X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 3

หอจื่ออวิ๋นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ใกล้กับหอเยวี่ยเติงมากจนมองเห็นกันได้ถนัด

หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าใช้เส้นทางลัดอีก พวกเขาอ้อมป่าไผ่เข้าสู่เส้นทางสายหลัก จากนั้นก็วิ่งห้อตะบึงอยู่พักใหญ่กว่าจะมาถึงริมแม่น้ำ

เมื่ออาศัยแสงสว่างจากนอกหน้าต่างรถม้า เถิงอวี้อี้เพ่งพินิจบาดแผลกลางฝ่ามือของญาติผู้พี่อย่างละเอียด คราบเลือดยังไม่ทันแห้งสนิท เป็นรอยบาดเล็กๆ และเข้าเนื้อลึกพอดู เดิมทีนึกว่าบาดเจ็บเพราะปีศาจตนนั้น ทว่ายิ่งมองยิ่งเหมือนบาดแผลโดนกรรไกรเย็บปักแทงมากกว่า

“ท่านป้า ดูนี่สิเจ้าคะ”

ตู้ฮูหยินพลิกมือตู้ถิงหลันตรวจดูบาดแผล ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตอนเช้าออกจากบ้านมายังดีๆ อยู่เลย จะต้องเป็นฝีมือเจ้าปีศาจตนนั้นแน่”

เถิงอวี้อี้มีข้อสงสัยผุดขึ้นในใจมากมาย กรงเล็บคมกริบของเจ้าปีศาจนั้นคล้ายพัดขนาดใหญ่ หากตั้งใจโฉบคว้าไว้จริงมือของญาติผู้พี่คงเป็นแผลเหวอะหวะไปนานแล้ว จะเหลือแค่รอยแผลเล็กแห่งเดียวได้อย่างไร

“ท่านป้า ก่อนหน้านี้พี่สาวเคยบอกท่านว่านางจะออกนอกอารามหรือไม่เจ้าคะ”

ตู้ฮูหยินกล่าวทั้งน้ำตา “เคยบอกอะไรกับข้าที่ใดกัน ข้าไปดูการแสดงกายกรรมข้างหน้า พี่สาวเจ้าไม่อยากดูด้วย บอกว่าจะไปพักผ่อนที่ห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยสักหน่อย ข้าคิดว่าดูการแสดงจบแล้วจะกลับเข้าเมือง ก็เลยไม่ได้ฝืนใจนาง ใครจะรู้ว่าเด็กผู้นี้พอคลาดสายตาก็ออกนอกอาราม มิหนำซ้ำยังเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก”

นางตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ก่อนจะคว้ามือเถิงอวี้อี้ไว้แล้วลดเสียงลงเอ่ยถาม “เด็กดี เจ้ากับพี่สาวเขียนจดหมายหากันตลอด เคยได้ยินพี่สาวพูดถึงคุณชายน้อยคนใดในจดหมายบ้างหรือไม่”

คำถามข้อนี้เถิงอวี้อี้เคยครุ่นคิดมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันรอบ แต่ตอนเกิดเรื่องนางไม่ได้พบหน้าญาติผู้พี่มานานกว่าครึ่งปี พวกนางสองคนอยู่ห่างไกลกันคนละที่ ญาติผู้พี่ยังมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ จะระบายเรื่องในใจให้นางฟังต่อหน้าเท่านั้น ไม่มีทางเขียนลงในจดหมายโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเด็ดขาด

“พี่สาวชอบส่งของแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ข้าเป็นประจำ แต่ในจดหมายไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย กลับต้องถามท่านป้ามากกว่า หลายวันมานี้เวลาอยู่ในจวนพี่สาวมีท่าทีผิดแปลกตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”

ตู้ฮูหยินยังมิคลายความหวาดกลัว นางคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานสองนาน “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักพี่สาวผู้นี้ นางเป็นคนสุขุมหนักแน่นมาแต่ไหนแต่ไร คิดทำทุกอย่างรอบคอบรัดกุม ต่อให้เจอเรื่องไม่สบายใจอะไรก็ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้าชัดๆ เลย ระยะนี้ข้าเห็นนางดูเศร้าซึมไปบ้างเลยเอาใจใส่กิจวัตรนางแต่ละวันมากขึ้น แต่แปลกใจที่ไม่พบเจออะไรผิดปกติ ไม่กี่วันก่อนพอได้ยินว่าเจ้าจะมาฉางอันพี่สาวก็ย้ายที่นอนกับผ้าห่มของเจ้าไปไว้ที่ห้องของนาง รวมทั้งอาหารที่เจ้าเคยพูดถึงกับนาง เตรียมทุกอย่างรอเจ้าล่วงหน้า ข้าเห็นนางร่าเริงไม่เหมือนมีเรื่องในใจก็เลยปล่อยไปน่ะสิ”

ตู้ฮูหยินทุบหน้าอกด้วยความเสียใจ “ข้าก็เลอะเลือนนัก ในอารามผู้คนมากหน้าหลายตา ปล่อยให้นางอยู่ที่สวนด้านหลังเพียงผู้เดียวได้อย่างไรกัน ถ้าเกิดช่วยนางไว้ไม่ได้ข้าก็ไม่อยากอยู่แล้ว”

เถิงอวี้อี้จับหัวไหล่ตู้ฮูหยินเอาไว้ “พวกเราเชิญนักพรตชิงซวีจื่อมาแล้ว ยังกลัวว่าจะช่วยพี่สาวไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ ตอนนี้พี่สาวรอรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เรื่องทั้งหมดต้องอาศัยท่านป้าตัดสินใจ ถ้าหากท่านไม่ควบคุมสติให้อยู่จะรับมือเรื่องต่อจากนี้ได้เช่นไร”

ตู้ฮูหยินตกตะลึงไปชั่วขณะ นางเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้า “เด็กดี เจ้าเสียอีกที่เข้าใจเรื่องราว นี่ป้าร้อนใจจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว”

พอกล่าวจบนางก็ฝืนทำจิตใจสงบเยือกเย็น เลิกผ้าม่านสั่งกำชับบ่าวไพร่ของตน “ส่งคนกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าวให้นายท่านกับคุณชายใหญ่ทราบเร็วเข้า ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี!”

เถิงอวี้อี้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าไผ่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เผอิญว่ารถม้าวิ่งผ่านหอเยวี่ยเติงพอดี นางหันหน้ามองออกไปด้านนอกไปโดยไม่รู้ตัว

ในหอสูงแห่งนั้นจุดโคมไฟสว่างเรืองรอง งานเลี้ยงของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อคงเริ่มขึ้นแล้ว

แขกเหรื่อล้วนเข้าไปในงานกันหมด ประตูปิดสนิทแน่นหนา เลิกคิดมองหาช่องโหว่จากด้านนอกไปได้เลย นางจ้องมองอย่างจริงจังอยู่นาน จะสงสัยสักเพียงใดก็ได้แต่ปล่อยผ่านไป

เมื่อมาถึงหน้าหอจื่ออวิ๋น ขันทีอาวุโสแลดูอายุมากพอสมควรก็เดินออกมาต้อนรับ

“ตอนแรกท่านนักพรตดื่มสุราอยู่ด้านใน พอได้ยินว่าการแข่งจีจวีที่หอเยวี่ยเติงเริ่มขึ้นแล้วก็หายลับไปไม่เห็นเงาทันที จวิ้นอ๋องกลัวว่าจะเสียเวลาจึงสั่งให้ข้าน้อยรออยู่ที่นี่ ท่านจะไปตามท่านนักพรตเอง”

ตู้ฮูหยินไม่มีเวลาจะขบคิดว่าเหตุใดนักพรตเฒ่าในวัยเกือบเจ็ดสิบปีถึงสนใจการแข่งจีจวีขึ้นมาได้ นางรีบลงจากรถม้าพร้อมเอ่ยว่า “ทุกอย่างคงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องแล้ว”

ขันทีอาวุโสสั่งคนยกเกี้ยวเล็กๆ หลายหลังออกมา “จวิ้นอ๋องระลึกถึงบุญคุณที่ท่านแม่ทัพเถิงช่วยชีวิตในปีนั้นเสมอ คืนนี้บังเอิญมาพบกันเข้า การตอบแทนบุญคุณเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านหลายคนต่างตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ต่อให้ไม่นับรวมน้ำใจไมตรีในปีนั้นจวิ้นอ๋องก็ไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่แล้ว”

ทันใดนั้นเองสายลมยามค่ำคืนโชยพัดม่านเกี้ยวม้วนตลบขึ้นไป ตู้ถิงหลันสำลักอากาศ สีเทาเหลือบทองชวนขนลุกแผ่ขยายทั่วใบหน้า ปีกจมูกขยับเล็กน้อย ก่อนอาเจียนเลือดสีดำออกมาคำโต

สภาพการณ์ตรงหน้าแปลกประหลาดเกินบรรยาย เถิงอวี้อี้กับตู้ฮูหยินหวาดผวาจับใจ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับคราบเลือดไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ดูท่าคงจะโดนลมเย็นไม่ได้ รบกวนกงกงรีบพาพวกเราเข้าไปด้านในด้วย”

ขันทีอาวุโสทราบแต่เพียงว่าพวกนางปะทะกับสิ่งชั่วร้ายมา ไม่คาดคิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงเพียงนี้ เขารีบกล่าวว่า “ตามข้าน้อยมาโดยไว คุณหนูรองบุตรสาวใต้เท้าต่งนายอำเภอวั่นเหนียนก็เพิ่งตกใจเสียขวัญมา เดิมทีจะรีบกลับเข้าเมืองไปรักษา พอรู้ว่าจวิ้นอ๋องเชิญท่านนักพรตมาได้จึงฝากคนที่นี่ดูแลชั่วคราว ยามนี้ส่งนางเข้าไปในหอจื่ออวิ๋นแล้วเช่นกัน”

ตู้ฮูหยินพยักหน้ารับรู้ ยามฮ่องเต้เสด็จมาร่วมงานเลี้ยงดื่มสุรา ปกติจะมีรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นร่วมตามเสด็จ หากไม่มีผู้มีฐานะสูงส่งคนใดเชื้อเชิญ ขุนนางทั่วไปไม่อาจย่างเท้าเข้าหอจื่ออวิ๋นได้

