตรวจร่างกาย
หมิ่นลู่หันกลับแล้วเดินจากไปอย่างผิดหวัง เว่ยอิ้งอยากจะแก้ตัวแทนหมิ่นลู่จึงวิ่งมาข้างๆ ลู่จยา เขาตั้งใจจะยื่นมือมารั้งลู่จยาเอาไว้ แต่กลับโดนเฉิงอี้เหิงขัดขวาง
เฉิงอี้เหิงจับข้อมือของเว่ยอิ้งเอาไว้ ถามอย่างไม่วางใจ “คุณจะทำอะไร”
เว่ยอิ้งมองเฉิงอี้เหิงอย่างรำคาญ “ผมจะคุยกับลู่จยา เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
“ขอโทษด้วยนะครับคุณเว่ยอิ้ง แต่เรื่องของลู่จยาเป็นเรื่องที่ผมต้องเกี่ยวข้องด้วย”
เว่ยอิ้งถูกตอกกลับแบบนั้นก็หาคำโต้แย้งไม่ได้ เขาจึงหันไปพูดกับลู่จยาอย่างรวดเร็วแทน “ลู่จยา ฉันรู้ว่าเธอกำลังโมโห แต่อย่าโมโหนานนักนะ เธอก็รู้นิสัยของหมิ่นลู่ดี แล้วนี่อีกไม่กี่วันเขาจะบินไปยุโรปแล้ว พวกเธออย่าโกรธกันข้ามวันเลยน่า”
ในที่สุดลู่จยาก็ทนไม่ไหว ตั้งแต่เจอกันเว่ยอิ้งเอาพูดถึงแต่หมิ่นลู่เหมือนไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเพราะตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต
“นายรู้ตัวไหมว่าตอนนี้ท่าทางของนายมันน่ารังเกียจขนาดไหน ฉันรู้ว่านายชอบหมิ่นลู่ แต่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ นี่ดูไม่เหมือนนายเลยนะ ถ้าแฟนคลับของนายรู้เข้ายังจะชื่นชมนายได้อีกเหรอ”
เว่ยอิ้งหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดจบลู่จยาก็ดึงมือเฉิงอี้เหิงเดินขึ้นไปตรวจร่างกายที่ชั้นบน
ทั้งคู่ได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และมีการบันทึกบาดแผลที่ปรากฏบนร่างกายของพวกเขาเอาไว้ด้วย เฉิงอี้เหิงนำเอกสารที่ทำไว้เมื่อคืนมารวมกับผลการตรวจร่างกายในวันนี้ใส่ลงไปในซองเอกสารก่อนจะติดต่อทนายของเขา
ขณะรอทนายมารับเอกสาร เฉิงอี้เหิงก็นึกถึงขาของลู่จยาที่ยังเดินไม่ถนัดขึ้นมา เขาจึงพาเธอไปดูศูนย์กายภาพบำบัด
ที่ศูนย์กายภาพบำบัดมีวัยรุ่นชายอายุประมาณสิบเก้าปีนั่งอยู่ ข้างๆ มีไม้ค้ำอีกคู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างของวัยรุ่นคนนี้กำลังจับราวประคองเอาไว้ เขาพยายามจะก้าวเดินทีละก้าวอย่างยากลำบากโดยมีพยาบาลคอยให้คำแนะนำด้วยความอดทน เขาเหมือนเด็กที่กำลังหัดเดิน แต่ดูลำบากกว่าเด็กน้อยหัดเดินหลายเท่า การก้าวขาออกมาแต่ละครั้งดูยากมาก เส้นเอ็นตรงลำคอของวัยรุ่นชายคนนี้ปูดขึ้น เหงื่อผุดบนหน้าผากเป็นเม็ดๆ มือทั้งสองข้างที่จับราวก็สั่นไม่หยุด
แต่พยาบาลยังคอยให้กำลังใจเขาตลอดเวลา
ตอนที่วัยรุ่นชายคนนี้กำลังจะก้าวออกมาได้สำเร็จเป็นก้าวแรก ลู่จยาที่ดูข้างๆ ก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เธอขบฟันแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“อ๊า…” ชายหนุ่มร้องออกมาขณะล้มลงไปบนเบาะรองนุ่มๆ ที่อยู่ด้านล่าง เขายังไม่สามารถก้าวออกไปต่อได้
ชายวัยรุ่นรู้สึกหมดหวังจนนอนซุกตัวอยู่บนเบาะ ทั้งยังหงุดหงิดจนชกไปที่เบาะรองหลายครั้ง พยาบาลที่เข้าไปพยุงเขาขึ้นมาก็ถูกผลักออกไป เขายกมือขึ้นปิดหน้าไม่ยอมลุกขึ้นจากเบาะ ดูจากท่าทางแล้วเหมือนอารมณ์กำลังจะระเบิด
ลู่จยาสะเทือนใจกับภาพที่เห็นจึงได้แต่ถอนใจอยู่เงียบๆ ทีแรกเธอคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ
คนเราถ้าป่วยหรือบาดเจ็บขึ้นมายังไงก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ร่างกายมนุษย์นั้นไม่ต่างไปจากเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วน หรือต่อให้ถูกซ่อมแซมแล้วก็ยังทิ้งรอยแผลหลงเหลือไว้ให้เห็น เมื่อลู่จยาตระหนักได้ถึงประเด็นนี้เธอยิ่งรู้สึกหดหู่
ลู่จยาหันหน้าหนี เธอไม่อยากจะมองดูอีกต่อไป
“พวกเรากลับกันเถอะ”
เฉิงอี้เหิงจับไหล่ของลู่จยาไว้ “ไม่ดูต่ออีกหน่อยเหรอ”
ตอนที่ลู่จยาจับไม้ค้ำไว้แล้วหันหลังกลับไป เธอเห็นชายวัยรุ่นที่หมดหวังนอนหมอบอยู่บนเบาะเมื่อครู่พยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาทำท่าเดิมซ้ำๆ ถึงแม้จะต้องใช้แรงอย่างมากก็ตาม บนใบหน้าของเขายังมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่แต่ดูมุ่งมั่นมากกว่าก่อนหน้านี้
เห็นแล้วลู่จยาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา แต่เฉิงอี้เหิงกลับไม่ให้เธอดูต่อแล้ว เขาพยุงเธอออกจากศูนย์กายภาพบำบัด
“ทำไมไม่ให้ฉันดูต่อล่ะ ฉันอยากจะรู้ว่าเขาจะกล้าก้าวขาไหม”
“ผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด คุณต้องเห็นว่าต่อให้เด็กหนุ่มคนนั้นจะล้มและร้องไห้ แต่เขายังพยายามที่จะลุกขึ้นมาต่างหาก เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็มีลมเย็นพัดผ่านมา วันนี้เฉิงอี้เหิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นกับกางเกงลำลองและใส่แว่นตา เขาแผ่ความอบอุ่นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณหมอเฉิง” ลู่จยามองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างร้อนรน
“มีอะไรหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงหันมามองเธอ
“ฉันรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่มองคุณ”
“แปลกยังไง”
“เหมือนหัวใจของฉันเป็นฟองน้ำที่ถูกแช่อยู่ในน้ำ ค่อยๆ ดูดซับน้ำนั้นจนเต็ม”
เฉิงอี้เหิงยิ้มออกมา เขายกมือขึ้นลูบผมเธอ “เราไปกันเถอะ ทนายของผมมาถึงแล้ว”
ทั้งคู่เดินมาพบทนายของเฉิงอี้เหิงตรงลานจอดรถชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล หลังจากเฉิงอี้เหิงยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้กับทนายแล้ว เขาก็เปิดดูคร่าวๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“คุณเฉิงสบายใจได้ เคสแบบนี้ผมจัดการมาหลายครั้งแล้ว รับรองว่าคุณจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”
“รบกวนด้วยนะครับ”
สั่งการกับทนายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหาร เฉิงอี้เหิงถามลู่จยาว่าเธออยากกินอะไร แต่ลู่จยายังรู้สึกหวาดกลัวการกินอาหารที่ร้านอาหารข้างนอกจึงเสนอให้ไปซื้อของที่ตลาดแล้วกลับไปทำอะไรกินที่บ้านกัน
“คุณทำกับข้าวเป็นเหรอ” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาส่ายหน้า
“งั้นก็ต้องเป็นผมล่ะสิ” เฉิงอี้เหิงพับแขนเสื้อสูงขึ้นไปอีกนิด เขาค้นหาซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้คอนโดฯ “ว่ามาเลย คุณอยากกินอะไร อาหารฝรั่งหรืออาหารจีน”
ลู่จยานั่งตรงเบาะข้างคนขับ รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจึงหันมาถาม “นี่คุณทำเป็นทุกอย่างเลยเหรอ”
เฉิงอี้เหิงมีท่าทางสบายๆ ถึงบนใบหน้าของเขาจะยังมีร่องรอยฟกช้ำเหลืออยู่ แต่มันไม่ได้ส่งผลกับความหล่อของเขาแม้แต่น้อย
มือข้างหนึ่งของลู่จยายื่นออกไปนอกหน้าต่างรถ สัมผัสกับความเร็วและอุณหภูมิของสายลม เธอรู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะดีเท่าตอนนี้อีกแล้ว
เมื่อถึงซูเปอร์มาร์เก็ต เฉิงอี้เหิงก็เลือกรถเข็นคันใหญ่ เขาเข็นมันมาหยุดตรงหน้าลู่จยาแล้วบุ้ยปากใส่เธอ “ขึ้นมาสิ”
ลู่จยาที่ยังต้องพยุงตัวด้วยไม้ค้ำและยืนด้วยขาข้างเดียวหันมองไปรอบๆ ด้วยความเขินอาย เธอเอ่ยขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ “ทำแบบนี้ไม่ดีมั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณทำมันพังเดี๋ยวผมจะใช้คืนพวกเขาสองคันเลย ถ้าคุณใช้ไม้ค้ำเดินซื้อของกับผมทั่วซูเปอร์มาร์เก็ตคงไม่สะดวก”
“งั้น…ก็ได้”
หลังจากเจรจากับพนักงานของซูเปอร์มาร์เก็ตและได้รับอนุญาตเรียบร้อย ลู่จยาก็ขึ้นไปนั่งในรถเข็นที่เฉิงอี้เหิงเลือกมา
ซึ่งต่อมาเธอได้ไปอัพเดตกระทู้ถึงเรื่องนี้ทำเอาคนที่ติดตามกระทู้อยู่พากันหัวเราะขบขัน
‘พูดจริงๆ นะเจ้าของกระทู้ ตอนนี้ฉันเห็นคำว่า ‘รถ’ ก็ต้องมาคิดดูว่าเป็นรถแบบไหน สามารถขึ้นได้หรือขึ้นไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ’
‘ขึ้นรถของ ฉ. นี่ดีไหม’
‘จริงด้วย เจ้าของกระทู้ทำให้ฉันอยากรู้จริงๆ นานแล้วนะยังไม่รู้เลยว่าพวกคุณขึ้นรถหรือเปล่า พวกเราเป็นกำลังใจให้คุณขับรถมารับพวกเราอยู่นะ!’
‘เรื่องของเจ้าของกระทู้น่าเอ็นดูกว่าเรื่องรักวัยในวัยเรียนของคุณยายคิมิโกะ นิชิโมโต้ ที่ชื่อเรื่อง ‘คิดถึงคุณจะแย่’ หรืออีกชื่อคือ ‘อยากจะบอกคุณเหลือเกิน’ อีกนะ’
ที่จริงตอนที่จะขึ้นรถเข็น ลู่จยาก็รู้สึกว่ามันขลุกขลักนิดหน่อยเพราะเธอใช้แรงขาได้แค่ข้างเดียว และการปีนขึ้นไปบนรถเข็นไม่ได้ง่ายๆ เหมือนปีนขึ้นเตียง มันยากมาก พอเธอปล่อยไม้ค้ำยันแล้วก็ทำได้แค่ยืนจ้องรถเข็นอย่างกลัดกลุ้ม
“เป็นอะไรไป ในรถเข็นมีดอกไม้หรือไง” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาส่ายหน้า เธอใช้มือลูบปลายคางตัวเอง “ฉันกำลังคิดว่าจะปีนเข้าไปยังไง”
“ง่ายจะตาย ผมอุ้มคุณเข้าไปยังไงล่ะ…” เฉิงอี้เหิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่ลู่จยาตกใจแทบตาย
พูดว่าอุ้มก็อุ้ม มันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นนะ!
แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็ยังเป็นคนโสด ถ้าสถานะยังไม่ได้ชัดเจนจะมาอุ้มมากอดกันในสถานที่สาธารณะคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง
ถึงเธอกับเฉิงอี้เหิงจะกอดกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็เถอะ แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าต้องถือสาเรื่องนี้ขึ้นมา ลู่จยาบ่นในใจอย่างงอนๆ เราไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะให้คุณมาอุ้มฉันง่ายๆ นะ
แต่เฉิงอี้เหิงไม่ได้รับรู้ความคิดของเธอ ในขณะที่ลู่จยากำลังคิดหนักอยู่นั้นเขาก็ดึงเอวของลู่จยาเข้าหาตัวเองแล้วอุ้มขึ้น ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องจบตัวเธอก็เข้าไปนั่งอยู่ในรถเข็นเรียบร้อยแล้ว
“คุณกลัวอะไร” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาค้อนเขาไปที “ไม่ได้กลัว”
ไม่ได้กลัว แต่เธอกำลังกังวลใจ
เธอกังวลว่าความรู้สึกของเธอจะไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น…กังวลว่าตัวเองจะมีจุดจบเหมือนกับตอนที่มีความรู้สึกให้กับเว่ยอิ้ง
หากดอกไม้มีความรู้สึกให้แต่สายธารไม่สนใจ สุดท้ายก็จะเป็นเพียงความผิดพลาด
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” เฉิงอี้เหิงไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ เขาเข็นรถไปที่แผนกของสด
เฉิงอี้เหิงให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของเธอมาก ทุกครั้งที่เขาหยิบอะไรขึ้นมาก็จะต้องถามว่ากินได้ไหม ชอบกินหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอชอบเขาถึงวางสิ่งนั้นลงในรถเข็น
การที่เขายิ่งใส่ใจเธอแบบนี้ แถมยังดูแลเธออย่างดียิ่งทำให้ลู่จยาไม่พอใจเท่าไหร่นัก เพราะนั่นแปลว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะยิ่งห่างกันออกไปราวกับว่าเขากำลังรักษามารยาทอยู่ หรือจะพูดอีกอย่างว่าเขากำลังแสดงความรับผิดชอบอยู่ก็ได้
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ลู่จยาถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
หลังกลับถึงบ้านลู่จยาก็ถือโอกาสตอนที่เฉิงอี้เหิงกำลังยุ่งอยู่ในครัวไปอัพเดตความรู้สึกและความสงสัยของเธอลงในกระทู้
ชาวเน็ตต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นปลอบใจเธอ
‘เจ้าของกระทู้อย่าสงสัยในความรู้สึกของตัวเองไปเลย! ถ้า ฉ. ไม่ชอบคุณ คิดกับคุณแค่คนไข้ธรรมดาๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องดึงคุณเข้าไปในชีวิตของเขาหรือเปล่า แล้วนี่เขายังพยายามเข้ามาในชีวิตของคุณอีก’
แต่ก็ยังมีชาวเน็ตที่พยายามทำลายความมั่นใจของเธออยู่ด้วย
‘ฉันมีความเห็นอยู่อย่างหนึ่ง มันออกจะน่ากลัวไปนิดนึงอ่ะนะ หรือว่าจะเป็นเพราะเคสของเจ้าของกระทู้เป็นเคสยากหรือเปล่า ฉ. คงอยากจะสังเกตทุกๆ ขั้นตอนในการผ่าตัด รวมไปถึงช่วงการฟื้นฟูหลังผ่าตัดด้วยก็เลยให้เจ้าของกระทู้มาอยู่กับเขาเพื่อจะได้เพิ่มประสบการณ์ตรงนี้ ข้อสันนิษฐานแบบนี้พอเป็นไปได้ไหม’
‘ฉันว่าเป็นไปได้นะ’
‘ไม่เอาสิ ฉ. กับเจ้าของกระทู้กำลังอยู่ในบรรยากาศสีชมพูนะ’
ลู่จยาอ่านหลายๆ ความคิดเห็นแล้วรู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดคอ จะคายก็คายไม่ออก มันค้างอยู่ที่คออย่างน่ารำคาญ จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะถูกก้างปลาตำคอจนตายเมื่อไหร่ก็ได้
ลู่จยาอารมณ์ไม่ดีสุดๆ จึงนอนแผ่ลงไปบนโซฟาเสียเลย จนกระทั่งตื่นขึ้นมาได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาบ่ายโมงตรง เฉิงอี้เหิงยุ่งจนเหงื่อออกเต็มหน้า แล้วในที่สุดเขาก็ยกอาหารจานสุดท้ายออกมาพร้อมส่งเสียงเรียก “คุณตื่นแล้วเหรอ รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะสิ ผมเห็นคุณนอนหลับเลยไม่ได้รีบทำเท่าไหร่ ไม่ทันดูเลยเวลาไปใช้นานขนาดนี้”
ลู่จยาก้มหน้ามองผ้าห่มบนตัวเธอ จำได้แม่นยำว่าตอนที่หลับไปนั้นไม่ได้ห่มผ้า ต้องเป็นเฉิงอี้เหิงที่กลัวว่าเธอจะหนาวแน่ๆ จึงเอาผ้ามาห่มให้ ลู่จยารู้สึกว่าในใจอบอุ่นขึ้นมา แต่ก็ยังสับสนอยู่ด้วย
“คุณหมอเฉิง” เธอเรียกเขาเต็มยศ “ทำไมคุณถึงดีกับฉันขนาดนี้”
เธอรู้สึกว่าในทีแรกที่เปิดกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ขึ้นมา มันยังมีความเป็นไปได้ว่าเฉิงอี้เหิงคงแอบชอบเธออยู่ถึงเจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ความเป็นไปได้นั้นลดต่ำจนเหลือแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ตอนนี้เธอค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางชาวเน็ตที่พยายามทำลายความมั่นใจของเธอแล้ว
บางทีเขาคงแค่อยากจะเป็นหมอที่ดี ทั้งหมดที่ทำมาแต่แรกคงเพราะอยากสังเกตผลการผ่าตัดคนไข้เท่านั้น
“อยู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ คุณมาอยู่ที่บ้านผมนานแล้วแต่เพิ่งรู้สึกละอายใจงั้นเหรอ” เฉิงอี้เหิงหยอกล้ออย่างอารมณ์ดีพร้อมกับจัดโต๊ะไปด้วย
หลังจากตักข้าวให้ลู่จยาแล้วเขาก็ส่งไม้ค้ำให้เธอ “ลุกเร็ว ไปล้างมือได้แล้ว คุณไม่หิวเหรอ ผมหิวจะแย่”
“ฉันไม่หิว” เธอเหยียดขาข้างที่เจ็บออกและนั่งทับข้างที่ไม่เจ็บเอาไว้ ลู่จยาเงยหน้ามองเฉิงอี้เหิงด้วยท่าทางดื้อดึง “ที่ฉันถามไปเมื่อกี้คุณยังไม่ได้ตอบเลย”
ตำแหน่งที่เฉิงอี้เหิงยืนอยู่นั้นสูงกว่าลู่จยามากทำให้เหมือนกำลังก้มมองเธออยู่ ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าลงเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกับเธอก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับมือของลู่จยาไว้
“คุณเป็นอะไร”
เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาในตัว แล้วอยู่ๆ เธอก็อยากร้องไห้ขึ้นมา
เฉิงอี้เหิงอ่อนโยนและเป็นคนดีพร้อมขนาดนี้ สุดท้ายแล้วเขาจะเป็นของใครกันนะ
แต่ยังไงซะก็คงไม่ใช่ของเธอแน่
ทว่าตอนนี้เธอก็ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาในช่วงระยะหนึ่ง ได้มีเขาอยู่ชีวิตของเธอ แม้มันอาจไม่นานนักแต่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เธอได้แต่คิดเช่นนี้
หัวใจของเธอได้ใส่เฝือกไว้เรียบร้อย หากเฉิงอี้เหิงมอบคำตอบที่เธอไม่อยากฟัง เธอก็จะยิ้มออกมาอย่างเบิกบานและทำเป็นไม่แคร์ก่อนจะแซวเขาว่า ‘ฉันแค่ล้อเล่น’ หลังจากนั้นก็จะเป็นเสียงหัวใจของเธอแตกสลายดังตามมา
เธอเตรียมพร้อมให้หัวใจแตกสลายแล้ว
เวลาที่คนเราบาดเจ็บร่างกายมีบาดแผลหนักก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอลงมาก พร้อมที่จะหลบหนีและไม่ยอมรับอยู่ตลอดเวลา
“เพราะคุณคู่ควรให้ผมทำดีด้วย”
คิดไม่ถึงว่าเฉิงอี้เหิงจะตอบแบบนี้ คำตอบของเขาเหมือนสายฝนที่อยู่ๆ ก็ตกมาในฤดูร้อน ทำให้อากาศอึดอัด ผู้คนต่างตั้งตัวไม่ทัน แม้ว่าจะรู้สึกเย็นลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอบอุ่น
จะพูดว่าเขากำลังหลบเลี่ยงเธออยู่ก็ได้
ลู่จยาไม่เชื่อว่านี่คือคำตอบจริงๆ จึงได้แต่ถอนหายใจ แผ่นหลังของเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา และเธอก็ไม่อยากจะซักไซ้เรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
ลู่จยาได้เตรียมคำพูดกลบเกลื่อนไว้ตั้งแต่แรกจึงตบไหล่ของเฉิงอี้เหิงแล้วพูดว่า “ฉันล้อเล่นน่ะ นี่รังเกียจที่ฉันมาเกาะคุณกินแล้วเหรอ ฉันรู้ เอาล่ะๆ ฉันไปล้างมือก่อน คุณกระเถิบไปหน่อย”
เฉิงอี้เหิงทำอะไรไม่ถูก เขายืนขึ้นแล้วหลีกทางให้ลู่จยาใช้ไม้ค้ำพยุงตัวไปล้างมือที่ห้องครัว
ลู่จยาเปิดก๊อกน้ำ ขณะที่มองดูสายน้ำไหลออกมาก็ราวกับได้ยินเสียงประกาศว่าการรบที่ไร้เสียงครั้งนี้เธอแพ้อย่างราบคาบ
คนเก่งทำอะไรก็ยอดเยี่ยมไปหมด ฝีมือการทำอาหารของเฉิงอี้เหิงนั้นดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ลู่จยาจึงกินข้าวรวดเดียวถึงสองชาม ทว่าขณะที่เธอคิดจะเติมข้าวอีกก็ถูกเขาแย่งชามไป
“ผมรู้สึกว่าคุณไม่ให้เกียรติฝีมือการทำอาหารของผม”
“อะไรนะ” ลู่จยาทำหน้าไม่เข้าใจจึงถามกลับทั้งๆ ที่ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
“เมื่อก่อนเวลาคุณกินอาหารที่ผมทำคุณจะค่อยๆ ชิมและพิจารณามัน แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าคุณแค่จะเติมให้เต็มท้องเท่านั้น”
เฉิงอี้เหิงสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว
แต่ลู่จยาก็สามารถแก้ปัญหาไปได้ทีละเปลาะ เธอใช้ตะเกียบชี้ไปที่นาฬิกาบนผนัง “เดี๋ยวนะพี่ชาย คุณไม่ดูล่ะว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ฉันน่ะหิวจนปวดท้องแล้วนะ!”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกล่ะ ยังจะนอนหลับอยู่อีก”
“นี่ก็เหมือนกับหนูน้อยขายไม้ขีดไฟน่ะ การนอนหลับเป็นการหลอกตัวเอง สร้างจินตนาการว่ามีอาหารน่ากินมากมายอยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็จะไม่รู้สึกหิว…” ลู่จยาเริ่มพูดยืดยาว
เฉิงอี้เหิงใช้ปลายตะเกียบจิ้มไปที่แก้มของเธอก่อนจะตักข้าวชามที่สามส่งให้ “คุณเป็นคนป่วยคนสำคัญที่สุด แต่คุณจะกินข้าวชามที่สี่ไม่ได้แล้วนะ ผมไม่อยากจะเลี้ยงคุณให้เป็นจู๋เก้อจยาหรอกนะ”
“จู๋เก้อจยาอะไร”
พอเฉิงอี้เหิงออกเสียงคำว่า ‘จู๋เก้อจยา’ ทีละคำลู่จยาก็เข้าใจในทันที…ที่แท้เขากำลังว่าเธออ้วน เธอแทบจะโยนตะเกียบทิ้งทันทีแล้วลุกไปหยิบไม้ค้ำมาฟาดเขา
“ฉันยอมเป็นคนอ้วนที่มีความสุข”
“คนผอมก็มีความสุขได้ ทำไมถึงต้องเป็นคนอ้วนด้วย” เฉิงอี้เหิงถามอย่างไม่เข้าใจ
“คุณไม่ต้องมาสนใจ!” ลู่จยาเชิดหน้า ตอบกลับด้วยเสียงขึ้นจมูก
มื้อนี้ถือว่ากินอย่างมีความสุข หลังจากรับประทานอาหารเสร็จลู่จยาก็ลุกขึ้นช่วยเก็บโต๊ะและบอกว่าจะเป็นคนล้างจาน
เฉิงอี้เหิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เห็นด้วย
“จะให้ผมเลี้ยงดูคุณเฉยๆ คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ อย่างน้อยคุณทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แบ่งเบาภาระบ้างก็ดี”
จนกระทั่งลู่จยาเก็บถ้วยชามเตรียมจะล้างจานถึงได้เห็นว่าคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงมีเครื่องล้างจาน นั่นหมายความว่าเจ้าเครื่องน่ารังเกียจนี้ได้แย่งโอกาสเดียวที่เธอมีในการเป็นแม่บ้านไปเรียบร้อยแล้ว
ลู่จยาโมโหจนเกือบจะยกขาถีบเครื่องล้างจานแล้ว
แต่ก็พบความจริงที่แสนเศร้าว่าเธอไม่อาจจะยกขาขึ้นมาได้…
นี่ทำให้เธอเสียใจนัก
“เฉิงอี้เหิง!!” ลู่จยาตะโกนเสียงดังจากห้องครัว
เฉิงอี้เหิงรีบวิ่งเข้ามา “เป็นอะไร”
“คุณมีเครื่องล้างจานแล้วให้ฉันล้างจานอีกทำไม นี่แกล้งฉันใช่ไหม”
“คุณลู่จยา” เฉิงอี้เหิงยืนพิงกับขอบประตูห้องครัว ใช้นิ้วนวดขมับของตัวเอง “ผมจำได้ว่าคุณบาดเจ็บที่ขานะ ไม่ใช่ที่สมอง ถูกไหม”
“ถูกต้อง แล้วยังไงล่ะ” ลู่จยาไม่ยี่หระ
“ใครบอกว่ามีเครื่องล้างจานแล้วไม่ต้องล้างจานด้วยมืออีกล่ะ” เฉิงอี้เหิงพูดขึ้น
“แบบนี้…มันไม่เปลืองแรงรึไง”
“ก็ผมชอบให้คุณใช้แรงไงล่ะ” เฉิงอี้เหิงตอบกลับอย่างรวดเร็วซ้ำยังดูลำพองใจอีกด้วย
ท่าทางดูลำพองใจแบบนั้นของเขาดูน่ารักมากในสายตาของเธอ โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดคำว่า ‘ชอบ’ เธอได้ยินเข้าก็ใจเต้นรัวจนใบหูเริ่มร้อน
“คุณ…คุณอย่าเข้าใจผิดนะ” เฉิงอี้เหิงเห็นลู่จยาหน้าแดงจึงรีบอธิบาย
ลู่จยารู้สึกอายมากจึงได้ตะโกนกลับไป “ใครไปเข้าใจผิดล่ะ! ฉันแค่รู้สึกร้อนๆ คุณรีบออกไปเลย คุณชอบใช้แรง แต่ฉันไม่ได้ชอบ!”
