X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 5

“หยุดก่อน” จู่ๆ ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งก็ได้ยินลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยขึ้น

นางตัวสั่นงันงกพลางกล่าวถามว่า “ซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งอีกหรือเจ้าคะ”

“ในห้องมีคนบาดเจ็บทั้งหมดกี่คน”

“สี่…สี่คน ไม่สิ รวมกับบ่าวชายจวนแม่ทัพเถิง ทั้งหมดมีห้าคน”

“สี่หญิงหนึ่งชาย?”

“ใช่เจ้าค่ะ”

“พวกเขาทุกคนหมดสติไปใช่หรือไม่”

เศษเสี้ยวความหวังผุดขึ้นมาในใจผู้ดูแลหญิงสกุลต่งอย่างเลือนราง นางตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก

“สี่คนนั้นคิดว่าคงฟื้นแล้ว มีเพียงคุณหนูรองของข้าน้อยที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ยาที่ซื่อจื่อมอบให้เมื่อครู่ไม่พอสำหรับแบ่งทุกคน คุณหนูเถิงนำยาเม็ดสุดท้ายไปป้อนให้บ่าวชายของนางแล้ว ถ้าหากซื่อจื่อมียาเหลืออยู่ มอบให้คุณหนูสักเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ ถ้าหากไม่มีเหลือแล้ว ซื่อจื่อยังมีความรู้วิชาเต๋าอันปราดเปรื่อง ขอร้องท่านช่วยตรวจอาการคุณหนูด้วยเถิด”

ขณะที่นางเอ่ยปากวิงวอน กิ่งดอกไม้ประหลาดเหล่านั้นก็แทงทะลุผิวดินแล้วโผล่พรวดขึ้นมาจำนวนมากกว่าก่อนหน้านี้เท่าหนึ่ง เกิดเป็นทะเลดอกไม้สูงหลายฉื่อในพริบตา

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งมีหรือจะกล้ารั้งอยู่ต่อ นางตะเกียกตะกายหนีกลับเข้าไปในห้องทันที

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูจากซองที่ห้อยอยู่ข้างเอวแล้วยิงขึ้นฟ้าไปหนึ่งดอก

ลูกธนูหัวทองคำพุ่งขึ้นไปในอากาศ จากนั้นระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝนธนูนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโปรยปรายลงมาจากทุกทิศทุกทาง

เจ้าสิ่งนี้ราวกับมีสติปัญญารู้คิด พอมันเกาะติดสิ่งชั่วร้ายได้ก็เกิดประกายไฟแตกกระจายออกมา ลอยวนเวียนไปทั่วเหมือนมังกรไฟ รวดเร็วฉับไวปานสายฟ้าฟาด กิ่งดอกไม้เหล่านี้หลบไม่พ้นจึงโดนแผดเผาจนส่งเสียงร้องโหยหวนวุ่นวายไปหมด

รอยยิ้มของฮูหยินอันกั๋วกงเริ่มแข็งค้าง

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูจากในซองมาอีกดอก กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขออภัยด้วย ทำร้ายลูกหลานของเจ้าเข้าแล้ว”

แม้จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ทว่ากลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้น้ำใจ ลูกธนูที่ยิงออกไปเผาเถาดอกไม้จนมอดไหม้ไปกว่าครึ่ง

ฮูหยินอันกั๋วกงถูกโซ่เหล็กพันธนาการจนมิอาจขยับเขยื้อน เห็นลิ่นเฉิงโย่วต้องการจะกำจัดให้สิ้นซาก ทันใดนั้นเองนางก็ตัดสินใจกัดลิ้นตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว

นางกลัวความเจ็บปวดเป็นที่สุด ชั่วขณะที่กัดลงไปเต็มแรงก็ขมวดคิ้วมุ่น พ่นลมหายใจฟืดฟาดต่อเนื่องพร้อมกับร่างกายสั่นเทาน้อยๆ

ลิ่นเฉิงโย่วกระดกลิ้นด้วยความแปลกใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปีศาจเสแสร้งได้ถึงเพียงนี้”

เขายิงธนูขึ้นฟ้าเป็นดอกที่สาม ก่อนจะทะยานร่างเหาะเหินไปเหยียบบนคานไม้ด้านข้าง

ฮูหยินอันกั๋วกงก้มหน้าก้มตาพึมพำคาถาอย่างตั้งใจ กระทั่งโลหิตสีดำไหลซึมออกมาทางมุมปากหยดแล้วหยดเล่าจนเปียกชื้นทั่วแผ่นยันต์บนริมฝีปาก

ยันต์แผ่นนั้นติดแน่นหนาเหลือเกิน แต่อย่างไรก็เอาชนะการกัดกร่อนของหยดเลือดไม่ได้ ระหว่างนั้นเองเมฆสีดำครึ้มก็เกาะกลุ่มรวมกัน ดวงดาวเลือนหายไปจากสายตา ลมพายุฝนฟ้าคะนองก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน

ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งไม่รู้ไม่เห็น เหาะเหินวนรอบลานกว้างรอบหนึ่ง ตอกหมุดย้ำที่ถือไว้ในมือลงบนตำแหน่งค่ายกลทีละตัว จากนั้นค่อยกลับลงสู่พื้นดิน แล้วแปะยันต์ไว้บนหน้าผากของฮูหยินอันกั๋วกง

ฮูหยินอันกั๋วกงโดนซัดจนสติรับรู้แตกซ่าน ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดไรฟันออกมา ความเคลื่อนไหวผิดปกติใต้พื้นดินพลอยหยุดชะงัก หมู่เมฆและดวงดาวที่กำลังปั่นป่วนก็กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม

ลิ่นเฉิงโย่วกระชากยันต์เปื้อนเลือดที่สิ้นฤทธิ์โยนทิ้งไปอีกทาง “เจ้าคงตั้งใจจะถ่วงเวลาสินะ”

ฮูหยินอันกั๋วกงเบิกตาโพลงโดยพลัน แววตาดั่งลูกธนูแหลมคมอาบยาพิษ

ลิ่นเฉิงโย่วเดินกลับไปกลับมาตรงหน้านางสองก้าว “ข้าวาดคำสั่งตราประทับเทพหวงเสินกับเทพเยวี่ยจางบนยันต์แผ่นนี้ รวมกับใช้วิชาอ่านใจจักรพรรดิสวรรค์ หากปีศาจทั่วไปโดนยันต์นี้เข้า ต่อให้ไม่คืนร่างเดิม ก็จะถูกขับออกจากร่างที่อาศัยอยู่ แต่นอกจากเจ้าจะไม่เจ็บไม่คัน ยังเรียกลมล่อฟ้าในค่ายกลของข้าได้อีก”

ฮูหยินอันกั๋วกงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ กลิ่นอายดุร้ายยังคงแผ่ปกคลุมทั่วร่าง

“เห็นๆ กันอยู่ว่ามีฝีมือสูงส่ง กลับทำตัวน่าขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เรียกพวกสมุนไร้ความสามารถมาต่อสู้ ก็ใช้วิชาอาคมกระจอกงอกง่อย” ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้าลง มองประเมินปีศาจตรงหน้าอย่างพิจารณา “เจ้ากำลังรออะไรอยู่”

สายตาฮูหยินอันกั๋วกงเป็นประกายวาววับ สีหน้าโกรธแค้นไม่สามารถหลบซ่อนไว้ได้แล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วเก็บงำรอยยิ้มแล้วตบมือส่งสัญญาณ

เหล่าองครักษ์และบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างนอกหลั่งไหลเข้ามา พวกเขาล้วนผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี แม้มองเห็นปีศาจแล้วจะรู้สึกตกใจแต่ก็สงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว

“ซื่อจื่อ”

“ตามหาเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพบแล้วใช่หรือไม่”

องครักษ์หิ้วคอเสื้อเด็กน้อยสองคนออกมา “หาพบแล้วขอรับ นักพรตน้อยทั้งสองไปชมการแสดงกายกรรมไม้ค้ำยาวของชาวหูอยู่ที่ริมน้ำนี่เอง”

เด็กชายทั้งสองเป็นเด็กฝาแฝดขาวอวบ รูปร่างกลมกลิ้งเหมือนถังไม้ พวกเขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำกับรองเท้าฟาง มองดูแล้วอายุประมาณสิบปี คนหนึ่งมีฉายาทางเต๋าว่า ‘เจวี๋ยเซิ่ง’ ส่วนอีกคนมีฉายาทางเต๋าว่า ‘ชี่จื้อ’

ในมือของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างถือกุ้งย่างปรุงรสคนละสองสามไม้ สองขากวัดแกว่งวุ่นวายกลางอากาศ

“ปล่อยพวกเราลงไปนะ พวกเราจะไปหาศิษย์พี่”

ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นฮูหยินอันกั๋วกง พวกเขาขยี้ตาอย่างประหลาดใจ “นี่…นี่คือ”

“พวกเจ้ากินอิ่มแล้วหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบซ่อนไม้กุ้งย่างปรุงรสไว้ข้างหลัง ก่อนเอ่ยเรียกพร้อมส่งยิ้มแหยๆ “ศิษย์พี่”

ท่านอาจารย์ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างเมือง หลายวันมานี้ในอารามไม่มีใครอยู่ เผอิญว่าตรงกับเทศกาลซั่งซื่อพอดี พวกเขาอดใจไม่ไหวลอบหนีออกมา เดิมทีตั้งใจว่าจะกลับอารามก่อนยามจื่อ ไม่คาดคิดว่าจะถูกผู้ติดตามข้างกายลิ่นเฉิงโย่วพบตัวเข้าเสียก่อน

“พวกเจ้าต้องการอาหารคาวเพิ่มสักหน่อยหรือไม่”

“ไม่ๆๆ ไม่ต้องขอรับ” เด็กชายทั้งสองส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งยิ่งศิษย์พี่ท่าทางใจดีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเรื่องไม่ดีมากเท่านั้น

“กินกุ้งย่างไม่กี่ไม้ก็อิ่มแล้วหรือ”

เด็กน้อยพร้อมใจกันพยักหน้ารับเบาๆ “กินอิ่มแล้ว อิ่มแล้วจริงๆ”

ลิ่นเฉิงโย่วโยนโซ่เหล็กใส่มือเจวี๋ยเซิ่ง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “กินอิ่มแล้วก็ทำงานเถอะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตะลึงงัน จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือ

“ปีศาจตนนี้พลังฝีมือร้ายกาจ ไม้สยบมารอย่างมากที่สุดก็ต้านทานไว้ได้ครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าคนหนึ่งรักษาตำแหน่งข่านกับเฉียน ส่วนอีกคนรักษาตำแหน่งเกิ้นกับเจิ้น* ห้ามเสียสมาธิและห้ามหนีไปเด็ดขาด”

เด็กทั้งสองอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา พวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ นี่ศิษย์พี่ต้องการจะตั้งค่ายกลอู่จั้งแน่นอน

มนุษย์เรามีอวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะแต่ละอย่างล้วนมีจิตวิญญาณดูแล หากโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงร่าง ดวงจิตและวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นจะกระเด็นออกนอกร่างทันที

หากเป็นวิญญาณร้ายทั่วไป ยันต์แผ่นเดียวก็สามารถผลักออกจากร่างอาศัยได้ แต่ถึงขั้นที่ใช้ค่ายกลอู่จั้ง มักจะเป็นปีศาจที่ร้ายกาจจนมิอาจมองข้ามได้

เงื่อนไขสำหรับพลังผู้ควบคุมค่ายกลนี้ช่างสูงลิบลิ่ว ถึงแม้เด็กน้อยทั้งสองจะเป็นเพียงเด็กรักษาค่ายกล แต่เพราะพวกเขาสามารถดูดกลิ่นเหม็นคาวสกปรกของปีศาจในค่ายกลได้ จึงห้ามกินอาหารคาวตลอดระยะเวลาหนึ่งปี

หนึ่งปี…

เด็กสองคนมองแผ่นหลังลิ่นเฉิงโย่วพลางหลั่งน้ำตา ศิษย์พี่ช่างใจคอโหดเหี้ยมยิ่งนัก สั่งลงโทษพวกเขาครั้งนี้ไม่พอ ยังตัดแม้กระทั่งโอกาสแอบกินในวันข้างหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูออกมาอีกดอก ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “น้อยใจใช่หรือไม่ หรือหวาดกลัวเข้าแล้ว รู้สึกว่าศิษย์พี่ดีต่อพวกเจ้าไม่มากพอสินะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบยืดอกผึ่งผาย “ทั้งไม่น้อยใจแล้วก็ไม่กลัวด้วย! ศิษย์พี่ดีกับพวกเราที่สุดแล้ว ศิษย์พี่มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน ตราบใดที่มีศิษย์พี่อยู่ ไม่มีปีศาจมารร้ายตนใดที่ปราบไม่ได้”

เด็กทั้งสองเช็ดมุมปากเล็กน้อยแล้ววิ่งฉิวเข้าไปในค่ายกลอย่างว่องไว

สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วจึงกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ก่อนหันหน้าไปถามองครักษ์ “ตามหาคนจากจวนอันกั๋วกงเจอรึยัง”

“แม้สองสามวันก่อนอันกั๋วกงจะได้รับเทียบเชิญ แต่ตอบปฏิเสธไปแล้วโดยอ้างว่ามีปัญหาสุขภาพ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีนางใดในจวนมาร่วมงาน ไม่รู้ว่า ‘ฮูหยินอันกั๋วกง’ ท่านนี้โผล่มาจากที่ใดกัน ตอนนี้ส่งคนเร่งมุ่งหน้าไปจวนอันกั๋วกงโดยด่วนแล้วขอรับ”

เรื่องราวเป็นดังคาดหมาย ลิ่นเฉิงโย่วถามอีกว่า “เสด็จอาอยู่ข้างนอกหรือไม่”

“ฉุนอันจวิ้นอ๋องยังปักหลักบัญชาการด้วยตนเองอยู่ด้านหน้า แขกเหรื่อต่างรีบร้อนไปจากที่นี่ โชคดีมีจวิ้นอ๋องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ แต่มีคนของจวนเจิ้นกั๋วกงมาถึงแล้วขอรับ”

“จวนเจิ้นกั๋วกง?”

“แม่ทัพน้อยต้วนแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกับบุตรสาวของแม่ทัพเถิงหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก คืนนี้คนสกุลต้วนก็บังเอิญอยู่ที่หอจื่ออวิ๋น พอได้ยินว่าเกิดเรื่องกับสกุลเถิง แม่ทัพน้อยต้วนกับฮูหยินหย่งอันโหวจึงรีบมาดูแลขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วคิดทบทวนครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าบุตรสาวของแม่ทัพเถิงเป็นผู้ใด เขามองไปทางระเบียงฝั่งตะวันตกอย่างไม่ใส่ใจจึงเห็นเถิงอวี้อี้กับเวินกงกงช่วยกันลากบ่าวชายของนางเข้าไปในห้องพอดี ส่วนยาเม็ดสุดท้ายที่ว่านั่นเกรงว่าคงลงท้องบ่าวชายผู้นั้นไปแล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งจะมาร้องไห้คร่ำครวญกับเขาเช่นนั้น

“ย้ายพวกเขาไปอยู่ที่อื่นให้หมดแล้วสั่งปิดตายศาลาหลั่นสยา ไม่อนุญาตให้ใครมาเข้าใกล้เด็ดขาด”

บ่าวไพร่ต่างตะลึงงันไปตามๆ กัน นี่ซื่อจื่อคงรังเกียจว่าคนเหล่านั้นเกะกะขวางทาง ทว่าเดิมทีก็สมควรจัดการเช่นนี้แต่แรก เพราะบริเวณนี้มีโอกาสเคราะห์ร้ายมากกว่าอยู่แล้ว

“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งทั้งสี่ทิศ ก่อนกัดปลายนิ้วเพื่อใช้เลือดทาลงไปบนไม้สยบมารในมือ “ศิษย์พี่ ปีศาจตนนี้มีที่มาเช่นไรกันแน่ คืนนี้ทำร้ายคนไปมากเท่าใดแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจุดไฟเผาตรงปลายนิ้ว เปลวไฟลุกโชนส่องสะท้อนนัยน์ตาดำขลับของเขาให้แวววาวดั่งอัญมณี

“มันซุ่มโจมตีสี่หญิงหนึ่งชายแถวริมแม่น้ำ สอดคล้องกับการคำนวณวิชาจื่อเวยพอดี ข้าเดาว่าวิญญาณดั้งเดิมในร่างอาศัยคงใกล้สลายไปในไม่ช้า จำเป็นต้องรีบหาจิตวิญญาณใหม่มาบำรุงเสริมอวัยวะตันทั้งห้า”

ชี่จื้อรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ ในเมื่อร่างอาศัยเดิมสภาพย่ำแย่ เปลี่ยนร่างไปเสียก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ ไยต้องลำบากทุ่มเทแรงกายแรงใจออกไปค้นหาจิตวิญญาณใหม่ห้าดวงด้วยเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองแผ่นยันต์เงียบๆ ท่าทางดูเหมือนกำลังจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด

ชี่จื้อกับเจวี๋ยเซิ่งหันมามองหน้ากัน ใจเต้นตึกตักหวาดระแวง ศิษย์พี่รู้สึกว่าตรงที่ใดผิดปกติใช่หรือไม่

ลิ่นเฉิงโย่วลงอาคมยันต์ไว้บนหัวลูกธนูเรียบร้อย ก็ยกขึ้นเล็งไปยังกระดิ่งเหล็กที่แขวนอยู่ใต้ชายคาเรือนโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ จากนั้นน้าวสายธนูจนตึงแล้วยิงต่อเนื่องสี่ดอกติดกันไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ และทิศเหนือ ครบสี่ทิศ ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำไม่มีพลาดสักดอกเดียว

เจวี๋ยเซิ่งตบหน้าผากพลางว่า “ข้ารู้แล้ว ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเคยบอกไว้ ปีศาจก็มีใจรักสวยรักงามเช่นกัน ฮูหยินท่านนี้รูปโฉมงดงามล้ำเลิศ เจ้าปีศาจจะต้องตัดใจจากรูปลักษณ์ของนางไม่ลงแน่ ศิษย์พี่ ข้าเดาถูกใช่หรือไม่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบลูกธนูดอกที่ห้าพาดสาย ยังคงไม่ยอมต่อบทสนทนากับอีกฝ่าย ลูกธนูหัวทองคำหลุดจากสาย ยิงตรงไปยังตรงกลางระหว่างคิ้วของฮูหยินอันกั๋วกง

ฮูหยินอันกั๋วกงมองเห็นลูกธนูดอกนั้นเข้ามาใกล้ทุกขณะ สีหน้าเย้ยหยันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย้ายวน ไม่รอให้ลูกธนูจ่อตรงหน้านางก็ดึงโซ่เหล็กขึ้นจากพื้นดินได้อย่างเหลือเชื่อ

“เสียแรงที่เจ้าเกิดมาหล่อเหลา กลับเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ เจ้าแข็งใจลงมือกับใบหน้างามเช่นนี้ได้จริงหรือ”

เจวี๋ยเซิ่งไม่ทันตั้งตัว เขาโดนพลังสายนี้ฉุดให้ล้มลงกับพื้น คิดจะแย่งชิงโซ่เหล็กกลับมาทันที แต่สุดท้ายสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหว ถูกลากออกไปจากค่ายกลจนได้

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกใจหน้าถอดสี “ศิษย์พี่! ปีศาจถูกหนอนล่ามวิญญาณมัดไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดกล่าวว่าจะทำลายค่ายกลก็ทำได้ง่ายๆ เช่นนี้”

ฮูหยินอันกั๋วกงลอยสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนเคว้งคว้างราวลมพายุกระโชกแรง โซ่เหล็กกระทบกันเสียงดังเคร้งคร้างกังวาน โอบล้อมพันร่างนางไล่ระดับจากล่างขึ้นบนชั้นแล้วชั้นเล่า

“คิดว่าหนอนตัวเล็กกระจ้อยเหมือนเส้นบะหมี่เช่นนี้จะมัดร่างข้าไว้ได้อย่างนั้นหรือ”

นางบีบโซ่เหล็กที่กลายร่างมาจากหนอนตัวนั้นเอาไว้แน่น พอออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้โซ่เหล็กส่งเสียงครืด ฟังดูคล้ายเสียงแมลงร้องระงม จากนั้นจึงขยับผ้าคลุมไหล่ปักลายของตนให้สั่นไหว ผ้าแพรเนื้อนิ่มสีขาวดุจหิมะพุ่งออกไปไวปานดาวตก ประหนึ่งกลายร่างเป็นอสรพิษสีเงิน ชั่วพริบตาเดียวก็พันร่างเจวี๋ยเซิ่งเอาไว้

“ศิษย์พี่ของพวกเจ้าน่าจะหาเด็กตัวเท่านี้มาอีกสักหลายคน เด็กขาวๆ อวบๆ เป็นอาหารอันโอชะเซ่นฟันข้าพอดี”

ปีศาจตนนี้เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งลมพายุ เจวี๋ยเซิ่งไม่ทันป้องกันตัวก็ถูกม้วนขึ้นไปกลางอากาศ ยามวิกฤตเขาฟาดไม้สยบมารสะเปะสะปะทว่าก็ไม่เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย พอเห็นว่าริมฝีปากสีแดงดั่งโลหิตของฮูหยินอันกั๋วกงเผยออ้าพร้อมโผเข้าใส่ตนเอง จึงยกแขนอวบอ้วนปัดป้อง ร้องโวยวายเหมือนสุกรถูกเชือด

“ศิษย์พี่!”

ท้องฟ้าเหนือลานกว้างพลันทอประกายสีทองเจิดจ้า แสงสว่างบาดตาฮูหยินอันกั๋วกง พละกำลังฝ่ามือถดถอยลงบางส่วน เจวี๋ยเซิ่งฉวยโอกาสใช้กระบี่สั้นในอกเสื้อตัดผ้าคลุมไหล่ขาดสะบั้น ร่างกายจึงร่วงหล่นกระแทกพื้นดิน

เขากลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบแล้วคลานกลับเข้าไปอยู่ตำแหน่งเดิมเพื่อรักษาค่ายกลทั้งน้ำตา

ฮูหยินอันกั๋วกงอยากจะคว้าเด็กน้อยเอาไว้ก็ไม่ทันแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นลูกธนูสี่ดอกที่ลิ่นเฉิงโย่วยิงออกไปนั้นเกี่ยวพันรวมกันกลายเป็นตาข่ายทองคำ ทิ้งตัวครอบศีรษะลงมาราวกับผ้าม่าน

นางแค่นเสียงเย้ยหยันในใจ ทะยานร่างย้อนทวนสายลมขึ้นไป แต่ตาข่ายผืนนั้นไม่รู้ว่าซุกซ่อนเล่ห์กลใดเอาไว้ ยิ่งขยับเข้าใกล้เท่าใดก็ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนระอุ

เวลาประเดี๋ยวเดียวเส้นผมสีดำขลับบนศีรษะนางก็โดนเผาไหม้ไปหย่อมหนึ่ง

นางร่ำร้องในใจว่าไม่ได้การแล้ว สตรีสูงศักดิ์ที่นางเข้าสิงร่างอยู่ผิวพรรณเนียนละเอียดอ่อนนุ่มไม่อาจทนรับความบอบช้ำได้ หากฝืนทะลวงฝ่าตาข่ายออกไปคงโดนเผาจนเนื้อหนังเหวอะหวะ

เจ้าหนุ่มผู้นี้ร้ายกาจยิ่งกว่าที่นางคิด จะต้องมั่นใจเรื่องนี้ถึงได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

ฮูหยินอันกั๋วกงนึกชิงชังอยู่ในใจ ไหล่ข้างหนึ่งเอียงลู่เตรียมจะกลับลงสู่พื้นดิน พลันสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนพัดวูบผ่านท้ายทอย เป็นลิ่นเฉิงโย่วที่ลอบจู่โจมนางจากด้านหลังนี่เอง

ด้านบนมีของวิเศษดักทาง ด้านหลังมีศัตรูไล่ตาม ฮูหยินอันกั๋วกงเบี่ยงกายหลบไม่พ้น จู่ๆ เล็บมือก็งอกยาวหลายชุ่น กรีดฝ่ามือตนเองจนเป็นแผล

หยาดโลหิตไหลทะลักออกมาตามง่ามนิ้วมือ อาบย้อมหนอนล่ามวิญญาณเป็นสีแดงในทันใด

นางเอ่ยปากท่องคาถา ยกมือสะบัดโซ่เหล็กไปทางลิ่นเฉิงโย่ว

เดิมทีหนอนล่ามวิญญาณก็ขาดรากวิญญาณ ต้องบำเพ็ญเพียรนานนับพันปีถึงกลายเป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำได้ แม้จะสามารถมัดจิตวิญญาณของภูตผีปีศาจร้ายได้มากมาย ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่ง ก็อาจโดนล่อลวงได้ ลิ่นเฉิงโย่วเข้าใจกระจ่างว่าเจ้าสิ่งนี้มีนิสัยเช่นไร ฉะนั้นจนแล้วจนรอดจึงไม่กล้าปล่อยโซ่เหล็ก

‘โซ่เหล็ก’ ถูกบีบบังคับให้ดื่มเลือดปีศาจ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการร่วงหล่นลงในหมอกหนา มันไม่อาจแยกแยะได้ว่าคุณชายหนุ่มน้อยที่อยู่ด้านหลังเป็นผู้ใด ได้แต่หลับหูหลับตาเข้าไปพันร่างอีกฝ่ายไว้

ลิ่นเฉิงโย่วหรี่ตาลง บีบหนอนล่ามวิญญาณแน่นแล้วสบถด่า “เจ้าเดรัจฉาน ดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร!”

เขาบีบเข้าที่จุดมิ่งเหมินหนอนล่ามวิญญาณโดนฟาดกลับสู่ร่างเดิมในทันที มันอับอายจนไม่มีหน้าจะพบใคร จึงกลายร่างเป็นงูสีทองขนาดเล็กมุดเข้าไปซ่อนในสาบเสื้อของลิ่นเฉิงโย่วอย่างหดหู่

ฮูหยินอันกั๋วกงหัวเราะเสียงหวาน อาศัยโอกาสนี้เบี่ยงกายไปทางซ้าย เหาะเหินเฉียดผ่านทางขวาของลิ่นเฉิงโย่ว แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังระเบียงทางเดิน

ผู้ใดจะรู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วแบ่งสมาธิรับมือสองทางได้ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือขยับวูบเข้าประชิดแล้วฟาดบนหัวไหล่นางโดยพลัน “นี่คิดจะหนีแล้วหรือ ข้ายังเล่นสนุกไม่พอเลยนะ”

ฮูหยินอันกั๋วกงตกตะลึงพรึงเพริด เหนือศีรษะมีตาข่ายทองคำ บนร่างไม่มีแรงจากหนอนล่ามวิญญาณให้หยิบยืม นางหมดหนทางจะหลบเลี่ยง จึงจำใจรับฝ่ามือนี้แต่โดยดี

นางแอบดูแคลนอยู่ในใจ ลิ่นเฉิงโย่วอายุยังน้อย อีกทั้งมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์เปี่ยมด้วยโชควาสนา จะมีพลังตบะได้เช่นไรเล่า เป็นไปได้เพียงว่าคงอาศัยของวิเศษชั้นเยี่ยมวาดลวดลายบ้างก็เท่านั้น

ก่อนหน้านี้เพราะความประมาทถึงได้หลงกลแผนการของลิ่นเฉิงโย่ว นางแสร้งวางท่าว่ากำลังพักฟื้นอยู่ในค่ายกลพลังก็กลับคืนมาห้าหกส่วนแล้ว ต่อให้ต้องรับฝ่ามือเขาสักครั้งก็ไม่มีปัญหา

“ฝีมือต่ำต้อยเท่านี้จะทำอะไรข้าได้”

นางโบกสะบัดผ้าคลุมไหล่ เรือนกายพลิ้วไหวดั่งสายธาร เพียงเฝ้ารอให้ลิ่นเฉิงโย่วใช้งานยันต์ไร้ประโยชน์พวกนั้นจนหมด ก็จะลากตัวเด็กหนุ่มมาอยู่ตรงหน้าตนเอง คาดไม่ถึงว่าฝ่ามือนั้นกลับมีพลังหยางบริสุทธิ์ ถาโถมแหวกฝ่าทุกอุปสรรคขัดขวางมาอย่างดุดัน ชั่วอึดใจเดียวก็กระแทกเข้าสู่ชีพจรหัวใจร่างเดิมของนาง

ดวงตาสองข้างของนางเบิกกว้าง พลังปราณในร่างเปรียบดั่งไอร้อนเดือดพล่าน กำลังภายในราวกับโดนสูบหายไปกว่าครึ่ง อวัยวะภายในทั้งหมดสั่นสะเทือนราวกับจะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง

นางพยายามเต็มกำลังด้วยปรารถนาจะรักษาวิญญาณดั้งเดิมเอาไว้ ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว ร่างกายนางพลันสะท้านเฮือก วิญญาณดั้งเดิมถูกผลักกระเด็นออกมากว่าครึ่ง

“ถึงแม้ฝีมือต่ำต้อย ก็มากพอจะรับมือเจ้าได้แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแหงนหน้ามองปีศาจตนนั้น เห็นแค่เงาดำถูกผลักออกจากร่างสตรีตรงหน้า กลายเป็นหญิงชราอายุประมาณเจ็ดสิบปีที่มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะและรูปร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่ง

“ที่แท้…ที่แท้นางก็มีหน้าตาเช่นนี้จริงๆ ด้วย”

“แก่งั่กเลย ดูแก่กว่าท่านอาจารย์อีกนะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตะลึงงัน พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างเดิมของปีศาจกรงเล็บขวาขาดหายไป

เงาดำอับอายและขุ่นเคืองอย่างยิ่งจึงยกแขนปิดบังใบหน้าตนเอง

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเหล่าองครักษ์เก็บกรงเล็บขาดวิ่นข้างหนึ่งได้จากในป่า คิดว่าต้องเป็นกรงเล็บของปีศาจตนนี้แน่ เห็นได้ชัดว่าเวลานั้นมียอดฝีมือสูงส่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย มิฉะนั้นปีศาจตนนี้จะเสียเปรียบครั้งใหญ่ได้อย่างไร

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไม่มีเวลามาตะลึงงัน พวกเขาเร่งปลุกพลังไม้สยบมาร ร่างเดิมถูกผลักออกมาส่วนหนึ่งแล้ว เป็นโอกาสงามในการแย่งชิงกายเนื้อกลับคืนมาพอดี

ปีศาจเฒ่ารีบร้อนจะหนีกลับเข้าไปในร่างอาศัย อดกลั้นต่อความเจ็บปวดยามเนื้อตัวแตกยับเป็นแผลแล้วเค้นกลุ่มหมอกสีดำออกจากภายใน

ไอหมอกค่อยๆ เกาะกลุ่มหนาทึบราวกับควันไฟ พริบตาเดียวก็ห้อมล้อมรอบกายปีศาจ ไม่เพียงเท่านี้ยังแผ่กระจายไปหาลิ่นเฉิงโย่วที่อยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว

“เป็นปราณพิฆาต!” เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื่อร้องตะโกนเสียงหลงออกมาพร้อมกัน “ศิษย์พี่ระวังด้วย!”

ปราณพิฆาตจากปีศาจเฒ่าที่บำเพ็ญเพียรมานานนับร้อยปีขึ้นไป เมื่อใดสัมผัสโดนพลังปราณแท้จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ปีศาจเฒ่าหมายฉวยโอกาสนี้แย่งชิงกายเนื้อฮูหยินอันกั๋วกงกลับมา แต่ในตอนนี้เองปลายนิ้วลิ่นเฉิงโย่วก็เผายันต์อีกแผ่น ชิงนำหน้าก้าวหนึ่งไปสกัดจุดเฟิงฉือ* ของฮูหยินอันกั๋วกงเอาไว้

รากวิญญาณของร่างอาศัยโดนปิดกั้น หากยังหาหนทางอื่นกลับเข้าไปไม่ได้จะต้องสูญเสียกายเนื้อของหญิงงามเช่นนี้ไปแน่ ปีศาจเฒ่าโมโหจนแทบอกแตกตาย หลังจากมึนงงไปชั่วขณะก็หันขวับกลับไปข่มขู่เสียงเหี้ยมเกรียมว่า “เจ้าเด็กอวดดี ข้าจะเอาชีวิตเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะลั่นพลางกล่าว “อย่างเจ้าน่ะหรือ” ก่อนจะพลิกกายตีลังกาไปด้านหลัง ลากร่างฮูหยินอันกั๋วกงออกไปนอกลานกว้าง

ยามนี้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อขวัญกำลังใจฮึกเหิม ศิษย์พี่ฝีมือไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ในเมื่อชิงกายเนื้อของร่างอาศัยกลับมาได้แล้ว ต่อจากนี้ทุกอย่างจะจัดการง่ายขึ้นมาก

องครักษ์ตรงหน้าประตูนำขันทีกลุ่มหนึ่งยกเกี้ยวหลังเล็กมาพอดี ลิ่นเฉิงโย่วทิ้งร่างฮูหยินอันกั๋วกงที่สลบไสลไม่ได้สติไว้ในเกี้ยวพลางเอ่ย “ปีศาจตนนี้รับมือยากนัก เร่งเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปไว้ที่อื่นเถอะ”

ปีศาจเฒ่าถลึงดวงตาเรียวเล็กสีเขียวเข้มจ้องมอง ดวงตาคู่นั้นฉายแววเคียดแค้นเจียนคลั่ง แม้ว่ากรงเล็บจะหายไปข้างหนึ่ง แต่อีกข้างที่เหลือก็ขยับยืดหดได้ดังใจ นางแผดเสียงคำรามประหลาดดังกึกก้องสะท้านฟ้า ไม่ปล่อยให้ลิ่นเฉิงโย่วหันหลังกลับมาได้ทัน ก็พุ่งไปคว้าแผ่นหลังเขาอย่างดุดัน

“ศิษย์พี่ ระวัง!”

ลิ่นเฉิงโย่วใช้ลูกธนูหัวทองคำในซองหนังจนหมดเกลี้ยงแล้ว เขารับรู้ได้ถึงเสียงลมพัดวูบมาจากด้านหลังทว่ากลับไม่เบี่ยงกายหลบแต่อย่างใด แขนเสื้อคลุมสะบัดพลิ้วไหวเบาๆ ในมือก็มีดาบโค้งโผล่มาเล่มหนึ่ง

พอสัมผัสได้ว่าปีศาจตนนั้นขยับเข้ามาใกล้เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอนตัวไปด้านหลัง กางแขนทั้งสองข้าง อาศัยแรงลมยามค่ำคืนลื่นไถลกลับไปที่กลางลานกว้างอย่างสบายๆ

หมอกสีดำบนร่างปีศาจสลายหายไปหมดแล้ว เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง

พลังฝีมือของนางไม่อ่อนด้อย บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว มองครู่แรกก็ดูไม่ต่างจากหญิงชราธรรมดา เพียงแค่บริเวณลำคอกับแขนยังหุ้มด้วยเปลือกไม้สีน้ำตาล มุมปากกับหน้าผากเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นราวกับผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลามานานนับร้อยปี

ตอนนางกระโจนเข้าใส่ลิ่นเฉิงโย่วเส้นผมสีเงินบางหร็อมแหร็มปลิวไสวกลางสายลม เมื่อปอยผมตกลู่ลงข้างใบหูยิ่งขับเน้นใบหน้าซูบผอมแก้มตอบให้เด่นชัด

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเอ่ยขึ้นว่า “เสียแรงที่พวกเราอุตส่าห์เดาว่านางเป็นปีศาจดอกไม้จำพวกดอกโบตั๋นหรือดอกเสาเย่าที่แท้ก็เป็นแค่ปีศาจต้นไม้ คงเป็นเพราะบำเพ็ญเพียรให้มีหน้าตางดงามไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยรูปลักษณ์ของหญิงงามสินะ”

ลิ่นเฉิงโย่วจับดาบมั่นสกัดการโจมตี ในใจกลับรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีบางสิ่งไม่ปกติ บนท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เหนือศีรษะเขายิ่งทวีความลึกล้ำดำมืดกว่าเดิมไปทุกขณะ หากมีสี่สตรีหนึ่งบุรุษหมดสติจริง การคาดการณ์ของเขาไม่มีทางผิดพลาด

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับรู้สึกว่ามีตรงที่ใดสักแห่งไม่ถูกต้อง หางตาเหลือบเห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเสียสมาธิ เขาจึงเอ่ยข่มขวัญว่า “พวกเจ้าไม่ตั้งใจรักษาค่ายกลให้ดี จะรอให้ปีศาจมาแก้แค้นหรือไร”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไม่กล้าจ้องมองอีกต่อไป ตอนท่านอาจารย์สอนเรื่องค่ายกลนี้กับพวกเขาก็เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของ ‘สามข้อห้าม’ คือ ‘ไม่ฟัง ไม่ถาม ไม่กลัว’

หากว่าตามคำพูดของท่านอาจารย์ พวกเขาสองคนมีดวงชะตาเป็นนักพรตน้อยซานชิง ที่มีตราทองคำติดตัว ขอเพียงพวกเขารักษาค่ายกลอู่จั้งไว้ให้ดี ต่อให้ปีศาจจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็ไม่อาจทะลวงกรงขังออกไปได้

ยิ่งไปว่านั้นศิษย์พี่ยังกางตาข่ายทองคำผานหลัวบนท้องฟ้าเหนือลานกว้างเรียบร้อย ของวิเศษชิ้นนี้ควบคุมพลังชั่วร้ายได้ยอดเยี่ยมที่สุด นอกเสียจากว่าปีศาจจะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นมารไปแล้ว มิฉะนั้นจะไม่มีทางเรียกพรรคพวกจากใจกลางตาข่ายได้เด็ดขาด

ปีศาจตนนั้นกระโดดมาได้ครึ่งทางก็หันขวับกลับไปกะทันหัน ไม่เข้าไปปะทะกับลิ่นเฉิงโย่วซึ่งหน้าอีก แต่หมุนกายไปอีกทางเพื่อคว้าชี่จื้อที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน

ชี่จื้อสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวสกปรกพุ่งเข้าใส่หน้า เขารู้สึกตระหนกลนลานอย่างห้ามไม่อยู่ แต่พอคิดว่ามีศิษย์พี่โฉบเฉียดไปมานอกค่ายกล ก็สงบเยือกเย็นลงได้อีกครั้ง

เป็นอย่างที่คิดไว้ ปีศาจยังไม่ทันเข้าใกล้ ลิ่นเฉิงโย่วก็รุกไล่โจมตีมาถึงแล้ว ยามต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายเขาไม่สนใจกรอบกฎเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร ถึงคราวลงมือก็ฟันคอปีศาจตนนั้นทันที

ปีศาจเฒ่าเอียงศีรษะหลบแล้วกางกรงเล็บตะครุบไหล่กลับ “ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้าเลือดเย็นปานนี้ มีส่วนใดเหมือนคนลัทธิเต๋าบ้าง”

“น่าขำ เต๋าอยู่ในใจ มารอยู่ตรงหน้า หากยั้งมือไว้ไมตรีกับปีศาจร้ายอย่างพวกเจ้า เช่นนี้จึงถือว่าไร้เมตตาต่อเหล่าอาณาประชาราษฎร์แล้ว”

“ทั้งที่เป็น ‘ตัวหายนะ’ ร้ายแรงแท้ๆ ไยต้องพูดจาสร้างภาพให้ดูสูงส่ง เจ้าเป็นบุรุษข้าเป็นสตรีมีข้อแตกต่าง เดิมทีข้าไม่ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าอยู่แล้ว แต่เห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าอยากแต่งตัวเป็นคุณชายหนุ่มน้อยดูบ้าง ก่อนลงมือบอกกล่าวเจ้าไว้ล่วงหน้าสักคำ เจ้าจะได้รู้ว่าตนเองตายเพราะเหตุใด”

ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะเสียงกังวาน “สมกับเป็นปีศาจต้นไหวเฒ่าตรงเชิงเขาหลี่เฉวียน พลังตบะที่สั่งสมมานานนมคงใช้ไปกับการฝึกวิชาหนังหนาหมดสินะ ข้ามีอานม้าอยู่เยอะแยะแต่ไม่เคยเห็นอานล้ำค่าทำจากเปลือกต้นไม้เฒ่าอายุเป็นพันปีเลย ในเมื่อหนังหน้าเจ้าหนาปานนี้ ถลกมาให้ข้าทำอานม้าเล่นดูหน่อยเป็นอย่างไร”

ดวงตาปีศาจเฒ่าเปล่งประกายวูบไหว ลิ่นเฉิงโย่วจะพ่นวาจาสามหาวเฉยๆ ก็แล้วไปเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมองทะลุเบื้องหลังของนางเร็วถึงเพียงนี้

ระหว่างที่คุยเล่นกันอยู่ลิ่นเฉิงโย่วก็ส่งคมดาบมาจ่อตรงหน้า ประกายดาบขาวสว่างวาบเหมือนไอเย็นเยียบในดวงตาเขาไม่มีผิด

ปีศาจไม่กล้าดูแคลนกระบวนท่าเหล่านี้ กรงเล็บขนาดใหญ่หดกลับมาแล้วตกลงบนตำแหน่งหลีกลางค่ายกลอย่างจนมุม

ตำแหน่งหลีถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งอินกงทั้งสี่ เป็นกรงขังบั่นทอนอิทธิฤทธิ์ปีศาจโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งหยางกงทั้งสี่ ที่นักพรตน้อยสองคนนั้นรักษาอยู่

ปีศาจเฒ่ายืนอยู่กับที่แค่ครู่เดียวก็รู้สึกนัยน์ตาพร่าเลือน ตระหนักได้ว่าหากถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้นานเข้า พลังตบะทั้งหมดที่สั่งสมในร่างต้องสลายหายไปหมดแน่

นางลองคำนวณดูคร่าวๆ ก็พบว่าใกล้จะได้เวลาอันเหมาะสมจึงนั่งลงขัดสมาธิแล้วยกแขนขึ้น ก่อนจะตัดนิ้วตนเองทิ้งหนึ่งนิ้วท่ามกลางแสงสลัวยามราตรี หยดเลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นดินราวกับดอกเหมยสีแดงนับหมื่นบานสะพรั่ง

ปีศาจสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวขณะปักนิ้วที่ขาดกลางลานกว้าง

ลิ่นเฉิงโย่วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหาะโฉบมาถึงเหนือศีรษะปีศาจ ทว่ายังไม่ทันลงมือปีศาจพลันระเบิดรัศมีมืดมนรอบกายออกมา พลังคล้ายดาบน้ำแข็งไร้รูปฟันอกเขากลางอากาศจนร่างกระเด็นออกไปไกลทันที

ลิ่นเฉิงโย่วตื่นตระหนกอย่างที่สุด รับรู้ได้ว่าเลือดลมในอกปั่นป่วน ถือโอกาสพลิกตัวตีลังกาหลบหลีก กลับยังสลัดพลังแปลกประหลาดนั่นไปไม่พ้น เขารีบปักดาบลงดินแล้วฝืนทรงตัวให้มั่นคงไว้ได้

เลือดในกายประหนึ่งมีก้อนน้ำแข็งไหลทะลักเข้าไปมหาศาล ความเย็นยะเยือกจับใจแผ่ปกคลุมไปทุกรูขุมขน เขากำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ เลือดสีแดงสดก็ไหลทะลักผ่านลำคอออกมา

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออดใจไม่ไหวลืมตาขึ้นมา “ศิษย์พี่!”

เหล่าองครักษ์ทางนั้นกำลังคุ้มกันส่งกลุ่มคนเจ็บออกมาจากห้อง เนื่องจากรู้ดีว่าปีศาจอยู่กลางลานกว้างจึงไม่กล้าเหลียวมองมากนัก

เถิงอวี้อี้ยุ่งอยู่กับการดูแลเกี้ยวหลังเล็กของญาติผู้พี่ทำให้นางอยู่รั้งท้ายขบวน

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องตะโกน นางพลันหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเพ่งมองผ่านเงาร่างผู้คนถึงสังเกตเห็นว่าลิ่นเฉิงโย่วคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นพร้อมไอโขลกไม่หยุด ท่าทางคล้ายได้รับบาดเจ็บ

บทที่ 6

เถิงอวี้อี้รู้สึกตกตะลึง ปีศาจตนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ลิ่นเฉิงโย่วเป็นศิษย์หลานของนักพรตชิงซวีจื่อ คิดว่าเขาคงมีฝีมืออยู่บ้าง แต่นอกจากเขาจะจับปีศาจไม่ได้แล้ว ตนเองยังได้รับบาดเจ็บอีก

พอเหลียวมองไปทางลานกว้างอีกครั้งก็เห็นหญิงชราผมขาวโพลนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกล ไอหมอกลอยวนเวียนโดยรอบกักขังนางไว้ หญิงชรายกแขนขึ้นสูงพร้อมขยับริมฝีปากพึมพำไม่หยุด ท่าทางคล้ายกำลังท่องคาถา

กลางค่ายกลยังมีนักพรตน้อยรูปร่างอวบอ้วนนั่งอยู่สองคน ดูท่าคงเป็นศิษย์อารามชิงอวิ๋นเช่นกัน

มีเพียงฮูหยินอันกั๋วกงตัวปลอมนั่น เถิงอวี้อี้มองหาเท่าไรก็หาไม่เจอ นางกำลังรู้สึกประหลาดใจ ทว่าเมื่อกวาดสายตามองให้ทั่วๆ ถึงสังเกตเห็นว่ามือขวาของหญิงชราหายไป

หัวใจนางเต้นโครมคราม ที่แท้หญิงชราผู้นี้ก็คือปีศาจที่ถูกนางฟันกรงเล็บขาดในป่าไผ่ ก่อนหน้านี้ยังใช้รูปลักษณ์ของหญิงงามอย่างฮูหยินอันกั๋วกง สุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว

นี่คงเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางสินะ เถิงอวี้อี้ลูบคลำกระบี่หยกมรกตในกระบอกแขนเสื้ออย่างหวาดหวั่น ลิ่นเฉิงโย่วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะยังปราบปีศาจตนนี้ได้หรือไม่

ลิ่นเฉิงโย่วก้มศีรษะไอโขลก ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังลุกขึ้นมาไม่ไหว มิหนำซ้ำชุดคลุมยาวปักดิ้นทองยังเปรอะเปื้อนคราบโลหิต เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่เบาเลย

เหล่าองครักษ์มีหรือจะเคยเห็นนายน้อยของตนตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ พวกเขาชักดาบออกจากฝักพร้อมตะโกนเรียก “ซื่อจื่อ!”

ลิ่นเฉิงโย่วเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก “เจ้าพวกโง่ ยังไม่รีบไปอีก!”

ปลายนิ้วเขาผุดประกายแสงสีเงินสว่างวาบ พอโบกสะบัดมือก็มียันต์พุ่งออกไปเร็วจี๋ แล้วร่วงลงบนพื้นดินก่อนกลายเป็นเปลวเพลิงลุกลามเป็นแนวยาว

ทันใดนั้นเองเสียงเสียดสีดังสวบสาบก็ลอยขึ้นมาจากใต้ดิน ปีศาจเฒ่ายังไม่ทันลืมตา มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ จนเกือบมองไม่เห็น

เหล่าองครักษ์หยุดชะงักฝีเท้ากะทันหัน มิน่าเล่าซื่อจื่อถึงได้โมโหเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ ดูจากรูปการณ์แล้วปีศาจเฒ่าคงอยากให้บุกเข้าค่ายกลแทบแย่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าวู่วามอีก รีบหันหน้ากลับไปคุ้มกันทุกคน

“รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”

เถิงอวี้อี้ประคองท่านป้าไว้ รีบชิงนำหน้าเดินหนีออกไปข้างนอก เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองหยางโจวนางเคยเห็นผู้สูงส่งของลัทธิเต๋าตั้งแท่นประกอบพิธีกรรม พอมีความรู้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง จึงรู้ดีว่าคนนอกไม่อาจเข้าใกล้ตามอำเภอใจได้

กระบี่สั้นทำจากหยกมรกตเล่มนี้เป็นของที่ได้มาโดยไม่คาดคิด นางยังไม่ทันตรวจสอบที่มาที่ไปของกระบี่ให้กระจ่าง ต่อให้ตอนอยู่ในป่าไผ่โชคดีใช้ฟันกรงเล็บปีศาจตนนั้นจนขาดได้ นั่นก็เป็นเพราะฉวยโอกาสตอนมันไม่ทันระวังตัวต่างหาก เวลานี้ปีศาจเฒ่าระแวดระวังเต็มที่ ผลีผลามก้าวออกไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย

องครักษ์คอยเปิดทางอยู่ข้างหน้า ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังก้าวลงบันได จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากใต้ดินเป็นระยะ ตอนแรกไม่น่ากลัวสักเท่าไร ทว่าเสียงนั้นดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีบางสิ่งมุ่งหน้ามาจากทุกทิศทุกทาง เสียงฝีเท้าดังถี่รัวตามมาด้วยวิญญาณร้ายโผล่มานับไม่ถ้วน

ชั่วพริบตาเดียวศาลาหลั่นสยาก็มีสภาพเลวร้ายดั่งขุมนรก

ผู้คนตื่นตกใจกันถ้วนหน้า ขาสองข้างติดแน่นอยู่บนขั้นบันได ไม่มีใครกล้าก้าวไปต่อ ทว่าก็ไม่มีใครยอมถอยกลับไปที่ระเบียงทางเดินเช่นกัน

องครักษ์แต่ละคนแข็งแรงปราดเปรียวดุจเสือดาว แต่อย่างไรก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน พวกเขากุมอาวุธในมือไว้โดยไม่รู้จะต่อกรกับวิญญาณร้ายจากปรโลกเหล่านี้เช่นไร

โชคดีที่ลิ่นเฉิงโย่วฝังแผ่นยันต์ล้อมรอบไว้ล่วงหน้า เหล่าวิญญาณเพิ่งโผล่ออกมาก็โดนเผามอดไหม้เป็นกองขี้เถ้า

เพียงแต่ครั้งนี้วิญญาณมีจำนวนมากจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าเสมือนเป็นเส้นทางคู่ขนานของอีกภพหนึ่ง ถึงแม้ลิ่นเฉิงโย่วจะลงมือรวดเร็วปานดาวตก ก็ยังมีปลาหลุดรอดตาข่ายไปไม่น้อย

เมื่อใดที่เหล่าวิญญาณฝ่าวงล้อมออกมาได้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปโดยพลัน มิใช่กลายร่างให้เหมือนปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว ก็ขยายร่างใหญ่พรวดพราดกว่าเดิมหลายเท่า

หนึ่งในบรรดาวิญญาณร้ายที่กลายร่างมีปีศาจไร้หัวร่างสีดำสนิทตนหนึ่งอยู่ใกล้ระเบียงทางเดินมากที่สุด มันสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังจึงขยับร่างหมุนมาอีกทาง ก้าวเท้าโอนเอนไปมาแล้ววิ่งห้อมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

เจ้าปีศาจตนนี้แม้จะไร้หัว แต่รูปร่างของมันสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวที่วิ่งตรงมาทำให้เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงแก้วหู

ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งกอดเสาระเบียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด

เถิงอวี้อี้หยิบกระบี่หยกมรกตออกมา รีบปกป้องตู้ฮูหยินเอาไว้ข้างหลัง เหล่าองครักษ์ชูดาบเตรียมฟาดฟัน แต่เจ้าปีศาจตนนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกโซ่เส้นหนึ่งที่ลิ่นเฉิงโย่วเหวี่ยงออกมามัดร่างไว้ก่อน

ปีศาจร่างยักษ์ล้มลงกับพื้นเสียงดังโครม จากนั้นถูกโซ่กระชากกลับเข้าเขตค่ายกล มันกวัดแกว่งสองแขนหมายคว้าตัวลิ่นเฉิงโย่ว ทว่ายังไม่ทันแตะต้องกระทั่งชายเสื้อคลุมลิ่นเฉิงโย่วก็กระชับโซ่เหล็กในมือแน่นเข้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เจ้าปีศาจแหลกสลายกลายเป็นผุยผงสีดำสนิทกองอยู่ตรงปลายเท้าเขาราวกับเป็นเพียงภาพลวงตากระนั้น

ทุกคนเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ ลิ่นเฉิงโย่วเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นมอง แววตาคมกริบดุดันกวาดมองไปทั่วก่อนจะหยุดลงบนร่างเถิงอวี้อี้

เถิงอวี้อี้รีบหันกลับไปดูแลเกี้ยวของญาติผู้พี่ รู้สึกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ผิดปกติอย่างมาก หากนางมองไม่ผิดพวกปีศาจไม่สนใจไยดีพวกลิ่นเฉิงโย่วสามคนที่อยู่ในค่ายกลสักนิด กลับหันมาสนใจพวกนางทางนี้มากกว่า สายตาลิ่นเฉิงโย่วก็แฝงความหมายลึกซึ้งเหมือนครุ่นคิดว่านางซุกซ่อนอะไรแปลกๆ เอาไว้

อาจเป็นเพราะลิ่นเฉิงโย่วได้รับบาดเจ็บใบหน้าจึงซีดขาวกว่าปกติเล็กน้อย ทว่าดวงตาดอกท้อ* คู่นั้นทอประกายเย็นเยียบข่มขวัญ ขับเน้นให้เส้นผมสีดำดั่งน้ำหมึกแลดูโดดเด่น สายตาฉายแววพินิจพิเคราะห์และฉงนสงสัยจางๆ มองสำรวจนางศีรษะจรดเท้าชั่วครู่ก็หันหน้ากลับไป เผอิญปีศาจตนหนึ่งกระโจนเข้ามาตรงหน้าเขาจึงฟันร่างมันขาดเป็นสองส่วน

ตอนนี้องครักษ์เข้าใจสถานการณ์แล้ว ปีศาจเหล่านี้แม้จะดุร้ายน่ากลัวกลับเข้าใกล้คุณชายน้อยของพวกตนไม่ได้เลย ส่วนปีศาจอีกกลุ่มที่คิดจะหลบหนีออกไป ก็โดนลากไปกักขังเอาไว้ในค่ายกล ซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บภายใน ไม่อาจตะโกนเตือนพวกตนเต็มเสียงได้ ทว่าก็เปิดเส้นทางหลบหนีให้พวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว

“รีบไป”

ฉวยโอกาสขณะปีศาจเฒ่าผู้นั้นยังมิทันขยับเขยื้อน คุ้มกันพาทุกคนลงบันไดหนีไป จะต้องพาคนเจ็บออกไปเสียก่อน ค่อยไปตามคนมาช่วยเหลือ

เถิงอวี้อี้รีบร้อนพยุงตู้ฮูหยินวิ่งหนี ระหว่างนั้นยังลอบสังเกตสถานการณ์ในลานกว้างไปด้วย

พวกปีศาจต่างโอบล้อมรอบไอหมอกเบาบางคล้ายผ้าเนื้อโปร่งสีดำ ขอเพียงพวกมันตนใดโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน หมอกสีดำก็จะหลุดลอยจากร่างไปรวมกันเป็นกลุ่มก้อนทันที ก่อนจะม้วนตัวลอยขึ้นสูงแล้วไหลเข้าไปในโพรงจมูกและรูหูของปีศาจเฒ่า

ปีศาจเฒ่านั่งสงบนิ่งอยู่กลางค่ายกล ทุกครั้งที่สูดหมอกสีดำเข้าไปใบหน้าก็จะสว่างจ้าขึ้นมาหนึ่งส่วน

หากรอจนปีศาจตนนี้สูดเข้าไปมากพอแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นไรอีก เถิงอวี้อี้กำลังคาดเดาอยู่ในใจ

ตู้ฮูหยินที่อยู่ข้างกายวิ่งหนีอย่างแตกตื่นลนลาน ไม่ทันระวังสะดุดชายกระโปรงตนเองเข้า “อวี้เอ๋อร์”

“ท่านป้า” เถิงอวี้อี้รีบประคองตู้ฮูหยินลุกขึ้นมา นางเงยหน้ามองโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นหญิงชราผู้นั้นลืมตาตั้งแต่เมื่อใดมิทราบได้ นัยน์ตาอาบย้อมด้วยสีน้ำเงินเข้มมืดสลัว จ้องนางเขม็งด้วยแววตาถมึงทึง

เถิงอวี้อี้หรี่ตาลงครุ่นคิด ในลานกว้างมีคนตั้งมากมายเช่นนี้ ปีศาจเฒ่าไม่เหลียวมองผู้ใด กลับเอาแต่จ้องมองนาง แปลว่าจะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอด

ปีศาจเฒ่าต้องการจะแก้แค้นกระบี่นั้น หรือว่ามีความคิดอื่นซ่อนอยู่ หากปีศาจตนนี้หนีออกมาได้เกรงว่าคงมาคิดบัญชีกับนางเป็นคนแรก

 

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเพิ่งจะอายุครบเก้าขวบ จิตใจยังอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอยู่มาก พอเห็นปีศาจโผล่ออกมาไม่ขาดสาย ก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย

สาเหตุที่ศิษย์พี่วางค่ายกลอู่จั้ง ก็เพราะว่ามีคนเจ็บห้าคนสลบไสลไม่ได้สติ ค่ายกลนี้ทั้งสามารถกักขังปีศาจเฒ่าไว้ได้ แล้วยังช่วงชิงจิตวิญญาณของคนเจ็บทั้งห้าคนกลับมาได้ด้วย

แต่ในเมื่อปีศาจต้นไม้สามารถเรียกวิญญาณร้ายหรือปีศาจตนอื่นมาได้ทั้งที่นางอยู่ใต้ตาข่ายทองคำผานหลัว ก็หมายความว่าปีศาจตนนี้จะกลายเป็นมารแล้ว

ค่ายกลอู่จั้งไม่อาจกำราบนางได้ ไม่ช้าก็เร็วคงทำลายค่ายกลแล้วหนีออกไปสำเร็จ

ตอนนี้ศิษย์พี่จะต้องเสียใจแน่ที่ไม่ตรวจดูสภาพคนเจ็บอย่างละเอียด คำตอบที่ว่า ‘หมดสติห้าคน’ เห็นได้ชัดว่ามีข้อผิดพลาด นับตั้งแต่ตอนศิษย์พี่ตัดสินใจวางค่ายกลอู่จั้ง ก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนโดนต้มจนเปื่อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องไปสืบสาวจากที่ใดว่าใครโกหก หากไม่เร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยด่วน ผู้ใดก็อย่าคิดหนีรอดไปได้เลย

ภายในค่ายกลมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวล เสียงกรีดร้องโหยหวนของปีศาจร้ายดังอื้ออึงข้างหู ทั้งหมดนี้หาใช่ภาพลวงตา แต่เป็นปีศาจร้ายภายในรัศมีร้อยหลี่* หลั่งไหลมาที่นี่ แค่โดนสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้โจมตี ถึงไม่ตายก็ต้องถูกกัดเข้าเนื้อสักคำ

เด็กทั้งสองจิตใจกำลังวุ่นวายสับสน จู่ๆ ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างลอยมากลางอากาศ เดิมทีพวกปีศาจหมายจะกัดแขนอวบๆ ของเจวี๋ยเซิ่งอยู่แล้ว กลับโดนกำแพงล่องหนดีดกระเด็นไปไกลลิบอย่างไม่คาดคิด

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบร้อนลืมตาขึ้น ก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วนำไม้สยบมารของตนเองปักลงไปตรงกลางระหว่างตำแหน่งคุนกับหลี

ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งโก้วกว้ากับฟู่กว้าจึงเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็น ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’

“ศิษย์พี่” เด็กทั้งสองรู้สึกได้ว่าจิตใจพลันหนักอึ้ง ไม้สยบมารเป็นของวิเศษคุ้มกาย ศิษย์พี่เสียสละให้พวกเขาแล้ว มิเท่ากับว่าไร้เกราะปกป้องตนเองหรอกหรือ

“ท้องฟ้าเหนือลานกว้างมีตาข่ายทองคำผานหลัว พวกปีศาจอยากจะหนีก็คงหนีออกไปไม่ได้ ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’ สามารถปกป้องได้สักหนึ่งก้านธูป ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ทะเลาะกันเอง ปีศาจเฒ่าตนนั้นทั้งไม่กล้าเข้าใกล้และออกไปจากค่ายกลไม่ได้ หอเยวี่ยเติงเก็บกระบี่นิลเก้าสวรรค์ไว้ ข้าไปไม่นานก็กลับมา”

หอเยวี่ยเติงเก็บกระบี่นิลเก้าสวรรค์ไว้?

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตะลึงงัน หลายปีมานี้พวกเขาก็อยู่ข้างกายท่านอาจารย์ตลอด ไม่เคยได้ยินชื่อกระบี่มาก่อน แต่ศิษย์พี่คำพูดคำจาเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เหมือนปั้นแต่งเรื่องโกหกเลย

ปีศาจเฒ่ากำลังยุ่งอยู่กับการดูดปราณพิฆาตในค่ายกล กลับส่งเสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่คาดคิด “ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้าอยากจะหนีก็หนีไปสิ ไยต้องลำบากแต่งเรื่องโกหกมาหลอกศิษย์น้องตัวน้อยๆ ของเจ้าด้วย รีบร้อนหนีเช่นนี้ หรือว่าเจ้าก็รู้จักกลัวบ้างแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วแหวกเปิดทางออกช่องหนึ่งแล้วกระโจนออกไปนอกค่ายกลท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน “ช่างเถอะ ข้าสู้เจ้าไม่ได้ จะไปหาอะไรมาช่วยสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”

ปีศาจเฒ่าถ่มน้ำลาย “ไม่ต้องมาเสแสร้ง! หอเยวี่ยเติงอยู่ติดกับหอจื่ออวิ๋น ถ้าจะไปเอากระบี่นิลเก้าสวรรค์บ้าบออะไรนั่นจริง ส่งบ่าวไพร่ข้างกายไปก็พอแล้ว จำเป็นต้องไปเองด้วยรึ”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “นี่เจ้าคงไม่รู้อะไร กระบี่เล่มนั้นถูกเก็บจนฝุ่นจับเป็นสิบปีไม่เคยมีใครหยิบมาใช้งาน ต่อให้บอกบ่าวไพร่ว่าเก็บซ่อนไว้ที่ใดพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอามาอย่างไร กระบี่นิลเก้าสวรรค์เป็นสมบัติล้ำค่าของลัทธิเต๋า จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันไม่ได้เป็นอันขาด จึงต้องให้ข้าไปหยิบมาด้วยตนเองแล้ว ใช้เจ้าเป็นที่ลับคมกระบี่พอดี”

ปีศาจเฒ่าเคยครอบครองรูปลักษณ์ของฮูหยินอันกั๋วกงย่อมเก็บเกี่ยวความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมาด้วย “ได้ยินผู้คนร่ำลือกันประจำว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่เคยเห็นระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆ อยู่ในสายตา หากเจ้ารู้ว่าหอเยวี่ยเติงเก็บกระบี่ล้ำค่า จะปล่อยให้มันถูกเก็บอยู่บนชั้นวางเฉยๆ ได้อย่างไร บอกว่ากระไรนะ ‘เก็บจนฝุ่นจับเป็นสิบปี’ เฮอะ ก็แค่อยากหาข้ออ้างแอบหนีไปเท่านั้น”

ในใจเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเต็มไปด้วยความสงสัย คำพูดของปีศาจเฒ่าฟังดูมีเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ

ตลอดสองสามปีที่พวกเขาอยู่ในอารามเคยได้ยินเรื่องวีรกรรมในวัยเยาว์ของศิษย์พี่มาไม่น้อย ศิษย์พี่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง มักก่อเรื่องยั่วโมโหคู่สามีภรรยาเฉิงอ๋องเป็นประจำ ในบรรดาบุตรหลานขุนนางผู้ใหญ่และชนชั้นสูงทั่วเมืองฉางอัน ก็มีศิษย์พี่นี่ล่ะถูกลงโทษบ่อยที่สุดแล้ว

เมื่อดูจากนิสัยดื้อรั้นถึงขีดสุดของศิษย์พี่ หากรู้ว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิเต๋าเก็บรักษาไว้ที่หอเยวี่ยเติงคงหาวิธีไปหยิบมาดูเล่นนานแล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ “ของวิเศษลัทธิเต๋าจะเบิกเนตร ก็ต้องอาศัยโอกาสและโชคชะตา กระบี่นิลเก้าสวรรค์ไม่เหมือนของวิเศษชิ้นอื่น ต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งชั่วร้ายมาเป็นตัวประสาน ถึงแม้ข้าจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องกระบี่เล่มนี้เพียงใด ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเปิดผนึกส่งเดช คืนนี้มาเจอสิ่งชั่วร้ายอย่างเจ้าพอดีตรงกับที่ใจข้าต้องการ ใช้เลือดจากการบำเพ็ญเพียรมานานปีของเจ้ามาหล่อเลี้ยงกระบี่ ก็ไม่เสียแรงที่กระบี่เล่มนั้นรออยู่ที่หอเยวี่ยเติงมาเป็นสิบปีแล้ว”

ปีศาจเฒ่ามีสีหน้าเย้ยหยันเต็มเปี่ยม “เหลวไหลสิ้นดี! หากมีกระบี่นิลเก้าสวรรค์ที่ว่านั่นจริง เหตุใดถึงไม่เก็บไว้บูชาในอารามชิงอวิ๋น มาเก็บอยู่ในหอเยวี่ยเติงที่ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าได้อย่างไร”

รอยยิ้มบนใบหน้าลิ่นเฉิงโย่วจางหายไปอย่างช้าๆ นางนึกว่าเปิดโปงคำโกหกของลิ่นเฉิงโย่วได้แล้วจึงส่งเสียงหัวเราะอย่างลำพอง

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมองลิ่นเฉิงโย่วอย่างวิตกกังวล น้ำเสียงศิษย์พี่เริ่มแหบแห้ง ฝีเท้าก็เบาหวิวเหมือนคนไม่มีแรง ถึงมองผิวเผินยังทรงตัวได้โดยไม่สะทกสะท้าน ก็เป็นเพราะกำลังฝืนทนอยู่เท่านั้น

แต่ว่าศิษย์พี่วางแผนรอบคอบรัดกุมมาตลอด จะปล่อยให้ปีศาจเฒ่ามองเห็นพิรุธรวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร

พวกเขาลอบสังเกตปีศาจเฒ่า เดิมทีนางมีรูปลักษณ์แก่ชราราวไม้ใกล้ฝั่ง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลับมีเค้าลางว่าจะกลับมาเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง ผมสีขาวที่แต่เดิมบางหร็อมแหร็มเริ่มงอกจนปกคลุมศีรษะ ใบหน้าผอมแห้งแก้มตอบก็ค่อยๆ อวบอิ่มและมีน้ำมีนวลทีละนิด ถ้าหากฟังแค่เสียงหัวเราะใสกังวานของนางคงเข้าใจผิดนึกว่าเด็กสาวแรกรุ่นอายุสิบหกปี

พอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเห็นม่านเมฆฝนดำครึ้มแผ่ปกคลุม ดวงดาวคล้ายโดนอาบย้อมด้วยความมืดมิด ปรากฏการณ์บนฟ้าแปลกประหลาดโดยแท้ หากมิใช่เพราะจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ก็จะมีมารร้ายถือกำเนิด

หยาดเหงื่อเท่าเม็ดถั่วไหลย้อยลงจากหน้าผากของเด็กชายทั้งสอง รอให้ปีศาจเฒ่าตนนั้นดูดปราณพิฆาตมากพอ เกรงว่าทุกคนคงเอาชีวิตไม่รอดแน่

ประเดี๋ยวนะ เหตุใดฝีเท้าของศิษย์พี่ถึงแปลกพิกล ก้าวไปทางตะวันออกสาม แล้วถอยกลับไปทางตะวันตก เอ่ยปากบอกว่าจะไปแล้ว กลับยังรีรออยู่หน้าค่ายกล…

สมองอันชาญฉลาดของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเกิดลำแสงสีขาววาบผ่าน

นี่ศิษย์พี่จะ…

พวกเขาทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน จดจ้องฝีเท้าของลิ่นเฉิงโย่วไม่วางตา

ลิ่นเฉิงโย่วเดินโซเซไปสองสามก้าวพลางลอบมองกลับไปอย่างแนบเนียน เห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพยักหน้ารับน้อยๆ เขาก็ฝืนทรงตัวให้มั่นคง รวบรวมลมปราณแล้วกระโดดถอยไปข้างหลัง ก่อนจะหยุดอยู่บนชายคาเรือนที่พัก

เขาเหยียบอยู่บนแผ่นกลมปลายกระเบื้องชายคา คลี่ยิ้มพร้อมยกมือไพล่หลังเดินไปข้างหน้า

“เสียแรงที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาร่วมร้อยปี มัวแต่ไปลงแรงกับรูปลักษณ์สินะ ไม่รู้จักฝึกสมองบ้างเลยหรือ หอเยวี่ยเติงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงพระราชทานให้กับเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อ ทุกปีเมื่อถึงช่วงประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านไอพลังอันยิ่งใหญ่ของลัทธิข่งจื่อ จะทำให้ผืนฟ้าและแผ่นดินสะอาดสดใส

แม้กระบี่เล่มนี้จะเป็นสมบัติของลัทธิเต๋า แต่มีความดุร้ายกระหายเลือดโดยกำเนิด หากใช้วิธีการทั่วไปของลัทธิเต๋ามาควบคุมมันจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ในทางกลับกันคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาโดยปราชญ์บัณฑิตลัทธิข่งจื่ออาจช่วยชำระล้างกลิ่นอายดุร้ายได้ ท่านอาจารย์ของข้าก็เลยนำกระบี่นิลเก้าสวรรค์มาเก็บไว้ที่หอเยวี่ยเติง เพราะว่าที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิข่งจื่อน่ะสิ”

เขาพูดจามีเหตุผลหนักแน่น ดวงตาเรียวเล็กของปีศาจเฒ่าฉายประกายเรืองรองวูบหนึ่ง ในที่สุดนางก็เริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว

ค่ำคืนนี้เป็นวันที่นางจะสำเร็จเป็นมาร ขอเพียงถ่วงเวลาไปถึงยามจื่อได้เงื่อนไขทุกอย่างก็สุกงอมครบแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเด็กบ้าลิ่นเฉิงโย่วจู่ๆ จะมาปรากฏตัว ทำลายแผนการใหญ่ของนางครั้งแล้วครั้งเล่า

นางใกล้เป็นมารเต็มทีแล้ว เลือดเนื้อบนร่างเรียกได้ว่าเป็นอาหารเลิศรสเลอค่า หากคิดเรียกฝูงปีศาจมาต่อกรลิ่นเฉิงโย่วจำเป็นต้องใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ดังนั้นทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าร่างเดิมจะต้องได้รับบาดเจ็บ ก็ยังตัดนิ้วออกข้างหนึ่งอย่างเด็ดเดี่ยว

นับตั้งแต่ตอนที่นางปักนิ้วที่ขาดลงในดิน ก็ดึงดูดปีศาจร้ายที่โหยหิวจนน้ำลายหกมาฝูงใหญ่

ปีศาจเฒ่าทางหนึ่งหลอกล่อให้เหล่าวิญญาณร้ายเหนี่ยวรั้งลิ่นเฉิงโย่วเอาไว้ อีกทางหนึ่งก็ใช้ประโยชน์จากลิ่นเฉิงโย่วควบคุมวิญญาณ ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนไม่อาจปลีกตัวนางก็จะนั่งเฉยๆ เก็บกำไรอย่างเฒ่าประมงดูดปราณพิฆาตของปีศาจร้ายพวกนั้นให้สาแก่ใจ

ยิ่งนางดูดปราณพิฆาตมากเท่าใด พลังก็เพิ่มพูนเร็วมากเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงยามจื่อ ปราณพิฆาตมากมายมหาศาลที่ปล้นชิงมาเหล่านี้ก็เพียงพอให้นางกลายเป็นมารได้ก่อนเวลาที่คาดหมายแล้ว

ตอนนี้ขาดปราณพิฆาตอีกไม่มาก จะออกจากค่ายกลไปในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ได้เด็ดขาด ทว่าลิ่นเฉิงโย่วเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ดูไม่เหมือนคนลัทธิเต๋าสักนิด สมมติว่าเขาโกหกก็แล้วไปเถอะ แต่หากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา รอให้เขานำกระบี่นิลเก้าสวรรค์กลับมาที่นี่ เผลอๆ อาจจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้

จะออกจากค่ายกลไปขัดขวางเขาดีหรือไม่ นางยังคงตัดสินใจไม่ได้ ภายใต้แสงจันทร์สกาวสีเงินยวง เด็กหนุ่มสวมชุดสีม่วงยืนอยู่บนกระเบื้องมุงหลังคาเคลือบสีเขียวอมน้ำเงิน แขนเสื้อคลุมปลิวไสวลู่ลมยามกระโจนออกไปนอกเขตเรือน

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อจับตาดูสีหน้าปีศาจเฒ่าเงียบๆ เนื่องจากคาดเดาท่าทีของนางไม่ถูก จึงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด ปีศาจเฒ่าพลันแค่นหัวเราะออกมา “ข้าขอเตือน เจ้าอย่าเล่นลูกไม้สกปรกให้มากนัก ไม่ต้องคุยโวถึงกระบี่เส็งเคร็งเล่มหนึ่ง ต่อให้เชิญท่านอาจารย์ของเจ้ามาก็ทำอันใดข้าไม่ได้ พวกเรามาเดิมพันกันดีกว่า ‘บ่วงสลายปราณพิฆาต’ ที่เจ้าสร้างไว้นั่นสุดท้ายจะขวางข้าได้สักกี่น้ำ ก่อนเจ้ากลับมาข้าจะกินศิษย์น้องเจ้าสองคนลงท้องไปหมดได้หรือไม่”

หนังศีรษะเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระตุกตุ้บๆ นอกจากปีศาจตนนี้จะไม่ยอมตกหลุมพรางแล้ว ยังพลิกกลับมาใช้พวกตนไปบังคับข่มขู่ศิษย์พี่อีก

เสียงหัวเราะของลิ่นเฉิงโย่วดังลอยมาแต่ไกล “คนทางขวานั่นชื่อชี่จื้อ ปกติชอบอาบน้ำ ร่างกายสะอาดสะอ้านสักหน่อย หากเจ้าไม่รังเกียจ ลองกินเขาดูก่อนสิ”

ปีศาจเฒ่าตะลึงงัน

นักพรตน้อยทั้งสองคนยกมือปิดปากร้องไห้กระซิกๆ

ตอนนี้ทุกคนเร่งฝีเท้าวิ่งหนีมาถึงหน้าประตูเรือนแล้ว ตู้ฮูหยินอายุมากแล้วจึงวิ่งได้ช้าที่สุด เถิงอวี้อี้จึงอยู่รั้งท้ายไปด้วย พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ของลิ่นเฉิงโย่วเท้าก็พันกันจนซวนเซ

ลิ่นเฉิงโย่วกำลังวางอุบายลวงให้สับสนชัดๆ หากมีกระบี่นิลเก้าสวรรค์อยู่จริง มีหรือจะยื้อยุดกับปีศาจเฒ่าตนนั้นมานานถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่ว่าลิ่นเฉิงโย่วจะเอ่ยวาจายั่วยุเช่นไรปีศาจเฒ่าก็ไม่ยอมออกจากค่ายกลเสียที

นางหันหน้ากลับไปมองลานกว้าง เหล่าปีศาจถูกตาข่ายสีทองข้างบนกักขังไว้ พวกมันพุ่งชนค่ายกลอย่างสะเปะสะปะราวกับแมลงวันไร้หัว ส่วนต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกลิ่นเฉิงโย่วเผาทิ้งไปก็มีเค้าลางว่าจะฟื้นคืนชีพ เพียงสายลมโชยแผ่วพัดผ่านระลอกหนึ่ง กิ่งก้านใบแห้งเกรียมก็กลับมามีสีสันสดใสสะดุดตา

ปีศาจเฒ่านั่งสงบนิ่งอยู่กลางทะเลดอกไม้หลากสีบานสะพรั่ง ร่างกายยังสูงใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อยด้วย

เถิงอวี้อี้รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แปลกพิลึกพิลั่นเช่นนี้มาก่อน หากยังไม่คิดแผนการรับมือให้ได้จะต้องเกิดหายนะครั้งใหญ่แน่นอน

นางนึกแผนการหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระซิบบอกตู้ฮูหยินว่า “ท่านป้า รอสักครู่นะเจ้าคะ”

จากนั้นนางส่งเสียงตะโกนออกไปว่า “เฉิงอ๋องซื่อจื่อ ข้ามีของวิเศษคุ้มกายชิ้นหนึ่งชื่อกระบี่หยกมรกต ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในป่าไผ่ถูกปีศาจเฒ่าลอบจู่โจม ข้าใช้กระบี่เล่มนี้ตัดกรงเล็บขวาของปีศาจเฒ่า หากซื่อจื่อไม่รังเกียจ ลองนำไปใช้ดู”

นางจงใจกล่าวประโยคนี้ให้ปีศาจเฒ่าได้ยิน กระบี่เล่มนี้แปลกพิสดารยิ่ง ไม่แน่ว่าจะยอมให้ลิ่นเฉิงโย่วเรียกใช้ ส่วนลิ่นเฉิงโย่วก็หยิ่งผยองถือดี ใช่ว่าจะยอมใช้ของวิเศษจากผู้อื่น แต่ขอเพียงเอ่ยถึงกรงเล็บขวาที่ถูกตัดขาดไปจะต้องแทงใจดำปีศาจเฒ่าอย่างจังแน่

เถิงอวี้อี้เพิ่งกล่าวจบไป ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบเปี่ยมแรงอาฆาตคู่หนึ่งจ้องมองมา นางคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวต่อ “ถึงปีศาจตนนี้จะกำเริบเสิบสาน แต่พอเจอกระบี่เล่มนี้เข้าไปก็หมดท่าแล้ว เนื้อหนังเละเทะเป็นโคลนตมเชียวล่ะ ตัดฉับเข้าทีหนึ่งก็ร่วงเป็นก้อน ตัดฉับอีกทีก็ร่วงเป็นก้อน…”

นางแย้มรอยยิ้มหวานหยด จงใจพูดเนิบนาบเชื่องช้ากว่าปกติหลายเท่า เพลิงโทสะในดวงตาปีศาจเฒ่าลุกโชนออกมาประหนึ่งพร้อมเผาเสื้อผ้าเถิงอวี้อี้ให้เป็นรูโหว่

เสียงกระทบกระเบื้องบนแนวกำแพงดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี ลิ่นเฉิงโย่วมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศอย่างที่คิดไว้ เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจทันที

“มีของดีเช่นนี้ด้วยหรือนี่ หากคุณหนูสะดวกใจ ส่งมาให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่”

เถิงอวี้อี้ห่อฝักกระบี่ให้เรียบร้อยแล้วเขวี้ยงขึ้นไปบนคานหลังคา ลิ่นเฉิงโย่วเอามือช้อนรับไว้ได้ ที่แท้ก็เป็นกระบี่สั้นขนาดประมาณสามชุ่นสีเขียวสดเปล่งประกายแวววาวใต้แสงจันทร์ กระบี่คมกริบบางเฉียบดุจใบไม้ ยามสัมผัสลูบไล้รู้สึกเหมือนน้ำแข็งและเย็นเยียบดั่งเนื้อหยก

เขาเคยเห็นสมบัติล้ำค่าหายากมานับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเห็นกระบี่ทำจากหยกมรกตเป็นครั้งแรก รู้สึกประหลาดใจว่ามันเปราะบางถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข้ามผ่านกาลเวลามาหลายปีโดยไม่บุบสลาย

ทว่าเขายังไม่ทันเพ่งพินิจให้ละเอียด รัศมีตัวกระบี่ก็ไม่สว่างเจิดจ้าดังเดิมอีก คล้ายถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาจางๆ และหม่นหมองไร้ประกายไปทีละนิด

เขาใช้แขนเสื้อคลุมบังสายตาปีศาจเฒ่าเอาไว้อย่างแนบเนียน น่าเสียดายจริง นี่เป็นถึงของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ภักดีต่อผู้เป็นนายเท่านั้น เมื่ออยู่ห่างจากผู้เป็นนายก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับหยกมรกตทั่วไป นอกจากจะทำร้ายปีศาจเฒ่าไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้ตัวกระบี่เสียหายโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

เขามองเด็กสาวสวมหมวกม่านแพรยืนอยู่ในลานกว้าง เรือนร่างงามสะโอดสะองยืนสงบนิ่งกลางแสงสลัว ไม่เห็นวี่แววความตระหนกลนลาน เขาเคยพบหน้าเถิงเซ่าผู้เป็นแม่ทัพเลื่องชื่อพิทักษ์ชายแดนปกป้องบ้านเมืองมาหลายครั้ง กระบี่หยกมรกตเป็นของชั้นเลิศถึงเพียงนี้ คาดว่าเถิงเซ่าคงมอบให้บุตรสาวพกไว้ป้องกันตัว

แต่คุณหนูผู้นี้ท่าทางไม่เหมือนคนรู้วรยุทธ์ ต่อให้มอบกระบี่คืนให้ อาศัยฝีมือของนาง ก็เลิกคิดที่จะเข้าใกล้ปีศาจเฒ่าตนนั้นไปได้เลย

เขาเปลี่ยนความคิดในชั่วพริบตา ยิ้มแย้มพลางพยักหน้ารับ “เป็นกระบี่ดี กระบี่ดี หอเยวี่ยเติงอยู่ไกลเกินไป คุณหนูทำเช่นนี้เหมือนส่งถ่านกลางหิมะข้าเคยจับปีศาจมามากมาย แต่ไม่เคยกินเนื้อปีศาจมาก่อน รอประเดี๋ยว ข้าจะแล่เนื้อมันเป็นชิ้นบางๆ เอามากินเป็นกับแกล้มสุราได้พอดี”

ระหว่างสนทนาก็ถือโอกาสชี้นิ้วเรียกองครักษ์ตรงหน้าประตูมาสองสามคน “พวกเจ้าไปเรือนข้างหน้าเอาน้ำจิ้มเปรี้ยวมาสักหน่อย แล้วก็หิ้วสุราซงเหลาชุนมาสักหลายกาด้วย”

การวางมาดเช่นนี้เหมือนคนจะจับปีศาจที่ใดกัน กลับเหมือนกำลังจะนั่งดื่มสุรากินอาหารในสวนของวังอ๋องมากกว่า แม้องครักษ์จะรู้สึกไม่สบายใจเพียงใด ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งนายน้อยของตน พวกเขาจ้องมองปีศาจเฒ่าอย่างหวาดระแวงพลางค่อยๆ ขยับถอยหลัง สุดท้ายก็เก็บอาวุธคู่กายแล้วรีบร้อนไปเตรียมการตามคำสั่ง

เถิงอวี้อี้เอ่ยขอร้องว่า “ตอนซื่อจื่อลงมืออย่าลืมเก็บกรงเล็บซ้ายของมันไว้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”

ลิ่นเฉิงโย่วเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย “เจ้าก็อยากเอามันไปแกล้มสุรารึ”

เถิงอวี้อี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ก่อนหน้านี้ข้าได้กรงเล็บขวามันมาแล้ว อยากจะรวบรวมให้ครบคู่ มันทั้งหนังหยาบเนื้อหนา คงเคี้ยวยากเย็นยิ่ง ข้าตั้งใจจะนำไปดองในไหสักระยะหนึ่ง รอให้เนื้อนุ่มหนังกรอบเสียก่อนค่อยเอามาจิ้มกินกับน้ำเชื่อมผิวส้ม”

พวกเขาสองคนขานรับกันเป็นลูกคู่ น้ำเสียงยามสนทนาเหมือนอยู่กันเพียงลำพัง ทำราวกับเห็นปีศาจเฒ่าเป็นกับแกล้มสุราจริงๆ

ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปีศาจเฒ่าตนนั้นที่โกรธจัดจนควันออกหู แม้กระทั่งตู้ฮูหยินกับองครักษ์ที่รั้งอยู่คุ้มกันก็ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: