บทที่ 429
“พี่เซ่า” เฉียวเจามองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
นางเคยเรียกพี่ฉือกับพี่หยางมาแล้ว อันที่จริง ‘พี่เซ่า’ ก็แค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งเท่านั้นมิได้หมายถึงอะไร
เซ่าหมิงยวนย่อมฟังออกว่าเสียงเรียก ‘พี่เซ่า’ นี้เป็นเชิงสัพยอก หาได้แฝงความรู้สึกไว้สักเท่าไรไม่
กระนั้นเขาไม่เพียงไม่ท้อใจ กลับยังลิงโลดใจอีกต่างหาก
คติที่เฉินกวงสอนเขาเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว สตรีที่ชาญฉลาดเยือกเย็นเฉกเจาเจา หากเขามัวแต่ทำหน้าบางสงวนท่าทีไปเรื่อยๆ ชาตินี้อย่าหมายว่าจะได้บอกลาชีวิตบุรุษซึ่งไร้คู่
เมื่อก่อนนางเรียกขานเขาว่า ‘แม่ทัพเซ่า’ อย่างสุภาพ ตอนนี้นางเรียกเขาว่า ‘พี่เซ่า’ ด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเย็นชา ในอนาคตต้องมีสักวันที่นางจะเรียกเขาเสียงอ่อนเสียงหวานว่า ‘ท่านพี่’ แน่
เขาเชื่อมั่นในจุดนี้และเต็มใจทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อวันนั้น ถึงตายก็ไม่พรั่น
ในยามนี้เองสตรีผมเผ้ายุ่งเหยิงนางหนึ่งวิ่งเข้ามา มีคนหลายคนไล่ตามมาข้างหลัง
“ซานหนี อย่าวิ่งสะเปะสะปะ!”
“ซานหนี เจ้ากลับมานะ…”
เด็กสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งผ่านข้างตัวเฉียวเจาไป แต่สะดุดเท้าตนเองจนล้มคะมำไปข้างหน้า
เฉียวเจาตาไวมือไวคว้าตัวไว้หมับ อีกฝ่ายกลับหงายข้อมือผลักนาง
คนสติฟั่นเฟือนมักเรี่ยวแรงดี ทั้งที่เป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าๆ แต่เฉียวเจารู้สึกถึงพลังมหาศาลระลอกหนึ่ง ตัวก็หงายไปด้านหลังอย่างควบคุมไม่อยู่
นางตกลงไปในอ้อมกอดอบอุ่นของคนผู้หนึ่ง
เด็กสาวที่วิ่งเตลิดไปข้างหน้าต่อถูกเฉินกวงที่ยืนอยู่ไม่ไกลขวางหน้าไว้ นางพุ่งถลาเข้าสู่วงแขนของเขา
ปิงลวี่เบิกตากว้างทันใด
เจ้าคนทึ่มเฉินกวงยังโชคดีมีหญิงงามโผมาซบอกเช่นนี้กับเขาด้วยหรือ
มิหนำซ้ำยังกอดไว้ไม่ปล่อยอีก! ฮึ ข้าไม่สนใจเจ้าทึ่มผู้นี้อีกแล้ว ไปหาคุณหนูดีกว่า!
สาวใช้น้อยเดินกระฟัดกระเฟียดไปหาเฉียวเจาก็เห็นท่านแม่ทัพกอดเอวคุณหนูของตนไว้นิ่งๆ
ปิงลวี่ชะงักฝีเท้าทำตาปริบๆ
หรือว่าผู้คนสมัยนี้ล้วนชอบกอดกันไม่ปล่อยมือแล้ว
น่าชังนัก เหตุใดไม่มีบุรุษรูปงามกอดข้าบ้างเล่า
“กอดพอหรือยัง” เฉียวเจายกมือหยิกเอวคนบางคนทีหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนส่งเสียงไอเบาๆ ก่อนปล่อยมือออก
คนด้านหลังไล่ตามมาทันแล้วมองเซ่าหมิงยวนอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง เขาโค้งตัวพลางกล่าว “ท่านโหว ขอบคุณท่านมากที่จับตัวซานหนีไว้ให้ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนจำหน้าคนที่พูดได้ว่าเป็นบุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอีกสองคนที่ตามมาข้างหลังคือหลานชายของผู้ใหญ่บ้าน
“เฉินกวง พาซานหนีมานี่”
ซานหนีหันหน้ามาเห็นว่าคนในครอบครัวตามมาทัน นางก้าวขาจะออกวิ่งต่อไป
เฉินกวงกำข้อมือนางไว้ฉุดตัวกลับมาโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ซานหนี เจ้าหยุดคลุ้มคลั่งได้แล้ว รีบตามพวกข้ากลับเรือนเถอะ” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ข้าจะไปหาพี่ซานตั้น ข้าจะไปหาพี่ซานตั้น!” ซานหนีเห็นญาติพี่น้องเข้ามาใกล้ อารมณ์ก็พลุ่งพล่านมากขึ้น เฉินกวงต้องยึดตัวไว้แน่นๆ ถึงไม่ปล่อยให้นางดิ้นหลุด
สายตาของเฉียวเจาทอแววพิกลๆ
ทิศทางที่ซานหนีจะวิ่งหนีไปเป็นสวนซิ่งจื่อ…
เมื่อนึกถึงว่าซานหนีกับซานตั้นลักลอบพลอดรักกันในซากเรือนสกุลเฉียว เฉียวเจาตะขิดตะขวงใจอยู่มาก ทว่าเพลานี้คนหนึ่งเสียชีวิตคนหนึ่งเสียสติไปแล้ว นางก็ทำได้เพียงทอดถอนใจ
ชาวบ้านเดินออกมามุงดูไม่น้อย พวกเขาชี้มือชี้ไม้พูดซุบซิบกันอยู่ไม่ไกล
“พวกเจ้าสองคนมัวยืนทื่อทำอะไร ยังไม่พาซานหนีกลับเรือนอีก!” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านรู้สึกอับอายขายหน้า เขาตวาดเสียงดังลั่น
คนหนุ่มสองคนก้าวเข้าไปจับแขนซานหนีคนละข้างแล้วออกแรงลากนางกลับไป
“รอประเดี๋ยว” เฉียวเจาพลันเอ่ยปากขึ้น
ทุกคนหยุดชะงักหันไปมองนางทันที
เฉียวเจาก้าวขาเดินเข้าไป
เซ่าหมิงยวนเห็นดังนั้นก็ติดตามไปเงียบๆ พร้อมกับส่งสายตาบอกเฉินกวง
ความหมายนั้นแจ่มชัดมากว่า ‘จับตาดูซานหนีให้ดี อย่าให้นางคลุ้มคลั่งทำร้ายคุณหนูหลี’
เฉินกวงคับอกคับใจเป็นอันมาก ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องสุดวิสัยเพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เหตุใดตอนนี้ยังต้องให้ข้าออกโรงอีกด้วยเล่า
ท่านแม่ทัพเลิกคิ้วสูงทว่าสีหน้าเรียบเฉย ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เจ้าไม่ออกโรง หรือต้องให้ข้าออกโรงเอง เช่นนั้นฮูหยินแม่ทัพของพวกเจ้าจะโมโหเอาได้นะ
ทั้งสองเพียงส่งสายตาโต้ตอบกัน เฉินกวงกลับเข้าใจความหมายของท่านแม่ทัพได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาได้แต่ถอนใจเฮือกอย่างปลงตก ยกมือยึดแขนของซานหนีไว้
เฉียวเจายื่นมือไปแตะข้อมือซานหนีแล้วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย ก่อนที่นางจะดึงมือกลับแล้วมองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง
“มีอะไรหรือ”
“กลับเข้าเรือนค่อยคุยกัน” นางหมุนกายเดินนำหน้ากลับไปในลานเรือนทันใด
“พาคนเข้ามา”
เพราะเกิดศึกหนักขึ้นเมื่อคืน พื้นดินโดยรอบเรือนของหญิงขายเต้าหู้ล้วนเป็นสีแดงคล้ำ พวกชาวบ้านยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่จะกลับไปก็เสียดายเลยเขย่งเท้าชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พวกเจ้าเป็นอะไรกับซานหนี”
“ข้าคืออารองของนาง ส่วนพวกเขาสองคนเป็นพี่ชายของซานหนี” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านอ้าปากพูด
“บิดามารดาของนางเล่า”
“ซานหนีเกิดมาอาภัพ ตั้งแต่คลอดออกมาลืมตาดูโลกก็กำพร้ามารดา บิดาของนางก็จากไปเมื่อหลายปีก่อน” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านมองเฉียวเจาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ซานหนีเป็นอย่างไรบ้าง พอนางสติไม่ดีแล้วเรี่ยวแรงเยอะมาก ระวังจะทำร้ายท่าน ให้พวกข้าเอาตัวนางกลับไปจะดีกว่า”
ในตอนนี้เองเสียงของผู้เฒ่าคนหนึ่งดังมาจากหน้าประตู “ท่านโหว ข้าได้ยินว่าซานหนีอยู่ที่นี่”
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
ผู้ใหญ่บ้านย่างเท้าเข้ามา เขาทำหน้าบึ้งกล่าวขึ้น “ยังมีหน้าถามอีกหรือ มีกันตั้งหลายคนกลับเฝ้าเด็กคนหนึ่งไว้ไม่ได้”
เขาเดินไปตรงหน้าเฉียวเจากล่าวทักทายแล้วมองซานหนีพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง “ซานหนี ตามท่านปู่กลับเรือนนะ”
เฉียวเจาตกใจเมื่อพบว่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉงตอนที่นางเพิ่งมาถึงหมู่บ้านไป๋อวิ๋นราวกับจะแก่ชราลงหลายปีในชั่วเวลาสั้นๆ แม้แต่การเดินเหินก็เริ่มกระย่องกระแย่ง ชะรอยว่าเขาจะรักใคร่เอ็นดูหลานสาวผู้นี้จากใจจริงกระมัง
ครั้นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ในใจหญิงสาวบังเกิดความกังวลรางๆ
นางอาจจะรังเกียจพฤติกรรมของซานหนีที่ลักลอบพลอดรักกับบุรุษในซากเรือนสกุลเฉียวของนาง แต่ความรู้สึกที่มีต่อเด็กสาววัยแรกแย้มผู้นี้ นางก็นึกสงสารเวทนาตามประสาสตรีเหมือนกัน
การลักลอบลิ้มลองผลไม้ต้องห้ามอย่างยั้งใจไม่อยู่ชั่ววูบ ชีวิตที่รอเด็กสาวผู้นี้อยู่จะเป็นเช่นไร เฉียวเจาไม่รู้ แต่นางรู้ว่าต่อให้นางไม่บอกเรื่องนี้ออกมาตอนนี้ วันหน้าก็ปิดบังไว้ไม่ได้อยู่ดี
“ผู้ใหญ่บ้าน ข้ารักษาอาการฟั่นเฟือนของซานหนีได้”
ผู้ใหญ่บ้านตะลึงงันไปทันใด เขาพูดละล่ำละลัก “ท่านพูดว่าอะไรนะ ท่านรักษาอาการฟั่นเฟือนของซานหนีได้หรือ”
คนอื่นๆ มองเฉียวเจาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
นางพยักหน้าเบาๆ
ผู้ใหญ่บ้านเข่าอ่อนทรุดตัวลงคุกเข่า “หากคุณหนูรักษาอาการป่วยของซานหนีให้หายดีได้ ข้าจะจุดธูปโขกศีรษะให้ท่านทุกวัน”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “ผู้ใหญ่บ้าน อย่าพูดจาส่งเดช!”
จุดธูปโขกศีรษะให้ทุกวันอะไรกัน นี่จะสาปแช่งเจาเจาของเขาใช่หรือไม่ ขืนกล้าทำเช่นนี้เขาจะพังเรือนผู้ใหญ่บ้านทันทีเลย
“ข้าหมายความว่าจะขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองคุณหนูให้ร่างกายแข็งแรงและมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์พูนสุขทุกวัน”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าหงึกหงัก เช่นนี้ค่อยยังชั่ว
“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถอะ” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบๆ
ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาออก “คุณหนูคงไม่รู้ว่าหลานสาวข้าผู้นี้กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เด็ก นางอยู่กับพวกข้าจนเติบใหญ่ นางทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกข้าก็ต้องรับผิดชอบด้วย คุณหนู ท่านรักษาซานหนีให้หายเป็นปกติได้จริงๆ ใช่หรือไม่”
“ซานหนีไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ นางเพียงตกใจเกินไปจนจิตหลอน ดังนั้นจะรักษาอาการฟั่นเฟือนของนางให้หายมิใช่เรื่องยาก” นางกวาดตามองซานหนีแวบหนึ่งก่อนกล่าวทอดถอนใจ “แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกให้ผู้ใหญ่บ้านรู้ไว้”
“ท่านว่ามา”
“ซานหนีตั้งครรภ์แล้ว”
บทที่ 430
ซานหนีตั้งครรภ์แล้ว? ผู้ใหญ่บ้านนิ่งขึงไปทันควัน
ฝ่ายบุตรชายคนรองของเขาหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เงื้อฝ่ามือใหญ่ดุจพัดใบลานขึ้นจะเข้าไปตบตีซานหนี
นางเด็กใฝ่ต่ำผู้นี้ทำแต่เรื่องงามหน้า ลักลอบได้เสียกับบุรุษก่อนแต่งงานไม่ว่า ตอนนี้ถึงกับตั้งครรภ์ไม่มีพ่ออีกหรือ
หลังจากนี้จะให้ครอบครัวพวกเขาโงหัวขึ้นมองหน้าผู้คนในหมู่บ้านได้อย่างไร
“หยุดนะ!” ผู้ใหญ่บ้านร้องตวาด
“ท่านพ่อ ซานหนีก่อเรื่องขึ้นถึงเพียงนี้แล้วท่านยังปกป้องนาง?”
รอยย่นตามใบหน้าผู้ใหญ่บ้านล้วนเต้นระริกเบาๆ นานสองนานเขาถึงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตีซานหนีให้ตายหรือ นางทำผิดก็จริงอยู่ แต่ทำความผิดไปแล้วจะไม่เหลือทางรอดให้นางเลยหรือไร เจ้าเป็นอารองแท้ๆ ของนางนะ”
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง ไม่ยื่นมือยุ่งเรื่องในครอบครัวผู้อื่นต่อ นางชี้มือบอกเฉินกวง “พาซานหนีเข้าไปในเรือน”
ผู้ใหญ่บ้านพูดถึงขั้นนี้แล้ว ซานหนีน่าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้กระมัง
ซานหนีหายจากอาการฟั่นเฟือนแล้ว
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นยังมีเรื่องที่ซานหนีตั้งครรภ์บุตรของซานตั้นที่ตายไป
วันที่กลุ่มของเฉียวเจาไปจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋น มารดาของซานตั้นกำลังร้องไห้โวยวายอยู่หน้าประตูเรือนผู้ใหญ่บ้าน
“พี่ป้าน้าอาทั้งหลายช่วยตัดสินว่าใครถูกใครผิดที ซานหนีอุ้มท้องลูกของซานตั้น อาศัยอะไรจะแต่งเข้าสกุลหวังเป็นภรรยาของซานตั้นไม่ได้”
บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านตั้งท่าจะออกไปก็ถูกภรรยารั้งตัวไว้ “เจ้าโง่เอ๊ย จะออกไปร่วมวงอะไรกับเขาด้วย ยังติงว่าซานหนีทำเรื่องงามหน้าไม่พอใช่หรือไม่ ข้ายังกลัดกลุ้มอยู่ว่าวันหน้าซื่อหนีจะออกเรือนอย่างไร มีพี่สาวไร้ยางอายอย่างซานหนีเช่นนี้!”
พวกพี่สะใภ้ของซานหนีพากันห้ามมิให้สามีของตนออกหน้า มีเพียงผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาสองคนยืนอยู่หน้าประตูรับมือกับมารดาของซานตั้นที่ทำตัวเหมือนแม่ค้าปากตลาดกับการชี้นิ้วนินทาของเหล่าชาวบ้าน
“นั่นน่ะสิ ในเมื่อซานหนีเป็นคู่รักกับบุตรชายคนเล็กของสกุลหวัง ตอนนี้ในครรภ์ยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแล้วก็สมควรออกเรือนไป เช่นนี้บุตรชายของเหล่าหวังจะได้มีทายาทมิใช่หรือ”
“ถูกต้อง ข้าว่านะ มารดาของซานตั้นยอมรับลูกสะใภ้อย่างนี้เข้าเรือนก็ไม่เลวแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าน่ะไม่เต็มใจหรอก อับอายขายหน้าชาวบ้าน!”
ผู้ใหญ่บ้านเกาะขอบประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง ปากยังยืนกรานคำเดิม “ซานหนีของเรือนข้าไม่ไปเป็นหญิงม่ายแน่”
“ถุย!” มารดาของซานตั้นเต้นผางๆ ตะโกนด่าทอเสียงดัง “ก็แค่รองเท้าเก่าที่บุตรชายข้าเคยใส่มาก่อน พวกท่านยังหวังว่านางจะได้รับสินสอดทองหมั้นออกเรือนอีกหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านแค่นหัวเราะ “พวกข้าไม่อยากให้ซานหนีออกเรือน ไม่ใช่เพราะสงสารว่านางต้องไปครองตัวเป็นม่ายเท่านั้น ที่สำคัญคือกลัวแม่สามีเยี่ยงเจ้ามากกว่า”
“แม่สามีอย่างข้าเป็นเช่นไร ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ววิเศษวิโสนักหรือ ผู้ใหญ่บ้านก็เลี้ยงหลานสาวออกมาเป็นคนไม่รู้จักยางอายเช่นนี้มิใช่รึ” มารดาของซานตั้นปรี่เข้าไปจะข่วนหน้าเขา
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านมองเห็นก็ไม่ยอมอยู่เฉยแล้ว คว้าไม้กวาดที่วางไว้หน้าประตูขึ้นฟาดใส่ “กล้าข่วนหน้าสามีข้า? ข้าจะตีพวกผีเจาะปากมาพูดอย่างเจ้าให้ตายเลย หาว่าหลานสาวข้าไม่รู้จักยางอาย? คำนี้ใครจะพูดก็ได้ แต่เจ้าพูดไม่ได้! ใครบ้างไม่รู้ว่าบุตรชายเจ้าน่ะหยิบหย่ง ดีแต่ปากหวาน โปรยเสน่ห์ให้พวกสาวน้อยสาวใหญ่ไปตั้งไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ซานหนีของพวกข้าก็ถูกบุตรชายเจ้าใช้คารมหวานหูหลอกลวงเอา ถ้ามิใช่บุตรชายเจ้าตายไปแล้ว พวกข้ายังจะไปคิดบัญชีกับเจ้าด้วยซ้ำไป”
ร่างร่างหนึ่งถลันออกมารัดเอวภรรยาของผู้ใหญ่บ้านไว้ “ท่านย่า อย่าตีเลย”
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาเปลี่ยนไปยกใหญ่ “ซานหนี เจ้าออกมาด้วยเหตุใด”
ดวงตาของเด็กสาวบวมช้ำเหมือนเมล็ดเหอเถา เห็นได้ว่าพอหายจากอาการฟั่นเฟือน หลายวันมานี้นางต้องร้องไห้ไปไม่น้อย
“ท่านปู่ ท่านย่า ข้ารู้ว่าพวกท่านหวังดีต่อข้า แต่ข้าอยากออกเรือนเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดอะไรนะ” ผู้ใหญ่บ้านโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม
ซานหนีเช็ดน้ำตาไม่หยุด “พี่ซานตั้นพูดไว้เป็นมั่นเหมาะว่าจะตบแต่งข้าเป็นภรรยา ข้าก็รับปากจะออกเรือนไปอยู่กับเขา ตอนนี้ข้ายังมีลูกกับพี่ซานตั้น ไม่ออกเรือนให้เขาแล้วจะออกเรือนให้ใครเล่า”
“แต่ซานตั้นตายไปแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสียงห้วน
หลานสาวเพิ่งอายุสิบห้าก็ออกเรือนไปครองตัวเป็นม่าย ทั้งชาตินี้จะใช้ชีวิตอย่างไรกัน
“ข้าอยู่เป็นคนของพี่ซานตั้น ตายเป็นผีของพี่ซานตั้น” ซานหนีคุกเข่าลงโขกศีรษะให้ผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาหลายที “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านส่งเสริมซานหนีด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านขบสันกรามแน่น เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความเดือดดาล
มารดาของซานตั้นยิ้มเยาะ “ผู้ใหญ่บ้าน เห็นหรือยัง หลานสาวท่านเป็นฝ่ายอยากออกเรือนไปที่สกุลหวังของพวกข้าเองนะ ท่านเป็นปู่จะค้านหัวชนฝาไปด้วยเหตุใดกัน จะโดนคนอื่นติเตียนเอาได้ ท่านวางใจเถอะ รอเมื่อซานหนีคลอดบุตรชายแล้ว พวกข้าจะแจ้งข่าวดี”
ผู้ใหญ่บ้านหลับตาลง
“ท่านปู่ ซานหนีขอร้องท่านเจ้าค่ะ” ซานหนีโขกศีรษะไม่หยุด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านดังมาเข้าหูของผู้ใหญ่บ้านไม่ตกหล่นสักคำ ส่งผลให้ชายชรามีท่าทางสลดหดหู่ใจมากขึ้น เขาลืมตาขึ้นมองหลานสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาผิดหวังในตัวนางแวบหนึ่ง กล่าวทอดถอนใจว่า “ช่างเถิด สุดแท้แต่ใจเจ้า เจ้าเติบใหญ่แล้ว ท่านปู่ท่านย่าบงการชีวิตเจ้าไม่ได้”
ผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาหมุนกายเดินเคียงคู่กันกลับเข้าเรือนแล้วปิดประตู
มารดาของซานตั้นตวัดสายตามองซานหนี พูดด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “เลิกคุกเข่าได้แล้ว เกิดกระทบกระเทือนหลานข้าจะทำฉันใด รีบตามข้าไปเถอะ”
ซานหนีลุกขึ้นยืนเหลียวมองรอบด้านด้วยแววตาเคว้งคว้าง จากนั้นเอ่ยกับมารดาของซานตั้น “ท่านรอสักครู่เจ้าค่ะ”
จู่ๆ นางก็วิ่งไปที่ริมถนน
มารดาของซานตั้นอึ้งไปเล็กน้อยถึงตะโกนพูด “นางตัวดีจะวิ่งไปที่ใด ยังขายหน้าชาวบ้านไม่พอหรือ ขืนกระทบกระเทือนหลานชายข้าล่ะก็ คอยดูข้าจะเล่นงานเจ้าอย่างไร!”
ซานหนีวิ่งเร็วฉิวมาหยุดเบื้องหน้าพวกเฉียวเจา
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
ซานหนีคุกเข่าลงตรงหน้าเฉียวเจาดังตุบ
หางคิ้วของเฉียวเจากระตุกเบาๆ
ท่าทีปกป้องซานหนีของผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาตลอดจนการเลือกของซานหนีเมื่อครู่นี้ นางมองเห็นกับตาทั้งหมด บันดาลให้ความรู้สึกที่มีต่อเด็กสาวผู้นี้สับสนปนเปเป็นพิเศษ
ซานหนีโขกศีรษะสองสามที “คุณหนู ซานหนีซาบซึ้งในความเมตตาและบุญคุณอันใหญ่หลวงของท่าน ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ ทำได้เพียงโขกศีรษะหลายๆ ครั้ง ขอให้ท่านอายุมั่นขวัญยืนและราบรื่นในทุกสิ่งเจ้าค่ะ”
คิ้วเข้มพาดเฉียงของแม่ทัพหนุ่มขมวดแน่นขึ้น
อวยพรแค่นี้เองหรือ ผู้ใหญ่บ้านยังรู้จักอวยพรให้เจาเจามีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์พูนสุขเลยนะ
“รีบลุกขึ้นเถอะ ระวังจะกระทบกระเทือนเด็กในครรภ์” เฉียวเจาบอกเสียงเรียบ
พอได้ยินนางเอ่ยเตือน ซานหนีก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือพยุงท้องตามสัญชาตญาณทันที
ครั้นภาพนี้ตกอยู่ในสายตาเฉียวเจา นางลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ซานหนีจะประพฤติตนอยู่ในกรอบประเพณีหรือไม่ แต่นางรักบุรุษผู้นั้นจากใจจริง
บางทีอาจเพราะประทับใจกับท่าทางปกป้องบุตรตามสัญชาตญาณของซานหนี เฉียวเจาจึงกล่าวเสริมขึ้นอีกคำ “ซานหนี หากวันหน้าเจ้ารู้สึกว่าทนอยู่ไม่ไหวก็ไปที่สกุลเซี่ยในตรอกหมาเชวี่ยของตำบลไป๋อวิ๋นเถอะ สกุลเซี่ยกับสกุลเฉียวเป็นสหายเก่าแก่กัน เจ้าเอ่ยนามของกวนจวินโหว พวกเขาก็จะช่วยเหลือเจ้า”
หลังออกจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เซ่าหมิงยวนหาโอกาสไต่ถามเฉียวเจาลับหลัง “เจาเจา เหตุใดเจ้าดีต่อซานหนีถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าเจ้าต้องตะขิดตะขวงใจกับเด็กสาวผู้นั้นเสียอีก”
เพื่อซานหนีแล้วถึงกับดึงเขามาเกี่ยวข้องด้วย นี่จะทำให้ท่านลุงเซี่ยคิดอย่างไร ถ้าเกิดระแวงว่าเขามีใจเอื้ออาทรต่อหญิงงามกับซานหนีจะไม่ดีปานใด
เขาไม่อยากให้ท่านลุงท่านอาซึ่งเป็นตระกูลสหายเก่าแก่เหล่านี้ของครอบครัวเจาเจารู้สึกว่าอาจารย์เฉียวไม่ได้เลือกหลานเขยให้ดี
เฉียวเจาไม่ล่วงรู้ความคิดเล็กคิดน้อยของคนบางคนโดยสิ้นเชิง นางคลี่ยิ้มอย่างไม่เอาใจใส่ “จะบอกว่าดีก็ไม่เชิง ก็แค่เรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือเท่านั้น ข้าเพียงเห็นว่ากระทำผิดเหมือนกัน สตรีต้องแบกรับผลที่ตามมาหนักหนากว่าบุรุษมากนักเสมอ”
ดังนั้นความผิดพลาดเดียวกันนางถึงไม่คิดจะทำซ้ำสอง ออกเรือนเป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.