แล้วเธอก็เอาชามใส่เข้าไปในเครื่องล้างจาน เรียงจนเรียบร้อยจากนั้นก็กดปุ่ม “นี่ถือว่าฉันล้างจานด้วยตัวเองแล้วนะ!”
เฉิงอี้เหิงส่ายหน้าพร้อมยกนิ้วโป้งให้เธอ “ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าผมสั่งอาหารมาก็ถือว่าผมทำอาหารเองสินะ?”
“ได้ยังไง?!”
“ก็ผมเป็นคนสั่งเองไงล่ะ”
“ไปตายซะ!” ในที่สุดลู่จยาก็ยกเท้าขึ้นแล้วสะบัดรองเท้าแตะออกไป
เฉิงอี้เหิงหลบอย่างว่องไว เขาเก็บรองเท้าแตะแล้วมาคุกเข่าช่วยเธอสวม ลู่จยาก้มหน้าลง เธอมองเห็นท้ายทอยของเฉิงอี้เหิงพลันนั้นก็รู้สึกว่าเขาน่ารักไปทั้งตัว แม้กระทั่งท้ายทอยก็ยังทำให้คนชอบได้
“ฉันอยากจะดูการแข่งขัน”
“งั้นผมดูเป็นเพื่อน ผมมีเวลาพอดี”
พวกเขาเปิดดูการแข่งขันรถเอฟวันชิงถ้วยที่ออสเตรเลีย นักแข่งที่อยู่ด้านหน้าควบคุมจังหวะไว้ได้เป็นอย่างดี การแข่งขันครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น นักแข่งรถโชว์ฝีมือกันได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกได้ว่านี่เป็นการแข่งที่ทำให้คนดูตื่นเต้นมาก
ดูไปได้ครึ่งทางเฉิงอี้เหิงก็ลุกออกไปรับโทรศัพท์ เมื่อเดินกลับมาเขาก็พูดกับลู่จยาขึ้นว่า “คืนนี้ถ้าคุณยังมีแรงก็อุ่นกับข้าวกินเองนะ ถ้าไม่อยากอุ่นอาหารก็สั่งอาหารหรือออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้ พอดีทางโรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่ามีเคสด่วน ผมต้องรีบกลับไป”
ลู่จยาที่ถือรีโมตอยู่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “ไปเถอะๆ ฉันเข้าใจ ฉันโตขนาดนี้แล้วคุณไม่ต้องกังวลใจไปหรอก”
“คุณรู้ตัวด้วยเหรอว่าโตแล้ว เห็นยังทำตัวให้คนเขาเป็นห่วงทั้งวัน” ขณะที่พูดเฉิงอี้เหิงก็จ้องไปที่ดวงตาบวมๆ ของเธอ
ดวงตาของลู่จยาดีกว่าเมื่อวานมากแล้ว มองๆ ไปก็ให้ความรู้สึกเหมือนนัยน์ตาแมว
เธอโดนเขาจ้องขนาดนี้ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก “ไม่ต้องมองแล้ว”
เฉิงอี้เหิงบีบไหล่ลู่จยาแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อวานขึ้นอีกแล้วผมไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณ คุณจะต้องยอมไว้ก่อน ไม่ว่ายังไงชีวิตก็สำคัญกว่าอย่างอื่นเข้าใจไหม”
ลู่จยาพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เฉิงอี้เหิงกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแล้วรีบออกจากบ้านไป หัวใจของลู่จยารู้สึกหนักอึ้งตามเสียงประตูที่ปิดลง เธอตบไปที่หัวของตัวเองเบาๆ สงสัยช่วงนี้ตัวเองว่างมากเกินไปถึงได้มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน
ลู่จยาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ทีแรกเธอคิดจะตรวจสอบสาเหตุการตายของฮว่าถิง แต่ไม่คิดว่าจะยุ่งวุ่นวายจนลืมไปสนิท
เธอคิดว่านายตำรวจเหลิ่งอุตส่าห์รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะก็คงจะตรวจสอบคดีจนรู้ความจริง ทว่าเวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเอ้อระเหยและหายตัวไป เหลือทิ้งไว้แค่ช่องทางการติดต่อเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาเธออีกเลย
ในเมื่อนายตำรวจเหลิ่งไม่มาหาเธอ เธอก็จะไปทักทายนายตำรวจเหลิ่งเอง
ลู่จยาจองรถจากทางอินเตอร์เน็ต เดินทางตรงไปยังสถานีตำรวจที่นายตำรวจเหลิ่งประจำอยู่ หลังลงจากรถเธอก็ใช้ไม้ค้ำพยุงตัวขึ้นบันไดไป ตรงหน้าประตูมีป้ายแขวนไว้ว่า ‘หน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน’
เจ้าหน้าที่สวมปลอกแขนสีแดงหลายคนเห็นเธอก็รีบเข้ามาช่วยพยุง “คุณผู้หญิงมาดำเนินเรื่องหรือว่ามาแจ้งความ เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกแบบนี้ให้เราประคองคุณไปดีกว่า คุณต้องการพบตำรวจคนไหน”
“นายตำรวจเหลิ่ง”
“พอดีเลย ที่นี่มีนายตำรวจชื่อเหลิ่ง เราจะพาคุณไปพบเขาเอง”
ลู่จยาตกใจที่เธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแตกต่างกับคราวที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
จากการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่สองคนในหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนทำให้ลู่จยาตามหานายตำรวจเหลิ่งได้สำเร็จ
นายตำรวจเหลิ่งจำลู่จยาได้ทันที เขายังคงมีท่าทีรู้สึกผิดเหมือนเคย “คุณลู่ พวกเรากำลังตรวจสอบคดีของคุณกันอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้คดีมีเยอะมากจริงๆ เลยช้ากว่าที่ควร”
“นายตำรวจเหลิ่งคุณควรเอาใจใส่คดีกว่านี้หน่อยนะคะ ถ้ายังยืดเยื้อแบบนี้ฉันจะต้องทนรับคำด่าไปอีกนานแค่ไหน แล้วนี่มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม” ลู่จยาสอบถาม
นายตำรวจเหลิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นว่า “จะว่ามีก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะบอกคุณครับ”
“เพราะอะไร ฉันเป็นผู้เสียหายนะ”
“ก็เพราะผู้เสียหายไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นด้วยครับ ตอนนี้จึงเปิดเผยไม่ได้”
“แล้วตอนไหนถึงจะเปิดเผยได้”
“คงต้องรอพวกเราตรวจสอบคดีให้ชัดเจนก่อน หรือถ้าระหว่างนั้นต้องการความร่วมมือจากคุณ ผมจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง”
“คุณตำรวจเหลิ่งหมายความว่าระหว่างนี้ฉันต้องอยู่เฉยๆ ให้คนด่าต่อไปงั้นสิ” ลู่จยาพูดอย่างโกรธๆ
นายตำรวจเหลิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก เขามีท่าทางลำบากใจมาก จริงๆ แล้วเขาอายุมากกว่าลู่จยาไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยสนิทกับลู่จยานั้นเมื่อต้องเจอท่าทางกดดันของเธอก็อดจะเกร็งๆ ไม่ได้
“คุณลู่…” นายตำรวจเหลิ่งพยายามจะอธิบาย
ทว่าลู่จยากลับดีดนิ้วเสียงดังขัดจังหวะคำพูดของนายตำรวจเหลิ่งแล้วใช้ไม้ค้ำดันตัวเองลุกขึ้นยืน
ขณะที่ลู่จยากำลังจะลงบันไดก็มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนเดินเข้ามาประคองช่วยพาเธอลงไป พอเดินมาครึ่งทางลู่จยาก็คิดอะไรบางอย่างออกจึงหันไปถามกับเจ้าหน้าที่ “เอ่อ พวกคุณสามารถถูกแจ้งร้องเรียนได้ไหม”
“คุณจะร้องเรียนใครล่ะ”
“ก็นายตำรวจเหลิ่งคนนั้นไง ทำงานไม่ได้เรื่อง”
“ได้สิ”
ลู่จยานึกอยากเกเรสักครั้ง ได้แกล้งนายตำรวจเหลิ่งนั่นก็น่าสนุกดี
เมื่อมองไปก็จะเห็นว่าตอนนี้แผ่นหลังของลู่จยาที่กำลังเดินจากไปดูไม่อมทุกข์เท่าไหร่แล้ว
สามวันต่อมาลู่จยามีนัดไปถอดเฝือก เมื่อถอดออกเรียบร้อยแล้วเธอกับเฉิงอี้เหิงก็ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในขณะที่กินอยู่นั้นเองก็ได้รับสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูร้อนรน
“คุณลู่! ทำไมคุณถึงได้…”
เมื่อได้ยินเสียงลู่จยาก็รู้ทันทีว่าเป็นนายตำรวจเหลิ่งที่ถูกเธอกลั่นแกล้งเมื่อหลายวันก่อน “คุณตำรวจเหลิ่งนี่เอง สืบคดีไปถึงไหนแล้วล่ะคะ”
นายตำรวจเหลิ่งอึดอัดมาก “ที่ผมบอกคุณได้ก็คือเรากู้ภาพในกล้องวงจรปิดคืนมาได้ส่วนหนึ่ง และพบว่าหลังจากฮว่าถิงเห็นคุณชนเข้ากับสิ่งกีดขวางก็ชะลอความเร็วลงจริงๆ”
“แล้ว…” ลู่จยาเอาลำโพงโทรศัพท์ขยับเข้าใกล้หูอีกนิดด้วยกลัวว่าจะได้ยินอะไรตกหล่นไป
“ไม่มีแล้ว” นายตำรวจเหลิ่งพูด “ตอนนี้กู้คืนมาได้เพียงแค่นี้”
ลู่จยานึกอยากจะเตะโต๊ะแต่ต้องห้ามใจไว้ด้วยกลัวว่าเตะไปขาจะเจ็บอีกครั้ง
พอวางสายเฉิงอี้เหิงก็ถามขึ้นว่าเธอเป็นอะไร ลู่จยาก็เล่าสิ่งที่นายตำรวจเหลิ่งบอกเธอให้เฉิงอี้เหิงฟังอย่างไม่ปิดบัง “ไม่รู้ว่าพวกตำรวจทำงานกันยังไง ตรวจสอบกันไปเดือนกว่าแต่ที่ตรวจสอบได้มีแต่เรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้ว เอาเถอะก็ยังดี อย่างน้อยมันก็ช่วยพิสูจน์ได้ว่าฉันไม่ได้โกหก”
“ฮว่าถิงเขา…” เฉิงอี้เหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ลดความเร็วรถแล้วจริงๆ เหรอ”
“ภาพในกล้องวงจรปิดคงไม่โกหกใคร ก่อนที่ฉันจะหมดสติฉันเห็นเธอลดความเร็วลงจริงๆ ทีแรกยังคิดว่าเป็นเพราะฉันชนเข้าอย่างรุนแรงถึงได้เห็นภาพที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง ไม่รู้ว่าฮว่าถิงคิดอะไรอยู่ แต่เราก็ยังสรุปอะไรไม่ได้ เฮ้อ นี่ทำเอาฉันไม่มีอารมณ์กินข้าวเลย” ลู่จยาตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางเซ็งๆ ไม่มีความอยากอาหารหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
เฉิงอี้เหิงกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเขาก็รีบกลับไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลต่อ ส่วนลู่จยาเรียกรถกลับไปยังคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงด้วยตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงคอนโดฯ ลู่จยาก็รู้สึกหงุดหงิด จิตใจของเธอไม่สงบจึงล้มตัวลงนอนที่โซฟาแล้วเริ่มฟัง ‘บทสวดเจ้าแม่กวนอิม’ แต่ฟังแล้วไปครึ่งชั่วโมงก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจเธอสงบลงได้เลย
ลู่จยาตัดสินใจว่าต้องหาอะไรทำสักอย่าง ถ้ามีอะไรทำก็คงไม่หงุดหงิด
เธอเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วใช้คีย์เวิร์ดว่า ‘ว่างไม่มีอะไรทำ จะทำอะไรได้บ้าง’ เพื่อค้นหาคำแนะนำ หาอยู่นานก็เจอที่ชาวเน็ตผู้แสนฉลาดปราดเปรื่องให้คำแนะนำไว้ว่า
หนึ่ง อ่านหนังสือ ในหนังสือมีทองคำ ในหนังสือมีของล้ำค่า เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
สอง ทำความสะอาดห้อง ถ้าไม่รู้จักทำความสะอาด แผ่นดินจะสะอาดได้อย่างไร ทำความสะอาดห้องให้สะอาดหมดจด จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็จะรู้สึกสบายหูสบายตา
สาม เล่นเกม ในชีวิตจะต้องมีอะไรสักอย่างที่หลงใหล
สี่ ออกกำลังกายหรือลดความอ้วน ควบคุมตัวเอง วันละเวลาก็ไม่แย่สักเท่าไหร่
ลู่จยาพิจารณาตามสภาพร่างกายในตอนนี้ของตัวเองแล้ว ดูเหมือนจะมีเพียงข้อหนึ่งและข้อสามที่จะเป็นไปได้มากหน่อย แต่เธอไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนทั่วไป เธอมีความสุขกับการท้าทายตัวเองจึงเลือกข้อที่สอง นั่นคือทำความสะอาดเก็บกวาดห้อง
ตัดสินใจแล้วลู่จยาก็พยุงตัวด้วยไม้ค้ำลากขาที่เพิ่งถอดเฝือกได้ไม่นานเดินไปเตรียมอุปกรณ์ เธอดึงแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะทำความสะอาดคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงครั้งใหญ่
เมื่อหยิบจัดอุปกรณ์ทำความสะอาดเรียบร้อย เธอก็สวมถุงมือยาง หมวกคลุม และผ้ากันเปื้อน กำหมัดถูไปที่ฝ่ามือเตรียมตัวจะทำงานใหญ่
อย่างแรกเธอเตรียมน้ำสะอาดมาหนึ่งถังแล้วเทน้ำยาทำความสะอาดลงไปครึ่งขวด ตั้งใจจะทำความสะอาดชั้นวางเหล้าและชั้นวางหนังสือ รวมถึงตู้วางทีวีในคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง สรุปง่ายๆ คือเธอจะเช็ดฝุ่นออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ลู่จยาลืมไปว่าตัวเองเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก เธอถือถังน้ำที่มีฟองเต็มไปหมดเดินไปได้ครึ่งทางน้ำก็กระฉอกออกมาเล็กน้อย เธอไม่ทันระวังจึงเหยียบเข้าแล้วก็ลื่นไถลเพราะทรงตัวไม่อยู่ มือที่จับถังน้ำไว้ก็ต้องปล่อยออก ถังน้ำพลาสติกสีเหลืองอ่อนล้มคว่ำลงกับพื้น น้ำที่เป็นฟองฟอดไหลออกจากถังเจิ่งนองไปทั่วพื้นห้อง
ลู่จยามองพื้นที่เต็มไปด้วยฟองสีขาว แม้ใจจะร้องโอดครวญแต่เธอก็คิดหาวิธีจัดการได้ทันที ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ถูพื้นก่อนเลยแล้วกัน
ลู่จยาเดินกะโผลกกะเผลกไปที่ระเบียงเพื่อหยิบไม้ถูพื้น เธอพยายามใช้ไม้ค้ำพยุงตัวให้ยืนได้ด้วยความยากลำบากแล้วถูพื้นที่เต็มไปด้วยฟองหลายรอบจนหมดแรง เธอรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่พื้นคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงไม่ได้เป็นพื้นไม้ ไม่อย่างนั้นโดนแช่น้ำแบบนี้มันคงต้องพองแน่ๆ
ทำความสะอาดพื้นที่เต็มไปด้วยฟองเรียบร้อยลู่จยาก็เหนื่อยจนปวดเอวปวดหลังไปหมด แต่ชั้นวางของต่างๆ ยังไม่ได้เริ่มเช็ดทำความสะอาดเธอจึงได้แต่เดินกลับไปที่ห้องน้ำเพื่อเติมน้ำมาอีกถังแล้วเทน้ำยาทำความสะอาดใส่เข้าไปเท่าๆ กัน
กว่าเธอจะถือถังน้ำเดินกลับเข้ามาที่ห้องรับแขกได้ก็ผ่านมายี่สิบนาทีแล้ว
โบราณว่าไว้ ‘ทำอะไรควรทำให้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก หากทิ้งไว้ยืดเยื้อก็ยากจะสำเร็จ’ ลู่จยาจึงใช้ความพยายามที่เหลืออยู่ก้มตัวลงไปบิดผ้าขี้ริ้ว
แล้วเธอก็ได้ยินเสียงดัง ‘กึก’
เอวเคล็ดแล้ว
เธอขยับตัวไม่ไหวแล้ว
ลู่จยาต้องพยุงตัวเองไปที่ชั้นวางเหล้าเพื่อพักอยู่ครู่หนึ่งถึงมีแรงยืดตัวขึ้นมาได้ ในตอนนี้เธอนั่งหมดสภาพอยู่บนโซฟา แต่พักอยู่นานมากก็ยังหอบไม่หยุด ต้องยอมรับเลยว่าตอนนี้สภาพร่างกายไม่เหมือนเก่า
เธอพักจนพอ และเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตั้งใจจะทำนั้นยังไม่เสร็จจึงรีบลุกขึ้นไปยกถังน้ำพร้อมเรียกพลังเตรียมตัวมาทำความสะอาดต่อ
เธอนำผ้าขี้ริ้วชุบน้ำจนเปียก คราวนี้ก้าวแรกเป็นไปอย่างราบรื่นเธอสามารถทำความสะอาดชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นวางเหล้าได้อย่างหมดจด ลู่จยาเขยกตัวด้วยความตื่นเต้นและอยากจะลองทำต่ออีก เธอเตรียมตัวจะทำความสะอาดชั้นที่สูงขึ้น แต่เพราะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมเธอจึงต้องขยับตัว พอขยับแล้วไม้ค้ำก็ขยับตามไปด้วย ทว่าเพราะออกแรงมากเกินไปไม้ค้ำจึงไปกระแทกโดนถังน้ำหกอีกครั้ง ส่วนเธอที่ยืนได้ไม่มั่นคงก็เลยลื่นไถลไปนั่งกองอยู่กลางแอ่งน้ำบนพื้นห้อง
ลู่จยาคิดจะลุกขึ้นแต่ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงแล้ว พยายามลุกยังไงก็ไม่ไหว
เฉิงอี้เหิงเลิกงานกลับมาถึงคอนโดฯ ก็ได้เห็นสภาพที่อเนจอนาถของลู่จยา
เขารีบตรวจดูว่าลู่จยาบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากเขาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เฉิงอี้เหิงดึงตัวเธอขึ้นมาจากพื้น แต่ดึงอยู่หลายครั้งถึงรู้ว่าเธอลุกขึ้นเองไม่ไหว เขาจึงได้แต่ก้มตัวลงแล้วอ้อมมือไปทางด้านหลังของลู่จยากอดเอวของเธอเอาไว้แล้วออกแรงอุ้มขึ้นมา
แผ่นหลังของลู่จยาเต็มไปด้วยฟองและเปียกชื้นไปหมด เธอกลัวว่าจะทำให้เฉิงอี้เหิงเปียกไปด้วยจึงพยายามขัดขืน “อย่านะ! ให้ฉันยืนขึ้นได้ก็พอ เดี๋ยวเสื้อผ้าคุณจะสกปรกไปด้วย”
“ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ดี” เฉิงอี้เหิงอุ้มลู่จยาเข้าไปในห้องน้ำแล้ววางเธอลงไปในอ่างอาบน้ำโดยไม่ได้ลังเล “คุณอาบน้ำก่อน เดี๋ยวผมไปหยิบเสื้อผ้ามาให้”
“เดี๋ยวก่อน!” ลู่จยาตะโกนเรียกเฉิงอี้เหิงไว้
เฉิงอี้เหิงหันกลับมาถาม “มีอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่า…เปล่า” ลู่จยาส่ายหน้าพรืด คำพูดซึ่งจ่ออยู่ที่ริมฝีปากเป็นอันต้องกลืนกลับลงไป
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ ผมไม่หัวเราะคุณหรอก” เฉิงอี้เหิงบอก
“ฉัน…งี่เง่ามากเลยใช่ไหม” ลู่จยาลองถามออกไปพร้อมก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะ ที่ทำบ้านคุณเละเทะอย่างนี้ ฉันแค่อยากจะทำความสะอาดให้เรียบร้อยเท่านั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉิงอี้เหิงกระตุกยิ้มมุมปาก “คุณมีน้ำใจก็พอแล้ว แต่ว่าทุกคนบนโลกนี้ต่างก็มีความถนัดของตัวเอง เหมือนกับที่คุณมีความเชี่ยวชาญในการแข่งรถ ส่วนผมเป็นหมอก็มีความถนัดในการรักษาคนไข้ ทุกอาทิตย์จะมีพนักงานจากบริษัททำความสะอาดมาทำความสะอาดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นคุณไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้หรอก”
เฉิงอี้เหิงใช้น้ำเสียงอบอุ่นมากในการอธิบาย แต่ใจของลู่จยายังรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ การแข่งรถเป็นความถนัดของเธอในอดีต แล้วตอนนี้เธอมีความถนัดอะไรบ้างล่ะ
หรือจะถนัดการทำลายข้าวของ
เพราะเธอทำพังไปซะทุกอย่าง
ยิ่งเฉิงอี้เหิงมาพูดแบบนี้ ลู่จยายิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์
แล้วคนที่ไม่มีประโยชน์ใกล้จะเป็นขยะอย่างเธอทำไมถึงได้รับการเอาใจใส่จากเฉิงอี้เหิงเช่นนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ
เฉิงอี้เหิงเห็นลู่จยาเหม่อลอยจึงพูดขึ้น “คุณรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ สวมชุดเปียกชื้นนานๆ จะเป็นหวัดเอาได้นะ”
เมื่อได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงปิดประตูห้องน้ำ ลู่จยาก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอหนักอึ้ง
ลู่จยาถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก เปิดน้ำร้อนแล้วมองน้ำในอ่างอาบน้ำค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงไปจนน้ำไหลล้นออกมาบางส่วน แล้วเธอก็ค่อยๆ จมดิ่งลงไปในน้ำทั้งตัว
แรงดันของน้ำผลักเธอขึ้นมาบนผิวน้ำ
อ่างอาบน้ำของเฉิงอี้เหิงค่อนข้างใหญ่ลู่จยาสามารถยืดขาออกไปก็ยังไม่ถึงขอบอ่าง เธอช่างเหมือนกับถังน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล ล่องลอยไปตามสายน้ำ
ล่องลอยอยู่ครู่ใหญ่ลู่จยาก็มองท้องน้อยของตัวเอง เธอใช้มือยันไปที่ก้นอ่างแล้วลุกขึ้นนั่ง บ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่ฉันอ้วนขนาดนี้เลยเหรอ แต่ทำตัวเองแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาถอนหายใจอะไรอีก”
เธอรีบอาบน้ำให้เสร็จ แต่ถึงเฝือกที่ขาจะถูกถอดออกแล้วทว่าเธอก็ยังไม่สามารถเดินได้ตามปกติเท่าไหร่นัก ลู่จยาจึงต้องคว้าราวจับที่ก่อนหน้านี้เฉิงอี้เหิงติดตั้งไว้ให้ตรงข้างอ่างอาบน้ำเพื่อดึงตัวให้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ
ด้านนอกของพื้นที่วางอ่างอาบน้ำมีม่านกั้นอยู่ เมื่อดึงม่านออกเธอก็เห็นเสื้อผ้าของตัวเองซึ่งพับไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่บนเก้าอี้ แล้วเธอก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเธอก็นำเสื้อผ้าที่เปียกโยนใส่ไว้ในเครื่องซักผ้า ฟังเสียงเครื่องซักผ้าหมุนอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงอี้เหิงก็เข้ามาเคาะประตูส่งเสียงถาม “คุณซักเสื้อผ้าเหรอ”
ลู่จยาเปิดประตูออกทั้งที่ผมยังเปียกอยู่ บนไหล่ของเธอมีผ้าขนหนูพาดไว้ ขณะที่มือทั้งสองข้างกางวางอยู่บนเครื่องซักผ้า เธอกำลังมองเครื่องซักผ้าหมุน
“ยืนดูวิวหรือไง” เฉิงอี้เหิงเอนตัวพิงกับขอบประตูเอ่ยถาม
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นพร้อมเช็ดผมที่เปียกไปด้วย “ถูกต้อง ถึงจะช่วยคุณทำอะไรไม่ได้ แต่เรื่องของตัวเองก็ควรจะทำเองบ้าง”
“แต่…แต่นี่เป็นเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ คุณโยนเสื้อผ้าเข้าไปก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” เฉิงอี้เหิงพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“แต่…แต่…” ลู่จยาเลียนแบบน้ำเสียงของเขา “ถ้าไม่เฝ้ามันไว้ ฉันก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำ”
“ผมคุณยังไม่ได้เป่าเลย มานี่ ผมช่วยคุณเป่าผมดีกว่า” เฉิงอี้เหิงเสนอ
“หา?” ลู่จยาไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนหนึ่งจะเป่าผมให้ผู้หญิงคนหนึ่ง นอกเสียจากว่าเป็นช่างทำผมกับลูกค้าแล้ว นี่ก็น่าจะเป็นการกระทำของคนที่มีใจให้ทำกันสินะ
“คุณไม่สะดวกใจหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงถาม
“ที่ไม่สะดวกคือขาของฉันต่างหาก”
“งั้นผมจะช่วยคุณเป่าผม คุณทำให้ผมสมหวังได้ไหม”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากลู่จยาได้ เธอดึงผ้าขนหนูที่อยู่บนหัวลงมาพาดไว้ที่แขน “ถ้างั้นก็ตามนั้นเลย”
เฉิงอี้เหิงหยิบไดร์เป่าผมออกมา ส่วนลู่จยานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกอย่างเรียบร้อย เธอตั้งตารอคอยเหมือนลูกแมวกำลังรอเจ้าของมาเกาขนให้ แพทย์หนุ่มเสียบปลั๊กไดร์เป่าผมแล้วหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้ตรงโซฟาขึ้นมา เขาช่วยเช็ดผมให้ลู่จยาก่อนแล้วจึงถามขึ้น “ทำไมผมคุณถึงยังมีน้ำหยดอยู่อีก”
“อ้อ…ฉันลืมเช็ดน่ะ”
“คุณนี่ลืมได้ทุกอย่างเลยนะ”
จริงๆ คือเธอไม่ได้ลืมเช็ด แต่ขี้เกียจจะเช็ด
หลังจากเช็ดผมให้เธอจนหมาด เฉิงอี้เหิงก็หยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าผมให้ลู่จยาอย่างอ่อนโยน ท่าทางของเขาเป็นมืออาชีพมาก เขาเริ่มเป่าจากปลายผมของเธอด้วยลมร้อนที่ปรับไว้ได้กำลังดี อีกทั้งมือของเขายังเบามากเหมือนมีคนกำลังนวดศีรษะให้เธอเบาๆ ลู่จยารู้สึกสบายจนอยากจะหลับ
เมื่อรู้สึกผ่อนคลายตรงหน้าของลู่จยาก็ราวกับว่ามีประตูบานหนึ่งเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแสงสว่าง แล้วเฉิงอี้เหิงก็ยืนรอเธออยู่ที่ปลายแสงสว่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามออกไปโดยไม่ได้คิด “คุณหมอเฉิงที่คุณดีกับฉันแบบนี้ อ่อนโยนกับฉันแบบนี้ คุณชอบฉันหรือเปล่า”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)
Comments
comments
No tags for this post.