บทที่ 7
เฉียวเจารู้ตัวว่าพลั้งปาก นางเห็นสายตาประหลาดใจของทุกคนก็กลอกตามองไปทางฉือชั่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “จะกลับเมืองหลวงเมื่อไรเจ้าคะ”
พวกฉือชั่นเงียบขรึมไปชั่วครู่
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กสาวนางหนึ่ง เจอะเจอเรื่องน่าสลดใจพรรค์นี้ ในใจคงไม่วายเฝ้าคิดแต่จะรีบกลับบ้านไปสินะ… จูเยี่ยนคิดคำนึง
ด้านหยางเอ้อร์กลับคิดว่า แม่นางน้อยพูดสอดขึ้นส่งเดช สือซีน่าจะโมโหมากขึ้นอีกกระมัง
ฉือชั่นโมโหมากจริงๆ
แม่นางน้อยนี่พูดไม่ขาดปากว่านับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียว ครั้นรู้ว่าสกุลเฉียวประสบกับความหายนะกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงคิดจะกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เห็นได้ว่าเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่แน่ว่าที่นางบอกว่านับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียวก็เพื่อหลอกลวงเขาเหมือนกัน
เฉียวเจาดึงสายตาคืน
เรื่องที่นางเผลอตัวเป็นอันว่ากลบเกลื่อนพอให้พ้นตัวไปได้แล้วกระมัง ส่วนคนอื่นจะรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไร นางไม่มีแก่ใจรับมือโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ที่แท้พวกท่านผู้มาเยือนทั้งหลายมาจากเมืองหลวงนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ” ผู้ใหญ่บ้านรินน้ำชาเติมให้ทั้งสี่คนด้วยตนเอง คลี่คลายบรรยากาศที่แฝงความกระอักกระอ่วนไว้จางๆ
เฉียวเจาจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
นับเวลาดูแล้ว ข่าวการตายของนางยังไม่แพร่มาถึงที่นี่ เรือนของตระกูลสามีนางอยู่เมืองหลวง ครอบครัวของท่านตาก็อยู่เมืองหลวง พี่ใหญ่ไปจากที่นี่ สถานที่ที่เขาอาจจะไปมากที่สุดต้องเป็นที่นั่นอย่างไร้ข้อกังขา
แต่ครอบครัวนางพบเจอเคราะห์ภัยอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ เพราะอะไรพี่ใหญ่ถึงไม่รั้งรออยู่ที่สวนซิ่งจื่อเพื่อไว้ทุกข์ แต่กลับรีบร้อนจากไปเล่า
เฉียวเจารู้สึกแปลกใจรางๆ ทว่าความปวดร้าวขมขื่นท่วมท้นหัวใจทำให้นางยากจะขบคิดให้ลึกลงไป เหลือเพียงความคิดประการเดียวคือ กลับไปเมืองหลวงต้องตามหาพี่ใหญ่ให้พบให้ได้!
คนรอบข้างพูดคุยอะไรกันอีกบ้างนั้น เฉียวเจาฟังไม่เข้าหูเลยสักนิด จนกระทั่งฉือชั่นลุกขึ้นกล่าวเสียงเรียบ
“พวกข้ายังต้องรุดกลับไปที่เมืองจยาเฟิง คงไม่กินอาหารแล้ว”
นางเดินตามคนทั้งสามไปข้างนอกด้วยสติที่เลื่อนลอย
ฉือชั่นจูงม้าพลางตวัดมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “โอ้เอ้อะไรอยู่ เร็วๆ เข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ต่อก็แล้วกัน”
อยู่ต่อ?
แพขนตาของเฉียวเจากระพือเบาๆ หากทำได้ นางอยากอยู่ต่อมากกว่าผู้ใด ก็ที่นี่เป็นเรือนของนาง!
“อยากอยู่ต่อจริงๆ รึ” ฉือชั่นเลิกคิ้วสูงอย่างหงุดหงิดมากขึ้นทุกที
เฉียวเจาสั่นศีรษะ สืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือไปหาเขา
ฉือชั่นจับข้อมือนาง ดึงตัวขึ้นหลังม้าทันทีโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เสียงลมพัดอู้ละม้ายคมมีดบาดผิวหน้าเฉียวเจา พร้อมกันนั้นยังกรีดลงกลางใจนางด้วย
ที่แท้สายลมในฤดูใบไม้ผลิก็หนาวเหน็บปานนี้
เฉียวเจาคิดคำนึงเช่นนี้พลางเหลียวหน้าไปมองหมู่บ้านที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังนิ่งนานเป็นครั้งสุดท้าย
เพลานี้แสงอาทิตย์อัสดงฉายฉานเต็มท้องฟ้ากับสวนซิ่งจื่อที่ปิดกั้นความอัปลักษณ์และงดงามไว้บรรจบเป็นผืนเดียวกัน เหลือไว้เพียงความเงียบเชียบสุขสงบของหมู่บ้าน
ควันไฟจากการหุงอาหารลอยอวลอ้อยอิ่ง ราวกับทุกสิ่งยังคงเป็นดังวันวาน มีเพียงเด็กสาวที่ขี่ม้าจากไปไกลถึงล่วงรู้ว่าตนสูญเสียอะไรไปแล้วบ้าง
ยามนี้ฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบขึ้นจากฝีเท้าม้าจางหายไปจนหมด เงาร่างสายหนึ่งโฉบผ่านมุมหนึ่งของสวนซิ่งจื่อแล้วจากที่นี่ไปเช่นเดียวกัน
กลุ่มของเฉียวเจาเข้าเมืองได้ทันก่อนประตูเมืองปิด จากนั้นเลือกเข้าพำนักในโรงเตี๊ยมชั้นดีแห่งหนึ่งในเมือง
หลังจากประตูเมืองเลื่อนปิดเข้าหากันอย่างเนิบนาบ คนผู้หนึ่งรุดมาถึงอย่างเร่งร้อน
“ประตูเมืองปิดแล้ว อยากเข้าเมืองก็รีบมาแต่เช้าวันพรุ่งนี้” ทหารยามบอกอย่างรำคาญใจ
คนผู้นั้นล้วงป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งจากอกเสื้อ ชูผ่านเบื้องหน้าสายตาทหารยามวูบหนึ่ง
ทหารยามทำหน้าเจื่อนทันใด กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ที่แท้เป็น…เป็น…”
“มัวพล่ามอะไร ยังไม่รีบเปิดประตูอีก”
“ขอรับ” ทหารยามลุกลนเปิดประตูเมือง รอจนคนผู้นั้นไปไกลแล้วถึงกล้ายกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“หัวหน้า นั่นใครหรือขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาขยับมาใกล้
ทหารยามมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะลดสุ้มเสียงลงบอกชื่อชื่อหนึ่งที่ใครได้ยินก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อ “องครักษ์จินหลิน*”
องครักษ์จินหลินผู้มีหน้าตาดาษดื่นคนนั้นลัดเลี้ยวไปมาตามถนนในเมืองเข้าสู่เรือนหลังหนึ่งด้วยความคุ้นเคยที่ทางอย่างยิ่ง
ใต้ต้นไห่ถัง** กลางลานเรือน บุรุษชุดสีดำผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินตามลำพัง เขากำลังรินสุราดื่มเอง มีบุรุษหลายคนยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล
ทันทีที่องครักษ์จินหลินผู้นั้นก้าวเข้ามา บุรุษหลายคนนั่นก็หันไปมองด้วยสีหน้าระวังระไวทันที ครั้นเห็นว่าเป็นเขาถึงผ่อนคลายลง
คนผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าบุรุษชุดสีดำในเวลาอันสั้น เขาแสดงคารวะก่อนเรียกขาน “ใต้เท้า”
บุรุษชุดสีดำวางจอกสุราลง มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ทางสวนซิ่งจื่อมีความผิดปกติใดหรือไม่”
“เรียนใต้เท้า วันนี้มีบุรุษสามคนกับสตรีหนึ่งคนไปที่สวนซิ่งจื่อ สตรีนางนั้นปลอมตัวเป็นบุรุษ จากนั้นคนทั้งสี่ก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านไป๋อวิ๋นขอรับ” เขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะค่อยกล่าวต่อไป “พวกเขามาจากเมืองหลวง ตอนนี้เข้าเมืองมาแล้วขอรับ”
บุรุษชุดสีดำผงกศีรษะแล้วหันหน้ากวาดตามองทุกคนปราดหนึ่ง
บุรุษหลายคนนั่นทำสีหน้าขึงขังฉับพลัน
“พวกเจ้าทั้งหมดไปสืบดูว่าคนเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไร”
“ขอรับ”
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ พวกเฉียวเจาสี่คนก็ออกจากเมืองเงียบๆ เปลี่ยนจากขี่ม้าเป็นนั่งเรือบ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ
ความเคลื่อนไหวของพวกนางถูกรายงานให้บุรุษชุดสีดำรับทราบในเวลาอันรวดเร็ว
“ฉือชั่นโอรสขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง จูเยี่ยนซื่อจื่อของไท่หนิงโหว หยางโฮ่วเฉิงซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหว…” บุรุษชุดสีดำเปล่งเสียงไล่ทวนชื่อแซ่คนสามคนแล้วหยุดชะงักไป สีหน้าที่เรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดกลับเผยแววฉงนอยู่หลายส่วน “หลีซาน บุตรสาวของอาลักษณ์หลี”
เขาตรึกตรองชั่วครู่ก่อนกล่าวพึมพำ “เด็กสาวคนหนึ่งกับสามคนนั้นมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างไร”
ผู้ใต้อาณัติของเขาล้วนยืนประสานมืออย่างเคร่งขรึม เห็นชัดว่าไม่กล้าขัดจังหวะความคิดของผู้บังคับบัญชา
บุรุษชุดสีดำพูดสั่งการ “จากเมืองหลวงไปที่จยาเฟิงจะต้องผ่านเป่าหลิง ส่งข่าวถึงองครักษ์จินหลินที่ประจำการอยู่ที่นั่น ดูสิว่าพวกเขาทางนั้นมีข่าวสารใดหรือไม่”
“ใต้เท้า แล้วทางสวนซิ่งจื่อเล่าขอรับ”
ผู้ใต้อาณัติหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“จับตาดูต่อไป เหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวหนนี้ไม่ใคร่ปกติ”
ขณะเขากล่าววาจาอยู่ มีผู้ใต้อาณัติอีกคนเข้ามา “ใต้เท้า สารจากเมืองหลวงขอรับ”
บุรุษชุดสีดำรับสารมาเปิดออก กวาดตาอ่านผ่านๆ แล้วนิ่งงันไป
“ใต้เท้า?” เหล่าผู้ใต้อาณัติอ้าปากเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
บุรุษชุดสีดำกำสารไว้แน่น กล่าวเสียงเอื่อยๆ “เก็บสัมภาระให้ข้า ท่านผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้ข้าเข้าเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”
เหล่าผู้ใต้อาณัติตกใจยกใหญ่ แต่บุรุษชุดสีดำมิได้ไขความกระจ่าง เขาเอามือไพล่หลังแล้วย่ำเท้าออกนอกเรือน แหงนมองต้นไห่ถังที่เพิ่งผลิดอกตูมพร้อมกับเหยียดมุมปากออก
มาที่จยาเฟิงนานถึงเพียงนี้ เขาสมควรกลับไปเสียที เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจียงอู่กระทำความผิดอะไร ท่านผู้บัญชาการใหญ่ถึงต้องสับเปลี่ยนให้เขากลับไป
บุรุษชุดสีดำเก็บข้อสงสัยนี้ไว้ในใจอย่างรวดเร็ว เขาคิดถึงว่ากำลังจะได้ร่วมเดินทางกับคนทั้งสี่ที่น่าสนใจอยู่สักหน่อยนั่นแล้วอดคลายยิ้มไม่ได้
ระหว่างที่พวกเฉียวเจานั่งเรือกลับ บรรยากาศไม่ใคร่ดีสักเท่าไร
จูเยี่ยนกำเม็ดหมากไว้ คนที่สุภาพนุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไรอย่างเขายังเจียนจะควบคุมสติไม่อยู่รอมร่อ เขากล่าวอย่างอ่อนใจ “สือซี เจ้าอารมณ์ไม่ดีก็ระบายออกมาสิ เอาแต่เดินหมากรุกเช่นนี้ไม่เป็นการทรมานคนอื่นหรืออย่างไร”
ฉือชั่นเหลือบตาขึ้น กล่าวเสียงเย็น “นี่ข้ากำลังระบายอารมณ์อยู่”
จูเยี่ยนรู้สึกจุกที่คอแทบหายใจไม่ออก
หรือว่าข้าก็คือคนที่ถูกทรมาทรกรรมคนนั้น!
เขาอดส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากหยางโฮ่วเฉิงไม่ได้
อีกฝ่ายยักไหล่ผายมือเป็นเชิงบอกว่าสุดปัญญาจะช่วยได้ และทำปากบุ้ยใบ้ไปทางเฉียวเจา
จูเยี่ยนตาเป็นประกาย จากนั้นก็ส่ายหน้า
ช่างเถิด ข้าทนรับกรรมเองก็สิ้นเรื่อง ไยต้องดึงแม่นางน้อยเข้ามาอีกคน
ฉือชั่นจับตามองการโต้ตอบทางสายตาของคนทั้งคู่อยู่ เห็นจูเยี่ยนปฏิเสธคำแนะนำของหยางโฮ่วเฉิง เขาตวัดสายตามองไปทางเฉียวเจาซึ่งนั่งอยู่ในมุมหนึ่งพลางพูดเรียบๆ
“หลีซาน มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า!”
เฉียวเจาได้ยินแล้วเรียวคิ้วกระตุกริก นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าฉือชั่นอย่างสงบ
จูเยี่ยนมองนางด้วยแววตาขอลุแก่โทษ ก่อนลุกขึ้นสละที่นั่งให้นาง
เฉียวเจานั่งลงเริ่มเดินหมากต่อจากที่คนทั้งสองเดินค้างไว้
จูเยี่ยนพิงราวรั้วกระซิบบ่นกับหยางโฮ่วเฉิง “สือซีสะกดความโกรธไว้เอง ไยต้องพาลใส่คนอื่นด้วย”
หยางโฮ่วเฉิงมองเฉียวเจาที่นั่งหันหลังให้เขาแวบหนึ่ง
สาวน้อยนั่งในอิริยาบถสง่างามดั่งดอกเหมยเบ่งบานอย่างเงียบเชียบเยือกเย็นดอกหนึ่ง
เขาหัวเราะแผ่วๆ พลางพูดสัพยอก “จื่อเจ๋อ นี่เจ้ารู้จักเป็นห่วงเป็นใยสตรีแล้วหรือ”
“อย่าพูดจาเหลวไหล นั่นยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นเลยนะ…”
“พูดเช่นนี้ รอนางปักปิ่นแล้วก็ทำได้สินะ”
“หยางโฮ่วเฉิง!” จูเยี่ยนทำหน้าตึง
หยางโฮ่วเฉิงเห็นสหายรักขุ่นใจจริงๆ ถึงหยุดล้อเล่น เขาพูดเสียงเบาว่า “เจ้ายังไม่รู้นิสัยแย่ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของสือซีนั่นอีกหรือ ถ้าไม่ได้ระบายโทสะออกมา พวกเราอย่าหมายว่าจะได้อยู่อย่างสงบตลอดทาง”
“นี่ข้ามิได้เดินหมากเป็นเพื่อนเขาอยู่ตลอดรึ” จูเยี่ยนถอนใจเฮือก
ใครใช้ให้เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินทางมาจยาเฟิงคราวนี้เล่า มีเรื่องเคราะห์ร้ายอะไรเขาก็ต้องแบกรับไว้ก่อน คงได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้ว
“นั่นจะมีประโยชน์อันใด เจ้าดูไม่ออกหรือว่าสือซีกำลังชังน้ำหน้าแม่นางน้อยผู้นั้นอยู่ ก็ใครใช้ให้นางพูดอย่างมั่นใจเกินไปเองเล่า บอกว่าพานางไปเยือนสกุลเฉียวด้วยถึงจะได้สมหวังดั่งประสงค์ ผลสุดท้าย…”
พวกเขาสนทนากันอยู่ พลันได้ยินเสียงของกระทบกันดังใสกังวานลอยมา ก็หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ฉือชั่นโยนเม็ดหมากลงโถแล้วกล่าวเสียงปึ่งชา “ไม่เดินแล้ว”
เฉียวเจากำเม็ดหมากในมือ มองเขาปราดหนึ่งอย่างสุขุมใจเย็น
คนผู้นี้ใจไม่นิ่งพอ มิน่าตอนนั้นท่านปู่ไม่ยอมสอนเขา…
เมื่อคิดถึงท่านปู่ นางก็นึกไปถึงเหตุไฟไหม้นั่นแล้วร้าวรานใจ สีหน้าชืดชาดุจหุ่นกระบอก
ฉือชั่นเห็นแล้วคับข้องใจมากขึ้น เขาพูดอย่างยิ้มเยาะว่า “หลีซาน ไหนเจ้าพูดว่าไม่พาเจ้าไปด้วย ข้ายากจะสมหวังดั่งประสงค์มิใช่หรือ เช่นนั้นพาเจ้าไปด้วยแล้วผลลัพธ์เป็นเยี่ยงไรเล่า”
คำกล่าวนี้ประหนึ่งมีดคมกริบเล่มหนึ่งปักลงกลางอกเฉียวเจาอย่างหนักหน่วง
นางทนความเจ็บปวดไว้ ไต่ถามฉือชั่นเสียงค่อย “ไม่ทราบว่าพี่ฉือไปเรือนสกุลเฉียวประสงค์สิ่งใดหรือ”
บทที่ 8
เด็กสาวกัดริมฝีปากเผยให้เห็นฟันขาวราวไข่มุกบนดวงหน้าซีดขาว มีเพียงแต้มสีแดงเข้มตรงหว่างคิ้วนั่นที่เด่นชัดยิ่งขึ้น ละม้ายดอกซิ่งปลิวลอยละลิ่วในป่าต้นซิ่งหล่นลงบนพื้นแล้วถูกกลบทับด้วยหิมะเห็นกลีบสีแดงสดยามแรกแย้มบานได้เลือนราง ดูน่าสงสารและน่าทะนุถนอมอย่างปราศจากเหตุผล
เผอิญว่าสิ่งที่คนอย่างฉือชั่นขาดมากที่สุดก็คืออารมณ์อ่อนโยนอยากทะนุถนอมสตรี เขาเหล่ตามองเฉียวเจา พูดอย่างไม่พึงใจว่า “ตอนนี้ถามเรื่องนี้ยังมีประโยชน์อันใด”
“พี่ฉือไม่สะดวกใจจะบอกหรือ” เฉียวเจาเหยียดมุมปากไปตามอารมณ์
คนผู้นี้จะมาเยี่ยมคารวะท่านพ่อ หากพินิจจากศักดิ์ฐานะและอายุของเขาต้องมิใช่เรื่องงานเป็นแน่ เช่นนั้นเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ที่เขามาเยือนเมื่อสามปีก่อน
ถ้าเป็นเช่นนั้นบางทีนางอาจช่วยให้ความปรารถนาของเขาลุล่วงได้ มิใช่นางจะอวดตน ก็แค่อยากตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยเอาไว้
ส่วนนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของคนผู้นี้…อืม นางจะถือสาหาความอะไรกับพวกสติไม่ดีคนหนึ่ง
ที่เฉียวเจาว่าฉือชั่นเป็นคนสติไม่ดี ไม่นับเป็นการด่าคนจริงๆ
นางรู้จักภูมิหลังของผู้คนในเมืองหลวงน้อยนิด แต่ฉือชั่นเป็นข้อยกเว้น ทางหนึ่งเพราะเขาเคยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ กระนั้นเหตุผลที่สำคัญกว่าคือเรื่องราวเล่าขานของบิดามารดาเขานั้นลือลั่นเหลือเกิน
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเป็นพระขนิษฐาสายพระโลหิตเดียวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อครั้งเยาว์วัยนางได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาและฮ่องเต้มากพอดู พอถึงวัยอันควรแต่งงานออกเรือน องค์หญิงใหญ่เฟ้นหาคู่ครองอย่างพิถีพิถัน สุดท้ายเลือกบัณฑิตยากจนทว่ารูปงามไม่เป็นสองรองใครด้วยตนเอง
ตามคำกล่าวในยามนั้นขององค์หญิงใหญ่ บัณฑิตยากจนมักถือดีจองหองน้อยกว่าบุตรหลานขุนนางผู้มีอำนาจราชศักดิ์หลายส่วน อีกทั้งใจคอหนักแน่นพึ่งพาได้
บางทีอาจจะเป็นการพิสูจน์ยืนยันถ้อยคำขององค์หญิงใหญ่ หลังแต่งงานกันแล้วทั้งสองเคารพให้เกียรติกันและกัน พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าปี อย่าว่าแต่ทะเลาะเบาะแว้ง แม้กระทั่งมีปากเสียงกันก็น้อยมาก องค์หญิงใหญ่มีฐานะสูงศักดิ์ ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลมาจากการรู้จักให้อภัยและอดกลั้นผ่อนปรนของท่านราชบุตรเขยอย่างขาดเสียไม่ได้
ชั่วขณะเดียว คู่สามีภรรยาดั่งสวรรค์สรรค์สร้างคู่นี้กลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนมากมายเท่าใดก็สุดรู้ บรรดาองค์หญิงที่ไม่เข้าใจทางเลือกขององค์หญิงใหญ่ในตอนแรกยิ่งพากันเลื่อมใสในความเฉียบแหลมของนางมิใช่แค่ครั้งเดียว
ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงตื่นเต้นมีสีสันกว่าบทละครเสมอ ท่านราชบุตรเขยลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่คาดคิด ในช่วงที่องค์หญิงใหญ่กำลังทุกข์ระทมใจอย่างแสนสาหัส มีสตรีนางหนึ่งพาบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งมาหาถึงที่ เป็นอนุที่ท่านราชบุตรเขยเลี้ยงดูไว้ข้างนอก
หากสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ทำใจยอมรับไม่ได้มากกว่าคือบุตรชายบุตรสาวของอนุคู่นั้นอ่อนวัยกว่าฉือชั่นบุตรชายโทนของตนไม่มากนัก
หากความสุขและความภาคภูมิใจตลอดสิบปีที่ผ่านมายิ่งหวานชื่นน่าอิจฉา เสียงฝ่ามือตบหน้าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงฉาดใหญ่ก็ยิ่งดังกังวาน ใบหน้านางเห่อชาจนกระทั่งความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ไม่มากเท่าไร เผอิญว่าคนผู้นั้นตายไปแล้วทำให้นางไม่มีแม้แต่ที่ที่จะระบายความโกรธ
ต่อมาไม่นาน องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเริ่มเลี้ยงดูชายบำเรออย่างเปิดเผย ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงในวังองค์หญิงทุกค่ำคืน
ฉือชั่นที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ต้องเผชิญกับเหตุพลิกผันในครอบครัวอย่างไม่คาดฝันต่อๆ กัน รวมถึงพวกคนที่แฝงเจตนาร้ายต่างๆ นานาแม้ว่าจะอำพรางไว้ได้อย่างดีก็ตาม ส่งผลให้เขากลายเป็นคนขวางโลกมากขึ้นทุกวัน กอปรกับรูปโฉมที่ถอดแบบมาจากบิดา ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งหล่อเหลาสง่างาม ด้านองค์หญิงใหญ่ก็ประเดี๋ยวใกล้ชิดประเดี๋ยวห่างเหินกับบุตรชายผู้นี้ แต่พวกหญิงสาวในเมืองหลวงกลับวิ่งไล่ตามอย่างคลั่งไคล้ ทำให้เขามีนิสัยแปลกประหลาดมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเสียงซุบซิบนินทาซึ่งได้ยินมาบ้างหลังแต่งเข้าจวนจิ้งอันโหว นางดึงความคิดคืนมาแล้วอดมองไปทางฉือชั่นด้วยสายตาแกมเห็นใจจางๆ อย่างช่วยไม่ได้
เทียบกับเขาแล้ว บิดามารดาของนางแสนจะปกติปานใดหนอ!
ฉือชั่นสัมผัสได้อย่างเฉียบไวเป็นพิเศษ แววตาแปลกๆ ของเด็กสาวนั้นทิ่มแทงใจเขา
“มีอะไรไม่สะดวกใจกัน” เขากล่าวอย่างเย็นชาแล้วปรายตามองเฉียวเจาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งยังเผยรอยยิ้มดูแคลนตรงมุมปากที่เหยียดยกขึ้น “บอกเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด”
เฉียวเจาเป็นคนใจคอกว้างขวาง หากเปลี่ยนเป็นยามปกติบางทีนางอาจพูดล้อเล่นตามสบายสองสามคำผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน แต่ครอบครัวนางเพิ่งประสบเภทภัยใหญ่หลวง จะเป็นคนเปิดเผยรู้จักปล่อยวางเพียงใดก็ไม่มีแก่ใจพูดคุยเรื่อยเปื่อยในเวลานี้ เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีจะบอก นางก็ไม่คะยั้นคะยออีก เปล่งเสียงรับในลำคอเอื่อยๆ แล้วหยิบเม็ดหมากที่ฉือชั่นโยนกลับลงโถมาเดินหมากที่ค้างคาอยู่กับตนเองต่อไป
เดิมทีฉือชั่นรอนางกล่าวตอบอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียง “อ้อ” ในลำคอคำเดียว แม่นางน้อยก็เริ่มเดินหมากคนเดียวอย่างเพลิดเพลิน พลันความรู้สึกโกรธก็พลุ่งขึ้นมาจุกติดกลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก พาให้ดวงหน้าหล่อเหลาง้ำงอไปหมด
‘อ้อ’ ต้องเป็นเสียงตอบที่น่าชิงชังมากที่สุดอย่างที่ไม่มีคำใดเทียบได้เด็ดขาด! ฉือชั่นคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จูเยี่ยนทนดูต่อไปไม่ไหว เขากำมือจ่อริมฝีปากแล้วส่งเสียงไอเบาๆ “สือซี ขอโทษด้วย ถ้ามิใช่ข้าอยากดูภาพวาดของอาจารย์เฉียว ภาพนั้นคงไม่เสียหาย แล้วก็คงไม่เป็นต้นเหตุทำให้เจ้าต้องเดินทางไกลเป็นพันลี้อย่างสูญเปล่า…”
กระนั้นฉือชั่นใจกว้างกับสหายรักเป็นพิเศษ เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “ตอนนี้พูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ความหมาย ข้าคิดหาหนทางอื่นเป็นอันสิ้นเรื่อง”
“ท่านพ่อข้ายังมี ‘ภาพโคห้าตัว’ ของท่านปรมาจารย์หานในมืออีกภาพหนึ่ง…”
ฉือชั่นตัดบทจูเยี่ยน “มารดาข้าไม่สนใจภาพวาดของจิตรกรเอกราชวงศ์ก่อนพวกนั้นเลย นางชมชอบแต่ภาพวาดของอาจารย์เฉียว”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบ
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงชมชอบภาพวาดของท่านปู่?
เฉียวเจามีปฏิภาณไหวพริบดี ฉุกคิดถึงเรื่องที่ฉือชั่นมาเยือนถึงที่ขอร้องให้ท่านปู่ชี้แนะทักษะการวาดภาพให้เขาเมื่อสามปีก่อนได้อย่างว่องไว
คนทั่วหล้าล้วนล่วงรู้ว่าช่วงบั้นปลายชีวิตท่านปู่สุขภาพอ่อนแอ ไม่มีแรงกายแรงใจสอนใครมานานแล้ว หรือว่าคนผู้นี้ขอร้องให้ท่านปู่ชี้แนะทักษะวาดภาพเป็นคำเท็จ จุดมุ่งหมายแท้จริงคือขอภาพวาดจากท่านปู่ต่างหาก
ด้วยชื่อเสียงฐานะของท่านปู่ในหมู่บัณฑิตนักปราชญ์ หากเวลานั้นฉือชั่นขอภาพวาดตรงๆ เป็นไปได้มากว่าจะถูกปฏิเสธทันที แต่คนผู้นี้เอ่ยอ้างเหตุผลขอคำชี้แนะและตามตื๊อท่านปู่ไม่เลิกรา ท้ายที่สุดท่านต้องยอมยกภาพวาดภาพหนึ่งให้เป็นการไล่เขากลับไป
เฉียวเจาอดมองฉือชั่นอย่างพินิจไม่ได้
ปีนั้นคนผู้นี้เพิ่งอายุสิบห้าสิบหกกระมัง มิใช่พวกชั้นสามัญดังคาด
ครั้นคิดต่อไปถึงข่าวลือเหล่านั้น เฉียวเจายิ่งฉงนใจ
มิใช่พูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉือชั่นกับองค์หญิงใหญ่ฉางหรงสองคนแม่ลูกมึนตึงกันหรือ ไฉนเขาต้องทุ่มเทความคิดจิตใจถึงเพียงนี้เพราะว่ามารดาชมชอบภาพวาดภาพหนึ่ง
ขณะเฉียวเจานิ่งตรึกตรองโดยไม่รู้ตัว เห็นหยางโฮ่วเฉิงตบหน้าผากตนเองพร้อมพูดเสียงดัง “ข้านึกขึ้นได้แล้ว ท่านพ่อข้ามีภาพวาดของอาจารย์เฉียวเก็บสะสมไว้ภาพหนึ่ง เป็นของพระราชทานจากไทเฮาเมื่อครั้งวัยหนุ่ม”
หยางโฮ่วเฉิงเป็นซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหว ส่วนจวนหลิวซิ่งโหวเป็นสกุลเดิมของหยางไทเฮา นับตามลำดับศักดิ์แล้วเขาสมควรเรียกขานไทเฮาว่าท่านย่าใหญ่ด้วยซ้ำไป
ฉือชั่นชายตามองหยางโฮ่วเฉิง พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เพิ่งนึกขึ้นได้หรือ”
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “ก็ข้าคิดว่าถ้าขอลอกแบบภาพจากใต้เท้าเฉียวได้แล้วก็ไม่ต้องยุ่งกับของของท่านพ่อข้ามิใช่หรือ นั่นน่ะเป็นของพระราชทานจากไทเฮาเชียวนะ ทั้งยังเป็นภาพวาดของอาจารย์เฉียว ท่านพ่อข้าหวงแหนยิ่งนัก ถ้ารู้ว่าถูกข้าขโมยไป ต้องหักขาข้าแน่…”
“แต่ว่าใต้เท้าเฉียวไม่เชี่ยวชาญการวาดภาพ” เฉียวเจาสอดปากขึ้นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด เป็นเหตุให้ทั้งสามคนหันสายตามามองทันควัน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ฉือชั่นไม่ชอบใจที่นางพูดแทรก เขาเอ่ยถามอย่างรำคาญ
เด็กสาวเบิกตากว้างเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังอย่างมาก “ข้าชื่นชมเลื่อมใสอาจารย์เฉียวน่ะสิเจ้าคะ ข้าลอกแบบภาพวาดของท่านเสมอ อีกทั้งยังติดตามเรื่องเล่าขานต่างๆ ของท่าน แต่ไม่มีเรื่องที่ใต้เท้าเฉียวเชี่ยวชาญการวาดภาพเล่าลือมาเลยสักนิด”
สิ้นเสียงนาง ทั้งสามคนอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ใต้เท้าเฉียวเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงหลายปี ไม่เคยมีภาพวาดเผยแพร่ออกมา พวกเขาแค่คิดว่าใต้เท้าเฉียวเป็นบุตรชายของอาจารย์เฉียว ย่อมเชี่ยวชาญการวาดภาพแน่นอน กลับกลายเป็นว่าผู้เดินหมากอ่านสถานการณ์ไม่ทะลุปรุโปร่ง
“ข้าขอดูภาพที่ถูกทำลายไปภาพนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาถาม
ฉือชั่นมองจูเยี่ยนแวบหนึ่ง เขาเป็นคนขอภาพวาดนั่นไปให้มารดาเมื่อสามปีที่แล้ว ครั้นสหายรักอยากเห็น เขาจึงหยิบออกมา พอภาพวาดเสียหายก็หมดราคาไปเป็นธรรมดา
จูเยี่ยนหัวเราะฝืดๆ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องในตัวเรือ ไม่นานนักก็ย้อนกลับมา พร้อมกับกล่องยาวๆ ใบหนึ่งติดมือมาด้วย
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นคนทะนุถนอมภาพวาด หลังเปิดกล่องออก เขาเอาผ้าขาวสะอาดรองมือตอนหยิบมันออกมา จากนั้นก็คลี่กางออกตรงหน้าเฉียวเจาอย่างระมัดระวัง
บึงน้ำสีเขียวมรกตใต้แสงสนธยาครองพื้นที่ภาพฝั่งหนึ่ง มีสะพานเล็กๆ ตั้งเด่นเคียงคู่กับเงาสะท้อนของมันในน้ำ รวมถึงเป็ดเจ็ดแปดตัวที่สมจริงดุจมีชีวิตราวกับว่าหากมันตีปีกก็จะแหวกว่ายออกมาจากภาพได้ เพียงน่าเสียดายที่คราบหมึกวงหนึ่งเปรอะเปื้อนบนภาพ
ประกายตาของเฉียวเจาเข้มขึ้น
เป็นภาพวาดที่ท่านปู่มอบให้ฉือชั่นดังคาด
ท่านปู่สมัยวัยหนุ่มสร้างชื่อจากการวาดภาพเป็ด เพราะพวกเด็กๆ มักถูกใจภาพเป็ด ตอนนางเริ่มต้นเรียน ภาพที่วาดได้ดีที่สุดก็คือภาพนี้
เมื่อเฉียวเจามั่นใจแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ภาพนี้ข้าวาดเป็น”
เชิงอรรถ
* จินหลิน หมายถึงเกล็ดแพร
** ไห่ถัง หรือ Chinese Flowering Apple เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล ดอกมีทั้งสีขาว สีชมพูอ่อน และสีแดง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.