บทที่ 62
ภายในวังจวิ้นอ๋องแขกเหรื่อที่นั่งอยู่ต่างได้ยินเสียงขลุ่ยลอยมาจากอีกฟากกำแพง ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างเลือนราง
องค์รัชทายาทเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่สักพัก ก็ผงกศีรษะพลางว่า “ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยต้องฝึกฝนมาเป็นสิบปี เพียงแต่คนผู้นี้ไม่มีกำลังภายในอยู่เลย ไม่อย่างนั้นคงไล่ตามเสียงพิณของท่านอาได้แล้ว”
ฉุนอันจวิ้นอ๋องกดสายพิณเอาไว้ “วันนี้ใครมาชมดอกไม้ในอารามหรือ”
พ่อบ้านกล่าวรายงาน “ได้ยินว่าคุณหนูบุตรสาวอู่หรูอวิ๋นจัดงานชมบุปผาในอารามขอรับ ผู้ที่ได้รับเชิญมีไม่น้อย มีคุณหนูรองบุตรสาวมุขมนตรีเจิ้ง คุณหนูบุตรสาวแม่ทัพเถิง…”
องค์รัชทายาทตะลึงงันไปชั่วขณะ ครั้งก่อนตอนอยู่ที่คฤหาสน์เล่อเต้าเขาอยากเห็นว่าบุตรสาวแม่ทัพเถิงหน้าตาเป็นเช่นไร จนใจที่วันนั้นคุณหนูเถิงเกิดผื่นลมขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าภายหลังก็มิได้เก็บมาใส่ใจ คาดไม่ถึงว่าวันนี้คุณหนูเถิงจะอยู่ในอารามข้างเคียง
จะว่าไปแล้วช่างประจวบเหมาะนัก หากมิใช่เพราะเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดเป็นเหตุ เขาก็คงไม่ได้รู้ข่าวนี้แล้ว
เดินไปดูสักหน่อยดีหรือไม่นะ แต่แล้วเขาก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า ต่อให้สนใจคุณหนูเถิงเพราะแม่ทัพเถิง ก็ไม่สมควรทำอะไรผลีผลาม
องค์รัชทายาทคิดเช่นนี้และหลงลืมมันไปอย่างรวดเร็ว
ฉุนอันจวิ้นอ๋องไม่ซักถามมากความ เพียงก่อนจะเริ่มบรรเลงพิณอีกครั้งก็เหลือบมองพ่อบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแวบหนึ่ง
พ่อบ้านเข้าใจทันที วันนี้บัณฑิตที่มาร่วมงานเลี้ยงที่วังจวิ้นอ๋องตามนัดหมายมีไม่น้อย จะต้องมีพวกเสเพลเหลวไหลปะปนอยู่หลายคน ได้ยินว่าวันนี้มีคุณหนูทั้งหลายมาที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจิน หากใครเกิดความคิดไม่ดีเข้าคงแย่แน่ จวิ้นอ๋องครองตัวสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมไม่อยากเห็นแขกคนใดมีพฤติการณ์กำเริบเสิบสานอยู่แล้ว
จวิ้นอ๋องต้องการให้เขาป้องกันในจวนเอาไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่มีใครไปล่วงเกินแขกสตรีในอารามข้างเคียงเข้า
พ่อบ้านพยักหน้ารับรู้ แล้วถอยออกไปเตรียมการ
ในสวนป่าท้อเด็กสาวบางคนไกวชิงช้า บางคนดื่มด่ำกับน้ำชา บางคนแข่งดึงดอกไม้…เล่นกันอย่างมีความสุข ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงมีเด็กสาวบางส่วนทยอยออกจากที่นั่งไปห้องสุขา
เถิงอวี้อี้กำลังแข่งดึงต้นหญ้ากับหลิ่วซื่อเหนียงอย่างสนุกถึงใจ พอเห็นตู้ถิงหลันทำท่าจะลุกจากที่นั่ง จึงหันไปโบกมือให้หลิ่วซื่อเหนียงพร้อมเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ เอาไว้กลับมาค่อยเล่นอย่างอื่นกันเถอะ”
นางกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ขณะวางกิ่งดอกไม้ลง จากนั้นยกชายกระโปรงเดินตามตู้ถิงหลันไป
ตู้ถิงหลันหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เถิงอวี้อี้ “ดูเจ้าสิ แค่แข่งดึงดอกไม้ก็ทำเอาเหงื่อออกเต็มหน้าผากแล้ว”
เถิงอวี้อี้เช็ดเหงื่อเรียบร้อย ถือโอกาสดึงแขนตู้ถิงหลันให้มองไปไกลๆ ทางต้นอิ๋นซิ่งสองต้นนั้น น่าเสียดายเวลาคนกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ระยะการมองเห็นจึงถูกจำกัด พอมองไปเช่นนี้เหมือนจะมองอะไรไม่ออกแล้ว
ตู้ถิงหลันมองตามสายตาของน้องสาวไป “กำลังดูสิ่งใดอยู่หรือ”
“พี่สาว ท่านไม่รู้สึกว่าต้นอิ๋นซิ่งสองต้นนั้นมองดูคล้ายๆ ‘ทหารองครักษ์’ สองนายที่คอยปกป้องอารามแห่งนี้หรือ”
ตู้ถิงหลันเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างงุนงง ต้นอิ๋นซิ่งมีอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งตระหง่านครองพื้นที่ทิศตะวันออกและตะวันตกสองฝั่ง ยามสายลมพัดโชยมา กระทั่งเสียงใบไม้สั่นไหวยังหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าต้นไม้ต้นอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“วัดพุทธกับอารามเต๋าชอบปลูกต้นอิ๋นซิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มีอะไรผิดปกติกันเล่า” นางเอ่ยถามยิ้มๆ
เถิงอวี้อี้อธิบาย “หากไม่มีป่าท้อที่อยู่ตรงกลางผืนนี้ต้นอิ๋นซิ่งคงไม่มีอะไรพิเศษ แต่พี่สาวท่านดูสิ ต้นอิ๋นซิ่งสองต้นกับป่าท้อต่างมีระยะห่างกันอย่างพอดีไม่ขาดไม่เกินเลยสักนิด ดุจ ‘หยางเหยา’ ในลักษณะกว้าที่อยู่ๆ ก็ถูกป่าท้อผ่าออกเป็น ‘อินเหยา’ หรือไม่ ลองหันมองป่าท้ออีกครั้งต้นไม้ดอกไม้รกครึ้มถึงเพียงนี้ ดอกไม้ตามกิ่งก้านเหนือศีรษะเกี่ยวพันเหนียวแน่น ซ้อนทับเป็นชั้นๆ เรียงรายกันลงมา มองดูราวกับเส้นหยางเหยาตามธรรมชาติอยู่บ้าง สองฟากฝั่งของผืนป่าเป็นอินเหยา ป่าท้อตรงใจกลางเป็นหยางเหยา แผนผังเช่นนี้มองผิวเผินคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันดูเหมือนต้ากั้วกว้าที่หมายถึง ‘มากเกินขอบเขต’ ”
ตู้ถิงหลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด นางคิดถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับอารามแห่งนี้ซึ่งคุณหนูทั้งหลายเพิ่งจะพูดคุยกันไปเมื่อครู่ แววตาอดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา จึงมองตำแหน่งของต้นอิ๋นซิ่งกับป่าท้อ แล้วหันหน้าไปเพ่งมองทิศทางด้านหลังตนเองอีกรอบ “หากเป็นต้ากั้วกว้า ทางเข้าทิศใต้ควรจะมีเส้นอินเหยาสองเส้นวางไว้เพื่อขานรับกันถึงจะถูกสิ แต่ตอนพวกเราเดินเข้าอารามมาก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีต้นอิ๋นซิ่งที่หน้าประตูใหญ่เลย”
เถิงอวี้อี้เอ่ยว่า “หลังประตูใหญ่ไม่ได้ปลูกต้นอิ๋นซิ่ง แต่พี่สาวอย่าลืมสิ ประตูอารามสองฝั่งต่างมีภูเขาจำลองสูงใหญ่กว่าปกติสองลูก หน้าภูเขาจำลองยังปลูกต้นสนสูงเสียดฟ้าไว้ตั้งเด่นอยู่ทางทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกคนละมุม แล้วก็มองเห็นจากที่ไกลๆ ได้ด้วย เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นเส้นอินเหยาสองเส้นทางทิศใต้พอดีหรือ”
ในสมองตู้ถิงหลันผุดภาพความทรงจำเลือนราง แต่จำได้ไม่แม่นยำอย่างน้องสาว นางยิ้มอย่างจนปัญญา “พี่สาวจำไม่ค่อยได้แล้ว ในสมองน้อยๆ ของเจ้านี่นะ ชอบคิดเยอะกับเรื่องแปลกพิลึกพวกนี้เสมอ”
เดิมทีเถิงอวี้อี้ไม่อยากคิดเยอะกับเรื่องเหล่านี้ ทว่าขอเพียงคิดถึงคนเสื้อคลุมดำที่ยังไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง นางก็ไม่อาจคลายความหวาดระแวงลงได้เลย ไม่ว่าเดินทางไปที่ใดนางจะคุ้นชินกับการสังเกตแผนผังของสภาพแวดล้อมโดยรอบก่อนเสมอ
ตู้ถิงหลันเหลียวมองไปรอบกาย “ปีนั้นองค์หญิงอวี้เจินเชิญยอดฝีมือตั้งมากมายมาสร้างอารามแห่งนี้ นอกอารามจะมีกลไกลับก็เป็นเรื่องปกติ ถึงแม้วิธีการปลูกป่าท้อกับต้นอิ๋นซิ่งจะซับซ้อนพิสดาร แต่ก็ใช่ว่าจะมองอะไรไม่ออกเลย ข้ากลับรู้สึกว่ากลไกของอารามไม่มีทางเปิดเผยโจ่งแจ้ง ยอดฝีมือเหล่านั้นจงใจวางลักษณะของต้ากั้วกว้าให้เราเห็น ไม่แน่ว่าอาจทำเพื่อให้คนสับสนงุนงง บางทีกลไกที่แท้จริงในอารามอาจจะซุกซ่อนอยู่ที่อื่น”
เถิงอวี้อี้พยักหน้าตอบ คำพูดประโยคนี้มีเหตุผล ว่ากันว่าองค์หญิงอวี้เจินสนใจศึกษาวิชาฉีเหมินตุ้นจย่า* ความปรารถนาแต่เดิมตอนสร้างอารามเต๋าแห่งนี้ขึ้นมาคือเพื่อเป็นสถานที่ไว้ปักหลักหลบภัยยามเกิดความเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง ในเมื่อองค์หญิงรวบรวมยอดฝีมือร่วมร้อยคนมาช่วยออกอุบายวางกลยุทธ์ จะมีเพียงแผนผังธรรมดาสามัญเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ถึงกระนั้นนางยังรู้สึกตงิดใจว่าไม่ถูกต้อง แม้อารามนักพรตหญิงอวี้เจินจะมีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน กลับไม่ได้ครอบครองพื้นที่กว้างขวางมากเท่าไร ปลูกป่าท้อผืนใหญ่ถึงเพียงนี้เอาไว้เพียงเพื่อดึงดูดนักเดินทาง จะไม่สิ้นเปลืองเกินไปสักหน่อยหรือ
ตามความเห็นของนางการวางแผนผังเช่นนี้คงจะมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่อีก
ระหว่างบทสนทนาก็เดินมาถึงห้องสุขา ตู้ถิงหลันเดินเข้าไปจุดกำยานและเข้าห้องสุขา เถิงอวี้อี้ตั้งใจจะดูแผนผังในอารามอย่างละเอียดจึงออกสำรวจไปทั่วบริเวณ นอกราวกั้นระเบียงทางเดินมีธารน้ำใสกระจ่างวนรอบขั้นบันได ดอกเสาเย่าหลายต้นกำลังบานสะพรั่ง นางเดินอ้อมกำแพงเรือนขนาดเล็กไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนกกระทาร้องดังหลายเสียงจากบนกำแพงที่ห่างไปไม่ไกล พลันรับรู้อยู่ในใจว่าตวนฝูเข้ามาได้แล้ว คิดว่าต่อจากนี้ไม่ว่าจะเดินไปถึงที่ใด ก็จะมีตวนฝูคอยติดตามมา นางจึงยิ่งวางใจ
เถิงอวี้อี้เดินไปอีกระยะหนึ่ง มองเห็นข้างทางมีภูเขาจำลองโผล่ขึ้นมา ด้านข้างมีหน้าต่างวงจันทร์โผล่มาบานหนึ่ง กิ่งไผ่สีเขียวมรกตหลายกิ่งยื่นพ้นหน้าต่าง บรรยากาศแถวนี้เงียบสงบ ไม่มีนักพรตหญิงเดินผ่านไปมาสักคน นางลอบคาดเดาว่าข้างในจะต้องมีความลับสำคัญอะไรซ่อนอยู่ จึงย่างเท้าเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
นับตั้งแต่ฝึกวรยุทธ์มาจนถึงตอนนี้นางเคยฝึกฝนกำลังภายในเพียงตอนที่เรียนเพลงกระบี่ดอกท้อเท่านั้น ส่วนวิชาอื่นอย่างเพลงกระบี่พิชิตภัยที่ลุงเฉิงสอนหรือเพลงกระบี่เร้นกายาที่ห้านักพรตสอนไปได้ครึ่งทางล้วนเป็นการเร่งรีบฝึกฝนให้สำเร็จ โดยมิได้ฝึกเกี่ยวเนื่องไปถึงส่วนเคล็ดวิชากำลังภายในเลย
ฉะนั้นทุกครั้งเวลานางโคจรกำลังภายในจะโคจรตามแนวทางของเพลงกระบี่ดอกท้อโดยไม่รู้ตัว
อะไรนะ ‘ใจไม่ฟุ้งซ่าน ลมไม่พัดไป’…
แล้วก็ ‘เท้าซ้ายตามอิน เท้าขวาตามหยาง’…
ใจความเหล่านี้เป็นเคล็ดวิชาที่ลิ่นเฉิงโย่วสอนนาง นางท่องจำได้ขึ้นใจไปนานแล้ว รวมถึงช่วงนี้มีเวลาว่างก็หมั่นฝึกฝน พอเปรียบเทียบกับตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ ยามใช้กำลังภายในจะคล่องแคล่วกว่าเดิม ทั้งที่เหยียบลงบนเศษใบไม้ดอกไม้เกลื่อนพื้นกลับไม่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเลย
เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าน่าสนุกเหลือเกิน นางจึงยิ่งรวบรวมสมาธิโคจรพลัง อยู่ๆ ก็นึกถึงตอนตวนฝูสอนวิชาการต่อสู้ประชิดตัวให้นางเมื่อสองวันก่อน ในขณะเดียวก็เริ่มสอนเคล็ดวิชากำลังภายในไปด้วย ทว่าผ่านไปเพียงสองกระบวนท่าตวนฝูก็เผยสีหน้าแปลกประหลาด ถามนางว่าตอนอยู่ในหอไฉ่เฟิ่งฝึกวิชาอะไรมากันแน่ ประหนึ่งว่าพลังปราณในร่างนางมีที่มาไม่ปกติ
ตอนนั้นนางนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ หลังกลับจากหอไฉ่เฟิ่งเป็นต้นมาร่างกายก็มีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเวลาเข้านอนสองเท้าไม่เย็นเฉียบ กระทั่งยามมีระดูก็ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว ทั่วร่างรู้สึกอุ่นสบาย มีเรี่ยวแรงให้ใช้ไม่หมดสิ้นตลอดทั้งวัน
จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นางไม่เพียงเรียนเพลงกระบี่ดอกท้อ ยังเคยดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงซึ่งกล่าวขานกันว่าน้ำแกงสมุนไพรชนิดนี้ช่วยเพิ่มกำลังภายในได้เจ็ดถึงแปดปี เช่นนั้นภายในร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ด้วยเหตุนี้จึงเล่าเรื่องที่ดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงให้ตวนฝูฟัง
ตวนฝูไม่ได้ถามอะไรต่ออีก แต่ความสงสัยที่ฉายชัดบนใบหน้าดูไม่ลดลงเลย
เถิงอวี้อี้ครุ่นคิดถึงสีหน้าตวนฝูในเวลานั้นพลางเดินไปถึงหน้าต่างวงจันทร์อย่างเงียบงัน พลันได้ยินว่ามีใครบางคนกระซิบกระซาบจากอีกฝั่งของหน้าต่าง เห็นได้ชัดว่าหลังกำแพงมีคนอยู่ และคาดว่าคนผู้นั้นคงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง การพูดจาถึงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดชะงัก
ตอนแรกเถิงอวี้อี้อยากเดินจากไป ทว่าเมื่อฟังออกว่าเป็นเสียงของพวกเผิงฮวาเยวี่ยสองพี่น้องฝีเท้าจึงหยุดลงอย่างกะทันหัน
ชาติก่อนบิดาถูกลอบสังหาร ผู้บงการเบื้องหลังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเผิงเจิ้น ต่อให้เรื่องของบิดาบุตรสาวอาจไม่รู้แน่ชัด แต่อาจได้ยินอะไรบางอย่างจากปากของเผิงฮวาเยวี่ยกับเผิงจิ่นซิ่วบ้างก็ได้
เถิงอวี้อี้เหลียวมองรอบกายอย่างว่องไว แล้วกลั้นลมหายใจไปซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาจำลอง
“พี่สาว ท่านจะขวางข้าด้วยเหตุใดกัน” นั่นเป็นเสียงของเผิงจิ่นซิ่ว
เผิงฮวาเยวี่ยมิได้ตอบกลับในทันควัน ราวกับต้องการยืนยันอีกครั้งก่อนว่ารอบข้างไร้ผู้คน รอประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ยินนางกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ก็ขวางไม่ให้เจ้าทำเรื่องโง่เขลาน่ะสิ”
เผิงจิ่นซิ่วพูดจาอ้ำอึ้งขึ้นมา “ข้า…ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย”
“ไม่ได้คิดจะทำอะไร ทางนั้นก็เป็นกำแพงทิศตะวันตกแล้ว เจ้าให้คนที่อยู่ข้างกายถอยออกไปหมด แล้วถือเหยี่ยวกระดาษ* เดินวนเวียนอยู่ตรงนี้ตามลำพัง ตั้งใจว่าจะฉวยโอกาสตอนลมโหมพัดแรงปล่อยเหยี่ยวกระดาษลอยขึ้นฟ้า ค่อยแสร้งทำพลาดร่วงหล่นเข้าไปในวังฉุนอันจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่”
“เหลวไหล” เผิงจิ่นซิ่วเผยความกระดากอายอยู่หลายส่วน “ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้เลยนะ”
“เมื่อคืนอยู่ๆ เจ้าก็สั่งซิ่งเอ๋อร์ให้ไปหาเหยี่ยวกระดาษมา พี่สาวรู้สึกว่าผิดปกติแล้ว หลายครั้งก่อนเวลาไปเดินเล่นรับฤดูใบไม้ผลิไม่เคยเห็นเจ้าอยากเล่นเหยี่ยวกระดาษ เหตุใดพอบอกว่าจะมาอารามนักพรตหญิงอวี้เจินเจ้าก็นึกอยากเล่นขึ้นมา เมื่อครู่ยังหาข้ออ้างว่ามาห้องสุขา ลอบหลบมาอยู่ที่นี่ผู้เดียว ในใจคิดอะไรอยู่ นึกว่าพี่สาวไม่รู้หรือไร จำได้ว่าทุกครั้งที่พวกท่านพ่อพูดถึงเรื่องในฉางอันเจ้ามักจะเลียบๆ เคียงๆ ถามข่าวเกี่ยวกับฉุนอันจวิ้นอ๋องอยู่เป็นประจำ ครั้งก่อนที่คฤหาสน์เล่อเต้าเจ้ายังลอบให้คนมอบของให้ฉุนอันจวิ้นอ๋อง เจ้าบอกพี่มา ตกลงว่าเจ้าเริ่มมีใจให้จวิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อใด”
เผิงจิ่นซิ่วอึกอักอยู่ชั่วครู่ แล้วพาลโกรธเคืองขึ้นมาทันใด “เหตุใดแม้แต่เรื่องนี้พี่สาวก็เข้ามาก้าวก่ายด้วยเล่า ข้าโตแล้วนะ จะตัดสินใจเองไม่ได้เลยใช่หรือไม่”
เผิงฮวาเยวี่ยกล่าวตัดบทน้องสาว “คนอื่นได้ทั้งนั้น ยกเว้นจวิ้นอ๋องผู้เดียวที่ไม่ได้”
“เพราะเหตุใดกัน” เผิงจิ่นซิ่วทั้งตกใจทั้งโมโห “จวิ้นอ๋องเขา…เขาเป็นถึงคนที่สง่างามดุจเทพเซียน ทั่วแผ่นดินไม่รู้ว่ามีเด็กสาวสักกี่คนอยากแต่งงานกับเขา พี่สาวยังจำได้หรือไม่ว่าสามปีก่อนพวกเรากับท่านพ่อและท่านแม่กลับมาฉางอันบังเอิญพบกับจวิ้นอ๋องหน้าประตูเหยียนซิง เวลานั้นย่างเข้าช่วงหนาวเหน็บที่สุดของฤดูกาล เกล็ดหิมะใหญ่เท่าขนห่านโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า จวิ้นอ๋องสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์นั่งอยู่บนหลังม้า เพิ่งกลับมาจากแถบชานเมืองพร้อมด้วยบ่าวไพร่ผู้ติดตาม พอได้ยินท่านพ่อส่งเสียงเรียกจวิ้นอ๋องก็ชักสายบังเหียนม้าหันหน้ากลับมา หลังจากครั้งนั้นข้าก็…บอกตามตรงแล้วกัน ข้าก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ชาตินี้ข้าจะต้องแต่งงานกับจวิ้นอ๋องผู้เดียวเท่านั้น”
เผิงฮวาเยวี่ยหลุดหัวเราะคิกออกมาประเดี๋ยวนั้น “เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน พูดจาเช่นนี้ไม่กลัวใครเขาหัวเราะเยาะเอาหรือ ขอเตือนเจ้าเอาไว้ อย่าเสียเวลาไปเปล่าๆ เลย ท่านพ่อท่านแม่ไม่มีวันยอมให้เจ้าแต่งงานกับจวิ้นอ๋องหรอก”
“เพราะเหตุใดกันเล่า!” เผิงจิ่นซิ่วแผดเสียงแหลมดังกว่าเก่า
“เบาๆ สักหน่อย เจ้าก็มัวสนใจแต่เล่นสนุกทั้งวัน ไม่เข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้จริงหรือ”
“ข้าไม่เข้าใจ! ข้ารู้เพียงว่าจวิ้นอ๋องเปี่ยมคุณธรรมมากความสามารถ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ข้าไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดดีไปกว่าเขาแล้ว ข้า…ข้าแค่กลัวว่าจวิ้นอ๋องจะไม่ชายตาแลข้า”
“เจ้าลองคิดดูนะ จวิ้นอ๋องปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยตกลงหมั้นหมาย อย่าลืมสิ มารดาผู้ให้กำเนิดจวิ้นอ๋องจากไปเมื่อห้าปีก่อน เขาไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์* ต่อมาตั้งนานแล้ว”
เถิงอวี้อี้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ครั้งก่อนพอท่านป้าเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร น่าเสียดายนางไม่ทันถามให้ได้กระจ่าง ท่านป้าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างแนบเนียน
เผิงจิ่นซิ่วเอ่ยถาม “จวิ้นอ๋องไม่ยอมตกลงหมั้นหมายส่งเดช เรื่องนี้ไม่ถูกต้องตรงที่ใดกัน นี่ไม่เท่ากับพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนจริงใจไม่เห็นแก่ผลประโยชน์หรือ”
เสียงฝีเท้าหลังกำแพงดังขึ้นกะทันหัน คนหนึ่งในนั้นดูท่าจะเดินจากไป
“พี่สาว ท่านห้ามไปนะ! วันนี้ไม่พูดออกมาให้รู้เรื่อง ท่านอย่าคิดจะไปที่ใดเลย”
เสียงฝีเท้าหยุดชะงักลงอีกครั้ง ก่อนเสียงถอนหายใจของเผิงฮวาเยวี่ยจะดังขึ้น “ช่างเถอะ ข้าจะพูดกับเจ้าให้เข้าใจเอง เผื่อต่อไปเจ้าจะได้ไม่ทำเรื่องเลอะเลือนอะไรอีก เจ้าคงรู้จักชุยซื่อมารดาผู้ให้กำเนิดจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่ ตอนยังมีชีวิตอยู่นางถูกกักบริเวณอยู่หลายปีเลยเชียว พระชายาของชินอ๋องผู้ทรงเกียรติผู้หนึ่งตกต่ำถึงขั้นนี้ได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”
“ก็แค่ชุยซื่อทำเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรไว้น่ะสิ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับจวิ้นอ๋องด้วยเล่า”
“ก่อนเกิดเรื่องชุยซื่อเคยร่วมมือกับชายคนรักที่บ้านเดิมของตนเองวางแผนทำร้ายบุตรชายคนโตของหลันอ๋องผู้เฒ่า เรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ ได้ยินว่าตอนนั้นพอท่านอ๋องตรวจสอบดูพบว่าที่แท้ก่อนชุยซื่อจะให้กำเนิดจวิ้นอ๋องก็ติดต่อไปมาหาสู่กับชายคนรักแล้ว…หลันอ๋องผู้เฒ่าลำเอียงรักบุตรชายคนรองหมิ่นหลางหรือฉุนอันจวิ้นอ๋องในตอนนี้มากกว่า เรื่องนี้ผู้คนทั่วฉางอันต่างรู้กันดี ผลปรากฏว่าหลังชุยซื่อเกิดเรื่อง หลันอ๋องผู้เฒ่าก็เย็นชาต่อจวิ้นอ๋องขึ้นมาก ทุกคนต่างพูดกันว่าจวิ้นอ๋องอาจจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของหลันอ๋องผู้เฒ่า…”
ข้างใบหูเถิงอวี้อี้มีเสียงลั่นอื้ออึง
“ท่านพูดจาเหลวไหล!” เห็นได้ชัดว่าเผิงจิ่นซิ่วก็ตกตะลึง
“ได้ ข้าพูดจาเหลวไหล แต่เจ้าลองคิดดู เวลาขุนนางใหญ่ผู้มีอำนาจในเมืองหลวงเลือกคู่ครองให้บุตรสาว เพราะเหตุใดกลับไม่เคยนึกถึงจวิ้นอ๋อง มุขมนตรีเจิ้งยอมเลือกหลูจิ้นซื่อที่มาจากครอบครัวยากจนข้นแค้น ไม่เคยแสดงท่าทีอยากเกี่ยวดองกับวังจวิ้นอ๋อง ว่ากันตามหลักแล้วจวิ้นอ๋องฐานะสูงส่ง อีกทั้งถึงวัยมีคู่ครองแล้ว พูดไปพูดมาก็เป็นเพราะทุกคนยังคลางแคลงใจกับเรื่องในอดีต หลายปีมานี้เฉิงอ๋องสองสามีภรรยากับฝ่าบาทก็ดีต่อจวิ้นอ๋องดุจญาติสนิทร่วมสายเลือด ฝ่าบาทถึงขั้นรีบพระราชทานวังและเขตศักดินาให้จวิ้นอ๋องแต่เนิ่นๆ เพื่อสยบข่าวลือพวกนั้น แต่ทรงทำถึงเพียงนี้แล้วก็ยังปัดเป่าความสงสัยของผู้คนไปไม่ได้อยู่ดี”
หลังกำแพงเงียบเสียงลงไปประเดี๋ยวหนึ่ง เมื่อเผิงจิ่นซิ่วเอ่ยปากอีกครั้งน้ำเสียงก็เจือแววสั่นไหว “น่าขำ! น่าขำสิ้นดี! คนพวกนี้เสียสติไปแล้วหรือไร คำพูดเลื่อนลอยพรรค์นี้ยังกล้าลือกันส่งเดช จะว่าไปแม้แต่ฝ่าบาทกับเฉิงอ๋องยังไม่เชื่อข่าวลือ ไยข้าต้องเชื่อด้วยเล่า”
“เฮ้อ…‘คำคนหลอมละลายโลหะได้ ข่าวลือชวนให้หวาดหวั่น’ ถึงแม้ข่าวลือจะสกปรกโสมมอย่างที่สุด แต่กลับเป็นอาวุธทำร้ายคนได้เจ็บปวดที่สุดใต้หล้านี้ เจ้าลองดูเอาเถอะ นี่ไม่ใช่เพราะพระราชอำนาจยังปิดปากคนไม่ได้หรือ มิหนำซ้ำข่าวลือนี้ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือไม่ได้เสียทั้งหมด เจ้าดูหน้าตาของจวิ้นอ๋องสิ ไม่เหมือนกับลิ่นเซี่ยวพี่ชายคนโตของเขาสักนิดเลยใช่หรือไม่”
“บางทีจวิ้นอ๋องอาจหน้าตาคล้ายมารดาก็ได้กระมัง พี่สาว เหตุใดท่านไม่ดูตนเองบ้าง ข้ากับท่านแม้จะเป็นฝาแฝดกัน หน้าตายังไม่เหมือนกันไปเสียทุกส่วนเลย!”
“เจ้าจะตะโกนใส่ข้าไปเพื่ออะไร พี่สาวพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไม่ใช่เพราะหวังดีกับเจ้าหรือ เจ้ารอดูไปเถอะ อีกไม่กี่วันสำนักศึกษาจะเปิดอีกครั้งแล้ว ในบรรดาบุตรหลานเชื้อพระวงศ์คนที่อายุมากที่สุดคือจวิ้นอ๋อง พอล่วงเลยมาจนปีนี้องค์รัชทายาทกับเฉิงอ๋องซื่อจื่อก็เข้าสู่วัยมีคู่ครองแล้วด้วยซ้ำ ถึงเวลาเจ้ามองดูศิษย์หญิงพวกนั้นในสำนักศึกษา โดยเฉพาะพวกที่ฐานะตระกูลรุ่งโรจน์สักหน่อย ใครต่อใครก็หมายตาเพียงองค์รัชทายาทกับเฉิงอ๋องซื่อจื่อกันหมดใช่หรือไม่เล่า ส่วนสาเหตุของเรื่องนี้เจ้าก็คิดอยู่ที่นี่ต่อไปเองแล้วกัน!”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง ที่สำคัญยังชัดเจนว่าทั้งรวดเร็วและร้อนรน ดูท่าคราวนี้เผิงฮวาเยวี่ยเดินจากไปแล้วจริงๆ เผิงจิ่นซิ่วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับแง่งอนใครอยู่ ผ่านไปพักหนึ่งในที่สุดก็กระทืบเท้าอย่างอดไม่ไหว รีบร้อนจากไปเช่นกัน
เถิงอวี้อี้มั่นใจแล้วว่าโดยรอบไม่มีใครอื่น จึงเดินออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลองเงียบๆ นึกในใจว่าป่านนี้พี่สาวคงกำลังตามหานางอยู่ แต่เป็นไปได้ว่าถูกตวนฝูขัดขวางเอาไว้ นางจึงรีบเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม ทว่าบทสนทนาเหล่านั้นของพี่น้องสกุลเผิงยังคงลอยมาเข้าหัวมาเป็นระยะ
ที่แท้ฉุนอันจวิ้นอ๋องต้องแบกรับข่าวลือเลวร้ายปานนั้นเอาไว้…จำได้ว่าชาติก่อนจวิ้นอ๋องไม่เคยหมั้นหมายกับผู้ใด หรือว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้
นางไม่เคยรู้จักกับเฉิงอ๋องลิ่นเซี่ยวมาก่อน แต่ดูจากท่าทีของลิ่นเฉิงโย่วเขาไม่เก็บข่าวลือนี้มาใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด มิฉะนั้นไม่มีทางใกล้ชิดสนิทสนมกับฉุนอันจวิ้นอ๋องถึงเพียงนี้แน่ ทั้งยังเรียกขานว่า ‘ท่านอา’ ติดปากอยู่ตลอด
ถึงกระนั้นจากบทสนทนาของสองพี่น้องสกุลเผิงเมื่อครู่ เผิงฮวาเยวี่ยเพียรเกลี้ยกล่อมน้องสาวให้ตัดใจจากจวิ้นอ๋องไปเสีย ทว่าก็เผยความตั้งใจของตนอยู่กลายๆ ว่าต้องการแต่งงานกับองค์รัชทายาทหรือเฉิงอ๋องซื่อจื่อเท่านั้นออกมา สองสาวพี่น้องเร่งรีบวางแผนเรื่องการแต่งงานเช่นนี้ ดูท่าคงไม่รู้แน่ชัดว่าบิดาตนเองเตรียมลงมือก่อกบฏ
เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญขณะเดินอ้อมภูเขาจำลอง ก่อนจะเห็นตู้ถิงหลันที่กำลังมองหาไปทั่วอยู่หน้าเรือนหลังเล็กอย่างร้อนรนตามที่คาดการณ์ไว้
เถิงอวี้อี้กลัวว่าจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกเคลือบแคลงใจ นางเจตนาวนอ้อมบันไดหินที่มีสายน้ำรายล้อมไป สุดท้ายเดินทะลุผ่านพุ่มดอกไม้ เร่งฝีเท้าเดินไปหาตู้ถิงหลัน
ตู้ถิงหลันถอนหายใจโล่งอก “เจ้าไปที่ใดมา ข้าอยากไปตามหาเจ้า กลับเห็นตวนฝูอยู่ทางโน้นหันมาขยิบตาให้ข้า”
“ข้าอยากรู้เรื่องกลไกในอาราม จึงเดินไปสำรวจทางนั้นสักหน่อย” เถิงอวี้อี้คล้องแขนตู้ถิงหลันไว้ ก่อนลดเสียงลงกระซิบบอกว่า “บังเอิญไปพบสองพี่น้องสกุลเผิงโต้เถียงกันอยู่”
ตู้ถิงหลันก็อยากรู้บ้าง “พวกนางสองคนโต้เถียงเรื่องใดกันอยู่หรือ”
“ความจริงก็ไม่ได้โต้เถียงดุเดือดอะไร เพียงมีปากเสียงกันไม่กี่คำเท่านั้น” ข่าวลือเหลือทนเหล่านั้นนางคร้านจะเอามาเผยแพร่ต่อ
ตู้ถิงหลันไม่ชอบสืบเสาะเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่คิดจะซักถามรายละเอียดต่อ เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “ใกล้ถึงยามอู่แล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นนักพรตหญิงหลายคนยกกล่องอาหารเดินตรงไปทางห้องโถงอวิ๋นฮุ่ย คิดว่าคงจะเริ่มกินอาหารกันในไม่ช้านี้แล้ว…”
พวกนางเพิ่งจะกลับมาถึงป่าท้อ พวกหลี่ไหวกู้กับอู่ฉี่พลันเดินออกมาจากในป่า มองเห็นพวกนางก็ยิ้มทัก “กำลังตามหาพวกเจ้าสองคนอยู่พอดี ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว อาหารเจที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินเป็นที่หนึ่งในฉางอัน หากพวกเจ้ายังไม่กลับมา ระวังพวกเราจัดการสุราอาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงไปก่อนเล่า เอ๊ะ คุณหนูใหญ่เผิงกับคุณหนูรองเผิงเล่า”
เถิงอวี้อี้แปลกใจเล็กน้อย เผิงฮวาเยวี่ยกับเผิงจิ่นซิ่วเดินกลับมาเร็วกว่านางเสียอีก ตามหลักสมควรกลับมาถึงป่าท้อนานแล้ว
“หรือว่าจะไปชมทิวทัศน์ตรงมุมอื่นแล้ว”
อู่ฉี่ไม่เก็บมาใส่ใจนัก “ข้าจะให้สาวใช้ออกไปตามหาดู”
คุณหนูทั้งหลายเดินไปด้วยกันเป็นกลุ่ม คุยเล่นกันระหว่างเดินกลับไปห้องโถงอวิ๋นฮุ่ย ไหนเลยจะคาดคิดว่าเดินไปได้ไม่ไกล จู่ๆ บนท้องฟ้าก็สว่างวาบ ทุกคนไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เหนือศีรษะก็มีเสียงคำรามลั่นกึกก้อง
เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวจนน่าตกใจ ประหนึ่งสั่นสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณคนได้ในพริบตา คุณหนูผู้มีนิสัยขลาดกลัวหลายคนตกใจกรีดร้องเสียงแหลม ส่วนคนอื่นที่เหลือแม้ไม่ได้ส่งเสียงสักคำแต่สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
ตู้ถิงหลันหวาดกลัวจนดึงเถิงอวี้อี้มาอยู่ข้างกายตนเอง เถิงอวี้อี้จ้องมองท้องฟ้าไม่ละสายตา
อู่ฉี่ที่เป็นคนใจกล้าที่สุดยังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พอเงยหน้ามองเหนือศีรษะจึงค่อยเอ่ยว่า “วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว ข้าโตมาจนป่านนี้เพิ่งเคยเห็นสายฟ้าผ่าเปรี้ยงในวันที่อากาศสดใส…”
หลังสายฟ้าชวนตื่นตะลึงผ่านไปแล้ว ท้องฟ้าก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว เด็กสาวทั้งหลายยืนนิ่งอยู่สักพัก ก็ค่อยๆ คลายความหวาดระแวงลง
แต่ความกังวลในใจของเถิงอวี้อี้หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมไปทุกขณะ ราวกับต้องการยืนยันลางสังหรณ์ที่มี นางไม่ทันย่างเท้าไปที่ใด กระบี่เสี่ยวหยาในแขนเสื้อก็ร้อนผ่าวอย่างไม่คาดคิด
เถิงอวี้อี้ใจเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา รีบบอกกับทุกคนว่า “ตรงนี้มีอะไรแปลกๆ รีบไปเร็ว”
นางกล่าวพร้อมดึงมือตู้ถิงหลันวิ่งไปข้างหน้า ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ก็มองเห็นนอกเรือนมีนักพรตหญิงกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาอย่างร้อนใจ ผู้ที่เดินนำหน้าเป็นท่านเจ้าอารามพอดี
เจ้าอารามคล้ายว่าตกใจเพราะสายฟ้าประหลาดนี้เช่นกัน จึงไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์อันสง่างามอีกแล้ว ตะโกนเสียงดังใส่พวกนางมาแต่ไกล “ท้องฟ้ามีปรากฏการณ์ประหลาด สีกาทั้งหลายรีบตามข้าออกจากอารามก่อนเร็วเข้า!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไปแล้วทั่วบริเวณก็มีพายุฝนฟ้าคะนองก่อตัวขึ้นระลอกหนึ่งอย่างกะทันหัน ลมพายุคลั่งหอบเอาหยาดฝนเม็ดใหญ่มาด้วย เทโครมลงมาใส่พวกนางอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เถิงอวี้อี้ตั้งใจจะวิ่งไปทางฝั่งตรงข้าม กลับมิอาจย่างเท้าไปได้สักก้าวเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าลมพายุและสายฝนจะสงบลง นางปาดหยาดฝนที่เกาะพราวบนขนตาออกไปแล้วลืมตาขึ้น กลุ่มนักพรตหญิงที่เคยอยู่ตรงนั้นกลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
คุณหนูทั้งหลายกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งพลางวิ่งออกไปนอกลานกว้างอย่างตื่นตระหนกไร้ทิศทาง ทว่าพอวิ่งไปเรื่อยๆ หินปูพื้นสีเทาใต้ฝ่าเท้ากลับกลายเป็นพื้นหญ้าสีเขียวขจี ครั้นเหลียวมองรอบกายอย่างลนลานถึงสังเกตเห็นว่าพวกนางวิ่งย้อนกลับมาในป่าท้ออีกแล้ว
คราวนี้กระทั่งอู่ฉี่ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว นางหวาดกลัวจนกอดสหายสองสามคนข้างกายไว้ “เหตุใดถึงย้อนกลับมาอีกแล้ว เจ้าอารามเล่า จู่ๆ ก็หายตัวไปไร้ร่องรอยได้เช่นไร”
ตู้ถิงหลันน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เถิงอวี้อี้หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้นางมั่นใจกว่าสิบส่วนแล้วว่าแถวนี้จะต้องมีสิ่งชั่วช้าโผล่มาแน่ อย่าเพิ่งไปสนใจว่าตกลงเจ้าสิ่งนั้นเป็นตัวอะไร ต้องออกไปจากป่าท้อน่าพิศวงนี้ให้ได้โดยเร็วก่อน
ทว่านางยังไม่ทันสงบสติอารมณ์ครุ่นคิดแผนการรับมือ กระดิ่งเสวียนอินตรงข้อมือก็สั่นไหวขึ้นมา มิหนำซ้ำยังสั่นเร็วรัวและดุดันยิ่ง เหมือนอยากจะแตกเป็นเสี่ยงคาข้อมือนางเลยทีเดียว
เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าบริเวณลำคอขนลุกชัน ต่อให้เป็นมารผีดิบบุกมาครั้งนั้นกระดิ่งเสวียนอินก็ไม่เคยสั่นอย่างรุนแรงปานนี้ มารผีดิบก็ชั่วร้ายมากพอแล้ว ยังมีสิ่งชั่วร้ายที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่ามารผีดิบอีกหรือ
เดิมทีคุณหนูทั้งหลายตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นอย่างไม่ถูกกาลเทศะ ก็อดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ “กระดิ่งของใครกัน อย่าปล่อยให้มันสั่นสิ ข้ากลัวแทบแย่แล้ว”
หลี่ไหวกู้ที่ใบหน้าซีดขาวเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนหยุดชะงักประเดี๋ยวหนึ่งเมื่อกวาดสายตามองไปทางเถิงอวี้อี้ “น่าจะ…น่าจะมาจากคุณหนูเถิงนะ”
ต้วนชิงอิงกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ไม่ต้องสนใจกระดิ่งอะไรนั่นแล้ว พวกเจ้าเป็นอะไรไป มัวอ้ำอึ้งอยู่ด้วยเหตุใดเล่า พวกเรารีบหนีกันสิ”
คุณหนูทั้งหลายได้คำพูดประโยคนี้เตือนสติ จึงต่างช่วยกันฉุดดึงกันขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปนอกป่า
เจิ้งซวงอิ๋นรีบขวางหน้าทุกคนไว้ “ไม่ได้นะ ป่าท้อแห่งนี้มีบางอย่างผิดปกติ พวกเราอย่าเดินสะเปะสะปะอีกเลย อย่าลืมสิ เมื่อครู่พวกเราก็วิ่งออกไปไม่ได้”
นางฝืนรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็น ทว่าสีหน้ากลับย่ำแย่สุดขีด
“ใช่แล้ว นี่…นี่น่าจะเรียกว่าผีบังตา หากยังเดินพล่านเป็นแมลงวันไร้หัวมีแต่จะถูกกักขังอยู่ที่เดิมน่ะสิ”
“อย่างนั้นจะทำเช่นไรดี” คุณหนูหลายคนจำต้องชะงักฝีเท้า
ในยามนี้เองเริ่มมีคนร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังแล้ว
เถิงอวี้อี้หันหน้าไปทางนั้นทางนี้ทีเพื่อแยกแยะทิศทาง คนเช่นนางยิ่งอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายยิ่งคิดหาทางออกได้ยามคับขัน ในสายตาของนางป่าท้อที่อยู่รอบๆ ยังคงเป็นป่าท้อผืนนั้น ต้นอิ๋นซิ่งนอกป่าก็ยังเป็นต้นอิ๋นซิ่งต้นนั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดทุกสิ่งรอบตัวดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ นางพยายามแยกแยะทิศทาง ลองมองหาส่วนที่แตกต่างให้ชัดเจน คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เองจะมีเสียงก้องกังวานดังมาจากด้านหลัง
“สีกาทุกท่าน ขอถามสักหน่อยว่าเจ้าอารามอยู่ที่ใด”
คุณหนูทั้งหลายหันหน้าไปมอง จึงเห็นภิกษุท่าทางสุภาพเรียบร้อยยืนห่างออกไปไม่ไกล ดูแล้วมีอายุประมาณสี่สิบกว่าปีได้ สวมชุดผ้าไหมสีดำกับรองเท้าฟาง ใบหน้าฉายแววอบอุ่นอ่อนโยน รูปร่างสูงใหญ่ ผิวพรรณยังขาวสะอาดดั่งเนื้อน้ำเต้า
ตอนแรกในป่าท้อมีเพียงคุณหนูเหล่านี้กลุ่มเดียว อยู่ๆ ก็มีภิกษุตัวสูงใหญ่โผล่มาผู้หนึ่ง พวกนางอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินชื่อเสียงเลื่องลือทั้งใกล้ไกล ปกติมักจะมีภิกษุจากต่างเมืองที่ได้ยินชื่อเสียงแล้วมาเยี่ยมเยือน ยิ่งไปกว่านั้นภิกษุตรงหน้าดูจิตใจดีมีเมตตาอย่างแท้จริง คิดไปคิดมาก็เข้าใจว่าภิกษุรูปนี้ไม่ทันระวังบุกรุกเข้ามา พวกนางผู้หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงหวาดหวั่น “พวกเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าอารามหายไปที่ใดแล้ว”
อู่ฉี่มองสำรวจภิกษุรูปนี้อย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงสายฟ้าประหลาดคำรามหรือไม่”
ภิกษุมือซ้ายถือพัดสานเล่มหนึ่ง มือขวาอุ้มบาตรสำริดเอาไว้ โบกพัดในมือพลางคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “เพราะอาตมาเจอฟ้าแลบฟ้าร้องตอนเดินผ่านหน้าประตูอาราม ถึงต้องเข้ามาหลบฝนในนี้ ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดินวนไปวนมาก็มาถึงตรงนี้แล้ว เมื่อครู่สอบถามเบาะแสเจ้าอารามกับสีกาทั้งหลาย ก็เพราะอยากขอน้ำในอารามดื่มสักหน่อย”
คุณหนูทั้งหลายเห็นจีวรบนร่างเขาเปียกหยาดฝนเม็ดใหญ่ไม่น้อยเลย คงเพราะรุกล้ำเข้ามาด้วยความเข้าใจผิดเพราะคิดจะหลบฝนจริงๆ ยิ่งได้ฟังเขาพูดจาสุภาพมีมารยาท ข้อกังขาจึงลดลงไปหลายส่วน ‘ป่าท้อ’ น่าพิศวงผืนนี้กำลังทำให้พวกนางสับสนกระวนกระวาย เมื่อได้ภิกษุผู้มีใบหน้าเปี่ยมเมตตาอยู่เคียงข้าง กระทั่งความหวาดกลัวก็ลดน้อยลงไปมาก
อู่ฉี่เป่าปากโล่งอก ก่อนกล่าวกับภิกษุอย่างจริงใจว่า “ตอบท่านอาจารย์ตามตรง พวกเราหลงทางมาอยู่ตรงนี้ ในเมื่อท่านอาจารย์เดินเข้ามาในป่าท้อได้ คงจะทะลวงผ่านกลไกนี้ได้โดยไม่ตั้งใจ อย่างนั้นรบกวนท่านอาจารย์พาพวกเราออกไปตามเส้นทางเดิมด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ภิกษุยิ้มแย้มอารีดั่งพระพุทธองค์ เหลียวมองซ้ายขวาก่อนเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาตมาจำได้ว่าเดินมาจากทางนี้ เชิญสีกาทั้งหลายเดินตามอาตมาไปด้วยกัน”
ตู้ถิงหลันฉุดมือเถิงอวี้อี้ให้รีบตามไป ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ นางหันหน้ากลับไปมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นน้องสาวจ้องมองแผ่นหลังของภิกษุรูปนั้นเขม็ง บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อใหญ่เท่าเมล็ดถั่วผุดพราย
หัวใจตู้ถิงหลันพลันบีบรัดแน่น “เจ้าเป็นอะไรไป”
เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บอกใบ้ให้ตู้ถิงหลันดูกระดิ่งตรงข้อมือที่ยังสั่นไม่ยอมหยุด จากนั้นขยับปากบอกตู้ถิงหลันโดยไร้เสียงห้าคำ ‘มันคือสิ่งชั่วร้าย’
หนังศีรษะตู้ถิงหลันชาหนึบ ก่อนหน้านี้นางก็เคยสงสัย เพียงแต่ลักษณะท่าทางของภิกษุรูปนี้ทำให้คนเชื่อมโยงไปถึงปีศาจมารร้ายไม่ได้จริงๆ แต่กระดิ่งเส้นนี้ของน้องสาวเป็นของวิเศษจากอารามชิงอวิ๋น ไม่มีทางส่งสัญญาณเตือนอย่างไร้เหตุผลแน่
พอเห็นว่าเหล่าสหายพากันเดินตามไปหมดแล้วตู้ถิงหลันทั้งตกใจทั้งร้อนรน นางกุมมือเถิงอวี้อี้ไว้แน่น ก่อนขยับปากถามในความเงียบงัน ‘แล้วจะทำอย่างไรดี’
เถิงอวี้อี้สงบสติอารมณ์อย่างสุดกำลัง อย่างไรก็ตามต้องรู้เบื้องหลังของภิกษุรูปนี้ให้กระจ่างก่อนค่อยว่ากัน ด้วยเหตุนี้จึงลอบใช้นิ้วมือเคาะกระบี่เสี่ยวหยา ส่งสัญญาณให้ชายชราร่างเล็กออกมาโดยไว
ครั้งนี้การตอบสนองของเสี่ยวหยากลับรวดเร็วผิดปกติ แทบจะในทันทีที่นางเคาะด้ามกระบี่ในแขนเสื้อก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่นานเถิงอวี้อี้ก็สัมผัสได้ว่าบนแขนมีร่างเล็กๆ ยืนขึ้นมา น่าแปลกใจว่าพอเสี่ยวหยาออกมาแขนเสื้อของนางก็เริ่มสั่นเบาๆ
เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป สัมผัสได้ทันทีว่าขาสองข้างของเสี่ยวหยากำลังสั่นระริก
เรื่องนี้ทำให้นางหวาดผวาอย่างไม่มีเหตุผล ครั้งก่อนเมื่อมารผีดิบปรากฏตัว แม้เสี่ยวหยาจะทำตัวไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย ถึงกระนั้นก็ไม่เคยลืมตัวเสียกิริยา แต่ครั้งนี้เขากลับตกใจอย่างหนัก
ในชั่วอึดใจนั้นเสี่ยวหยาเขียนบางสิ่งบนแขนของนางอย่างรวดเร็ว เถิงอวี้อี้รวบรวมสมาธิจำแนกถ้อยคำ ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เสี่ยวหยาเขียนคือ ‘หมดกัน หมดกันแล้ว เป็นไน่จ้ง’
ชายชราร่างเล็กเขียนหนังสือขยุกขยิกไม่กี่คำลงบนแขนเถิงอวี้อี้ จากนั้นในแขนเสื้อก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเขาก็หนีกลับเข้ากระบี่ไปอีกแล้ว
เถิงอวี้อี้ถึงกับตะลึงงัน เจ้าพูดกับข้าให้รู้เรื่องก่อนแล้วค่อยไปสิ อะไรคือ ‘ไน่จ้ง’ แล้วเพราะเหตุใดถึงบอกว่า ‘หมดกัน’
ทว่านางเขย่ากระบี่เล่มเล็กของตนสักเพียงใด เป็นตายอย่างไรเสี่ยวหยาก็ไม่ยอมออกมาอีก นางอับจนหนทาง ได้แต่เงยหน้ามองแผ่นหลังของภิกษุ เขาเดินนำเด็กสาวเหล่านั้นไปได้สักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีทางออก
เถิงอวี้อี้จิตใจร้อนรุ่มสับสน ยังไม่เข้าใจเบื้องลึกของฝ่ายตรงข้ามก็ชิงลงมือมีแต่จะทำให้นางตายเร็วกว่าเดิมน่ะสิ
ไน่จ้ง? ไน่จ้งคือสิ่งใดกัน
คือผี คือปีศาจ หรือว่าคือมาร
ทำให้เสี่ยวหยาหวาดกลัวจนอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้ จะต้องไม่ใช่พวกสามัญไร้ชื่อเด็ดขาด
เถิงอวี้อี้ใช้ความคิดอย่างหนัก นางน่าจะเคยเห็นสองคำนี้จากที่ใดมาก่อน อยู่ๆ ก็นึกได้ว่าญาติผู้พี่อ่านตำนานอ้างอิงทางพระพุทธศาสนาบ่อยครั้ง ไม่แน่ว่าอาจรู้ที่มาของสองคำนี้ นางรีบเช็ดเหงื่อแล้วกระซิบข้างหูตู้ถิงหลัน “พี่สาวเคยได้ยินชื่อ ‘ไน่จ้ง’ บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
ตู้ถิงหลันนิ่งงันไปชั่วขณะ เหมือนกำลังทำความเข้าใจประโยคคำถามของเถิงอวี้อี้ ทันใดนั้นเมื่อนางเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่สีหน้ากลับซีดขาวขึ้นมาในพริบตา
นางรีบกระซิบตอบข้างหูเถิงอวี้อี้ “เป็น…เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งของฝ่ายพุทธ”
ลมหายใจเถิงอวี้อี้หอบหนักกว่าเดิมหลายส่วน มิน่าเล่าถึงได้คุ้นหูอยู่บ้าง นางคิดออกแล้ว ปีก่อนๆ ในงานลอยโคมช่วงเทศกาลอวี๋หลันเผิน* ตอนอยู่ที่เมืองหยางโจว นางเคยเห็นหุ่นกระบอกที่เขียนคำว่า ‘ไน่จ้ง’ สองคำนี้ตามตลาดกลางคืนอยู่หลายครั้ง
หุ่นกระบอกชนิดนี้มักมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหุ่นชนิดอื่น แววตาดุจสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ฟันน่ากลัวดั่งอาวุธคมกริบ ถึงแม้จะเป็นเดือนเจ็ดที่อากาศร้อนอบอ้าวเหลือทน แต่เวลามองเห็นหน้าตาโหดเหี้ยมดุดันของหุ่นกระบอกชนิดนี้ก็ยังทำให้แผ่นหลังรู้สึกเย็นยะเยือกได้ ใต้ฝ่าเท้าของมันจะต้องมีปีศาจร้ายรูปลักษณ์แปลกพิสดารสารพัดชนิดหมอบกราบอยู่เสมอ กระทั่งยักษ์ที่เป็นหนึ่งใน ‘ธรรมบาลทั้งแปด’** ตามหลักพุทธศาสนายังมีท่าทียอมศิโรราบต่อไน่จ้ง
หากบังเอิญเห็นหุ่นกระบอกเช่นนี้ในงานลอยโคมจะต้องจดจำได้อย่างแม่นยำแน่ เพราะหุ่นกระบอกไน่จ้งเท้าซ้ายเหยียบยักษ์กายสีเขียว เท้าขวาเหยียบยักษ์กายสีแดง พลังอำนาจยามชายตาแลภูตผีปีศาจทั้งปวงอย่างหยิ่งผยองเช่นนั้นทำให้คนอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง
ทว่ายิ่งครุ่นคิดถึงรูปร่างหน้าตาของหุ่นกระบอก ความเคลือบแคลงในใจเถิงอวี้อี้ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ตอนแรกนางก็ไม่อาจเชื่อมโยงภิกษุผิวพรรณขาวสะอาด กิริยาสุภาพน่าเชื่อถือตรงหน้า เข้ากับเจ้าแห่งภูตผีตามตำนานของพุทธศาสนาได้เลย หากว่ามันเป็นไน่จ้งจริงการจะทำร้ายคนไยต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ด้วย เพียงอ้าปากก็กลืนพวกนางลงท้องไปได้หมดแล้ว
นางเบิกตากว้างพร้อมกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ กวาดมองภิกษุตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหลายรอบ พอเหลือบไปเห็นพื้นรองเท้าของภิกษุ ความหวังที่หลงเหลืออยู่นั้นก็อันตรธานหายไปทันที
จะเปิดโปงมันตอนนี้เลยดีหรือไม่ นางคิดอย่างหวั่นใจ ไม่ได้การ มันกลายร่างเป็นภิกษุท่าทางใจดีมีเมตตา นำพวกนางเดินวนเวียนในป่าจะต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่
เถิงอวี้อี้นึกถึงกลอุบายที่มารผีดิบใช้กลั่นแกล้งคนขึ้นมาได้กะทันหัน
หรืออมนุษย์ตนนี้ก็มีนิสัยชอบทำอะไรแปลกๆ เช่นเดียวกับมารผีดิบ
ก่อนจะหาหนทางรับมือมันได้ หากผลีผลามเปิดโปงมัน รังแต่จะกระตุ้นความดุร้ายของมันหรือไม่
จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้อีกว่าเผิงฮวาเยวี่ยกับเผิงจิ่นซิ่วหายไป ไม่ใช่ว่าถูกภิกษุรูปนี้กินเข้าไปแล้วกระมัง พอมองดูสองมือกับริมฝีปากภิกษุยังสะอาดสะอ้าน ไม่คล้ายว่าเพิ่งจะกินคนมาแต่อย่างใด เช่นนั้นพี่น้องสกุลเผิงหายไปที่ใดกันเล่า
ทางเถิงอวี้อี้กำลังคิดฟุ้งซ่านไปไกล เหล่าคุณหนูก็ตั้งใจเดินตามภิกษุออกจากป่า เดินไปได้พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ เจิ้งซวงอิ๋นมองสำรวจโดยรอบแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ขอถามฝ่าซือ* ทางออกอยู่ข้างหน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุหยุดฝีเท้าหันกลับมามอง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอบอุ่นเช่นเดิม “อาตมาก็สับสนไปบ้าง จำได้ว่าทางออกอยู่ทางทิศตะวันออกนี่เอง สีกา ทิศตะวันออกอยู่ทางใดหรือ”
คำถามข้อนี้ตอบได้ไม่ยากเลย ต่อให้ถูกกักขังอยู่กลางป่าท้อ ขอเพียงเขย่งปลายเท้ากวาดสายตามองไป ก็จะมองเห็นห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยทางทิศใต้
เจิ้งซวงอิ๋นแยกทิศทางได้ชัดเจน จึงเตรียมจะเอ่ยปากตอบ เถิงอวี้อี้ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ชิงตัดหน้าเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าขอถามฉายาทางธรรมของท่านอาจารย์ได้หรือไม่…”
ภิกษุยิ้มกว้างพลางยกสองมือขึ้นประนม ก่อนขานนามพระพุทธองค์เสียงดังกังวาน “อมิตาภพุทธ! อาตมามีฉายาทางธรรมว่าฉังจี”
“ที่แท้คือฉังจีฝ่าซือ” เถิงอวี้อี้ฝืนยิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใด เพียงช่วยฝ่าซือแยกแยะทิศทางได้ ฝ่าซือก็นำพวกเราออกจากป่าได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุฉังจีหัวเราะชอบใจพลางว่า “สีกาต้องบอกมาก่อนว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใด อาตมาถึงจะรู้ว่าต้องเดินไปอย่างไร”
เถิงอวี้อี้กลับคาดคั้นไม่ยอมลดละ “หากข้าบอกฝ่าซือว่าทางใดคือทิศตะวันออก ฝ่าซือก็ต้องพาพวกเราออกไปนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มภิกษุฉังจีกดลึกลงกว่าเดิม ทว่ากลับไม่ยอมกล่าวอะไรต่อ
พวกต้วนชิงอิงร้อนใจอยากออกจากสถานที่ประหลาดอย่างนี้เต็มที จึงฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับภิกษุรูปนี้แต่แรก ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้จะกระโดดออกมากลางทาง พูดจาชวนให้งงงันซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเห็นว่าเริ่มทำให้ภิกษุตรงหน้าไม่พอใจขึ้นมา นางจึงถลึงตามองเถิงอวี้อี้แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “ทิศตะวันออกอยู่…”
“เจ้าหุบปากไปเสีย” เถิงอวี้อี้ตะคอกเสียงต่ำ
ต้วนชิงอิงตกตะลึง นัยน์ตากรุ่นโกรธจ้องมองเถิงอวี้อี้ “เหตุใดเจ้าถึงได้…”
คาดไม่ถึงว่าเจิ้งซวงอิ๋นกับอู่ฉี่กลับประสานเสียงกันตะคอกใส่นาง “ชิงอิง อย่าพูดมาก!”
พวกนางสองคนเอะใจสงสัยมานานแล้ว ภิกษุรูปนี้ปรากฏตัวขึ้นกลางป่าอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป จนแล้วจนรอดพวกเจ้าอารามกลับหายไปไม่ยอมปรากฏตัว ระหว่างเถิงอวี้อี้สนทนาโต้ตอบกับภิกษุเมื่อครู่สายตาจดจ้องมองพื้นรองเท้าของภิกษุราวกับกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง มองสำรวจอย่างละเอียดถึงพบว่าจีวรของภิกษุรูปนี้มีรอยเปียกชื้นหลายแห่ง รองเท้าฟางก็เปรอะเปื้อนดินโคลน มีเพียงรองเท้าที่ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย
มีหรือคนที่เปียกเฉพาะเสื้อผ้าแต่พื้นรองเท้าแห้งสนิท พวกนางสองคนคิดถึงสายฟ้าประหลาดก่อนหน้านี้ คาดเดาได้เลือนรางว่าภิกษุรูปนี้ไม่ใช่คนดีแน่ จิตใจจึงว้าวุ่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไหนเลยจะกล้าตอบกลับส่งเดช
ตู้ถิงหลันเกรงว่าต้วนชิงอิงจะปริปากขึ้นมาอีก จึงเร่งฝีเท้ามาหยุดตรงหน้าหลี่ไหวกู้ ก่อนใช้มือปิดปากต้วนชิงอิงที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่น “ฝ่าซือกำลังถามทาง ใช่เวลาเจ้าพูดแทรกได้ที่ใดกัน”
ตู้ถิงหลันเป็นคนสุภาพและโอบอ้อมอารีมาตลอด ไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายปานนี้เลย เวลานี้ไม่ใช่แค่ต้วนชิงอิงที่ตะลึงงัน ในที่สุดคุณหนูคนอื่นก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้ว
เถิงอวี้อี้มองหน้าภิกษุฉังจี ก่อนจงใจพูดจาลากเสียงเนิบช้าเป็นพิเศษ “ฝ่าซือเพิ่งบอกว่า ‘ทางออกอยู่ทางทิศตะวันออกนี่เอง’ เพราะฉะนั้นเพียงบอกว่าทิศตะวันออกอยู่ทางใดพวกเราก็ออกไปได้แล้ว คำพูดนี้ถูกต้องใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานในมือเบาๆ พลางยิ้มแย้มเป็นมิตร “ตอนอาตมาเดินเข้ามาตรงทางเข้าผ่านต้นท้อตั้งเรียงรายหลายแถวรอบนอก จำได้ว่าเดินมาถึงต้นที่เจ็ดพอดี เข้ามาก็มองเห็นพวกสีกาแล้ว หากจำไม่ผิดขอเพียงตามหาต้นที่เจ็ดทางทิศตะวันออกเจอก็จะออกไปได้”
เถิงอวี้อี้เผยรอยยิ้มกว้าง “ในเมื่อฝ่าซือยืนยันแล้ว อย่างนั้นข้าก็ขอลองคาดเดาดูสักหน่อย”
นางยกมือขึ้นชี้ไปด้านหลังของภิกษุฉังจี “นั่น ทางนั้นคือทิศตะวันออก”
พัดสานของภิกษุฉังจีที่สะบัดไหวพลันหยุดชะงัก
คุณหนูทั้งหลายต่างงุนงง ทางนั้นคือทิศใต้ชัดๆ
เจิ้งซวงอิ๋นกับตู้ถิงหลันกลับหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะเจิ้งซวงอิ๋น นางตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบท่วมตัวขึ้นมาในพริบตา เล่าลือว่าอารามนักพรตหญิงอวี้เจินถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับสายฟ้าฟาดและภัยพิบัติ จะมีการตอบสนองต่อสายฟ้าฉับไวกว่าที่อื่นเสมอมา เมื่อมองสำรวจรอบกายใหม่อีกครั้ง แผนผังภายในป่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจริงๆ จะต้องเป็นเพราะสายฟ้าที่อยู่ๆ ก็ฟาดลงมาไปกระตุ้นกลไกในห้องลับของอารามเป็นแน่
พอย้อนคิดถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้เจิ้งซวงอิ๋นก็ใจเต้นแรงตึกตักไม่หยุด หากพลาดพลั้งตอบคำถามของภิกษุชั่วร้ายรูปนี้ไปคงยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกซาบซึ้งใจเถิงอวี้อี้ยิ่งนัก จึงลอบปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
ในห้วงความคิดเถิงอวี้อี้เต็มไปด้วยคำว่า ‘หนีตาย’ นางคล้องแขนตู้ถิงหลันไว้แล้วมุ่งหน้าออกไปนอกป่า “ขอบคุณฝ่าซือมากเจ้าค่ะที่ชี้แนะ ต้นท้อต้นที่เจ็ดใช่หรือไม่ ดูท่าอีกไม่ไกลก็ถึงทางออกแล้ว รีบไปกันเถอะ”
พวกอู่ฉี่มีหรือจะกล้ามองภิกษุหน้ายิ้มรูปนี้ต่อ พวกนางเร่งเดินตามหลังเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันไป
ไม่นานก็ตามหาทางออกทางทิศตะวันออกพบ ถึงกระนั้นพวกเถิงอวี้อี้กลับต้องตกตะลึง เพราะรอบนอกทางทิศตะวันออกปลูกต้นท้อไว้ทั้งหมดแปดแถว พอลองนับดูทีละแถว ก็ประจวบเหมาะว่ามีสองแถวที่ปลูกต้นท้อถึงเจ็ดต้น
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “อาตมาเดินทางมาอย่างลำบากตรากตรำ ตอนนี้เริ่มอ่อนเพลียตาพร่าเลือน ลืมไปชั่วขณะว่าเป็นแถวที่เท่าไร ไม่อย่างนั้นพวกสีกาเชิญเลือกเองเถอะ อาตมาจะเดินวนรอบต้นไม้พวกนี้สามรอบ หากยังเลือกไม่ได้คงต้องพาสีกาทั้งหลายไปพักผ่อนเสียแล้ว”
ทางซ้ายมือกับทางขวามือของเขาล้วนมีต้นท้อเรียงเป็นแถว ซึ่งปลูกต้นท้อต้นเจ็ดต้นพอดีเสียด้วย หลังกล่าววาจาเชิงข่มขู่กลายๆ จบเขาก็เริ่มเดินวนรอบต้นไม้ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวนบ้านตนเอง
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหลั่งเหงื่อเย็นๆ เต็มหน้าผาก ดูจากรูปการณ์หากภายในสามรอบยังเลือกไม่ได้พวกนางคงเคราะห์ร้ายกันหมดแน่ แต่หากรีบร้อนจนเลือกผิด สิ่งที่รอพวกนางอยู่ก็ยังเป็นคำว่า ‘ตาย’ เช่นกัน
เจิ้งซวงอิ๋นกับอู่ฉี่ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด จึงเร่งระดมความคิดหาแผนการรับมือสุดกำลัง ส่วนคุณหนูที่เหลือแม้จะไม่กล้าพูดอะไรออกมา ก็ยังเบิกตากว้างเปรียบเทียบต้นท้อทั้งสองแถวอย่างละเอียดรอบคอบ
“ชี…เจ็ด…” เถิงอวี้อี้ท่องในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงญาติผู้พี่จะหัวเราะว่านางมองอย่างตื้นเขินเกินไป แต่นางจะมองเช่นไร อาณาเขตของป่าท้อผืนนี้ก็เสมือนเป็นต้ากั้วกว้าที่ถูกต้องสมบูรณ์ แต่ชื่อเรียกเส้นเหยาของต้ากั้วกว้ามี ‘ชูลิ่ว’ ‘จิ่วซาน’ ‘จิ่วซื่อ’ เป็นต้น ยกเว้นคำเดียวที่ไม่มีคือ ‘ชี’
นางลดเสียงลงถามตู้ถิงหลัน “ชื่อเรียกเส้นเหยาในลักษณะกว้าใดแฝงความหมายถึง ‘เจ็ด’ บ้าง”
ตู้ถิงหลันยุ่งอยู่กับการคิดทบทวนบทสนทนาระหว่างพวกนางพี่น้อง ได้ยินดังนั้นก็นิ่งงันไปประเดี๋ยวหนึ่ง “จำได้ว่าไม่มีชื่อเรียกเส้นเหยาในลักษณะกว้าใดแฝงความหมายถึงจำนวน ‘เจ็ด’ เลยนะ”
เจิ้งซวงอิ๋นกลับเอ่ยขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “ในฟู่กว้ามีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘ย้อนซ้ำเส้นทางเดิม เจ็ดวันหวนคืนมา’ สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนหมุนเวียนเป็นเลข ‘เจ็ด’ ”
ขณะที่เด็กสาวหลายคนพูดคุยปรึกษากันเบาๆ ภิกษุฉังจีก็เดินวนรอบต้นท้อไปหนึ่งรอบครึ่งแล้ว เถิงอวี้อี้กลั้นลมหายใจครุ่นคิด ไม่ถูกสิ จะเป็นลักษณะกว้าที่แม่นยำเพียงใดก็ไม่มีทางแทรกจุดพลิกผันใหญ่โตระหว่างต้นไม้สองแถวที่อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ได้หรอก
นางหันหน้ากลับไปมอง ต้นอิ๋นซิ่งสูงเสียดฟ้าสองต้นขยับออกจากตำแหน่งที่เรียกว่า ‘ฝั่งตะวันตก’ นานแล้ว ทว่าถึงตำแหน่งและทิศทางจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร มุมทแยงที่เกิดจากของป่าท้อและต้นอิ๋นซิ่งสองต้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้นางจึงลองถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนหันไปหาต้นท้อแปดแถวทางทิศตะวันออกเหล่านี้ แล้วเริ่มนับใหม่ทีละแถว
อืม ทางขวามือแถวแรกปลูกต้นท้อเก้าต้น แถวที่สองปลูกหกต้น…แต่มาถึงแถวที่แปดกลับปลูกต้นท้อไว้เพียงสี่ต้น
เถิงอวี้อี้นับไปนับมา ในใจพลันเกิดประกายสว่างวาบ
ขณะนี้ภิกษุฉังจีเริ่มเดินวนรอบต้นไม้เป็นรอบที่สามแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งรอบสุดท้ายเท่านั้น
เถิงอวี้อี้ลดเสียงลงกระซิบกับทุกคนว่า “ตามข้ามา”
นางกล่าวพลางคว้ามือตู้ถิงหลันวิ่งตรงไปทางขวามือของภิกษุฉังจี วิ่งไปก็ตะโกนบอกไปว่า “ทำให้ฝ่าซือต้องขบขันแล้ว เมื่อครู่พวกเรามีตาไร้แวว ต้นที่เจ็ดก็อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ”
ภิกษุฉังจีหยุดเท้าลง
เถิงอวี้อี้ก้มหน้าก้มตาวิ่งไป ชำเลืองมองทางหางตาพลางนับเลขในใจไปด้วย พอนับถึงต้นท้อต้นที่เจ็ดภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เวลาชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นพวกนางก็วิ่งกลับมาถึงหน้าประตูห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยอย่างไม่น่าเชื่อ
คุณหนูทั้งหลายหายใจเหนื่อยหอบ เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นเงาคนอยู่หน้าประตู กลับได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่านักพรตหญิงดังแว่วมาจากในห้องโถง
“เข้าไปหาข้างในตามเส้นทางกลไกแล้ว สุดท้ายก็ไม่เห็นเงาเด็กสาวพวกนั้นสักคน คงมีสิ่งชั่วร้ายแผลงฤทธิ์แน่…”
“ดูท่าคงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องแล้ว ข้างกายเขามียอดฝีมือมากมาย จะต้องเข้าใจได้แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เร็วเข้า รีบส่งข่าวไปยังวังจวิ้นอ๋องข้างอาราม” นี่คือเสียงที่ฉายแวววิตกกังวลของเจ้าอาราม
เด็กสาวเหล่านี้เพิ่งเอาชีวิตรอดจากหายนะร้ายแรงมาได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พอขยับขาได้ก็ชักเท้าวิ่งไปทางห้องโถงอวิ๋นฮุ่ย แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนักกลับมองเห็นภิกษุอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงหยุดฝีเท้าด้วยความตื่นตระหนก
เถิงอวี้อี้หอบหายใจแรง สายตาจดจ้องมองภิกษุฉังจี รู้แก่ใจดีว่ามันไม่มีทางเลิกราง่ายๆ เพียงแต่อย่างน้อยพวกนางวิ่งออกมาได้แล้ว ไม่ต้องเรียกฟ้าไม่ตอบเรียกดินไม่ขาน* คล้ายติดอยู่ในเขาวงกตอีกต่อไป
นางรีบตะโกนเรียก “เจ้าอาราม!”
เด็กสาวที่คนอื่นๆ ก็ทยอยร้องเรียกขอความช่วยเหลือ “เจ้าอาราม พวกเราอยู่ตรงนี้!”
เสียงพูดคุยในห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยเงียบหายกลางคัน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย
ภิกษุฉังจีโบกพัดสานไปมาเบาๆ “พระพุทธองค์ทรงเมตตา อาตมากระหายน้ำคอแห้งผาก อุตส่าห์หวังดีนำทางออกจากป่าให้ สีกาทั้งหลายไม่ช่วยอาตมาขอน้ำมาดื่มสักถ้วยก็จะไปแล้ว นี่จะไม่ไร้เหตุผลเกินไปสักหน่อยหรือ เรื่องใดก็ตามต้องอาศัยวาสนา เมื่อครู่ตอนอยู่ในป่าอาตมาได้ยินเสียงกระดิ่งสั่นระรัว ฟังแล้วรู้สึกชอบใจเสียจริง ไม่รู้ว่าเป็นของติดตัวสีกาคนใด ไม่อย่างนั้นก็ให้สีกาผู้นี้ขอน้ำให้อาตมาดื่มแล้วกัน”
เถิงอวี้อี้ยกยิ้มเยาะหยัน เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวนักเชียว
ตู้ถิงหลันกับเจิ้งซวงอิ๋นตะคอกเสียงเฉียบขาด “อย่าไปตอบมันนะ!”
ทุกคนตระหนักดีว่าจะตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าเป็นของเถิงอวี้อี้แต่ไม่มีใครส่งเสียงตอบสักคำ
ด้านหลี่ไหวกู้กลับดูเหมือนตกใจขวัญเสียไปแล้ว นางเม้มริมฝีปากแน่นสนิท ทว่าสายตากลับเหลือบมองไปทางเถิงอวี้อี้อย่างลนลานแวบหนึ่ง
เถิงอวี้อี้ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แผ่นหลังก็ถูกจู่โจมด้วยพละกำลังมหาศาล กระชากร่างนางกลับเข้าไปในป่าทันที
ตอนลิ่นเฉิงโย่วลงจากหลังม้าหน้าประตูอารามนักพรตหญิงอวี้เจินภายในอารามก็โกลาหลวุ่นวายไปหมดแล้ว เหล่านักพรตหญิงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากวังจวิ้นอ๋องที่อยู่ข้างเคียง ส่วนหน้าวิหารใหญ่มีคุณหนูทั้งหลายกอดคอกันร้องไห้
พอเจ้าอารามมองเห็นลิ่นเฉิงโย่วก็ราวกับพบเจอผู้ช่วยชีวิต เร่งฝีเท้าวิ่งปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าแขนเสื้อลิ่นเฉิงโย่วเอาไว้ “ซื่อจื่อรีบช่วยคนเร็วเข้าเถิด เจ้าอมนุษย์นั่นร้ายกาจยิ่งนัก ข้าไม่บังอาจพูดเหลวไหล แต่มองดูแล้วเหมือนฝีมือของไน่จ้ง”
ตู้ถิงหลันผมเผ้าหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางแหวกทางวิ่งผ่านทุกคนมาถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว พอเอ่ยปากก็เปล่งเสียงแหบพร่าไม่ต่างจากซอหูฉินเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่ง “น้องสาวถูกภิกษุรูปนั้นจับไปแล้ว กลัวว่าคงจะเป็นลางร้ายมากกว่าดี ขอร้องซื่อจื่อรีบหาวิธีด้วย…”
นางจิตใจปั่นป่วนขนานใหญ่ ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ พูดไปพูดมาก็คุกเข่าลงเสียงดังโครม
เจิ้งซวงอิ๋นกับหลี่ไหวกู้หยาดน้ำตาเอ่อคลอ เข้ามาพยุงตู้ถิงหลันซ้ายขวาคนละข้าง
เจิ้งซวงอิ๋นเอ่ยเสียงสะอื้น “โชคดีที่คุณหนูเถิงไขปริศนาของภิกษุรูปนั้นได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนไม่มีทางหนีรอดออกมาแน่”
หลี่ไหวกู้สีหน้ากระวนกระวาย เตรียมจะเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ลิ่นเฉิงโย่วฟัง ไม่คาดคิดว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นถึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาย่ำแย่สุดขีด ที่สำคัญไม่รอให้พวกนางเอ่ยปากเล่า จากหน้าห้องโถงใหญ่ก็เดินถอยหลังสองก้าว แล้วแหงนหน้าขึ้นกวาดสายตามองพร้อมผิวปากส่งสัญญาณครั้งหนึ่ง
จากนั้นได้ยินเสียงสัตว์คำรามดังโฮกสองครั้งดังขึ้นนอกอาราม ทุกคนจึงตกตะลึงไปทันใด
ลิ่นเฉิงโย่วฟังเสียงหินขานรับกระดิ่งในอกเสื้อที่ดังลั่นไม่หยุด จิตใจนั้นร้อนรุ่มดั่งไฟสุมมานานแล้ว ไม่รอให้คนกับสัตว์ป่าที่อยู่ข้างหลังมาถึง ก็สะบัดชายเสื้อคลุมกระโจนขึ้นไปบนหลังคา
เจ้าอารามชูสมุดเล่มเล็กในมือขึ้นมาพลางเงยหน้ามองเงาร่างสีเทาดำสายนั้นที่โฉบผ่านไป “ซื่อจื่อน้อย กลไกในอารามเปิดออกแล้ว เอาแผนผังค่ายกลนี้ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นจะแยกแยะทิศทางไม่ได้”
“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงร้อนรนของลิ่นเฉิงโย่วลอยมาแต่ไกล ดูท่าคงโผนทะยานไปถึงสวนดอกไม้แล้ว
หน้าประตูอารามมีคนเดินเข้ามาเพิ่ม ครั้งนี้กลับเป็นนักพรตเฒ่าสองคนเจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียน เดินเข้ามาก็หันหน้ามองไปทั่วอย่างเคร่งเครียด “ซื่อจื่อเล่า”
เจ้าอารามชี้ไปข้างบน “ขึ้นไปนั่นแล้ว”
เงาร่างสองสายโฉบวูบผ่านไป นักพรตเฒ่าทั้งสองก็กระโดดขึ้นหลังคาไปด้วย ทว่าไม่นานนักก็ได้ยินเสียงพวกเขาร้องโวยวายจากข้างบนนั้นว่า “บ้าจริงเชียว ไยที่นี่หน้าตาอย่างกับเขาวงกตเลยเล่า หมุนไปหมุนมาทำเอาคนเวียนหัวไปหมด ยายเฒ่าจิ้งเฉิน เจ้าเปิดเขาวงกตของรักของหวงในอารามพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ รีบบอกข้ามาเร็วว่าต้องเดินอย่างไร!”
เถิงอวี้อี้กุมกระบี่เสี่ยวหยาไว้มั่นขณะแยกแยะทิศทาง เมื่อครู่ภิกษุรูปนั้นใช้อาคมปีศาจจับตัวนางมา เดิมทีนางนึกว่าจะกลับเข้ามาในป่าท้ออีก ไม่คิดว่าพอเท้าแตะพื้น สองฝั่งกลับเป็นผนังหินแคบยาว บนผนังหินทุกระยะสองสามก้าวจะจุดตะเกียงติดผนังไว้ดวงหนึ่ง เปลวไฟวูบไหวเล็กน้อย ส่องแสงให้ทางเดินเบื้องหน้าแลดูมืดสลัวน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
ที่นี่เป็นสถานที่แห่งใดกันแน่ นางครุ่นคิดอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้มองสำรวจการวางแผนผังในอารามไปคร่าวๆ แล้ว ไม่เคยเห็นการประดับตกแต่งเช่นนี้มาก่อน หรือจะเป็นวังใต้ดินของอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน…
เถิงอวี้อี้รวมสมาธิเงี่ยหูฟัง กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกระดิ่งเสวียนอินที่สั่นไม่หยุดมาตลอดก็ประหนึ่งโดนสูบพลังหายไปครึ่งหนึ่ง เสียงแผ่วเบาอ่อนแรงกว่าเดิม ใช่ มีความเป็นไปได้
เถิงอวี้อี้คาดเดาว่าไน่จ้งอาจไม่อยู่แถวนี้ ฉะนั้นจึงเร่งโคจรกำลังภายในเต็มที่แล้วเดินย่องไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน ไน่จ้งอิทธิฤทธิ์ล้นเหลือปานนั้น ต่อให้นางไม่ขยับเขยื้อน ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของมันอยู่ดี ก่อนมันจะย้อนกลับมาหาเรื่องนาง ไม่สู้เดินสำรวจคลำทางไปให้ทั่วดีกว่า หากว่านางโชคดี ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจคลำเจอประตูเกิด* ก็เป็นได้
นางใช้มือคลำก้อนอิฐบนผนังพร้อมกับเดินไปตามทางข้างหน้าเงียบๆ พอเห็นว่าอีกไม่ไกลก็จะเดินถึงหัวมุม ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ไม่ว่าทางซ้ายหรือขวาก็สามารถไปได้หมด นางลังเลว่าจะเลี้ยวไปทางซ้ายหรือเลี้ยวไปทางขวาดี คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้เองกระดิ่งเสวียนอินจะสั่นอย่างรุนแรง
ต่อจากนั้นมุมทางขวาก็มีเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดอย่างกะทันหัน คล้ายว่ามาสุดทางเดินและมีคนผลักประตูเดินเข้ามา แล้วเถิงอวี้อี้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่รีบไม่ร้อนกับเสียงโบกพัดสานนั่น
เจ้าตัวนั้นย้อนกลับมาแล้ว!
หัวใจเถิงอวี้อี้เต้นแรงแทบกระดอนมาถึงคอหอย หากเดินไปข้างหน้าต่อมีแต่จะถูกไน่จ้งจับตัวได้ จึงจำต้องถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งถอยไปได้ไม่กี่ก้าว แผ่นหลังนางจะมีผนังมาขวางกั้นเอาไว้
นางตกใจจนหันขวับกลับไปมอง เมื่อครู่นี้ยังเป็น…
ไม่สิ ทางเดินทอดยาวเหยียดปานนั้นจะหดสั้นลงมากถึงเพียงนี้ในชั่วพริบตาได้อย่างไร
เถิงอวี้อี้ไม่มีเวลามาทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว นางยกแขนสองข้างขึ้นมาคลำผนังสองฝั่งอย่างว่องไว ทางเดินสายนี้สามารถยืดได้หดได้ บนผนังต้องฝังกลไกเอาไว้แน่ ทว่าลองคลำหาไปทีละชุ่นแล้วนางก็ยังคลำหากลไกไม่พบ ส่วนเสียงฝีเท้านั้นกลับกระชั้นชิดเข้ามาทุกที
สมควรตายนัก! ไน่จ้งเดินเร็วยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
ข้างหูเถิงอวี้อี้มีเสียงดังอื้ออึง รู้สึกปวดแสบปวดร้อนในกระเพาะเป็นระลอก สองมือคลำหาสะเปะสะปะอย่างบ้าคลั่ง ร้อนใจจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี เมื่อเห็นว่าอีกหัวมุมเดียวเท่านั้นภิกษุหน้ายิ้มก็จะปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว นางก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะสู้ตายกับเจ้าสิ่งนั้น ผนังทางขวาพลันยุบหาย ชั่วอึดใจเดียวก็มีคนกระชากนางเข้าไปในผนัง
เถิงอวี้อี้กระแทกเข้ากับอ้อมอกบุรุษผู้หนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ คิดว่าไน่จ้งหายตัวเข้ามาอยู่ในห้องลับด้านหลังผนังหิน นางลนลานกุมกระบี่เสี่ยวหยาแน่นเตรียมป้องกันตัว ทว่าคนผู้นั้นกลับปิดปากนางไว้ทันที
“ไม่ต้องกลัว นี่ข้าเอง”
* ฉีเหมินตุ้นจย่า เป็นศาสตร์การทำนายแขนงหนึ่งในสมัยโบราณของจีน โดยยึดหลักจากการสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ประกอบด้วยทฤษฎีปรัชญาหลายแขนงของจีน เช่น พลังอินหยาง (หยินหยาง) พลังธาตุทั้งห้า ปากว้า แผนภูมิสวรรค์ทั้งสิบ คิดค้นขึ้นครั้งแรกเพื่อประโยชน์ด้านกลศึก การวางค่ายกล และวางภูมิลักษณ์ (ฮวงจุ้ย) ต่อมากลายเป็นคำที่สื่อถึงวิชาเร้นลับ เช่น การหายตัว การเรียกสิ่งมงคลขจัดสิ่งชั่วร้าย โดย ‘ฉีเหมิน’ แปลว่าประตูมหัศจรรย์ ‘ตุ้น’ แปลว่าหลบซ่อนหลีกหนี ‘จย่า’ หมายถึงตำแหน่งแรกของแผนภูมิสวรรค์ บ้างจึงแปลฉีเหมินตุ้นจย่าว่า ‘กลเร้นลี้ด้วยประตูมหัศจรรย์’
* เหยี่ยวกระดาษ หรือจื่อยวน ในสมัยก่อนวัสดุที่ใช้ทำว่าวคือผ้าไหมหรือกระดาษ นำมาทำเป็นว่าวรูปร่างคล้ายนกเหยี่ยว เมื่อปล่อยว่าวลอยขึ้นท้องฟ้าจะเหมือนกับเหยี่ยวโผบินอยู่ในอากาศ
* ไว้ทุกข์ ตามประเพณีจีนโบราณลูกต้องไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามปี เพื่อตอบแทนช่วงสามปีแรกของชีวิตที่พ่อแม่คอยเฝ้าดูแทบไม่ห่างกาย โดยในระหว่างนี้ห้ามทำกิจกรรมบันเทิงใดๆ
* เทศกาลอวี๋หลันเผิน หรือวันสารท ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามจันทรคติ เป็นวันที่ลูกหลานจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณเร่ร่อน ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นวันที่ประตูยมโลกถูกเปิด
** ธรรมบาลทั้งแปด หรือแปดเทพอสูรมังกรฟ้า จากคำแปลชื่อวรรณกรรมที่เป็นผลงานเรื่องหนึ่งของกิมย้ง เป็นบรรดาอมนุษย์ 8 ประเภทที่คอยปกป้องพระธรรมตามความเชื่อของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ประกอบไปด้วย เทพยดา มังกรหรือนาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร และมโหราค
* ฝ่าซือ หรือธรรมาจารย์ เป็นคำเรียกนักบวชในศาสนาพุทธและศาสนาเต๋าที่เคร่งครัดในวินัยและเชี่ยวชาญในการเทศนา มักใช้ต่อท้ายฉายาธรรม
* เรียกฟ้าไม่ตอบเรียกดินไม่ขาน หมายถึงตกที่นั่งลำบาก ไม่มีคนช่วยเหลือ
* ประตูเกิด คือหนึ่งในแปดประตูในศาสตร์ฉีเหมินตุ้นจย่า ได้แก่ ประตูเปิด (ไคเหมิน) ประตูหยุด (ซิวเหมิน) ประตูเกิด (เซิงเหมิน) เป็นสามประตูมงคล ประตูตาย (สื่อเหมิน) ประตูกลัว (จิงเหมิน) ประตูเจ็บ (ซางเหมิน) เป็นสามประตูอัปมงคล ส่วนประตูกั้น (ตู้เหมิน) ประตูภาวะ (จิ่งเหมิน) เป็นสองประตูที่เป็นกลาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.