ในหอจื่ออวิ๋นนอกจากหอกลางที่ใช้จัดงานเลี้ยงแล้ว ยังมีเรือนที่พักน้อยใหญ่อีกนับสิบแห่ง ครองอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง สามารถรองรับแขกเหรื่อได้นับพันคน

ขันทีอาวุโสไม่ได้นำพวกเขาผ่านเข้าหอกลาง แต่มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนที่พักด้านหลัง

เหล่าสตรีจากครอบครัวขุนนางส่วนใหญ่กำลังร่วมงานเลี้ยงอยู่ในหอกลาง ทว่าในเรือนที่พักก็มีสตรีสูงศักดิ์สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราไม่น้อย แต่ก่อนหากมีสตรีนางใดเผลอดื่มสุราจนเมามายมักจะนั่งเกี้ยวเล็กลอบหลบออกไปตามลำพัง ขันทีอาวุโสไม่อยากให้เป็นที่สะดุดตาจึงตระเตรียมเกี้ยวเล็กไว้หลายหลังโดยเฉพาะ

ระหว่างเดินผ่านลานกว้างในสวนเครื่องดนตรีหลากชนิดร่วมบรรเลงเสียงประสาน นางรำเกือบร้อยคนเดินเยื้องกรายเข้าสู่กลางลาน ก่อนจะขยับกายร่ายรำอย่างมีชีวิตชีวา

เถิงอวี้อี้สายตามองตรงไม่มีว่อกแว่ก ติดตามอยู่ข้างหลังขันทีอาวุโสไม่ห่าง

ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงศาลาหลั่นสยา เรือนที่พักแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือในสวนด้านหลัง หน้ามีภูเขาจำลอง หลังมีกำแพงโอบล้อม ผู้คนต่างรังเกียจว่าทิวทัศน์ไม่เจริญหูเจริญตา มักจะมีแค่สตรีที่ดื่มสุราเมามายยอมมาเดินเตร็ดเตร่ที่นี่

ขันทีอาวุโสรู้ดีว่าบริเวณนี้เงียบสงบกว่าที่อื่น จึงตั้งใจพาคนเจ็บมาพักรักษาตัว

พวกเขาเพิ่งจะก้าวเข้ามาในเขตเรือนที่พัก จู่ๆ ก็มีคนอุทานด้วยความตกใจว่า “เหตุใดมีบุรุษซ่อนตัวอยู่ในเกี้ยวหลังเล็กได้!”

ทุกคนหยุดฝีเท้าทันใด ที่แท้มีขันทียกเกี้ยวขาสะดุดตอนก้าวลงบันได ไม่ทันระวังทำให้ขาตวนฝูโผล่ออกมา พอเห็นรองเท้าหุ้มข้อทรงสูงก็เลยรู้ว่าเป็นบ่าวชาย

เถิงอวี้อี้กับตู้ฮูหยินหันมาสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้กลัวจะเกิดปัญหายุ่งยากตามมาจึงพยายามคลุมเกี้ยวของตวนฝูให้มิดชิดแล้ว ตามหลักแล้วไม่น่าเผยช่องโหว่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดขันทีวังหลวงถึงเดินสะดุดกะทันหัน

เสียงของผู้เอ่ยวาจาคือเหล่าสตรีจากครอบครัวขุนนางใหญ่ พวกนางประโคมแต่งกายเต็มที่ทั้งทัดดอกไม้และพกหยกประดับ จับจูงมือกันเดินมาด้วยสีหน้าเมามายเล็กน้อย ดูจากรูปการณ์คงจะมาแวะพักผ่อนที่ศาลาหลั่นสยา

“เวินกงกง จะให้บ่าวไพร่หยาบกระด้างมาอยู่ในสวนด้านหลังได้อย่างไรกัน ยังไม่รีบให้คนพรรค์นี้ออกไปอีก!”

ขันทีอาวุโสเผยสีหน้ายิ้มแย้ม ก้าวออกมาคารวะพลางว่า “เสียมารยาทแล้ว นี่คือคุณหนูครอบครัวแม่ทัพเถิงหรือไหวหนานเจี๋ยตู้สื่อ ส่วนท่านนี้คือฮูหยินของมหาบัณฑิตตู้แห่งสำนักการศึกษา ค่ำคืนนี้ระหว่างเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงเผชิญเหตุไม่คาดฝัน ตอนนี้รอการรักษาอย่างเร่งด่วนอยู่ ฉุนอันจวิ้นอ๋องได้ยินว่ามีคนเจ็บหลายคนจึงล่วงหน้าไปเชิญท่านนักพรตแล้ว ก่อนไปสั่งการให้ข้าน้อยจัดการดูแลคนเจ็บให้ดี เนื่องจากเหตุการณ์กระชั้นชิดไม่ทันได้รายงานทั่วถึง คุณหนูทุกท่านโปรดอย่าได้ตำหนิเลย”

สีหน้าคุณหนูทั้งหลายคลายโทสะลงเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง พวกข้าขวัญอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร จู่ๆ มองเห็นในเกี้ยวเล็กซ่อนตัวบ่าวไพร่หยาบกระด้างผู้หนึ่ง ก็เลยเข้าใจผิดว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในสวนด้านหลัง เมื่อครู่เสียมารยาทไป รับคำขออภัยจากพวกเราด้วยก็แล้วกัน”

มุมปากเถิงอวี้อี้ปรากฏรอยยิ้มจางๆ นางแหวกผ้าโปร่งบางสีดำของหมวกม่านแพรแล้วค้อมกายคารวะตอบ “มิอาจรับไว้ได้หรอกเจ้าค่ะ เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันจนพลาดพลั้งล่วงเกินไปมาก จะว่าไปแล้วเป็นความผิดของพวกเราทั้งสิ้น”

เหล่าคุณหนูเห็นนางกิริยานอบน้อมนุ่มนวล ในใจก็เกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา มีบางคนลดเสียงลงเอ่ยว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนเคยได้ยินว่ามีปีศาจร้ายออกอาละวาด ระหว่างนั้นมีคุณหนูตายไปตั้งหลายคน แต่พวกนางร่างกายไร้ร่องรอยบาดแผล ทางการจึงเข้าใจผิดว่าตายโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย จนกระทั่งมีคนมาร้องเรียนมากเข้า เรื่องก็เลยไปสะเทือนถึงศาลต้าหลี่น่ะสิ”

เถิงอวี้อี้พลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ในชาติก่อนช่วงญาติผู้พี่ประสบเหตุร้ายไม่เคยได้ยินว่าเมืองฉางอันมีปีศาจออกอาละวาด บริเวณลำคอของญาติผู้พี่มีรอยโดนรัดชัดเจน แสดงให้เห็นว่าถูกคนทำร้ายแน่นอน เหตุใดถึงกล่าวว่า ‘ร่างกายไร้ร่องรอยบาดแผล’ หรือว่าปีศาจที่พบในป่าคืนนี้มิใช่ผู้ร้ายที่สังหารญาติผู้พี่ในชาติก่อน

“ในเมื่อเชิญศาลต้าหลี่กับนักพรตชิงซวีจื่อมาได้แล้ว สุดท้ายจะเป็นตัวอะไรออกอาละวาดคิดว่าเร็วๆ นี้คงตรวจสอบจนกระจ่างได้ คุณหนูเถิง ปล่อยให้บ่าวชายผู้นี้รอการรักษาอยู่ข้างนอกก็พอ ไยต้องพาเขาเข้ามาในเขตเรือนที่พักด้วย”

ตู้ฮูหยินแย้มยิ้มพลางตอบว่า “เพราะไม่อาจโดนลมเย็นได้ ถ้าหากให้รั้งรออยู่ข้างนอกเกรงว่าไม่ทันรักษาก็คงไม่รอดแล้ว จะว่าไปเขาทุ่มเทปกป้องเจ้านายถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จะทอดทิ้งไม่เหลียวแลได้อย่างไร”

คุณหนูทั้งหลายมีสีหน้าลังเล “แต่ว่าในงานมีคุณหนูหลายคนดื่มจนเริ่มเมาแล้ว ถ้าหากปล่อยให้บ่าวชายผู้นี้มานอนอยู่ในเรือนอย่างเปิดเผย แล้วเวลาพวกนางมาพักผ่อนที่นี่ โดนเขาล่วงเกินเข้าจะทำเช่นไรดีเล่า”

เวินกงกงเอ่ยตอบ “เป็นเพราะข้าน้อยคิดไม่รอบคอบเอง เข้าใจว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นสตรีทั้งหมด ตอนรอรับคุณหนูเถิงกับตู้ฮูหยินตรงหน้าประตูถึงรู้ว่ามีบ่าวชายได้รับบาดเจ็บด้วย ก่อนหน้านี้จัดการให้คุณหนูรองบุตรสาวนายอำเภอต่งเข้าพักที่ศาลาหลั่นสยาไปแล้ว ไม่สามารถหาเรือนที่พักอื่นได้ชั่วขณะ จำต้องทำเช่นนี้ไปชั่วคราว แต่คุณหนูทุกท่านวางใจได้ ข้าน้อยสั่งการให้คนเตรียมเรือนเจาเล่อด้านข้างแล้ว ใช้เวลาอย่างมากที่สุดหนึ่งเค่อก็เรียบร้อย”

พอท่าทีของพวกนางเริ่มผ่อนคลายลง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร”

สตรีรูปโฉมงามพิลาสล้ำนางหนึ่งเดินกรีดกรายเข้ามาในเรือนที่พัก นางย่างก้าวไปพลางใช้นัยน์ตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวาเหลียวมองผู้คนโดยรอบไปด้วย จอนผมของสตรีผู้นี้ทัดประดับด้วยชุ่ยเตี้ยนกลิ่นอายสง่างามเยือกเย็น ท่วงทีกิริยาล้วนไม่ธรรมดา

เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ต่างทยอยเข้ามาคารวะ นางคือฮูหยินอันกั๋วกงนั่นเอง

ในชาติก่อนแม้เถิงอวี้อี้จะอยู่ในเมืองฉางอันไม่นานนัก ทว่าเคยพบหน้าสตรีจากครอบครัวชนชั้นสูงและขุนนางผู้ใหญ่มาไม่น้อย จึงจดจำได้อย่างเลือนรางว่าหลังภรรยาคนแรกของอันกั๋วกงจากโลกนี้ไป เขาก็แต่งน้องสาวผู้ครองตัวเป็นม่ายของนางจากสกุลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นเป็นภรรยาใหม่

ใบหน้าสตรีจากสกุลหลี่ผู้นี้งามเด่นสมเป็นโฉมสะคราญ ทั้งยังเชี่ยวชาญการดนตรีมาแต่ครั้งเยาว์วัย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลี่รักทะนุถนอมบุตรสาวผู้นี้ดุจไข่มุกบนฝ่ามือ เฝ้าสดับฟังนางลูบพรมฉินทุกวันไม่ขาด

ครั้งยังเป็นเพียงคุณหนูสกุลหลี่ ก็เป็นบุตรสาวที่มีใจกตัญญู ปรนนิบัติดูแลข้างกายมารดาด้วยดีจนถึงอายุยี่สิบกว่าปีจึงแต่งออกไป เดิมทีถือเป็นวาสนาครองคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ไหนเลยจะคาดคิดว่าอยู่กินกันไม่ถึงสามปีสามีของนางก็ตกจากหลังม้าสิ้นใจไปก่อน

คุณหนูสกุลหลี่เดินทางไกลมาเยือนเมืองฉางอันด้วยจิตใจหดหู่ อันกั๋วกงบังเอิญพบหน้านางเข้า เพียงแรกเห็นก็ตกตะลึงคิดว่าเป็นเทพธิดาจากสวรรค์ วันต่อมาก็เชิญแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอถึงบ้าน

ในความทรงจำของเถิงอวี้อี้ ฮูหยินคนใหม่ของอันกั๋วกงสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่ชมชอบการคบค้าสมาคมกับผู้ใด ฉะนั้นชาติก่อนนางจึงไม่เคยพบเจอ มาค่ำคืนนี้เห็นด้วยตนเองแล้วถึงได้รู้ว่าคุณหนูสกุลหลี่ที่เล่าลือกันงดงามสะกดสายตาเช่นนี้นี่เอง

มีใครบางคนอธิบายเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว ฮูหยินอันกั๋วกงเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้นเล็กน้อย

“คืนนี้เรือนที่พักแต่ละแห่งล้วนมีคนจับจองหมดแล้ว เหลือเพียงศาลาหลั่นสยาที่ยังว่างอยู่ ไม่ให้พวกเราพักที่นี่รอสร่างเมา แล้วยังเหลือที่ใดให้ไปได้อีกหรือ ก่อนหน้านี้พวกนางบังคับข้าดื่มไปพอสมควร ข้ารู้สึกใจสั่นอยู่ตลอด ถ้าหากไม่ได้พักผ่อนเกรงว่าคงได้ล้มป่วยน่ะสิ”

เวินกงกงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา คืนนี้ลมกระโชกแรงมากทีเดียว ม่านพลิ้วไหวของเกี้ยวหลังเล็กไม่อาจกันลมได้อยู่แล้ว เมื่อครู่เขาก็เพิ่งได้รับบทเรียนมา คุณหนูสกุลตู้โดนลมเข้าหน่อยก็หน้าเปลี่ยนสีได้น่ากลัวปานนั้น หากบ่าวชายผู้นี้นอนอยู่ตรงช่องลมเกรงว่าต้องตายในไม่ช้านี้แน่

ตู้ฮูหยินมองสำรวจอาการตู้ถิงหลันในเกี้ยวหลังเล็ก ลมหายใจรวยรินเต็มที มือเท้าเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว จะต้องยกเกี้ยวพานางเข้าไปพักในห้องประเดี๋ยวนี้เลย ทว่าพอเห็นท่าทางของฮูหยินอันกั๋วกงดูท่าจะไม่ยอมปล่อยให้เข้าเรือนแห่งนี้โดยง่าย

“ยังมัวรออะไรอยู่ รีบโยนเขาออกไปได้แล้ว คงไม่ตายง่ายๆ หรอก เป็นแค่บ่าวไพร่ทำงานหยาบๆ กลับมีฐานะสูงส่งกว่าเจ้านายเสียอีกนะ” ดูเหมือนฮูหยินอันกั๋วกงจะเมามายไม่เบา หลังกล่าวจบแล้วก็ยกมือยันหน้าผาก เดินโงนเงนกลับเข้าไปในเรือน

ตู้ฮูหยินร้อนใจแทบทนไม่ไหว ขณะครุ่นคิดถ้อยคำเตรียมเอ่ยปากเถิงอวี้อี้กลับชิงออกหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง นางยิ้มบางๆ แล้วอธิบาย

“ฮูหยินอันกั๋วกงอาจไม่ทราบเรื่อง เวินกงกงนำร่างผู้บาดเจ็บมาไว้เรือนที่พักเดียวกันนั้นมีเหตุผลอยู่ ข้อแรกท่านนักพรตมาถึงแล้วจะได้ทำพิธีสะดวก ข้อสองก็เพื่อเร่งสืบหาเบื้องหลังของปีศาจที่ออกอาละวาดโดยเร็วที่สุด ปีศาจตนนี้ปรากฏตัวได้น่าพิศวง ดุร้ายอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากไม่เร่งมือปราบมันให้ราบคาบ เหยื่อรับเคราะห์รายต่อไปไม่รู้ว่าจะเป็นคุณหนูเรือนใดกัน”

คุณหนูทั้งหลายตกใจหน้าเปลี่ยนสี ฮูหยินอันกั๋วกงหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมามองสำรวจเถิงอวี้อี้

เถิงอวี้อี้กล่าวเสริม “ตอนเกิดเรื่องทุกท่านไม่ได้อยู่ในป่าไผ่ ไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นโหดเหี้ยมเพียงใด กรงเล็บของมันใหญ่โตถึงเพียงนี้ โฉบลงมาครั้งเดียวก็คร่าชีวิตคนได้แล้ว ยามกระโจนเข้าใส่เหยื่อยังทำได้เงียบกริบไม่มีเสียงสักนิดเลยด้วย”

ทุกคนในลานกว้างหันมาสบตากัน ความหวาดกลัวในแววตายิ่งฉายชัดกว่าเดิม

เถิงอวี้อี้กล่าวสำทับ “ปีศาจเช่นนี้หากไม่เร่งรีบกำจัด ฉางอันคงไม่มีวันสงบสุข วันหน้ายามคุณหนูทั้งหลายออกจากบ้านอาจเผชิญหน้ากับมันได้ตลอดเวลา ตอนนี้หวังเพียงว่าท่านนักพรตจะจับปีศาจนั้นได้สำเร็จ แต่ว่าถึงท่านนักพรตจะมีฝีมือล้ำเลิศปานใด ก็ยังต้องช่วยชีวิตบ่าวผู้นี้ก่อน เหตุผลน่ะหรือ…”

ฮูหยินอันกั๋วกงถูกดึงดูดความสนใจเข้าจนได้ “ขออภัยที่ข้ามีตาแต่ไร้แวว มองไม่ออกจริงๆ ว่าบ่าวผู้นี้มีความสามารถอะไร เจ้าลองว่ามาสิ เพราะเหตุใดท่านนักพรตถึงต้องช่วยชีวิตเขาก่อนด้วย”

เถิงอวี้อี้ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยตอบ “ท่านนักพรตไม่เคยพบปีศาจตนนี้ ถ้าหากตอนประมือกันไม่อาจล่วงรู้ถึงเบื้องหลังมันอย่างกระจ่างชัด ก็เป็นไปได้สูงว่าปีศาจจะฉวยโอกาสหลบหนีไปได้ แต่สำหรับบ่าวผู้นี้นั้นไม่เหมือนกัน นอกจากเขาจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาปีศาจชัดเจน ยังรู้ดีด้วยว่ามันออกกระบวนท่าโจมตีเช่นไร นี่ล่ะสมกับคำกล่าวว่ารู้เขารู้เรา หากคิดจับปีศาจ จะปล่อยให้บ่าวผู้นี้เป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่แค่สูญเสียไม่ได้ ยังต้องหาวิธีทำให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็วด้วย”

บรรยากาศเคร่งเครียดของเหล่าสตรีสูงศักดิ์เริ่มคลี่คลาย ฮูหยินอันกั๋วกงสีหน้าแปรเปลี่ยนจนมิอาจคาดเดา เท่าที่สังเกตเห็นไม่มีเจตนาจะขัดขวางอีกแล้ว

“ลืมบอกไปอีกอย่าง” เถิงอวี้อี้กล่าวเสริมพร้อมปั้นหน้าเคร่งขรึม “หากไม่ได้บ่าวผู้นี้เสียสละตัวเข้าขวางพักใหญ่ ปีศาจตนนั้นอาจจะบุกมาก่อความวุ่นวายถึงหอจื่ออวิ๋น ทำลายงานเลี้ยงพังเป็นเรื่องเล็ก ทำร้ายคนบาดเจ็บสิเรื่องใหญ่”

คุณหนูในที่นี้ต่างหลั่งเหงื่อเย็นท่วมแผ่นหลังอยู่นานแล้ว ได้ยินประโยคนี้ก็เกือบหลุดอุทานออกมาเบาๆ

เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองจากทางซ้ายไปทางขวา ถือโอกาสให้เวินกงกงยกร่างคนเจ็บเข้าไปข้างใน ชั่วพริบตาเดียวพอไปถึงระเบียงทางเดิน ก็หันกลับมาย่อเข่าคารวะ “ขอบคุณฮูหยินมากที่หลีกทางให้”

นัยน์ตาเกียจคร้านของฮูหยินอันกั๋วกงแฝงรอยยิ้มบางเบา “เจ้าเป็นบุตรสาวบ้านใดกัน ไม่เคยเห็นเจ้าในฉางอันมาก่อน”

เวินกงกงกับตู้ฮูหยินยุ่งกับการจัดเตรียมดูแลคนเจ็บ เถิงอวี้อี้อยากตามเข้าไปในห้องด้วย ทว่าจำต้องอดทนและฝืนยิ้มเอาไว้ “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยแซ่เถิง ท่านพ่อคือไหวหนานเจี๋ยตู้สื่อ นามว่าเถิงเซ่าเจ้าค่ะ”

“ที่แท้เป็นบุตรสาวแม่ทัพเถิงนี่เอง เมื่อครู่ข้าเมามายจนเสียมารยาทไป ถ้าเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต้องขออภัยคุณหนูเถิงด้วย”

เถิงอวี้อี้แสร้งวางมาดเป็นคนใจกว้าง “ฮูหยินกล่าวหนักไปแล้ว เป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น”

ฮูหยินอันกั๋วกงปิดปากหัวเราะ “ข้ารู้ว่าคุณหนูเถิงยังโกรธเคืองข้าอยู่ ตอนนี้ข้าสร่างเมาพอดี เข้าใจกระจ่างว่าอะไรเป็นอะไร เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะให้ของดีกับเจ้าอย่างหนึ่ง ถือว่าชดเชยความผิดของข้า”

นางดึงถุงหอมออกจากเอว หยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีเขียวหยกขนาดเล็กใบหนึ่งขึ้นมา

“เมื่อปีกลายท่านกั๋วกงได้มาจากนักพรตชิงซวีจื่อ ว่ากันว่าป้องกันพิษได้สารพัดชนิด ข้าผู้นี้ขวัญอ่อนเป็นที่สุด หลังจากได้ยาขวดนี้มาก็พกติดตัวเสมอ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก ไม่กี่เดือนก่อนข้ากับแม่นมไปเที่ยวเล่นที่ตำบลเหวยชวี ไม่ทันระวังพบเจอสิ่งชั่วร้ายเข้า นอกจากแม่นมจะหมดสติไม่ยอมฟื้น ร่างกายยังเปลี่ยนสีราวกับอาบย้อมด้วยผงทอง ข้าตกใจกลัวแทบแย่ ก่อนจะคิดถึงยาขวดนี้ขึ้นมาได้ จึงลองป้อนให้นางเม็ดหนึ่งด้วยความรีบร้อน เวลาผ่านไปแค่ครึ่งก้านธูปก็ดีขึ้นแล้ว”

เถิงอวี้อี้ฟังคำบอกเล่าเช่นนี้แล้วก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ ไม่นึกเลยว่าจะสอดคล้องกับอาการของญาติผู้พี่ในตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน

ตู้ฮูหยินกับผู้ดูแลหญิงของนายอำเภอต่งได้ยินคำพูดหลายประโยคของนาง ก็รีบแหวกผ้าม่านเดินออกมาจากในห้อง

“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าไปเจอสิ่งชั่วร้ายอะไรมา แต่นักพรตชิงซวีจื่อมีพลังฝีมือลึกล้ำ ยาที่เขาปรุงขึ้นจะต้องขับไล่สิ่งชั่วร้ายไปได้แน่ พวกเจ้าลองเอาไปใช้ก่อนก็ได้ บางทีอาจจะต้านทานได้สักระยะ”

ตู้ฮูหยินดีใจอย่างไม่คาดฝัน ชีวิตบุตรสาวแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอมาพักใหญ่นักพรตชิงซวีจื่อก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที สำหรับนางยาวิเศษนี้จึงเป็นดั่งหยาดฝนพร่างพรมหลังภัยแล้งอันยาวนาน นางรีบเดินลงจากบันได แล้วคุกเข่าคารวะเต็มพิธีการ “ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ”

เถิงอวี้อี้ในใจเฝ้าครุ่นคิดเพียงว่าจะช่วยชีวิตญาติผู้พี่กับตวนฝูเช่นไร เมื่อนางเก็บงำจิตใจอันคับแคบไปได้ ก็ยอบกายคารวะอย่างเป็นงานเป็นการตามตู้ฮูหยิน

ฮูหยินอันกั๋วกงสั่งคนประคองพวกนางให้ลุกขึ้น ก่อนกล่าวแก้ต่างเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำน่าขบขันของตนเองว่า “ใครใช้ให้ข้าเมามายแล้วทำตัวเสียมารยาทเล่า ให้ของแทนคำขอโทษก็สมควรแล้ว เช่นนี้นับว่าไม่เกิดความเข้าใจผิดคงไม่ได้ทำความรู้จักกันกระมัง ข้ายิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเด็กผู้นี้น่าเอ็นดูนัก มานี่สิ ถอดหมวกม่านแพรให้ข้าดูหน้าเสียหน่อย”

เถิงอวี้อี้เลิกผ้าเนื้อโปร่งสีดำขึ้นตามคำขอ ทว่านางบังเอิญก้มลงมองพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นดวงตาพลันฉายแววตะลึงงัน

ทุกอากัปกิริยาของฮูหยินอันกั๋วกงมีจริตเย้ายวน นางกุมมือเถิงอวี้อี้ไว้พลางว่า “ ‘ความรุ่งเรืองทั่วสี่ทิศ พรรณนาไว้ที่ก่วงหลิง’ ได้พบหญิงงามเช่นคุณหนูเถิง ข้าถึงรู้ว่าความโด่งดังของหยางโจวมาจากที่ใด ข้าอยากไปท่องเที่ยวหยางโจวมานานแล้ว แต่จนปัญญาที่ร่างกายสู้ไม่ไหว หาได้ยากที่จะพบคนถูกชะตา คุณหนูเถิงจะยอมพูดคุยเรื่องราวของที่นั่นให้พวกเราฟังสักหน่อยได้หรือไม่”

คุณหนูทั้งหลายหยอกล้ออย่างสุภาพ “ปกติเคยได้ยินแต่ว่าฮูหยินอันกั๋วกงเชี่ยวชาญเป็นเลิศทั้งด้านบทกวี สุรา และการบรรเลงฉิน แทบไม่เคยเห็นฮูหยินสนใจอะไรถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรคนบาดเจ็บหลายคนนั้นก็ได้ยาช่วยชีวิตแล้ว ไปนั่งพูดคุยให้สร่างเมาในห้องข้างๆ ดีกว่า รอท่านนักพรตมาถึงแล้วค่อยไปก็ไม่สาย”

นางเพิ่งจะรับของขวัญจากผู้อื่นมา จึงไม่อาจกล่าวคำว่า ‘ไม่’ ออกไปได้เลย

ตู้ฮูหยินร้อนใจอยากจะเข้าห้องไปดูแลคนบาดเจ็บ นางตบหลังมือเถิงอวี้อี้แผ่วเบา ลดเสียงลงเอ่ยว่า

“ไปเถอะ ป้าจะเข้าไปป้อนยาในห้องแล้ว เจ้าเพิ่งมาถึงฉางอัน ถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกับคุณหนูเหล่านี้เพิ่มขึ้นบ้างสิ วันข้างหน้าจะได้ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมกว่าเดิม”

เถิงอวี้อี้จ้องมองมือข้างนั้นของฮูหยินอันกั๋วกงที่กุมมือตนเองอยู่ ในใจมีแต่ความหวาดกลัวระคนสงสัยไม่คลาย พอใคร่ครวญชั่วครู่ก็ฝืนยิ้มตอบรับ

เนื่องจากโดนโอบล้อมไว้ทั้งสองด้าน เถิงอวี้อี้จึงจำใจเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเหล่าคุณหนู ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ก็มีของชิ้นหนึ่งหลุดจากเข็มขัดเตี๋ยเซี่ยที่คาดเอวไว้ พอร่วงลงบนพื้นเสียงดังตุ้บมันก็กลิ้งหลุนๆ ไปตลอดทาง จนถึงปลายเท้าฮูหยินอันกั๋วกงถึงค่อยหยุดนิ่ง

ที่แท้ของสิ่งนั้นคือผ้าแพรปักดิ้นเงินรูปร่างกลมดิก เถิงอวี้อี้กะพริบตาปริบๆ

“ขออภัยเจ้าค่ะ เป็นถุงหอมของข้าเอง”

นางค่อยๆ เดินออกห่างจากพวกคุณหนูทั้งหลายแล้วก้าวออกไปเก็บของสิ่งนั้น ขณะลุกขึ้นยืน ‘ไม่ทันระวัง’ ไปแตะโดนแขนข้างขวาของฮูหยินอันกั๋วกงเข้า สัมผัสได้ว่าภายใต้ผ้าเนื้อนิ่มเบาบางชั้นหนึ่งเป็นบางสิ่งแข็งกระด้างจนเจ็บมือ

เถิงอวี้อี้ประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด กวาดสายตามองไปรอบเรือนที่พัก

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งก็ร้อนอกร้อนใจเหลือเกินแล้ว เห็นตู้ฮูหยินกำลังจะแบ่งยาให้สตรีนางนั้น ก็สาวเท้าก้าวเข้าไปแย่งขวดยามาเสีย “ช้าก่อน”

ทุกคนต่างตะลึงงัน

เถิงอวี้อี้เหม่อมองขวดยาใบนั้น ทว่าโสตประสาทกลับจดจ่ออยู่กับความเคลื่อนไหวโดยรอบ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรศาลาหลั่นสยาจึงบรรยากาศเงียบสนิทวังเวงปานนี้ เดิมทีสมควรมีเสียงดนตรีดังครึกครื้นจากข้างนอก ตอนนี้กลับไร้ซึ่งเสียงใดลอยปะปนให้ได้ยิน

ยามนี้สถานการณ์แปลกประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้ เถิงอวี้อี้ข่มกลั้นความหวาดกลัวที่ปั่นป่วนในอก เอ่ยปากอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ฮูหยิน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัวคลื่นไส้ คิดว่าคงแปดเปื้อนพลังชั่วร้ายจากปีศาจนั่นมาด้วย ไม่รู้ว่ากินยานี้แล้วจะได้ผลหรือไม่”

“แน่นอนว่าย่อมได้ผล”

ตู้ฮูหยินเพิ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ นางรีบเดินปรี่เข้ามาสังเกตสีหน้าเถิงอวี้อี้ “อวี้เอ๋อร์?”

เถิงอวี้อี้ปลอบโยนนาง “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้ากินยาเดี๋ยวก็หายแล้ว”

นางพยายามบิดเปิดขวดยา ก่อนจะกล่าวอย่างหมดหนทาง “ข้าเปิดขวดใบนี้ไม่ได้ ฮูหยินโปรดช่วยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”

“เรื่องแค่นี้มีอะไรยากกัน ส่งขวดมาให้ข้าก็จบแล้ว”

เถิงอวี้อี้ทำทีชี้แขนขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมาตลอดของฮูหยินอันกั๋วกง “ฮูหยิน ตั้งแต่เข้าเขตเรือนมาก็ไม่เห็นท่านยกมือข้างนี้ขึ้นมาเลย หรือว่าจะได้รับบาดเจ็บ”

ฮูหยินอันกั๋วกงพลันโกรธจัดจนหน้าเปลี่ยนสี

เถิงอวี้อี้ขันอาสาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง “ข้ากับท่านพ่อเคยเรียนวิธีนวดคลายเส้นจากชาวหูมาบ้าง หากฮูหยินไม่รังเกียจ ข้าช่วยดูอาการให้ท่านได้นะเจ้าคะ” พอกล่าวจบก็เตรียมก้าวออกไป

ใบหน้าตึงเครียดของฮูหยินอันกั๋วกงคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องรบกวนคุณหนูเถิงหรอก แขนคงเคล็ดตอนร่วมการละเล่นวงสุราในงานเลี้ยง ก็เลยออกแรงไม่ค่อยได้ เป็นเช่นนี้ประจำอยู่แล้ว นอนพักสักครู่คงหาย”

เถิงอวี้อี้จ้องมองฮูหยินอันกั๋วกงอย่างเงียบงันก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินฝีมือบรรเลงฉินเป็นเลิศร่ำลือไปถึงลั่วหยาง ไม่ว่าขลุ่ยปี้ลี่ หรือพิณคงโหวล้วนเก่งกาจ คิดว่าจะต้องรักถนอมมือคู่นี้ยิ่งกว่าคนทั่วไป เหตุใดบาดเจ็บแล้วไม่ตามหมอมาตรวจอาการเล่าเจ้าคะ”

ตู้ฮูหยินตะลึงงันไปทันใด ส่วนคนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าสับสนเช่นกัน

ฮูหยินอันกั๋วกงเอียงศีรษะมองแขนขวาของตนเอง ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าเป็นเพราะอะไรเล่า”

เถิงอวี้อี้กัดฟันถามต่อไป “เพราะข้าไม่เข้าใจนี่ล่ะเจ้าค่ะ ถึงต้องขอคำชี้แนะจากฮูหยิน”

ฮูหยินอันกั๋วกงกวักมือซ้ายเรียกนาง “มานี่สิ ข้าจะบอกเจ้าเองว่าเพราะเหตุใด”

เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองไปทางประตูเรือน รู้สึกขนลุกชันเมื่อตระหนักได้ว่าอยู่ดีๆ เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วจากระเบียงทางเดินและศาลากลางน้ำข้างนอกอันตรธานหายไปแล้ว

บริเวณหน้าประตูเงียบสงัดราวหลุมศพรกร้าง สายลมไม่อาจพัดผ่านเข้ามาได้ เสียงจากข้างในก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้เช่นกัน

นางเหงื่อแตกพลั่กราวกับตากฝน นอกจากจะไม่ก้าวออกไปข้างหน้าแล้ว ยังแอบลูบคลำกระบี่หยกในแขนเสื้อเล่มนั้น

ฮูหยินอันกั๋วกงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเถิงอวี้อี้ จึงดึงร่างคุณหนูสูงศักดิ์ข้างกายผู้หนึ่งเอาไว้ ส่งยิ้มหวานหยดพลางสั่งว่า “ไปสิ เอาของที่อยู่ในแขนเสื้อนางมาให้ข้า”

ตอนแรกเด็กสาวยังสับสนงุนงง ทว่าต่อมากลับทำเหมือนคนนอนละเมอ พอนิ่งงันไปชั่วขณะก็เดินเข้าไปหาเถิงอวี้อี้ด้วยสีหน้าเลื่อนลอย การเคลื่อนไหวก็แข็งทื่อไปหมด ราวกับมีคนบังคับควบคุมอยู่เบื้องหลัง

เถิงอวี้อี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบร้อนจะชักกระบี่ออกมา ไม่คาดคิดว่าไหล่ทั้งสองข้างจู่ๆ จะโดนพลังประหลาดน้ำหนักมหาศาลกดทับไว้ ตรึงร่างกายนางให้หยุดอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่ว่านางจะออกแรงสักเพียงใดฝักกระบี่ก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย

นางฝืนปั้นรอยยิ้มออกมา “ฮูหยิน นี่ท่านจะทำอะไรกัน”

ฮูหยินอันกั๋วกงจัดรอยยับบนผ้าคลุมไหล่ปักลายสีเทาดุจควันตรงข้อพับแขนพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ “คุณหนูเถิง ประโยคนี้ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า ในแขนเสื้อเจ้าซุกซ่อนอะไรไว้”

เถิงอวี้อี้มองสำรวจไปทั่วบริเวณ เวินกงกงกับท่านป้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทว่าสายตาของพวกเขาล้วนว่างเปล่าและไร้สติสัมปชัญญะ นางหัวเราะเย้ยหยัน “ปีศาจในป่าไล่ตามมาแล้ว ข้าอยากจะตัดกรงเล็บซ้ายของมันออกมาอีกข้างด้วย”

ฮูหยินอันกั๋วกงราวกับโดนคนตบหน้าฉาดใหญ่ แววตาอันดุร้ายมีไฟลุกโชนอย่างรวดเร็ว

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งอยู่ห่างออกไปจึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน ได้แต่ร้อนใจว่ารออยู่นานปานนี้แล้วยังไม่ได้ยาช่วยชีวิตมาเสียที ฮูหยินอันกั๋วกงมีน้ำใจมอบยาให้ คุณหนูเถิงกลับขัดขวางไว้อย่างไร้เหตุผล

นางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “คุณหนูเถิง ฮูหยินอันกั๋วกงหวังดีถึงเพียงนี้ ท่านไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ ไยต้องพูดจาเสียมารยาทเช่นนั้นด้วย”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคนผู้หนึ่งหัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “เพราะว่านางไม่โง่งมน่ะสิ”

สุ้มเสียงนั้นยังไม่ทันจางหาย ก็มีบางสิ่งถูกยิงลอยมาบนท้องฟ้าเหนือเรือนที่พัก มันรวดเร็วดุจประกายไฟและคล้ายคลึงกับลูกธนู ทะลวงผ่านสีสันอันมืดมิดยามค่ำคืน พุ่งเข้าใส่หน้าผากฮูหยินอันกั๋วกงอย่างแรง

คราแรกฮูหยินอันกั๋วกงสะดุ้งตกใจ แต่แล้วบนใบหน้าพลันฉายแววดูแคลน รอจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้าประชิดตัว นางก็หัวเราะเสียงยั่วยวนก่อนสะบัดผ้าคลุมไหล่ปัดสิ่งนั้นร่วงหล่นโดยไม่เปลืองแรงแม้เพียงนิด

เถิงอวี้อี้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง คนผู้นั้นเปิดตัวเสียองอาจ ใครจะคิดว่าพลังอ่อนแอเช่นนี้ เดิมทีนึกว่านักพรตชิงซวีจื่อมาถึงแล้ว ดูท่าคงจะเป็นผู้อื่นเสียมากกว่า

นางแอบมองปราดไปด้านข้าง เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงกำแพงเรือนใต้แสงจันทร์สุกสกาว กิริยาเรื่อยเฉื่อยไม่สะทกสะท้าน ดูไม่คล้ายคนที่เพิ่งเจออุปสรรคเลยจริงๆ

ฮูหยินอันกั๋วกงยกแขนเสื้อปิดบังรอยยิ้ม “ข้าก็คิดว่าอาวุธวิเศษร้ายกาจอะไร ที่แท้ก็ลูกจีจวี ได้ยินท่านกั๋วกงพูดถึงบ่อยๆ ว่าซื่อจื่อชอบเล่นเป็นพิเศษ ส่งสิ่งนี้มาให้เพราะอยากจะเล่นเป็นเพื่อนข้าหรือ”

เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเหยียบแสงจันทร์ตรงมา ริมฝีปากแย้มยิ้มถามกลับ “เจ้าคู่ควรรึ”

ดวงตาฮูหยินอันกั๋วกงเป็นประกายฉ่ำวาว “ซื่อจื่อมาโดยไม่ได้รับเชิญ นับว่ามีความกล้าเกินคนธรรมดา น่าเสียดายฝีมือย่ำแย่ โยนมาครั้งเดียวก็ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว จะคู่ควรไม่คู่ควร มิใช่ข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดหรือ”

เด็กหนุ่มหัวเราะเยาะเย้ยคำพูดของนาง

ฮูหยินอันกั๋วกงหลุบตาลงกวาดมองปลายเท้า ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปทันที นางมองเห็นลูกจีจวีที่ไม่สะดุดตาพลันแตกออกเป็นสองส่วน ชั่วอึดใจเดียวก็มีหนอนสีดำแดงตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างใน

เจ้าหนอนพุ่งเข้าหารองเท้าหัวเชิดสีสดสวยดั่งเมฆต้องแสงอาทิตย์ของนาง มันบิดตัวไปมาเล็กน้อยแล้วคลานต้วมเตี้ยมวนรอบเท้า

ฮูหยินอันกั๋วกงมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ กระบวนท่านี้นางไม่ทันระวังป้องกัน หากโจมตีจากกลางอากาศนางคงกระโดดออกนอกเรือนได้สบายๆ ไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะร้ายกาจเหลือเชื่อ ใช้อาคมพรางตาล่อลวงนางก่อน

จะหนีตอนนี้คงไม่ทันกาล นางขยับถอยหลังแล้วกระโดดหลบอย่างชิงชัง

ทว่าจนใจที่เจ้าหนอนตัวนั้นราวกับมีสติปัญญา นางกระโดดขึ้นไปหนึ่งชุ่น หนอนก็ไต่ตามขึ้นมาหนึ่งชุ่น พอถอยหลังไปหนึ่งชุ่น หนอนก็โน้มตัวมาข้างหน้าหนึ่งชุ่น ค่อยๆ ยืดตัวยาวและขยายใหญ่ขึ้นทุกที ก่อนจะกลายเป็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่งมัดนางไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“สนุกหรือไม่เล่า” เด็กหนุ่มมีน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู แต่เสียงหัวเราะสะท้อนความเย้ยหยันเต็มเปี่ยม

บทที่ 4

ฮูหยินอันกั๋วกงโมโหเดือดดาลถึงขีดสุด ร่างกายไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นไปได้ชั่วขณะ นางจึงยื่นมือไปคว้าเด็กสาวข้างกายก่อนที่สิ่งนั้นจะพันธนาการตนเองเสียเลย

“เจ้าเด็กอวดดี กล้าใช้เล่ห์กลลวงตาเช่นนี้ลอบทำร้ายข้า มัดข้าไว้แล้วคิดว่าจะขัดขวางได้อย่างนั้นรึ ข้าจะลากนางลงหลุมไปด้วยเลยก็แล้วกัน”

ขณะที่นางกำลังยืดแขนยาวออกไป จู่ๆ คมกระบี่สีเขียวมรกตเปล่งประกายวาววับเย็นเยียบก็แทงเข้าใส่ตรงๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว นี่เป็นกระบี่หยกมรกตซึ่งเคยทำให้นางต้องเสียเปรียบก่อนหน้านี้นั่นเอง

เถิงอวี้อี้เริ่มขยับได้ตั้งแต่ตอนที่ฮูหยินอันกั๋วกงถูกเบนความสนใจไปแล้ว การลอบจู่โจมปีศาจตนนี้มิใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยเด็กสาวผู้นั้น แต่เพราะอยากให้ปีศาจตนนี้รีบตายไปโดยเร็วต่างหาก

เถิงอวี้อี้เป็นคนนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด แทบอยากป่นกระดูกโปรยขี้เถ้าปีศาจตนนี้ พอสังเกตเห็นว่านางปีศาจจะเล่นลูกไม้สกปรกอีกครั้ง แล้วนางจะปล่อยให้อีกฝ่ายสมหวังได้อย่างไรเล่า

แต่ทว่านางยังไม่ทันจ้วงแทงกรงเล็บซ้ายของปีศาจ ‘โซ่เหล็ก’ ก็พลันกระชับรัดแน่น ดวงตาฮูหยินอันกั๋วกงถลนปูดโปน ถูกกระชากลอยขึ้นไปในพริบตา

ข่ายอาคมพังทลายแล้ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างตกใจหน้าเปลี่ยนสี ภายในเรือนเกิดความโกลาหลวุ่นวาย ปลายเชือกอ้อมวนรอบหนึ่ง ก่อนจะพุ่งกลับมาอยู่ในมือเด็กหนุ่ม เขายิ้มจนตาหยีที่จับปีศาจตนนั้นได้สำเร็จ จากนั้นถือโอกาสโยนของสิ่งหนึ่งให้เถิงอวี้อี้

“เอายานี้ไปให้คนเจ็บกิน”

เถิงอวี้อี้รับขวดยาเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด นางเพ่งพินิจดูคนผู้นั้นโดยละเอียด บนศีรษะสวมหมวกหย่วนโหยวประดับหยกขาว ส่วนเอวห้อยกระบี่ด้ามทองไว้ เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วงและถุงเท้าสีดำ ตามระเบียบของราชวงศ์นี้ นี่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์ระดับชินอ๋อง

เมื่อพิจารณารูปลักษณ์ภายนอก อีกฝ่ายอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี เรือนกายสูงโปร่งสมส่วน ท่วงท่ากิริยาหล่อเหลาสง่างาม หากรอยยิ้มบนใบหน้ามิได้เผยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไปคงจะเป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากยิ่งผู้หนึ่งจริงๆ

เถิงอวี้อี้จดจำได้แล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือใคร เขาเป็นพระนัดดาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นบุตรชายคนโตของคู่สามีภรรยาเฉิงอ๋อง นับเป็นบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รักใคร่โปรดปรานเหนือผู้ใด มีนามว่า ‘ลิ่นเฉิงโย่ว’

เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับไปดึงท่านป้าที่ยังมึนงงเล็กน้อยเข้าไปในห้อง “ขอบคุณซื่อจื่อมากเจ้าค่ะ”

ชาติก่อนนางเคยทำความรู้จักกับลิ่นเฉิงโย่วเพียงครั้งเดียว ก็คือในงานเลี้ยงชมบุปผาที่อารามอวี้เจิน

ในเวลานั้นสกุลต้วนกับสกุลเถิงถอนหมั้นกันไปแล้ว บิดายังคงบัญชาการกองทัพอยู่ที่เขตไหวหนาน เถิงอวี้อี้เต็มใจรั้งอยู่บ้านของบรรพบุรุษตรงเหยียนโซ่วฟาง* ในเมืองฉางอันต่อเพื่อคอยดูแลท่านป้าที่ล้มหมอนนอนเสื่อ ยิ่งวันลงจากตำแหน่งของบิดาใกล้เข้ามาเท่าไร ก็มักจะมีจดหมายของบิดาจากเขตไหวหนานส่งกลับมาที่จวนบ่อยครั้งขึ้น นางไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่คาดเดาว่าเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายกลับเมืองหลวงของบิดาเป็นแน่

ยามนั้นสาเหตุการตายของญาติผู้พี่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบแน่ชัด อีกทั้งนางต้องปรนนิบัติดูแลท่านป้าที่ล้มป่วยอยู่ทุกวันจนจิตใจหดหู่เศร้าหมอง ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใดเสียนาน วันนั้นตอนผู้ดูแลหญิงในจวนนำเทียบเชิญมาให้ เดิมทีนางไม่อยากออกไปร่วมงานหรอก แต่พอได้ยินว่าผู้จัดงานเลี้ยงคือฮองเฮา ถึงได้ทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเตรียมออกงาน

เหตุการณ์เป็นไปตามที่เถิงอวี้อี้คาดเดา บรรยากาศงานเลี้ยงชมบุปผาคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์แต่งกายหรูหราเต็มยศ จับกลุ่มอยู่รวมกันที่มุมหนึ่งของงาน ว่ากันว่าไม่ใช่เพียงฮองเฮา แม้กระทั่งพระชายาเฉิงอ๋องที่ปกติจะออกเดินทางท่องเที่ยวยังมาร่วมงานด้วย

เถิงอวี้อี้ติดตามคุณหนูทั้งหลายไปถวายพระพรฮองเฮาและคารวะพระชายาเฉิงอ๋อง จู่ๆ ได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบว่า ‘ดูสิ นั่นคือเฉิงอ๋องซื่อจื่อ’

เถิงอวี้อี้มองไปตามเสียงกระซิบนั้น ก็เห็นเด็กหนุ่มรูปงามท่าทางสง่าผ่าเผยเดินผ่านสวนดอกไม้ไปพอดี

ซื่อจื่อผู้นี้สวมชุดลำลองแขนเสื้อแคบทรงลูกธนู ท่อนแขนคล้องคันธนูสีทองอร่ามตา ท่าทางไม่คล้ายผู้มาร่วมงานเลี้ยง กลับคล้ายพร้อมออกจากที่นี่ไปล่าสัตว์ได้ทุกเมื่อมากกว่า

‘เอ๋? เขาดูเหมือนมาชมโฉมสตรีที่ใดกัน มาเล่นสนุกมากกว่ากระมัง’

‘ข้าได้ยินว่าตอนแรกเขาจะไปเล่นตีจีจวี แต่โดนพระชายาเฉิงอ๋องบังคับพามาแบบจวนตัวน่ะสิ’

งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เถิงอวี้อี้ก็ติดตามเหล่าสตรีไปลูบพรมฉิน ลิ้มรสชา ชมบุปผา แสดงความสามารถออกมาอย่างงดงามเพียบพร้อม เพราะนางพอจะคาดเดาความนัยลึกซึ้งของเบื้องหลังงานชุมนุมกวีที่ฮองเฮาจัดขึ้นครั้งนี้ได้แล้ว ยามสนทนาเรื่องสัพเพเหระก็คล่องแคล่วฉะฉานมีคารมคมคาย ยามแต่งกลอนก็ใช้สำนวนแปลกใหม่ แม้กระทั่งการพูดจากับบ่าวไพร่ในมุมที่มีคนบางตา ก็นุ่มนวลมีน้ำอดน้ำทนกว่าปกติ

หลังงานชุมนุมกวีสิ้นสุดลงฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องเจาะจงเรียกตัวเถิงอวี้อี้มาพบอย่างใกล้ชิด นางตอบคำถามหลายข้ออย่างสุภาพเรียบร้อย ขณะเดินกลับออกมาได้ยินเสียงนางกำนัลวิพากษ์วิจารณ์

‘ข้าเดาว่าจะต้องเป็นคุณหนูบ้านแม่ทัพเถิงแน่ รูปโฉมคุณหนูผู้นี้ก็โดดเด่นสะดุดตาเหลือเกิน เห็นซื่อจื่อหยิ่งผยองถือดี แต่อย่างไรเสียก็ถึงวัยสนใจเรื่องความรักหนุ่มสาวแล้ว หากเขาเห็นคุณหนูสกุลเถิงกับตาตนเองจะต้องรู้สึกหวั่นไหวแน่’

‘ใช่แล้ว ดูสีหน้าพระชายาสิ ท่าทางพอใจสกุลเถิงมากทีเดียว ซื่อจื่อน้อยไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น เว้นแต่ท่านพ่อท่านแม่ตนเอง เมื่อมีพระชายาอยู่ด้วยซื่อจื่อคงไม่กล้าทำเรื่องเหลวไหล ถ้าหากครั้งนี้ซื่อจื่อยังกล้าหนี จะต้องโดนพระชายาลงโทษยกใหญ่เชียว’

เถิงอวี้อี้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางโตมาจนป่านนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีพระชายาอ๋องลงโทษบุตรชายด้วยตนเอง เดิมทีอยากเพ่งมองพระชายาเฉิงอ๋องที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างละเอียดต่อ แต่ฮองเฮาก็สั่งคนพาพวกนางไปชมดอกเบญจมาศเดือนสารทในสวน

ขณะเดินผ่านศาลาเตี๋ยชุ่ย เถิงอวี้อี้มองปราดครู่หนึ่งเห็นว่ามีคุณชายน้อยสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราเลอค่านั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาหลังนั้นหลายคน สายลมโชยแผ่วพัดม่านไม้ไผ่ขยับไหว ดึงดูดให้สายตาหลายสิบคู่มองตาม

เถิงอวี้อี้เดินเยื้องย่างโดยไม่ว่อกแว่กเหลียวมอง ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง หยาดละอองฝนพร่างพรมลงมาอย่างเงียบงัน บนใบหน้าปกคลุมด้วยไอเย็นคล้ายขนฟูปุกปุย พอกลับถึงจวนสกุลเถิงในคืนนั้นนางย้อนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ตอนฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องเรียกนางไปพูดคุยถามไถ่ ในใจก็ปรากฏแผนการเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

นางมิได้มีใจชื่นชมเฉิงอ๋องซื่อจื่อผู้นี้เลยสักนิด เพียงแต่เวลาคุณหนูบุตรสาวขุนนางใหญ่ทั้งหลายแอบหยอกเย้าแฝงความนัยกันมักจะเอ่ยถึงเฉิงอ๋องซื่อจื่อบ่อยครั้ง นางจิบน้ำชาไปพลางเงี่ยหูฟังไปพลาง ในเมื่อพวกนางล้วนหลงใหลได้ปลื้มคนผู้นี้ คิดว่าคงต้องมีสิ่งใดเหนือกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง

บุตรหลานเชื้อพระวงศ์ที่จะคัดเลือกพระชายามีมากมายถึงเพียงนั้น เถิงอวี้อี้ไม่อาจโอนอ่อนคล้อยตาม ถ้าหากนางจะเลือกก็ต้องเลือกผู้ที่เพียบพร้อมกว่าใคร

นางสงบจิตใจลงแล้วปลดปิ่นถอดต่างหู วันต่อมาลองให้คนสืบข่าวดู ฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องนำภาพเหมือนของนางไปสอบถามความเห็น ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับมาสองคำโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยว่า ‘ไม่แต่ง’

ตอนนั้นเถิงอวี้อี้กำลังพับแขนเสื้อขึ้น ปรุงเครื่องหอมด้วยน้ำผึ้งขาวอยู่ กลับไม่ทันระวังทำถ้วยเครื่องหอมพลิกคว่ำ

‘ไม่แต่ง?’ นางยังไม่แน่ใจเลยว่าจะตอบตกลง ต้องเป็นเพราะการจากไปของญาติผู้พี่กับอาการป่วยของท่านป้าก่อกวนจนจิตใจนางปั่นป่วนยุ่งเหยิง นางถึงได้หน้ามืดยอมไปร่วมการคัดเลือกคู่ครองของบุตรหลานเชื้อพระวงศ์

ความจริงสองวันมานี้นางคิดได้นานแล้ว นางกับเขาไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นิสัยใจคอแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยได้ยินมาก็เป็นแค่ภาพลักษณ์คนผู้นั้นในสายตาคนนอก สุดท้ายแล้วตัวตนของเขาเป็นเช่นไร ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะรู้ ถ้าหากมิใช่คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันด้วยดีได้คงต้องทนทุกข์ไปตลอดชาติ

นางกำพร้ามารดาตั้งแต่อายุห้าขวบ บิดาออกรบขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เคยอยู่ข้างกาย หลายปีที่ผ่านมานางเคยชินกับการจัดการทุกอย่างด้วยตนเองนานแล้ว เรื่องการแต่งงานมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน นางสมควรยินดีปรีดาที่ลิ่นเฉิงโย่วไม่อยากแต่ง ต่อไปนางจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

นางแหงนหน้าหัวเราะลั่น ลืมเรื่องนี้ไปได้ในชั่วพริบตา วันรุ่งขึ้นก็ปรนนิบัติดูแลท่านป้าที่จวนสกุลตู้ตามปกติ ช่วงค่ำพอกลับจวนก็สั่งบ่าวไพร่ทำน้ำแกงข้นกีบเท้าอูฐ

น้ำแกงเนื้อข้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมปรุงรสด้วยสุราซานเล่อเจียงซึ่งซื้อมาจากร้านสุราปัวซือ ช่างสมกับเป็นอาหารเลิศรสสำหรับเทพเซียนโดยเฉพาะ

หลังจากกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญนางก็อาบน้ำล้างตัวในถังไม้ใบใหญ่ เดิมทีกำลังบิดผ้าเนื้อหยาบสำหรับขัดตัว ในห้วงความคิดพลันผุดคำว่า ‘ไม่แต่ง’ สองคำนั้นขึ้นมา

เชอะ

นางหมดอารมณ์สุนทรีย์ทันใด โยนผ้าเนื้อหยาบลงน้ำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เนื่องจากออกแรงมากเกินไปสักหน่อยน้ำจึงกระเซ็นออกมานอกถังจนเกือบหมด

ไป๋จื่อกับปี้หลัวแอบหลบมุมไปกระซิบกระซาบกัน วันนี้คุณหนูมีโทสะด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบ เอาแต่โมโหแก้มป่องมาตลอดทั้งวัน

น่าขำ! กำลังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ

นางสวมเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินกลับห้อง ทว่าพอนอนลงบนเตียงแล้วแผ่นหลังก็ยังรู้สึกคันยุบยิบไม่สบายตัวอย่างน่าประหลาด

อาการคันยุบยิบมิได้อยู่ในกระดูกและผิวหนัง หากยื่นมือไปเกาข้างหลังก็ไม่แน่ว่าจะเกาถูกที่คัน แต่หากไม่สนใจไยดี ก็มักจะเกิดอาการคันยุบยิบเป็นครั้งคราว สุดท้ายสรุปได้ประโยคหนึ่งว่า ‘หงุดหงิด หงุดหงิดจนแทบบ้าเลย’

ความรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้ก่อกวนจิตใจต่อเนื่องนานกว่าสามวัน นานจนกระทั่งนางครุ่นคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา

แต่ในช่วงเวลานี้เองอาการป่วยของท่านป้ากลับทรุดลงกะทันหัน นางปรนนิบัติดูแลเรื่องป้อนอาหารและยาโดยไม่หลับไม่นอน คาดหวังว่าท่านป้าจะอาการดีขึ้นบ้าง ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายยิ่งรักษากลับยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ

ท่านหมอแต่ละคนอับจนสิ้นหนทาง ท่านลุงเขยกับญาติผู้น้องบุตรชายท่านป้าต่างจิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟ นางรีบส่งจดหมายไปหาบิดาโดยด่วน บอกว่าก่อนหน้านี้เชิญท่านหมอมาก็ไร้ประโยชน์ ขอร้องให้เขาเร่งคิดหาวิธีโดยเร็วที่สุด

นับตั้งแต่มารดาจากไปนางก็ไม่ยอมเขียนจดหมายหาบิดาเลยด้วยความโกรธเคืองฝังลึก ทว่าการขอร้องบิดาติดกันหลายครั้งล้วนทำไปเพราะอาการป่วยของท่านป้า

นางไม่อยากให้ท่านป้าเป็นอะไรไป มารดาด่วนจากโลกนี้ไปเร็วนัก โชคดียังมีท่านป้ากับญาติผู้พี่คอยดูแลเอาใจใส่นางอย่างดี หากแม้แต่ท่านป้าก็จากไปอีกคน มิเท่ากับว่านางถูกทิ้งให้เดียวดายอีกครั้งหรือ

บิดาเร่งเดินทางกลับมาเมืองฉางอันตามความคาดหมาย อีกทั้งในคืนนั้นเชิญหัวหน้ากองอวี๋แห่งกองโอสถหลวงมาจับชีพจรให้เป็นการส่วนตัว น่าเสียดายทุกอย่างยังสายเกินไปอยู่ดี โรคของท่านป้ากำเริบจนอวัยวะภายในเสียหาย พยุงอาการมาตลอดหลายวันนี้ถือได้ว่าโชคดี ทว่าตอนนี้หมดทางเยียวยาแล้ว

ในคืนวันที่ท่านป้าจากไปนั้นท่านลุงเขยกับญาติผู้น้องร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกตรงหน้าโลงศพ นางคุกเข่าอย่างซึมกะทือ ในใจรู้ดีว่าร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไร เมื่อครั้งอายุห้าขวบเคยลิ้มรสความรู้สึกนี้มาแล้ว ต่อให้นางร้องไห้แทบขาดใจมารดาก็ยังนอนนิ่งไร้สุ้มเสียงอยู่ในโลงศพนั่น

นางจำได้ว่าในคืนที่มารดาจากไปนางยืนอยู่ในห้องเซ่นไหว้ ใช้มือเล็กๆ ทุบแผ่นไม้เย็นเยียบปานน้ำแข็ง

‘ท่านแม่ อาอวี้จะไม่ยั่วโมโหท่านอีกแล้ว’

‘ท่านแม่ ท่านแม่ลุกขึ้นมาหาอาอวี้สิเจ้าคะ’

ในจวนกำลังโกลาหลวุ่นวาย นางฉวยโอกาสที่บรรดาบ่าวไพร่ไม่ทันสังเกตเห็นปีนป่ายขึ้นไปบนแท่นวางโลงศพ มารดาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม ประดับดอกไม้สีเหลืองทองตรงจอนผม ดวงหน้าสงบนิ่งอ่อนหวานเหมือนกับยามปกติไม่มีผิดเพี้ยน

นางปีนเข้าไปในโลงศพอย่างเงอะงะ โผเข้าหาท่อนแขนอวบของมารดาที่ยื่นออกมา

‘ท่านแม่ กอดอาอวี้เข้านอนนะ’

มารดาไม่สนใจนาง เสียงสะอื้นของเด็กน้อยดังขึ้นแผ่วเบา เอนศีรษะลงแนบชิดทรวงอกมารดาพร้อมกำหมัดแน่น

‘ท่านแม่อย่าโมโหไปเลย อาอวี้เป็นเด็กดี อาอวี้จะช่วยท่านแม่ตีสตรีไม่ดีผู้นั้นเอง’

นางคิดไปว่าพอตื่นขึ้นมามารดาคงจะสนใจนางเหมือนเดิม จึงอิงแอบอยู่ในอ้อมอกมารดาแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หรือว่าบางทีคำอธิษฐานในใจคงจะสัมฤทธิผลแล้ว ระหว่างที่นางสะลึมสะลือก็เข้าซุกอ้อมอกอุ่น ทว่าเมื่อนางลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจแกมยินดีกลับมองเห็นใบหน้าซีดเซียวที่เริ่มมีหนวดเครารำไรของบิดา

สีหน้าบิดาสะท้อนความเศร้าอาดูร ดวงตาแดงก่ำเห็นเส้นเลือดชัดเจน ราวกับแก่ชราลงเป็นสิบปีภายในคืนเดียว

นางตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกถึงสตรีข้างกายบิดานางนั้นขึ้นมาได้โดยพลันแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

‘ข้าไม่ต้องการท่านพ่อ! ท่านพ่อเป็นคนไม่ดี! ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อมากอด!’

บิดาน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม จากนั้นย่อตัวลงอุ้มนางมาคุกเข่าหน้าโลงศพ ไม่ว่านางจะร้องไห้งอแงเช่นไรเขาก็ยังสงบนิ่งดุจขุนเขา

นางร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ชั่วขณะนั้นเองนางตระหนักได้แล้วว่ามารดาจะไม่กลับมาอีก ความหวาดกลัวแผ่ขยายไม่สิ้นสุดประหนึ่งหินก้อนยักษ์กดทับในอก นางทั้งทุบทั้งเตะบิดาและกรีดร้องดังลั่น

‘ท่านพ่อเป็นคนไม่ดี! ท่านทำร้ายท่านแม่จนล้มป่วย!’

 

เมื่อระลึกความทรงจำถึงตรงนี้อารมณ์โศกเศร้าระคนโกรธเกรี้ยวก็ทะลักล้นราวกระแสน้ำหลาก นางคว้าคอเสื้อท่อนบนที่ตนเองสวมอยู่ด้วยสติเลื่อนลอย จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างหู “อาอวี้ อาอวี้!”

เถิงอวี้อี้ได้สติหลุดจากภวังค์ มองเห็นใบหน้าท่านป้าละม้ายคล้ายคลึงกับมารดา ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น นางเอ่ยเรียกเสียงสะอื้นพลางโผเข้าสู่อ้อมอกสตรีตรงหน้า “ท่านป้า”

หลังตู้ฮูหยินนิ่งงันไปเล็กน้อยสีหน้าก็อ่อนโยนลง นางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเถิงอวี้อี้เบาๆ ราวกับกำลังกล่อมนอน

“เด็กดี เป็นอะไรไปเล่า คงจะเสียขวัญเพราะเจ้าปีศาจนั่นแน่ มีป้าอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวนะ”

พวกนางเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ขวดยาที่ลิ่นเฉิงโย่วให้มายังอยู่ในมือ เถิงอวี้อี้เหลียวมองไปรอบกาย ทำจิตใจให้สงบลงได้อย่างรวดเร็วแล้วเปิดฝาขวดเทยาลูกกลอนออกมาสามเม็ด

“ท่านป้า พวกเราแยกกันป้อนยาเถอะเจ้าค่ะ”

ตู้ฮูหยินรู้สึกดีใจยิ่งนัก นางส่งเสียงตอบรับแล้วรีบไปเตรียมการ

ตวนฝูนอนอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าห้อง เถิงอวี้อี้ถือขวดยาออกไปข้างนอกเพื่อจะช่วยชีวิตคน

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเถิง ก่อนหน้านี้ข้าน้อยพลั้งปากไป ข้าน้อยโขกศีรษะไถ่โทษคุณหนูก็ได้ แต่คุณหนูรองของข้าน้อยรอการช่วยเหลืออยู่เช่นกัน คุณหนูเถิงรีบมอบยาให้ข้าน้อยเถอะ”

เถิงอวี้อี้ตวัดสายตามองนาง นายบ่าวคู่นี้ทำเรื่องผิดคุณธรรมมาไม่น้อย ตามความเห็นนางอีกฝ่ายมิใช่ผู้บริสุทธิ์เลยสักนิด แต่อย่างไรเสียก็เป็นชีวิตหนึ่ง เห็นคนกำลังจะตายอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ช่วยดูเหมือนจะไร้เหตุผลเกินไปบ้าง ฉะนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบางๆ เปิดฝาขวดอย่างใจกว้าง ใครจะรู้ว่าเทออกมาเพียงเม็ดเดียวก็หมดขวดเสียแล้ว

คนที่ได้รับบาดเจ็บยังเหลืออยู่สองคน แล้วยาเม็ดเดียวจะแบ่งกันอย่างไร

ผู้ดูแลหญิงหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ ทางฝั่งนั้นเป็นเพียงบ่าวชายผู้หนึ่ง ตายไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรหนักหนา ในเมื่อยามีแค่เม็ดเดียว ก็ต้องเก็บไว้ให้คุณหนูรองของนางอยู่แล้ว นางจึงรีบร้อนเข้ามาแย่งชิง “ข้าน้อยขอขอบคุณแทนคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ”

ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้จะเอี้ยวตัวหลบ ถือขวดยาแล้ววิ่งไปทางตวนฝู

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งตกตะลึงอ้าปากค้าง เห็นเถิงอวี้อี้วิ่งหายไปต่อหน้าต่อตา นางก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนหันหลังก้าวลงบันไดไป มองหน้าลิ่นเฉิงโย่วทั้งน้ำตา

“ซื่อจื่อ คุณหนูรองของข้าน้อยอาการหนักมาก คุณหนูเถิงเอายาของท่านไปแล้วไม่ยอมแบ่งปัน นี่มิเท่ากับทำให้เจตนาอันประเสริฐของซื่อจื่อต้องสูญเปล่าหรือเจ้าคะ”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย

ผู้ดูแลหญิงผู้นี้กลืนน้ำลายกลับไป คุณหนูของนางกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ จะปล่อยให้คุณหนูเถิงจัดการส่งเดชไม่ได้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าทางนั้นมีปีศาจอยู่ ก็ยังกัดฟันเดินเข้าไป “ซื่อจื่อ ยาขวดนั้น…”

นางชำเลืองมองไปทางลานกว้างโดยบังเอิญ ก็ต้องตกใจกลัวจนตัวสั่น มองเห็นใบหน้าฮูหยินอันกั๋วกงดูแปลกพิลึกอย่างบอกไม่ถูก ผิวหน้าสีขาวดุจน้ำนมสะท้อนแสงราวกับมิใช่มนุษย์ แต่เหมือนเครื่องเคลือบสีขาวเนื้อดีมากกว่า ขอบตาคล้ายฉาบทาด้วยชาดสีแดงเข้มสวยสด เผยให้เห็นความดุร้ายท่ามกลางความเมามายแทบไร้สติ

ฮูหยินอันกั๋วกงโดนแผ่นยันต์ปิดปากไว้ ได้แต่ชิงชังที่ไม่อาจกล่าวตอบโต้ นางจ้องหน้าลิ่นเฉิงโย่วครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะโดยไร้เสียง

การหัวเราะของนางครั้งนี้ทำให้ผ้าม่านหน้าลานกว้างปลิวไสวท่ามกลางบรรยากาศเงียบสนิท เมฆสีดำสนิทหลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทาง

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งสองขาอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ภาพตรงหน้าทำให้นึกถึงดอกโบตั๋นที่สั่นไหวกลางสายลม แต่ก่อนใบหน้าสตรีนางนั้นงดงามมากเพียงใด ยามนี้ยิ่งน่ากลัวเป็นเท่าทวี

ขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อดี ก็เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติใต้ฝ่าเท้าอย่างกะทันหัน กิ่งดอกไม้หลากสีจำนวนหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นมาจากใต้ดินแล้วแกว่งไกวสั่นใบพึ่บพั่บ คล้ายสูดดมกลิ่นอะไรบางอย่าง พอบิดไปทางหนึ่งก็มองเห็นผู้ดูแลหญิงสกุลต่ง ก่อนยื้อแย่งกันพุ่งกรูเข้ามา

ผู้ดูแลหญิงนางนี้ตกใจเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง นางขยับถอยหลังอย่างลนลาน แต่กิ่งดอกไม้กลับเลื้อยขึ้นไปบนขา ยิ่งดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น “ซื่อจื่อ ช่วย…ช่วยด้วย!”

รอยยิ้มเจ้าชู้หยอกเย้าบนใบหน้าลิ่นเฉิงโย่วจางหายไปแล้ว เขาทะยานร่างกระโดดขึ้นไปบนคานไม้ กวาดสายตามองทั่วบริเวณโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งผู้ดูแลหญิงนางนั้นตกใจปัสสาวะเกือบราดถึงได้โยนยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง “ไสหัวไปได้รึยัง!”

ยันต์แผ่นนั้นโจมตีไปที่กลางเรือน กลิ่นเหม็นไหม้ฟุ้งกระจายออกมาเป็นระยะ กิ่งดอกไม้ทั้งหลายหลบหนีไปไม่ทัน โดนเผาเป็นเถ้าถ่านไปมากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือโดนสั่งสอนจนหลาบจำแล้วพร้อมใจกันหดหายกลับลงใต้ดิน

พอกิ่งดอกไม้ใต้เท้าคลายออก ผู้ดูแลหญิงนางนี้ก็ตะลีตะลานกลับไปที่ระเบียงทางเดิน “ไป…ข้าน้อยจะไสหัวไปประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

นางตระหนักดีว่าลิ่นเฉิงโย่วลงมือช่วยนางได้แต่แรกแล้ว เขาแค่รำคาญที่นางเข้ามายุ่มย่าม ก็เลยปล่อยให้นางเจอดีไปเต็มๆ ใครต่อใครต่างกล่าวว่าซื่อจื่อผู้นี้ไม่ควรตอแย ค่ำคืนนี้นางได้รับบทเรียนมากเกินพอแล้วจริงๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: