บทที่ 415
มันเป็นภาพวาดกองหิน
บนกระดาษสีขาวมีกองหินโดดเดี่ยวกองหนึ่งแค่นี้ ลายเส้นหยาบๆ จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตำแหน่งที่ตั้งของมันได้พบ
เซ่าหมิงยวนกลับพบว่าสีหน้าของเฉียวเจาผิดปกติไปบ้าง “เจาเจา?”
นางเพ่งมองกองหินที่ปรากฏบนกระดาษอย่างเหม่อลอย ขยับๆ ริมฝีปากถึงเปล่งเสียงพูดออกมาได้ประโยคหนึ่งคล้ายว่าต้องใช้เรี่ยวแรงจนหมดทั้งกาย “ข้ารู้ว่าที่นี่คือที่ใด”
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ “เป็นสถานที่ใดหรือ”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นสบตาเขา แพขนตายาวดุจปีกแมลงกระพือขึ้นลงเบาๆ นางเม้มปากแล้วพูด “นี่คือสวนหินในสวนดอกไม้เรือนข้า”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไปในคราแรก จากนั้นถึงรู้สึกว่าเดิมก็สมควรเป็นเช่นนี้
ภาพกองหินหยาบๆ ไม่มีจุดเด่นใดกองหนึ่งเช่นนี้ถูกวาดอยู่โดดๆ บนกระดาษสีขาว หากไม่ได้เป็นสิ่งที่เจาเจาคุ้นเคยมากที่สุด มีหรือท่านพ่อตาจะจงใจให้คนมอบต่อให้นาง
ทอดสายตามองไปทั่วหล้ายามนี้ นอกจากเจาเจาแล้ว เกรงว่าไม่ว่าใครก็ตามได้สารฉบับนี้ไปล้วนต้องงุนงงไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มอดนับถือในความสุขุมรอบคอบของใต้เท้าเฉียวไม่ได้
สารฉบับนี้น่าจะเกิดจากการคาดคะเนสถานการณ์ไปในทางร้ายมากที่สุดของท่านพ่อตาเขา
“สวนหินในสวนดอกไม้เรือนข้ามีโพรงจุดหนึ่ง ทิศทางของปากโพรงเป็นช่องลมโกรกพอดี สมัยข้าเป็นเด็กพอถึงฤดูร้อนมักจะหลบอยู่ในนั้นรับลมเย็นเสมอ ดังนั้นทุกๆ เส้นสายโค้งเว้าของมันล้วนจดจำได้แม่นยำ ถึงแม้กองหินในภาพนี้จะวาดหยาบๆ ทว่าข้ามองปราดเดียวก็แน่ใจว่าเป็นที่นั่นอย่างไร้ข้อกังขา” เฉียวเจาลูบไล้กระดาษสารพลางพูดพึมพำ “ไม่รู้ว่าในโพรงสวนหินเก็บซ่อนอะไรไว้ แล้วมันเสียหายไปในเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นหรือไม่”
“ไปดูก็สิ้นเรื่อง”
“นายอำเภอหวังจับตาดูอยู่นะ”
แผนล่องูออกจากถ้ำเป็นเรื่องหนึ่ง เมื่อมีของสำคัญต้องไปค้นหาจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์เสมอ เป็นธรรมดาที่ไม่อยากให้เกิดปัญหาใหม่แทรกขึ้น
“ตอนดึก”
นางนิ่งขึงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้”
ยามเที่ยงคืนผืนฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว มีเมฆดำบดบังดวงจันทร์ไว้พอดี ดวงดาวทอแสงริบหรี่บางตา
ภายนอกมืดสนิทจนน่าพรั่นใจ
ในความมืดชายหนุ่มคว้ามือเฉียวเจาขึ้นมาพร้อมกระซิบบอก “ไม่มีแสงจันทร์กลับทำอะไรได้สะดวก”
แม่นางเฉียวไม่รู้ว่าจะพูดตอบอย่างไรดีโดยสิ้นเชิง
ไม่มีแสงจันทร์ทำอะไรได้สะดวก ด้วยเหตุนี้คนบางคนก็สามารถจูงมือนางได้อย่างเปิดเผยหรือ
แน่นอนว่าคราครั้งนี้เฉียวเจามิได้ขัดขืน
แต่ละเรื่องต้องรู้จักแยกแยะหนักเบาเร็วช้า การไปค้นดูสวนดอกไม้เรือนสกุลเฉียวให้แน่ชัดเป็นเรื่องสำคัญ ในค่ำคืนเฉกนี้นางมองไม่เห็นแม้แต่ทางเดิน มีคนจูงมือไว้ย่อมอุ่นใจ หาไม่แล้วหากหกล้มลงไป เจ็บตัวกลับไม่เป็นอะไร แต่ทำให้คนอื่นไหวตัวทันต่างหากถึงน่าปวดศีรษะ
เฉียวเจาโอนอ่อนคล้อยตามเช่นนี้ทำให้เซ่าหมิงยวนอมยิ้มน้อยๆ
มือของเด็กสาวนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก เขาออกแรงบีบทีหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่
นางพูดเอ็ดเสียงเบาๆ “เซ่าหมิงยวน”
ในม่านราตรีเขามองไม่เห็นสีหน้าของนาง เพียงรู้สึกว่าเสียงเรียก ‘เซ่าหมิงยวน’ ละม้ายขนนกซุกซนที่สะกิดหัวใจเขาให้คันยุบยิบ
“อย่าส่งเสียง” ชายหนุ่มยื่นหน้าไปพูดเบาๆ ข้างใบหูนาง
พูดจบเขาพลันโอบเอวนางไว้พร้อมกับกระโดดตัวลอยขึ้นจากพื้น ใช้อีกมือหนึ่งเกาะขอบกำแพง
อีกฟากหนึ่งของกำแพงเป็นความมืดมิดอันธการ ต้นไม้ใบหญ้าเป็นเงาดำตะคุ่มๆ ประหนึ่งภูตผียืนอยู่นิ่งๆ
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาทิ้งตัวลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เขากระซิบถาม “ยืนทรงตัวได้แล้วหรือยัง”
นางพยักหน้าตอบ
เขาปล่อยมือจากเอวเล็กบางแล้วบอกเบาๆ “เช่นนั้นไปกันเถอะ”
“จัดการคนที่เฝ้าดูอยู่แล้วหรือ” เฉียวเจาถามเสียงค่อย
“จัดการแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ตอนนั้นคนผู้นั้นกำลังหลับสบาย รอพรุ่งนี้เขาตื่นขึ้นก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร เพียงนึกว่าตนเองเผลอหลับไป”
ทั้งสองกุมมือกันเดินตัดผ่านสวนซิ่งจื่อท่ามกลางผืนรัตติกาล
คฤหาสน์หลังใหญ่ของสกุลเฉียวเหลือเพียงซากกำแพงหักพังทอดตัวเป็นแนวในความมืดแฝงความน่าสะพรึงกลัว
กระนั้นในใจเฉียวเจาหาได้หวาดกลัวต่อเรือนที่ใช้ชีวิตอยู่มานานไม่ ขณะที่นางให้เซ่าหมิงยวนจับจูงมือเดินไป ตรงกลางอกมีเพียงความระทมขมขื่นเท่านั้น
นางกับบุรุษข้างกายหมั้นหมายกันมานานแสนนาน เขาคือคนที่ท่านปู่เลือกให้ด้วยตนเอง
ช่วงสองปีก่อนท่านปู่ล่วงลับ ได้เร่งรัดให้นางออกเรือนโดยตลอด เห็นได้ว่าในใจท่านวาดหวังอยากให้นางแต่งงานมาก
ใช่หรือไม่ว่าท่านปู่ยังวาดหวังอีกว่าสักวันหนึ่งนางกับบุรุษผู้นี้จะจูงมือกันเดินเข้าสู่เรือนในสวนซิ่งจื่อมาเยี่ยมท่าน
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ เฉียวเจาบีบมือที่กุมฝ่ามือใหญ่สากด้านของเขาแน่นขึ้น
ชายหนุ่มย่อมรับรู้ได้ เรียวคิ้วของเขาที่เร้นอยู่ในเงามืดเลิกขึ้นเล็กน้อย
“เดินระวังๆ” เขากระซิบบอกที่ข้างหูเด็กสาว
“ไปทางนี้” ที่นี่เป็นเรือนของนาง ถึงเฉียวเจาหลับตาก็ยังจดจำได้ทุกซอกมุม
นางจับมือเซ่าหมิงยวนไว้แน่นขณะเดินสลับหยุดพักจนไปถึงด้านข้างสวนหิน
สวนดอกไม้ด้านหลังเป็นจุดที่คงสภาพเดิมไว้ได้มากที่สุดหลังเหตุไฟไหม้ สวนหินที่ก่อสร้างนานหลายปีกับสระน้ำไม่ไกลนักไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร มีเพียงกลิ่นเหม็นเน่าของใบไม้ลอยมาจากในน้ำจางๆ ไม่หลงเหลือภาพความงามของดอกบัวแรกแย้มบานเฉกในวันวานให้เห็นอีกต่อไป
ปากโพรงหินคล้ายสัตว์ดุร้ายอ้าปากใหญ่มหึมาซ่อนตัวอยู่ในความมืดสนิท
เวลานี้เองเซ่าหมิงยวนถึงจุดตะเกียงดับยากที่พกติดตัวมา ใช้เรือนกายสูงใหญ่บดบังแสงไฟไว้แล้วก้มตัวมองเข้าไปข้างในโพรงหิน
มาตรว่าปากทางเข้าจะคับแคบ แต่ภายในกว้างไม่น้อย ใต้แสงไฟที่ส่องสว่างมองเห็นฝุ่นดินเกาะกับหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“แม่ทัพเซ่า ข้าจะเข้าไปดู รบกวนท่านส่องไฟให้ข้าด้วย”
เขารั้งตัวนางไว้ “ข้าเข้าไปเถอะ ในนั้นสกปรก”
“ไม่ต้อง ท่านตัวสูง เข้าไปก็มือไม้เก้งก้าง อีกอย่างหนึ่งไม่คุ้นที่ทางเท่าข้าด้วย”
เขายังจับมือนางไว้ “รอสักครู่”
เฉียวเจาหยุดยืนมองเขา
เซ่าหมิงยวนชูตะเกียงมองสำรวจทั้งสี่ทิศ จากนั้นก้มตัวลงเก็บไม้ไผ่ปล้องหนึ่งตรงริมสระน้ำ เขาถือมันไว้ในมือแล้วแหย่เข้าไปในโพรงหิน
เขาตรวจดูทุกๆ ซอกมุมอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้จุดใดหลุดรอดไปได้
ทันใดนั้นมีบางอย่างพันกับไม้ไผ่ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบนอย่างว่องไว
ใต้แสงตะเกียงเฉียวเจามองเห็นได้ชัดถนัดตาว่านั่นเป็นงูสีเขียวตัวหนึ่ง
นางไม่ได้ร้องอุทาน แต่หน้าซีดเผือดทันใด
ไม่ต้องตรองดูก็รู้ว่าถ้าเมื่อครู่นางเข้าไปทันที ดีไม่ดีเจ้างูตัวนี้อาจจะเลื้อยมาบนตัวนางก็เป็นได้
“เซ่าหมิงยวน…” นางส่งเสียงเรียกเบาๆ
เขายื่นมือจับงูแล้วขว้างไปไกลๆ ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบถึงเบือนหน้ามาถามนาง “ตกใจหรือไม่”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่”
“เข้าไปเถอะ ระวังหน่อยนะ” เซ่าหมิงยวนยืดตัวขึ้นแล้วโยนไม้ไผ่ทิ้งไปบนพื้นเบาๆ
“ขอบคุณมาก” เฉียวเจาอาศัยแสงไฟสลัวมองเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายได้รางๆ
ในยามราตรีดวงตาของเขายิ่งแจ่มกระจ่างเป็นประกายชวนพิศอย่างมาก
จู่ๆ หญิงสาวก็ไม่กล้ามองต่ออีก นางจึงก้มศีรษะลอดเข้าไป
เซ่าหมิงยวนวางตะเกียงไว้ตรงปากทางเข้า ด้านในโพรงหินก็สว่างไสวทันใด
เฉียวเจายกมือลูบไล้ผนังของโพรงหิน
นางคุ้นเคยกับทุกจุดในนี้ หลับตาลงก็ยังนึกภาพออกได้
ท่านพ่อเพียงมอบกระดาษที่วาดรูปสวนหินให้นางแผ่นหนึ่ง เพื่อจะบอกนางว่าที่นี่เก็บซ่อนสิ่งใดไว้นะ
นางคลำหาไปตามผนังหินทีละชุ่น ค้นดูตามซอกหินซึ่งซ่อนของได้ตามความทรงจำจนทั่วแล้วก็ไม่พบอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นบุรุษที่ยืนอยู่ด้านนอกปากโพรงก็ดับตะเกียงพร้อมกับเรือนกายสูงใหญ่แทรกเข้ามา
บทที่ 416
ภายในโพรงไม่นับว่าคับแคบนักเมื่อเทียบกับปากทางเข้า ทว่าพอชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้หนึ่งแทรกตัวเข้ามาก็เบียดเสียดกันทันใด
ตัวเฉียวเจาข้างหนึ่งแนบติดผนัง อีกข้างหนึ่งอยู่ชิดตัวเขา จะหลบก็หลบไม่ได้
กลิ่นอายเฉพาะตัวบุรุษโอบล้อมนางไว้แน่นหนาในพริบตาเดียว
“เซ่า…”
เขายื่นมือปิดปากนางไว้ทันที กระซิบบอกว่า “อย่าพูด มีคนมา”
มีคน? ในใจเฉียวเจาตึงเครียด
หลังเหตุไฟไหม้คราวนั้นเรือนสกุลเฉียวกลายเป็นสถานที่อาถรรพ์ แล้วใครกันจะมาที่นี่โดยปราศจากเหตุผล
หรือว่าคนของฝ่ายนายอำเภอหวังตามมาทันแล้ว
เฉียวเจาลังเลไม่แน่ใจ นางเงยหน้าขึ้นมองเซ่าหมิงยวนตามสัญชาตญาณเลยชนถูกคางเขาโดยไม่ทันระวัง
ปลายคางที่มีไรหนวดเขียวๆ ของบุรุษกระทบกับหน้าผากเนียนเกลี้ยงของนางชวนให้จั๊กจี้วาบหวิว
ในความมืดดวงตามองอะไรไม่เห็น ส่งผลให้ประสาทสัมผัสอื่นแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบไวอย่างยิ่งยวด เสี้ยวขณะนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นพร้อมกัน
ตึกๆๆ
ในโพรงหินเล็กๆ นี้ไม่มีเสียงใดกลบทับเสียงหัวใจเต้นที่แยกแยะไม่ออกว่าเป็นของใครได้
เฉียวเจาสงบอารมณ์อึดใจหนึ่ง ยกมือขึ้นเขียนตัวอักษรตรงกลางฝ่ามือเขา ‘ท่านคิดว่าเป็นใคร’
‘บอกยาก’ เซ่าหมิงยวนเขียนตอบที่มือนางดุจเดียวกัน
‘คงมิใช่คนของนายอำเภอหวังนะ’
‘ตอนมาไม่มีคนสะกดรอยตาม’ เขาเขียนตอบ
นางไม่ถามต่ออีก ในเมื่อเซ่าหมิงยวนบอกเช่นนี้ นางเชื่อในความสามารถจุดนี้ของเขา
เสียงฝีเท้าดังอยู่ใกล้ๆ เฉียวเจาเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วประจักษ์ได้ฉับพลันว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ากำลังตรงดิ่งมาทางโพรงหิน
นางกุมมือบุรุษข้างกายแน่นอย่างสุดระงับ
‘ไม่ต้องกลัว’ เขาเขียนบอกนาง
เด็กสาวพลิกข้อมือเขียน ‘ข้าไม่ได้กลัว ข้าคิดอยู่ว่าหลังพวกเราถูกจับได้ ท่านจะสังหารคนปิดปากหรือไม่’
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
ที่แท้เขาเป็นห่วงโดยใช่เหตุไปเอง จริงสินะ ตอนเด็กสาวข้างๆ ตัวเขาอยู่ในโรงทึมยังกล้าจับศพคนตายน่าเกลียดน่ากลัว ไหนเลยจะหวาดกลัวคนเป็นเล่า
เสียงฝีเท้าดังใกล้ขึ้นทุกทีแล้วเงียบหายไป ทันใดนั้นเสียงของสตรีแรกรุ่นดังลอยมาจากนอกโพรงหินไม่ไกลนักอย่างรวดเร็ว “คนบ้า ก็บอกแล้วว่าอย่าไปที่นั่น”
“ซานหนี ไม่ไปที่นั่นแล้วจะไปที่ใด” เสียงพะเน้าพะนอของหนุ่มน้อยดังขึ้น
แววตาของเฉียวเจาไหววูบหนึ่ง
ฟังจากสุ้มเสียงแล้วชายหญิงคู่นี้คงยังอายุไม่มาก ไม่น่าจะเกินยี่สิบปี
“อย่างไรก็ไม่ไปที่นั่น เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคราวก่อนในนั้นมีงูด้วยนะ ตกใจแทบตายเลยทีเดียว”
“แต่ที่อื่นเจ้าก็บอกว่าถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโกดูน่ากลัวมากไม่ใช่หรือ ซานหนีคนดี พวกเราเข้าไปในโพรงหินกันดีกว่านะ กว่าจะออกมาได้สักครั้งมิใช่ง่ายดาย…”
“ฮึ ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ เจ้าพร่ำบอกว่ารักข้าไม่หยุดปาก สุดท้ายกลับคำนึงถึงแต่ตนเอง…” สาวน้อยส่งเสียงดังขึ้นกะทันหัน “เจ้าทำอะไร รีบปล่อยข้าลงนะ”
“อย่าตีๆ ข้าเชื่อฟังเจ้าแล้ว พวกเราไม่เข้าไปในโพรงหิน ก็อยู่กันที่ข้างสระน้ำนี้เป็นอย่างไร”
สาวน้อยทำเสียงฮึแล้วไม่กล่าววาจาอีก
ด้านนอกพลันเงียบลง
เฉียวเจาย่นหัวคิ้วแทบชนกันอย่างไม่สบอารมณ์มาก
สองคนนี้มาทำอะไรกันลับๆ ล่อๆ ที่ซากเรือนนาง
ในโพรงหินเอย ข้างสระน้ำเอย ยังเปลี่ยนที่กันได้ตามชอบใจ ดูอย่างนี้แล้วไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่นางกับเซ่าหมิงยวนมาที่นี่คืนนี้แน่นอน
สองคนนั้นถือโคมไฟมาด้วย มันส่องแสงวับแวมอยู่นอกโพรงทำให้คนที่เร้นกายในที่ลับพอมองเห็นได้รำไร
เฉียวเจาอดชะโงกศีรษะออกไปไม่ได้ แต่ยังไม่ทันเห็นสภาพการณ์ด้านนอกเต็มตาก็ถูกบุรุษข้างกายดึงตัวกลับมา
‘ข้าจะดูว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่’ เด็กสาวเหยียดนิ้วออกเขียนบนฝ่ามือกว้างใหญ่ของเขาอย่างว่องไว
นางลากขีดสุดท้ายเสร็จ เสียงร้องของสาวน้อยดังขึ้นข้างนอกโดยพลัน เป็นเสียงแหลมสูงห้วนสั้น ทอดหางเสียงกระเส่ารัดรึงใจ
“ซานหนีๆ เจ้าช่างงามเหลือเกิน ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน คิดถึงแทบขาดใจอยู่แล้ว…”
เฉียวเจาหน้าแดงทันใด นางไม่โง่งม ตอนนี้ย่อมกระจ่างแจ้งแล้วว่าคนข้างนอกทำอะไรกันอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ข้ายังถามเซ่าหมิงยวนอีกหรือนี่
ครั้นคิดไปเช่นนี้แม่นางเฉียวก็อยากเอาศีรษะมุดแทรกแผ่นดินใจจะขาด
ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยอับอายขายหน้ามากเท่านี้จริงๆ
ฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งประกบปิดสองหูร้อนวาบๆ ของนาง ปิดกั้นเสียงบาดหูสุดจะทนฟังได้จากข้างนอกไว้
ชายหนุ่มใช้นิ้วก้อยเขียนเบาๆ ตรงข้างแก้มนางบอกว่า ‘กุลสตรี อย่าฟัง’
แสงสว่างด้านนอกส่องเป็นลำๆ เล็ดลอดเข้ามาตามช่อง
หลังจากคุ้นเคยกับความมืดรอบด้านแล้วอาศัยแสงไฟเรื่อๆ นี้ เฉียวเจาพอจะมองเห็นสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ ได้ถนัดตา
เขานั่งตัวตรงแหน็วปิดหูนางไว้อย่างจดจ่อมีสมาธิ สีหน้าเคร่งขรึมมาก แต่ใบหูทั้งคู่กลับเป็นสีแดงๆ อย่างน่าสงสัย
ฝ่ามือที่ปิดหูนางคู่นั้นดูเหมือนยิ่งมายิ่งร้อนลวกผิวมากขึ้น
แม่นางเฉียวกะพริบตาปริบๆ หรือว่าเขาปิดหูนางไว้ไม่ให้ฟัง ส่วนเขาได้ยินเสียงอุจาดพวกนั้นโดยไม่ตกหล่นสักนิด
เช่นนี้ไม่ยุติธรรมจริงๆ
เมื่อนึกถึงเสียงร้องครางกระเส่าสั้นๆ นั่นของสาวน้อยข้างนอก เฉียวเจาบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูก นางยกมือปิดสองหูของเซ่าหมิงยวนโดยไม่ลังเล
นางทำตามอย่างเขา เหยียดนิ้วก้อยเขียนตรงข้างแก้มถามว่า ‘ฟังพอหรือยัง’
ชายหนุ่มหน้าตาแดงก่ำ พยักหน้าอย่างว่าง่าย
มือที่ปิดหูเขาร้อนผ่าวเหลือเกิน ร้อนลวกผิวจนเขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปกปิดสภาพน่าอับอายของบุรุษไว้อย่างระมัดระวัง
เพราะเขามีประสาทหูดีเกินไป เสียงจากข้างนอกจึงยังคงลอดผ่านมือเล็กๆ คู่นั้นมาเข้าหูได้
เซ่าหมิงยวนคิดคำนึงว่าเป็นค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงแล้วแท้ๆ แต่ไฉนในโพรงหินนี้กลับร้อนขึ้นทุกทีเล่า จะต้องเป็นเพราะมันคับแคบเกินไปเป็นแน่
เสียงด้านนอกทวีความดังขึ้นตามลำดับ ยิ่งมายิ่งชวนให้หน้าแดงใจสั่น เซ่าหมิงยวนหยิบก้อนหินใกล้มือซัดออกไปอย่างสุดจะทน
หินก้อนเล็กๆ พุ่งไปโดนบั้นท้ายบุรุษที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาหว่านเมล็ดพันธุ์อยู่เหนือร่างของสตรีอย่างแม่นยำ
เขากระเด้งตัวขึ้นทันควัน “ใคร!”
“อะไรหรือ” ความสุขสมหฤหรรษ์ทำให้หัวสมองของสาวน้อยอึงอลว่างเปล่า กระทั่งท่าทีตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างก็เชื่องช้าลง
ใบหน้าของหนุ่มน้อยซีดเผือด “เมื่อครู่มีคนตีก้นข้า”
“จะมีคนตีก้นเจ้าได้อย่างไรกัน ที่นี่มีพวกเราอยู่กันสองคนมิใช่หรือ…” นางพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักกึก เอ่ยถามเสียงสั่นเทา “หรือว่าจะ…มีผี”
“อย่าพูดสิ รีบไปกัน” เขาลุกลนดึงกางเกงขึ้นพลางฉุดนางลุกขึ้น
สาวน้อยสวมเสื้อไปร้องไห้ไปด้วยความตกใจ “ต้องโทษเจ้าคนเดียว บอกว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด ข้าว่าแล้วเชียวว่าที่นี่น่ากลัวเกินไป…”
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว รีบไปกันเถอะ”
ด้านนอกเงียบเชียบในที่สุด เซ่าหมิงยวนลดมือลง
“ไปแล้วหรือ” เฉียวเจายกมือนวดๆ ใบหู เมื่อครู่คนผู้นี้อุดหูนางไว้แน่นจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด เป็นเหตุให้หูชาไปหมด
“ไปแล้ว” ในความมืดสุ้มเสียงของเซ่าหมิงยวนไม่ใคร่เหมือนกับปกติ
“ท่าน…”
“เป็นเด็กดี อย่าพูดอะไร” เสียงของเขาติดจะแหบพร่าไม่กังวานใสดุจที่ผ่านมา เขาจะดันตัวนางออกไปข้างนอก
น่าเสียดายที่ในโพรงหินคับแคบเกินไป เรือนร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของเด็กสาวยังคงแนบชิดเขาดังเก่า
เซ่าหมิงยวนรำพึงในใจ ที่แท้ความรู้สึกทุรนทุรายยากทานทนกว่าพิษไอเย็นเป็นเช่นนี้นี่เอง
เขาสุดกำลังจะต้านทาน แต่ก็ทนรับไว้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
“เจาเจา…” เขาเรียกขานเสียงหนึ่ง
“หือ?”
แม่ทัพหนุ่มโอดครวญเสียงต่ำ “ข้าทรมานเล็กน้อย”
“เป็นอะไรไปหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.