X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 63

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 63

ลิ่นเฉิงโย่ว?

หัวใจเถิงอวี้อี้เต้นแรงจนเกือบกระดอนออกมาจากคอหอย รอบกายมืดทึบไร้แสงสว่าง ไม่อาจมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้กระจ่างไปชั่วขณะ โชคดีที่อยู่ใกล้ชิดกัน นางจึงได้กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ จากสาบเสื้อของเขา คืนนั้นที่คฤหาสน์เล่อเต้านางก็ได้กลิ่นเจ่าโต้วที่หอมเช่นนี้เหมือนกัน คาดว่าคงเป็นเครื่องหอมล้ำค่าเลื่องชื่อที่เป็นบรรณาการจากต่างแดนอย่างแคว้นผอหลัว นอกจากลิ่นเฉิงโย่วแล้ว นางยังไม่เคยเห็นผู้อื่นใช้มาก่อน

น้ำเสียงก็ใช่ กลิ่นกายก็ถูกต้อง เป็นเขาจริงๆ ด้วย เถิงอวี้อี้เป่าปากด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นางตื่นตระหนกเกินไปจนลืมหายใจ พอลิ่นเฉิงโย่วปรากฏตัว ในที่สุดนางก็สามารถหอบหายใจได้แล้ว ทว่าพอนางขยับร่างกายดูจึงตระหนักได้ว่าลิ่นเฉิงโย่วยังใช้มือปิดปากนางไว้

ไน่จ้งยังวนเวียนอยู่ตรงทางเดินด้านนอก บางทีลิ่นเฉิงโย่วคงกลัวว่านางจะร้องโวยวายถึงไม่ยอมปล่อยมือ นางผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างระมัดระวัง ก่อนเอนตัวแนบไปกับแผงอกเขานิ่งๆ พลันพบว่ากระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือไม่สั่นส่งเดชอีก คาดเดาในใจว่าลิ่นเฉิงโย่วคงเล่นลูกไม้อะไรกับช่องแคบหลังผนังหินตรงนี้

ลิ่นเฉิงโย่วก็คอยสังเกตท่าทีตอบสนองของเถิงอวี้อี้ เขาเดินเข้ามาในอุโมงค์ใต้ดินสักพักแล้ว บัดนี้เริ่มคุ้นชินกับความมืดเบื้องหน้า เถิงอวี้อี้มีดวงตางดงามหาใดเปรียบเช่นนี้เอง แม้จะอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิดเช่นนี้ ทว่านัยน์ตายังคงเปล่งประกายระยิบระยับ จนเขามองเห็นความหวาดกลัวของนางชัดเจนเต็มสายตา

เขาอดทนรอให้นางคลายความระแวงลง ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าร่างกายนางไม่แข็งทื่อดังเดิมแล้ว เข้าใจว่านางคงจำเขาได้ จึงถอนหายใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ทว่าพอเคลื่อนไหวถึงพบว่าแผ่นหลังตนเองเปียกเหงื่อชุ่มโชก ตลอดทางมานี้เขาร้อนรนจนเกินไป ของวิเศษที่พกติดตัวก็มีไม่มาก ทำได้เพียงสร้างข่ายอาคมเรียบง่ายไว้ในผนังอย่างเร่งรีบ เมื่อมีข่ายอาคมขวางกั้นเอาไว้ กระดิ่งเสวียนอินก็ไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายชั่วร้ายจากร่างของไน่จ้ง ส่วนไน่จ้งคงหาพวกเขาไม่พบในชั่วครู่ชั่วยาม โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าห้ามส่งเสียงดังจนเกินไป

เขาตัวคนเดียวรับมือกับไน่จ้งไม่ไหว ช่วยเถิงอวี้อี้ออกไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน

เถิงอวี้อี้ยืนกลั้นลมหายใจประเดี๋ยวหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกคันคออย่างประหลาด นางกลัวว่าจะเผลอหลุดเสียงไอออกมา จึงรีบขบกัดริมฝีปากตนเองแน่น

ลิ่นเฉิงโย่วกำลังรวบรวมสมาธิฟังเสียงฝีเท้าไน่จ้ง อยู่ๆ ฝ่ามือก็คันยุบยิบอย่างไม่ทันตั้งตัว ความนุ่มหยุ่นนั้นยังมาพร้อมกับไอร้อนชื้นเบาบาง ฉุกคิดได้ว่าเป็นริมฝีปากของเถิงอวี้อี้นั่นเอง ประหนึ่งแนบชิดกับฝ่ามือเขาเพื่อเอื้อนเอ่ยวาจา

แผ่นหลังเขาชาวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน สัมผัสกลางฝ่ามือที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยพาให้ร่างกายรู้สึกอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ไล่ลามจากท่อนแขนแล้วกระโจนเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจเขาโดยตรง

เขารีบปล่อยมือในทันใด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไน่จ้งยังเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงทางเดินด้านนอก จึงจำต้องปิดปากนางไว้อีกครั้ง แต่หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งดุจม้าป่า ในลำคอบีบแน่นจนอึดอัดเล็กน้อย ประหนึ่งในช่วงฤดูร้อนเพิ่งเล่นจีจวีมารอบหนึ่ง แล้วต้องรีบหาน้ำดื่มดับความกระหายจนคอแห้งผาก

ในตอนนี้เองเถิงอวี้อี้ค่อยๆ ปรับเข้ากับความมืดเบื้องหน้า นางมองเห็นสีหน้าแปลกพิกลของลิ่นเฉิงโย่วโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงอดตะลึงงันไม่ได้

สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วราวกับบอกว่า ‘เจ้าจะรีบไปที่ใด รอให้ข้าปล่อยมือก่อนค่อยพูดไม่ได้หรือไร’

เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป ตนเองแค่อยากจะไอเบาๆ กลับกระตุ้นให้เขามีท่าทีตอบสนองมากถึงเพียงนี้ ลอบคาดเดาว่าเขาคงเข้าใจผิดว่านางจะเอ่ยปาก ก็รีบร้อนพยักหน้าบอกให้รู้ว่านางเข้าใจดี ไม่มีทางพลั้งปากเอ่ยวาจาเป็นอันขาด

อากัปกิริยาเช่นนี้พลอยทำให้มือของลิ่นเฉิงโย่วเคลื่อนไหวตามไปด้วย ส่วนลึกในหัวใจเขาชาวาบขึ้นมาอีกระลอก พอลองคิดทบทวนดูคราวนี้คงไม่มีอะไรต้องสั่งกำชับแล้ว ปิดปากนางต่อไปดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นจึงรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วเพื่อหยิบชุดไฟพกพาจากเข็มขัดเตี๋ยเซี่ยที่คาดเอวไว้ออกมาจุดไฟ

พอเขาปล่อยมือลง ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจก็บรรเทาลงไม่น้อย

เปลวไฟวูบไหวในความเงียบงันส่องสว่างไปทั่วบริเวณในพริบตา

เขาสงบสติอารมณ์ลง แล้วเริ่มให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวด้านนอก

เถิงอวี้อี้ก็หันหน้ามองสำรวจไปรอบกาย ยามนี้ถึงสังเกตเห็นส่วนที่เรียกว่า ‘ในผนัง’ คือทางเดินคับแคบปูด้วยแผ่นหินนี่เอง ที่สำคัญไม่ได้กว้างโล่งกว่าทางเดินด้านนอกเท่าใด ถึงแม้จะเดินเคียงข้างกันไปเพียงสองคน ก็ยังหนีไม่พ้นชนโดนผนังหินสองฝั่ง แต่เส้นทางสายนี้ทอดยาวลึกเข้าไปราวกับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แตกต่างจากทางเดินสายนั้นของอีกฟากหนึ่งมากทีเดียว

นางหันหน้ากลับมาเหลือบมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของไน่จ้ง สีหน้าจดจ่อมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่ผ่านมาเห็นลิ่นเฉิงโย่วปะทะกับภูตผีปีศาจมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาอยากสู้ก็สู้ อยากรวบตัวก็รวบตัว ไหนเลยจะต้องระมัดระวังตัวไปเสียทุกอย่างเช่นในครั้งนี้

เถิงอวี้อี้อดปาดเหงื่ออยู่ในใจไม่ได้ ไน่จ้งนี้เป็นอมนุษย์ตัวสำคัญที่ร้ายกาจตามคาดจริงๆ

ไน่จ้งเดินวนเวียนอยู่พักใหญ่ คล้ายว่าเพราะตามหาเถิงอวี้อี้ไม่พบ จึงเปลี่ยนใจเดินไปทางซ้ายมือแล้ว เสียงฝีเท้าห่างไกลออกไปทุกขณะ จนกระทั่งเงียบหายไปอย่างสิ้นเชิงตรงทางเดินด้านนอก

ลิ่นเฉิงโย่วรออยู่ชั่วครู่จนมั่นใจว่าไน่จ้งจะไม่ย้อนกลับมาเร็วๆ นี้แน่ ก็หยิบโซ่สีเงินเส้นหนึ่งจากในอกเสื้อส่งให้เถิงอวี้อี้ พร้อมบอกกับนางว่า “ถือโซ่เส้นนี้เอาไว้แล้วเดินตามข้ามา”

เถิงอวี้อี้รีบรับโซ่เส้นนั้นเอาไว้ในมือ แต่ก่อนเห็นเวลาลิ่นเฉิงโย่วใช้งานโซ่สีเงินจะส่งเสียงดังเคร้งๆ เดิมทีนึกว่าจะเป็นของที่ทำจากเหล็กเย็นเยียบแข็งกระด้าง ไม่คาดคิดว่าพอฝ่ามือแตะโดนกลับกลายเป็นสิ่งที่มีเนื้อหนังอ่อนนุ่มแผ่ไอร้อนผ่าว

สัมผัสนี้ทำให้เถิงอวี้อี้คิดถึงงูขึ้นมา ไม่สิ หนอนผีเสื้อตัวใหญ่ยักษ์ นางรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ จะจับก็ไม่ไหว จะปล่อยไปก็ไม่ดี คิดดูใหม่อีกทีในเมื่อเป็น ‘สัตว์ไร้ขา’ ก็คงจะเป็นหนอนที่มีเนื้อหนังตัวหนึ่งอยู่แล้ว ต้องโทษที่นางกลัวงูมาตั้งแต่เด็ก จนเกือบจะล่วงเกินของดีอย่างนี้ไปแล้ว

“เจ้าคงไม่ได้นึกว่าหนอนล่ามวิญญาณเป็นสัตว์ที่ตายแล้วกระมัง” ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองนางและชิงเดินนำหน้าไปก่อน “มันยังมีชีวิตอยู่ ยามควบคุมสิ่งชั่วร้ายมันจะกลายร่างเป็นอาวุธแหลมคม หากเป็นเวลาปกติก็คือหนอนอวบอ้วนตัวหนึ่งนี่เอง เจ้าตัวใหญ่ด้านนอกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว หากใช้เชือกธรรมดานำทางเจ้ากับข้าอาจถูกกลไกแยกออกจากกันทุกเมื่อ ใช้เจ้านี่จะไม่ต้องกลัวแล้ว มันสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย ประเดี๋ยวเจ้าถือเอาไว้ให้ดี ตามหลังข้ามาอย่าให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว”

เถิงอวี้อี้ฟังเข้าใจกระจ่าง นางรีบตอบว่า “ได้เลย” จากนั้นก็จับหนอนล่ามวิญญาณไว้อย่างแน่นหนาตามคำบอก คิดไปคิดมายังไม่วางใจ หากนางมือลื่น ไม่แน่ว่าหนอนตัวนี้อาจหลุดจากมือนางไปก็ได้ ดังนั้นนางจึงกระซิบบอกหนอนล่ามวิญญาณเบาๆ ว่า “ล่วงเกินแล้ว”

เถิงอวี้อี้ก้าวเดินพลางพันร่างมันรอบแขนตนเองหลายทบ หากมิใช่เพราะหนอนล่ามวิญญาณจู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องประหลาดดังขึ้นมา นางแทบอยากจะผูกหางหนอนตัวนี้เป็นเงื่อนตายด้วยซ้ำ

ลิ่นเฉิงโย่วจูงเถิงอวี้อี้เดินไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่ง พอได้ยินเสียงร้องของหนอนล่ามวิญญาณก็จำต้องหยุดฝีเท้าลงพลางถามอย่างสงสัย “เถิงอวี้อี้ เหตุใดเจ้าข่มเหงรังแกได้แม้กระทั่งหนอน”

เถิงอวี้อี้เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเขา “ข้ามีหรือจะกล้ารังแกสมบัติล้ำค่าของซื่อจื่อ ข้าเพียงอยากพันมันรอบแขนตนเอง ไม่รู้เลยว่าลำตัวมันจะลื่นมือเช่นนี้ เจ้าไน่จ้งนั่นพลังมหาศาลไร้ขอบเขต ไม่พันเอาไว้ให้แน่นๆ แค่ปะทะกันเล็กน้อย ข้าก็คงถูกเหวี่ยงออกไปแล้ว”

ช่างรักถนอมชีวิตโดยแท้ หนอนล่ามวิญญาณจะพันร่างคนด้วยตนเอง ไหนเลยจะดิ้นหลุดไปได้ง่ายๆ อย่างนั้น

แต่เพื่อให้นางสบายใจแล้ว สุดท้ายเขาก็บอกออกไปว่า “อย่างนั้นก็พันรอบเอวเอาไว้ก่อนเถอะ”

เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป แต่ทำเช่นนี้ปลอดภัยกว่าพันแขนจริงๆ หลังจับมันขดพันเรียบร้อยแล้วนางก็ได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วท่องคาถาเบาๆ ไม่กี่ประโยค หนอนตัวนั้นเลื้อยรอบเอวนางสองสามรอบอย่างเกียจคร้านก็นิ่งสนิทไป

เถิงอวี้อี้ลองออกแรงดึงเล็กน้อย พบว่าไม่ขยับเขยื้อนอย่างที่คิด ในใจนางลอบยินดีปรีดาและเริ่มเดินตามลิ่นเฉิงโย่วไปข้างหน้าต่อ

ลิ่นเฉิงโย่วจูงเถิงอวี้อี้เดินไปอีกครู่ใหญ่ กลับแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักในมือมากนัก เขาเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา จึงต้องหันกลับไปมองให้แน่ใจหลายครั้ง

ใช่แล้ว หนอนล่ามวิญญาณพันรอบเอวเถิงอวี้อี้อย่างแน่นหนา เพียงเพราะนางตัวเบาหวิว จึงทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังล่องลอย มองยืนยันแล้วก็ครุ่นคิดว่าโรคขี้ระแวงสามารถแพร่ใส่กันได้ด้วยหรือ ทั้งที่เขารู้แก่ใจดีว่าหนอนล่ามวิญญาณพึ่งพาได้มากเช่นไร แต่พอเถิงอวี้อี้วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ เขาก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย

เมื่อย้อนคิดถึงในอดีตหนอนล่ามวิญญาณเคยพันแต่ร่างภูตผีปีศาจมาทั้งนั้น เวลาพวกสิ่งชั่วร้ายดิ้นรนขึ้นมาแต่ละตัวล้วนมีพลังมากมายเหลือเกิน เขาจับพวกมันจนเคยชิน นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้โซ่สีเงินพันร่างเด็กสาวผู้หนึ่ง จึงรู้สึกผิดปกติอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเด็กสาวผู้นี้คือเถิงอวี้อี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกไปจากเดิม

“จริงสิ พวกเจ้าเจอไน่จ้งที่ใด” เมื่อครู่ตอนเข้าอารามมา เพราะเขารีบร้อนมาช่วยชีวิตคน จึงไม่มีความอดทนมานั่งฟังว่าคุณหนูเหล่านั้นพูดอะไรบ้าง เพียงแต่มีประโยคหนึ่งที่เขากลับจำขึ้นใจ วันนี้หากไม่ใช่เพราะเถิงอวี้อี้ไขปริศนาของไน่จ้งได้ คุณหนูเหล่านี้คงไม่มีทางหนีรอดออกมาแล้ว แต่ในคัมภีร์ร้อยปีศาจกล่าวว่าปริศนาของไน่จ้งมิใช่จะหาคำตอบเจอง่ายดายปานนั้น เขาอยากรู้สถานการณ์ในขณะนั้นอย่างยิ่ง

เถิงอวี้อี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าท้อก่อนหน้านี้ให้เขาฟัง

ลิ่นเฉิงโย่วนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา รู้อยู่แล้วว่านางเจ้าเล่ห์แสนกล แต่คาดไม่ถึงว่านางจะมองออกรวดเร็วถึงเพียงนี้ว่าป่าท้อยังมีกลไกลี้ลับซ่อนอยู่ โดยจะทำหน้าที่อำพรางทางเข้าวังใต้ดินเอาไว้ ภายนอกเป็นต้ากั้วกว้า ทว่าแท้จริงแล้วจำนวนต้นท้อแต่ละแถวในป่าไม่เท่ากัน จะเรียงรายปะปนอย่างไม่สม่ำเสมอ แอบสอดคล้องกับลักษณะกว้าทั้งสิบสองเดือน คนทั่วไปมองผิวเผินเห็นต้ากั้วกว้าก็นึกว่าตนเองหาคำตอบเจอแล้ว ไม่มีทางลองนับจำนวนต้นท้ออย่างละเอียดซ้ำอีก

“เมื่อก่อนเจ้าเคยมาอารามนักพรตหญิงอวี้เจินนี้หรือ”

เถิงอวี้อี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่เคยมา เมื่อเช้าข้าได้ยินคนเล่าข่าวลือของอารามนี้ให้ฟัง ตอนออกมาเล่นสนุกกันก็เริ่มสังเกตแผนผังรอบตัว ระหว่างนั้นยังพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะกว้าในป่ากับพี่สาวด้วย ตอนภิกษุรูปนั้นถามพวกเรา จึงไม่ถึงขั้นอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก ซื่อจื่อ ท่านก็รู้เรื่องกลไกในอารามนักพรตหญิงอวี้เจินใช่หรือไม่”

“ตอนเด็กๆ เคยมาเล่นน่ะ”

แต่ในปีนั้นเขาอายุสิบขวบ หลังไขปริศนาทั้งหมดในอารามได้ เขาก็คร้านจะมาเที่ยวเล่นที่นี่แล้ว

เถิงอวี้อี้จ้องมองท้ายทอยของลิ่นเฉิงโย่ว ตั้งแต่เล็กมานางไม่เคยรู้สึกเลื่อมใสใครสักคนมาก่อน เวลานี้กลับรู้สึกชื่นชมความสามารถของลิ่นเฉิงโย่วจากใจจริง เมื่อครู่หากมิใช่เพราะลิ่นเฉิงโย่วมาถึงทันการณ์ คาดว่านางคงเป็นอาหารว่างของไน่จ้งไปแล้ว

นางหันหน้ามองสำรวจไปรอบทิศ “นี่พวกเรากำลังอยู่ในวังใต้ดินสินะ”

ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอืมขานรับ

“ใช่แล้ว ตอนซื่อจื่อมาถึงมองเห็นตวนฝูบ้างหรือไม่”

“ตวนฝู? ข้าไม่เห็น”

เถิงอวี้อี้รู้สึกงุนงง “น่าแปลกแล้ว ก่อนเกิดเรื่องตวนฝูเข้ามาในอารามแล้วชัดๆ ตอนเกิดเรื่องกลับบังเอิญไม่อยู่ เวลานานถึงเพียงนั้นตวนฝูจะไปอยู่ที่ใดกัน”

ลิ่นเฉิงโย่วชะงักงัน

เถิงอวี้อี้ลอบคิดในใจ คงไม่ใช่มีคนคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องในอาราม จึงหลอกล่อตวนฝูออกไปก่อน?

ความคิดนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นางคิดทบทวนแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อเห็นคุณหนูใหญ่เผิงกับคุณหนูรองเผิงหรือไม่ บุตรสาวฝาแฝดคู่นั้นของเผิงเจิ้นนั่นอย่างไร”

ลิ่นเฉิงโย่วจำได้เพียงว่าตอนนั้นในกลุ่มคนไม่เห็นพวกเถิงอวี้อี้นายบ่าว แต่เขาไม่ได้สังเกตคนอื่นเลย

“พวกนางสองคนมีอันใดหรือ”

“ก่อนเกิดเรื่องอยู่ๆ พวกนางก็หายไป ต่อมาตอนไน่จ้งกักขังพวกเราไว้ บุตรสาวสองคนของสกุลเผิงก็ไม่เคยปรากฏตัวมาตั้งแต่ต้น”

ลิ่นเฉิงโย่วหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ “ก่อนไปไม่ได้บอกกล่าวใครไว้? แต่ก็มาหายไปกะทันหันอย่างนี้?”

“ใช่แล้ว อู่ฉี่ให้คนออกตามหาพวกนางไปทั่ว แต่ยังไม่ทันหาพี่น้องสกุลเผิงเจอ ไน่จ้งก็โผล่มาแล้ว”

สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วเผยอารมณ์ซับซ้อน ระหว่างพูดคุยกันอยู่ก็เดินเลี้ยวโค้งหนึ่ง พบว่ามีบันไดตั้งอยู่ปลายทาง ขั้นบันไดผ่านตรงขึ้นไปชั้นบน ดูท่าตรงนี้คือทางออกแน่แล้ว

เถิงอวี้อี้ถามอย่างฉงนใจ “ไม่ใช่ว่าข้างบนยังมีวังใต้ดินอีกชั้นกระมัง”

ลิ่นเฉิงโย่วจึงอธิบาย “มีทั้งหมดสองชั้น ตอนยังไม่เปิดกลไกวังใต้ดินชั้นบนสุดนั่นจะเป็นอักษรคำว่า ‘เว้า’ ส่วนชั้นล่างเป็นอักษรคำว่า ‘นูน’* ตรงกลางระหว่างสองชั้นนี้จะมีแท่นโม่หินที่หมุนได้ ขอเพียงเปิดกลไก วังใต้ดินสองชั้นจะเกิดมุมตัดสลับ ในขณะเดียวกันจะมีทางเดินยาวบ้างสั้นบ้างโผล่มานับไม่ถ้วน แล้วกักขังคนเอาไว้ข้างในนี้”

เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้

ลิ่นเฉิงโย่วยังอธิบายเพิ่มอีกว่า “พอเดินพ้นบันไดจะไม่มีข่ายอาคมขวางกั้น ไน่จ้งจะสัมผัสกลิ่นอายของเจ้ากับข้าได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นไปแล้วไม่ต้องพูดอะไร หากเกิดโชคดีไม่นานจะเดินออกไปได้ แต่หากพบไน่จ้งเข้า คงต้องดูตามสถานการณ์”

หัวใจเถิงอวี้อี้บีบรัดแน่น เดินตามลิ่นเฉิงโย่วขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าเงียบกริบ พอมาถึงด้านบนสุดของบันได ลิ่นเฉิงโย่วไม่รีบร้อนชะโงกตัวออกไป แต่หยิบแผ่นยันต์ที่ขยุ้มเป็นก้อนกลมออกมา ก่อนจุดไฟพึ่บแล้วเขวี้ยงออกไป

ลูกไฟดวงนั้นกลิ้งหลุนๆ ไปบนทางเดินคับแคบทอดตัวยาว กลิ้งไปไกลลิบเปลวไฟถึงมอดดับลง

ดูท่าไน่จ้งคงไม่ได้อยู่แถวนี้

ลิ่นเฉิงโย่วโผล่ออกจากอุโมงค์ใต้ดินไปก่อน รอให้เถิงอวี้อี้ตามออกมาแล้วก็จูงหนอนล่ามวิญญาณพานางมุ่งตรงไปข้างหน้าตามทางเดิน ชั้นนี้พื้นที่กว้างกว่าชั้นล่างมากทีเดียว อากาศก็ไม่อับชื้นมากถึงเพียงนั้นแล้วด้วย

พวกเขาสองคนไม่พูดคุยอะไรกันอีก ลิ่นเฉิงโย่วนำเถิงอวี้อี้เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่รู้ว่าหมุนตัวเดินไปทางนั้นทีทางนี้ทีกี่รอบแล้ว เมื่อทะลุผ่านทางเดินเส้นหนึ่งในที่สุดเบื้องหน้าก็โล่งปลอดโปร่ง พวกเขามองเห็นสะพานโค้งแห่งหนึ่ง ปลายสะพานโค้งเป็นตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า ภายในตำหนักจุดตะเกียงน้ำมันสว่างไสว อาวุธตั้งเรียงรายแน่นขนัดเต็มไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบนอย่างเลือนราง

เถิงอวี้อี้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ คาดว่าทางออกคงอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่คนทั้งสองยังไม่ทันเดินข้ามสะพานโค้งกระดิ่งบนข้อมือเถิงอวี้อี้พลันสั่นระรัวขึ้นมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “พระพุทธองค์ตรัสบอกซวีผูถี* ว่า ‘รูปลักษณ์ทั้งมวลล้วนเป็นของไม่จริง’ ”

“วิ่ง!”

ยามนี้เห็นได้ชัดว่าลิ่นเฉิงโย่วไม่สนใจจะจัดการไน่จ้งแต่อย่างใด

เถิงอวี้อี้ชักเท้าวิ่งหนีทันที ได้แต่แค้นใจว่านางสวมกระโปรงหรูฉวิน อีกทั้งฝีมือไม่รู้ว่าย่ำแย่กว่าลิ่นเฉิงโย่วเท่าใด ถึงแม้จะพยายามสุดชีวิตแล้ว กลับยังตามฝีเท้าลิ่นเฉิงโย่วไม่ทันอยู่ดี

พอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็หายใจเหนื่อยหอบ ตรงหน้าเห็นดาวสีทองเปล่งแสงระยิบระยับไม่ขาดสาย ทันใดนั้นพลันสัมผัสได้ว่าร่างกายลอยขึ้นไปในอากาศ ลิ่นเฉิงโย่วกระชากโซ่สีเงินดึงนางไปอยู่ตรงหน้าตนเอง แล้วโอบกอดแนบอกพร้อมเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปข้างหน้า

หัวใจเถิงอวี้อี้เต้นแรงกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าขณะนี้หนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า ไหนเลยจะมีเวลาขบคิดถึงความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้ นางได้แต่ปิดเปลือกตาแน่นสนิท ลอบภาวนาขอให้ลิ่นเฉิงโย่ววิ่งเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงดังตุ้บ ดูเหมือนจะมีของบางอย่างบนศีรษะร่วงลงพื้น

ลิ่นเฉิงโย่วก็ได้ยินชัดเจนเช่นกัน “เจ้าทำอะไรหล่นลงไป”

“ปิ่นระย้า แต่ไม่เป็นไร ซื่อจื่อ หนีเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด!”

แม้จะเอ่ยปากตอบไปอย่างนี้ ทว่าความจริงหัวใจกลับเจ็บปวดดุจมีดกรีดเฉือน ในบรรดาเครื่องประดับเหล่านั้นของนางปิ่นระย้าไข่มุกคู่นี้ไม่นับเป็นของล้ำค่าหายากอันใด แต่กลับเป็นสินเดิมที่มารดาคอยเติมให้นางตอนยังมีชีวิตอยู่ จำได้ว่าตอนนั้นมารดาอุ้มนางมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉม แล้วกล่าวกับนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ‘เอาไว้อาอวี้ของพวกเราโตแล้ว ก็จะได้ใช้ของชิ้นเล็กๆ พวกนี้ประดับศีรษะแล้ว’ สีหน้าอ่อนโยนนั้นนางไม่มีวันลืมเลือน หลังมารดาจากไปนางก็เก็บปิ่นระย้าไข่มุกคู่นี้ไว้ในกล่องเครื่องประดับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยตัดใจเอามาใช้ได้เลย

วันนี้กลับฉุกใจคิดลองใช้ประดับผมสักหน คาดไม่ถึงว่าจะมาร่วงหล่นในสถานการณ์อย่างนี้

เจ้าไน่จ้งสมควรตายนัก!

ลิ่นเฉิงโย่วถึงจะเอ่ยปากถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเวลาหันหลังกลับไปเก็บอยู่ดี เขาใช้วิชาตัวเบาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตมาสักพัก ก็มองเห็นทางออกอยู่ตรงหน้า แต่ในตอนนี้เองกลับมีน้ำเสียงอบอุ่นก้องกังวานดังมาจากด้านหน้า “สีกาท่านนี้ ขอน้ำให้อาตมาดื่มแล้วหรือยัง”

ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน มองเห็นภิกษุใบหน้าขาวผ่องรูปหนึ่งโบกพัดสานพลางเดินเยื้องย่างเนิบช้ามาจากฝั่งตำหนักใหญ่

สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ฝ่าซือท่านนี้ ข้ามองแล้วไม่คุ้นหน้าเลย ไม่ทราบว่ามาจากที่ใดหรือ”

 

* อักษรเว้า (凹) และอักษรนูน (凸)

* ซวีผูถี หรือพระสุภูติเถระ เป็นหนึ่งในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า มีความสามารถพิเศษในการเรียกฝนให้ตกลงมาได้อย่างอัศจรรย์

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนตุลาคม 66)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: