X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 1 บทที่ 13-บทที่ 14

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 13

เป็นความฝันจริงๆ ใช่หรือไม่

แต่งงานกับแม่ทัพเป่ยเจิงเซ่าหมิงยวนเป็นความฝัน ท่านปู่ล่วงลับเป็นความฝัน พ่อแม่ญาติพี่น้องถูกไฟคลอกตายเป็นความฝัน ถูกธนูยิงตายบนกำแพงเมืองหนาวเหน็บอย่างเปล่าเปลี่ยวก็เป็นความฝัน

ดังนั้นพอตื่นขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหมือนเดิมแล้วกระมัง…

รูม่านตาของหมอเทวดาหดแคบลงฉับพลัน

คำเรียกขานนี้…

“เจ้าเป็นใคร” เขาจับมือเฉียวเจาพร้อมกับตวาดถาม

พอมือผอมแห้งหยาบกร้านวางทาบบนข้อมือ เฉียวเจาก็ตื่นเต็มตาทันใด นางหลุบตาเพ่งมองมือข้างนั้นนิ่งๆ

นางคุ้นเคยกับเจ้าของมือข้างนี้ดี เขาเคยจับมือนางสอนให้ฝังเข็มนวดคลึง เขาแย้มยิ้มบีบปลายจมูกนางบอกว่านางเรียนรู้ไว

เขาเป็นท่านปู่หลี่ของเฉียวเจา แต่ไม่อาจเป็นของหลีเจาได้

“แม่นางน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่” หมอเทวดาหลี่หาใช่คนอารมณ์เย็นไม่ น้ำเสียงของเขาปึ่งชาขึ้นหนึ่งส่วน

เฉียวเจาช้อนตาขึ้นสบตาเขา สุ้มเสียงของนางไม่อ่อนนุ่มเฉกเช่นปกติเพราะเป็นไข้ มันแหบแห้งคล้ายสายลมโชยผ่านพื้นหญ้าเขียว “ข้าเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์หลีในเมืองหลวง ท่านเป็นใครเจ้าคะ”

หมอเทวดาหลี่ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”

เด็กสาวผู้นี้ไม่ชอบมาพากล ก่อนหน้านี้เรียกขานเขาว่าท่านปู่หลี่ชัดๆ แล้วคำคำนี้มีแค่แม่นางน้อยคนหนึ่งเท่านั้นที่เคยเรียก

เฉียวเจาเผยสีหน้างุนงง นัยน์ตาดำขลับสุกใสทั้งคู่หรี่ลงน้อยๆ ละม้ายทบทวนความทรงจำอยู่ “เมื่อครู่นี้ข้าอยากพูดว่า ท่านปู่…ผู้นี้เป็นใครเจ้าค่ะ”

นางคลี่ยิ้มอย่างใสซื่อ “แต่ว่ายังพูดไม่จบ ท่านก็ตัดบทข้าเสียแล้ว”

หมอเทวดาหลี่อึ้งงันไป

ท่าน…ท่านปู่หลี่? ท่าน…ท่านปู่ผู้นี้…

ที่แท้ฟังผิดไปเอง

เขาปล่อยข้อมือเฉียวเจา ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดในใจยังรู้สึกแปลกชอบกลอยู่หลายส่วน

เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าเด็กสาวพิลึกพิลั่นหัวไวผู้นี้กับเด็กสาวฉลาดปราดเปรื่องผู้นั้นคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

อาการป่วยของนางก็น่าสนใจ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องตัวร้อนเป็นไข้ ขวัญหรือกายละเอียดของนางยังไม่ค่อยมั่นคง ราวกับว่าดวงจิตกับกายหยาบไม่อาจประสานรวมกันได้สนิทแล้วจะหลุดแยกกันกระนั้น

หมอเทวดาหลี่คิดไปถึงสิ่งที่ฝักใฝ่ศึกษามาตลอดสองปีนี้ด้วยความหลงใหล แล้วความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัวอย่างเลือนราง ก่อนจะตะเบ็งเสียงเรียก “เข้ามาเถอะ!”

เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมพระพายฤดูใบไม้ผลิพัดโกรกเข้ามาทางประตูพาให้สมองแจ่มใส

ฉือชั่นทอดสายตามองตรงไปที่เฉียวเจา เมื่อเห็นนางฟื้นแล้ว ริมฝีปากที่เม้มแน่นอยู่ตลอดก็คลายออกเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น ตอนนี้เขาถึงมองไปทางหมอเทวดาหลี่

หมอเทวดาเปลี่ยนท่าทีไปไม่ไร้อัธยาศัยเฉกก่อนหน้า เอ่ยถามอย่างสุภาพนุ่มนวล “แม่นางน้อยเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”

ฉือชั่นถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นหมาป่าหางยาวตัวหนึ่ง หรือไม่ก็พวกเสือเฒ่าเขี้ยวลากดินพรรค์นั้น

“พานพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น…” ฉือชั่นรีบพูดออกตัวทันที

“พานพบกันโดยบังเอิญหรอกหรือ…” หมอเทวดาหลี่ลากเสียงยาว

ฉือชั่นหยั่งเดาเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออก เขาจึงพูดอธิบาย “แม่นางน้อยถูกคนร้ายล่อลวงมา แล้วพวกข้าพบเห็นเข้าโดยบังเอิญ พวกข้าเห็นว่าไปทางเดียวกันเลยแวะส่งนางกลับเรือน”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” หมอเทวดาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ยิ้มตาหยีพลางกล่าวขึ้น “แม่นางน้อยป่วยหนักไม่เบา คงไม่หายสนิทได้ในวันสองวัน เอาเช่นนี้เถอะ ให้แม่นางน้อยคนนี้ตามข้าไปดีกว่า ข้ารักษานางหายแล้วจะส่งนางกลับเรือนเป็นอันสิ้นเรื่อง”

“นางจะกลับเมืองหลวงนะ” ฉือชั่นก็ไม่เข้าใจว่าไฉนตนเองตอบกลับรวดเร็วเช่นนี้

“เช่นนั้นยิ่งดีใหญ่” หมอเทวดาลูบหนวด “ข้าจะไปเมืองหลวงเหมือนกัน เดินทางให้ช้าลงสักหน่อยจะได้รักษาแม่นางน้อยสะดวก”

ฉือชั่นไม่กล่าววาจาแล้ว เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นี่ต้องไต่ถามความเห็นของนางเอง”

ตาเฒ่าผู้นี้มิใช่โจรลักพาตัวกระมัง เด็กสาวนั่นแค่ตัวร้อนเท่านั้น ป่วยหนักไม่เบาที่ใดกัน

หมอเทวดาหลี่หันหน้าไปถามยิ้มๆ “แม่นางน้อย ข้าเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งในแผ่นดิน อยากตามข้าไปหรือไม่”

เฉียวเจาไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ไปเจ้าค่ะ”

ความต้องการเดิมของนางคือกลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ครั้นได้มาพบกับหมอเทวดากลางทาง ต่อให้ไม่เอ่ยถึงความหลังครั้งอดีต เมื่อเทียบกับคุณชายหนุ่มสามคนส่งนางกลับเรือนแล้ว มีหมอเทวดาท่านหนึ่งส่งนางกลับเรือน จะส่งผลต่อสถานการณ์ในวันข้างหน้าของนางต่างกันอย่างแน่นอน

เฉียวเจาไม่โง่เขลา ย่อมรู้ว่าต้องเลือกทางใดเป็นธรรมดา

ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง เขาพูดเน้นเสียงหนักทีละคำด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคิดดีแล้วนะ”

เฉียวเจาพยักหน้าอย่างน่ารักรู้ความ “คิดดีแล้วเจ้าค่ะ”

ฉือชั่นขุ่นใจมาก หมุนกายสะบัดแขนเสื้อจะออกเดินไป แต่แล้วก็หันหลังขวับกลับมาเอ่ยถามนางอีก “ไม่กลัวถูกลักพาตัวไปอีกหรือ”

หมอเทวดาหลี่กลอกตาขึ้นพลางพูด “เจ้าหนุ่มตัวเหม็นพูดอะไรของเจ้า”

เฉียวเจาหัวเราะเสียงนุ่มเบา “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านเป็นหมอเทวดา”

“คนอื่นพูดอะไร เจ้าก็เชื่อหรือ” ฉือชั่นขัดเคืองที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ

ปฏิภาณไหวพริบของแม่นางน้อยตัวดีเวลานี้หายไปที่ใดหมด

เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ “ถ้ามิใช่หมอจริงๆ คนฉลาดมีสติปัญญาชั้นยอดและระวังรอบคอบอย่างพี่ฉือจะปล่อยให้เขาตรวจอาการป่วยของข้าได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

มุมปากของฉือชั่นกระตุกริก

มารดามันเถอะ ช่างพูดได้…มีเหตุผลจริงๆ!

ฉือชั่นหมดคำพูด เขามองดูเด็กสาวแล้วคับอกคับใจแปลกๆ ลูบจมูกแล้วหมุนกายเดินไป

อีกสามคนที่ตามเข้ามากลับไม่ยอม หนึ่งในนั้นลุกลนเอ่ยขึ้น “ท่านหมอเทวดา นี่…ไม่ใคร่สะดวกกระมังขอรับ”

เจ้านายกำชับนักกำชับหนาว่าต้องเชิญหมอเทวดากลับไปเงียบๆ จะให้เกิดปัญหาอื่นแทรกขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

หมอเทวดาหลี่ถลึงตา “มีอะไรไม่สะดวกรึ หากพวกเจ้ารู้สึกไม่สะดวกก็ไปเอาเอง! แม่นางน้อยผู้นี้ป่วยหนักอยู่ ผู้เป็นแพทย์ต้องมีจิตใจเมตตาการุณย์ แล้วข้าจะเห็นคนตายต่อหน้าแล้วไม่ช่วยได้หรือ”

ทั้งสามคนแอบเหยียดมุมปากพร้อมกัน

พูดราวกับว่าท่านมีจิตใจเมตตาการุณย์เหลือเกินก็ไม่ปาน

พวกเขาต้องลำบากลำบนไม่น้อยกว่าจะตามหาหมอเทวดาผู้นี้พบ แต่พูดอ้อนวอนสารพัดก็ไม่ยอมตามพวกเขาเข้าเมืองหลวง สุดท้ายเข้าตาจนต้องงัดไม้ตายออกมา ใช้สมุนไพรวิเศษหายากต้นหนึ่งในครอบครองของเจ้านายถึงทำให้หมอเทวดาเปลี่ยนใจ

พอเจอกับแม่นางน้อยผู้นี้ก็มีใจเมตตาการุณย์เสียแล้ว?

สายตาของทั้งสามคนมองสำรวจใบหน้าของเฉียวเจารอบหนึ่งแล้วลอบคิดในใจว่าที่แท้หมอเทวดาก็ดูคนที่รูปโฉมเหมือนกัน

“พวกเจ้ายังมีข้อขัดข้องอะไรอีกหรือไม่” หมอเทวดาหลี่ถามด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า

ทั้งสามคนทำหน้าซื่อๆ “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”

“ไม่กล้าก็ดี พาแม่นางน้อยผู้นี้ไปด้วย ไปกันเถอะ”

“รอประเดี๋ยว” ฉือชั่นไปแล้วย้อนกลับมาลากตัวหยางโฮ่วเฉิงที่ยังไม่ได้สติ เขาจ้องหน้าหมอเทวดาหลี่พลางกล่าวโดยไม่แม้แต่จะมองเฉียวเจาสักแวบ “ท่านหมอโปรดให้ความเมตตาการุณย์ ช่วยให้สหายข้าผู้นี้ฟื้นขึ้นด้วย”

หมอเทวดาหลี่เบะปากยิ้มเยาะ “ผู้เป็นแพทย์มีใจเมตตาการุณย์กับใจดีพร่ำเพรื่อมิใช่เรื่องเดียวกันนะ”

อีกสามคนผงกศีรษะพร้อมเพรียงกัน

เห็นหรือไม่ นี่ต่างหากโฉมหน้าที่แท้จริงของหมอเทวดาท่านนี้

เฉียวเจานิ่งเฉยมองดูอยู่ห่างๆ หากในใจนึกฉงนเป็นอันมาก

ในความทรงจำแม้ว่าหมอเทวดาหลี่จะเป็นมิตรกับนาง นั่นเป็นเพราะว่าเขากับท่านปู่เป็นสหายสนิทกัน อีกทั้งนางนั้นก็พอถูๆ ไถๆ นับได้ว่าเป็นลูกศิษย์เขาครึ่งตัว แต่กับคนอื่นเขาจะไม่ชอบสุงสิงด้วยเสมอ

เพราะเหตุใดพอได้พบกันครั้งแรกหลังนางกลายเป็นหลีเจา หมอเทวดาหลี่ถึงอยากให้นางติดตามอยู่ข้างกาย

หรือว่าเสียงเรียก ‘ท่านปู่หลี่’ ทำให้ท่านผู้เฒ่าบังเกิดความสงสัยในที่สุดใช่หรือไม่

นอกจากท่านปู่ที่สิ้นบุญไปแล้ว ไม่มีคนใดแจ่มแจ้งยิ่งกว่าเฉียวเจาว่าหมอเทวดาท่านนี้เป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศน่าทึ่งปานใด วิชาแพทย์ของเขาลึกล้ำเกินหยั่ง ช่วงที่ผ่านมายิ่งใกล้เทียบขั้นเซียนแล้ว คนอย่างนี้จะสัมผัสถึงเรื่องลี้ลับพิสดารบางอย่างได้เฉียบไวกว่าคนธรรมดาสามัญ หาใช่เรื่องแปลกไม่

ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง เฉียวเจาอ้าปากพูด “ท่านหมอเทวดาเจ้าคะ พวกพี่ฉือสามคนเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าอยากรอหลังจากพี่จูกลับมาและพี่หยางฟื้นสติแล้ว กล่าวอำลากับพวกเขาก่อนค่อยติดตามท่านไปเจ้าค่ะ”

ถึงแม้นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างที่นางหมดสติ แต่คาดเดาได้ว่าพี่หยางเป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะนาง ด้านหมอเทวดาหลี่ก็สนใจนางอย่างเห็นได้ชัด ดูทีว่าคงไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้ตามคำขอของนางเป็นแน่

ไม่เหนือความคาดหมายของเฉียวเจาจริงๆ หมอเทวดาหลี่ฟังนางกล่าวจบก็ก้าวขาเดินไปข้างกายหยางโฮ่วเฉิง เอายาลูกกลอนสีใสแวววาวเม็ดหนึ่งวางบนมือและตบเข้าปากเขาทันที

บทที่ 14

“แค่กๆ” หยางโฮ่วเฉิงไอโขลกๆ ก่อนฟื้นสติ

เขามองไปรอบๆ อย่างงุนงง เห็นในห้องมีคนอื่นอีกสามคน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ชักกระบี่แล้วพุ่งเข้าใส่

ฉือชั่นคว้าเสื้อด้านหลังของเขาไว้ พูดเสียงเย็นๆ ว่า “ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตแล้ว มิใช่กงการอะไรของพวกเราแล้ว”

หยางโฮ่วเฉิงหยุดตั้งท่าจู่โจม เขางุนงงมากขึ้น “หมายความว่าอะไร”

ฉือชั่นยกคางชี้ไปทางเฉียวเจา “นางจะไปกับหมอเทวดา”

หยางโฮ่วเฉิงเห็นเฉียวเจาฟื้นแล้ว แววปีติยินดีจากใจจริงฉายฉานเต็มหน้าในทันใด เขาก้าวขาเดินไปแล้วหากล่าวว่า “ดีเหลือเกิน ในที่สุดก็แม่นางน้อยฟื้นแล้ว”

ความดีใจที่เกิดขึ้นกะทันหันเป็นเหตุให้เขาลืมเรียกขานนางว่า ‘คุณหนูหลี’ อย่างมีมารยาท

กระนั้นเฉียวเจาย่อมไม่ถือสาอย่างแน่นอน นางอมยิ้มมองเขา “ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงของนางแหบต่ำทำให้หยางโฮ่วเฉิงมุ่นคิ้ว “เสียงแหบหมดแล้ว ยังไม่ค่อยสบายกระมัง”

“อื้อ แล้วก็เวียนศีรษะนิดหน่อย ท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าป่วยหนักพอสมควร ให้ข้าไปกับเขาจะได้รักษาสะดวกเจ้าค่ะ”

หยางโฮ่วเฉิงนิ่งงันไป จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมา “ที่แท้เป็นเช่นนี้ มีหมอเทวดาดูแลเจ้า ดีกว่าอยู่กับพวกข้าจริงๆ”

ฉือชั่นเม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา

ยามนี้เองสุ้มเสียงสุภาพอ่อนโยนของบุรุษดังขึ้นที่หน้าประตู “คุณหนูหลีจะไปกับผู้ใดหรือ”

ทุกคนหันไปมอง เห็นชายหนุ่มรูปโฉมเกลี้ยงเกลานุ่มนวลดั่งหยกผู้หนึ่งก้าวเข้ามา มีเด็กสาววัยราวสิบห้าสิบหกผู้หนึ่งเดินตามหลังต้อยๆ

หยางโฮ่วเฉิงกล่าวไขความกระจ่างกับจูเยี่ยนอย่างว่องไว

พอฟังเขาอธิบายจบ จูเยี่ยนมองเฉียวเจาปราดหนึ่งแล้วกล่าวแฝงนัยลึกซึ้ง “เจ้าพูดถูกต้อง คุณหนูหลีไปกับหมอเทวดาจะดีกว่า”

เขาพูดจบแล้วโค้งกายต่ำแสดงคารวะต่อหมอเทวดา เอ่ยเสียงดังกังวาน “เช่นนั้นก็ไหว้วานท่านหมอเทวดาด้วยขอรับ”

ฉือชั่นเห็นสหายรักทั้งคู่ล้วนกล่าวเช่นนี้แล้วมองดูท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอันใดของแม่นางน้อยอีกครา พาให้ในใจคับข้องหนักขึ้น เขาบังเกิดความรู้สึกคลับคล้ายว่าผักกาดขาวที่ตนเองเก็บได้จากข้างทางโดนสุกรคาบเอาไป*

แม้นเขาไม่ได้หวงแหนผักกาดขาวหัวนั้น แต่เจ้าผักกาดขาวยอมตามสุกรไปโดยไม่แยแสเขา มันเป็นรสชาติที่เจ็บแสบจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆ เก็บของสิ เดินทางราบรื่น ไม่ไปส่งล่ะ” ฉือชั่นกล่าวอย่างเย็นชา

เขาเกิดมารูปงาม ทำสีหน้าเฉยเมยอย่างนี้ยังคงหล่อเหลาชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลดุจเดิม

จูเยี่ยนมองสหายรักอย่างพินิจครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคนบางคนกำลังโกรธงอนอยู่ในใจแล้ว

เขากลั้นยิ้มพลางรุนหลังเด็กสาวที่ตามติดอยู่ข้างกายออกไป “คุณหนูหลี หนทางกลับเมืองหลวงยาวไกล เจ้าตัวคนเดียวมีเรื่องไม่สะดวกอยู่มาก ข้าซื้อสาวใช้ผู้หนึ่งมาให้”

เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้าง นางมองสาวใช้แวบหนึ่ง เห็นหน้าตาหมดจดสะอาดตา มาตรว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายจะดูประหม่าอยู่บ้างแต่ไม่ตัวสั่นงันงก บ่งบอกได้ว่าเขาเลือกเฟ้นอย่างพิถีพิถันแล้ว ในใจก็อบอุ่นอย่างช่วยไม่ได้ นางพูดอย่างซาบซึ้งจากใจจริง “ขอบคุณที่ใส่ใจเจ้าค่ะ พี่จู”

จูเยี่ยนส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางแล้วหันไปเอ่ยกับหมอเทวดาหลี่ “พวกข้าเหมาเรือลำนี้ไว้ ยังมีห้องว่างไม่น้อย ในเมื่อต่างจะกลับเมืองหลวง ไยท่านหมอเทวดาไม่ไปพร้อมกับพวกข้าขอรับ”

หยางโฮ่วเฉิงตบศีรษะตนเอง “จริงสิ เดินทางด้วยกันก็สิ้นเรื่อง ข้ามัวตื่นตระหนกจนลืมไปเสียได้”

จูเยี่ยนส่งสายตาถาม สหายรักเป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินแล้วจะตื่นตระหนกอะไร

หยางโฮ่วเฉิงแบมือยักไหล่อย่างจนใจ

หมอเทวดาที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านนี้โปรยเข็มปักผ้าตามสบายยังทำให้เขาโดนพิษจนล้มตึง ส่วนรสเผ็ดร้อนของยาถอนพิษนั่นคงยากที่เขาจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต แล้วเขาจะไม่ตื่นตระหนกได้หรือ แค่ว่าอย่ายกเรื่องน่าอายพรรค์นี้มาพูดต่อหน้าธารกำนัลเลย

ฉือชั่นมิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับเงี่ยหูผึ่ง

ฝ่ายเฉียวเจามีสีหน้าเรียบเฉย นางรู้ว่าหมอเทวดาหลี่ต้องไม่เห็นด้วยแน่ เหตุผลน่ะหรือ…

หมอเทวดาหลี่โบกมือไปมาพลางกล่าวโพล่งคำหนึ่ง “ไม่ได้ ข้าเมาเรือ”

“…” ทุกคนถึงกับพูดคำใดไม่ออก

หมอเทวดาหลี่ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรโดยสิ้นเชิง เขาหมุนกายไปพูดกำชับเฉียวเจา “รีบเก็บของเถอะ ข้ารอเจ้าที่ท่าเรือ”

“เจ้าค่ะ” นางขานตอบอย่างว่าง่าย

รอเมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงเฉียวเจากับสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่สองคน นางถึงพูดอย่างสุภาพนุ่มนวล “รบกวนเจ้าด้วย”

“คุณหนูจะทำให้บ่าวอายุสั้นนะเจ้าคะ” สาวใช้เริ่มเก็บของอย่างคล่องแคล่ว พลางลอบประหลาดใจที่เจ้านายคนใหม่โฉมงามพริ้มเพราอ่อนหวานทว่านิสัยเฉยเมยเงียบขรึม

นางหาได้รู้ไม่ว่าเพลานี้เฉียวเจากำลังทรมานทั้งกายใจ เมื่ออารมณ์ที่ตึงเครียดอยู่ผ่อนคลายลง ไหนเลยจะยังอยากกล่าววาจา

เฉียวเจามีสัมภาระนับชิ้นได้ สาวใช้เก็บเสร็จใช้เวลาไปยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา* นางถือห่อผ้าห่อเล็กๆ แล้วบอกกับเฉียวเจาที่เอนกายงีบหลับอยู่บนเตียง “คุณหนู เก็บของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวเจาลืมตาขึ้น ดวงตาดำสนิททั้งคู่มีประกายเพียงน้อยนิด นางฝืนลุกขึ้น “ประคองข้าออกไปเถอะ”

นางเดินเองไม่ไหวเพราะเป็นไข้จนอ่อนระโหยโรยแรงไปทั้งสรรพางค์กายแล้ว

สาวใช้สืบเท้าก้าวหนึ่งเข้ามาพยุงแขนนาง

นายบ่าวสองคนเดินออกไปก็เห็นจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงรออยู่ด้านนอก แต่กลับไร้วี่แววของฉือชั่น

ไม่รอให้พวกเขาเอ่ยปาก เฉียวเจาก็แกะมือสาวใช้ออกและย่อกายคำนับ “พี่จู พี่หยาง หลายวันมานี้ต้องขอบคุณพวกท่านที่คอยดูแล วันหน้าถ้ามีโอกาส ข้าต้องตอบแทนแน่นอนเจ้าค่ะ”

หยางโฮ่วเฉิงโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ เจ้ากลับถึงเรือนอย่างปลอดภัยก็พอ”

จูเยี่ยนเลื่อนสายตาลงไปหยุดที่หน้าผากเกลี้ยงเนียนของเด็กสาว บนนั้นมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราว ทว่าท่วงท่าที่นางแสดงคารวะต่อพวกเขางดงามแช่มช้อย

จูเยี่ยนนึกทึ่งในใจ เขาอ้าปากกล่าว “คุณหนูหลี ข้าคือ…จูเยี่ยน หากกลับถึงเมืองหลวงแล้วประสบความลำบากใด ไหว้วานคนไปหาข้าที่จวนไท่หนิงโหวได้…”

เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย อีกฝ่ายยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามและศักดิ์ฐานะกับนาง นี่คือเห็นนางเป็นสหายแล้วจริงๆ

หยางโฮ่วเฉิงมองสหายรักอย่างหลากใจ ก่อนจะกล่าวบ้าง “หยางโฮ่วเฉิง จวนหลิวซิ่งโหว แม่นางน้อยอย่าลืมข้าพี่หยางล่ะ”

เขานึกว่านิสัยอย่างจูเยี่ยนไม่มีทางบอกศักดิ์ฐานะแท้จริงกับสตรีนางหนึ่งง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าจะชิงตัดหน้าเขา

“ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ” มุมปากของเฉียวเจาประดับรอยยิ้มอยู่ตลอด แต่เหงื่อเย็นไหลลงมาตามข้างแก้มแต่แรกนางกลับไม่ใส่ใจ ไต่ถามอย่างตรงไปตรงมา

“พี่ฉือล่ะเจ้าคะ”

พี่ฉือ…

จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงลอบสบตากัน

พักนี้ดูเหมือนเจ้านั่นสติไม่เต็มเต็งอยู่สักหน่อย

หยางโฮ่วเฉิงพูดชวนขบขัน “เขาน่ะหรือ เห็นเจ้าจะไปแล้วคงเสียอกเสียใจเต็มทีก็เลยแอบร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่กระมัง”

แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อว่าถ้อยคำนี้เป็นความจริง เฉียวเจากล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ชายทั้งสองกล่าวอำลาพี่ฉือแทนข้าด้วยเจ้าค่ะ”

นางย่อกายอีกครั้ง จากนั้นเกาะแขนสาวใช้ แล้วหมุนกายเดินไปทางรถม้าที่รออยู่ข้างท่าเรือ

พวกจูเยี่ยนนิ่งเงียบมองดูนางก้าวขึ้นรถม้าไปโดยไม่เหลียวหลังตลอด

“แม่นางน้อยผู้นี้บอกว่าจะไปก็ไปเลยจริงๆ” จู่ๆ ก็ขาดไปคนหนึ่ง หยางโฮ่วเฉิงรู้สึกใจหายอยู่บ้าง

“นั่นสิ หลังจากนี้ข้าคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแล้ว”

“หือ?”

“ก็ต้องถูกสือซีลากตัวไปเดินหมากอีกแล้วน่ะสิ”

ทั้งคู่พูดหยอกล้อกันก่อนจะย้อนกลับไปทางห้องในตัวเรือ เห็นม่านประตูรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลถูกเลิกขึ้นกะทันหัน สาวใช้ก็กระโดดลงมา

พวกเขาหยุดฝีเท้า

สาวใช้วิ่งมาถึงเบื้องหน้าในชั่วพริบตา นางแสดงคำนับก่อนค่อยยื่นขวดกระเบื้องสีขาวใบหนึ่งส่งให้พร้อมกล่าวบอกรัวเร็ว “นี่เป็นยาสมานแผลที่คุณหนูขอมาจากท่านหมอเทวดาให้คุณชายฉือเจ้าค่ะ”

นางวางขวดกระเบื้องลงบนมือจูเยี่ยน จากนั้นคารวะพวกเขาเป็นคำรบที่สองแล้วเดินลิ่วๆ กลับไป

“แม่นางน้อยนั่นช่างมีน้ำใจโดยแท้” หยางโฮ่วเฉิงมองดูรถม้าออกแล่นช้าๆ พลางเอ่ยพึมพำ

จูเยี่ยนยิ้มแย้ม เขากำขวดกระเบื้องในมือแน่น หมุนกายกลับไปก็เห็นฉือชั่นยืนอยู่หน้าประตูไม่พูดไม่จา

เขาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดใหม่แล้ว มองไม่เห็นคราบเลือดเปรอะทั่วหัวไหล่อีก

จูเยี่ยนตวัดข้อมือโยนขวดกระเบื้องไปให้

ขวดกระเบื้องสีขาวกระจ่างพุ่งลอยเป็นวิถีโค้งสวยงามกลางอากาศไปตกลงในมือฉือชั่นอย่างแม่นยำ

เขากำมันไว้แน่นไม่กล่าวคำใด และหันหลังกลับเข้าห้องไป

 

เชิงอรรถ

* ผักกาดขาวกับสุกร เป็นคำอุปมา หมายถึงผู้หญิงกับผู้ชายที่ไม่คู่ควรกัน ในทำนองเดียวกับสำนวนที่ว่า ดอกไม้สดปักในกองขี้วัว

* หนึ่งถ้วยชา เป็นคำอุปมา หมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าเทียบได้กับเวลาประมาณ 10-15 นาที

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: