X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักองครักษ์เคียงคู่ ชุด คุณชายสกุลเนี่ย

ทดลองอ่าน องครักษ์เคียงคู่ ชุด คุณชายสกุลเนี่ย

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่หนึ่ง

เกาะจิ้งจอกซ่อนตัวอยู่กลางหมู่เกาะในบริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ชื่อว่าเกาะจิ้งจอกมิใช่เพราะเกาะมีรูปร่างเหมือนจิ้งจอก แต่เป็นเพราะบนเกาะมีราชาจิ้งจอกผู้มีชื่อเสียงกระเดื่องท้องทะเลอยู่ผู้หนึ่ง

เขาครอบครองเกาะตั้งตนเป็นราชา มีผู้ใต้ปกครองอยู่นับไม่ถ้วน เหมือนว่ากลายเป็นแว่นแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งไปโดยปริยาย ราษฎรบนเกาะส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น ชาวต่างชาติที่ลงหลักปักฐานอยู่มีเพียงบาทหลวงซาและนักเดินทางอีกผู้หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีสำนักศึกษา ไร่นา ถนนการค้า อู่ต่อเรือ รวมถึงโรงผลิตอาวุธ นี่เป็นเกาะที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เกาะหนึ่ง

เกาะถูกขีดแบ่งกึ่งกลาง ทางใต้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเกาะ ส่วนทางเหนือก็เป็นสถานที่ค้าของเถื่อนที่เยี่ยมที่สุดบนทะเล

หากกล่าวถึงว่าใครสามารถเป็นตัวแทนของบรรดาโจรสลัดชาวฮั่นได้ นั่นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากราชาจิ้งจอกแห่งเกาะจิ้งจอกผู้นี้ และที่เรียกเขาว่าจิ้งจอกก็หาใช่เป็นเพราะเขามีนิสัยเจ้าเล่ห์เจ้ากลไม่ แต่เป็นเพราะเขาจะใส่หน้ากากจิ้งจอกบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาไว้เสมอ

ในคำเล่าลือ หลังถอดหน้ากากลงเขาจะมีโฉมงามดั่งหลันหลิงอ๋อง ลือกันว่าเขามีอายุเกินครึ่งร้อย แต่กลับมีร่างกายและรูปโฉมเหมือนคนหนุ่ม และยังลือกันอีกว่าแม้เขาจะไม่มีฝ่ายใน แต่กลับมีสตรีในครอบครองอยู่ทั่วทั้งจงหยวน แม้แต่จักรพรรดิยังด้อยกว่าเขาอยู่สามส่วน…เรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มิเคยมีใครกล้าเล่าลือถึงวีรกรรมบนท้องทะเลของเขามาก่อน

เนื่องจากวีรกรรมของเขาล้วนแต่เป็นเรื่องจริง และเรื่องจริงก็ได้กลายเป็นตำนานอันไม่อาจลบเลือน ตำนานเป็นดั่งไฟลามทุ่ง ทางนี้มีคนเริ่มจุด ทางนั้นก็ลามไปถึงนอกอาณาจักรต้าหมิงแล้ว

ราชาโจรสลัดของชาวฮั่นผู้นี้มีคนตั้งเท่าไรที่ริษยาเขาจนตาร้อน อาณาจักรที่พิทักษ์ปิดกั้นน่านน้ำทะเลอย่างแน่นหนาถึงกับปรากฏราชาโจรสลัดขึ้นผู้หนึ่ง แม้แต่โจรสลัดผูเถาหยาที่เกาะแฝดยังไล่ตามความโด่งดังของเขาไม่ทัน

“ข้าส่งท่านได้เพียงเท่านี้แล้ว มากกว่านี้มีแต่จะทำให้ท่านเดือดร้อน”

บนเรือเล็ก บุรุษสวมหน้ากากจิ้งจอกยกมือทำท่าบอกให้ฝีพายจอดเรือเทียบฝั่ง บนเรือเล็กมีคนอยู่หลายคน แต่ละคนเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างองอาจและผอมเพรียว

จากนั้นชายหนุ่มที่มีความสูงเท่าราชาจิ้งจอกผู้หนึ่งก็เหยียบไม้กระดานเดินขึ้นฝั่ง

บนฝั่งมีม้าเร็วรออยู่ตัวหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้หันหน้ากลับมาขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ย

“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าไม่เคยซักถามเรื่องของพวกเราพี่น้องมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าอยากทำอะไรก็ไม่มีใครห้ามเจ้า แต่ถ้ามันเป็นอันตรายต่อราชสำนัก ข้าก็จะไม่นิ่งดูดาย” เขาโด่งดังเร็วเกินไป มีแต่จะทำให้ราชสำนักเกิดความหวาดระแวง เดิมนึกว่าเขายึดครองเกาะจิ้งจอกเพียงเพื่อช่วยชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนภายใต้การปิดกั้นน่านน้ำทะเล คาดไม่ถึงว่าเขากลับกลายเป็นราชาโจรสลัดค้าของเถื่อนผู้โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วเสียแล้ว

“นี่เป็นคำเตือนอย่างนั้นหรือ” ริมฝีปากราชาจิ้งจอกกำลังยิ้ม แต่ยิ้มได้ดูชั่วร้ายนัก ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะก้าวขึ้นหลังม้าจากไปต้องมุ่นคิ้วดาบลึกขึ้น

“นี่เป็นคำเตือน” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนัก จ้องมองราชาจิ้งจอกด้วยความหมายลึกซึ้งเป็นครู่ใหญ่ ถึงแม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะถูกบดบังอยู่ภายใต้หน้ากาก แต่ก็ยังคงสามารถสัมผัสได้ถึงกระไอชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากทั้งร่างราชาจิ้งจอก ต่อให้วันหนึ่งอีกฝ่ายนำกองกำลังบนเกาะจิ้งจอกนั้นบุกเมืองหลวง เขาก็ไม่ประหลาดใจเลยจริงๆ

“อา เพื่อจักรพรรดิที่โฉดเขลาเลอะเลือนนั่น ท่านถึงกับเอ่ยคำเตือนกับข้าแล้ว” ราชาจิ้งจอกพูดอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา รอยยิ้มบนริมฝีปากเป็นรอยยิ้มประเภทที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า “ได้ คำเตือนนี้ข้าจะยังฟังชั่วคราว ข้าจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องราชสำนัก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”

“ขอบใจ เจ้ารีบกลับไปเถอะ…ใช้ฐานะราชาจิ้งจอกเหยียบขึ้นแผ่นดินต้าหมิงมีแต่จะทำให้เจ้าประสบภัย”

ราชาจิ้งจอกยังคงยิ้มเช่นเดิม นัยน์ตาดำอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าต้องรอสุยอวี้”

ชายหนุ่มลูบแบบร่างเรืออันล้ำค่าในอกเสื้อ ทำท่าถอนหายใจเบาๆ “เดิมข้านึกว่ากลับมาคราวนี้จะได้เจอนาง คิดไม่ถึงว่าจะพลาดเสียได้”

“ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เจอนางไปยังมีประโยชน์อะไรอีก”

“นางเป็นบุคคลทรงความรู้ความสามารถอันหาได้ยาก ข้าอยากพบนางเสียหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”

“หรือเป็นเพราะจักรพรรดิเลอะเลือนผู้นั้นกวาดต้อนบุคคลทรงความรู้ความสามารถในใต้หล้าไปได้หมดแล้ว เหลือก็แต่คนบนเกาะจิ้งจอกของข้า” นัยน์ตาดำของราชาจิ้งจอกหรี่ตาอย่างอันตราย

ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งก่อนพยักหน้า “เว้นแต่นางจะสมัครใจ มิเช่นนั้นข้าจะไม่แตะต้องนางเด็ดขาด รักษาตัวด้วย” จากนั้น เขาก็กระตุกสายบังเหียนควบม้าจากไป

“สมัครใจ? รอไปเถอะ” ราชาจิ้งจอกเหยียดมุมปาก แค่นเสียงเบาอย่างไม่แยแส

“ท่านห้า เข้าไปรอในห้องโดยสารก่อนเถิด คำนวณเวลาดู สุยอวี้ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วขอรับ”

“อืม”

ราชาจิ้งจอกเดินเข้าห้องโดยสารบนเรือ ในเรือเล็กหาได้มีปืนใหญ่หรืออาวุธใดๆ ชายฉกรรจ์ไม่กี่คนยืนอยู่ท้ายเรือ หัวเรือก็มีบุรุษหน้าเด็กผู้หนึ่งยืนอยู่ สองมือกอดอกมองกวาดมองรอบด้านไปมา บางคราหันหน้ากลับมามองเข้าไปในห้องโดยสารก็เห็นราชาจิ้งจอกกำลังพลิกหน้าหนังสืออ่านอยู่

เพียงไม่นานเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ปนเปกับเสียงฝีเท้าย่ำสับสน บุรุษหน้าเด็กเพิ่งจะชะงักงันไปเล็กน้อย ราชาจิ้งจอกก็โผล่มายืนอยู่ข้างๆ เพ่งมองไปทางด้านหน้าแล้ว

“ไจ้อู่”

ฟางไจ้อู่ติดตามราชาจิ้งจอกมานานหลายปี มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขากระโดดข้ามไม้กระดานไปก็มองเห็นม้าปรากฏตัวอยู่กลางหมู่ไม้แล้ว ที่ด้านหลังม้าเป็น…นินจา? ดวงตาเขาหรี่ลง แววเหี้ยมเกรียมปรากฏออกมาทันที

นินจารวดเร็วเป็นที่สุด แต่กำลังขาของฟางไจ้อู่ก็มิอ่อนด้อย ขณะที่ออกตัวพุ่งไปข้างหน้า มือก็เลื่อนไปที่เอว ดึงแส้ออกมาหวดไปทางสุยอวี้ที่อยู่บนหลังม้า

“พี่ไจ้อู่ รับไป!” ฝานสุยอวี้หมุนตัวหลบแส้ ทำให้คนที่ฟุบอยู่ข้างท้ายม้าถูกแส้ม้วนพันไป

แม้ฟางไจ้อู่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงกระตุกแส้กลับมา มิได้มองชัดว่าพันใครอยู่ก็เหวี่ยงคนมาหน้าเรือเล็กแล้วกระโดดเข้าร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนบนชุดดำของนินจาเปื้อนคราบเลือด เป็นของใครกัน ของสุยอวี้?

ไม่ใช่ วิทยายุทธ์ของนางแม้จะไม่ก้าวหน้า แต่ยังรับมือกับนินจาไม่กี่คนได้เหลือเฟือ เช่นนั้น…ก็เป็นเลือดของผู้อื่นแล้ว

เป็นของ…ชาวบ้านในหมู่บ้านริมทะเลแถบตะวันออกเฉียงใต้?

ใบหน้าเด็กของฟางไจ้อู่เต็มไปด้วยกระไอหนาวเหน็บบีบเค้น แส้หวดออกไปด้วยความรวดเร็ว เกิดเป็นแสงเงินจำนวนมาก

“สุยอวี้ออกมา” คำพูดเย็นเยียบออกมาจากปากของราชาจิ้งจอก แม้จะอยู่ระหว่างต่อสู้ เสียงของเขาก็ยังคงชัดเจนสามารถแยกแยะได้

ฝานสุยอวี้พยักหน้า ยกกระบองสกัดอาวุธลับ กระโดดออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดลังเล หันหน้ากลับไปอีก

แส้เงินเปื้อนเลือดโบกสะบัด ฟางไจ้อู่เข่นฆ่าจนไร้สติไปอีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอกับโจรสลัดวอโค่ว เขาจะเสียสติสัมปชัญญะเช่นนี้ทุกครา

ไม่ช่วยเขาจะดีหรือ

“ข้าบอกให้เจ้ามา ฝานสุยอวี้ หรือเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้า”

นางห่อไหล่ ไม่ลังเลอีก กระโดดออกนอกวง และวิ่งไปหาราชาจิ้งจอกทันที นางดูหน้าตามอมแมมสลดหดหู่อยู่บ้าง นัยน์ตาดำของราชาจิ้งจอกกวาดมองทั่วร่างนางอย่างเย็นชา ก่อนกล่าวว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยพูดว่าอะไร”

“พี่ห้า…พวกเขาก่อกวนหมู่บ้านริมทะเล ชาวบ้านตายไปตั้งหลายคน…” ฝานสุยอวี้ออกแรงเช็ดคราบเลือดบนหน้า หอบหายใจด้วยความเคียดแค้น

“ข้าก็เคยบอกแล้วอย่างไรว่าเจ้าจะแตะต้องใครก็ได้ เว้นแต่พวกชาวรื่อเปิ่น” น้ำเสียงเขามิได้หนัก มิได้เกรี้ยวกราด แต่โดยปกตินี่หมายถึงว่าเขาเริ่มไม่ชอบใจแล้ว

เรื่องที่ทำให้เขาไม่ชอบใจได้มีน้อยยิ่งนัก แทบจะไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อใดที่ได้เห็นก็หมายความว่าต้องมีคนเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่

“เหตุใดท่านถึงอนุญาตให้ข้าฆ่าใครก็ได้ แต่กลับไม่ให้ฆ่าโจรสลัดวอโค่วแม้แต่คนเดียว” นางกัดฟันคัดค้าน

“เจ้าเคยถามมาหลายครั้งแล้ว และสิ่งที่แน่ใจได้คือเจ้าจะไม่ได้รับคำตอบใดๆ” ราชาจิ้งจอกมองวิธีเข่นฆ่าอันรุนแรงไม่ยั้งมือของฟางไจ้อู่อย่างเฉยชา ก่อนจะยกมือกวักเรียกชายฉกรรจ์บนเรือเล็กพลางกล่าวเสียงเย็น “ไปจัดการซะ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว แล้วจับเจ้าทึ่มนั่นกลับมาให้ข้า ต่อให้ทำเขาบาดเจ็บก็ไม่เป็นไร”

ชายฉกรรจ์ไม่กี่คนผงกศีรษะรับคำ ก่อนจะผลุบตัวเข้าร่วมวงต่อสู้ตะลุมบอนอย่างคล่องแคล่วว่องไว

“เจ้าไม่เชื่อฟัง?” เขากลับมาพูดกับนางต่อ ทว่านัยน์ตาดำภายใต้หน้ากากไม่แม้แต่จะมองนาง

“ข้า…ข้า…คำของพี่ห้า ข้าไม่อาจไม่เชื่อฟัง” นางโมโหมากแต่กลับไม่กล้าต่อต้านเขา ผู้มีพระคุณชั่วชีวิต พี่ห้าชั่วชีวิต คำพูดของเขาเท่ากับประกาศิต ถ้าต่อต้านเขาจริงๆ แม้แต่นางเองยังไม่อาจให้อภัยตนเองได้

นางหรี่ตา จ้องมองการต่อสู้ตะลุมบอนที่เบื้องหน้า เหล่าพี่น้องทางนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นต่อ ทว่าฟางไจ้อู่กลับตกเป็นรอง ถูกความแค้นเรื่องถูกทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดบังตาเข้าอีกแล้วหรือ

“ถ้ามีปืนไฟก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือแล้ว” นางพูดเสียงค่อย

“ถ้าพวกเขามีปืน ตอนนี้คนที่ตายก็คือเจ้า” เขาหันหลังเดินกลับเข้าห้องโดยสารเรือพลางเอ่ย “มานั่ง”

นางนั่งลงตามเขาอย่างไม่เต็มใจ สายตากลอกไปทางวงต่อสู้เป็นระยะ

“เจ้าขึ้นไปฮุยโจวตรวจสอบมาแน่ชัดหรือยัง” เขาเอ่ยถามด้วยท่าทางเฉื่อยชา หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดอ่านด้วยท่าทางตามสบาย

“อืม…” นางฝืนดึงสติกลับมา กล่าวตอบอย่างจริงจัง “ต้องขอบคุณพี่สิบที่ช่วยสืบสวน จางต้าหลางที่ติดต่อกับพวกเราส่งสินค้าให้พี่น้องสกุลวังทั้งหมด”

“อ้อ?”

“นับตั้งแต่พี่น้องสกุลวังร่วมงานกับเกาะแฝดเป็นต้นมาก็ชอบแย่งตัวพ่อค้าของพวกเราไปเป็นประจำ จนชวนให้คนไม่อาจไม่สงสัย…อ๊ะ!” นางคว้ากระบองก่อนกระโดดลุกขึ้น เนื่องจากมองเห็นนินจาชุดดำคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาทางเรือเล็ก

“นั่งลง ข้างในนี้ยังไม่ถึงคราวให้เจ้าต้องลงมือเอง” เขาไม่แม้แต่จะเผยอเปลือกตาขึ้นมอง

ทันใดนั้น นินจาชุดดำก็ถูกฟางไจ้อู่ใช้แส้ฟาดร่างขาด นางเบือนหน้าหนี กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนนั่งลง ชั่วชีวิตก็ยังเลียนแบบความสุขุมเยือกเย็นของพี่ห้าไม่ได้ และชั่วชีวิตก็เห็นฝีมือโหดร้ายทารุณของพี่ไจ้อู่ไม่ชินเช่นกัน

“เขาเข่นฆ่าจนไร้สติไปแล้ว มิใช่หรือไร” เขาทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็อยากเป็นอย่างเขา?”

นางขยับปาก พูดด้วยความโมโห “ไม่ ข้าร่ำเรียนยุทธ์เพียงเพื่อไว้ปกป้องพี่ห้า”

เขาแค่นเสียงเบาๆ

“ปกป้องข้า? ข้างกายข้าเลี้ยงไว้แต่พวกมุทะลุวู่วาม สามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ควรขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้วจริงๆ” เขาปิดหนังสือก่อนหลับตาพักด้วยความเบื่อหน่าย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายฉกรรจ์ไม่กี่คนก็จับตัวฟางไจ้อู่ขึ้นมาบนเรือ

“ท่านห้า…” ฟางไจ้อู่หอบหายใจ เก็บแส้เข้าเอว กลิ่นอายการฆ่าฟันอันบ้าคลั่งยังไม่ทันเก็บลงสิ้น แต่ก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องให้ราชาจิ้งจอกเอ่ยปาก เขาก็รู้ว่าหลังกลับถึงเกาะจิ้งจอกจะต้องถูกลงโทษอีกแล้ว

“ออกเรือ” ราชาจิ้งจอกไม่ได้มองเขาก็เอ่ยพูดขึ้นอย่างเฉยชา

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” นางพลันกระโดดผลุงลุกขึ้นวิ่งปราดไปหัวเรือ คว้าคนที่เมื่อครู่ถูกเหวี่ยงทิ้งไว้หน้าเรือเล็กขึ้นมา หันหน้ากลับมาร้องบอกว่า “พี่ห้า พวกเราพาเขากลับไปด้วยเถิด ชาวฝอหล่างจี ผู้นี้หนีออกมาจากเกาะแฝด เมื่อครู่ถ้ามิใช่ได้เขา ข้าคงต้านโจรสลัดวอโค่วพวกนั้นไม่ไหวไปนานแล้ว”

คุกใต้ดินบนเกาะจิ้งจอก

“เจ้าไม่เหมาะจะฝึกยุทธ์”

ฟางไจ้อู่ถอนหายใจหนักๆ คำรบหนึ่ง เสียงสะท้อนก้องอยู่ในคุกน้ำอันเงียบเหงาวังเวง ครึ่งท่อนล่างของเขาแช่อยู่ในน้ำ สองมือถูกใส่กุญแจมือตรึงไว้บนผนัง มองไล่ขึ้นด้านบนตามสี่ด้านผนังจะเห็นคุกใต้ดินหลายห้อง ฝานสุยอวี้ก็ถูกขังอยู่ในห้องด้านบนตรงข้ามเขา แต่ไม่ได้ถูกล่ามมือล่ามเท้า กำลังนั่งขมวดคิ้วเรียวอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ

“สุยอวี้ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่” เขาเร่งเสียงดังขึ้น เขาพูดมากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีเวลาไหนที่ไม่พูด ถ้าไม่มีใครพูดด้วยก็ให้เขาตายให้จบๆ ไปยังดีกว่า

“ข้ากำลังพิจารณาตนเอง”

“พิจารณาตนเอง?” เขาทำเสียงถ่มน้ำลาย ก่อนหัวเราะร่า “ถ้าเจ้ารู้จักพิจารณาตนเองจริงๆ วันนี้ก็คงไม่ถูกท่านห้าขังไว้ในคุกใต้ดินแล้ว”

ฝานสุยอวี้แลบลิ้นปลิ้นตา พลิกตัวลุกขึ้น มองลงไปด้านล่างผ่านลูกกรงเหล็ก

“พี่ไจ้อู่ ว่าแต่ผู้อื่นไม่รู้จักดูตัวเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่ารู้ความผิดแล้วปรับปรุงแก้ไข ท่านน่ะต้องรู้จักพิจารณาตนเองถึงจะทำให้พี่ห้าปล่อยท่านออกไปไวๆ ได้ รสชาติการแช่อยู่ในน้ำไม่สบายเอาเสียเลย”

“ข้ามีความผิดอะไร ถ้าหากคนในครอบครัวเจ้าล้วนตายเพราะโจรสลัดวอโค่วบ้าง เจ้าว่าเจ้าจะลงมือหรือไม่” เขาพูดด้วยความโกรธแค้น พอนึกถึงอุบัติภัยที่ถล่มใส่ในตอนนั้น ในดวงตาก็เต็มไปด้วยแววสังหาร

และก็มีเพียงเวลานี้ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กซึ่งเดิมทีดูเป็นมิตรจะย้อมไปด้วยแววดุร้าย ความเกลียดแค้นของเขาทำให้สติพิจารณาของเขาบิดเบี้ยว นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ห้าถึงไม่เคยชี้แนะตักเตือนเขา นางโตมาด้วยกันกับพี่ไจ้อู่ตั้งแต่เล็ก รู้ว่าผู้ที่เขายอมรับนับถือที่สุดในชีวิตนี้ก็คือพี่ห้า ถ้าพี่ห้ายอมพูด ไม่แน่เขาอาจจะยอมล้มเลิกการแก้แค้น แต่เหตุใดพี่ห้าถึงไม่เคยห้ามปรามความคิดแก้แค้นของเขาเลย

“ฆ่าโจรสลัดวอโค่วเหล่านั้นแล้ว ในใจท่านรู้สึกดีจริงๆ หรือ” นางถามเสียงเบา

“จริง” เขาสบตานางด้วยสายตาวาวโรจน์ “ข้าเคยบอกว่าเจ้าไม่เหมาะจะฝึกยุทธ์ สุยอวี้ เป็นเพราะว่าเจ้าใจอ่อนเกินไป ข้าฝึกยุทธ์นอกจากเพื่อปกป้องท่านห้าแล้ว ที่เหลือมีเพียงจุดประสงค์เดียว…ก็คือฆ่าคนรื่อเปิ่นให้สิ้นซาก ข้าเห็นหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน จนกว่าข้าจะตาย” ดวงตาเขาเป็นสีแดง อารมณ์ขณะฆ่าคนก่อนหน้านี้ยังหลงเหลืออยู่ในเลือดเขา

นางขดตัวสั่นสะท้านน้อยๆ หันหลังพิงลูกกรงเหล็ก “ข้าไม่อยากเห็นท่านอีกแล้ว”

“ว่าอะไรนะ” ฟางไจ้อู่อึ้งไป

“หน้าท่านน่าเกลียดเสียจริง พี่ไจ้อู่ที่ข้ารู้จักไม่อัปลักษณ์เหมือนท่าน”

อัปลักษณ์? ฟางไจ้อู่แค่นเสียงออกจมูก

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถุย! แม้แต่รูปโฉมของนางเด็กเสี่ยวชุนในครัวยังเหนือกว่าเจ้าอยู่สามส่วน เจ้ามีสิทธิ์มาว่าข้าน่าเกลียดด้วยหรือ”

นางแลบลิ้นปลิ้นตาอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นว่าประตูใหญ่ของคุกใต้ดินพลันถูกผลักเปิดเบาๆ ผู้ที่เดินเข้ามาคือบาทหลวงซา ริมฝีปากบางจึงแย้มยิ้มขึ้น

เขาขยิบตาให้นาง

คุกใต้ดินแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นที่ที่ขังนางในตอนนี้ อีกชั้นก็เป็นคุกน้ำที่ขังฟางไจ้อู่อยู่ เขามองไม่เห็นบาทหลวงซา เว้นแต่ว่าบาทหลวงซาจะเดินเข้าไปในคุกห้องใดห้องหนึ่ง

“ไม่เถียง? อย่างนั้นก็ช่างเถอะ”

ฟางไจ้อู่แค่นเสียง ดูท่าอย่างน้อยๆ เขาต้องถูกขังไปอีกหลายวัน สุยอวี้ก็โชคดีกว่าเขาแล้ว แม้ท่านห้าจะลงโทษที่นางไม่เชื่อฟัง แต่ยังคงยั้งมือไว้ไมตรี เดิมนางก็ไม่เหมาะจะฝึกยุทธ์ ความใจอ่อนของสตรีเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกด้านคือร่างกายนางไม่เหมาะจะได้รับบาดเจ็บเสียหายมากเกินไป

ตอนที่เขาถูกเก็บกลับมา บนเกาะจิ้งจอกก็มีสุยอวี้แล้ว ว่ากันว่านางก็ถูกท่านห้าเก็บกลับมาเช่นกัน รายละเอียดในเรื่องต่างๆ ของนางนั้นเขามิรู้แน่ชัด รู้เพียงว่าขณะตนเองถูกเก็บกลับมา นางกำลังพักรักษาอาการป่วยอยู่ ตัวผอมๆ เล็กๆ แห้งๆ เหมือนหนูน้อยที่ได้รับการบำรุงไม่เพียงพออย่างไรอย่างนั้น ครั้นต่อมาหลังท่านห้ามอบหมายให้จอมยุทธ์บนเกาะเริ่มสอนวิทยายุทธ์แก่เขา นางก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน ถูกท่านห้าหิ้วมาให้ฝึกยุทธ์ด้วยเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

เขาเรียนยุทธ์ จุดประสงค์เดิมคืออยากแก้แค้น ต่อมากลับกลายเป็นผู้อารักขาที่ภักดีของท่านห้า ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกคนฟันหลังสองดาบ แต่ยังคงสู้ตายให้ท่านห้าหนีไปได้โดยปลอดภัย ตอนนั้นไม่แม้แต่จะคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะสามารถแก้แค้นที่ถูกทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้หรือไม่ คิดเพียงแต่ว่าต้องปกป้องท่านห้า แล้วจุดประสงค์ในการฝึกยุทธ์ของสุยอวี้เล่า นอกจากเรื่องทำให้ร่างกายแข็งแรง ท่านห้าให้นางฝึกยุทธ์เพื่อเป็นผู้อารักขาที่ภักดีอีกคนใช่หรือไม่

จำได้ว่าเคยได้ยินว่าท่านห้ามาจากสกุลเนี่ยแห่งเมืองหนานจิง ในตระกูลมีพี่น้องจำนวนมาก ข้างกายแต่ละคนจะต้องมีผู้อารักขาที่ภักดีหนึ่งคน ไม่อาจมากไปกว่านี้ เพราะว่าผู้อารักขาผู้นั้นจะต้องเฝ้าพิทักษ์เจ้านายไปตราบชราตราบชีวิตจะหาไม่ ทว่าท่านห้ากลับรับไว้ถึงสองคนเป็นกรณีพิเศษ แต่ใครที่จะเป็นผู้อารักขาชั่วชีวิตของเขากัน

เขาไม่มีความคิดจะแย่งตำแหน่งผู้อารักขาข้างกายราชาจิ้งจอก แต่คำเรียกขานที่ทั้งสองใช้เรียกราชาจิ้งจอกตั้งแต่เล็กได้แสดงชัดถึงท่าทีที่ท่านห้ามีต่อพวกเขาแล้ว ทว่าเหตุใดยังต้องให้สุยอวี้ฝึกยุทธ์อีกเล่า นางไม่เหมาะจริงๆ ฝึกต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะเทียบทันวิทยายุทธ์ในตอนนี้ของเขาได้

“พี่ไจ้อู่”

“ทำไม อยากพูดอะไรแล้วหรือ เช่นนั้นก็ต้องดูว่าข้ามีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหรือไม่”

“ข้าอยากเกลี้ยกล่อมให้ท่านพิจารณาตนเอง พอเข้าเกาะ พี่ห้าก็โยนพวกเราเข้าคุก ถ้าไม่พิจารณาตนเอง เกรงว่าชั่วชีวิตคงไม่ต้องคิดเรื่องออกไปแล้ว ยามนี้ข้ากำลังพิจารณาตนเองอยู่ คราวหน้าจะไม่กระทำการมุทะลุวู่วามเด็ดขาด พิจารณาตนเองๆๆๆ…” นางประนมมือ ซ่อนรอยยิ้ม

“ถุย! เจ้ากำลังพล่ามอะไร” นางเปลี่ยนเป็นขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไร “ข้าไม่มีวันให้อภัยพวกรื่อเปิ่นเหล่านั้นชั่วชีวิต ข้าเห็นหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน จะไม่มีคนรื่อเปิ่นคนใดเล็ดลอดไปภายใต้สายตาข้าได้แม้แต่คนเดียว ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซาก…เอ๊ะ! บาท…บาทหลวงซา” ดวงตาเขาเบิกโต ลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า มองบาทหลวงซาที่ไม่รู้เดินเข้ามาในคุกใต้ดินตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยังกำลังยืนอยู่ข้างสุยอวี้

นางยิ้มตาหยี เป็นเพราะนางชอบยิ้มนี่นา หลังเขาถูกเก็บกลับมาเกาะจิ้งจอกก็รู้แล้วว่านางชอบยิ้ม แต่ยามนี้นางยิ้มได้ชั่วร้ายนัก แม้แต่ดวงตายังโค้งขึ้น รอยยิ้มพรรค์นี้น่ากลัวเหลือหลาย เพียงพอจะทำให้เขาใจเต้นรัว นึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว

“บาทหลวงซา…ท่านห้าบอกให้ท่านมาหรือ” เขาเอ่ยถามหยั่งเชิงบาทหลวงชาวผูเถาหยาที่อาศัยอยู่บนเกาะจิ้งจอกมานานหลายปีผู้นี้

บาทหลวงซาผู้มีอายุร่วมสามสิบ เขาแย้มยิ้มพลางพยักหน้า

“ราชาจิ้งจอกต้องการให้ข้ามาดูว่าใครยอมสำนึกผิดบ้าง” ผลลัพธ์จากการอาศัยบนเกาะจิ้งจอกมาหลายปีก็คือพูดภาษาฮั่นได้คล่อง แทบจะไม่ติดสำเนียงผูเถาหยาแต่เดิมของเขาแล้ว

ลูกตาที่โปนออกมาของฟางไจ้อู่ถลึงมองเขาเป็นครู่ใหญ่ถึงค่อยเลื่อนไปทางสุยอวี้อย่างเชื่องช้า “เจ้ารู้ว่าเขามา?” ฟันเขาเริ่มขบกันแน่น

“ข้ารู้สิ” นางเผยรอยยิ้ม “อีกทั้งข้าก็พิจารณาตนเองแล้ว บาทหลวงซาจะปล่อยข้าออกจากคุกแล้ว พี่ไจ้อู่ ตอนเย็นข้าจะเอาข้าวคุกมาเยี่ยมท่าน”

บาทหลวงซาขมวดคิ้วด้วยท่าทีจริงจัง ทว่าในดวงตามีแต่แววขบขัน

“แม่นางสุยอวี้ คำสั่งของราชาจิ้งจอกคือคนที่ถูกขังในคุกน้ำไม่อนุญาตให้กินข้าวเหมือนกันหมดไม่มีข้อยกเว้น”

“อ้อ ข้าลืมไป”

“ฝานสุยอวี้!”

ลำเอียงชัดๆ!

เขารู้ดีว่าพอบาทหลวงซาเข้ามาคุกใต้ดิน จากมุมของสุยอวี้สามารถมองเห็นได้แน่นอน บัดซบ! ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าใจของท่านห้าเอนเอียงอยู่แต่เดิมแล้ว ทว่า…ก็ยังน่าโมโหอยู่ดี

“สุยอวี้ ไปเปลี่ยนชุดที่สะอาดก่อนเถอะ สูดไอเย็นในคุกดินนี้มากเกินไปจะทำร้ายร่างกาย” บาทหลวงซากล่าวด้วยความห่วงใย

“ทราบแล้ว” นางยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร ก่อนโบกมือให้ฟางไจ้อู่ “พี่ไจ้อู่ ข้าไปก่อนล่ะ พิจารณาตนเองเสีย ต้องพิจารณาตนเองถึงจะหลุดพ้นห้วงทุกข์ได้”

“ฝานสุยอวี้!”

เจ้าตัวบัดซบ!

เขาทำได้เพียงมองดูทั้งสองคนหายลับสายตาของตนไปตาปริบๆ ถ้าเมื่อครู่นางบอกใบ้ให้สัญญาณเขาสักหน่อย เขาก็หลุดพ้นห้วงทุกข์อันเย็นยะเยือกนี้ได้เช่นกัน ช่างไร้น้ำใจสิ้นดี!

เขาขยับไปข้างหน้า กุญแจมือและตรวนล่ามเท้าเหนี่ยวรั้งร่างเขาไว้ สมควรตาย! ร่างกายถึกทรหดของเขาทนไอเย็นในคุกนี้ได้ ก็ควรเป็นเขารับโทษจริงๆ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสความรู้สึกของการฆ่าคนเป็นผักปลาเช่นนั้น ฆ่าจนลืมท่านห้า ลืมความแค้นของครอบครัว เพียงต้องการเปื้อนเลือด นี่ก็คือสาเหตุที่ท่านห้าขังเขาไว้ในคุก? เขากัดฟัน แส้ที่เอวถูกริบไปชั่วคราว บนนั้นยังมีเลือดเปรอะอยู่ ไม่มีอาวุธก็เหมือนถูกลอกหนังออกไป ให้เขาอยู่คนเดียวอย่างนี้สักสองสามวัน ไม่มีใครให้ลับฝีปากด้วย นั่นจะต้องเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานอย่างแน่นอน

“ฝานสุยอวี้ที่สมควรตาย!” เขาก้มหน้าคอตก พลางกัดฟันพูด

 

บุรุษผู้หนึ่งผลักเปิดประตู ‘เรือนฉางชุน’ เสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาเห็นได้ชัดว่ามิได้รบกวนผู้ใดในเรือน จากนั้นเขาก็เดินทอดน่องเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง

ภายในเรือนตกแต่งค่อนข้างเรียบง่าย…เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะกลมหนึ่งตัว เก้าอี้ซูเป้ย สองตัวรวมกับตู้อีกหนึ่งใบ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้างเตียงมีฉากบังลมอยู่บานหนึ่ง บนฉากมีชุดบุรุษพาดอยู่ เสียงน้ำสาดรดดังขาดๆ หายๆ ออกมาจากหลังฉากบังลม ริมฝีปากเขาปรากฏรอยยิ้มชอบกล ก่อนจะถอดหน้ากากจิ้งจอกลง เผยใบหน้าชั่วร้ายงามละมุนออกมา

ใบหน้าเขาสมควรจะน่ามอง…องอาจผึ่งผายทั้งยังหล่อเหลาพริ้มพราย แม้ไม่มีกลิ่นอายสุภาพเรียบร้อย แต่กลับมีความสง่างามเป็นธรรมชาติอันเป็นลักษณะพิเศษของบุรุษในแถบเจียงหนานอย่างเต็มที่ แวบแรกที่มองเห็นก็ให้รื่นตารื่นใจ แต่ยามสายตาเขาช้อนขึ้นจากสมุดบันทึกบนโต๊ะกลม นัยน์ตาดำที่ยากจะแยกแยะเจตนาดีร้ายนั้นกลับเปลี่ยนแปลงใบหน้าที่เดิมที่ไร้พิษภัยไป

เขาเปิดสมุดบันทึกดูเล่นๆ เสียงกระดาษเปิดพลิกดังเป็นครู่ใหญ่กว่าจะทำให้คนที่หลังฉากรู้ตัว

“ผู้ใดกัน!”

บุรุษแค่นเสียงเย็นเสียงหนึ่ง พลางเตะเก้าอี้ขึ้นมาซัดไปทางฉากบังลมอย่างไม่ใส่ใจ

“ว้าย!” เสียงน้ำกระเซ็นซู่ซ่า กระบองเหล็กซัดฉากบังลมกลับมาพร้อมกับโจมตีใส่เขา สองมือเขาไพล่เก็บไว้ด้านหลัง เอียงตัวหลบอย่างสบายๆ กระบองเคลื่อนตามร่างเขา ลมแรงซัดด้านข้างตัวเขา เขาคว้ากระบองเหล็กไว้แล้วกระตุกดึงอย่างรำคาญอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า ประคองผู้ใช้กระบองที่ทรงตัวได้ไม่มั่นคง มือเลื่อนไปตามเอวเปลือยเปล่าของนาง กดตัวนางกลับลงไปในอ่างอาบน้ำ

“พี่ห้า!” นางสูดหายใจเฮือก รีบเลื่อนร่างเปลือยเปล่าขาวราวหิมะลงในน้ำแทบไม่ทัน

“ไม่ใช่ข้าจะยังมีใคร” ไม่ได้เจอกันแค่เดือนครึ่ง เจ้ากลับลืมเสียแล้วว่าบนเกาะจะมีใครขวัญกล้าเข้ามาเรือนฉางชุนโดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน…

“นั่น…นั่นสิ” บนหน้าร้อนผ่าว นางลืมโรคเก่าของพี่ห้าไปได้อย่างไรกัน ดวงตาฝานสุยอวี้เบิกโต จ้องมองเนี่ยยางยงใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้ซูเป้ยที่ล้มอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนนั่งลงอย่างเยือกเย็นเป็นธรรมชาติตาไม่กะพริบ “พี่ห้า…ท่านมีธุระ?”

ฉากบังลมล้มลงแล้ว แต่เขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าต่างที่เบื้องหน้าอย่างไม่เกรงคำครหา ห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากอ่างอาบน้ำ…ไหล่นางกระตุก พี่ห้าไม่เกรงคำครหา แต่…แต่นางเกรงนี่! คนบ้า…ไม่ๆๆๆ ด่าเขาไม่ได้ พี่ห้าเป็นบุรุษที่นางเคารพที่สุดในโลก จะด่าเขาได้อย่างไร! ทว่าน่าตายนัก นับแต่นางอายุสิบสามเป็นต้นมา โรคพรรค์นี้ของพี่ห้าก็ไม่ได้กำเริบแล้ว

“ทำไม ข้าอยู่ตรงนี้ทำให้เจ้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา?”

พูดบ้าๆ ชายหญิงมีความแตกต่างกันนะ

“ไม่ใช่…” นางตอบอย่างดูขลาดกลัว อยู่ต่อหน้าเขาก็พูดปฏิเสธไม่ค่อยออก

“เช่นนั้นก็ดี” ดวงตาเขากวาดมองนางตามสบายรอบหนึ่ง

“ข้า…ข้านึกว่าพี่ห้าจะอยู่ในห้อง รอข้าไปหา” ร่างนางเลื่อนต่ำลงในน้ำใสแจ๋วมากขึ้นอีก เนื้อหนังส่วนที่โผล่เหนือน้ำเริ่มชาเพราะการจ้องมองของเขา

“ข้าก็กำลังรอเจ้า แต่คิดไม่ถึงว่ารอเป็นครึ่งค่อนวันแล้ว เจ้าก็ยังอาบน้ำอย่างชักช้ายืดยาดอยู่”

“ข้า…ข้าใกล้จะเรียบร้อยแล้ว…”

“ตั้งแต่เมื่อไรที่เจ้าพูดจาตะกุกตะกัก จนฟังไม่เป็นคำพูดแล้ว”

“เจ้าค่ะ…ข้าจะปรับปรุง…” นางไม่กล้าช้อนตามองสายตาวาววับของพี่ห้าตรงๆ เจ้าคนโง่เง่าเต่าตุ่นเอ๊ย…ไม่ ไม่ควรด่าพี่ห้าสิ เขาเกิดมาก็มีนิสัยทำอะไรตามใจอย่างมาก แทบจะทำทุกอย่างตามความต้องการเลยทีเดียว บนเกาะจิ้งจอกเขาเป็นนาย ในใจนาง ฐานะของเขาสูงส่งประหนึ่งอวี้หวงต้าตี้* แม้แต่ให้นางตายเพื่อพี่ห้า นางก็จะไม่ประท้วงสักคำ…หากแต่มิได้หมายความว่าเขาจะเอาแต่เล่นตลกพรรค์นี้ได้

เดิมก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่นางจำความได้ก็มีพี่ห้าอยู่ในความทรงจำแล้ว เขาเลี้ยงนาง สอนนาง ทรมานฝึกฝนนาง เอ่อ บางทีอาจจะยังเอ็นดูนางอีกนิดหน่อย ทำให้นางมีความเชี่ยวชาญหลายแขนงจากที่ไม่มีอะไร วันเวลาตอนยังเล็กนั้นลำบากนัก ล้วนต้องขอบคุณเขา ขณะพี่ไจ้อู่มุ่งมั่นฝึกยุทธ์ นางต้องร่ำเรียนเขียนอ่าน เรียนเย็บปักถักร้อย เรียนยุทธ์รวมถึงเรียนเพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาด เรียนจนแทบจะมากกว่าพี่ห้าแล้ว เหนื่อยยิ่งนัก ทว่ากล่าวตามตรง นางรู้สึกขอบคุณเขา ถึงขนาดว่ายินยอมพร้อมใจจะจงรักภักดีต่อเขาไปชั่วชีวิตเช่นเดียวกันกับพี่ไจ้อู่ หากแต่…พี่ห้าดันมีข้อเสียในจุดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะความมีนิสัยทำตามใจ เขาถึง…ไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง มักจะ ‘เล่นสนุก’ กับนางเป็นประจำ…มีบางครั้งตื่นมากลางดึกยังนึกว่าเจอผีเข้าแล้ว ภายใต้แสงจันทร์สลัวราง นางมองเห็นพี่ห้ากอดอกจ้องมองนาง ที่แย่หน่อยก็ตื่นมาพบว่าตนเองไม่รู้มีเพื่อนร่วมหมอนเพิ่มมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร

ข้อห้ามที่ว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันถูกเขาทำลาย แม้ว่าหลังจากนางอายุได้สิบสาม พี่ห้าจะรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงมากขึ้น แต่นางก็รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ของตนไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว

“หน้าเจ้ากลมไปหน่อย” เนี่ยยางยงว่า เขาเดินไปยกชามาก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง ประหนึ่งว่าอยู่ในห้องตนเอง

“ข้า…” ดวงตาดำเรียวยาวที่มีหนังตาชั้นเดียวกะพริบปริบๆ รู้สึกอยากร้องแต่ไร้น้ำตาอยู่บ้าง “ใช่แล้ว ข้าอ้วนขึ้น พี่สิบดูแลดี”

เขาจิบชาไปคำหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วมองถ้วยน้ำชา

“แค่เดือนครึ่งนี้ก็สามารถเลี้ยงเจ้าจนเป็นเช่นนี้ได้ น้องสิบดูแลได้ดีจริงๆ ถ้ามิใช่ข้าเข้าใจเจ้า ข้าคงได้คิดจริงๆ ว่าเจ้าขึ้นไปฮุยโจวเพียงสนแต่กินไม่ทำการทำงาน”

ดูพี่ห้าพูดเข้าสิ เหมือนว่านางอ้วนจนเผละกระนั้น นางถลึงมองเขา น้ำเริ่มเย็นแล้ว อยากลุกขึ้นก็ไม่กล้า ท่าทางพี่ห้าเกรงว่าจะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระแล้ว นี่ช่าง…เกินไปจริงๆ!

ลึกๆ นางเองก็รู้อยู่แล้วว่านางไม่โชคดีขนาดที่เขาจะปล่อยนางออกจากคุกอย่างง่ายดาย นี่เพียงเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการทรมานเท่านั้น

“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ ทำไม ขึ้นไปฮุยโจวมาเที่ยวหนึ่ง แม้แต่พูดก็ทำไม่เป็นแล้วหรือ” เขาดื่มชาไปอีกอึก หัวคิ้วยิ่งมุ่นยิ่งลึก

“ข้า…พี่ห้าจะด่าก็ด่าเถอะ สุยอวี้กำลังรออยู่”

“ด่า?” เขาเลิกคิ้ว นัยน์ตาดำอันชั่วร้ายจ้องมองนาง “ข้าจะด่าใคร ด่าเจ้าหรือ จะด่าอะไร เจ้าขึ้นไปทำงานที่ฮุยโจว เดิมนึกว่าติดตามข้างกายน้องสิบจะได้ศึกษาโลกกว้างมาสักหน่อย แต่ดูเถอะว่าเจ้าเรียนอะไรมา อีกทั้งนำอะไรกลับมาด้วย ชาวฝอหล่างจีผู้นั้น เจ้าเห็นเกาะจิ้งจอกเป็นอะไร เป็นโรงทาน? หรือเป็นเรือนพักรวมในตรอกที่รับคนไร้ประโยชน์เอาไว้หมด ข้าจะด่าเจ้าได้อย่างไรกัน ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าเคยได้ยินข้าด่าเจ้าสักคำด้วยหรือ”

ที่แท้ก็เพราะชาวฝอหล่างจีผมแดงผู้นั้น

“เขา…เขาช่วยข้าไว้ พี่ห้า ถ้ามิใช่เขาทนมองเฉยไม่ได้ เลยช่วยข้าจากน้ำมือโจรสลัดวอโค่วกลุ่มนั้น เกรงว่าข้าคงไม่อาจกลับมาอยู่ข้างกายพี่ห้าได้อีกแล้ว”

“อ้อ? นั่นก็หมายความว่าเจ้าร่ำเรียนมาไม่ได้ความแล้ว?” ตาเขาหรี่ลง “เรียนมาไม่ได้ความก็กล้าไปสู้โจรสลัดวอโค่ว? เจ้าต้องการช่วยคนหรือต้องการเอาชีวิตไปทิ้งด้วยกันแน่”

“พี่ห้า พวกเขาฆ่าคนนะ!” นางขยับ คิดจะลุกขึ้นด้วยความพลุ่งพล่าน น้ำกระเซ็น ทว่าพอมองเห็นสายตาเขาเลื่อนลงด้านล่างถึงค่อยลนลานขดตัวกลับลงไปใหม่ “พี่ห้า พวกเขามาก่อกวนหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลอีกแล้ว ขอเพียงเป็นชาวฮั่นก็ล้วนจะชักดาบเข้าช่วยทั้งนั้น”

“ปมเรื่องชาวฮั่นอีกแล้ว?” สีหน้าท่าทางเขาเฉยชา นัยน์ตาดำแม้จะมีแววชั่วร้ายเพิ่มมาหลายชั้น แต่สิ่งที่แสดงออกมายังคงเป็นความเฉยชา

“ข้า…ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นปมเรื่องชาวฮั่นหรือไม่ แต่โจรสลัดวอโค่วรุกรานยึดครองก่อกวนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง” ถึงจะติดตามอยู่ข้างกายเขาเป็นสิบปี แต่ก็ไม่มีวันเลียนอย่างนิสัยเย็นชาและทัศนะที่มีต่อ ‘คน’ ของเขาได้

“อ้อ เจ้ารู้จักเทศนาแล้ว แม้แต่คำข้าก็ลืมแล้ว ดังนั้นเจ้าเลยลงมือ ซ้ำยังพาคนกลับมาด้วย เจ้าคิดจะจัดการกับเขาอย่างไร”

“ข้า…เขากลับไปเกาะแฝดไม่ได้แล้ว บางที…เขาอาจจะอยู่ที่เกาะจิ้งจอกต่อได้?” นางมองเขาอย่างคาดหวัง

คิ้วเขาเลิกขึ้น จ้องนางเป็นครู่ใหญ่

“พี่…พี่ห้า?”

“เจ้าอยากให้เขาอยู่ต่อ?” น้ำเสียงเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง

“ข้า…เขาออกจากเกาะจิ้งจอกไปจะต้องถูกคนจากเกาะแฝดตามฆ่าเป็นแน่ เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า ข้าย่อมอยากให้เขาอยู่ต่อแน่นอน”

“ดี เจ้าพูดเองนะ” เขารับปาก “เจ้าอยากให้เขาอยู่ต่อก็ให้เขาเป็นผู้ติดตามของเจ้า ตอนนี้เขาเป็นคนของเจ้าแล้ว ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบเอง”

น้ำเสียงทำนองนี้คล้ายว่านางเคยรู้จัก ก็เหมือนเช่นที่ผ่านมาไม่ว่านางขออะไร พี่ห้าล้วนแต่ตกลง ทว่าเงื่อนไขแรกคือนางต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา นี่ก็คือรูปแบบการสั่งสอนที่เขามีต่อนาง นางอยากทำอะไรล้วนทำได้ทั้งนั้น แต่ผลลัพธ์ต้องรับเอาเอง และเขาก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลือใดๆ จริงๆ ถึงนางจะสะดุดล้มอย่างแรง ถึงนางจะมีแผลเต็มตัว เขาก็เพียงแต่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเยียบเย็นเท่านั้น

นางลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวจึงเอ่ย “ขอบคุณพี่ห้า”

“ถึงเจ้าจะเรียนไปชั่วชีวิต เกรงว่าก็ยังคงเอาอย่างนิสัยข้าได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ” เขาพูดกับตัวเอง

“ฮัดชิ้ว?” ปลายจมูกนางคันยุบยิบ จึงปิดปากจามเบาๆ ออกมา

เขาแสร้งลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ

“เป็นหวัดแล้วหรือ ข้าก็ว่าแล้วว่าเจ้าเอาแต่โลภจะแช่น้ำ น้ำต้องเย็นไปนานแล้วแน่นอน จะอาบก็ไปต้มน้ำใหม่ ตอนนี้ขึ้นมาก่อนเถอะ”

ริมฝีปากนางเผยอน้อยๆ ใจเต้นสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ตาเรียวยาวเบิกโพลง ถลึงมองเขาก้าวเข้ามาหาอย่างช้าๆ

“พี่ห้า…”

“หืม?” เขาเหมือนกำลังยิ้ม ยิ้มได้ชั่วร้ายเลวทรามยิ่งนัก

“ข้า…ข้า…ข้าอยากใส่เสื้อผ้าแล้ว” นางขดตัวลงต่ำกว่าเดิมจนคางแตะผิวน้ำ นางเคารพเขา ชื่นชมเขา ความบริสุทธิ์ก็ถูกทำลายภายใต้น้ำมือเขา หากแต่นั่นมิได้หมายความว่าจะให้เขาทำตามใจชอบได้จริงๆ น่าชังนัก!

“ข้ารู้ รีบใส่เสื้อผ้าเถอะ เป็นหวัดเข้าจะแย่เอา” เขาหยุดเท้า อีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถมองเห็นทุกอย่างในอ่างแล้ว!

“พี่ห้า” นางทำหน้ายู่ พี่ห้าตั้งใจจะเล่นยืดเยื้อกับนางอีกแล้วหรือ ถ้าพี่ห้าเป็นแมว เช่นนั้นนางก็เป็นหนูตัวน้อย ไม่มีวันหนีพ้นเงื้อมมือของพี่ห้าไปได้จริงๆ

“สุยอวี้?”

นางยอมรับชะตากรรมแล้ว หน้าก็แดงแล้วเช่นกัน ก่อนจะลุกพรึ่บขึ้นมา หลับตาปี๋ ยอมจะไม่มองพี่ห้า อย่างน้อยขณะดวงตาชั่วร้ายของเขามองนาง นางก็ไม่ต้องเห็นเขา

“สุยอวี้! เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่ ท่านห้าไม่ได้อยู่ในห้อง…” เสียงดังๆ ของฟางไจ้อู่ยังไม่ทันดังทั่วเรือนฉางชุน ประตูก็ถูกผลักเปิดอย่างบุ่มบ่ามโผงผางแล้ว

นางตกใจจนสะดุ้ง ยังไม่ทันแตะถูกเสื้อผ้าก็มองเห็นพี่ห้าใช้เท้าข้างหนึ่งเตะกระบองเหล็กของนางลอยไป ปลายกระบองฟาดฉากบังลมจนพลิกขึ้นมาตั้งอยู่เบื้องหน้าร่างเปลือยเปล่าของนางทันเวลาพอดี ประหนึ่งว่าไม่เคยถูกย้ายที่ไปไหนอย่างไรอย่างนั้น

ดวงตาชั้นเดียวเรียวยาวของนางยังคงเบิกโต วรยุทธ์ของพี่ห้าต้องสูงส่งกว่าพี่ไจ้อู่อย่างแน่นอน แม้จะเห็นเขาสำแดงฝีมือน้อยครั้ง แต่เมื่อครู่พี่ห้าใช้เท้าเตะลวกๆ ทีเดียวก็ทำให้นางทึ่งไม่หยุดได้แล้ว

“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาโดยไม่บอกก่อน”

“เอ๊ะ! ท่านห้า” ฟางไจ้อู่ได้ยินเสียงอยู่หลังฉากบังลมก็คิดจะก้าวไปส่องดู เนี่ยยางยงกลับเดินทอดน่องออกมาจากหลังฉาก

“ท่านห้า ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่เอง ข้าคิดว่าท่านขึ้นไปทางเหนือแล้วเสียอีก”

“เจ้าคิดว่าข้าปล่อยเจ้าออกมา การลงโทษก็จะสิ้นสุดแล้วหรือ” เขาเลิกคิ้ว มองอารมณ์ใดๆ จากบนหน้าเขาไม่ออก

รอยยิ้มฟางไจ้อู่ค่อยๆ เลือนหายไป

“ไม่ขอรับ ข้ามิได้คิดเช่นนั้น” หน้าเขาเริ่มเหยเก เมื่อครู่นึกจริงๆ ว่าต่อจากสุยอวี้ โชคดีก็ตกมาถึงเขาแล้ว เขามองท่านห้าหยิบชุดบุรุษบนพื้นขึ้นมาโยนไปด้านหลังฉากบังลมอย่างแปลกใจอยู่บ้าง งงงันไปชั่วครู่ถึงค่อยพูดด้วยความประหลาดใจ

“สุยอวี้อยู่ด้านหลัง?” พอยกเท้ากำลังจะก้าวขึ้นหน้ากลับพลันได้ยินเสียงห้าม

“นี่เป็นห้องของสตรี เจ้าคิดจะทะเล่อทะล่าไปไหน”

“เอ๋? ท่านห้า ข้ากับสุยอวี้เป็นเหมือนพี่น้องกัน มีจุดใดในห้องนางที่ข้าไม่เคยเหยียบบ้าง”

“อ้อ?” เสียงเรียบๆ เสียงหนึ่ง ฟังคล้ายเป็นปกติ แต่รู้สึกอยู่ตลอดว่าใจสั่นระรัวขึ้นมา

เขาพูดผิดไปอย่างนั้นหรือ ความคิดความอ่านของท่านห้ายากจะคาดเดา เขาตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันโดยสิ้นเชิง

“ท่านห้า…สุยอวี้?!” เขาดวงตาสว่างวาบ มองใบหน้าของสุยอวี้ชะโงกออกมาจากหลังฉากบังลม นางปรากฏตัว เขาก็สบายใจแล้ว อย่างน้อยที่สุดนางก็เป็นสตรี สตรีก็เป็นเหมือนดอกไม้พูดได้ สามารถพิจารณาคาดเดาความหมายของคำพูดท่านห้าได้อย่างแจ่มแจ้ง ต่อให้ไม่สามารถก็ยังมีสหายร่วมรับกรรมเป็นเพื่อน ช่างดีเสียนี่กระไร

“เจ้า…เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” เขาขมวดคิ้วเข้มถาม “ผมยังเปียกอยู่เลย…” ช้าไปครู่ใหญ่กว่าจะตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นางกำลังอาบน้ำ…เขาพลันอึ้งงันไปอีกครั้ง สายตาเลื่อนไปยังท่านห้า

ท่านห้า…เมื่อครู่มิใช่อยู่ข้างหลังฉากบังลมเหมือนกันหรือไร

แม้เขาจะเป็นพวกไม่ละเอียดอ่อน แต่ก็เข้าใจดีว่าถ้าเห็นร่างเปลือยของสตรีจะมีความรู้สึกเช่นไร…เขากลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าประโยคแรกที่เอ่ยปากจะออกหน้าแทนสุยอวี้ดีหรือไม่

“พี่ไจ้อู่ ข้านึกว่าท่านยังต้องถูกขังต่ออีกสามวันห้าวันถึงจะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีกครั้งเสียอีก” สุยอวี้กล่าวยิ้มๆ ยกเก้าอี้ซูเป้ยมาให้เนี่ยยางยงนั่งลง เรือนผมยาวเปียกชื้นของนางบดบังดวงหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง แม้จะสวมชุดบุรุษ แต่ลักษณะของสตรีได้แสดงออกมาหมดเปลือก เห็นเขาไม่ตอบรับ นางก็เงยหน้าขึ้นมาเรียกยิ้มๆ

“พี่ไจ้อู่?”

“ถะ…ถุย! ใครบอกว่าข้ายังต้องถูกขังอีกสามวันห้าวัน เจ้าแช่งข้าให้น้อยหน่อย อย่านึกว่ามีท่านห้าให้ท้ายเจ้า เจ้าก็ไม่กลัวอะไรแล้ว” ฟางไจ้อู่ได้สติกลับมาก็เปิดปากด่านางทันที

นางเดินไปด้านหลังเนี่ยยางยง แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา

ฟางไจ้อู่ถลึงมองนางอย่างดุร้าย “เจ้าตัวโง่เง่าเต่าตุ่น แน่จริงพวกเราก็ออกไปสู้กันสักยก อย่าไปหลบหลังท่านห้า” เมื่อครู่ตาลายไปกระมัง เขาหลงคิดจริงๆ ว่าเด็กสาวนางนี้…มีเสน่ห์ของสตรีขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว

“ถูกขังมาหนึ่งวัน ความมุทะลุของเจ้ากลับยังอยู่” เนี่ยยางยงเลิกคิ้ว นัยน์ตาดำปรากฏแววแปลกประหลาด “ควรต้องให้เจ้าไปขัดเกลาเสียหน่อย เจ้าว่าเปลี่ยนรูปแบบเป็นอย่างไรดี ไปรับเรือก็แล้วกัน”

“รับ…รับเรือ?” นี่เป็นการลงโทษ?

“พี่ห้าหมายถึงรับเรือสินค้าของสกุลเนี่ยที่มาส่งหนังสือทุกครั้ง?” สุยอวี้เอ่ยเดา นี่เป็นภารกิจแสนสบายสำหรับพี่ไจ้อู่ นับไม่ได้ว่าเป็นการลงโทษ

“ใช่แล้ว” รอยยิ้มเสแสร้งแต้มอยู่บนริมฝีปากเขา “ว่าอย่างไร เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ถ้าไม่อยากเปลี่ยน ข้าจะขังเจ้าอีกสามวัน แล้วเจ้าก็ออกมาได้”

“ข้า…ข้าย่อมเลือกรับเรืออยู่แล้ว” ฟางไจ้อู่กุมหมัด รีบพูดด้วยความดีใจ “ขอบคุณการลงโทษของท่านห้า ขอรับรองว่าจะรับหนังสือกลับมาให้ครบทุกเล่มอย่างมิมีตกหล่นเลยขอรับ”

“พี่ห้าลงโทษเบาขนาดนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่” ฝานสุยอวี้กระซิบพึมพำ

เกาะจิ้งจอกมีหินโสโครกจำนวนมาก เรือที่มิได้แล่นเข้าเกาะประจำตามปกติจะมีเรือนำร่องไปรับมา ที่เกาะจิ้งจอกมีทุกอย่าง เว้นก็แต่ไม่มีปัญญาผลิตหนังสือและกระดาษ ว่ากันว่าในบรรดาพี่น้องของพี่ห้ามีคนเปิดร้านหนังสือ ทุกเดือนจะส่งหนังสือออกใหม่มายังเกาะจิ้งจอก หลังส่งมาไม่ว่าใครก็ไม่ต้องอ่านได้ทั้งนั้น ยกเว้นนางคนเดียว พี่ห้าสั่งให้นางอ่านให้หมดทุกเล่มอย่างโหดร้ายทารุณ

“ดี เจ้าสัญญาเองนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกเชียว” เนี่ยยางยงพูดแฝงความนัยจบก็เบนหัวลูกศรไปอีกทาง “สุยอวี้ การเดินทางไปฮุยโจวของเจ้าเล่า”

“อ้อ” สุยอวี้รีบก้าวมาข้างหน้า สายตามองไปที่โต๊ะ ก่อนจะงงงันไปเล็กน้อย บนโต๊ะกลมนอกจากป้านชาก็ไม่มีของอย่างอื่น นางเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้ว หรือจะตกไปด้วยตอนที่พี่ห้าเตะฉากบังลมล้มเมื่อครู่นี้ นางก้มตัวมุดเข้าใต้โต๊ะ

“สุยอวี้ เจ้าหาอะไร”

“ข้า…”

“หาสมุดบันทึกของเจ้า?” เนี่ยยางยงแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เจตนา

พอฝานสุยอวี้ได้ยิน ศีรษะก็พลันโขกกับโต๊ะกลมดังโป๊ก นางเงยหน้าขึ้นด้วยความเจ็บปวด “พี่ห้า…สมุดอยู่ที่ท่าน?”

เขายิ้มแล้ว ยิ้มได้ชั่วร้ายยิ่ง ยิ้มได้ชวนให้คนไม่อยากเชื่อคำพูดเขา “เจ้าส่งให้ข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน หรือว่าเจ้าหมายถึงข้า ‘หยิบ’ ของของเจ้าไป”

“แต่พี่ห้าทราบนี่นาว่าข้ากำลังหาอะไร” เขาคิดจะเล่นสนุกกับนางอีกแล้วหรือ นางยอมไปรับเรือกับพี่ไจ้อู่ดีกว่าถูกเขาเอาแต่แกล้งเล่นจริงๆ

“ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้ากำลังหาอะไร” เขาหรี่ตาพลางลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจอยู่บ้าง “ถ้าเจ้าตั้งใจจดจำ มีหรือจะต้องใช้สมุดมาช่วยบันทึก”

“ข้า…” ฝานสุยอวี้หน้าเห่อแดงน้อยๆ

เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ว่านานเพียงไรข้าก็ต้องการให้เจ้าเล่าเรื่องการเดินทางไปฮุยโจวออกมาปากเปล่าให้ได้ ไม่อนุญาตให้อ่านตามสมุด”

“พี่ห้า…” นางมองเขาเดินออกไปตาละห้อย

“จริงสิ” เขาพลันหันหน้ากลับมา มองความคาดหวังเกลื่อนใบหน้านาง “อีกเดี๋ยวเจ้าไปชงชามาด้วยตัวเอง ข้ายังดื่มชาที่คนอื่นชงไม่ชินจริงๆ” พูดจบเขาก็ลอยชายจากไป

“ไม่ต้องพูด สมุดของเจ้าถูกท่านห้าเอาไปแล้ว” ต่อให้เป็นคนทึ่มอย่างฟางไจ้อู่ก็ยังรู้ว่าท่านห้าแตะต้องสมุดเล่มนั้น เขาส่ายศีรษะ เหลือบมองนางแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเป็นสุขบนทุกข์ผู้อื่นอยู่บ้าง “เจ้าจัดการตัวเองแล้วกัน น้องสาวสุยอวี้ ข้าแค่ต้องรับเรือเท่านั้น แค่ต้องรับเรือเอง ฮ่าๆๆๆ”

ไม่มีสมุด จุดจบของนางย่อมจะอนาถยิ่ง อนาถกว่าเขาเสียอีก

สมน้ำหน้า!

 

(ติดตามต่อได้ในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: