X
    Categories: Miracle··· ปาฏิหาริย์นี้แด่เธอความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Miracle… ปาฏิหาริย์นี้แด่เธอ บทที่ 4-บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4 เรื่องวุ่นของคนดัง

ใช่ว่าจะไม่ชินกับการถูกมอง ก็คนมันสวยมาตั้งแต่เกิดซะขนาดนี้ ย่อมจะเคยถูกมองจนเหลียวหลังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์… ไม่สิ ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยสาว แต่การโดนมองพร้อมกับซุบซิบนินทาเหลียวหน้าแลหลัง แล้วก็ทำท่าชี้โบ๊ชี้เบ๊อะไรแบบที่เห็นอยู่นี้ฉันยังไม่เคยเจอมาก่อน แล้วฉันก็ไม่ชอบมันเลย จะให้ทำท่าชินเหมือนเควินกับเจอเรมี่คงเป็นไปไม่ได้

ต้ากับฝ้ายคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็น เพราะฉันต้องทนเดินตามหลังทั้งสองคนที่ขนาบข้างเควินอยู่ แล้วก็มีเจอเรมี่คอยชวนคุยอยู่ข้างๆ ไม่หยุดจนฉันเริ่มมึนไปหมด

วันนี้ฉันแทบไม่ได้คุยกับเควิน แต่ก็แอบชำเลืองไปทางเขาเป็นระยะ ใจเต้นแรงที่ได้เห็นเขาในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาสวมแว่นสายตา ผมไม่ได้จัดทรง ใส่เสื้อยืดกางเกงยีน ลากรองเท้าแตะแบบสวมเหมือนเด็กวัยรุ่น สะพายกระเป๋าใบโต คงจะจริงที่เจอเรมี่บอกว่าเขาบังคับเควินให้มาเป็นเพื่อนทั้งที่เควินอยากพักผ่อนมากกว่า นานๆ ครั้งเขาจึงมีวันหยุดแสนสบายแบบนี้ แล้วจริงๆ เขาก็ไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่าน น่าสงสารจัง…

แม้ว่าฉันจะบื้ออยู่บ้าง แต่พอจะดูออกว่าการมาเจอเควินกับเจอเรมี่วันนี้เป็นแผนของต้ากับฝ้าย รวมทั้งเจอเรมี่ด้วย ถึงจะลงทุนขนาดนี้แต่ดูแล้วเจอเรมี่ก็คงไม่ได้จะอะไรกับฉันนัก แต่ฉันนี่สิต้องมาทนมองเควินที่โดนต้ากับฝ้ายยึดเอาไว้ตลอดเวลาแบบนี้ ส่วนฉันก็ต้องกลายเป็นเพื่อนคุยของเจอเรมี่ไปโดยปริยาย ฉันกำลังพยายามเลิกคิดถึงเควินอยู่ก็จริง แต่การที่ต้องมาควงน้องชายเขาแล้วมองเขาอยู่กับสาวอื่นแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ

ตอนแรกดูเหมือนเควินจะหงุดหงิดที่ถูกบังคับให้มาด้วย แต่คงเพราะเขาไม่อยากให้พวกเราอึดอัด จึงพยายามทำตัวปกติ เจอเรมี่คงเป็นน้องเล็กที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยเลยทำแบบนี้ น่าสงสารเควินจัง…

หลังจากดูหนังพวกเราก็ไปทานพิซซ่า วันหยุดแบบนี้คนเยอะแทบทุกร้าน ที่เลือกร้านพิซซ่าเพราะเหลือที่นั่งด้านในว่างอยู่ ซึ่งค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ฉันได้ที่นั่งตรงข้ามเควินพอดี ส่วนเจอเรมี่ก็นั่งข้างพี่ชายเขา ไปๆ มาๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกละอายแก่ใจในสิ่งที่ตัวเองคิดเกี่ยวกับเควิน… พอเกิดความคลั่งไคล้ไม่ได้สติก็หลงคิดว่าตัวเองกำลังมีความรัก คิดว่านั่นคือการตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วล่าสุดก็ทำทีเหมือนคนอกหัก แล้วก็พยายามตัดใจ ทำเหมือนตัวเองเจ็บปวดแสนสาหัสกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

เควินเป็นกันเองกับฉันด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่แรกเจอ เขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เขายิ้มและพูดคุยทักทายฉันอย่างสุภาพแบบเสมอต้นเสมอปลาย แต่ฉันดันเก็บเอาเขาไปคิดเพ้อเจ้อ แล้วก็ไปรู้สึกแบบนั้นกับเขาได้… หน้าไม่อายจริงๆ เควินน่าสงสารมากเลย

เอ๊ะ… แล้วทำไมฉันถึงเอาแต่คิดว่าเควินน่าสงสารอยู่ได้ ทั้งที่คนน่าเวทนาจริงๆ มันคือตัวฉันเอง ส่วนเควินน่ะเหรอ…เขายังมีชีวิตที่ดีมีความสุข สังเกตจากรอยยิ้มตอนนี้ดูก็ได้ หล่อเจิดจ้าจนตาแทบบอด เขาไม่ได้ต้องการความสงสารจากคนอย่างฉันเลย…

“ปูเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาเหมือนไม่ค่อยสบาย”

เสียงเจอเรมี่ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ รีบดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดพิสดาร เลื่อนสายตาจากแก้วน้ำอัดลมไปที่เจอเรมี่ “เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”

“ทำหน้าแบบนี้หรือว่าอยากไปห้องน้ำ” ต้ากระทุ้งสีข้างเบาๆ

“เปล่า” บังอาจมาหาว่าฉันทำหน้าเหมือนปวดอึ

“งั้นฉันไปห้องน้ำกับฝ้ายแป๊บนะ” ว่าแล้วต้ากับฝ้ายก็ลุกไปจากโต๊ะ

“ปูไม่ค่อยทานอะไรเลย ปกติไม่ค่อยพูดเจก็เข้าใจนะว่าเป็นคนคุยไม่เก่ง แต่ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว เรื่องกินสำคัญเหมือนกันนะ” เจอเรมี่เลื่อนถ้วยสลัดกับจานสปาเกตตี้ให้อย่างมีน้ำใจ

ฉันจำใจตักใส่ปากเพราะไม่อยากให้เจอเรมี่ต้องพูดซ้ำ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เจอเรมี่ก็ดังขึ้น เขาลุกขึ้นเดินไปนั่งคุยที่โต๊ะว่างอีกมุมหนึ่ง ปล่อยให้ฉันขวัญผวาอย่างรุนแรงที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเควิน ทั้งที่ลึกๆ ก็ดีใจมาก แต่ก็ทำตัวไม่ถูก… ฉันน่าจะสับสนในชีวิตอย่างที่ต้าเคยว่าจริงๆ

“ขอโทษนะครับ ที่ผมเคยบอกเจว่าคุณหน้าตาเหมือนแม่ของเรา” อยู่ๆ เควินก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบด้วยเรื่องนั้น คงเพราะเขาไม่มีอะไรจะคุยด้วยจริงๆ

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษนี่คะ” ฉันบอกเขาและยิ้ม ได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ยิ้มสยอง

“ดูเหมือนว่า…เจจะทำให้คุณอึดอัด”

ฉันเลื่อนแววตาหวั่นไหวจากถ้วยสลัดไปที่หน้าเควิน ไม่ใช่เจอเรมี่หรอกที่ทำให้ฉันอึดอัดจนหายใจไม่ออก แต่เป็นพี่ชายเจอเรมี่ต่างหาก ตอนนี้ฉันอึดอัดจนจะหายใจไม่ออกแล้ว เมื่อไหร่สามคนนั้นจะกลับมากันเสียที ใครก็ได้ช่วยรีบกลับมาเร็วๆ หน่อย ฉันยังไม่อยากตายยย

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” จะว่าไปเควินก็ช่างสังเกตเหลือเกิน ถึงจะเข้าใจผิดก็เถอะ “เจเขาก็ร่าเริงดี”

เควินยิ้ม รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนกับทุกคนแบบนี้เสมอหรือไงนะ

“นั่นคงเพราะคุณเป็นคุณครูที่มีความอดทนกับเด็กเรื่องมาก ผมพอจะดูออกนะว่าคุณไม่ได้อยากมาด้วยวันนี้เลย” เขาพูดด้วยสีหน้าสดใสดี แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ “พอดีว่าวันนี้ฉันรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”

เควินพยักหน้ายอมรับคำแก้ตัวของฉัน ก่อนเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหยิบของบางอย่างออกมาวางลงตรงหน้าฉัน ฉันจ้องโลหะมันวาวบนโต๊ะด้วยความไม่เข้าใจ

“พวงกุญแจชื่อศิลปินที่ทำมาเป็นของขวัญจับสลากในงานเลี้ยงครบรอบ ชิ้นนี้เป็นตัวเค แทนชื่อผม แล้วก็มีชื่อเต็มผมสลักไว้ด้านหลัง ทำมาแค่ยี่สิบชิ้น” เขาบอกและมองสีหน้างงงันของฉันด้วยรอยยิ้มแสนสุภาพ “คุณต้ากับคุณฝ้ายเล่าให้ฟังว่าคุณติดตามผลงานของผมมาตั้งแต่สมัยเรียน ผมก็เลยขอจากพี่ที่บริษัทมาชิ้นหนึ่ง…ผมให้คุณ”

ฉันพึมพำขอบคุณอย่างงุนงงไม่หาย พยายามควบคุมเสียงหัวใจที่มันเต้นแรงด้วยความดีใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถึงจะรู้ว่าเขาให้ในฐานะศิลปินกับแฟนคลับ แต่นาทีนี้ฉันอยากหลงตัวเองจนตัวสั่น อยากคิดเข้าข้างตัวเอง และอยากบอกตัวเองว่าสายตาที่เควินกำลังมองมาที่ฉันบอกให้รู้ว่าเขาเห็นฉันเป็นคนพิเศษ… แต่คิดอีกที…ไม่เอาดีกว่า เพราะถ้าขืนคิดแบบนั้นอีกพรุ่งนี้ฉันคงต้องไปหาจิตแพทย์

แต่การที่เควินแสนดีขนาดนี้ ต่อให้ในวันพรุ่งนี้จะได้พบกับผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่ของตัวเอง ฉันก็คงไม่สามารถลบเควินออกไปจากความรู้สึกได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วยเป็นพยาน ในที่สุดฉันก็ตกหลุมรักเควิน ริชชี่จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ!

ฉันจะเก็บพวงกุญแจชิ้นนี้ไว้ตราบฟ้าสิ้นดินสลาย มันจะกลายเป็นมรดกตกทอดชิ้นสำคัญของลูกหลานฉันในอนาคต วันหนึ่งหากฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายสักคน ฉันจะบอกเขาไปอย่างภาคภูมิใจและไม่ปิดบังว่าพวงกุญแจรูปตัวเคชิ้นนี้คือสิ่งที่เควิน ริชชี่มอบให้ฉันเองกับมือ ฉันจึงรักมันมากเท่าๆ กับแหวนแต่งงานของเรา…หวังว่าสามีในอนาคตของฉันจะไม่โมโหหึงอย่างไร้เหตุผล

ทันใดนั้นเองต้ากับฝ้ายก็เดินกลับมา แล้วเจอเรมี่ก็คุยโทรศัพท์เสร็จพอดี ฉันรีบตั้งสติพร้อมกับคว้าพวงกุญแจสุดที่รักบนโต๊ะมาใส่กระเป๋าตัวเองอย่างรวดเร็ว พอรู้สึกตัวว่าเควินกำลังมองอยู่หน้าก็ร้อนซู่ทันควัน เขาสบตาฉันยิ้มๆ คล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ ฉันอายจนอยากมุดหนีไปใต้โต๊ะแต่ก็ทำไม่ได้

อีกนานแค่ไหนฉันถึงจะเลิกเสียอาการเพราะเควินได้นะ…

แต่แล้วเรื่องวุ่นวุ่นวายก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่ออยู่ๆ การคบหากันระหว่างพวกเราสามสาวกับพี่น้องริชชี่ก็ตกเป็นหัวข้อข่าวเด็ดในแวดวงบันเทิง เรื่องนี้ปรากฏทั้งในหนังสือพิมพ์รายวัน หนังสือบันเทิงรายสัปดาห์ และในอินเตอร์เน็ต

ในอินเตอร์เน็ตมีรูปถ่ายของเราในร้านอาหารทะเลถูกเผยแพร่ไปทั่วทุกเว็บไซต์เกี่ยวกับข่าวบันเทิง แม้ส่วนใหญ่จะถูกทางค่ายของเควินแจ้งลบอย่างรวดเร็ว แต่เรื่องนี้ยังถูกตั้งกระทู้จนกลายเป็นประเด็นร้อนประจำสัปดาห์ คงมีใครสักคนไปเห็นเราในร้านนั้น แล้วแอบถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง ทำให้พวกเราไม่ทันสังเกต แม้ว่าภาพถ่ายจะไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้เดือดร้อนไม่น้อย

หนังสือพิมพ์ไม่เพียงเขียนข่าวถึงเควินเท่านั้น ยังกล่าวถึงต้ากับฝ้ายอย่างเปิดเผยด้วย แม้จะไม่บอกชื่อนามสกุลจริง แต่ก็เอ่ยถึงชื่อเล่นอย่างถูกต้องชัดเจน… ‘น้องต้า-น้องฝ้าย ลูกสาวนักธุรกิจไฮโซ’

โชคดีที่พวกเราไม่ได้ไปด้วยกันแบบครบคู่พอดิบพอดี ไม่ได้แสดงท่าทางสนิทชิดเชื้อถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัวซึ่งกันและกัน ระดับความรุนแรงของข่าวจึงไม่มากนัก แต่ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนก็เพราะมี ‘เควิน ริชชี่’ อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย ส่วนฉันไม่ได้ถูกเอ่ยถึงเป็นการเฉพาะเจาะจงในทุกหัวข้อข่าวและในกระทู้ต่างๆ แต่ฉันก็มีส่วนช่วยในการลดแรงเสียดทานจากข่าวนี้ได้ เพราะเป็นคนที่ทำให้การจับคู่ไม่สมบูรณ์

“อาจารย์ฉัตรลดาขา ดูข่าวนี่สิคะ เควินเปลี่ยนแฟนใหม่แล้วล่ะค่ะ ถึงจะไม่ใช่นาตาลีแต่พวกเราก็ไม่ชอบอยู่ดีแหละ” เด็กๆ มาชวนคุยตอนฉันกำลังทานข้าวอยู่ในโรงอาหารช่วงพักเที่ยง “แถมยังมีข่าวกับตั้งสองคน ไม่รู้ว่าคนไหนกันแน่ที่เควินชอบ แต่สวยด้วยกันทั้งคู่ แถมยังรวยอีกต่างหาก”

“แต่เขาอาจจะเป็นแค่เพื่อนกันก็ได้ ไปกันเป็นกลุ่มนี่นาไม่ได้ไปเป็นคู่ จริงไหมคะอาจารย์” เด็กสาวเสียงหวานหันมาขอความเห็นจากฉัน

ฉันปั้นหน้านิ่ง แต่ก็ยอมพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ ทั้งที่ฉันยืนยันไม่รู้กี่ครั้งว่าฉันไม่ได้ชอบเควิน แต่เด็กพวกนี้ก็ยังชอบมาลากฉันเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่เรื่อย

เควินออกมาแก้ข่าวว่าทั้งหมดเป็นแค่เพื่อนกัน ก็มีคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างตามปกติของข่าวคนดัง

ต้ากับฝ้ายปวดหัวอย่างหนักเพราะต่างก็ถูกทางบ้านตั้งคำถามเป็นการใหญ่ แม้ว่าจะพยายามอธิบายไปแล้วแต่ก็มีใครยอมเชื่ออย่างสนิทใจ ฝ้ายจึงถูกพ่อแม่ให้คนมาคอยติดตามความเคลื่อนไหวมานับแต่นั้น ฉันเห็นแล้วก็ได้แต่อึดอัดแทน ทว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้

ฝ้ายโชคดีที่ตอนนี้คุณหญิงแม่กับคุณพ่อของเธออยู่ต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นฝ้ายคงโดนบังคับให้กลับไปอยู่ที่บ้านเป็นการชั่วคราว แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ต่างประเทศแต่ก็รับรู้ข่าวสารทั้งหมดผ่านทางอินเตอร์เน็ต จึงพากันส่งผ่านความห่วงใยที่ล้นปรี่ข้ามทวีปมาตามเส้นทางการสื่อสารแทบทุกรูปแบบจนฝ้ายเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้ว่าครอบครัวของต้ากับฝ้ายจะไม่ได้เป็นกังวลเรื่องการที่พวกเธอคบหากับเควิน ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม แต่ท่านไม่ชอบที่ลูกสาวผู้มีภาพลักษณ์ดีมาตลอดของตนต้องตกเป็นข่าวเสียหายทำนองนี้

 

เจอเรมี่โทรศัพท์มาสอบถามความเป็นไปของพวกเราทุกวัน เขาไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้เพราะไม่ใช่คนมีชื่อเสียงมากมายอย่างเควิน เขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกับฉันที่สุด เพราะฉันเองก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องนี้เช่นกัน

พักนี้บางครั้งการสนทนากับเจอเรมี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกสนุกและเลิกคิดเรื่องน่าปวดหัวต่างๆ ได้ ฉันสนิทกับเจอเรมี่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ให้พอดี ไม่เคยให้ความหวังหรือทำอะไรให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเป็นมากกว่าเพื่อน ฉันจะพยายามย้ำให้เขารู้ตัวว่าฉันมองเขาเป็นเสมือนน้องชาย ซึ่งเจอเรมี่ก็แสดงออกว่าเขาเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ฉันปฏิบัติต่อเขา ซึ่งมันทำให้ฉันสบายใจได้ว่าเจอเรมี่ไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องของฉันเลย บางครั้งเขาก็ยังพูดถึงผู้หญิงคนอื่นที่เขาถูกใจให้ฉันฟังบ่อยๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันกับเจอเรมี่ก็เป็นแค่เพื่อนกันนั่นแหละ

นอกจากคุยโทรศัพท์กับเจอเรมี่ ฉันก็จะโทรหาพ่อกับแม่บ่อยขึ้น บางครั้งลูกสาวของน้าหรือไม่ก็ญาติคนอื่นๆ เป็นคนมารับสายแทน ทำให้ฉันสบายใจว่าพ่อกับแม่มีญาติพี่น้องรายล้อมและคงไม่เหงา แต่ก็อดละอายใจไม่ได้ที่ลูกสาวคนเดียวอย่างฉันไม่ได้ไปอยู่ด้วย แม่เล่าเรื่องของป้ามณีให้ฉันฟังว่าตอนนี้ป้าทราบแล้วว่าพิมลทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งและเธอกำลังตั้งครรภ์ คนรักของเธอเป็นพนักงานของโรงแรมเดียวกัน แม่ขอให้ฉันไปหาพิมลที่นั่นและคุยกับเธอให้รู้เรื่อง เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของป้ามณี แม้จะท้องก่อนแต่งและมีสามีที่ป้าไม่ปลื้ม แต่ก็ควรจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้องและย้ายกลับไปอยู่กับป้ามณีเสีย ฉันไม่รับปากว่าจะทำสำเร็จแต่ก็จะลองดู ถึงอย่างไรป้ามณีก็เป็นคนที่มีบุญคุณกับฉัน

“ปู”

ฉันหันขวับไปมองตามเสียงเรียกที่คุ้นหู เจอเรมี่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าสดใส ขณะที่ฉันนั่งรอพิมลอยู่ตรงล็อบบี้ของโรงแรม

“มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“หาเจอน้องสาวที่ทำงานอยู่ที่นี่ เจล่ะมาทำไม”

“มาถ่ายแฟชั่น กองถ่ายอยู่ที่สระว่ายน้ำด้านโน้น เจถ่ายคู่กับเควินนะ เป็นครั้งแรกเลย ไปทักทายเควินกันเถอะ” เจอเรมี่ฉุดฉันให้ลุกขึ้น

“แต่ฉันรอน้องอยู่”

“น้องสาวปูชื่ออะไรล่ะ”

ฉันนิ่วหน้าสงสัย แต่ก็ตอบคำถามเขาไปโดยดี เจอเรมี่ขยิบตาให้และเดินไปที่ฟร้อนต์ ก่อนจะกลับมาหาฉันอีกครั้ง

“ไปกันเถอะ เจขอให้เขาบอกน้องสาวปูว่าถ้ามาแล้วให้รออยู่แถวนี้ก่อน”

ฉันถูกเจอเรมี่ลากมาถึงกองถ่ายแฟชั่นจนได้ เควินซึ่งกำลังทำผมโดยช่างผู้หญิงตัวเล็กๆ หันมามองเราสองคนด้วยสีหน้าฉงน

“คุณปู มาได้ยังไงครับ” เควินถามฉันขณะที่เจอเรมี่กำลังทักทายกับทีมงานกองถ่ายแฟชั่น

“แหม น้องเจ ที่แท้ก็มัวไปรับแฟน ถึงได้มาสายกว่าเควิน แฟนสวยนะคะ” ช่างแต่งหน้าตัวเล็กหน้าตาน่ารักหันมาทักทายฉันอย่างยิ้มแย้ม

ฉันได้แต่ยืนเอ๋อ ปล่อยให้เจอเรมี่ทำทียอมรับว่าเป็นแฟนฉันอย่างหน้าตาเฉย กองบรรณาธิการข่าวจากนิตยสารรีบซักถามเป็นการใหญ่ โชคดีที่เจอเรมี่ปฏิเสธเมื่อเขาขอถ่ายรูปฉัน โดยให้เหตุผลไปมั่วๆ ว่าฉันเป็นครู ถ้ามีข่าวออกไปอาจไม่เป็นผลดีต่ออาชีพ คุณนักข่าวก็แสนดีที่ไม่เซ้าซี้เรื่องมาก แต่ฉันไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย การมาอยู่ตรงนี้ทำให้รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะอาหารและมึนศีรษะจนคิดอะไรไม่ออก

“ตกลงว่านี่แฟนน้องเจจริงๆ ใช่ไหมคะ” มีคนถามย้ำ

“ครับ อย่างคราวก่อนที่เราสองคนไปเดต ผมขอให้เควินไปเป็นเพื่อน ส่วนปูเขาก็พาเพื่อนไปอีกสองคน แต่ดันมีข่าวออกมาว่าเควินเป็นแฟนกับเพื่อนของปูเสียได้ เรายังงงอยู่เลย” เจอเรมี่สาธยายเรื่องโกหกและหันมาขยิบตาให้ฉันอย่างสนิทสนม

ไม่นะ…

 

การปล่อยข่าวของเจอเรมี่ในทำนองนั้นก่อให้เกิดผลดีกับทุกฝ่าย ยกเว้นฉัน และมันก็ทำให้การเจรจากับพิมลในวันนี้พังพินาศไปด้วย เพราะเมื่อเดินออกจากกองถ่ายแฟชั่นฉันก็จิตใจปั่นป่วนและไม่มีสติไปตลอดทั้งวัน ต้ากับฝ้ายขอบอกขอบใจฉันเสียยกใหญ่ แถมยังเข้าใจว่ามันคือเรื่องจริง ทั้งๆ ที่ฉันพยายามอธิบายแต่ทั้งสองคนไม่ยอมฟัง คงเป็นเพราะพวกเธออยากให้มันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว

เจอเรมี่มาแก้ตัวกับฉันทีหลังว่าเขาทำเพื่อต้ากับฝ้ายและเควิน ซึ่งฉันก็ไม่รู้จะหาคำใดมาด่าเขาดี จึงต้องปล่อยเลยตามเลย ฉันไม่ได้พบกับเจอเรมี่และเควินอีกเลยนับแต่วันนั้น ฉันปฏิเสธการนัดพบของเจอเรมี่ทุกครั้งโดยอ้างว่างานยุ่งเพราะเป็นช่วงใกล้สอบของนักเรียน และยังโกหกเขาด้วยว่าฉันมีผู้ชายที่ชอบอยู่แล้ว เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ยังติดต่อกันอยู่เป็นครั้งคราว

ส่วนเควิน ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องพบกันอีกแล้ว เควินคงไม่สนใจเรื่องของฉันกับเจอเรมี่มากนัก ต่อให้เข้าใจผิดว่าฉันกับเจอเรมี่เป็นแฟนกันจริงๆ เควินก็คงไม่ห่วง เพราะคงจะคิดว่าผู้หญิงท่าทางอย่างฉันคงไม่เป็นพิษเป็นภัยกับน้องชายตัวร้ายของเขาแน่นอน

ตอนที่เจอเรมี่โกหกคนอื่นอยู่นั้นฉันเอาแต่สับสนเพราะไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็คิดว่ามันอาจดีที่ได้ช่วยเหลือต้ากับฝ้ายเพราะฉันก็ไม่ได้มีอะไรจะเสียหาย และไม่เคยคิดจะเป็นแฟนกับเจอเรมี่จริงๆ แต่อีกใจก็ต่อต้านเพราะว่าไม่อยากให้เควินเข้าใจผิด แต่พอคิดได้ว่าต่อให้เควินเข้าใจผิดมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างกัน… ด้วยเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจยืนเอ๋ออยู่อย่างนั้นจนจบเรื่อง

ตอนนี้ฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว ฉันยังมีเรื่องสำคัญต้องทำอีกอย่าง นั่นก็คือการเจรจากับพิมลให้สำเร็จ วันนั้นก็ใช่ว่าจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะพิมลเองก็มีท่าทียอมรับฟัง เพียงแต่เธอยังปฏิเสธที่จะกลับบ้านตอนนี้ บอกว่าไม่อยากให้แม่ต้องอับอายเพื่อนบ้าน อย่างน้อยก็อยากคลอดลูกเสียก่อน แต่ป้ามณียืนยันว่าต้องการดูแลพิมลซึ่งกำลังตั้งครรภ์ และไม่อยากให้ทำงานหนัก

ดังนั้นฉันจะหาโอกาสไปเกลี้ยกล่อมพิมลให้สำเร็จให้ได้

บทที่ 5 หญิงสาวที่ถูกมองข้าม

การไปชมคอนเสิร์ตเมื่อคืนนี้ทำให้วันนี้ฉันกับฝ้ายไม่อยากตื่นเช้า เราหลับอยู่ในห้องนอนตัวเองจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่อยู่ด้านนอกดังขึ้น และดังอยู่นานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงียบหายไปง่ายๆ ในที่สุดฉันก็ฝืนลุกจากที่นอนออกไปรับโทรศัพท์

เสียงจากปลายสายทำให้อึ้งไปนาน…เควิน!

ฉันกระแอมเบาๆ และคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามประดิษฐ์สุดชีวิตเพื่อไม่ให้คนฟังรู้ว่าเพิ่งจะตื่นนอนเอาตอนที่สายป่านนี้

“ผมโทรมารบกวนเวลานอนรึเปล่าครับ”

ฉันควรอายรึเปล่านะ ที่เขารู้ว่าจะเที่ยงแล้วยังไม่ตื่น… “เปล่าค่ะ ไม่รบกวนเลย”

“ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ อีกซักชั่วโมงผมเข้าไปหาได้ไหมครับ”

“ค่ะ เข้ามาได้เลย วันนี้พวกเราไม่ออกไปไหน”

หลังจากวางสาย ฉันรีบอาบน้ำแต่งกายอย่างพิถีพิถันภายใต้คอนเซ็ปต์เรียบเก๋เสน่ห์แรง ไม่ลืมเคาะห้องบอกฝ้าย โทรศัพท์ไปแจ้งต้า รู้สึกเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลจะมาเยี่ยมบ้านยังไงยังงั้น คงเพราะพวกเราให้ความสำคัญกับเพื่อนใหม่อย่างเควินเป็นพิเศษ เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทำให้เราประทับใจทั้งในจอและตัวเป็นๆ ดังนั้นเราจึงรู้สึกดีกับเขาและดีใจมากที่เขาจะมาหา

ฉันคาดเดาเหตุผลในการมาวันนี้ของเควินไม่ได้เลย กระทั่งเขามานั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้าแปลกไปจากครั้งก่อนๆ ที่เคยเจอ เควินแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวสะอาดตา กางเกงยีนสีดำ สวมแว่นสายตาใสแจ๋ว ผมยุ่งๆ ไม่ได้จัดทรง และมีกระเป๋าสะพายเฉียงหนึ่งใบ ทุกอย่างดูปกติดี ยกเว้นสีหน้าและแววตาที่เขามองดูพวกเราคล้ายมีเรื่องลำบากใจบางอย่าง

“คือว่า…” เขาเริ่มเรื่องด้วยสีหน้าเกรงใจ ทำให้พวกเราแทบจะชะโงกหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ อีกนิดเพื่อจดจ่อรอฟัง “ทางทีมงานปรึกษากันว่า อยากให้คุณต้ากับคุณฝ้ายมาร่วมงานในเอ็มวีตัวแรกอัลบั้มใหม่ผม เลยให้ผมลองมาคุยดูก่อน”

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

“หมายความว่าเราจะได้เป็นนางเอกเอ็มวีของเควิน!?” ต้าถามย้ำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นเต้น

ตอนฟังคำบอกเล่าของเควิน ฉันรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรงด้วยรถสิบล้อ ก่อนจะถูกมันถอยกลับมาทับซ้ำด้วยคำถามตอกย้ำของยายต้า

ไม่นะ ไม่ๆๆ ทำไมฉันต้องอิจฉาด้วยที่เป็นเพียงคนเดียวซึ่งถูกเมิน ถูกแบ่งแยกชนชั้น ถูกมองข้ามหัว กลายเป็นบุคคลตกสำรวจ ไร้ค่าและไม่เป็นที่ต้องการในสายตาผู้คน ใครก็ได้ช่วยที ตอนนี้ฉันปั้นหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดกรามที่ต้องวางสีหน้าให้ปกติที่สุด ไม่รู้ว่าควรยิ้มหรือทำหน้ายังไงดี ควรพูดอะไรออกมาไหม แล้วทำไมอยู่ๆ สายตาก็เบลอมองไม่ค่อยชัด หูก็เริ่มตึงๆ เหมือนประสาทสัมผัสเสื่อมสภาพและใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ

คำบอกเล่าของเควินทำให้ต้ากับฝ้ายพากันตื่นเต้นดีใจ แม้จะออกตัวว่ายังรับปากไม่ได้เพราะต้องปรึกษากับครอบครัวก่อน เควินบอกเหตุผลทั้งหมดเกี่ยวกับความต้องการของทีมงานในครั้งนี้ว่าเนื่องจากผู้คนให้ความสนใจต้ากับฝ้ายเพราะข่าวเรื่องความรักกับเขาในตอนนั้น แล้วโดยส่วนตัวแล้วต้ากับฝ้ายก็ต่างก็มีภาพลักษณ์ที่ดี มีบุคลิกสวยโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างแตกต่างกัน และมีชีวิตส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ หากมาร่วมงานกับเขาก็จะทำให้ผลงานเป็นที่น่าสนใจและจับตามองมากขึ้น และช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของเขาไปด้วย

เควินเล่ารายละเอียดทุกอย่างตามตรงโดยไม่ปิดบัง เขาก็ไม่คิดจะบังคับหรือขอร้องให้ต้ากับฝ้ายยอมรับงานนี้ แต่ปล่อยให้เธอสองคนตัดสินใจเองเต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเธอต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน เพราะอาการดี๊ด๊าที่เห็นคือหลักฐานชัดเจนจนน่าหมั่นไส้…

อ๊ะ! นี่ฉันกำลังอิจฉาตาร้อนชัดๆ การอิจฉาเพื่อนรักตัวเองจนรู้สึกแบบนี้มันเป็นสิ่งที่แย่มาก ไม่นะ ไม่มีทาง ฉันจะไม่ทำตัวแบบนั้นเด็ดขาด!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันรู้สึกราวเหมือนถูกทิ้งไว้เดียวดายกลางทุ่งกว้าง เรือนผมยาวสลวยปลิวไสว ชุดกระโปรงบานสีพาสเทลถูกสายลมเย็นยะเยือกพัดสะบัดพลิ้วอยู่กลางความหนาวเพียงลำพัง…

แย่แล้ววว อาการเดิมของฉันเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกจนได้!

นาทีนั้นฉันอยากเดินหนีเข้าห้องนอนและไม่กลับออกอีกเลยจนกระทั่งถึงเวลาไปทำงานวันพรุ่งนี้ แต่ฉันก็ต้องพยายามเก็บอาการผิดปกติไว้ นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรู้สึกอับอายทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรเลย

เวลานี้เควินคือคนที่ฉันไม่อยากมองหน้ามากที่สุด แต่กลับถูกทิ้งให้อยู่กับเขาตามลำพังภายในห้องฝ้าย เพราะต้ากับฝ้ายมีเพื่อนมารออยู่ที่ห้องต้าเพื่อประชุมกันเรื่องงานของการเรียนวิชาหนึ่ง ทั้งสองคนขอตัวออกไปหลังจากยืนยันกับเควินว่าจะให้คำตอบเขาภายในสองวันนี้

แทนที่จะขอตัวกลับเลย แต่เควินกลับบอกว่าจะอยู่คุยกับฉันต่ออีกสักพัก เควินอาจจะเป็นผู้ชายที่ละเอียดอ่อนและใส่ใจกว่าที่คิด เพราะฉันรู้สึกได้ว่าเขาพอจะเข้าใจความรู้สึกฉันอยู่บ้าง โดยที่เพื่อนทั้งสองของฉันกลับไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของฉันเลย เควินดูระมัดระวังในการใช้คำพูดอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกลัวว่าจะเผลอพูดอะไรกระทบใจให้ฉันรู้สึกไม่ดี แต่ยิ่งเขาพยายามใส่ใจมันกลับยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะฉันไม่อยากทำตัวเป็นมลภาวะหรือภาระทางความรู้สึกของใคร

ตอนที่คุยกับต้าและฝ้าย เควินมักจะสบตาฉันบ่อยๆ และยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนต้องการปลอบใจ ขณะที่ต้ากับฝ้ายมัวตื่นเต้นจนไม่ทันรู้สึกถึงความหดหู่ของฉัน แต่จะโทษทั้งสองคนไม่ได้เลย เพราะเป็นฉันก็คงดีใจจนเนื้อเต้นยิ่งกว่า คงไม่มีเวลาเหลียวมองความผิดหวังของคนข้างๆ

ความมั่นใจของฉันที่มีอยู่เพียงน้อยนิดตอนนี้กลับกลายเป็นตัวเลขติดลบเมื่อต้องมาเจอกับเรื่องอย่างนี้ อดไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบคุณค่าของตนกับเพื่อนรักที่แสนเพียบพร้อม จากนั้นก็รู้สึกรังเกียจตัวเองที่รู้สึกแบบนั้น ปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่อยากได้ซีนอะไร แต่พอถูกทำเหมือนเป็นอากาศที่ว่างเปล่าแบบจังๆ อย่างนี้มันก็อดเสียใจไม่ได้เหมือนกัน

อันที่จริงจากตลอดหลายปีที่คบกันมา ฉันเคยชินกับความแตกต่างราวฟ้ากับเหวนี้นานแล้ว หรือจะเรียกว่าปลงตกและยอมรับความเป็นจริงได้มากกว่า แรกๆ ก็อิจฉาในสิ่งที่เพื่อนมีแต่ฉันไม่มีอยู่บ่อยครั้ง น้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่เพื่อนทำได้แต่ฉันไม่มีปัญหาทำได้ และเคยคิดว่าคงคบกันต่อไม่ได้เพราะไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันเกินไป แต่ต้ากับฝ้ายดีกับฉันมากและคอยประคับประคองความสัมพันธ์ของเราโดยไม่เคยทำอะไรให้ฉันรู้สึกแย่เลย จนฉันคิดได้ว่าอิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้มองในแง่ดีว่าโชคดีที่มีพวกเธอเป็นเพื่อนดีกว่า แต่ก็ต้องมาเสียศูนย์จนได้เมื่อมาเจอเรื่องเกี่ยวกับเควินเข้าไป

“วันนี้คุณปูไม่มีงานยุ่งเหมือนคนอื่นใช่ไหมครับ”

ฉันวางจานผลไม้หลากชนิดลงบนโต๊ะ นั่งลงตรงข้ามกับเควิน “ไม่มีค่ะ”

“ดีเลย ผมก็ยังไม่อยากกลับ วันนี้เจอเรมี่พาเพื่อนมาทำงานกลุ่มที่บ้านเหมือนกันครับ”

ซวยละ แล้วแบบนี้อีกนานไหมเขาถึงจะกลับ หรือฉันต้องทนอึดอัดทรมานแบบนี้อีกไปอีกนานนับชั่วโมง…ถึงจริงๆ แล้วจะดีใจที่ได้อยู่กับเควินตามลำพัง เพราะถึงจะแอบรักเขาอย่างเสียสติและผิดปกติ แต่ลึกๆ แล้วความรู้สึกต้องการมีโมเมนต์ร่วมกับศิลปินมันก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในใจแฟนคลับตัวยงอย่างฉัน… สรุปว่าตอนนี้ฉันก็ยังสับสนในชีวิตอยู่นั่นแหละ

ฉันพยายามยิ้มสดใสกับเควิน ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีที่ต้องมาสงสารและเป็นห่วงความรู้สึกฉันซึ่งไม่ได้รับการเหลียวแลจากทีมงานของเขาหรือแม้แต่ตัวเขาเลย แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องมาทำท่าเห็นอกเห็นใจและเหมือนจะเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของฉันขนาดนี้…

“เรื่องที่เจอเรมี่ให้ข่าวไปแบบนั้น ทำให้คุณปูเดือดร้อนหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ เควินก็ถามถึงเรื่องดังกล่าว

“เปล่านี่คะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

“แล้วตอนนี้ล่ะครับ มีปัญหาอะไรไหม…”

ฉันนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ก็ไม่มีอะไรนี่ ทำไมหรือคะ”

เควินดูลำบากใจมาก “คือว่า…เรื่องที่เจมีข่าวกับโดนิต้า นางแบบที่เคยทำงานกับเขา…”

“…”

“จริงๆ ผมก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเรื่องนี้ แต่พอผมถามแล้วเขาทำท่าเหมือนไม่รับรู้ ผมเลยรู้สึกไม่สบายใจ ผมไม่รู้ว่าเขาอธิบายกับคุณว่าไง แต่ผมไม่อยากให้เขาทำอะไรแย่ๆ กับคุณปูซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของเรา ผมจะพยายามพูดเรื่องนี้กับเจอเรมี่เองนะครับ คุณปูอย่าเพิ่งคิดมาก”

ตอนแรกฉันฟังแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอค่อยๆ ย่อยข้อมูลต่างๆ จากคำพูดเควินแล้วก็เลยเริ่มจะเดาออกว่าเควินกำลังเข้าใจผิดว่าฉันกับเจอเรมี่เป็นแฟนกันจริงๆ พอตอนนี้เขาเห็นเจอเรมี่ไปควงกับโดนิต้า ก็เลยเป็นห่วงว่าน้องชายตัวเองกำลังนอกใจฉัน…

“จริงๆ แล้วเรื่องส่วนตัวของเจมันไม่ได้เกี่ยวกับฉันแล้วล่ะค่ะ อย่าไปพูดอะไรกับเจเลยนะคะ”

เควินเลิกคิ้ว “หมายความว่าคุณจะปล่อยให้เป็นแบบนี้โดยไม่เอาเรื่องเจเลยหรือครับ”

“ค่ะ ก็น่าจะอย่างนั้น” ฉันยิ้มอย่างแห้งแล้ง ไม่อยากอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ให้ยิ่งยุ่งยากสับสน

“เรื่องเอ็มวี คุณคิดว่าคุณต้ากับคุณฝ้ายจะตกลงไหมครับ”

เควินหาหัวข้อใหม่มาสนทนาด้วย หลังจากพูดเรื่องเจอเรมี่แล้วเราก็พากันเงียบไปพักใหญ่ แต่ทำไมเขาต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกนะ ฉันไม่อยากคิดถึงมันให้รู้สึกแย่อีก

“ก็น่าจะตกลงนะคะ พวกเขารู้สึกดีกับคุณมาก ทางบ้านก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะต้ากับฝ้ายไม่ใช่เด็กแล้ว ทั้งสองคนน่าจะยินดีกับประสบการณ์ที่ดีแบบนี้ด้วย”

เควินพยักหน้าและยิ้มบางๆ ฉันยิ้มตอบเขา รู้สึกดีขึ้นที่ตัวเองสามารถปรับสภาพน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูเป็นปกติได้ ก็คือตอนนี้ฉันทำใจได้แล้วล่ะ เพราะคิดว่าความอิจฉาไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต เราควรยินดีกับทุกสิ่งดีๆ ที่เพื่อนได้รับมากกว่า

“ผมไม่อยากให้เพื่อนคุณรับปากเพราะเกรงใจผมหรอกนะครับ ทางทีมงานก็ยืนยันว่าจะไม่เซ้าซี้เอาเป็นเอาตายให้ทุกคนลำบากใจ อยากให้ทั้งสองมาร่วมงานด้วยความเต็มใจมากกว่า ตอนแรกผมลำบากใจมากที่ต้องมาพูดเรื่องนี้ กลัวพวกคุณจะคิดว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ที่หวังจะใช้ภาพลักษณ์คุณต้ากับคุณฝ้ายมาช่วยโปรโมตผลงาน นี่ถ้าพวกเขาให้มาขอร้องคุณปูด้วย ผมคงลำบากใจยิ่งกว่านี้”

สีหน้าเขายิ้มละไม น้ำเสียงสุภาพน่าฟัง แต่กลับทำร้ายประสาทสัมผัสฉันได้อย่างรุนแรงเหลือเชื่อ เควินใจร้ายมากกก!

“!-?-!-?-!-?-!-?” นี่คือสภาพจิตของฉันขณะนี้ที่กำลังพยายามคิดทบทวนความหมายในคำพูดของเควินอย่างเอาเป็นเอาตาย หรือว่าจริงๆ แล้วเขาอาจยังไม่บรรลุในหลักการใช้ภาษาไทย จึงได้พูดจาแบบไม่ไว้หน้ากันเลยแบบนี้ หรือเขากำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าโชคดีที่ทีมงานไม่เลือกฉันอีกคน เพราะเขาทำใจให้หน้าฉันไปโผล่ในเอ็มวีเขาไม่ได้!?

ทำไมต้องดูถูกและไม่เห็นคุณค่ากันขนาดนี้ด้วยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเควินจะใจร้ายถึงขั้นนี้ ฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ วูบๆ วาบๆ ไปทั้งตัวเหมือนกำลังจับไข้ ถ้าหากเผลอเครียดจนหมดสติไปดื้อๆ ตอนนี้จะน่าเกลียดหรือเปล่านะ แต่ว่าจริงๆ แล้วจิตใจฉันอ่อนแอเกินกว่าจะทนรับฟังคำพูดหยาบคายแบบนั้นจากปากของผู้ชายที่ฉันรักและชื่นชมอย่างสุดหัวใจแบบนี้ไม่ได้จริงๆ

“จริงๆ แล้วผมก็อยากให้คุณปูมาเล่นเอ็มวีด้วย แต่ก็ไม่อยากทำให้ลำบากใจ เพราะคิดว่าคุณปูคงไม่ชอบอะไรแบบนี้”

ฉันมองรอยยิ้มเหมือนจงใจหว่านเสน่ห์ของเควินอย่างเย็นชา เหตุผลของเขาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย เพราะฉันคิดว่าถ้าเขาคิดแบบนั้นจริงก็ควรลองทาบทามฉันดูก่อน แล้วค่อยให้ฉันเป็นฝ่ายปฏิเสธ แต่ดันเมินกันแต่แรกแบบนี้ได้ลงคอ ทว่าคนอย่างเขาคงไม่เคยโดนดูถูก เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนเหยียดหยามด้วยการไม่เห็นคุณค่า

“แค่เรื่องที่เจอเรมี่ทำให้คุณตกเป็นข่าวผมก็รู้สึกผิดไปด้วยมากแล้ว เลยไม่อยากให้คุณคิดว่าการรู้จักกับเราทำให้ต้องมาเจอแต่เรื่องลำบากใจ”

“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอกค่ะ” คะแนนความปากตรงกับใจติดลบอย่างแรง “เรื่องที่เป็นข่าวนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่มีใครด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร ก็แค่มีชื่อเล่นหลุดไปเท่านั้นเอง”

“ถ้างั้นมาเล่นเอ็มวีให้ผมด้วยได้ไหม ถ้าเขินก็เป็นนางเอกแบบไม่ต้องให้เห็นหน้าก็ได้ครับ”

เควินถามด้วยรอยยิ้มเป็นประกายเจิดจ้า ฟันขาววาววับสะท้อนแสงจนฉันแสบตา แต่คำพูดนั้นทำเอาฉันตัวแข็งไปชั่วขณะด้วยความสะเทือนใจอย่างหนัก สมองด้านมืดแปลเจตนาคำพูดนั้นไปในแง่ร้ายทันทีว่า เขากำลังแกล้งพูดแดกดันฉันอยู่ เพราะคิดว่าฉันอยากไปเล่นเอ็มวีเขาจนตัวสั่น!

ฉันโกรธเควินสุดๆ ไปเลยตอนนี้ แต่ก็ต้องทนเก็บไว้ในใจ และฝืนยิ้ม แล้วถ้าขืนฉันยังปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกับเควิน อายุคงจะสั้นลงเรื่อยๆ อย่างน่าหวาดกลัว!

ถึงจะพยายามเตือนตัวเองให้มีสติและคิดแต่ในแง่ดี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังนอยด์ไม่หายกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยงานที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายในช่วงนี้ก็มีส่วนช่วยเยียวยาฉันได้บ้าง แล้วช่วงสั้นๆ ของการปิดภาคเรียนแรกที่กำลังจะมาถึง คงทำให้ฉันมีเวลาพักฟื้นร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้าได้บ้าง

พักนี้ต้ากับฝ้ายมีความจำเป็นให้ต้องเข้าไปเจอเควินที่บริษัทค่ายเพลงบ่อยๆ ทั้งสองคนจึงกลับมาเล่าให้ฉันฟังด้วยท่าทางมีความสุขเสมอ จริงๆ ฉันก็ชอบฟังเวลาที่เพื่อนเอามาเล่าว่าเควินเป็นยังไงบ้าง แต่ก็อิจฉานิดๆ อยู่ดี

ทุกครั้งที่เควินโทรศัพท์มาที่ห้องแล้วฉันเป็นคนรับ ฉันจะรีบไปเรียกฝ้ายมาคุยเพราะไม่อยากพูดอะไรกับเขามาก เบื่อตัวเองจริงๆ ที่เป็นแบบนี้ เอาแต่วุ่นวายใจและเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ได้มีใครมารับรู้ด้วย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นละครอยู่ในมุมมืดโดยไม่มีผู้ชมแม้แต่คนเดียว การที่เราต้องอกหักโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเราคิดยังไงกับเขา มันช่างเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆ เสียสติสุดยอด!

สิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นเพราะฉันเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากกว่าคนอื่นมากไปหน่อย หรืออาจจะไม่หน่อย…

ไม่เคยมีครั้งใดในชีวิตที่ฉันรู้สึกอยากมีสามีเป็นตัวเป็นตนเท่าครั้งนี้ แอบเสียใจนิดๆ ที่ชอบเล่นตัวเวลามีคนมาจีบ แล้วก็มัวเสียเวลาทำเรื่องบ้าๆ บอๆ มาตลอดจนไม่เคยเงยหน้ามองว่าโลกนี้ยังมีผู้ชายดีๆ ซ่อนตัวอยู่ตามหลืบซอกตรอกซอยบางแห่ง กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว ตอนนี้เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพหดหู่ไร้คนปลอบใจ มิน่าเขาถึงเตือนกันนักหนาว่าถ้าไม่หาแฟนตั้งแต่ตอนเรียนก็จะหาไม่ได้ตลอดไป…

แต่ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเควินมันจะมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงขนาดนี้ อกหักเพราะแอบรักดารา…รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น!

“เขาจะไปถ่ายเอ็มวีกันที่ระยอง ปูไปด้วยกันกับพวกเรานะ ปิดเทอมนี้อย่าเพิ่งกลับบ้าน ฝ้ายจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ให้เอง พ่อแม่ปูต้องไม่ว่าอะไรแน่ๆ”

พ่อแม่ฉันไม่ว่าอะไรอยู่แล้วล่ะ แต่ใครจะอยากไปดูเควินสวีตลั้ลลาเริงร่ากับสาวๆ ที่ทะเลกันล่ะ นอกจากต้ากับฝ้ายยังมีนาตาลีไปด้วยอีกคน แต่ละคนล้วนเคยเป็นข่าวเรื่องความรักกับเควินมาแล้วทั้งนั้น พอข่าวล่าสุดออกมาว่าต้ากับฝ้ายและนาตาลีเป็นแค่เพื่อนกับเควิน ทั้งหมดจึงได้รับเลือกให้ร่วมงานกับเขาเพื่อเป็นการเรียกกระแสไปในตัว

“ฉันว่าฉันอยู่เฝ้าห้องให้ดีกว่า ปิดเทอมนี้อยากพักผ่อนสบายๆ แบบไม่ต้องทำอะไรเลย”

“ไม่เอาหรอก เราจะทิ้งปูไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไง นะ ขอร้องล่ะ ไปด้วยกันนะ” ฝ้ายพยายามออดอ้อน ซึ่งฉันก็ไม่เคยทนการออดอ้อนของฝ้ายได้เลย แต่ครั้งนี้คงต้องทำให้ได้

“ฉันขอคิดดูก่อนละกันนะ” ฉันตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน อย่างน้อยตอนนี้มันก็ทำให้ฝ้ายเลิกตื๊อต่อ

บ่ายวันต่อมาเมื่อกลับจากการสะสางงานที่โรงเรียนเป็นวันสุดท้ายก่อนหยุดยาว ฉันพบโน้ตจากต้ากับฝ้ายแปะเอาไว้ตรงตู้เย็นว่าวันนี้พวกเธอเข้าไปทำธุระที่บริษัทค่ายเพลง แล้วจะไปทานอาหารเย็นกับเควินและทีมงาน เป็นโน้ตสั้นๆ ที่ฉันอ่านแล้วสะเทือนใจยิ่งกว่าตอนอ่านนิยายชีวิตรันทดเล่มหนาปึก

เกือบสี่โมงเย็น ขณะที่ฉันกำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิตอยู่หน้าทีวี ก็มีเสียงกดกริ่งดังขึ้น

“เควิน!?” ฉันอุทานเบาๆ อย่างตกใจเมื่อมองลอดรูเล็กๆ บนบานประตูออกไปเห็นว่าเป็นใคร

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: