บทที่หนึ่ง
เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบทำให้ตกใจตื่น เลี่ยวจิ้งชูลืมตาขึ้นมา…แปลกจริง ทำไมไม่รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจากอาการเมาค้าง เหลียวมองไปรอบด้าน คล้ายกำลังอยู่ในแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นเลี่ยวจิ้งชูถึงกับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในความฝันหรือความจริง กระทั่งขยับตัวเล็กน้อยแขนขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง นางถึงได้สติแจ่มชัดขึ้นมา
ที่นี่คือที่ไหน
บนผนังที่อยู่ด้านหน้ามีภาพบุคคลวาดด้วยหมึกจีนใส่อยู่ในกรอบไม้แดง ข้อความที่เขียนติดอยู่คล้ายตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเลี่ยวจิ้งชูเพ่งมองอยู่เป็นนาน ดูจากภาพแล้วเดาว่าเป็น ‘ภาพหญิงงาม’ สามคำนี้ คำบรรยายและลงนามท้ายภาพอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว สายตาเคลื่อนไปที่จุดอื่น บนโต๊ะยาวลายมังกรบนปุยเมฆที่ตั้งติดผนังมีคันฉ่องสำริดแบบโบราณที่เรียบง่ายงดงามตั้งอยู่บานหนึ่ง ด้านข้างมีอ่างหยกแกะลวดลายประณีตงดงามวางอยู่ สองข้างของโต๊ะมีเก้าอี้ทรงกลมตั้งอยู่สองตัว นอกจากนี้ยังมีม้านั่งเตี้ยทรงดอกเหมยอีกสี่ตัว บนโต๊ะเตี้ยมีพิณหยกวางอยู่คันหนึ่ง ให้กลิ่นอายของความโบราณ บนตู้มีเครื่องลายครามของโบราณที่ประณีตงดงามวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
มองม่านมุ้งซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนเตียง สูดดมกลิ่นเย็นจางๆ ต่อให้เป็นคนที่ความรู้สึกช้าเพียงใด เลี่ยวจิ้งชูก็รู้ว่าตนทะลุมิติมาแล้ว
นิ้วมือเรียวยาวดุจหยกนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก บนข้อมือมีกำไลหยกสุกใสแวววาว ยิ่งขับผิวพรรณให้ขาวผ่องดุจหิมะ เพียงเห็นก็รู้ว่าไม่เคยทำงานหนัก เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา สวรรค์ดีต่อนางไม่น้อย ไม่ได้ให้นางตกอับไปเป็นหญิงในครอบครัวยากจน
มองตามเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบไป เลี่ยวจิ้งชูพบว่าห้องที่อยู่ติดกันเป็นห้องอุ่นเสียงพูดดังมาจากที่นั่น เป็นเสียงที่ทำให้นางตกใจตื่น จึงอดย่นหัวคิ้วไม่ได้
ห้องนี้ดูโอ่อ่ารโหฐาน เหตุใดถึงไม่กันเสียง
ฟังออกว่าคนพูดพยายามลดเสียงลงเบามากแล้ว แต่ทั้งมีผนังห้องกั้นอยู่ เสียงก็ยังคงลอยมาเข้าหูนางอย่างควบคุมไม่ได้
เสียงแรกเป็นเสียงแก่ชรา “รีบไป ฉวยโอกาสที่นางยังไม่ตื่น เอายากรอกลงไป”
“นี่…ทำได้หรือ” เสียงขลาดกลัวเสียงหนึ่ง “สะใภ้สี่เพียงสำลักน้ำ ไม่นานก็จะฟื้นแล้ว คนถูกคุณชายเจียงช่วยชีวิตไว้ ทั้งยังพาส่งกลับมาแล้ว ถ้าถูกพิษตายอีก เกรงว่า…”
“เจ้าอย่าคิดอะไรเหลวไหล นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่จะทำร้ายนางถึงตายได้อย่างไร นี่เป็นยาที่ทำให้เป็นใบ้ นายหญิงใหญ่กลัวว่าถ้านางเอะอะโวยวายใหญ่โต จวนกั๋วกงแห่งนี้ก็ต้องพังพินาศแล้ว”
“ก็แค่สาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานตายไปคนหนึ่ง เหตุใดนางต้องเอะอะโวยวายใหญ่โต” เสียงชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง “อีกอย่าง นางเป็นบัณฑิตหญิง ต่อให้เป็นใบ้แล้ว ก็ยังเขียนหนังสือได้”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ่าวต้องเป็นห่วง คำสั่งของเจ้านาย เจ้าแค่ปฏิบัติตามก็พอ!” เสียงแก่ชราพลันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมา “จำไว้ อยากจะมีชีวิตยืนยาว จงปล่อยให้เรื่องพวกนี้เน่าอยู่ในท้อง!”
“เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ เพียงแต่…”
“รีบไป ขืนโอ้เอ้ชักช้า ท่านน้าหลวนก็จะมาแล้ว”
มิน่าเล่า ข้าถึงทะลุมิติมาได้ ที่แท้เจ้าของร่างนี้จมน้ำตายไปแล้ว
เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว นางไม่สงสัยแม้แต่น้อย ตนเองก็คือ ‘สะใภ้สี่’ ที่พวกนางพูดถึงผู้นั้น
ที่นี่คือจวนกั๋วกง นางกับสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานตกน้ำไปทั้งคู่ นางถูกช่วยขึ้นมาได้ ส่วนสาวใช้ตายแล้ว นายหญิงใหญ่…หรือก็คือป้าแท้ๆ ของนางกลัวนางจะเอะอะโวยวาย จึงคิดจะวางยาให้นางกลายเป็นใบ้
สั้นๆ ไม่กี่ประโยคข่าวที่เลี่ยวจิ้งชูได้รับมาก็มีเพียงเท่านี้ เมื่อมาขบคิดดูอย่างละเอียดก็พบว่าไม่ถูกต้อง!
ไม่ใช่บอกว่าชีวิตของสาวใช้ในสมัยโบราณล้วนไร้ค่าหรอกหรือ ไฉนสาวใช้ตายไปคนเดียว นายหญิงใหญ่ก็กลัวนางจะเอะอะโวยวายเล่า
ขณะกำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ประตูถูกผลักเข้ามาจากข้างนอก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าดังตึกๆ เลี่ยวจิ้งชูรีบหลับตาลง
“สะใภ้สี่ สะใภ้สี่เจ้าคะ”
หลิ่วเอ๋อร์ยกถาดเงินใบหนึ่งเข้ามา ในถาดมีชามหยกสีขาวอยู่สองใบ เดินช้าๆ เข้ามาถึงหน้าเตียง ร้องเรียกสองคำ เห็นเลี่ยวจิ้งชูไม่ขานรับก็ลอบระบายลมหายใจ แล้วเอาถาดเงินวางลงบนโต๊ะ
“ฟื้นแล้วหรือ” จางหมัวมัวที่ตามเข้ามาเอ่ยถาม
“ยังไม่ฟื้น” หลิ่วเอ๋อร์หันหน้าไป “จางหมัวมัวช่วยหน่อยเจ้าค่ะ”
สองคนช่วยกันประคองเลี่ยวจิ้งชูขึ้นมา หลิ่วเอ๋อร์หยิบหมอนอิงใบหนึ่งมารองแผ่นหลังให้เลี่ยวจิ้งชู
รับรู้ได้ว่ามีชามยายื่นมาถึงริมฝีปาก เลี่ยวจิ้งชูกัดฟันไว้แน่น
“นางกัดฟันไว้แน่นเกินไป ป้อนไม่ได้เลย”
“คนหมดสติก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเอามือบีบขากรรไกรทั้งสองข้างของนาง ปากก็จะอ้าออกแล้ว”
ขากรรไกรปวดแปลบขึ้นมา เลี่ยวจิ้งชูทนไม่ไหวร้องออกมาคำหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาทันที จ้องหลิ่วเอ๋อร์เขม็ง
หลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่นเทา หลุดเสียงร้องออกมา น้ำยาเกือบจะกระฉอก
“เจ้าจะทำอะไร!”
เดิมเลี่ยวจิ้งชูคิดจะยับยั้งหลิ่วเอ๋อร์ เมื่อครู่เห็นมือที่ยกชามยาของอีกฝ่ายสั่นระริก เล็บซีดขาว นางตวาดออกมาไม่แน่ยานั่นอาจกระฉอกหก คิดไม่ถึงว่าทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มีอยู่จนหมดเสียงกลับคล้ายยุงบิน ชามยาในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังคงอยู่ดี
เลี่ยวจิ้งชูหน้าม่อยคอตก จากนั้นก็พยายามเอนตัวไปข้างหลังหลบเลี่ยงชามยา
หลิ่วเอ๋อร์หันไปมองจางหมัวมัว
“สะใภ้สี่ไม่ต้องกลัว นี่เป็นยาขับไล่ความหนาวเย็น” จางหมัวมัวหลอกล่อนางเสียงเบา “ท่านกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายบูชาความรัก กระทบถูกความเย็นเข้า ท่านหมอเหยียนเพิ่งมาตรวจไป” นางรับชามยามา “มาเถอะเจ้าค่ะ รีบดื่มยาตอนที่ยังร้อนเถิด”
ฆ่าตัวตายบูชาความรัก?
ที่แท้ไม่ใช่ก้าวพลาดตกลงไปในน้ำ
เลี่ยวจิ้งชูพบว่าตัวนางเองสวมชุดสีขาวทั้งร่าง ในห้องเต็มไปด้วยสีขาวที่เย็นเยือกวังเวง นางย่นหัวคิ้วมองไปทั่วร่างของตน อายุก็ยังไม่มากนี่ เหตุใดถึงได้เป็นแม่ม่าย ช่างโชคร้ายเสียจริง
ถ้าจะฆ่าตัวตายบูชาความรัก ใช้แพรขาวสามศอกก็พอ ไยต้องวิ่งออกไปกระโดดทะเลสาบที่ข้างนอกด้วย
เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในเวลาอันสั้นยังจับสายสนกลในของเรื่องไม่ออก ได้แต่มุ่นหัวคิ้ว จ้องยาน้ำสีดำชามนั้นอย่างงงงัน
ได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งไม่ง่าย นางอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี เพียงแต่…นางจะหลบหลีกจากมหันตภัยในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
“สะใภ้สี่กลัวจะขมหรือ” จางหมัวมัวถามหยั่งเชิง แล้วชี้ไปที่ชามหยกขาวอีกใบหนึ่ง “นี่ไม่ใช่เตรียมน้ำหวานไว้ให้ท่านแล้วหรือ” เห็นนางเม้มปากแน่น จางหมัวมัวก็ถอนหายใจ “ท่านหมอเหยียนบอกท่านจมน้ำ ความเย็นเข้าสู่ร่างกาย ถ้าไม่บำรุงรักษาให้ทันท่วงทีก็จะทิ้งโรคเรื้อรังไว้” จากนั้นก็เช็ดๆ ดวงตา “บ่าวเพิ่งทราบ คุณชายสี่เพิ่งจากไป ท่านมีความทุกข์ทรมานใจ แต่ท่านอายุยังน้อย วันเวลายังอีกยาวนาน อย่าได้คิดไม่ตกเป็นอันขาด”
หลิ่วเอ๋อร์สะอึกสะอื้นขึ้นมา
ได้ยินเสียงร้องไห้จางหมัวมัวก็สะดุ้งตกใจ หันไปมองประตูห้องว่ามีคนหรือไม่ทันที จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลิ่วเอ๋อร์อย่างดุดันทีหนึ่งแล้วยื่นชามยาให้นาง “เจ้าอยู่ปรนนิบัติก่อน ข้าจะไปเรียนนายหญิงใหญ่”
หลิ่วเอ๋อร์กัดฟันแน่น ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ไม่สนใจเลี่ยวจิ้งชูที่สั่นหัวไม่หยุด ดึงดันจะยกชามยามาที่ริมฝีปากของนาง
หลิ่วเอ๋อร์จำเป็นจะต้องกรอกยาลงไปเดี๋ยวนี้ เพราะถ้าถูกคนพบเห็นเข้าจะลำบาก
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ใช้กำลังบีบบังคับ เลี่ยวจิ้งชูร่างสั่นเทิ้ม แขนขยับเล็กน้อย คิดจะปัดชามยาให้คว่ำ กลับใช้แรงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
ทำอย่างไรดี…บอกไปตามตรงว่ายานี้มีพิษ?
ดูจากท่าทาง น่ากลัวว่าหลิ่วเอ๋อร์จะต้องเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพง
หากคิดจะใช้ฐานะของความเป็นนายขู่ขวัญหลิ่วเอ๋อร์ล่ะก็ เลี่ยวจิ้งชูส่ายหัวทันที รู้ทั้งรู้ว่านางฟื้นคืนสติแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ยังดึงดันจะกรอกยา ไม่กลัวว่านางจะรู้ว่าถูกวางยาให้เป็นใบ้ เห็นชัดว่านางกลัวนายหญิงใหญ่มากกว่า
ในจวนแห่งนี้คำสั่งของนายหญิงใหญ่น่าจะมีอำนาจสูงสุดแล้ว!
ทั้งที่รู้ว่านางเขียนหนังสือได้ วางยาให้นางเป็นใบ้ก็แค่ปิดหูขโมยกระดิ่งแต่นายหญิงใหญ่ยังคงยืนกราน เห็นได้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ปกติธรรมดา ปิดบังท่านน้าหลวนเช่นนี้ ไม่แน่นายหญิงใหญ่อาจยังคิดหาวิธีทำให้นางเขียนหนังสือไม่ได้ด้วย
ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้นายหญิงใหญ่หวาดกลัวเช่นนี้
จิตใต้สำนึกบอกกับนาง ต้องไม่ใช่เช่นที่หลิ่วเอ๋อร์พูดว่ามีสาวใช้ประจำตัวตายไปคนหนึ่ง
เลี่ยวจิ้งชูมองหลิ่วเอ๋อร์ คิดจะบอกไปตรงๆ ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้ว ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องดื่มยานี้หรอก ทว่าก็ได้แต่ฝืนยิ้ม มาพูดตอนนี้น่ากลัวจะช้าไปแล้ว
สูญเสียความทรงจำกับดื่มไม่ดื่มยาไม่เกี่ยวกัน นางพลาดโอกาสที่จะพูดไปแล้ว หลิ่วเอ๋อร์จะต้องเห็นว่านางแสร้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำแน่
ความคิดหมุนไปอย่างเร็วรี่ เลี่ยวจิ้งชูคิดหาหนทางไปร้อยแปด กลับไม่มีสักวิธีที่ใช้ได้ นางจำต้องกัดฟันเอาไว้แน่น แม้จะรู้ว่าทำเช่นนี้จะยืนหยัดได้ไม่นาน แต่นางก็ยังคงยืนหยัดต่อไป เวลาที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจล้วนทุกข์ทรมาน เพียงเวลาชั่วแวบเดียวก็มีเหงื่อออกมาชุ่มร่าง วันแรกที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางก็ได้ลิ้มรสชาติที่ว่า ‘มีดเขียงคือเขา เราเป็นเนื้อปลา’
“น้องสาวฟื้นแล้วหรือ เหตุใดจึงคิดไม่ตกเช่นนี้!”
ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นั้น เสียงสุภาพนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เลี่ยวจิ้งชูช้อนตามองไป ก็เห็นสาวใช้หน้าตางดงามกลุ่มหนึ่งเดินล้อมหญิงแต่งงานแล้วหน้าตาสะสวยท่าทางสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ผลักประตูเข้ามา
หญิงหน้าตางดงามคนนั้นสวมเสื้อคลุมบุนวมตัดเย็บจากผ้าดิ้นอวิ๋นจิ่นลายดอกสีขาว ข้างในสวมกระโปรงสีน้ำเงินปักลวดลายที่ขอบชุด เสื้อผ้าที่สวมใส่ฝีมือในการตัดเย็บชั้นหนึ่ง แม้จะดูเรียบง่าย แต่ไม่อาจอำพรางความงดงามล้ำค่าไว้ได้ ยิ่งไม่อาจอำพรางรูปโฉมอันอรชร ใบหน้าขาวคิ้วดำเรียวงาม และที่ทำให้เลี่ยวจิ้งชูประหลาดใจก็คือหญิงผู้นี้แลละม้ายคล้ายคลึงกับหลิ่วเอ๋อร์อยู่สามส่วน แต่งามล้ำมากกว่า บุคลิกท่วงทีสูงส่งสง่างามกว่า ผิวพรรณขาวหมดจดกว่าหลิ่วเอ๋อร์
เลี่ยวจิ้งชูในใจสั่นสะท้าน หรือพวกนาง…
“สะใภ้ใหญ่หยุดก่อน สะใภ้สี่…”
ขณะกำลังคาดเดาอยู่นั้น จางหมัวมัวที่บอกจะไปรายงานนายหญิงใหญ่ก็ตามติดเข้ามา พอเห็นหลิ่วเอ๋อร์ถือถ้วยยายืนงงอยู่กับที่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เสียงขาดหายไปทันที
จางหมัวมัวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกัดฟันเดินเข้ามา ทางหนึ่งก็ขยิบตาให้หลิ่วเอ๋อร์
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ถือถ้วยยาจะเดินออกไปข้างนอก สะใภ้ใหญ่ก็ถามขึ้น “นี่คือยาอะไร”
“เรียนสะใภ้ใหญ่ นี่คือยาขับไล่ความหนาวเย็น” หลิ่วเอ๋อร์หน้าซีดเผือด ลนลานทำความเคารพ “สะใภ้สี่ไม่ดื่ม บ่าวจะไปเชิญนายหญิงใหญ่”
“เอาวางไว้ที่นี่ก่อนเถิด”
สะใภ้ใหญ่คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นความลนลานของหลิ่วเอ๋อร์ นางลงนั่งที่ขอบเตียง จับมือเลี่ยวจิ้งชูอย่างสนิทสนมแล้วบ่นขึ้น
“ถ้าไม่ใช่คุณชายเจียงบังเอิญเดินผ่านทะเลสาบลั่วเยี่ยน น่ากลัวคงไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้วจริงๆ…” ยกมือขึ้นเช็ดหัวตาแล้วกล่าวปลอบ “น้องสาวปลงให้ตกสักหน่อยเถิด เจ้าดูข้า ตั้งหลายปีเพียงนี้ก็ไม่ใช่ผ่านมาแล้วหรือ นี่เป็นชะตากรรม”
ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ขอบคุณพระโพธิสัตว์!
เลี่ยวจิ้งชูมอง ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ที่ลงมาจากฟากฟ้า ในใจรู้สึกโล่งอก ท่องบทสวดพระโพธิสัตว์ออกมา
“ท่านเป็นใครหรือ ที่นี่คือที่ใด”
สะใภ้ใหญ่มองดวงตาที่ดูงุนงงของเลี่ยวจิ้งชูแล้วตะลึงงัน หันไปมองจางหมัวมัวกับหลิ่วเอ๋อร์ กลับเห็นพวกนางมีสีหน้าประหลาดใจ สายตาพลันจับจ้องไปที่ถ้วยยา ไม่มีร่องรอยของการดื่ม จึงหันกลับมาจ้องดวงตาของเลี่ยวจิ้งชู ถามด้วยความห่วงใย
“น้องสาวจำข้าไม่ได้จริงหรือ”
เลี่ยวจิ้งชูสั่นศีรษะ
มีประกายผิดหวังจางๆ พาดผ่านดวงตาสะใภ้ใหญ่ ปากกลับทอดถอนใจบอก “เป็นเพราะเจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา ยังไม่ได้สติ” แล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ที่นี่คือจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า คุณชายใหญ่กับคุณชายสี่ล้วนเป็นบุตรชายที่นายหญิงใหญ่เป็นผู้ให้กำเนิด”
“พี่สะใภ้ใหญ่…”
“เราใกล้ชิดกันที่สุดแล้ว เจ้าเพิ่งแต่งงานได้สามวันก็…เดิมทีข้าควรมาอยู่กับเจ้าอย่างใกล้ชิดไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว” หัวข้อเรื่องพลันเปลี่ยนไป “ล้วนเป็นเพราะคุณหนูสาม ฝ่าบาทเพิ่งพระราชทานสมรส ในจวนก็มีงานศพ นางเอะอะโวยวายบอกจะล้มเลิกการแต่งงาน จะไว้ทุกข์ให้คุณชายสี่” ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ห้ามปรามนางไว้ได้แล้ว จากนั้นก็ได้ยินว่าเจ้าเกิดเรื่อง จึงได้รีบเร่งรุดมา”
แต่งงานได้สามวัน!
เลี่ยวจิ้งชูตะลึงงัน นางฆ่าตัวตายบูชาความรักมิใช่หรือ
ไม่ใช่บอกสมัยโบราณไม่มีอิสระเรื่องความรักหรอกหรือ เพิ่งแต่งเข้ามาได้สามวัน นางกับคุณชายสี่ก็มีความรักลึกซึ้งต่อกันถึงขั้นนี้แล้ว?
เลี่ยวจิ้งชูนวดคลึงจุดไท่หยางพึมพำกับตนเอง
“ข้าคือใคร”
สะใภ้ใหญ่เบิกตากว้าง ส่วนลึกในดวงตามีอารมณ์ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกพาดผ่านจางๆ
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ “สะใภ้สี่ลืมหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างเลยหรือ”
ทุกคนต่างมองมาที่เลี่ยวจิ้งชูอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางย่นหัวคิ้วน้อยๆ ในดวงตาที่คล้ายมีหมอกปกคลุมมีประกายใสซื่อขุมหนึ่ง ลักษณะท่าทางเช่นนี้ไม่อาจเสแสร้งออกมาได้เด็ดขาด
ผ่านไปพักใหญ่ สะใภ้ใหญ่โบกมือแล้วบอก “ดูข้าสิ มัวแต่ห่วงพูดคุย ถึงกับลืมยาของเจ้าไปเลย น้องสาว เจ้ากระทบถูกความเย็นมากเกินไป ดื่มยาก็หายแล้ว อีกประเดี๋ยวยาก็จะเย็นไป” แล้วหันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังจะยืนโง่งมอยู่อีก ไม่รีบเข้ามาปรนนิบัติรึ!”
หลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่น มองไปที่จางหมัวมัวตามสัญชาตญาณ
“ยาเย็นไปนานแล้วเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวรีบบอก “สะใภ้สี่ร่างกายล้ำค่า ไม่อาจดื่มยาที่เย็นแล้วได้” แล้วหันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังไม่รีบไปอุ่นให้ร้อนอีกหรือ”
หลิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วเดินไปทางประตู
“เอามานี่ ข้าจะชิมดู”
เสียงไม่ดังแต่กลับมีพลังกดข่มคุกคาม ในหูจางหมัวมัวมีเสียงอึงอล ถ้าให้สะใภ้ใหญ่ชิมยานี้จริง แล้วสะใภ้สี่ดื่มเข้าไป นางยังจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ
จางหมัวมัวถลึงตาดุดันใส่หลิ่วเอ๋อร์ทีหนึ่ง พยายามสงบอกสงบใจ ยิ้มเจื่อนแล้วบอก “เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด สะใภ้ใหญ่ร่างกายล้ำค่า จะลองชิมยาด้วยตนเองได้อย่างไร”
“มีอะไรทำไม่ได้ ยกมา!” สะใภ้ใหญ่ดึงมือเลี่ยวจิ้งชู “เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ หัวใจของข้าก็แหลกสลายแล้ว ข้าชีวิตอาภัพ จะอย่างไรก็ยังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณชายใหญ่อยู่สองปี” พูดแล้วสะใภ้ใหญ่ก็เช็ดดวงตา ผ่านไปพักใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องพูด “น้องสาวไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้ข้าจะรีบไปเชิญหมอหลวงสวีมาตรวจอาการเจ้า เขาได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา จะต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน” จากนั้นก็หันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังไม่รีบยกมาอีก!”
“สะใภ้ใหญ่ร่างกายล้ำค่า เรื่องชิมยาเช่นนี้ทำไม่ได้เป็นอันขาด” จางหมัวมัวกัดฟันทำใจดีสู้เสือ “ให้นายหญิงใหญ่รู้เข้าจะต้องถลกหนังบ่าวแน่นอน สะใภ้ใหญ่โปรดเข้าใจและเห็นใจในความลำบากใจของบ่าวด้วย”
“ที่จางหมัวมัวพูดก็ถูก” สะใภ้ใหญ่ผงกศีรษะน้อยๆ หันไปทางอิ๋งชุนสาวใช้รุ่นใหญ่ “เจ้าไปลองชิมดู ถ้ายังไม่เย็นก็ถูไถดื่มไปเสีย ยกออกไปไม่รู้ต้องเสียเวลาอีกนานเท่าไร”
ได้ยินอิ๋งชุนขานรับเสียงใส จางหมัวมัวก็เหงื่อไหลรินออกมาทันที สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
อุ่นยาชามหนึ่งจะเสียเวลาสักเท่าไรกันเชียว จะอย่างไรจางหมัวมัวก็เป็นคนโปรดของนายหญิงใหญ่ สะใภ้ใหญ่ที่แต่ไรมานุ่มนวลละมุนละไมเข้าได้กับทุกฝ่ายถึงกับไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย นางพลันตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน คิดว่าสะใภ้ใหญ่คงรู้อยู่ก่อนแล้วว่ายามีปัญหา ตอนแรกที่ขวางไว้ด้วยคิดจะให้สะใภ้สี่โวยวายขึ้นมา พอเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียความทรงจำจึงเปลี่ยนความคิด
หัวใจของเลี่ยวจิ้งชูก็เต้นตึกตักขึ้นมาเช่นกัน เดิมทีเข้าใจว่านางประกาศออกไปว่าตนสูญเสียความทรงจำต่อหน้าผู้คนที่จ้องมองอยู่ หลิ่วเอ๋อร์ก็จะผลักเรือตามน้ำยกยาออกไป เช่นนี้ก็หลบพ้นภัยในครั้งนี้ไปได้แล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาเจอคนที่มีน้ำใจเร่าร้อน กลัวร่างกายของนางจะทนทรมานไม่ไหว ยืนกรานจะให้นางดื่มยาลงไป หลิ่วเอ๋อร์กับจางหมัวมัวคนชั่วที่โง่งมทั้งสองคน ตอนนี้ค่อยจะมาคิดทำลายของกลาง ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ตั้งนาน!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของสะใภ้ใหญ่และการไม่รู้จะรับมืออย่างไรของจางหมัวมัว กับหลิ่วเอ๋อร์ เลี่ยวจิ้งชูก็ลังเลใจขึ้นมา
ไม่รู้สะใภ้ใหญ่ที่มีจิตใจเร่าร้อนผู้นี้มีฐานะเช่นไรในจวนและมีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายหญิงใหญ่
เรื่องที่นางคาดเดาออกว่าในยามีพิษ จะนำมาซึ่งหายนะแก่ตนมากขึ้นหรือไม่
ขณะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันอยู่นั้น สาวใช้ก็เข้ามารายงาน “นายหญิงใหญ่กับท่านน้าหลวนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงก็เห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มใหญ่เดินห้อมล้อมสตรีวัยกลางคนท่าทางสูงส่งสง่างามสองคนเข้ามา จางหมัวมัวยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ จัดๆ ชายเสื้อแล้วก้าวเร็วๆ เข้าไปรับหน้า สะใภ้ใหญ่ลุกขึ้นไปต้อนรับก่อนแล้ว นางยอบตัวลงน้อยๆ เอ่ยทักทาย
“คารวะนายหญิงใหญ่ คารวะท่านน้า”
เห็นนางอยู่ที่นี่ คนที่ถูกเรียกว่า ‘นายหญิงใหญ่’ ผู้นั้นพลันชะงักอึ้งไป ปรายตาไปที่จางหมัวมัวกับหลิ่วเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากนั้นก็ผงกศีรษะให้สะใภ้ใหญ่ แล้วเดินเข้ามาข้างใน
“ในที่สุดสะใภ้สี่ก็ฟื้นแล้ว! บ่าวตกใจแทบตาย หมู่ตันนาง…”
สาวใช้รูปร่างอรชรหน้าตาสะสวยที่อยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่คนหนึ่งเห็นเลี่ยวจิ้งชูนั่งอยู่ ขอบตาก็แดงขึ้นมาทันที ส่งเสียงร้องมาแต่ไกล ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกนายหญิงใหญ่ถลึงตาใส่ นางอึกๆ อักๆ เดินมาถึงข้างกายเลี่ยวจิ้งชู ไม่กล้าพูดต่อ
เลี่ยวจิ้งชูหันไปมองสาวใช้ผู้นั้นแวบหนึ่ง
คนผู้นี้เป็นใคร ดูเหมือนจะสนิทสนมกับข้ามาก
ขณะกำลังคิดคนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านน้า’ ผู้นั้นได้คว้ามือนางมากุมไว้
“อวิ๋นชูฟื้นแล้ว บุตรสาวที่อาภัพของแม่ เจ้าทำให้แม่ตกใจแทบตายแล้ว”
อวิ๋นชู?
เป็นชื่อของเจ้าของร่างนี้หรือ…
มองประกายห่วงกังวลอย่างจริงใจในดวงตาของสตรีงดงามวัยกลางคนผู้นี้แล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็เชื่ออย่างไม่สงสัย อีกฝ่ายก็คือมารดาในชาตินี้ของนาง
“สวรรค์ เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!” เห็นเลี่ยวจิ้งชูเซื่องซึมไม่พูดไม่จา ท่านน้าหลวนพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้านาง “แม่มาเยี่ยมเจ้าแล้ว อวิ๋นชู เจ้าพูดอะไรสักคำเถิด!”
“ไม่ว่าเป็นใครสะใภ้สี่ก็จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวถือโอกาสเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่หรือ กระทั่งยาเย็นแล้ว นางก็ไม่ยอมดื่ม สะใภ้ใหญ่เพิ่งเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่เจ้าค่ะ”
“เป็นคนตายหรืออย่างไร ยาเย็นแล้วก็ไม่รู้จักไปอุ่นมา” นายหญิงใหญ่นิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วหันมาด่าหลิ่วเอ๋อร์ “ยังจะยืนทึ่มทื่ออยู่นั่น!”
หลิ่วเอ๋อร์มองสะใภ้ใหญ่แวบหนึ่งแล้วรีบรับคำ
สะใภ้ใหญ่เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
เห็นสาวใช้ยกม้านั่งทรงดอกเหมยมาแล้ว นายหญิงใหญ่ก็ดึงท่านน้าหลวนมาพลางบอก “น้องสาวนั่งก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดคุย” แล้วหันไปหาสะใภ้ใหญ่ “หลันเอ๋อร์ไม่ใช่ไปเรือนหลันฟางแล้วหรือ ซูเอ๋อร์ยังก่อเรื่องวุ่นวายอยู่หรือไม่”
“คุณหนูสามบอก คุณชายสี่เพิ่งจากไปนางก็ออกเรือน ไม่พูดถึงว่ายังทำใจไม่ได้ บ้านว่าที่แม่สามีก็จ้องจะจับผิด เป็นคนทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่นี่คู่หมายเป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสิบมณฑล นางบอกว่าเป็นตายก็ไม่ยอมแต่ง”
นายหญิงใหญ่ย่นหัวคิ้ว “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่านี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แม้แต่นายท่านก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้”
“สะใภ้บอกไปแล้วเจ้าค่ะ ยังบอกว่านายท่านได้กราบทูลเรื่องงานศพแล้ว ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาททรงยืนกรานให้จัดงาน เช่นนั้นจวนกั๋วกงก็ไม่กล้ากล่าวคำว่าไม่ วันหน้าถ้ายังกล้าทูลเรื่องนี้อีก นั่นก็เท่ากับชี้ว่าฝ่าบาททรงวินิจฉัยผิดพลาดมิใช่หรือไร หลังแต่งงานไปหากคุณหนูสามจะกลับมาที่จวนกั๋วกง นายท่านย่อมช่วยออกหน้าให้ แต่ถ้าฝ่าบาททรงเห็นว่าไม่เหมาะ ย่อมทรงยกเลิกกำหนดวันแต่งงานด้วยพระองค์เอง พอพูดไปเช่นนี้ อย่างน้อยสะใภ้ก็เกลี้ยกล่อมนางให้สงบลงได้แล้ว”
“คนทั้งบ้าน ไม่มีสักคนที่รู้ประสา ทุกเรื่องล้วนทำให้คนเป็นห่วง หลันเอ๋อร์ทำทุกอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจจนถึงที่สุด กลับไม่ใช่คนนำโชคไม่รู้ข้าทำเวรทำกรรมมาแต่ชาติไหน มีบุตรชายสายตรงอยู่เพียงสองคน กลับทยอยจากไปคนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลัง จนตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่ใช่ยังมีหลานชายตัวน้อยอยู่อีกคน ข้าก็อยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
นายหญิงใหญ่พูดไป ไม่รู้คำพูดประโยคไหนทำให้สะเทือนใจ น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมาราวกับมุกไม่ขาดสาย สะใภ้ใหญ่รีบกล่าวปลอบ
“นายหญิงใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย คนทั้งบ้านต่างหวังพึ่งท่านนะเจ้าคะ”
“ที่ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่สำนักศึกษาหลวงมาจำนวนหนึ่ง…” นายหญิงใหญ่เช็ดดวงตา มองสะใภ้ใหญ่ “เสื้อผ้าด้ายดิบไม่พอแล้ว ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในคลังยังมีผ้าด้ายดิบอีกหลายพับ เจ้าเอากุญแจไปหาดู…”
“นายหญิงใหญ่ความจำดียิ่งนัก ที่เหลือจากปีก่อนล้วนเก็บอยู่ในคลัง สะใภ้ได้สั่งให้อิ๋งตงไปเอากุญแจแล้ว”
“อืม ยังคงเป็นหลันเอ๋อร์ที่ละเอียดรอบคอบ…” นายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ “จริงสิ ที่ด้านหน้าได้เขียนใบแสดงรายละเอียดของใช้ไว้แล้ว เจ้าไปดูซิว่ายังมีอะไรขาดอีกหรือไม่ ถ้าในจวนมีของก็เอาออกมาให้หมด ถ้าไม่มีก็รีบไปซื้อมาเพิ่มเติม อย่าโอ้เอ้จนเสียงานเสียการ”
“สะใภ้จะไปเดี๋ยวนี้ นายหญิงใหญ่ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปเถิด จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเฝ้าห้องโถงที่ตั้งศพ อย่าลืมควบคุมบรรดาสะใภ้และหญิงรับใช้สูงวัยให้ดี ให้หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าเหล่านั้นดื่มสุราให้น้อยลงหน่อย ตอนเฝ้ายามกลางคืนให้มีสติ อย่าได้ก่อปัญหาขึ้น”
หลังจากสะใภ้ใหญ่แยกตัวไปแล้ว นายหญิงใหญ่ก็หันมามองเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูจำอะไรไม่ได้เลยจริงหรือ”
เลี่ยวจิ้งชูพยักหน้า เลียนแบบน้ำเสียงของสะใภ้ใหญ่ “เรียนนายหญิงใหญ่ สะใภ้จำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“อย่าเรียกข้าว่านายหญิงใหญ่ ดูห่างเหินพิกล อวิ๋นชูยังคงทำเหมือนเมื่อก่อน เรียกข้าว่าท่านป้าเถอะ” แล้วหันไปทางท่านน้าหลวนที่กำลังเช็ดน้ำตา “น้องสาวก็อย่าเสียใจมากเกินไป จะอย่างไรอวิ๋นชูก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เหมือนอ้ายเอ๋อร์ที่ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว”
เห็นพวกนางพูดคุยกัน สาวใช้หน้าตาสะสวยผู้นั้นก็กระซิบเสียงเบากับเลี่ยวจิ้งชู
นางก็เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน มีชื่อว่าฝูหรง เมื่อครู่ถูกนายหญิงใหญ่เรียกตัวไปซักถาม ส่วนหมู่ตันที่นางเอ่ยถึงเมื่อครู่ก็คือสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานอีกคน ซึ่งหลิ่วเอ๋อร์บอกว่าตายพร้อมผู้เป็นนายผู้นั้น
ที่นี่คือเมืองหลวนเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นหลวน เจ้าของร่างนี้ก็แซ่หลวน นามอวิ๋นชู บิดาเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง เลี่ยวจิ้งชูคิดอยู่นานก็จำไม่ได้ว่าในประวัติศาสตร์มีแคว้นหลวนอยู่ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ชาติก่อนเรียนประวัติศาสตร์ได้ไม่ดี บางทีข้าอาจจะลืมไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นมิติอื่น
นางจึงกระซิบถามฝูหรงเรื่องอื่น
แคว้นหลวนเลื่อมใสและส่งเสริมเรื่องความรู้การศึกษา ท่วงทำนองในการใช้ภาษาและตัวอักษรหลากหลายฟุ่มเฟือย หลวนอวิ๋นชูในฐานะบุตรสาวสุดที่รักของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง…อาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันการศึกษาสูงสุดของแคว้นหลวนตั้งแต่เล็กก็สติปัญญาดีเฉลียวฉลาด ห้าขวบก็พูดจาเป็นเนื้อถ้อยกระทงความ แต่งบทกวีได้ในเจ็ดก้าวแล้ว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็ยิ่งเชี่ยวชาญทุกอย่างทั้งหมาก พิณ อักษร วาดภาพ
ฝูหรงยังบอกนางเคยได้รางวัลชนะเลิศในงานชุมนุมบทกวีที่จัดขึ้นในเมืองหลวนเฉิงปีละครั้งติดต่อกันถึงสามปี เอาชนะคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก ได้รับการยกย่องเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค เป็นบุปผาล้ำค่าแห่งเมืองหลวนเฉิง เหล่าบัณฑิตและกวีลือนามพากันมาเยือนด้วยความเลื่อมใสในชื่อเสียงจนธรณีประตูจวนสกุลหลวนแทบจะแบนราบ แต่ก็จนใจด้วยผู้ใหญ่ได้ตกลงหมั้นหมายนางให้กับต่งอ้ายคุณชายสี่บุตรชายเจิ้นกั๋วกงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
ต่งอ้ายมีพี่ชายน้องชายเจ็ดคน พี่สาวน้องสาวสี่คน ชื่อของพี่น้องผู้ชายเจ็ดคนตั้งตามอักษรตัวหน้าเจ็ดตัวของคุณธรรมทั้งแปดจง เซี่ยว เหริน อ้าย ซิ่น อี้ และเหอ ชื่อของพี่น้องผู้หญิงสี่คนแบ่งเป็นฉี ฉิน ซู และฮว่า
เจิ้นกั๋วกงเป็นนายทหารคนหนึ่ง ต่งอ้ายตั้งแต่เล็กชอบฝึกยุทธ์ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบคบค้าสหายในยุทธภพ ทำให้ไม่เป็นที่ชอบใจของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงอย่างมาก เมื่อเปรียบกับกวีลือนามของสำนักศึกษาหลวงแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อบุตรสาว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ประการแรกจวนกั๋วกงมากอำนาจ ประการที่สองฟูเหรินของจวนทั้งสองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ครึ่งปีก่อน ต่งอ้ายก็ล้มป่วยนอนอยู่กับเตียง พยายามรักษาทุกวิถีทางก็ไร้ผล จวนกั๋วกงจึงไปเชิญหมอดูมาผู้หนึ่ง หมอดูบอกเป็นโรคที่เกิดจากความอัปมงคล และให้จัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงชะตา ไหนเลยจะรู้ อาการป่วยยังไม่หาย เพิ่งแต่งงานได้สามวันหลวนอวิ๋นชูก็กลายเป็นม่ายเสียแล้ว
ขณะกำลังพูดคุยอยู่นั้นหลิ่วเอ๋อร์ก็ยกยาที่อุ่นร้อนแล้วเข้ามา
นายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็แตะตัวเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูรีบดื่มตอนที่ยังร้อน”
เลี่ยวจิ้งชูย่นหัวคิ้ว ไม่รู้ครั้งนี้ยายังมีปัญหาหรือไม่
“อวิ๋นชูเป็นอะไรไป” เห็นนางไม่พูด นายหญิงใหญ่ซึ่งในใจมีความลับที่ไม่อาจบอกคนอื่นซุกซ่อนอยู่จึงซักไซ้ “ไม่อยากกินยาหรือ”
“เอ่อ…”
ยามกะทันหันเลี่ยวจิ้งชูคิดคำพูดไม่ออก เมื่อมาไตร่ตรองอย่างละเอียด นายหญิงใหญ่คิดจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ เป็นเพราะอยากให้นางหุบปาก เมื่อรู้ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้วย่อมไม่ทำร้ายนางอีก ยานี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว เลี่ยวจิ้งชูลังเลเล็กน้อยแล้วบอก
“ยานี่ขมเกินไป ข้า…สะใภ้ไม่ชอบ”
บทที่สอง
นายหญิงใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มุ่นหัวคิ้ว เผยสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมาเล็กน้อย
“อวิ๋นชูยังคงเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กก็ไม่ชอบดื่มยาต้ม ทุกครั้งพอไม่สบาย พ่อของเจ้าต้องรับปากพาเจ้าไปเที่ยวเล่นที่สำนักศึกษาหลวง เจ้าจึงจะยอมดื่มยา ตอนนี้สูญเสียความทรงจำแล้ว แต่ความเคยชินเหล่านี้กลับยังไม่ลืม” เห็นนายหญิงใหญ่ขมวดคิ้ว ท่านน้าหลวนก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวขึ้น จากนั้นก็เบนหัวข้อสนทนา “เจ้าออกเรือนแล้ว ไม่อาจใช้อารมณ์แบบเด็กๆ อีก ถ้าแม่สามีไม่พอใจ…”
ท่านน้าหลวนพูดไป หยาดน้ำตาก็ร่วงลงมา
เลี่ยวจิ้งชูรับถ้วยยามาแต่โดยดี
เพิ่งจะบ้วนปากเสร็จ ก็มีหญิงรับใช้สูงวัยเข้ามารายงาน “คนในห้องโถงที่ตั้งศพฝากคำพูดมาบอกว่าจะทำพิธีบรรจุศพลงโลง ให้สะใภ้สี่ไปร้องไห้ไว้อาลัย”
“อะไรนะ ทำพิธีบรรจุศพลงโลง?!”
“เมื่อวานเพิ่งทำพิธีสวมชุด เหตุใดวันนี้ก็ทำพิธีบรรจุศพลงโลงแล้วเล่า”
นายหญิงใหญ่กับท่านน้าหลวนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน
หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นคุกเข่าดังตึง โขกศีรษะแล้วบอก “บ่าวก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ได้ยินหมอดูบอก คุณชายสี่ยังไม่ทันเข้าพิธีสวมหมวก* ตายตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่อาจประกอบพิธีศพตามประเพณีปกติได้เจ้าค่ะ”
“อ้ายเอ๋อร์ของแม่!” นายหญิงใหญ่กรีดร้องออกมาคำหนึ่ง น้ำตาไหลพร่างพรมดุจสายฝน เห็นนายหญิงใหญ่ร่ำไห้ ทุกคนก็พลอยโหยไห้ตาม ในห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาทันที
ผ่านไปพักใหญ่จางหมัวมัวก็เช็ดน้ำตา เดินเข้ามากล่าวปลอบ
“นายหญิงใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย ท่านเอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนี้ ดวงวิญญาณคุณชายสี่บนสวรรค์ก็ยากจะสงบใจลงได้ ท่านให้คุณชายสี่จากไปอย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่เสียใจ เขาเกิดมาเพื่อจะคิดบัญชี มาตามทวงหนี้ข้า สิบเจ็ดปีมานี้ มีวันใดบ้างที่ทำให้ข้าสบายใจ” หยุดน้ำตาไว้ได้ นายหญิงใหญ่ก็กัดฟันขาวซี่เล็กไว้แน่น “ไปอย่างหมดจดเช่นนี้ก็ดีแล้ว!” แล้วสั่งการ “ไปถ่ายทอดคำพูด สะใภ้สี่จะไปเดี๋ยวนี้”
มีหญิงรับใช้สูงวัยช่วยนำทาง เลี่ยวจิ้งชูค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปในห้องโถงพิธี เพียงเห็นผ้าแพรยาวสีขาวเป็นผืนๆ ห้อยเรียงรายล้อมรอบอยู่ แบ่งห้องโถงใหญ่ออกเป็นสองด้าน โดยมีทางเดินอยู่ตรงกลาง ด้านขวามีภิกษุหลายสิบรูป สองมือพนมส่งเสียงสวดมนต์ให้ดวงวิญญาณผู้วายชนม์ ด้านซ้ายเป็นแขกที่มาร่วมพิธี สุดปลายทางเดินก็คือที่ตั้งศพ มีผ้าม่านบางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง มองไปเห็นสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงคุกเข่าอยู่กลุ่มหนึ่ง มีหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับร้องเพลงดังแว่วออกมาประหนึ่งผีสำลัก…
“สะใภ้สี่มาถึงแล้ว!”
พร้อมกับเสียงร้องตะโกนที่ดังขึ้น เสียงอึงอลในห้องโถงพลันหยุดลง แม้แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับร้องเพลงก็หยุดลงด้วย เสียงสวดมนต์เบาๆ ของเหล่าภิกษุดังชัดเจนขึ้นมาทันที สายตานับสิบนับร้อยคู่จับนิ่งมาที่ร่างของเลี่ยวจิ้งชู
มีคำโบราณกล่าวไว้ ‘อยากเป็นคนงาม ต้องสวมชุดขาว’
นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ ร่างอรชรอ้อนแอ้น มองจากไกลๆ คล้ายเทพธิดาที่อิ่มทิพย์ไม่กินอาหารในแดนมนุษย์ มองบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคที่เป็นแม่ม่ายใหม่ผู้นี้แล้ว ในดวงตาที่เร่าร้อนทุกคู่มีความเสียดาย มีความเวทนาสงสาร และก็มีคนที่ดีใจบนความโชคร้ายของผู้อื่น
เลี่ยวจิ้งชูเหยียดไหล่ตรง เดินช้าๆ ผ่านผ้าม่านไปทีละชั้นเข้าไปยังที่ตั้งศพพร้อมกับฝูหรง
“ของพวกนี้ส่วนใหญ่คนของสำนักศึกษาหลวงเป็นผู้ทำมา” ฝูหรงชี้ไปที่คำกล่าวไว้อาลัยเป็นแผ่นๆ “ท่านดูสิ แม้แต่คุณชายถังก็ส่งมาแล้ว ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ชิงชังพวกเขาเป็นที่สุด บอกพวกเขาเป็นพวกครวญครางทั้งที่ไม่มีโรคพวกเขาเองก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าประตูจวนกั๋วกง โดยเฉพาะคุณชายถังผู้นี้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี นอกจากคุณชายลู่แล้ว ก็นับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ถูกชะตากับคุณชายสี่ที่สุดแล้ว” ในน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจขุมหนึ่ง “วันนี้ที่เขามาได้ ต้องเป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่านเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูกวาดตามองผ่านๆ พบว่าทั้งสองฟากของทางเดินมีคำกล่าวไว้อาลัยแขวนอยู่เต็มไปหมด คำกล่าวไว้อาลัยระผ่านหน้านางไปเป็นแผ่นๆ ราวกับจะรอรับความชื่นชม เสียดาย…นางไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว
เลี่ยวจิ้งชูส่ายหน้า ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง
ไหนเลยจะรู้ การส่ายหน้าอย่างไม่ตั้งใจของนางในครั้งนี้ กลับนำมาซึ่งเสียงทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง ห้องโถงที่บรรยากาศเคร่งขรึมพลันไม่สงบขึ้นมา ทุกคนไม่รู้ว่านางไม่รู้หนังสือ ต่างเข้าใจว่าคำไว้อาลัยที่พวกเขาเค้นสมองครุ่นคิดออกมา ไม่เข้าตาทิพย์ของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคท่านนี้แม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความเศร้าสร้อย จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ผ่านความเศร้าโศกและเจ็บปวดรวดร้าวใจแบบเดียวกับนาง ย่อมเขียนคำไว้อาลัยที่ลึกซึ้งตราตรึงใจออกมาไม่ได้
ความไม่สงบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาทำให้เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกตื่นตระหนก นางไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไป ดีที่มีฝูหรงประคองอยู่ จึงไม่ถึงกับเสียการควบคุมตัว เพียงยืดอกเดินไปยังที่ตั้งศพอย่างไม่รีบไม่ร้อนภายใต้สายตาผู้คนที่มองมา
สาวใช้เลิกม่านขึ้น เลี่ยวจิ้งชูเดินช้าๆ เข้าไปในโถงด้านใน ข้างในถึงกับมีคนนั่งคุกเข่าอยู่หลายสิบคน ค่อนข้างเบียดเสียด แต่กลับไม่ไร้ระเบียบ เห็นนางเดินเข้ามา ดวงตาหลายสิบคู่ต่างพุ่งมาที่ร่างของนาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เงียบสงัดกดดันจนทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
เลี่ยวจิ้งชูมองผ่านไปทีละคน นอกจากสะใภ้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้จักใครเลยสักคน
ฝูหรงรู้ว่านางความจำเสื่อม เห็นสายตานางจับนิ่งไปที่ร่างหญิงสาวไหล่บางเอวเล็กอ่อนช้อยละมุนละไมที่อยู่ข้างสะใภ้ใหญ่ จึงกระซิบบอก “นางคือสะใภ้รอง ชื่อเฉาเสวี่ย เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง ในบรรดาสะใภ้หลายคนในจวน นางสุภาพอ่อนโยนที่สุด”
มองประเมินเฉาเสวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง สายตาก็เคลื่อนไปที่ร่างหญิงสาวแต่งตัวแบบคนที่แต่งงานแล้วอีกคนหนึ่ง ก่อนสบเข้ากับสายตาที่มองมาด้วยความเกลียดชังคู่หนึ่ง เลี่ยวจิ้งชูใจสั่นสะท้าน นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้สามวัน ไฉนคนผู้นี้จึงดูเกลียดชังนางมากถึงเพียงนี้
หรือว่าเป็นอนุของต่งอ้าย? ความเกลียดชังที่เผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้เลี่ยวจิ้งชูนึกขึ้นมาได้ บุรุษในสมัยโบราณสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ จึงมองสตรีผู้นั้นอีกหลายครั้ง
ทุกคนต่างคุกเข่าอยู่ มองไม่ออกว่ารูปร่างสูงหรือเตี้ย เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้รูปร่างดูจะใหญ่โตและแข็งแรงกว่าเฉาเสวี่ย ใบหน้ารูปไข่เป็ด หางคิ้วชี้ ไม่เหมือนสะใภ้ใหญ่ที่เก็บความรู้สึกไม่เปิดเผย ในดวงตารูปเมล็ดซิ่งของคนผู้นี้มีประกายเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาแต่เกิด ยังมีริมฝีปากบางเฉียบที่เจ้าคารมช่างเจรจา เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร
“นางคือสะใภ้สาม ชื่อพานหมิ่น ได้ชื่อว่าเป็นหญิงปากร้ายในจวนแห่งนี้ สะใภ้สี่จะพูดจากับนางต้องระวังสักหน่อย”
เดิมเข้าใจว่าเป็นอนุเสียอีก ที่แท้ถึงกับเป็นสะใภ้คนหนึ่ง!
ฟังคำแนะนำจากฝูหรงแล้ว เลี่ยวจิ้งชูนึกสงสัยอยู่ในใจ ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน อย่างมากก็ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องทรัพย์สินสิ่งของ นางไปเอาความเกลียดชังมากมายมาจากที่ใด ราวกับข้าไปแย่งชิงบุรุษของนางมาเช่นนั้น
ในใจฉงนสงสัย ทว่ากลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เลี่ยวจิ้งชูมองไปทางคนอื่นๆ ต่อ หญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ใกล้กับพวกนางซึ่งมีเพียงสายรัดเอวกับผ้าโพกศีรษะดูแตกต่างจากพวกสะใภ้ กับหัวผักกาดน้อยอายุห้าหกขวบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกสามคน แต่กลับสวมชุดไว้ทุกข์หนัก
ไม่ต้องบอก…หัวผักกาดน้อยสามคนนั้นจะต้องเป็นคุณชายห้า คุณชายหก คุณชายเจ็ด เช่นนั้น…หญิงสาวสองคนนี้ก็คงเป็นน้องสามีแล้ว
“คุณหนูสามกับคุณหนูสี่” ฝูหรงเอ่ยขึ้นมาอย่างเหมาะกับเวลา “แจ้งข่าวให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองทราบแล้ว สองวันนี้คงกลับมาถึงจวนเจ้าค่ะ” พูดพลางฝูหรงก็ประคองนางให้คุกเข่าลง “สะใภ้สี่นำร้องไห้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ร้องไห้?!
เลี่ยวจิ้งชูชะงักอึ้ง นางลืมไปแล้วว่ามาที่ห้องโถงตั้งศพก็เพื่อร้องไห้
ไม่ใช่ก๊อกน้ำสักหน่อย จะบอกให้น้ำตาไหลก็ไหลออกมาเลยได้อย่างไร เลี่ยวจิ้งชูคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ดวงตากะพริบปริบๆ แต่กลับเค้นน้ำตาไม่ออกสักหยด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเหมือนเสียงร้องไห้อันยอดเยี่ยมของหญิงรับใช้สูงวัยเหล่านั้นที่ส่งเสียงสูงต่ำเปลี่ยนท่วงทำนอง เดี๋ยวขาดห้วงเดี๋ยวต่อเนื่องเป็นระยะ
สายตาที่พุ่งมารวมอยู่บนใบหน้าของเลี่ยวจิ้งชูเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนเหมือนไฟ นางได้ยินกระทั่งเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากในหมู่คน ใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา
ขณะทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ก็ได้ยินคนร้องตะโกนขึ้นมาในห้องโถง
“พระราชโองการมาถึง!”
เสียงตะโกนดังกังวาน แม้แต่ภิกษุที่สวดมนต์ยังต้องหยุด ห้องโถงที่กว้างใหญ่มีคนหลายร้อยคนเงียบกริบลงราวกับเข้าไปอยู่ในจอภาพยนตร์ไร้เสียง รวมถึงคนที่ร้องตะโกนเมื่อครู่ก็คุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม
เลี่ยวจิ้งชูลอบมองไปที่หน้าประตู เพียงเห็นเด็กรับใช้สวมเสื้อผ้าด้ายดิบเดินเร็วๆ เข้าประตูมาสองแถว จากนั้นก็ดึงผ้าแพรที่ล้อมอยู่ตามทางเดินออกอย่างรวดเร็ว ที่ตามพวกเขาเข้ามาติดๆ คือขันทีน้อยซึ่งเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาสองแถวแล้วแยกออกไปยืนสองข้างทางเดิน สองมือห้อยอยู่ข้างตัว ตามองตรง
เด็กรับใช้ที่ดึงผ้าแพรเหล่านั้นเดินตรงไปข้างหน้าไม่หยุด เหลือเพียงม่านบางที่กั้นส่วนสมาชิกครอบครัวไว้จึงนับว่าเสร็จสิ้น พากันล่าถอยไปนั่งคุกเข่าที่ด้านหลัง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง ขันทีสวมเสื้อคลุมสองคนประคองพระราชโองการสองม้วนอย่างนอบน้อม ยืดอกเชิดหน้าเดินเข้ามา ข้างหลังมีบุรุษวัยกลางคนท่วงทีองอาจห้าวหาญคนหนึ่งกับชายหนุ่มรูปงามท่าทางสะโอดสะองคนหนึ่งเดินตามติดเข้ามา ต่างอยู่ในชุดขาว สูงค่าแต่ไม่หรูหรา ศีรษะไม่ได้สวมรัดเกล้า เอวผูกสายรัดผ้าด้ายดิบ
พวกเขาคือใคร
ขณะที่เลี่ยวจิ้งชูต้องคาดเดาอยู่นั้น ขันทีผู้นั้นก็หันหน้าไปทางทิศใต้และยืนมั่น ปากก็ส่งเสียงร้องขึ้น
“เจิ้นกั๋วกงต่งจี้เหลียงรับพระราชโองการ!”
“กระหม่อมต่งจี้เหลียงน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ!”
“กระหม่อมต่งเหรินน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ”
อ้อ ที่แท้ก็เป็นพ่อสามีกับพี่สามี เห็นทั้งสองคนคุกเข่าลงรับพระราชโองการ ไม่ต้องคาดเดาต่อ เลี่ยวจิ้งชูก็รู้แล้ว
“ต่งหลวนซื่อภรรยาต่งอ้ายบุตรชายผู้วายชนม์ของเจิ้นกั๋วกงรับพระราชโองการ!”
เลี่ยวจิ้งชูกำลังลอบมองประเมินพ่อสามีผู้มีสง่าน่าเกรงขามผู้นี้ของตน ขันทีก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมา นางที่มาจากยุคปัจจุบันถึงกับไม่ได้คิดว่านางก็คือ ‘ต่งหลวนซื่อ’ ผู้นั้น เห็นนางไม่ขยับ ฝูหรงร้อนใจเอาแต่ดึงเสื้อนางภายใต้ความงุนงง เลี่ยวจิ้งชูก็มีอาการตอบสนองที่ว่องไวมากพอ วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้าขานตอบเสียงดัง
“หม่อมฉันต่งหลวนซื่อน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ!”
ได้ยินเสียงใสกังวานของนาง ดวงตาของต่งเหรินเปล่งประกายวาบขึ้น เงยหน้ามองมาทางด้านในม่าน
รับรู้ได้ถึงความร้อนแรงแผดเผาที่พุ่งเข้ามา เลี่ยวจิ้งชูจึงลอบชำเลืองตามองกลับไป ก็สบเข้าดวงตารูปดอกท้อที่ทอประกายปรารถนาออกมาอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง ร่างพลันสะท้านเฮือก เลี่ยวจิ้งชูรีบเบนสายตาหลบ ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก
เขายังเป็นคนอยู่หรือ!
ต่งอ้ายก็นอนอยู่ที่ด้านหลังข้า ศพยังไม่ทันเย็น เขาก็ห่วงพะวงถึงภรรยาผู้อื่นแล้ว
ขณะคิดอะไรสับสนวุ่นวายอยู่นั้น ขันทีผู้นั้นก็คลี่พระราชโองการออกแล้วอ่านเสียงดังออกมา
“ฮ่องเต้ผู้รับบัญชาจากสวรรค์มีพระราชโองการ ต่งอ้ายบุตรชายผู้วายชนม์ของเจิ้นกั๋วกง”
ภาษาโบราณเต็มฉบับ เลี่ยวจิ้งชูฟังจนวิงเวียนมึนงง อ่านมาถึงตอนท้ายเพียงฟังเข้าใจว่าต่งอ้ายได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หลังจากเสียชีวิตเป็น ‘อู่ผิงโหว’ และพระราชทานเสื้อผ้าที่จะสวมให้ศพและการแสดงในงานพิธี ส่วนหลวนอวิ๋นชูเนื่องจากอุปนิสัยแข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี สติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นนายหญิงตราตั้งขั้นสี่ หลังจากครบรอบสี่สิบเก้าวันออกทุกข์แล้วให้นางเข้าวังไปขอบพระทัยในพระกรุณา
ภายใต้สายตาที่มองมาด้วยความริษยาและเสียงทอดถอนใจ เลี่ยวจิ้งชูโขกศีรษะขอบพระทัยไปตามเจิ้นกั๋วกง ขันทีผู้นั้นก็เก็บพระราชโองการ เดินเข้ามากล่าวคำไว้อาลัยต่งอ้าย
ส่งขันทีผู้อัญเชิญพระราชโองการออกไปแล้ว เหล่าเด็กรับใช้ก็เดินตามหลังไปแขวนผ้าแพรกลับขึ้นไปใหม่อีกครั้ง
เห็นเลี่ยวจิ้งชูมองประตูเหม่อลอย หญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการได้เอ่ยเตือนเบาๆ “สะใภ้สี่ ท่านควรร้องไห้แล้ว”
บรรยากาศในห้องโถงตั้งศพทำให้เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกเศร้าอาดูร ทว่าจะอย่างไรนางก็ไม่เคยเจอต่งอ้ายมาก่อน อยู่ดีๆ บอกให้นางร้องไห้ นางไม่ใช่คนปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกได้ไวเช่นนั้น
“ทุกคนต่างรอท่านอยู่ หรือไม่ท่านก็หลับตาส่งเสียงโหยไห้ออกมา” เห็นนางนิ่งเฉยไม่มีท่าที ฝูหรงก็ออกจะร้อนใจ “ไม่ว่าอย่างไร ย่อมต้องแสดงท่าทีออกมา”
ลอบกวาดสายตามองไปรอบด้าน ไม่ผิดจากที่คิด ทุกคนต่างมองมาทางด้านนี้ รวมถึงภิกษุที่สวดมนต์อยู่ นางกะพริบตา…กะพริบแล้วกะพริบอีก หยาดน้ำตาราวกับเล่นซ่อนหา ยังคงไร้เงาไร้ร่องรอย
ในห้องโถงตั้งศพเงียบสงัด ถ้ามีเข็มตกคงได้ยิน
“เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง ข่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ก็หาได้ยากแล้ว! ไหนเลยจะร้องไห้ออกมาได้”
มีเสียงหัวเราะพรืดออกมา พานหมิ่นหัวเราะเยาะหยันขึ้นมาก่อนใคร ในโถงด้านในวุ่นวายขึ้นมาทันที
“พูดได้ไม่ผิด” ต่งซูเอ่ยเสริมขึ้น “พี่ใหญ่ยกทัพออกสนามรบ แสดงความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง พี่สะใภ้ใหญ่เพียงได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้งขั้นห้า นางมาถึงก็ได้เป็นขั้นสี่ ย่อมอิ่มอกอิ่มใจ”
“ฮึ! เสแสร้งจอมปลอม!”
“ถ้าไม่ใช่คุณชายสี่ถูกนางทำให้โกรธ ไหนเลยจะจากไปเร็วเช่นนี้ นางกลับดีเลย แค่กระโดดทะเลสาบทีเดียวก็ได้เป็นนายหญิงตราตั้งแล้ว!”
“นั่นเรียกความสามารถ เจ้าเก่งจริงก็กระโดดลงไปสิ ดูว่าจะบังเอิญเช่นนั้นหรือไม่ ถึงกับถูกคุณชายเจียงอุ้มกลับมา ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง”
“สะใภ้สี่รีบร้องไห้เถิดเจ้าค่ะ!” ฝูหรงร้อนใจจนใบหน้าแดงฉาน “ท่านร้องนำ หญิงสูงวัยที่คอยร้องตามก็จะส่งเสียงโหยไห้ขึ้นมา ไม่ว่าเสียงอะไรก็กลบไปหมด”
มองฝูหรงที่ท่าทางแทบอยากร้องไห้แทน เลี่ยวจิ้งชูพลันนึกถึงตนเองเมื่อชาติก่อน
‘เขาผู้นั้น’ ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ขอเพียงเป็นเรื่องของนาง เขายังร้อนใจยิ่งกว่า อยู่คณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยสี่ปี เขายืนอยู่ข้างหลังเลี่ยวจิ้งชูมาโดยตลอด ปล่อยให้นางข่มเหงรังแก ตัวเขาเองเอาแต่ยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น นุ่มนวลอ่อนโยน ให้อภัยในความเอาแต่ใจและความดื้อรั้นของนาง ทั้งคู่เพียงกินอาหารข้างทางอย่างเรียบง่าย จับจูงมือกันเดินเล่น ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของความเบิกบานสบายอกสบายใจ
เรื่องราวในอดีตไหลบ่าเข้ามาในใจดุจกระแสน้ำ
นั่นเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ ในงานฉลองสำเร็จการศึกษานางที่ดื่มอย่างสนุกสนานเต็มที่ได้รบเร้าเขาจะไปดูดาว เขาโอนอ่อนผ่อนตามนางเช่นที่เคยเป็นมา ทางหนึ่งฟังนางพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ทางหนึ่งก็พานางขึ้นภูเขาหยางติ่ง มีเสียงคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนจนหูแทบหนวกดังขึ้น นั่นเป็นโคลนถล่มตามคำเล่าลือ เขาเม้มปากแน่น พยายามผลักนางออกจากโคลน นางกลับกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยมือ ชั่วขณะนั้นนางเห็นอย่างชัดเจนว่าในดวงตาที่สิ้นหวังของเขาเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้ง คล้ายยังมีรอยยิ้มจางๆ เจืออยู่ด้วย นางรู้สึกได้ชัดเจนถึงชีวิตที่ค่อยๆ หลุดลอยไปทีละน้อยๆ ท่ามกลางเสียงแผดคำราม
นางมาอยู่ที่นี่ เขาเล่าอยู่ที่ไหน จะคิดถึงนางแบบเดียวกันนี้หรือไม่ ทั้งสองเคยสัญญากันไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันทุกภพทุกชาติไป ชาตินี้…เขาจะมาหานางหรือไม่
ความทรงจำย้อนกลับไปเมื่อชาติก่อน เงาร่างของเขาผุดขึ้นมาตรงหน้าเลี่ยวจิ้งชูอย่างชัดเจน หัวใจบีบรัด น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมา
หญิงสูงวัยที่คอยร้องไห้ตามก็ส่งเสียงโหยไห้ขึ้นมา ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ เลี่ยวจิ้งชูก็ยิ่งนึกถึงคนในครอบครัวและเพื่อนของตนเมื่อชาติก่อน และนึกถึงความโดดเดี่ยวและความลำบากยากแค้นในชาตินี้ จึงถือโอกาสปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเสียเลย
“สะใภ้สี่โปรดระงับความเศร้าโศก” เพียงครู่เดียวหญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการก็เริ่มกล่าวปลอบ “ท่านร้องไห้จนเสียสุขภาพ คุณชายสี่ที่อยู่ในยมโลกจะไม่สงบใจ”
เห็นนางยังคงร้องไห้ หญิงสูงวัยผู้นั้นก็ย่นหัวคิ้ว
การร้องไห้ในห้องโถงที่ตั้งศพก็ต้องมีความพอเหมาะพอควร นางเป็นอะไรไปแล้ว
ร้องไห้ไม่ห่วงหน้าตาก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงกับยังร้องไม่จบไม่สิ้น นางไม่หยุดร้อง คนอื่นก็ไม่กล้าหยุด นางร้องอย่างเรื่อยเปื่อยไร้ขั้นตอนไม่เหนื่อย คนอื่นกลับต้องโก่งคอร้องอยู่ตรงโน้น
เห็นเหล่าหญิงสูงวัยที่คอยร้องไห้ตามหน้าตาแดงด้วยหายใจไม่สะดวก เลี่ยวจิ้งชูกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับยิ่งร้องยิ่งหนัก หญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการร้อนใจจนเหงื่อชุ่มร่าง มองไปที่สะใภ้ทั้งหลายอย่างขอความช่วยเหลือ
“สะใภ้สี่ระงับความเศร้าโศกด้วย คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน” เห็นสะใภ้ใหญ่ไม่ขยับ เฉาเสวี่ยจึงเข้ามากล่าวปลอบ “ท่านร้องไห้จนเสียสุขภาพไม่เป็นไร เกิดมีเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณชายสี่แล้ว ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์คงไม่ดีแน่” มองสะใภ้ใหญ่แวบหนึ่ง “คุณชายน้อยเนี่ยนจงร่างกายไม่แข็งแรง ก็เพราะตอนนั้นสะใภ้ใหญ่ร้องไห้จนเสียสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์”
เฉาเสวี่ยพูดออกมาเพียงประโยคเดียวราวกับปิดประตูน้ำ เลี่ยวจิ้งชูถูกทำให้ตกใจจนน้ำตาไหลกลับคืนไป มองเฉาเสวี่ยอย่างทำอะไรไม่ถูก มือแตะไปที่ท้องน้อยตามสัญชาตญาณ
ไม่กระมัง เพิ่งแต่งงานได้สามวัน
“สะใภ้รองโปรดอย่าถือสา สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว” เห็นนางเสียกิริยา ฝูหรงก็ชี้แจง “แม้แต่คนในจวนก็ไม่รู้จักแล้วเจ้าค่ะ”
เฉาเสวี่ยเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก มองไปที่สะใภ้ใหญ่
“น้องเฉาเสวี่ยอย่าเพิ่งพูดอะไรส่งเดช” สะใภ้ใหญ่บอกนางอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “น้องอวิ๋นชูเพิ่งแต่งเข้ามาได้สามวัน ผ้าพรหมจารี ไม่ได้ส่งมาที่เรือนหลัก จะมีข่าวมงคลได้อย่างไร”
ผ้าพรหมจารี?
เลี่ยวจิ้งชูงงงัน จากนั้นก็ดีใจ นางเองก็เคยได้ยินมา ในสมัยโบราณสะใภ้ใหม่แต่งเข้ามา คืนเข้าห้องหอต้องมีผ้าพรหมจารีมามอบให้แม่สามีตรวจสอบ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของสะใภ้ใหม่ นางไม่มีผ้าพรหมจารีเช่นนี้ จะต้องไม่ได้เข้าห้องหอแน่นอน ตอนแต่งงานต่งอ้ายก็ป่วยจนเกินจะเยียวยาแล้ว
ขณะกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันดังมาจากด้านหลัง
“ได้ยินว่าก่อนสะใภ้สี่จะออกเรือน หน้าประตูจวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงมีผู้คนเดินขวักไขว่ราวกับตลาด ทุกวันนางจะแต่งบทกวีโคลงกลอน บทประพันธ์ต่างๆ กับเหล่าปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์ มาถึงคุณชายสี่ก็ไม่รู้เป็นคนที่เท่าไรแล้ว มีผ้าพรหมจารีก็แปลกเต็มที”
เลี่ยวจิ้งชูหันหน้ามองตามเสียงไป ก็เห็นพานหมิ่นกำลังจีบปากจีบคอพูด พอเห็นนางหันมามอง ก็เบ้ปากอย่างท้าทาย เสียงพูดยิ่งไร้ความเห็นอกเห็นใจ “ถ้ามีครรภ์จริง ยังไม่รู้เป็นบุตรของใครด้วยซ้ำ!”
ไม่มีผ้าพรหมจารี ไม่ใช่ไม่ได้เข้าห้องหอ แต่เป็น…
เลี่ยวจิ้งชูมีเสียงวิ้งดังขึ้นมาในสมอง มองไปที่ฝูหรงด้วยสัญชาตญาณ ฝูหรงหน้าแดงหูแดงอยู่นานแล้ว กำลังถลึงตากลมโตสองดวงมองจ้องพานหมิ่น ท่าทางกล้าโมโหไม่กล้าพูด เห็นนางมองมาก็พูดขึ้น
“เรื่องการกินการอยู่ของสะใภ้สี่ หมู่ตันเป็นคนจัดการทั้งหมด”
ความหมายนอกคำพูดของฝูหรงคือนางก็ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไม่มีผ้าพรหมจารี
เลี่ยวจิ้งชูชำเลืองตาไปทางสะใภ้ใหญ่อย่างขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายกลับกำลังก้มหน้าผูกสายรัดเอวที่คลายออกเล็กน้อย เลี่ยวจิ้งชูในใจหนักอึ้ง อยู่ดีๆ สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องผ้าพรหมจารีขึ้นมา ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อะไร
“ตัวอัปมงคล ดาวหายนะ!” เห็นเลี่ยวจิ้งชูสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีอับอายขายหน้า ต่งซูก็ด่าออกมา “พี่สะใภ้สามพูดถูก พี่สี่ถูกดวงนางข่มตาย”
ความตายของต่งอ้ายเกี่ยวอะไรกับข้า
เขาป่วยจนเหลือวิสัยจะเยียวยาอยู่ก่อนแล้ว นางแต่งเข้ามาเพื่อแก้ดวง แต่งงานได้สามวันก็ต้องเป็นม่าย คนที่ได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงน่าจะเป็นนางมากกว่ากระมัง ไม่เห็นอกเห็นใจก็แล้วไปเถิด ยังจะบอกดวงนางข่มสามี บอกนางชะตาแข็ง เป็นดาวหายนะอีกหรือ!
วันนี้หากเอาคำว่า ‘อัปมงคล’ มาโยนไว้ที่ตัวนางจริง เกรงว่าต่อไปคงไม่มีวันพลิกตัวกลับขึ้นมาได้อีกแล้ว!
เลี่ยวจิ้งชูมองต่งซูหญิงสาวที่เอะอะโวยวายจะล้มเลิกการแต่งงานผู้นี้ตาไม่กะพริบ คลื่นยักษ์พัดโหมอยู่ในช่องอก
อากาศรอบตัวพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที ในห้องโถงที่ตั้งศพราวกับมีคลื่นใต้น้ำโหมซัดสาด
“ดูความจำของข้าสิ ตอนสะใภ้สี่แต่งเข้ามา คุณชายสี่ลุกจากเตียงไม่ไหวตั้งนานแล้ว ไม่มีผ้าพรหมจารี ย่อมเพราะไม่ได้เข้าห้องหอ” ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพียงแตะก็พร้อมจะปะทุ เฉาเสวี่ยก็ตำหนิตนเองออกมา “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่มีตา ปากมากพูดมาก” มองพานหมิ่นกับต่งซูอย่างนอบน้อมจริงใจ “สะใภ้สาม คุณหนูสามโปรดไว้หน้าข้าสักหน่อย พูดน้อยลงสักสองประโยค ได้หรือไม่”
“แต่ละคนก็ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดย่อมเปิดอกพูดได้” พานหมิ่นเลิกคิ้วเรียวงามดุจกิ่งหลิว “ไม่มีใครมีหน้าตามากไปกว่ากัน!”
“ใครบอกพี่สี่ลุกจากเตียงไม่ไหว สายตาหลายร้อยคู่มองเห็นอยู่ เขาเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยร่างกายที่ยังดีอยู่”
“นั่นสิ คุณชายสี่ที่ยังดีๆ อยู่ แต่งงานได้วันที่สองก็กระอักโลหิต หากไม่ใช่ดวงข่มกันจะเป็นอะไรได้!”
เฉาเสวี่ยใบหน้าซีดขาว หมุนตัวกลับไปนั่งคุกเข่าที่เดิม ไม่พูดอะไรอีก
ไม่มีคนไกล่เกลี่ยอีก ทุกคนต่างยินดีจะชมเรื่องสนุก ห้องด้านในที่ค่อนข้างเบียดเสียดพลันคึกคักขึ้นมาราวกับเปิดหม้อโจ๊ก* สีหน้าของฝูหรงได้เปลี่ยนเป็นมะเขือม่วงไปแล้ว
เหนือความคาดหมาย เลี่ยวจิ้งชูไม่ได้เสียหน้าจนพานโกรธอย่างที่คิด ยิ่งไม่ได้โต้ตอบด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน สีหน้านางสงบนิ่ง ตบๆ แขนฝูหรง แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายหยิบเงินกระดาษมา
รับเงินกระดาษมาแล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็คุกเข่าลงข้างกระถางดินเผาหน้าโลงศพ เผากระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ
ประหนึ่งฝ่ามือที่ฟาดออกไปตีถูกปุยฝ้าย พวกพานหมิ่นต่งซูร้องตะโกนมาครึ่งค่อนวัน ไม่มีคนโต้ตอบก็รู้สึกหมดสนุก ค่อยๆ หยุดปากลง มองเลี่ยวจิ้งชูพลางยิ้มหยัน
เผากระดาษได้พอสมควรแล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็โขกศีรษะให้ต่งอ้ายสามทีอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเศร้าอาดูร
“คุณชายสี่ ข้าเคยได้ยินว่าคนตอนตายช่วงแรกๆ ดวงวิญญาณจะเฝ้าอยู่ข้างกายคนใกล้ชิด ต้องเจ็ดวันแล้วจึงจะออกจากบ้านไปยมโลก ข้าทราบท่านจะต้องอยู่ที่นี่ เพียงแต่ข้ามองไม่เห็นท่าน”
คำพูดไม่กี่ประโยคทำเอาทุกคนขนลุกชันไปทั้งร่าง แผ่นหลังเย็นวูบ แล้วจึงนึกได้ว่าในเรือนหลังที่สี่ไม่ได้มีสะใภ้สี่เพียงคนเดียว ยังมีคุณชายสี่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกคน
โถงด้านในเงียบกริบขึ้นมาทันที ได้ยินเพียงเสียงเปลวไฟลุกอยู่ในกระถางดินเผากับเสียงพร่ำรำพันเบาๆ ของเลี่ยวจิ้งชูที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า
“คุณชายสี่ช่างใจร้าย ในเมื่อไม่อาจอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่อาจปกป้องข้า ไยต้องแต่งข้าเข้ามาด้วย เวลานี้ท่านละจากโลกมนุษย์ ทิ้งข้าให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่งพา ถูกคนข่มเหงรังแก” นางเติมเงินกระดาษลงไปอีกปึก “เดิมข้าคิดจะตามท่านไป แต่ก็จนใจสวรรค์ไม่ยอมรับ คิดว่าคงเป็นเพราะท่านเห็นว่าในโลกนี้ยังมีบิดามารดาอยู่ ความปรารถนาภายในใจยังไม่ลุล่วง จึงไม่ยอมให้ข้าติดตามท่านไป ข้าจะเชื่อฟังท่าน ยินดีทนทุกข์ทรมานต่อการพลัดพรากแยกจาก รั้งอยู่ในโลกปรนนิบัติบิดามารดาแทนท่าน ทำหน้าที่แทนท่านให้ครบถ้วน เพียงแต่…ร่างของท่านยังไม่ทันเย็น ข้าก็ถูกคนสบประมาทเหยียดหยาม ถูกคนว่าเป็นดาวหายนะ กระทั่งความบริสุทธิ์ก็ถูกซักถามตั้งข้อสงสัย”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของนางก็กวาดผ่านใบหน้าทุกคนไปช้าๆ ทีละคน ฉับพลันนั้นในดวงตาที่เยียบเย็นอึมครึมก็มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูกอยู่ขุมหนึ่ง มองจนผู้คนหน้าซีดเผือด ฟันสั่นกระทบกัน แต่ละคนต่างลนลานก้มหน้า ไหนเลยจะกล้าสบตากับนาง
เลี่ยวจิ้งชูหยักยกมุมปาก มีรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นผุดขึ้นมาจางๆ
“ไม่เป็นไรหากทำให้ความบริสุทธิ์ของข้าด่างพร้อย แต่ทำให้ท่านไม่อาจจากไปอย่างสงบสุข ชื่อเสียงมัวหมองย่อมเป็นความผิดของข้า ข้ารู้ท่านอยู่ที่นี่ และได้ยินคำพูดของข้า ถ้าคุณชายสี่ปวดใจและเวทนาสงสารข้าที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวและลำบากยากแค้นตามลำพังจริง เห็นว่าข้าไม่ใช่ดาวหายนะ ยอมรับในความบริสุทธิ์ของข้า ก็ขอให้ท่านออกมาพูดจาให้ความเป็นธรรมต่อหน้าน้องสามีและพี่สะใภ้ทั้งหลายสักคำเถิด!”
เสียงใสเย็นเอ่ยออกมา ในความเศร้ารันทดเจือด้วยความน่าขนพองสยองเกล้า เสียงลมหนาวครางครวญพัดกระแทกช่องหน้าต่าง บรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ทุกคนมองไปที่ต่งอ้ายด้วยสัญชาตญาณ
ยังดี เขายังนอนสงบเสงี่ยมไม่ได้ขยับอยู่ที่นั่น เพียงแต่ตะเกียงฉางหมิงที่ปลายเท้าสั่นไหววูบวาบ เปล่งแสงสีน้ำเงินริบหรี่
“ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ จะแสร้งทำเป็นผีอะไร”
พอเห็นไม่มีอะไร พานหมิ่นก็ทำใจกล้าพูดออกมา ทำลายความหวาดหวั่นพรั่นพรึงทั้งห้องโถงด้านใน บรรยากาศที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวดูสดใสขึ้นมาหลายส่วน ทุกคนต่างถอนหายใจยาว คนที่ใจกล้าหน่อยกำลังจะเออออตาม ทันใดนั้นเอง ประหนึ่งจะเป็นจริงดังคำที่พูดไว้ จู่ๆ ตรงข้างกระถางดินเผาที่ร้อนผะผ่าวก็เกิดลมพัดหมุนขึ้น พัดจากโต๊ะวางของเซ่นไหว้ไปข้างหน้า พัดจนเงินกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว ผ้าม่านขาวส่งเสียงพึ่บพั่บ ตะเกียงฉางหมิงที่ปลายเท้าต่งอ้ายยิ่งสั่นไหว เปลวไฟสีน้ำเงินริบหรี่พุ่งขึ้นสูง ส่งเสียงฟู่ๆ ราวกับงูพิษกำลังพ่นพิษ
เพราะลืมหาอะไรทับเงินกระดาษไว้ ทุกคนต่างเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกตกใจ มองลมที่กำลังพัดหมุน พัดไปทางด้านหลังโต๊ะวางของเซ่นไหว้ พัดเลิกผ้าห่มสีแดงตรงศีรษะต่งอ้ายออกราวกับมีความรู้สึก เผยใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวออกมาให้เห็น
“มารดาเถอะ! คุณชายสี่สำแดงฤทธิ์แล้ว”
“คุณชายสี่โปรดไว้ชีวิต”
“พี่ชายไว้ชีวิตด้วย น้องสาวไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินท่าน น้องสาวเชื่อแล้วว่าพี่สะใภ้สี่บริสุทธิ์ ต่อไปไม่กล้าพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ไม่รู้ใครเป็นคนกรีดร้องออกมาคำแรก บริเวณด้านหน้าที่ตั้งศพพลันโกลาหลอลหม่านราวกับหม้อระเบิด ทุกคนคิดจะหนีไปตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าสองขาราวถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ถึงกับขยับไม่ได้แม้ครึ่งก้าว คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นดินเลนไปแล้ว พากันโขกศีรษะราวกับถูกผีบงการ พูดจาแทบไม่เป็นภาษาวิงวอนให้ต่งอ้ายอภัย สาบานว่าต่อไปไม่กล้าซักถามตั้งข้อสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ของสะใภ้สี่อีกแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเลี่ยวจิ้งชูมาโดยตลอดถึงกับเนื้อตัวอ่อนระทวยเป็นลมหมดสติไป มีหญิงสูงวัยใจกล้าผู้หนึ่งโอบร่างไว้ ร้องเรียกเสียงดังขึ้นมา
ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัว คนในสมัยโบราณเชื่อเรื่องงมงาย ลมหมุนที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้เพียงพอที่จะทำให้คนขนพองสยองเกล้าแล้ว กอปรกับตอนต่งอ้ายสิ้นลม ทุกคนต่างก็เห็นใบหน้าที่เดิมขาวซีด มาบัดนี้จู่ๆ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ย่อมเป็นการบันดาลโทสะแน่นอน หมายออกหน้าแทนสะใภ้สี่ ทุกคนมีหรือจะไม่กลัว
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ยังคงเป็นสะใภ้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น ไม่เห็นเลี่ยวจิ้งชูเคลื่อนไหว นางที่อยู่ห่างจากโต๊ะวางเครื่องเซ่นไหว้หลายช่วงแขนชั่วแวบเดียวก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้าต่งอ้ายแล้ว มือนวลเนียนดุจหยกยกขึ้นน้อยๆ ขยับผ้าห่มฟ้าดินที่ตลบออกปิดกลับไป บังใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้นไว้
ใบหน้าของต่งอ้ายถูกปิดบังไว้ ลมหมุนก็สลายไป ทุกคนต่างอ่อนแรงทรุดฮวบลงกับพื้น
เลี่ยวจิ้งชูไม่ได้เชื่อเรื่องงมงาย นางย่อมไม่เชื่อว่าต่งอ้ายจะออกหน้าแทนหรือสำแดงฤทธิ์จริง ถึงอย่างนั้นนางก็ถูกทำให้ตะลึงงันไปเช่นกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนกลัว แต่เป็นเพราะใบหน้าที่เขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้น!
เดิมทีเลี่ยวจิ้งชูฟังคนอื่นพูดมารู้สึกขัดหูยิ่ง เพลิงโทสะลุกโชนอยู่ในใจนานแล้ว แต่นางก็รู้ เรื่องพัวพันถึงความบริสุทธิ์ตนเอง นางโต้ข้อกล่าวหาต่อหน้าผู้คน รังแต่จะยิ่งทาก็ยิ่งดำ
จะอย่างไรนางก็เป็นคนยุคปัจจุบัน เห็นทุกคนรังแกหญิงม่ายตัวคนเดียว ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนต่อหน้าต่อตา ในใจก็โกรธยากจะข่มกลั้นอารมณ์ไหว แม้จะรู้ว่าเอ่ยปากโต้แย้งเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนเหล่านี้ได้ใจเช่นนี้ ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั้น นางก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างทางด้านใต้ที่เอากระดาษกรุหน้าต่างออกไปแล้ว จึงพลันเกิดประกายความคิด คิดวิธีให้คนตายช่วยออกหน้าแทนนางออกมาได้
ว่ากันตามข้อเท็จจริง อุปกรณ์สร้างความอบอุ่นในสมัยโบราณค่อนข้างแย่ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยังหนาวเย็นจะไม่เปิดหน้าต่างเร็วเช่นนี้ ทว่าห้องที่ตั้งศพจะต่างออกไป ต้องเผาเงินกระดาษ กระดาษในกระถางดินเผาไม่อาจขาดช่วง เขม่าควันมากเกินไปย่อมต้องเปิดหน้าต่าง
หน้าต่างมีลมเย็นพัดเข้ามาเสมอ ทำให้หญิงสาวนึกถึงภาพยนตร์ชื่อดังของอเมริกาอย่างเรื่อง ‘พายุหมุน’ ซึ่งพายุหมุนนี้เกิดจากกระแสลมร้อนกับกระแสลมเย็นปะทะกัน
การเผากระดาษตามปกติ เพื่อไม่ให้เขม่าควันมากเกินไปและทำให้กระถางดินเผาร้อนมากจนแตกปริ ส่วนใหญ่ก็จะใส่เงินกระดาษลงไปในกระถางทีละแผ่นๆ แต่เลี่ยวจิ้งชูไม่ใช่ คล้ายต้องการจะสร้างความอบอุ่น นางเติมกระดาษลงไปในกระถางดินเผาจนเต็ม เผาจนไฟลุกโชน เปลวไฟลุกสูงเกินคืบ พวกบ่าวไพร่แม้จะเห็นแล้วขัดตา แอบบ่นว่านางใจร้อนเกินไป แต่นางเป็นภรรยาของผู้ตาย ไว้อาลัยด้วยความเศร้าโศกให้สามีที่ตายไป อยากจะส่งเงินให้มากหน่อย ใครก็ไม่กล้าห้ามปราม
เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่นานบริเวณรอบกระถางดินเผาก็ร้อนขึ้นมา ประจวบเหมาะกับลมหนาวขุมหนึ่งพัดเข้ามา ครั้นแล้วจึงเกิดฉากเช่นเมื่อครู่ก่อน
ส่วนที่ว่าลมพัดเปิดผ้าห่มฟ้าดินบนใบหน้าต่งอ้ายออก ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจจนแทบฉี่ราดนั้นกลับเป็นความบังเอิญโดยแท้ เลี่ยวจิ้งชูเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดผลที่เกินความคาดหมายเช่นนี้ ขณะแอบขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยเหลือ นางก็อดตื่นตระหนกตกใจกับใบหน้าของต่งอ้ายไม่ได้
ป่วยด้วยโรคอะไร หลังจากตายไปแล้วจึงทำให้ผิวหน้าของคนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเช่นนี้ได้
พลิกหาในความทรงจำจนทั่ว เลี่ยวจิ้งชูก็คิดอะไรไม่ออก นางพลันรู้สึกว่ามีดวงตาดุจดวงดาวเย็นยะเยือกคู่หนึ่งกำลังมองจ้องนางอยู่ เลี่ยวจิ้งชูมองตอบไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง กลับเป็นสะใภ้ใหญ่ที่กำลังมองประเมินนางอย่างเย็นชา ร่างพลันสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ช่างเป็นแววตาที่คมกริบเยือกเย็นเสียนี่กระไร หรือว่านางไม่กลัวผี
ขณะกำลังคาดเดาก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอก
“บัณฑิตกองอาลักษณ์ ราชบัณฑิตสภาขุนนาง จ้วงหยวนปีที่สิบสองแห่งฮ่องเต้โม่ตี้ ลู่เซวียน ชื่อรอง ลู่เหวินฮั่น มาเคารพศพ!”
ในห้องโถงใหญ่มีเสียงอึงอลดังขึ้นมาทันที มองผ่านผ้าโปร่งบางที่กั้นอยู่ เห็นเพียงบุรุษท่าทางสุภาพเรียบร้อย สวมเสื้อคลุมยาวสีคราม สวมผ้าโพกศีรษะที่ทำจากผ้าไหมสีเขียว เดินเข้ามาตามทางเดินด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
หน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขามีดวงตาลึกล้ำดุจสระน้ำดำมืด เปล่งประกายสดใส หว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความสง่าผ่าเผยแบบปัญญาชน เลี่ยวจิ้งชูมองดวงหน้าที่คล้ายเคยรู้จักมาก่อน จิตใจพลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ
คนผู้นี้คือใคร ไยถึงรู้สึกคุ้นเคยมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.