X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 7

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อคำด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “คุณหนูเถิงพูดจามีเหตุผล ปีศาจตนนี้ตัวไม่ใช่เล็กๆ กินมื้อเดียวคงไม่หมดเป็นแน่ เอากลับไปค่อยๆ ดองน้ำส้มก็ดี วันนี้กินแขน พรุ่งนี้กินหัว หากกินผู้เดียวยังไม่หนำใจ ก็ชวนมิตรสหายมากินด้วยกันก็ได้ไม่มีปัญหา”

ปีศาจเฒ่าฟังแล้วไฟโทสะในใจแผดเผาร้อนรุ่ม ขยับร่างลุกขึ้นคล้ายจะออกจากค่ายกล ทุกคนเห็นเต็มสองตา หัวใจก็เต้นโครมครามเหมือนจะกระดอนมาถึงคอหอย ผู้ใดจะรู้ว่าปีศาจเฒ่าแค่ขยับเขยื้อนครู่หนึ่งก็สะกดกลั้นโทสะไว้ได้

เถิงอวี้อี้ลอบปาดเหงื่ออยู่ตลอดเวลา พยายามล่อหลอกถึงถึงเพียงนี้แล้ว ไม่คาดคิดว่าปีศาจเฒ่าก็ยังไม่ตกหลุมพราง เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากรอต่อไปคนที่อยู่ในลานกว้างทั้งหมดคงไม่มีผู้ใดรอดไปได้แม้แต่ผู้เดียว

ลิ่นเฉิงโย่วกลับรักษาความหนักแน่นดุจเขาไท่ซานหมุนด้ามกระบี่เล่นอย่างเชื่องช้า “ฉวยโอกาสที่ปีศาจเฒ่าตนนี้ไม่กล้าขยับ ข้าจะทดสอบสักนิด ดูซิว่ากระบี่หยกมรกตยอดเยี่ยม หรือว่ากระบี่นิลเก้าสวรรค์ร้ายกาจกว่า”

เขาหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกางสองแขนออกเล็กน้อย โน้มร่างไปข้างหน้าแล้วกระโดดลงจากคานหลังคาเรือน กวัดแกว่งกระบี่กลางอากาศ จากนั้นชี้ปลายคมกริบตรงไปยังกลางหน้าผากของปีศาจเฒ่า

ปีศาจเฒ่ารู้ซึ้งดีว่ากระบี่หยกมรกตร้ายกาจเพียงใด ฝืนต้านรับเท่ากับตายสถานเดียว ฉะนั้นจึงแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมเอนตัวไปข้างหลัง พยายามพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ

ยามนี้ถือว่าเผชิญหน้ากับดาวพิฆาตสองดวงเข้าแล้ว เพิ่งจะทำลิ่นเฉิงโย่วบาดเจ็บ ก็มีคุณหนูเถิงโผล่มาอีกคน หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูเถิงจู่โจมแทงเข้ามาคงจัดการง่ายกว่า ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ตนเอง นางก็ฉีกกระชากอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ แต่ไกลได้เลย แต่กระบี่เล่มนั้นดันตกอยู่ในมือลิ่นเฉิงโย่ว

“ซื่อจื่อใกล้จะถึงวัยเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว เหตุใดเหมือนเด็กหนุ่มไม่เคยเจอหญิงงาม บอกว่าอยากลิ้มรสเนื้อหนังข้าจนน้ำลายสอต่อหน้าธารกำนัล ไม่กลัวใครจะหัวเราะเยาะหรือ”

นางกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานประจบ เจตนาเหาะเหินวนรอบค่ายกล ลิ่นเฉิงโย่วต้องการบีบให้นางออกจากค่ายกล แต่นางจะเป็นฝ่ายล่อเขาเข้ามาเอง

ลิ่นเฉิงโย่วกลับหยุดชะงักการเคลื่อนไหวไปทันใด ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกระโดดกลับไปข้างหลัง

“ช่างเถอะ เจ้าคงทำร้ายผู้คนมามากเกินไปแล้วหน้าตาถึงได้ขี้ริ้วขี้เหร่ปานนี้ มีคำพูดประโยคหนึ่งเคยได้ยินหรือไม่ ‘รูปลักษณ์ดีชั่ว จิตใจหนุนนำ’ ต่อให้เป็นในหมู่ปีศาจ หน้าตาอย่างเจ้าก็ขี้ริ้วขี้เหร่มากจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะกินเนื้อเจ้าเลย ให้มองนานเสียหน่อยก็ยังรังเกียจจะแย่แล้ว”

ปีศาจเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปชัดเจน นางบำเพ็ญเพียรมานับร้อยๆ ปี จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจบำเพ็ญเพียรให้มีรูปโฉมงดงามได้ หากมิใช่เพราะหลายเดือนก่อนเริ่มเข้ายึดครองร่างหญิงงาม ทุกวันนี้ก็คงยังมีใบหน้าเหี่ยวย่นน่าเกลียด

นางฉกฉวยร่างสตรีมาสิบกว่าคนแล้วแต่ก็ไม่ตรงกับที่ใจปรารถนาสักคนเดียว กระทั่งมาพบฮูหยินอันกั๋วกงเข้าถึงได้รู้ว่าโฉมงามเลิศล้ำเป็นเช่นไร

นางเป็นยอดหญิงงามมาสองสามเดือน เกือบลืมเลือนใบหน้าที่แท้จริงของตนเองไปแล้ว วาจานี้ของลิ่นเฉิงโย่วเป็นดั่งใบมีดคมกริบแทงทะลุหัวใจนางอย่างรวดเร็ว

แววตานางโหดเหี้ยมดุจลูกธนูอาบยาพิษ ริมฝีปากเริ่มกระตุก “รนหาที่ตาย!”

ลิ่นเฉิงโย่วรีบราดน้ำมันบนกองไฟ “คุณหนูเถิง เจ้าจะกินมันจริงหรือ ไม่กลัวว่าไอพิษของมันจะทำลายรูปโฉม?”

“นั่นสินะ” เถิงอวี้อี้เปลี่ยนความคิด “ไม่อย่างนั้นก็เอาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าเถอะ”

ปีศาจเฒ่าดวงตาแดงก่ำ ระงับอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป สองขาออกแรงถีบพุ่งขึ้นจากพื้นดินอย่างฉับพลัน

“เจ้าเด็กอวดดี! ชอบหาเรื่องใส่ตัวดีนัก คืนนี้จะให้เจ้าลิ้มรสชาติของการอยู่มิสู้ตาย”

ลิ่นเฉิงโย่วหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ ยิ้มบางๆ เตรียมหันหลังถอยหนี ไม่คาดคิดว่าจะกระเทือนตำแหน่งที่บาดเจ็บ ร่างกายจึงโซเซแล้วล้มลงกับพื้น

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกตะลึงพรึงเพริด “ศิษย์พี่!”

เหล่าองครักษ์ตกใจหน้าถอดสีแล้ววิ่งกรูเข้าไปหา

ปีศาจเฒ่าความเคียดแค้นชิงชังท่วมท้น จะยอมพลาดโอกาสดีงามเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกค่ายกล นางยื่นมือไปหมายจะฉีกร่างลิ่นเฉิงโย่วเป็นสองส่วน

ลิ่นเฉิงโย่วบาดเจ็บสาหัสตามคาด เขาก้มศีรษะไอโขลกไม่หยุด ปีศาจเฒ่าแสยะยิ้มชั่วร้าย ขณะกำลังจะออกแรงลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าพอลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะแผ่วเบาแล้วจู่ๆ จะพลิกมือกลับมาคว้ากรงเล็บนางไว้ ฉวยโอกาสที่ปีศาจเฒ่าไม่ทันเก็บกรงเล็บกลับ กระชากร่างนางโผนทะยานขึ้นฟ้า

กระบวนท่านี้มาอย่างกะทันหันเกินไป ปีศาจเฒ่าร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ขาดปราณพิฆาตอีกเพียงไม่กี่เสี้ยวสุดท้ายกลับหลงกลลิ่นเฉิงโย่วเสียได้ โชคดีที่ค่ายกลอยู่ใต้ฝ่าเท้า หนีกลับเข้าไปยังทันการณ์

เนื่องจากรีบหาทางเอาตัวรอด นางจึงปลดปล่อยหมอกสีดำดั่งลูกไฟออกมา

ลิ่นเฉิงโย่วจึงโยนร่างนางทิ้งไปแล้วกระโจนหลบไปด้านข้าง แต่ยังตะโกนสั่งการว่า “เปลี่ยนค่ายกล!”

นักพรตน้อยสองคนที่มัวร้องไห้กระซิกๆ กลับกระโดดตัวลอย เลิกชายเสื้อคลุมนักพรตวิ่งในลานกว้างว่องไวดุจเหินบิน หลังวิ่งตัดกลับกันไปมา ชั่วอึดใจก็เปลี่ยนรูปแบบค่ายกลไปแล้ว

ปีศาจเฒ่ารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีจึงท่องคาถาเสียงดังด้วยความร้อนรน เถาวัลย์ใต้ฝ่าเท้าได้ยินเสียงเรียกขาน ก็พุ่งพรวดขึ้นสูงหลายฉื่อมาพันสองเท้าของนางไว้ ขณะที่นางจะสั่งให้พวกมันลากตนเองกลับเข้าค่ายกล คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวจะมีรัศมีสีทองสองสายแผ่ออกมาจากด้านหลังของนักพรตน้อย รัศมีเจิดจ้านั้นเข้าเกี่ยวพันกันก่อนจะลอยวนเวียนขึ้นไปด้านบน พอสัมผัสกับตาข่ายทองคำผานหลัวบนท้องฟ้า รัศมีสีทองสองสายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ปีศาจเฒ่ารับรู้เพียงว่ามีพลังมหาศาลจู่โจมมาจากใต้ฝ่าเท้า นางยังไม่ทันกระโดดกลับเข้าไปใจกลางค่ายกล ก็โดนดีดกระเด็นออกไปไกลแล้ว

ปีศาจเฒ่าร่วงหล่นบนชายคาเรือนอย่างลนลาน กว่าจะชะลอความเร็วลงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พอนางเงยหน้าขึ้นอย่างลำบาก ก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วยืนมองด้วยสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่บนยอดไม้ห่างออกไปไม่ไกล

“เจ้าขวางข้าไม่ให้ดูดปราณพิฆาตได้ แต่จะขวางไม่ให้ข้ากลายเป็นมารได้หรือ”

ปีศาจเฒ่ากัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ลิ่นเฉิงโย่วพยายามหลอกล่อนางออกจากค่ายกลทุกวิถีทาง นักพรตน้อยรับผิดชอบปิดตายทางหนีของนาง ช่างน่าชิงชังนัก นางโดนลิ่นเฉิงโย่วหลอกจนหัวหมุนไปหมด ไม่รู้ว่าพวกเขาสามคนลอบส่งข่าวกันใต้จมูกนางตั้งแต่เมื่อไร

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ต่อปากต่อคำกับปีศาจเฒ่าอีก เขาโยนกระบี่หยกมรกตให้องครักษ์ที่รออยู่ข้างล่างโดยตรง

“คืนให้คุณหนูเถิง” จากนั้นกระโดดลงจากยอดไม้ “ลงมือ เปลี่ยนเป็นค่ายกลเทพเสวียนเทียน”

นักพรตน้อยขานรับเสียงกังวาน “ขอรับ”

เถิงอวี้อี้รับกระบี่หยกมรกตคืนมา ก่อนหันกลับไปจูงมือตู้ฮูหยินวิ่งหนีต่อ หลอกปีศาจเฒ่าออกมาได้สำเร็จแล้ว หลังจากนี้คงจัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น

ปีศาจเฒ่ามองเห็นชัดภายใต้แสงจันทร์ ตรงคอเสื้อแบบกลมสีขาวดั่งหิมะของลิ่นเฉิงโย่วมีแต่รอยเลือดเป็นด่างดวง เดิมทีเขาได้รับบาดเจ็บภายในอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังเค้นกำลังภายในทั้งหมดเพื่อกระชากนางออกมา ยามนี้เรี่ยวแรงเสื่อมถอยเต็มที คงฝืนทนไปได้ไม่นานหรอก

พอปีศาจเฒ่าเห็นว่าเถิงอวี้อี้จะวิ่งหนี ก็เปลี่ยนความคิดในชั่วอึดใจ นางทิ้งลิ่นเฉิงโย่วไว้แล้วเปลี่ยนไปไล่ล่าเถิงอวี้อี้

เถิงอวี้อี้วิ่งหนีว่องไวทีเดียว ไม่กี่อึดใจก็วิ่งมาถึงหน้าประตู

ปีศาจเฒ่าวิ่งเร็วรี่เลียบแนวกระเบื้องชายคา คืนนี้นางไล่ตามมาถึงหอจื่ออวิ๋นนอกจากเพื่อแก้แค้นบาดแผลจากกระบี่นั้น ยังเป็นเพราะอวัยวะตันทั้งห้าของฮูหยินอันกั๋วกงสูญเสียลมปราณไปมาก แทนที่จะสิ้นเปลืองพลังของตนเองต่อชีวิตให้ร่างกายที่อ่อนแอ ไม่สู้ไปหารูปลักษณ์ของหญิงงามที่สดใหม่เสียดีกว่า

คุณหนูแซ่เถิงผู้นี้ผิวกายขาวเนียนงามผุดผาด แม้ว่าเรือนร่างจะอวบอิ่มไม่เท่าฮูหยินอันกั๋วกงแต่มีกิริยานวยนาดเฉกเช่นเด็กสาวเพิ่มขึ้นมา นางตกตะลึงกับรูปโฉมเถิงอวี้อี้อย่างยิ่งจึงเกิดความคิดเช่นนี้มาแต่แรก

แต่เรื่องน่าประหลาดใจก็คือทั้งที่รู้ว่านางกำลังไล่ล่าเถิงอวี้อี้ สามคนข้างหลังกลับไม่ขัดขวางนาง

ได้ยินนักพรตน้อยเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ จะใช้ค่ายกลนี้จริงหรือขอรับ”

“ค่ายกลก็ตั้งเสร็จแล้ว ยังจะพล่ามอะไรอีก”

“แต่ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ ค่ายกลเทพเสวียนเทียนจะต้องใช้ร่างกายของหนุ่มพรหมจรรย์มาควบคุมค่ายกล…ไม่อย่างนั้นนอกจากจะเชื่อมโยงถึงสวรรค์ไม่ได้แล้ว ยังส่งผลเสียถึงคนตั้งค่ายกลด้วย”

“…”

นักพรตน้อยอีกคนยังเอ่ยอย่างกังวลว่า “ค่ายกลนี้ถึงจะร้ายกาจเพียงใด แต่หากศิษย์พี่ไม่ใช่…ก็อย่าฝืนเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ใช้ค่ายกลอื่นจับปีศาจเฒ่าก่อน รอไว้คุมตัวมันกลับอารามชิงอวิ๋นค่อยตั้งค่ายกลสะกดปีศาจก็ได้”

ปีศาจต้นไม้ลอบหัวเราะในใจ

สมกับเป็นเด็กน้อยที่จิตใจยังอ่อนเยาว์ อยู่ต่อหน้าคุณชายเจ้าสำราญอย่างลิ่นเฉิงโย่วยังถามคำถามโง่เขลาอย่างนี้ออกมาได้

ดูท่าค่ายกลนี้คงจะตั้งไม่ได้แล้วกระมัง หึๆ

นางยิ่งวางใจมากขึ้นไปอีก

ทุกคนหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง เถิงอวี้อี้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว วิ่งออกไปนอกเรือนที่พักแห่งนี้ก่อนใคร ปีศาจเฒ่ารู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างน่าประหลาด ไล่ตามอย่างไม่ลดละไปตลอดทาง

เถิงอวี้อี้ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง วิ่งหนีไปพลางตะโกนด่าทอผ่านกำแพงว่า “นางปีศาจ! เจ้าใกล้ถึงที่ตายแล้วยังคิดทำร้ายผู้อื่นอีก เจ้าลองดูสิว่าคนข้างหลังเจ้าเป็นผู้ใด”

ปีศาจเฒ่าตอบสวนกลับทันที “เจ้ายังหวังว่าลิ่นเฉิงโย่วจะมาช่วยอีกรึ เขาโดนข้าทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ป่านนี้ยังเอาตนเองไม่รอดเลย”

เถิงอวี้อี้หัวเราะเย้ยหยัน “ข้าไม่คาดหวังให้ใครมาช่วยทั้งนั้น แต่หากเจ้าไม่กลัวถูกข้าตัดกรงเล็บซ้ายขาดตามไปอีกข้าง ก็ลองเข้ามาได้เลย”

ปีศาจเฒ่านึกถึงว่าเมื่อครู่เถิงอวี้อี้กับลิ่นเฉิงโย่วร่วมมือกันล่อนางออกจากค่ายกลเช่นไร ก็โกรธแค้นจนกัดฟันกรอดแล้วพังกำแพงตรงหน้าอย่างเดือดดาล นางโน้มร่างออกไปหมายจะจับเถิงอวี้อี้ จู่ๆ สัมผัสได้ว่ามีสายลมแปลกประหลาดพุ่งโจมตีแผ่นหลัง มันพัดมาแผ่วเบาและเชื่องช้าราวกับปุยฝ้าย

ลางสังหรณ์เลวร้ายผุดขึ้นในใจปีศาจเฒ่า นางจะหันหน้าไปมองดูให้ชัดเจน พลังประหลาดนั่นกลับพุ่งพรวดขึ้นอย่างกะทันหันประหนึ่งกองทัพเกรียงไกรตีกลองลั่นฆ้องรวมพล ชักธงรบนับพันพร้อมด้วยกำลังทหาร ถาโถมกดทับเหนือศีรษะนางรุนแรงปานผลักขุนเขาคว่ำทะเล

ในสมองปีศาจเฒ่าเกิดเสียงลั่นดังอื้ออึง นางรวบรวมปราณพิฆาตทั่วร่างเตรียมโต้ตอบกลับไป แต่พลังประหลาดสายนี้แตกต่างจากอาคมที่เคยพบเจออย่างมาก มันแฝงไว้ด้วยปราณพิสุทธิ์ทรงอำนาจอย่างไม่สิ้นสุด ไม่เหลือช่องว่างให้นางหลบหนีได้เลย สุดท้ายพลังมหาศาลก็กระแทกใส่ศีรษะนางเข้าอย่างจัง

ร่างกายปีศาจเฒ่าโค้งงอและแข็งทื่อกลางอากาศ จิตวิญญาณราวกับโดนบดขยี้จนแหลกละเอียดเป็นผุยผง นางพยายามเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปกลับมองเห็นแค่มังกรไฟเหาะเหินวนเวียนอยู่ในลานกว้าง เหล่าปีศาจร้ายส่วนใหญ่ถูกพัวพันไว้ หากมิได้กรีดร้องโหยหวน ก็ถูกเผามอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในชั่วอึดใจเดียว

สายลมยามราตรีพัดพาเสียงท่องคาถาทุ้มต่ำลอยมา ช่างดังกังวานและมีจังหวะจะโคน ฟังแล้วไพเราะรื่นหูดั่งธารน้ำใส พอวิเคราะห์ดูให้ดีปรากฏว่าเป็นเสียงของลิ่นเฉิงโย่วนี่เอง

“ร่างกายจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว ข้าคือผู้ควบคุมภูตผีปีศาจ”

“ทำลาย…”

ลูกตาปีศาจเฒ่าปูดโปนออกมาเล็กน้อย ยังไม่ทันดิ้นรนขัดขืน รัศมีสว่างจ้าดุจแสงสะท้อนของหิมะสายหนึ่งพุ่งแสกหน้านางเต็มแรง

ปีศาจเฒ่าหลุดครางเสียงต่ำอย่างเจ็บปวดรวดร้าว พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แสงสะท้อนหิมะกลับเลื้อยพันไล่ขึ้นไปด้านบนแล้วรัดแน่นหนาราวกับงูวิเศษ

ลิ่นเฉิงโย่วยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ สุ้มเสียงยามท่องคาถาดังก้องกังวานไปทุกขณะ ปีศาจเฒ่าเนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ จากใบหน้าจนถึงลำคอแต่ละชุ่นล้วนเผยให้เห็นผิวเปลือกไม้สีดำอมน้ำตาลลวดลายขดหงิกงอเป็นวง เส้นผมยาวสยายประบ่ากลับกลายเป็นกิ่งไม้ไปอย่างช้าๆ

พอเห็นว่าพลังที่สั่งสมมานานนับร้อยๆ ปีจะถูกทำลายลงในคราวเดียว ปีศาจเฒ่าจะสำนึกขึ้นมาได้ก็สายเกินไปแล้ว นางจึงร้องไห้ครวญครางด้วยความเสียใจ

น้ำเสียงของนางน่าสมเพชเวทนา ดูเหมือนโศกเศร้าเกินกว่าจะระงับความเจ็บปวดได้ ลิ่นเฉิงโย่วกลับนิ่งเฉยไม่แยแส นักพรตน้อยกับองครักษ์กลับรู้สึกสงสารนางขึ้นมา ความเสียใจที่เก็บไว้มีมากมายเท่าใด คล้ายกับโดนเสียงร่ำไห้นี้ดึงออกมาทีละเรื่อง

ลิ่นเฉิงโย่วลอบสบถด่าในใจ จนป่านนี้แล้วยังคิดจะเล่นลูกไม้ ปลดปล่อยปราณพิฆาตในร่างมาก่อกวนจิตใจคน ผู้ที่ไม่ทันระวังตนมักจะจมดิ่งและถลำลึกถึงกระดูกโดยไม่รู้ตัว

เขาสลัดแผ่นยันต์บนไม้สยบมารออกแล้วโบกสะบัดแขนเสื้อกระชากไม้สยบมารขึ้นมา ปีศาจเฒ่าถูกตีจนสั่นระริกไปทั้งตัว เสียงร่ำไห้หยุดชะงักลงโดยพลัน

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อโคลงศีรษะเล็กน้อย ได้สติกลับคืนมาทันใด

ลิ่นเฉิงโย่วกลับเข้าไปใจกลางค่ายกล ลากปีศาจเฒ่าที่สูญสิ้นพลังมาอยู่ตรงหน้า ก่อนยิ้มแย้มพลางถามว่า

“เล่นลูกไม้หลอกล่อถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอยากให้ข้าปล่อยเจ้าไปสักครั้งใช่หรือไม่”

ดวงตาปีศาจเฒ่ากลอกหมุน ก่อนพยักหน้ารับสุดชีวิตทั้งที่ยังตัวสั่นไม่หาย

“เจ้าตอบคำถามหลายข้อของข้ามาเสียดีๆ หากตอบมาตามตรงข้าอาจคิดดูว่าจะไม่ทำให้เจ้ากลับคืนร่างเดิม”

ปีศาจเฒ่าส่งเสียงฮือตอบรับ ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

“หลายเดือนก่อนเจ้ายังเป็นเพียงปีศาจต้นไม้ตรงเชิงเขาหลี่เฉวียน นอกจากจะกลายเป็นมารไม่ได้ ฝีมือก็ยังธรรมดาสามัญ นับตั้งแต่เจ้าแฝงกายเข้าฉางอันมา ตลอดสามเดือนมานี้สังหารสตรีไปสิบกว่านาง ผู้ใดเป็นคนชี้แนะให้เจ้าฝึกวิชามาร และผู้ใดกันสอนเคล็ดวิชาช่วงชิงร่างมนุษย์ให้เจ้า คืนนี้เจ้าเร้นกายอยู่ที่ป่าไผ่ริมน้ำเป็นเพราะว่ามีคนรอเจ้าอยู่ที่นั่น หรือไปเพื่อทำเรื่องชั่วๆ อย่างเดียวกันแน่”

ปีศาจเฒ่ามีสีหน้าซับซ้อน ลังเลเพียงชั่วประเดี๋ยวก็ชี้ไปที่ลำคอตนเอง

ลิ่นเฉิงโย่วดีดนิ้วครั้งเดียว ปีศาจเฒ่าก็ส่งเสียงไอโขลกออกมาหลายคำ แล้วตอบคำถามด้วยเสียงแหบแห้ง

“จะว่าไปทั้งหมดล้วนเป็นเพราะโชคชะตา ไม่เคยมีใครชี้แนะมาก่อน ข้าเพียรฝึกฝนตนเองอย่างหนักอยู่บนเขา คืนนั้นเจอกับพายุฝนฟ้าคะนองจนต้องเข้าไปหลบภัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง กลับโชคร้ายเจอภูเขาถล่มจนติดอยู่ในถ้ำหลายเดือน มองวิถีสวรรค์ออกปรุโปร่งโดยบังเอิญ วิชาช่วงชิงร่างมนุษย์ก็เรียนรู้ได้เอง คืนนี้ไปที่ป่าไผ่นั่นก็เพราะไม่อยากทนใช้พลังตนเองต่อชีวิตให้ฮูหยินอันกั๋วกงทุกวันๆ แล้ว อยากจะเปลี่ยนไปใช้ร่างหญิงงามที่สดใหม่กว่าก็เท่านั้น”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มรับพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย แขนเสื้อคลุมโบกสะบัด เปลวเพลิงบนร่างปีศาจเฒ่าลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ช่องว่างของกระดูกแต่ละชิ้นราวกับมีมดทะลักเข้าไปนับหมื่นตัว สร้างความเจ็บปวดแก่ผู้ถูกกระทำจนแทบอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไป

ปีศาจเฒ่าร้องโหยหวนอย่างทรมาน “ถ้าซื่อจื่อไม่เชื่อ ไปค้นหาตรงหลังเขาหลี่เฉวียนด้วยตนเองก็ได้ ภูเขาที่ข้าอาศัยอยู่ไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนเป็นพันปีแล้ว ตอนนี้กลายเป็นเขารกร้างไม่มีสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่สักตัว”

ลิ่นเฉิงโย่วก็ช่างใจไม้ไส้ระกำเหลือเกิน ไม่เพียงเขาจะไม่สั่งหยุดมือ ยังส่งสัญญาณให้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเร่งท่องคาถา

ปีศาจเฒ่าไม่อาจแบกรับความอัปยศได้จึงส่งเสียงแหลมสูงด่ากราด “ลิ่นเฉิงโย่ว! เจ้าคนถ่อย ตกลงกันว่าตอบคำถามแล้วจะปล่อยข้าไป จะผิดคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของนาง แผ่นยันต์ก็กลายเป็นมังกรไฟไต่ขึ้นไปบนขาของปีศาจเฒ่า คราวนี้แม้กระทั่งร่างกายท่อนล่างก็พลอยกลายเป็นรากไม้ไปด้วย

ลิ่นเฉิงโย่วเผยรอยยิ้มอันแสนโหดร้าย “เจ้าทำร้ายชีวิตใครต่อใครมากมาย ยังหวังว่าจะรอดไปดีๆ อีกรึ ข้าให้โอกาสเจ้าไม่มาก เจ้าอย่าได้คิดเล่นลูกไม้อะไรอีก บอกกับข้ามาตามตรง คนที่ชี้แนะเจ้าผู้นั้นเป็นใครกันแน่”

ปีศาจเฒ่ารู้แก่ใจดีว่าไม่เกินสองครั้งตนเองจะต้องโดนบีบให้คืนร่างเดิมแน่ นางทนทรมานมานับร้อยปี จะยอมกลับไปเป็นต้นไม้ที่ไร้ความรู้สึกได้เช่นไร

หลังต่อสู้ดิ้นรนกับตนเอง ก็จำต้องเก็บความแค้นไว้ในใจ “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว…”

นางกลืนน้ำลายเตรียมจะเอ่ยปากบอก จู่ๆ บนท้องฟ้ากลับปรากฏลำแสงสว่างวาบ มีเสียงคำรามดังก้องกัมปนาทเหนือศีรษะทั้งที่เป็นค่ำคืนฟ้ากระจ่าง ทุกคนยังไม่ทันแสดงท่าทีตอบสนอง สายฟ้ารัศมีเจิดจ้าก็ผ่าโครมลงมาเบื้องล่าง

ลิ่นเฉิงโย่วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย สายฟ้าเส้นนี้พุ่งตรงไปยังตาค่ายกล เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อช่วยชีวิตปีศาจเฒ่า

เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วฉับไว รีบกระชากปีศาจต้นไม้กระโดดไปด้านหลัง มังกรไฟจากแผ่นยันต์หลุดพ้นการควบคุมของเขาทำให้ปีศาจเฒ่าคืนร่างเดิมไปในพริบตา

สายฟ้าประหลาดเหมือนมีสัมผัสรับรู้ มันเลี้ยวโค้งหลบไปอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นสลายเป็นกลุ่มหมอกสีขาวหายลับไปกลางอากาศ ไปมาไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเรียกไม้สยบมารกลับมา ก่อนจะกระโดดผลุงขึ้นแล้วเดินมามุงดูตรงหน้า ก้มศีรษะมองร่างเดิมของปีศาจเฒ่า ก็เห็นต้นไม้น้อยที่ลำต้นไม่อวบหนาเท่าใด บนยอดต้นไม้ห่อหุ้มด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว กลิ่นหอมประหลาดโชยมาปะทะจมูก

นักพรตน้อยทั้งสองยังไม่หายตื่นตระหนกดี “ศิษย์พี่ สายฟ้านั่นมาเพื่อช่วยปีศาจเฒ่าหรือขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วจ้องทิศทางยามสายฟ้าพุ่งตรงมาเขม็ง ก่อนหยิบหนอนล่ามวิญญาณออกมาจากอกเสื้อมัดต้นไม้น้อยเอาไว้แล้วโยนให้เด็กทั้งสอง “กลับไปรออยู่ในบ่วงสลายปราณพิฆาต”

เขายังหันไปสั่งการองครักษ์ที่เช็ดเหงื่ออยู่ว่า “พวกเจ้าเร่งนำส่งกลุ่มคนเจ็บกับฮูหยินอันกั๋วกงไปพักฟื้นที่เรือนเจาเล่อ ข้าไปประเดี๋ยวหนึ่งก็กลับ”

ลิ่นเฉิงโย่วกระโดดขึ้นไปบนแนวกำแพง พลันหายลับไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี

 

เรือนเจาเล่อพื้นที่คับแคบ มีห้องนอนทั้งหมดเพียงห้องเดียว สกุลเถิงกับสกุลต่งไม่มีทางเลือกอื่น จำใจต้องเข้ามาพักในห้องเดียวกัน

เหล่าขันทีตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันถ้วนหน้า องครักษ์ก็หวาดผวาอยู่ในใจเช่นกัน กระทั่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ทุกคนยังกลัวจนเหมือนไร้วิญญาณไปบ้าง

ตู้ฮูหยินสองขาสั่นพั่บๆ นางกอดเถิงอวี้อี้ไว้ในอ้อมแขนพลางลูบปลอบขวัญเป็นการใหญ่ เถิงอวี้อี้ย้อนคิดถึงสถานการณ์เมื่อครู่ตอนลิ่นเฉิงโย่วต่อกรกับปีศาจ ความสงสัยมากมายอัดแน่นในอก นอกจากลิ่นเฉิงโย่วจะซักไซ้ปีศาจเฒ่าว่าเพราะเหตุใดจึงไปที่ป่าไผ่ ยังคาดเดาว่ามีคนรอนางปีศาจอยู่ที่นั่น เถิงอวี้อี้ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เมื่อนางพาพวกตวนฝูเร่งเดินทางไปถึง ในป่ามีเพียงปีศาจเฒ่าและญาติผู้พี่กับสาวใช้ นางรู้เพียงว่าญาติผู้พี่ถูกจู่โจมทำร้าย กลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องเลย

หากปีศาจเฒ่ามิได้บุกเข้าป่าไผ่ด้วยเหตุบังเอิญแต่ไปตามนัดหมายเล่า คนผู้นั้นจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด ที่ญาติผู้พี่ถูกปีศาจจู่โจมจะเป็นเพราะไปเห็นอะไรเข้าโดยไม่ตั้งใจหรือไม่

นางคิดทบทวนซ้ำไปมาเป็นนานสองนาน ยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงท่านป้าเรียกญาติผู้พี่เบาๆ ถึงได้สติกลับคืนมา

ยาที่ลิ่นเฉิงโย่วให้มามีสรรพคุณวิเศษนัก ร่องรอยสีทองแปลกประหลาดบนร่างญาติผู้พี่เลือนหายไปจนหมด ส่วนไป๋จื่อกับหงหนูแม้ยังหมดสติอยู่แต่ก็มีสัญญาณว่าจะดีขึ้นแล้ว

ตวนฝูถูกแยกให้อยู่ตรงระเบียงทางเดินข้างนอก พอเถิงอวี้อี้เดินไปตรวจดูอาการ ก็พบว่าลมหายใจค่อยๆ สม่ำเสมอคงที่แล้ว

บนเตียงเตี้ยริมหน้าต่างฮูหยินอันกั๋วกงกับคุณหนูรองสกุลต่งนอนเคียงข้างกัน คนหนึ่งลมหายใจรวยริน ส่วนอีกคนเนื่องจากไม่ได้กินยาจึงยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมา

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งก็รอดตายมาได้ รอจนเริ่มสงบสติอารมณ์ลง คิดถึงยาวิเศษที่ลิ่นเฉิงโย่วมอบให้กลับโดนคุณหนูเถิงแย่งชิงไปหมด อีกทั้งคนเจ็บของสกุลเถิงสามสี่คนนั่นกินยาแล้วเริ่มเห็นวี่แววว่าอาการดีขึ้น มีเพียงคุณหนูรองของนางผู้เดียวที่ชีวิตยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจิตใจร้อนรุ่มราวไฟสุม คอยดูแลต่งเอ้อร์เหนียงพลางถลึงตาใส่เถิงอวี้อี้บ่อยครั้ง สายตาหลบๆ ซ่อนๆ ทว่าเต็มไปด้วยการตำหนิและแค้นเคือง

เถิงอวี้อี้สัมผัสได้ถึงสายตาจดจ้องจากด้านหลัง จึงหันหน้าไปอยากจะดูให้รู้เรื่อง

ตอนนี้เองก็มีคนจากในวังเข้ามาแจ้งข่าว “ก่อนซื่อจื่อจะไปบอกว่ามีเรื่องหนึ่งต้องตรวจสอบหลักฐาน หลายท่านในห้องนี้เป็นคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน มอบหมายให้พวกข้าน้อยมาเตรียมการบางอย่างไว้ล่วงหน้า”

ก่อนหน้านี้ตู้ฮูหยินได้ยินคำพูดหลายประโยคอย่างเลือนราง จึงเข้าใจว่าลิ่นเฉิงโย่วต้องการเข้ามาตรวจสอบอาการบาดเจ็บ เดิมทีมีข้อกังวลชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็วางใจได้เสียทีจึงรีบเอ่ยตอบรับ “ทราบแล้ว”

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งตั้งตารอจะขอยาช่วยชีวิตคนจากลิ่นเฉิงโย่วมาเพิ่ม จึงเอ่ยตกปากรับคำอย่างดี “น้อมรับทุกคำสั่งของซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

เหล่าขันทีนำร่างสตรีที่บาดเจ็บห้านางมาวางเรียงกันบนเตียงหลังใหญ่ โดยมีผ้าม่านผืนหนาบดบังสายตาและเผยให้เห็นเพียงพื้นรองเท้า

ตอนเถิงอวี้อี้ช่วยจับผ้าม่านบังเอิญเหลือบมองต่งเอ้อร์เหนียงครู่หนึ่ง นางต้องประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าต่งเอ้อร์เหนียงไม่ปรากฏรอยสีทองอมเทา ลมหายใจก็นับว่าสงบมั่นคงดี

เอ๊ะ มิใช่ว่าโดนพิษปีศาจหรือ

หัวใจนางสะท้านไหวเตรียมจะเพ่งพินิจอย่างละเอียด ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งก็ดึงผ้าม่านมาบังไว้เพราะกลัวลมพัดเข้าไป

เถิงอวี้อี้จึงเดินวนไปอีกฝั่งหนึ่งของผ้าม่านแล้วลอบมองสำรวจอย่างแนบเนียน ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ข้างนอกย่ำตรงมา บริเวณหน้าเรือนเริ่มมีเสียงพูดคุยกัน ขันทีกล่าวตกปากรับคำสองสามประโยคก็แหวกผ้าม่านประตูเดินเข้ามาแจ้งว่า “แม่ทัพน้อยต้วนจากจวนเจิ้นกั๋วกงกับฮูหยินหย่งอันโหวมาขอรับ”

ตู้ฮูหยินถามอย่างตกตะลึง “แม่ทัพน้อยต้วนกับฮูหยินหย่งอันโหว?”

แม่ทัพน้อยต้วนมีนามว่าต้วนหนิงหย่วน เป็นบุตรชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงและเป็นคู่หมั้นของเถิงอวี้อี้ ส่วนฮูหยินหย่งอันโหวมีนามว่า ‘ต้วนเหวินอิน’ เป็นพี่สาวร่วมอุทรของต้วนหนิงหย่วน พอต้วนเหวินอินอายุได้สิบเจ็ดปีก็แต่งงานออกไปอยู่จวนหย่งอันโหวที่เมืองลั่วหยาง

สองพี่น้องสกุลต้วนอายุห่างกันเพียงสามปี ความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้นกันมาแต่ไหนแต่ไร ในวันหน้าหากเถิงอวี้อี้แต่งงานกับต้วนหนิงหย่วนยังต้องเรียกต้วนเหวินอินว่า ‘พี่สาว’

ตู้ฮูหยินแย้มยิ้มพลางลุกขึ้นยืน

ขันทียังกล่าวอีกว่า “คืนนี้สกุลต้วนก็มาร่วมงานเลี้ยงที่หอจื่ออวิ๋นด้วย ได้ยินว่าคุณหนูเถิงเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญมา แม่ทัพน้อยต้วนกับฮูหยินหย่งอันโหวตั้งใจรีบมาดูแล รวมถึงฮูหยินหลายท่านที่เป็นเครือญาติและมิตรสหายกับจวนเจิ้นกั๋วกงพอได้ยินเรื่องนี้ก็จะตามมาสมทบอีกแรง แต่จนใจที่ซื่อจื่อสั่งปิดตายประตูกลางเพื่อจับปีศาจ พวกเขาได้แต่รอฟังข่าวที่ห้องโถงกลาง ตอนนี้พอรู้ว่าซื่อจื่อปราบปีศาจตนนั้นได้สำเร็จ ก็เลยมุ่งหน้ามายังเรือนใน ฮูหยินหย่งอันโหวสอบถามอยู่ด้านนอก ฮูหยินกับคุณหนูสะดวกใจพร้อมให้เข้ามาเยี่ยมหรือไม่ขอรับ”

ระหว่างการแจ้งข่าวของขันที ตรงระเบียงทางเดินด้านนอกก็มีเสียงสตรีกระซิบพูดคุยลอยมาแต่ไม่ได้ยินเสียงของต้วนหนิงหย่วนเลยสักนิด

เถิงอวี้อี้หัวเราะเย้ยหยันในใจแต่สีหน้ากลับสงบนิ่งเป็นปกติ

ตู้ฮูหยินเข้าใจว่านางกำลังเขินอาย จึงตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมลดเสียงเอ่ยว่า “มาได้ทันเวลาเพียงนี้ สกุลต้วนนับว่าตั้งใจแล้ว”

หน้าเตียงกางผ้าม่านผืนหนาบังไว้มิดชิด ตู้ฮูหยินไม่มีเรื่องใดให้พะว้าพะวังอีก นางจัดผ้าคลุมไหล่ตรงข้อพับแขนแล้วกล่าวต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “รีบเชิญเข้ามา”

ตอนนี้ด้านนอกมีเสียงเอะอะดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีคนเดินเข้ามาในเขตเรือนแล้ว

“คนบาดเจ็บมีทั้งหมดห้าคน นอกจากสกุลเถิงแล้ว คนอีกสกุลหนึ่งเป็นผู้ใด” นั่นเป็นเสียงของลิ่นเฉิงโย่ว

เถิงอวี้อี้แปลกใจเล็กน้อย ลิ่นเฉิงโย่วรีบกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าตรวจสอบพบอะไรหรือไม่

“เป็นคุณหนูรองบุตรสาวนายอำเภอต่งแห่งอำเภอวั่นเหนียน คืนนี้นางมีนัดหมายกับคุณหนูอีกหลายคนที่งานเลี้ยงริมน้ำ ระหว่างเดินทางไปร่วมงานไม่ทันระวังเจอปีศาจร้ายพอดี เร่งเดินทางกลับเข้าเมืองไปรักษาเกรงว่าจะไม่ทันกาล พอได้ยินว่าเชิญนักพรตมาแล้วจึงฝากฝังให้ฮูหยินหย่งอันโหวดูแล และเข้ามาในหอจื่ออวิ๋นด้วยขอรับ”

เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองหลังม่านด้วยแววตาแฝงความนัยลึกซึ้ง นางน่าจะเดาได้แต่แรกแล้ว หากไม่มีผู้สูงศักดิ์เชื้อเชิญ คนในครอบครัวขุนนางทั่วไปไม่อาจเข้าหอจื่ออวิ๋นได้ ที่แท้ ‘ผู้สูงศักดิ์’ ที่พาต่งเอ้อร์เหนียงเข้ามามิใช่ใครอื่น เป็นต้วนเหวินอินพี่สาวของต้วนหนิงหย่วนนี่เอง

พวกเขาพี่น้องรักใคร่ผูกพันกันมาตลอด ในชาติก่อนต้วนหนิงหย่วนเกือบโดนขับออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงเพราะยืนกรานขอถอนหมั้นกับนาง ต้องอาศัยต้วนเหวินอินรีบเดินทางมาจากเมืองลั่วหยางเพื่อช่วยพูดขอร้องแทนน้องชาย

หลายวันมานี้ก็เป็นเทศกาลซั่งซื่อ ไม่น่าแปลกใจที่ต้วนเหวินอินจะกลับเมืองฉางอัน แต่พอสกุลต่งเกิดเรื่อง ไปขอร้องผู้ใดไม่ขอ ดันมาขอร้องต้วนเหวินอิน และสิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือทั้งสองตระกูลไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต้วนเหวินอินกลับรับปากอย่างเหลือเชื่อ นอกเสียจากว่าน้องชายอย่างต้วนหนิงหย่วนจะฝากฝังมา เถิงอวี้อี้ก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว

นางลองคำนวณวันเวลา ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อีกประมาณสามเดือนต้วนหนิงหย่วนถึงจะไปขอถอนหมั้นที่จวนสกุลเถิง เห็นได้ชัดว่าต้วนหนิงหย่วนมีใจให้ต่งเอ้อร์เหนียงมานานกว่าที่นางคาดเดาเอาไว้มาก

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “ข้าจะเข้าไปตรวจดูอาการคนเจ็บในห้อง ข้างในนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งได้ยินเพียงเท่านี้ ก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงของคุณหนูทันที นางวิ่งปรี่ออกนอกประตูห้องไปโดยไว ก่อนจะคุกเข่าลงโครมใหญ่ “ขอร้องซื่อจื่อโปรดช่วยชีวิตคุณหนูรองของข้าน้อยด้วย เมื่อครู่มอบยาให้คุณหนูเถิงจัดการแจกจ่าย แต่ว่าคุณหนูรองของข้าน้อยไร้วาสนา ไม่ได้รับส่วนแบ่งมาสักเม็ด ตอนนี้ชีวิตนางแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขอร้องซื่อจื่อโปรดช่วยนางด้วยเจ้าค่ะ”

จากนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งโพล่งออกมาว่า “ไม่ได้แบ่งยาให้คุณหนูรองของเจ้ารึ”

นี่เป็นเสียงที่แฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวและตำหนิติเตียนของต้วนหนิงหย่วน

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งเอาแต่โขกศีรษะ ร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มจะขาดใจ

บทที่ 8

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังอยู่เช่นนั้น ก่อนจะมีสตรีนางหนึ่งตัดบทนางอย่างเย็นชา

“เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน คุณหนูเถิงจัดการเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลของนางแน่ เฉิงอ๋องซื่อจื่อเป็นศิษย์หลานของท่านนักพรตชิงซวีจื่อ มีเขาอยู่ด้วย ยังกลัวว่าจะช่วยคุณหนูของเจ้าไม่ได้หรือไร ตอนนี้คุณหนูเถิงอยู่ที่ใด นางอายุยังน้อยต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ คิดว่าคงจะตกใจกลัวแย่แล้ว รีบพาพวกเราเข้าไปเร็ว ข้าต้องเห็นนางกับตาสักหน่อยถึงจะวางใจ”

วาจาของต้วนเหวินอินไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ภายนอกแสดงความห่วงใยต่อสกุลเถิงอย่างเต็มที่ ทว่าความจริงแล้วคือการเตือนสติน้องชายว่าอย่าเสียกิริยาเพราะต่งเอ้อร์เหนียง

ต้วนหนิงหย่วนเก็บงำความรู้สึกอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ซื่อจื่อ คนเจ็บอยู่ในห้องทั้งหมดหรือ”

ตู้ฮูหยินเดิมทียังมีสีหน้าคลางแคลงใจ พอได้ยินประโยคนี้ถึงถอนหายใจโล่งอก

ลิ่นเฉิงโย่วขานรับคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขันทีวังหลวง “ในห้องจัดการไว้อย่างไร”

“ทำตามคำสั่งซื่อจื่อ นำร่างสตรีที่บาดเจ็บห้านางมาวางนอนบนเตียง หน้าเตียงมีผ้าม่านผืนหนากางกั้นไว้ เปิดเผยแค่รองเท้าเพื่อระบุตัวตน”

“ร่างฮูหยินอันกั๋วกงไม่ต้องวางรวมกับคนเจ็บที่เหลือ นางถูกปีศาจสิงร่างนานถึงเพียงนี้ จะอยู่รอดข้ามคืนหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ในห้องเตรียมน้ำแกงร้อนๆ ไว้สักถ้วย ด้านหน้าไปเตรียมรถม้า รอให้ป้อนน้ำแกงถ้วยแรกเรียบร้อยแล้ว ก็รีบนำฮูหยินอันกั๋วกงส่งไปที่อารามชิงอวิ๋นทันที”

“ขอรับ”

เถิงอวี้อี้ตระหนักได้ว่าคนด้านนอกจะเข้ามา จึงลุกขึ้นยืนตามท่านป้า นางไม่ได้ถอดหมวกม่านแพรบนศีรษะลง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงไปที่ใดด้วย

คนที่เดินเข้ามามีไม่น้อย นอกจากลิ่นเฉิงโย่วกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ยังมีสตรีสูงศักดิ์สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา เกล้ามวยผมอย่างประณีตงดงามอีกหลายคน

ผู้ที่เข้ามาในห้องเป็นคนแรกคือต้วนเหวินอิน

ช่วงนี้สตรีในเมืองฉางอันนิยมแต่งกายอย่างบุรุษชาวหู ต้วนเหวินอินก็หลงใหลชื่นชอบเช่นกัน วันนี้แม้จะมาร่วมงานเลี้ยงนางก็ไม่สวมกระโปรงรัดอก กลับเลือกชุดบุรุษชาวหู บนศีรษะสวมหมวกหนังทรงสูงปักดิ้นทอง ส่วนรองเท้าเป็นทรงกระบอกยาวสีดำสนิทริ้วลายสีทอง เดิมทีนางก็มีเรือนร่างสูงโปร่งอยู่แล้ว ยามสวมเสื้อผ้าลักษณะนี้จึงไม่ดูเกะกะรุ่มร่าม กลับเผยความสง่างามและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

ต้วนเหวินอินเข้ามาในห้องแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปทางตู้ฮูหยินกับเถิงอวี้อี้

“ขออภัยที่พวกเรามาช้า ด้านหน้าจวิ้นอ๋องยุ่งอยู่กับการอพยพผู้คนออกไป พวกเราหลายคนไม่ยอมไปที่ใด จะต้องมาดูให้เห็นกับตาถึงวางใจได้ ฮูหยินคงไม่ตกใจมากกระมัง อวี้เอ๋อร์ยังปลอดภัยดีใช่หรือไม่ คนเจ็บหลายคนในจวนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ตู้ฮูหยินนำเถิงอวี้อี้เข้าไปต้อนรับ ยิ้มแย้มแล้วกล่าวตอบว่า “รบกวนฮูหยินต้องเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยดี”

เถิงอวี้อี้คลี่ยิ้มอ่อนหวาน ก้าวออกมาคารวะอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกประการ

ต้วนเหวินอินดึงร่างเถิงอวี้อี้มาพินิจพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เด็กสาวตรงหน้าสวมเสื้อแขนสั้นครึ่งเอวสีเหลืองขนห่าน กระโปรงผ้าไหมเนื้อละเอียดจีบรอบสีเขียวสดใส ผ้าโปร่งสีดำของหมวกม่านแพรอาจบดบังสายตาสอดส่องจากระยะไกล แต่ไม่อาจปกปิดการจับสังเกตในระยะประชิดได้ พอพิศมองอย่างละเอียดแล้วนางก็รู้สึกชื่นชมจากใจจริง เด็กสาวผู้นี้มีนัยน์ตาดุจสระน้ำใสกระจ่าง ผิวกายขาวสะอาดหมดจดดั่งเกล็ดน้ำค้าง สมกับเป็นหญิงงามที่ไม่เป็นสองรองผู้ใดโดยแท้

“พริบตาเดียวไม่ได้พบหน้ากันมาสามสี่ปีแล้ว ครั้งก่อนสองตระกูลพูดคุยเรื่องการหมั้นหมาย อวี้เอ๋อร์ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย มาวันนี้กลับตัวสูงขึ้นมาก ไม่กี่วันก่อนได้ยินว่าอวี้เอ๋อร์จะมา ข้าก็อยู่ที่ฉางอันพอดี เดิมทีตั้งใจว่าจะชวนเจ้าไปชมดอกไม้วัดซีหมิงด้วยกัน ไม่คิดว่าเพิ่งมาถึงก็เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ โชคยังดีที่ท่านป้าของเจ้าก็อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงตกใจแย่แล้ว”

ตู้ฮูหยินตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “เด็กผู้นี้จิตใจเข้มแข็ง เรื่องกลัวน่ะไม่ต้องห่วงหรอก แต่ปีศาจตนนั้นน่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ กลับไปแล้วคงต้องสะเดาะเคราะห์สักหน่อยถึงจะดี”

พอตู้ฮูหยินกล่าวจบนางก็พาเถิงอวี้อี้มาคารวะฮูหยินท่านอื่น ในที่นี้มีทั้งเครือญาติเกี่ยวดองกับจวนเจิ้นกั๋วกง รวมถึงครอบครัวสหายร่วมงานในกองทัพที่เถิงเซ่าเคยไปมาหาสู่

ระหว่างการสนทนาตู้ฮูหยินทอดสายตามองไปด้านหลังของต้วนเหวินอิน มองเห็นคุณชายหนุ่มน้อยคนหนึ่งสวมเสื้อแพรและกวนหยกบนศีรษะ เรือนกายสูงสง่าดั่งต้นสนยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาก็คือแม่ทัพน้อยต้วนนี่เอง

ดวงตาตู้ฮูหยินผุดรอยยิ้มชื่นชมยินดีจากใจ การหมั้นหมายครั้งนี้เลือกเฟ้นได้ดีนัก เด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งเติบโตยิ่งฉายแววโดดเด่นเหนือผู้อื่น

แม่ทัพน้อยต้วนรู้กาลเทศะเป็นอย่างดี พอก้าวเข้ามาในห้องก็หลุบสายตาประสานมือพร้อมกับเอ่ยว่า “ผู้เยาว์คารวะฮูหยิน”

ตู้ฮูหยินยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้า “ดี นับว่าเจ้ามีน้ำใจแล้ว”

หลังทักทายปราศรัยกันพอสมควรตู้ฮูหยินก็เหลือบมองไปนอกห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ หากมิใช่เพราะเฉิงอ๋องซื่อจื่อผู้หล่อเหลาสง่างามอยู่ข้างๆ ประกายแสงในห้องนี้คงสาดส่องไปที่ต้วนหนิงหย่วนทั้งหมดแล้ว จะว่าไปก็แปลกนัก ทั้งที่เฉิงอ๋องซื่อจื่อมีภาพลักษณ์เจ้าสำราญไม่อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ กลับดึงดูดสายตายิ่งกว่าแม่ทัพน้อยต้วนเสียอีก

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ยอมเข้ามาด้านใน ขณะพวกนางกำลังพูดคุยกันเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ห้องด้านนอก เคาะนิ้วกับที่วางแขนเก้าอี้อย่างเอ้อระเหย รอจนกระทั่งขันทียกถ้วยน้ำชาเข้ามา ลิ่นเฉิงโย่วก็นำยันต์แผ่นหนึ่งแปะถ้วย สั่งพวกเขาให้นำไปป้อนฮูหยินอันกั๋วกง

หลังผู้ดูแลหญิงสกุลต่งเข้ามาในห้อง ก็เกาะติดอยู่ข้างกายลิ่นเฉิงโย่วไม่ห่าง พอเห็นว่าเขาจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จสิ้นจึงรีบมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อ การช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด ถ้าเช่นนั้นจะมอบยาช่วยชีวิตคนให้ข้าน้อยอีกสักเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ”

“หมดแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วตอบโดยไม่ลังเล

บรรยากาศในห้องเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สายตาทุกคนต่างเหลียวมองตรงไปที่จุดเดียว

ต้วนหนิงหย่วนเข้ามาคารวะตู้ฮูหยินแล้วก็ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ภายนอกแลดูสุขุมสงวนท่าที ทว่ากลับปิดบังความหวาดวิตกในแววตาไว้ไม่มิด ได้ยินคำนี้ก็ฝืนยิ้มออกมา “ซื่อจื่อชอบพูดจาล้อเล่นเสียจริง อารามชิงอวิ๋นเก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าของลัทธิเต๋าจากทั่วหล้า ไม่ต้องเอ่ยถึงยาแค่ขวดเดียว วิชาฟื้นคืนชีพก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง หยิบยามอบให้บ่าวหญิงผู้นี้ไปเถอะ นางจะได้เลิกร้องไห้คร่ำครวญสร้างความรำคาญใจ”

ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “ยานั่นชื่อว่ายาลูกกลอนลิ่วหยวน สมุนไพรตัวยาเป็นของหายาก ท่านอาจารย์ทุ่มเทเวลาไปไม่น้อยเพื่อหลอมยาขวดนี้ขึ้นมา ตนเองตัดใจใช้ไม่ลง ก็เลยมอบให้ข้าใช้ป้องกันตัว ขวดแรกนั่นใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว หากจะให้หามาอีกขวดก็ได้อยู่ แต่ต้องรออีกหลายปีโน่น”

ต้วนเหวินอินกับตู้ฮูหยินหันมาสบตากันอย่างตกตะลึง ที่แท้ก็เป็นยาชื่อเสียงโด่งดังอย่างยาลูกกลอนลิ่วหยวน ได้ยินว่ายาชนิดนี้คนธรรมดาทั่วไปก็กินได้ นอกจากช่วยขจัดโรคภัยยืดอายุขัย หากเป็นสตรีก็จะมีผิวพรรณงามเปล่งปลั่ง

แต่การหลอมยาชนิดนี้ต้องอาศัยโชควาสนา ในเวลาสิบปีไม่แน่ว่าจะได้ยามาสักขวด เนื่องจากได้มาไม่ง่าย จึงเทียบเคียงได้กับสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

ในเมืองฉางอันมีคนเคยได้ยินกิตติศัพท์ของยาลูกกลอนลิ่วหยวนไม่น้อย ไม่มีผู้ใดไม่ละโมบอยากได้มาครอบครอง หากฝากไว้กับผู้อื่นบางทีคงชักนำให้เกิดหายนะไปนานแล้ว ทว่าเพราะเป็นของที่ลิ่นเฉิงโย่วพกติดตัว ถึงได้ไม่มีใครหน้าไหนกล้าคิดอาจเอื้อม

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งนิ่งงันไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่ “หลายปี? นี่มิเท่ากับว่าคุณหนูของข้าน้อยหมดทางรักษาแล้วหรือ น่าสงสารคุณหนู เมื่อเดือนก่อนเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น* เด็กสาวที่งดงามอ่อนหวานกลับมีชะตาอาภัพเช่นนี้”

นางร้องไห้ไปพลางนอนฟุบลงกับพื้น “รอให้นายท่านมาถึงจะต้องเจ็บปวดแทบขาดใจ ฮูหยินก็ล้มป่วยยังไม่หายดี หากรู้ข่าวร้ายของคุณหนูเข้าอาการคงทรุดลงแน่ๆ ต้องโทษความโง่เขลาของข้าน้อยผู้นี้ บ้านแม่ทัพเถิงแม้แต่บ่าวไพร่สามคนยังได้รับการช่วยเหลือแล้ว คุณหนูของข้าน้อยกลับต้องมาตายเปล่า”

ประโยคนี้ฟังดูแล้วชวนเศร้าสลดใจ ทว่าจะในที่แจ้งหรือที่ลับล้วนตำหนิว่าเถิงอวี้อี้เห็นแก่ตัวไร้น้ำใจ

ต้วนเหวินอินเผยสีหน้าอึดอัดใจ ส่วนตู้ฮูหยินดึงเถิงอวี้อี้มาปกป้องไว้ข้างหลังทันใด

เด็กอย่างอวี้เอ๋อร์ทำสิ่งใดไม่เคยคำนึงถึงความถูกผิด ปกป้องพวกพ้องของตนเองสำคัญเหนืออื่นใด ตวนฝูติดตามอยู่ข้างกายนางมานานหลายปี เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ภักดีมาตลอด ต่อให้เหตุการณ์เมื่อครู่จะเกิดซ้ำสักร้อยหน นางย่อมตัดสินใจทำเหมือนเดิมอยู่นั่นเอง

เรื่องนี้จึงกล่าวโทษอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าจะอย่างไรต่งเอ้อร์เหนียงก็อยู่ในวัยสาวสะพรั่งดั่งบุปผาแรกแย้ม หากจบชีวิตลงเพียงเท่านี้คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากจริงๆ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อยังมีวิธีอื่น มิฉะนั้น…

ทุกคนถูกเสียงร้องไห้ของผู้ดูแลหญิงสกุลต่งดึงความสนใจเอาไว้ เถิงอวี้กลับลอบจับตาดูผ้าม่านหน้าเตียง ชั่วขณะที่ต้วนหนิงหย่วนสนทนากับลิ่นเฉิงโย่ว ก็เกิดความเคลื่อนไหวหลังผ้าม่าน เป็นการสั่นสะเทือนเพียงน้อยนิด หากไม่คอยจับจ้องไม่แน่ว่าจะสังเกตเห็นได้ นางรู้แก่ใจดีจึงถอนสายตากลับมาเงียบๆ

ลิ่นเฉิงโย่วก็จับตาดูผ้าม่านเตียงอยู่เช่นกัน เขามองเห็นร่องรอยกระเพื่อมไหวแผ่วเบาตรงหน้าเตียง มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มหยัน พอจะลุกขึ้นยืนต้วนหนิงหย่วนกลับซักถามเขาขึ้นมาอีกครั้ง “ซื่อจื่อ นอกจากยาลูกกลอนลิ่วหยวนแล้ว ยังมีวิธีอื่นหรือไม่”

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองห้องด้านในครู่หนึ่ง ตัดสินใจนั่งลงไปอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีหรอก ปีศาจตนนี้ต้นอ่อนเป็นหญ้าแก่นแท้เป็นไม้ วันนี้งานเทศกาลซั่งซื่อตรงกับวันที่มันจะกลายเป็นมารพอดี เดิมทีอิทธิฤทธิ์ของมันก็ไม่อาจเทียบปีศาจทั่วไปได้อยู่แล้ว ยิ่งใกล้ยามจื่อเท่าไร พลังชั่วร้ายของมันยิ่งกล้าแข็ง หากไม่มีคนตัดแขนปีศาจทิ้งไปก่อนข้างหนึ่งจนกระทบกระเทือนลมปราณในร่างมัน ยาลูกกลอนลิ่วหยวนก็ไม่แน่ว่าจะรักษาชีวิตคนเจ็บเอาไว้ได้ ต่งเอ้อร์เหนียงยังไม่ได้กินยา ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่น”

ต้วนหนิงหย่วนกลืนน้ำลาย ถามเน้นย้ำทีละคำ “หมดทางเยียวยาจริงหรือ”

“หมดทางเยียวยาแล้ว”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่ “แม่ทัพน้อยต้วน ศิษย์พี่ของพวกเราก็ได้รับบาดเจ็บ ถ้ายังมียาลูกกลอนลิ่วหยวนอยู่ เหตุใดเขาถึงไม่กินเองเสียเลยเล่า”

เช่นนี้เองทุกคนถึงได้มองเห็นว่าบนเสื้อคลุมลิ่นเฉิงโย่วยังเปรอะเปื้อนคราบเลือด สีหน้าของเขาก็ดูย่ำแย่กว่าก่อนหน้านี้มาก

เมื่อครู่เหล่าขันทีแตกตื่นตกใจกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ทันสนใจเสื้อผ้าของลิ่นเฉิงโย่ว คราวนี้พอกวาดสายตามองก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนทันใด วิ่งกรูกันเข้าไปราวกับผึ้งแตกรัง ยุ่งกับการเตรียมปรนนิบัติดูแลลิ่นเฉิงโย่ว

“ซื่อจื่อ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปกองโอสถหลวงเชิญหัวหน้ากองอวี๋มาหรือไม่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วยกแขนกันพวกเขาออกไปอย่างรำคาญ “อย่าเอะอะวุ่นวายนักเลย”

ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งยังคงคร่ำครวญด้วยความเสียใจ “เป็นคราวเคราะห์ที่ไม่คาดคิดแท้ๆ ฮูหยินยังล้มป่วย คุณหนูรองก็เฝ้าปรนนิบัติข้างเตียงทั้งวัน อุตส่าห์หาโอกาสออกมาร่วมฉลองเทศกาล ก็มาจบชีวิตลงเช่นนี้ ขอแค่ยาเม็ดเดียวเท่านั้น เพราะอะไรถึงต้องใจร้ายใจดำกันด้วย…”

ต้วนหนิงหย่วนยืนตัวแข็งอยู่กับที่เหมือนหุ่นไม้ ความโศกเศร้าประดังประเดไม่มีหนทางระบาย พอคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ก็จ้องเถิงอวี้อี้เขม็งอย่างโกรธขึ้ง

นี่คือว่าที่ภรรยาของข้าอย่างนั้นหรือ

นางมีผ้าคลุมบดบังใบหน้าจึงมองเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน แต่สตรีนางนี้จะต้องเป็นคนน่าชิงชังที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจออย่างไม่ต้องสงสัย

“ระหว่างเดินทางมายังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ดีๆ ก็มาจากไปทั้งอย่างนี้แล้ว” ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งร้องไห้จนหายใจแทบไม่ทัน “คุณหนูรองของข้าน้อยมีจิตใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ปกติขนาดดอกไม้ใบหญ้ายังเหยียบย่ำไม่ลง นี่มันเวรกรรมอะไรกัน เพราะอะไรถึงต้องเป็นคุณหนูรอง…”

เส้นริ้วรอยบนใบหน้าต้วนหนิงหย่วนปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังกัดฟันกรอด ในที่สุดก็โดนคำตัดพ้อของผู้ดูแลหญิงผู้นี้แทงใจอย่างจัง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหนูเถิง ในเมื่อยาอยู่ในกำมือเจ้า ไม่ได้ขอให้เจ้าไม่เห็นแก่ตัว แต่ยามีทั้งหมดสี่เม็ด สกุลเถิงมีสิทธิ์อะไรถึงได้ไปทั้งหมด ไม่แบ่งให้ผู้อื่นเลยแม้แต่เม็ดเดียว”

น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง แสดงให้เห็นว่าขาดสติยั้งคิดไปแล้วเพราะโทสะครอบงำ

ต้วนเหวินอินตวาดแทรกขึ้นมา “หนิงหย่วน!”

ตู้ฮูหยินพยายามอธิบาย “แม่ทัพน้อยต้วน ตอนอวี้เอ๋อร์แบ่งยาให้พวกหงหนู นางไม่รู้เลยว่าในขวดมียาอยู่แค่สี่เม็ด ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะไม่พอคงไม่มีทางจัดการเช่นนี้แน่”

“ตอนเหลือยาเม็ดสุดท้ายก็น่าจะรู้แล้วมิใช่หรือ นางก็ยังให้บ่าวไพร่ของตนเอง หมายความว่าในสายตาของนางมีแค่ตนเอง สำหรับนางชีวิตของผู้อื่นไร้ค่าเหมือนต้นหญ้าริมทาง ท่านพี่ ท่านคงเห็นชัดเจนแล้ว สตรีที่เอาแต่ใจเห็นแก่ตัวเช่นนี้จะเป็นสะใภ้ที่เหมาะสมกับสกุลต้วนได้อย่างไร”

ฮูหยินทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ลิ่นเฉิงโย่วเงยหน้ามองต้วนหนิงหย่วน ดวงตาฉายแววประหลาดใจเบาบาง

ต้วนเหวินอินนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะตำหนิอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”

เถิงอวี้อี้ย่อกายคารวะแล้วมองต้วนเหวินอินอย่างเฉยชา “ฮูหยินคงได้ยินแล้ว แม่ทัพน้อยต้วนต้องการถอนหมั้นกับสกุลเถิงเพียงเพราะข้าช่วยชีวิตบ่าวไพร่ของตนเอง”

ต้วนเหวินอินถลึงตาใส่น้องชายอย่างดุดัน ก่อนกล่าวปลอบประโลมเถิงอวี้อี้ด้วยเสียงนุ่มนวล “หนิงหย่วนดื่มสุราในงานเลี้ยงไปไม่น้อย สติเลอะเลือนถึงได้พูดจาเหลวไหล อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะ อย่าเก็บคำพูดยามเมามายพวกนี้ไปใส่ใจเลยนะ”

เถิงอวี้อี้พยักหน้าแล้วย้อนถาม “แม่ทัพน้อยต้วนพลั้งปากเพราะสุรา ต้องการผู้อื่นมาให้อภัย แล้วตอนพวกเราเจอปีศาจในป่าไผ่ควรจะเชิญผู้ใดมารับผิดชอบดีเล่า”

ต้วนหนิงหย่วนรู้สึกสำลักอากาศเล็กน้อย

“กว่าพวกเราจะหนีรอดออกมาจากป่าไผ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ปีศาจยังตามมาถึงหอจื่ออวิ๋น ตอนนั้นศาลาหลั่นสยาโกลาหลวุ่นวาย พวกญาติผู้พี่ของข้าก็อาการหนักเต็มที ข้ากลัวว่าจะพลาดโอกาสดีในการช่วยชีวิตคนไป ก่อนจะใช้ยาก็เลยไม่ได้ลองนับจำนวนยาว่ามีกี่เม็ด ตอนเดินออกมาถึงรู้ว่าเหลือแค่เม็ดเดียว แม่ทัพน้อยต้วน เปลี่ยนเป็นท่านจะทำเช่นไร”

ต้วนหนิงหย่วนโมโหฮึดฮัด “สกุลเถิงได้ยาไปแล้วสามเม็ด จะต้องจัดสรรอย่างยุติธรรม เม็ดสุดท้ายตามหลักแล้วสมควรแบ่งให้ผู้อื่นสิ”

“แต่ตวนฝูไม่ใช่แค่บ่าวไพร่ของสกุลเถิง” น้ำเสียงเถิงอวี้อี้เย็นเยียบปานน้ำแข็ง “หากไม่ได้ตวนฝูสกัดไว้ระยะหนึ่งพวกเราคงตายในป่าไปนานแล้ว ตอนนี้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย ข้าได้ยามาแล้วกลับไม่ช่วย นี่มิเท่ากับว่าเป็นพวกไม่รู้จักบุญคุณคนรึ”

ต้วนหนิงหย่วนกัดฟันกรอด นางกำลังโต้เถียงอย่างไร้เหตุผลชัดๆ แต่รอบข้างมีคนอยู่มากเกินไป เขาไม่อาจหักล้างวาจาของนางโดยไม่ระงับอารมณ์ได้

“ในสายตาพวกท่านตวนฝูเป็นแค่บ่าวไพร่ฐานะต่ำต้อยผู้หนึ่ง แต่เขาไม่ใช่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราหรือ คนผู้หนึ่งที่กระทั่งผู้มีพระคุณต่อตนเองยังไม่ไยดี แล้วจะไปช่วยคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไรเล่า ข้ากลับอยากถามแม่ทัพน้อยต้วนสักนิด ท่านราวกับมองข้าเป็นศัตรูคู่แค้น ตกลงท่านตำหนิข้าเพราะช่วยชีวิตผู้มีพระคุณต่อตนเอง หรือกล่าวโทษที่ข้าไม่อาจช่วยชีวิตคุณหนูต่ง หากข้ามอบยาให้คุณหนูต่งโดยไม่สนใจตวนฝู ท่านยังจะประณามข้าว่าทำอะไรไม่ยุติธรรมหรือไม่”

ต้วนหนิงหย่วนตัวแข็งทื่อ ราวกับโดนคนตบหน้าฉาดใหญ่ ใบหน้าร้อนผ่าวเผยความละอายแก่ใจ

ฮูหยินทั้งหลายล้วนเป็นผู้ผ่านโลกมามาก ต่างหันไปมองผ้าม่านผืนหนาตรงเตียง แล้วหันมามองผู้ดูแลหญิงสกุลต่ง พวกนางก็ขบคิดอะไรได้อย่างช้าๆ

ตอนแรกตั้งแต่อยู่ในลานกว้างขันทีก็เคยบอกไว้ว่าต่งเอ้อร์เหนียงเข้าหอจื่ออวิ๋นมาได้เป็นเพราะฝากฝังให้ฮูหยินหย่งอันโหวดูแล แม่ทัพน้อยต้วนรีบร้อนเดินทางมา ไม่ถามไถ่ถึงบ่าวไพร่สกุลเถิง แต่ตำหนิเถิงอวี้อี้อย่างไร้เหตุผล ท่าทางเหมือนมาที่นี่เพราะสกุลเถิงที่ใดกัน กลับเหมือนมาเพราะต่งเอ้อร์เหนียงมากกว่า

ตู้ฮูหยินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดหวัง นางถลึงตาใส่ต้วนหนิงหย่วน “คืนนี้อวี้เอ๋อร์ต้องตกใจเสียขวัญหลายครั้ง แม่ทัพน้อยต้วนไม่เป็นห่วงก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ยังไม่ทันเข้าใจกระจ่างแจ้งว่าสถานการณ์ขณะนั้นเป็นเช่นไร ก็โยนความผิดให้อวี้เอ๋อร์แล้ว ถึงแม้นางอายุยังน้อย แต่พบเจอเรื่องใดก็สุขุมเยือกเย็นสำรวมกิริยา สามารถช่วยชีวิตผู้อื่นไว้ได้มากถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นผลงานของอวี้เอ๋อร์ครึ่งหนึ่ง ลองเปลี่ยนเป็นเด็กสาวผู้อื่น ไม่ต้องพูดถึงแบ่งยาช่วยชีวิตคน ป่านนี้คงตกใจหมดสติไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

ถ้าแม่ทัพน้อยต้วนยังมีใจ แค่ลองคิดทบทวนดูก็คงเข้าใจ ยามีไม่เพียงพอหาใช่ความผิดของอวี้เอ๋อร์ คำว่า ‘เอาแต่ใจเห็นแก่ตัว’ นี้อวี้เอ๋อร์ของพวกเราคงรับเอาไว้มิได้ ‘เหมาะสม’ หรือ ‘ไม่เหมาะสม’ แม่ทัพน้อยต้วนก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาอวดดีเช่นนี้!”

สีหน้าต้วนหนิงหย่วนสะท้อนความละอายใจเต็มเปี่ยม เมื่อครู่เขาจิตใจปั่นป่วนยุ่งเหยิงจนพาลโกรธผู้อื่น ตอนนี้พอสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ตระหนักได้ว่าตนเองทำเกินเลยไปมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เขารู้ดีว่าไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างได้ จึงสะบัดชายเสื้อคลุมขึ้นเตรียมจะคุกเข่าขอขมา

เถิงอวี้อี้หัวเราะเย้ยหยันในใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมให้เขามีโอกาสแก้ต่างได้อย่างไร นางหลั่งน้ำตาพร้อมย่อกายคารวะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดอีกครั้งทันที “แม่ทัพน้อยต้วนเป็นบุรุษหัวใจเด็ดเดี่ยว คำพูดที่หลุดปากออกไปแล้วไม่มีเหตุผลจะรับกลับคืน ในเมื่อแม่ทัพน้อยต้วนกล่าวเองว่าต้องการถอนหมั้น คงต้องขอให้ฮูหยินทั้งหลายเป็นพยานด้วย”

ต้วนเหวินอินตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี คำพูดของเถิงอวี้อี้บ่งบอกชัดเจนว่าต้องการชิงความได้เปรียบพลิกสถานการณ์ นางสมควรนึกได้แต่แรกแล้วว่าเด็กสาวสกุลเถิงผู้นี้เป็นคนหัวแข็งยิ่งนัก ไม่มีทางยอมรับความไม่เป็นธรรมเปล่าๆ โดยไม่โต้กลับเด็ดขาด นางหัวเราะอย่างขอไปทีแล้วเอ่ยว่า “อวี้เอ๋อร์เข้าใจผิดแล้ว ผู้ดูแลหญิงสกุลต่งร้องไห้โวยวายไม่หยุด ทนฟังมากเข้าทำให้อึดอัดรำคาญ หนิงหย่วนถามเช่นนั้นออกมา ก็แค่อยากให้บ่าวหญิงเลอะเลือนผู้นี้เข้าใจเหตุผลเสียที จะคลี่คลายความเข้าใจผิดมาแต่แรก ไม่มีเจตนาจะย้อนกลับมาซักไซ้คนกันเองแน่นอน

หนิงหย่วน ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าเถรตรงเกินไป ทั้งที่เป็นความหวังดีแท้ๆ คำพูดตอนเมากลับทำให้อวี้เอ๋อร์เข้าใจผิด ตอนนี้เจ้าคงหงุดหงิดเสียใจแทบไม่ทันแล้ว มัวอ้ำอึ้งอยู่ด้วยเหตุใดเล่า รีบขอโทษอวี้เอ๋อร์กับตู้ฮูหยินประเดี๋ยวนี้”

เถิงอวี้อี้ส่ายหน้าอย่าง ‘เศร้าสร้อย’ “แม่ทัพน้อยต้วนจะเมาสุราหรือว่าเสียใจข้าก็ไม่มั่นใจเท่าไรนัก พรุ่งนี้ข้าจะเขียนจดหมายไปเล่าเรื่องนี้ให้ท่านพ่อฟัง ขอให้เขาเป็นคนตัดสิน ฮูหยินทุกท่านล้วนมีประสบการณ์มากกว่าข้า มองเรื่องราวได้กระจ่างชัด เรื่องในคืนนี้คงต้องขอให้พวกท่านช่วยวินิจฉัยอย่างยุติธรรมด้วยเจ้าค่ะ”

เดิมทีฮูหยินทั้งหลายไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของสองตระกูล แต่พอได้ยินเถิงอวี้อี้ยืนกรานว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้เถิงเซ่าฟัง เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ยอมให้สกุลต้วนกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปเฉยๆ เถิงเซ่าเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่ง ท่าทีของแม่ทัพน้อยต้วนที่แสดงออกมาในคืนนี้ก็ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ พวกนางไม่อาจแสร้งปล่อยผ่านไปทั้งที่รู้แก่ใจดีได้ จึงรีบเอ่ยตอบว่า “ช่างน่าเห็นใจ เพิ่งจะมาถึงฉางอันก็พบเจอเรื่องมากมายเช่นนี้ พวกเราเข้าใจดี คุณหนูเถิงต้องลำบากแล้ว”

ต้วนหนิงหย่วนสีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียว

ต้วนเหวินอินทั้งหงุดหงิดทั้งอับจนปัญญา มองภายนอกเด็กสาวอย่างอวี้เอ๋อร์ยังอ่อนต่อโลก ทว่านิสัยกลับเด็ดขาดถึงเพียงนี้ คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เรื่องการถอนหมั้นถูกกำหนดไปเรียบร้อย

ต่อจากนี้จะทำเช่นไรดีเล่า ต้วนหนิงหย่วนทำตัวเลอะเลือนต่อหน้าธารกำนัล ถึงแม้อยากช่วยปกปิดก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เรื่องวุ่นวายมาถึงขั้นถอนหมั้น ความผิดพลาดทุกอย่างตกอยู่ที่น้องชายของนางทั้งสิ้น คืนนี้พอออกจากหอจื่ออวิ๋น พรุ่งนี้ข่าวลือคงแพร่สะพัดไปทั่วฉางอันแน่นอน

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 2566)

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: