X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักอริร้ายหวนรัก

ทดลองอ่าน อริร้ายหวนรัก บทนำ – บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทนำ

หลังวันลี่ซย่า พายุฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดเป็นเวลาสองเดือน ไร่ชานเมืองเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านน้ำ บนพื้นเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ลึกบ้างตื้นบ้าง ใบไม้ถูกชะล้างจนดูเขียวชอุ่มกว่าปกติ บนหลังคากระเบื้องแก้วเผยสีเหลืองเขียวสดใสของสีเดิมออกมา เพิ่มสีสันให้ท้องฟ้าสีเทาหม่นอีกหลายส่วน

ซย่าโหวอวี๋สวมชุดชาวหู แขนแคบลายข้าวหลามตัดปักนกกระเรียนคู่สีแดงกุหลาบ ยืนถือธนูน้าวสายอยู่ในโถงฝึกยุทธ์อันกว้างขวาง สายรัดเอวปักดิ้นทองลายกลุ่มบุปผาขับเน้นเรือนร่างนางอย่างเหมาะเจาะ ทำให้นางดูสูงโปร่งสง่างาม

ผึง…ลูกธนูประดับขนนกพุ่งออกจากสายอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าปักลงตรงใจกลางจุดสีแดงอย่างพอดิบพอดี ขนนกที่ปลายลูกธนูยังคงสั่นระริก

อาห่าว หญิงรับใช้ที่คอยถือกระบอกใส่ลูกธนูเคลือบลายทองอยู่ด้านข้าง ดวงตาทอประกายระยับดุจดวงดาวขณะมองผู้เป็นนายด้วยความเลื่อมใส น้ำเสียงที่พูดหวานเสียยิ่งกว่ายามปกติสามส่วน “จ่างกงจู่ ท่านจะพักสักหน่อย ดื่มน้ำชาสักนิดดีหรือไม่ ท่านยิงธนูติดต่อกันมาสิบห้าดอกแล้วนะเพคะ!”

ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะ ก่อนส่งคันธนูในมือให้เด็กรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง อาเหลียง หญิงรับใช้อีกคนรีบสั่งให้บ่าวหญิงสูงวัยในห้องยกผ้ากับชาร้อนเข้ามา

ซย่าโหวอวี๋เช็ดมือและจิบน้ำชา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสือเน่อเดินเข้ามา

เขาคือหัวหน้ากองกำลังของนาง ปีนี้เพิ่งอายุครบยี่สิบปี ร่างกายสูงโปร่ง รูปโฉมหล่อเหลาคมคาย กิริยาสุภาพเรียบร้อย เพราะสายเลือดชนเผ่าเจี๋ยจึงทำให้ผิวพรรณเขาขาวเหมือนน้ำนมสัตว์ชั้นดี ยามอยู่ในโถงฝึกยุทธ์ที่มีแสงสลัวผิวเขาก็ยังเปล่งประกายจนทำให้คนต้องเหลียวหลัง ไม่ว่าผู้ใดเห็นเขาล้วนต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่จากที่ใด ย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นชาวเจี๋ยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาของตนเป็นใคร

“จ่างกงจู่!” สือเน่อคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม “เจี้ยนผิงฮูหยิน ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เจี้ยนผิงฮูหยินเป็นพี่สะใภ้ที่เป็นม่ายของเฝิงซื่อ ไทเฮาองค์ปัจจุบัน เคยอาศัยอยู่ในวังเสี่ยนหยางเป็นเพื่อนเฝิงไทเฮาเป็นเวลานาน บางครั้งยังช่วยเฝิงไทเฮาต้อนรับสตรีสูงศักดิ์ที่เป็นเชื้อพระวงศ์และคอยดูแลตำหนักใน จนได้รับความไว้วางใจจากเฝิงไทเฮาและโอรสสวรรค์เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยิน

เช้าตรู่วันนี้ นางมาขอพบซย่าโหวอวี๋กะทันหัน

ซย่าโหวอวี๋เป็นธิดาสายตรงคนโตของอู่จงฮ่องเต้ เหวินเซวียนฮองเฮาซึ่งเป็นมารดาบังเกิดเกล้าถือกำเนิดจากสกุลเจิ้งที่มีชื่อเสียงในชิงเหอ ซย่าโหวอวี๋เกิดมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘จิ้นหลิงกงจู่’ ทันที มีฐานะสูงส่ง ชาติตระกูลโดดเด่น ส่วนเฝิงซื่อเป็นเพียงชายารองของอู่จงฮ่องเต้ เดิมทีที่บ้านขายรองเท้าฟาง เนื่องจากเซี่ยวจงฮ่องเต้น้องชายร่วมอุทรของซย่าโหวอวี๋ป่วยตาย ไม่มีทายาท ตามธรรมเนียมเมื่อพี่ชายตายน้องชายย่อมสืบบัลลังก์ต่อ โอรสของเฝิงซื่อจึงได้รับเลือกเป็นโอรสสวรรค์ นางจึงมียศเป็นไทเฮา

เฝิงซื่อนิสัยใจคอคับแคบ ทั้งยังขี้ขลาดตาขาว รักในลาภยศสรรเสริญ กระทั่งสายตาก็ตื้นเขิน แต่ไรมาก็เป็นที่รังเกียจของซย่าโหวอวี๋มาโดยตลอด แล้วซย่าโหวอวี๋จะเห็นเจี้ยนผิงฮูหยินที่คอยประจบสอพลออยู่ข้างกายเฝิงซื่ออยู่ในสายตาได้อย่างไร

คำว่า ‘ไม่พบ’ คำเดียวของนางทำให้เจี้ยนผิงฮูหยินถูกปฏิเสธอยู่ข้างนอก

แต่เจี้ยนผิงฮูหยินไม่เพียงไม่กลับไป ทั้งยังคุกเข่าตากฝนอ้อนวอนอยู่นอกประตู ซย่าโหวอวี๋รำคาญที่เจี้ยนผิงฮูหยินไม่รู้กาลเทศะจึงปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่กลางสายฝนเช่นนั้นไปสองชั่วยาม แล้วค่อยสั่งให้สือเน่อออกหน้าไล่อีกฝ่ายกลับไป

“ลำบากเจ้าแล้ว!” ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพลางพยักหน้ากับสือเน่อ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบไปพักผ่อนเถอะ ฝนตกหนักขนาดนั้น ไหล่เจ้าเปียกหมดแล้ว”

สือเน่อทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแล้วเงียบไป ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าเขาหาใช่คนไม่รู้หนักเบา นางจึงไล่ข้ารับใช้ข้างกายออกไปและเอ่ยถามเขา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

สือเน่อใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ได้ยินเจี้ยนผิงฮูหยินบอกว่าต้าซือหม่า ไม่พอใจโอรสสวรรค์อย่างมาก ลือกันอย่างลับๆ ว่าเขาจะปลดฮ่องเต้ นางรับคำสั่งจากโอรสสวรรค์และเฝิงไทเฮามาขอพบจ่างกงจู่ อยากขอร้องจ่างกงจู่ให้เห็นแก่โอรสสวรรค์ที่มีหน่อเนื้อเดียวกัน นับเป็นญาติใกล้ชิด ไม่ว่าอย่างไรก็อยากขอให้ท่านเปลี่ยนความคิดของต้าซือหม่าที่จะปลดฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

ต้าซือหม่าเซียวหวนเป็นฟู่หม่า ของซย่าโหวอวี๋และเป็นหนึ่งในซานกง ยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้มิต้องขานชื่อ ยามก้าวเข้าท้องพระโรงมิต้องเร่งรีบ สามารถพกกระบี่สวมรองเท้าเข้ามาได้ มีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ส่งผลให้อำนาจของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันตกต่ำ ทำอะไรจำต้องดูสีหน้าเขาก่อน

ซย่าโหวอวี๋หัวเราะเสียงเย็น ใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีอย่างนั้นเสียที่ไหน!

ในอดีตด้วยกลัวว่านางจะแทรกแซงการปกครอง พวกเขาต่างคิดหาสารพัดวิธีขัดขวางไม่ให้นางกลับเมืองเจี้ยนคัง บัดนี้เมื่อเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ กลับมาทำท่าอ้อนวอนขอความเมตตาเสียอย่างนั้น คิดจะให้นางไปเจรจากับเซียวหวน ในเมืองเจี้ยนคังนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาขาดความปรองดอง แยกกันอยู่มานานแล้ว

ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวลือออกมามิใช่หรือว่าเซียวหวนปราบหนานจ้าวและพากงจู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของหนานจ้าวกลับเจี้ยนคังมาด้วย แล้วให้สาวงามนางนั้นพักอยู่ในเรือนพักตากอากาศของมารดาสกุลเซียว ตั้งใจจะหย่าภรรยาและแต่งงานใหม่ จะว่าไปข่าวนี้ก็เป็นเฝิงไทเฮาเองด้วยซ้ำที่ตั้งใจส่งคนมาบอกนาง ด้วยคิดจะเยาะหยันนาง

ซย่าโหวอวี๋พูดกับสือเน่อ “ไม่ต้องไปสนใจนาง! ต่อให้โอรสสวรรค์ถูกปลด แล้วเกี่ยวอันใดกับข้า” ญาติสนิทที่สุดของนางล้วนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ยังต้องสนใจว่าผู้ใดได้เป็นฮ่องเต้อีกทำไมกัน ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าจะเป็นภรรยาเอกของทายาทสายตรงสกุลเซียวหรือไม่ เซียวหวนก็ไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้ภรรยาร่วมผูกผม ของตนเองหรอก ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องการชื่อเสียงและหน้าตาอยู่”

สือเน่อยิ้มจนดวงตาโค้งลง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดูคล้ายผืนฟ้ายามค่ำคืนกลางฤดูร้อน ประดุจมีดวงดาราเต็มท้องฟ้าอยู่ในดวงตาเขา “จ่างกงจู่วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” เขาให้คำสัญญา “ต่อให้ท่านหย่ากับต้าซือหม่า กองกำลังห้าพันของพวกเราก็หาใช่ของประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้น”

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ อดลูบหน้าผากแล้วทอดถอนใจไม่ได้ ทาสชาวเจี๋ยตัวเล็กๆ ที่เก็บกลับมาในอดีต พริบตาเดียวก็เติบโตเป็นบุรุษรูปงามที่มีความรับผิดชอบแล้ว น่าเสียดายที่นางตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสันโดษ อยู่ให้ห่างจากการเมือง ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก สือเน่อวิชายุทธ์ล้ำเลิศ หากให้เขาติดตามนางไป ความสามารถของเขาคงมีแต่จะถูกกลบฝัง

ซย่าโหวอวี๋อดพูดไม่ได้ “ให้ข้าส่งเจ้าเข้ากองทัพดีกว่ากระมัง”

สือเน่อมองนางอย่างตะลึงงัน ดวงตาค่อยๆ เผยความตื่นกลัว

“ไม่! ข้าไม่ไป!” เขาเหมือนเด็กที่ดูกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปหมายจะจับชายเสื้อของซย่าโหวอวี๋ แต่พอมือยื่นไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็จำต้องหดกลับไปคล้ายเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เปลือกตาหลุบลง ไม่รู้ว่ากลัวจะเห็นสีหน้าของซย่าโหวอวี๋หรือว่าไม่อยากให้ซย่าโหวอวี๋เห็นแววตาเขากันแน่

“ท่านอย่าส่งข้าไปเลยนะ ข้าอยากอยู่ข้างกายท่าน ต้าซือหม่า…ข้าไม่สนว่าต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร แต่การเลื่อนขั้นทางทหารล้วนต้องผ่านเขาทั้งสิ้น ข้าไม่อยากอ่อนข้อให้เขา…ข้าถือเป็นคนของจ่างกงจู่”

ซย่าโหวอวี๋ถอนหายใจ นางลูบศีรษะเขาเหมือนสมัยที่เขาเป็นเด็ก แต่กลับพบว่าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาสูงกว่านางครึ่งช่วงศีรษะแล้ว ทว่าตัวสูงขนาดนี้แล้วนิสัยก็ยังคงเป็นเด็ก บุรุษต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ จะทำตามใจตนเองเพราะความขัดแย้งระหว่างนางกับเซียวหวนได้อย่างไร

นางกำลังจะโน้มน้าวเขาอีกสองสามคำ อาห่าวก็วิ่งตึงๆๆ เข้ามาเสียก่อน เอ่ยด้วยใบหน้าไร้สีเลือด “จ่าง…จ่างกงจู่ ต้าซือหม่า…ต้าซือหม่ามาเพคะ!”

ซย่าโหวอวี๋กับสือเน่อหันไปมองอาห่าวพร้อมกันอย่างตกตะลึง อาห่าวอดกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าไม่ได้

 

ตั้งแต่ซย่าโหวอวี๋หาข้ออ้างย้ายออกมาอยู่ที่ไร่ชานเมือง แม้ทุกครั้งที่มีงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษ งานแต่งงานหรืองานศพ เซียวหวนจะส่งเซียวสิ่งน้องชายมารับนางกลับบ้านไปเป็นผู้ดูแลงาน ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็มีท่าทางเคารพและให้เกียรตินางอย่างมาก ทว่าลับหลังผู้คนพวกเขากลับไม่ได้สนทนากันแม้แต่คำเดียวมาสองสามปีแล้ว

ซย่าโหวอวี๋มุ่นคิ้ว คิดถึงเจี้ยนผิงฮูหยินที่เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก นางรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างที่ตนเองละเลยไป เพียงแต่นางยังคิดไม่ออกในชั่วเวลาสั้นๆ จึงได้แต่สั่งอาห่าวให้เชิญเซียวหวนไปนั่งในโถงข้างและยกน้ำชา

น้ำเสียงสุขุมมั่นคงของนางทำให้อาห่าวกับสือเน่อสงบลง ทั้งสองรับคำพร้อมกัน ก่อนห้อมล้อมซย่าโหวอวี๋ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งตัวใหม่

คิดไม่ถึงว่าออกจากโถงฝึกยุทธ์แล้วพวกเขาจะเผชิญหน้ากับเซียวหวนทันที

เขาสวมเสื้อแขนกว้างสีเขียวไผ่ปักลายจางๆ ศีรษะโพกผ้าสีขาว มือถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันต้นถง คิ้วงามสง่า ท่วงทีผึ่งผาย เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างผ่อนคลายคล้ายเดินเล่นอยู่ในลานบ้านตนเอง ดูไม่รีบไม่ร้อน แต่ผู้ติดตามตัวสูงใหญ่เจ็ดแปดคนข้างหลังกลับต้องวิ่งเหยาะๆ จึงจะตามเขาได้ทัน เห็นได้ชัดว่าเขาเดินเร็วเพียงใด

“จ่างกงจู่!” เขาหยุดยืนอยู่ใต้ชายคา หุบร่มและทักทายซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม ดวงตาดำขลับหยุดอยู่ที่ชุดชาวหูของนางหลายอึดใจ สุดท้ายจึงเลื่อนไปยังสือเน่อ

ซย่าโหวอวี๋อดบ่นในใจไม่ได้ นางรู้อยู่แล้วเชียว เซียวหวนเห็นนางทีไร ไม่มีสักครั้งที่จะไม่จับผิด หรือไม่แสดงท่าทีรังเกียจนาง ยังดีที่พวกเขาแยกกันอยู่ หาไม่แล้วเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ต้องทำให้นางเสียสติเป็นแน่

สือเน่อกลับเปลี่ยนท่าทีจากไม่พอใจก่อนหน้านี้เป็นระบายยิ้มน้อยๆ เขาก้าวฉับๆ เข้าไปคารวะเซียวหวนอย่างมีมารยาทและไม่เสียกิริยา

เจ้าเด็กคนนี้! ซย่าโหวอวี๋เหลือบมองสือเน่อแวบหนึ่ง

สายตาของเซียวหวนทอประกายเล็กน้อย ดูลุ่มลึกยิ่งขึ้นขณะพูดกับซย่าโหวอวี๋ “ตอนนี้อาเฮ่อจะสูงเท่าข้าอยู่แล้ว ทำพิธีสวมหมวก* ได้แล้วกระมัง เอาแต่อยู่ในบ้านเช่นนี้ไม่ดีเลย อีกไม่กี่วันข้าต้องไปกูซู ให้เขาตามข้าไปด้วยเถอะ!”

สือเน่อโมโหยิ่งนัก ‘อาเฮ่อ’ เป็นชื่อที่เขาใช้สมัยเป็นทาสชาวเจี๋ย หลังจากซย่าโหวอวี๋ประทานชื่อ ‘สือเน่อ’ ให้เขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเรียกเขาว่า ‘อาเฮ่อ’ อีก เห็นชัดว่าเซียวหวนมีเจตนาไม่ดี ต้องการดูหมิ่นเขา

ซย่าโหวอวี๋กลับขมวดคิ้วอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ “ท่านจะยกทัพขึ้นเหนือหรือ”

สือเน่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเซียวหวนอย่างตื่นตระหนกเช่นกัน

สีหน้าของเซียวหวนพลันแปลกไปเล็กน้อย เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “กำหนดวันแล้ว อาจไปครึ่งปีถึงหนึ่งปี ข้าตั้งใจมาบอกเจ้า” รายละเอียดเขาไม่ได้บอก ซย่าโหวอวี๋ก็ไม่ได้ถาม

แต่เรื่องที่เมื่อครู่คิดไม่ออก บัดนี้นางกลับกระจ่างแจ้งแล้ว ซย่าโหวอวี๋ได้รับความโปรดปรานจากอู่จงฮ่องเต้ตั้งแต่เล็ก อู่จงฮ่องเต้อุ้มนางไว้บนตักขณะอ่านหนังสือกราบทูล ให้ถือตราแผ่นดินประทับไปทั่วตั้งแต่อายุสองสามขวบ โตขึ้นยังเคยรักษาการแผ่นดินแทนเซี่ยวจงฮ่องเต้ผู้เป็นน้องชายก่อนที่อีกฝ่ายจะเสียชีวิต หากนางรับปากเฝิงไทเฮาช่วยออกหน้าพูดแทนโอรสสวรรค์จริง ด้วยอำนาจของเซียวหวนในวันนี้ แม้ไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของเขา แต่ก็ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นมากแน่ จนอาจส่งผลให้การยกทัพขึ้นเหนือของเขาต้องเลื่อนออกไป

การรวมแผ่นดินเหนือใต้เข้าด้วยกันถือเป็นความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตของเซียวหวน ผู้ใดคิดขวางทางเขาล้วนต้องถูกเขาดีดกระเด็นออกไปโดยไม่ลังเล

เฝิงไทเฮากับโอรสสวรรค์ต้องคัดค้านการยกทัพขึ้นเหนือของเซียวหวนเป็นแน่ เซียวหวนถึงได้เกิดความคิดที่จะปลดฮ่องเต้ตอนที่สงครามทางเหนือยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ

ทว่าบางทีระหว่างการทำความปรารถนาของตนเองให้เป็นจริง เขาอาจเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงจนคิดจะตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเองก็เป็นได้ ที่ว่า ‘มาบอกนาง’ เกรงว่าคงเป็นการขอบคุณนางทางอ้อมที่ไม่แทรกแซงเรื่องนี้มากกว่า!

ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด แล้วเหตุใดต้องเล่นละครกันด้วยเล่า

ซย่าโหวอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวหูแขนเล็กปักลายดอกอวี้จินสีแดง แล้วเชิญเซียวหวนไปดื่มน้ำชาที่ศาลาอี้ชุ่ย

ศาลาอี้ชุ่ยอยู่ตรงเชิงเขาของภูเขาด้านหลัง ตั้งอยู่บนหน้าผาที่ยื่นออกไป สามารถมองเห็นอาณาบริเวณได้ทั้งหมด ฤดูร้อนมีลมเย็นฤดูหนาวมีหิมะขาวบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในไร่ชานเมืองที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุด แต่กลับต้องไต่บันไดหินเล็กๆ สองข้างทางขึ้นไป ตรงบันไดมีต้นไม้ช่วยบดบังแสงแดด ยามแสงแดดเจิดจ้าย่อมเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง ทว่าในช่วงที่ฝนตกเช่นนี้กลับเปียกลื่นเดินลำบาก แม้แต่ข้ารับใช้ของนางยังไม่ขึ้นไป

ซย่าโหวอวี๋ต้องการเชื้อเชิญเซียวหวนไปดื่มน้ำชาเสียที่ใดเล่า เห็นได้ชัดว่าต้องการไล่แขก!

แต่เซียวหวนกลับรับคำด้วยความยินดีคล้ายไม่ตระหนัก ซย่าโหวอวี๋จึงได้แต่ไปศาลาอี้ชุ่ยเป็นเพื่อนเขา

ป่าเขาในช่วงที่ฝนตกหนักเต็มไปด้วยไอน้ำขมุกขมัว อากาศสดชื่น เซียวหวนกับซย่าโหวอวี๋ไม่มีอะไรจะพูดคุยกัน หลังจากดื่มน้ำชาไปถ้วยหนึ่งเขาก็กล่าวลา

ซย่าโหวอวี๋เท้าแขนนั่งอยู่หลังโต๊ะหิน มองแผ่นหลังของเซียวหวนที่ค่อยๆ ห่างออกไป

เขาจะปลดฮ่องเต้ แต่นางกลับเป็นจ่างกงจู่ พวกเขาสามีภรรยาเดินมาถึงขั้นนี้จะพูดอะไรก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว! แค่รอให้เขากลับจากสงครามทางเหนือ…ไม่ว่าเรื่องโอรสสวรรค์หรือกงจู่จากหนานจ้าว ระหว่างพวกเขาจะต้องมีบทสรุป

“จ่างกงจู่!” อาเหลียงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นตระหนก

ซย่าโหวอวี๋หันกลับไป เห็นก้อนหินและดินโคลนจำนวนมากไหลลงมาจากยอดเขาโถมซัดเข้ามาในศาลาอี้ชุ่ยเหมือนน้ำบ่า…

บทที่ 1

รัชศกเจี้ยนอันปีที่สาม ฤดูใบไม้ผลิ อากาศวิปริตอย่างมาก

ยังไม่พ้นวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ลมที่พัดปะทะใบหน้าก็ไม่มีความหนาวเย็นแล้ว พอพ้นเทศกาลซั่งหยวน ไป ใบอ่อนและดอกตูมของต้นไม้ก็ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดในชั่วข้ามคืน ประชันขันแข่งกันด้วยสีสันละลานตา กิ่งหลิวห้อยระย้า น้ำในทะเลสาบเขียวกระจ่าง สกุณาโบยบิน ผีเสื้อเริงระบำ ทั่วทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์มีชีวิตชีวา

แม้วังเสี่ยนหยางจะยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนชุดเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ แต่สตรีในวังกลับอดใจไม่ไหวเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องประดับเป็นสีสันที่รับกับทิวทัศน์แล้ว แม้แต่ย่างก้าวที่เดินยังสดใสว่องไวขึ้นหลายส่วนตามอากาศที่อบอุ่นขึ้นอีกครั้ง

ทว่าอากาศแจ่มใสเช่นนี้กลับคงอยู่เพียงไม่กี่วัน เมืองเจี้ยนคังก็ต้องเผชิญกับอากาศเย็นและฝนที่โปรยปรายลงมาอีกครั้ง ถึงขั้นมีหิมะตกหนัก

หิมะที่เหมือนปุยหลิวนุ่มละมุนตกลงมาติดต่อกันหลายวัน รอจนแสงแดดสาดส่องอีกครั้ง เพียงสองสามวันก็ละลายหายไปเกลี้ยง อากาศค่อยๆ หวนคืนสู่ความอบอุ่น แม้จะเป็นเช่นนี้ เวลาอยู่นอกห้องก็ยังต้องสวมเสื้อขนสัตว์จึงจะไม่หนาวจนปลายนิ้วเย็นเฉียบ

เนื่องจากอาเหลียงไม่ต้องอยู่เวร นางจึงห่อร่างด้วยผ้าห่มนุ่มฟูนอนหลับอุตุ ทว่ากลับถูกคนลากตัวออกมาจากผ้าห่มกะทันหัน

พอร่างกายสัมผัสความเย็น นางก็สั่นสะท้านและได้สติขึ้นมาทันใด ถึงได้พบว่าหัวเตียงของตนมีนางกำนัลยืนล้อมอยู่เจ็ดแปดคน ไม่ไกลออกไป ตู้ฮุ่ยจากตำหนักเฟิ่งหยางกับชุยซื่อน้าสะใภ้ของจิ้นหลิงจ่างกงจู่กำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าถมึงทึง

นางอกสั่นขวัญผวา ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงลุกขึ้นคุกเข่าอยู่บนเตียง

ตู้ฮุ่ยพูด “ข้าขอถามเจ้า เจ้าตอบมาตามตรง จ่างกงจู่ไปอยู่ที่ใด”

อาเหลียงงุนงงไปหมด นางเป็นเพียงนางกำนัลหวีผมตำแหน่งเล็กๆ ในตำหนักเฟิ่งหยาง หากไม่มีหน้าที่ก็ไม่มีทางได้ปรากฏตัวต่อหน้าจ่างกงจู่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจ่างกงจู่ไปที่ใด

เห็นชัดว่าผู้ที่ถามนางก็รู้อะไรบางอย่างมาเช่นกัน นางกำนัลด้านข้างจึงเอ่ยเตือนนางเสียงค่อย “เมื่อครู่นางข้าหลวงตู้ยังคุยกับจ่างกงจู่อยู่เลย พอชุยฮูหยินเข้าวัง นางข้าหลวงตู้จึงไปรับฮูหยินเข้ามา กลับมาอีกทีจ่างกงจู่ก็หายตัวไป เจ้าคิดดูให้ดี จ่างกงจู่ไปที่ใดหรือไม่”

อาเหลียงเข้าใจแจ่มแจ้ง หลายวันก่อนจิ้นหลิงจ่างกงจู่กลับวังมาอย่างกะทันหัน ทั้งยังพักอยู่ในตำหนักเฟิ่งหยาง คนในวังล้วนบอกว่าจิ้นหลิงจ่างกงจู่ทะเลาะกับฟู่หม่าตูเว่ยเซียวหวน โอรสสวรรค์จะลงโทษสกุลเซียว ทว่าเมื่อคืนตอนนางไปช่วยถอดเครื่องประดับและเช็ดเครื่องประทินโฉมให้จิ้นหลิงจ่างกงจู่ กลับรู้สึกว่าสีหน้าท่าทีของจิ้นหลิงจ่างกงจู่ดูสงบมาก ทั้งยังชมนางว่ามือไม้คล่องแคล่ว อยากจะตามกลับไปปรนนิบัติที่จวนจ่างกงจู่ด้วยหรือไม่

นางข้าหลวงตู้ต้องคิดว่าจ่างกงจู่พูดอะไรอย่างอื่นกับนางเป็นแน่ คงเพราะตามหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบจ่างกงจู่ ถึงได้พยายามด้วยหนทางสุดท้าย แม้แต่นางก็ถูกซักถามไปด้วย นางจึงรีบก้มหน้าลง เล่าเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ตู้ฮุ่ยกับชุยซื่อฟังทั้งหมด

ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ซย่าโหวอวี๋ที่ดูสุขุมเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไรหายตัวไปตามลำพังคนเดียวเช่นนี้

ชุยซื่อขบคิดดูแล้วจึงส่งสายตาให้ตู้ฮุ่ย ทั้งสองคนเดินออกไปด้วยกัน นางกำนัลที่ตามตู้ฮุ่ยมาก็เดินออกไปด้วย

ห้องเล็กแคบพลันกว้างและสว่างขึ้นทันที อาเหลียงพรูลมหายใจยาว นางขบคิดว่า…จิ้นหลิงจ่างกงจู่หายไปอยู่ที่ใดนะ

ชุยซื่อกับตู้ฮุ่ยไม่ได้เดินจากไปไกล เพียงกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างต้นทับทิมที่ขึ้นอยู่ข้างเรือน

“นี่มันอะไรกัน” ชุยซื่อมีสีหน้าเป็นกังวล “นางเป็นคนเรียกข้าเข้าวังมาเอง แต่พอข้าเข้าวังมาแล้ว นางกลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น นางหาใช่คนไม่รู้หนักเบาเช่นนี้แน่ ต่อให้มีธุระต้องไปที่ใดกะทันหันก็ต้องบอกพวกเจ้าไว้ก่อน การหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้…ต่อให้เป็นตอนเด็กๆ นางก็ไม่เคยทำมาก่อน นางหายไปที่ใดกันแน่นะ” พูดพลางดวงตาก็ฉายความว้าวุ่น “คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับนางกระมัง แล้วนี่จะทำเช่นไรดี ต้องทูลต่อโอรสสวรรค์หรือไม่”

ตู้ฮุ่ยกระวนกระวายมากเช่นกัน พ้นปีใหม่ไปโอรสสวรรค์ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ควรแต่งตั้งพระชายาได้เสียที และที่จิ้นหลิงจ่างกงจู่กลับวังมาก็เพื่อคัดเลือกพระชายาให้โอรสวรรค์

นางไม่เพียงเชิญชุยซื่อมาปรึกษาเท่านั้น ยังเชิญฟั่นซื่อซึ่งเป็นฮูหยินของแม่ทัพใหญ่หลูยวนผู้มีส่วนช่วยปกครองบ้านเมืองและหลิ่วซื่อชายาอู่หลิงอ๋องเข้าวังด้วย

ชุยซื่อยังพอเจรจาง่าย อย่างไรก็เป็นน้าสะใภ้ของจิ้นหลิงจ่างกงจู่กับโอรสสวรรค์อยู่แล้ว ก่อนที่เหวินเซวียนฮองเฮาจะจากโลกนี้ไปก็ได้ฝากฝังจิ้นหลิงจ่างกงจู่ในวัยแปดขวบกับโอรสสวรรค์ในวัยหกขวบไว้กับชุยซื่อ ชุยซื่อเห็นจิ้นหลิงจ่างกงจู่กับโอรสสวรรค์เป็นเหมือนลูกแท้ๆ ทั้งสองเองก็สนิทสนมกับชุยซื่อมาก พวกเขาสามารถพูดหรือทำอะไรต่อหน้าชุยซื่อได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ต้องพูดถึงการเรียกผู้อื่นมาแล้วไม่ไยดีเลย ต่อให้นางโมโหระเบิดโทสะใส่ชุยซื่อ อย่างมากชุยซื่อก็แค่สั่งสอนทั้งสองอย่างลับๆ เท่านั้น ไม่ได้ติดใจถือโทษโกรธเคืองทั้งสองอย่างแท้จริง

ทว่าฟั่นซื่อกับหลิ่วซื่อกลับไม่เหมือนกัน หลังเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตาย อู่จงฮ่องเต้ก็รักใคร่โปรดปรานซูเฟยหลิวซื่อ เคยคิดจะเปลี่ยนตัวรัชทายาทเป็นองค์ชายรองที่ถือกำเนิดจากหลิวซื่อเสียด้วยซ้ำ แต่แม่ทัพใหญ่หลูยวนคัดค้านอย่างหนัก ประกอบกับจิ้นหลิงจ่างกงจู่คอยปรนนิบัติอย่างน่ารักว่าง่าย อู่จงฮ่องเต้จึงล้มเลิกความคิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิ้นหลิงจ่างกงจู่หรือโอรสสวรรค์ก็ล้วนสำนึกในบุญคุณของหลูยวนอย่างมาก แต่เมื่ออู่จงฮ่องเต้สวรรคต หลูยวนในฐานะขุนนางใหญ่ซึ่งเป็นผู้ช่วยปกครองบ้านเมืองได้รับความไว้วางใจจากจิ้นหลิงจ่างกงจู่และโอรสสวรรค์แล้ว เขาก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่เพียงไม่ยอมรับความเห็นต่างในราชสำนัก ยังบีบให้โอรสสวรรค์แต่งตั้งเขาเป็นเจ้าเมืองอู๋ ควบตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพส่วนกลางและส่วนนอกทั้งหมด เป็นลู่ซั่งซูซื่อ และกุมอำนาจในราชสำนัก

จิ้นหลิงจ่างกงจู่เห็นสถานการณ์ไม่ดี สองปีก่อนจึงอ้างเรื่องการแต่งงานของตนเอง เรียกตัวอู่หลิงอ๋องซย่าโหวจื้อน้องชายร่วมอุทรของอู่จงฮ่องเต้ที่ออกจากเมืองหลวงไปอยู่ที่ดินบรรดาศักดิ์กลับราชสำนัก คิดจะใช้เขาควบคุมอำนาจของหลูยวน เพียงแต่อู่หลิงอ๋องอิสระจนเคยตัว ทั้งยังมีอารมณ์ฉุนเฉียว แม้จิ้นหลิงจ่างกงจู่กับโอรสสวรรค์จะแต่งตั้งเขาเป็นต้าซือถู แล้ว เขาก็ยังไม่อาจถ่วงดุลอำนาจกับหลูยวนได้

โอรสสวรรค์แต่งภรรยาถือเป็นเรื่องใหญ่ หลูยวนต้องก้าวก่ายเรื่องนี้แน่ แทนที่จะให้หลูยวนเอาการแต่งงานของโอรสสวรรค์มาเป็นการค้าแลกเปลี่ยน มิสู้เจรจาเงื่อนไขกับหลูยวน แต่งภรรยาที่สามารถช่วยเหลือโอรสสวรรค์ได้

นี่เป็นเหตุผลที่ซย่าโหวอวี๋เชิญฮูหยินทั้งสามเข้าวังกะทันหัน ทว่าบัดนี้ฟั่นซื่อกับหลิ่วซื่อกำลังจะเข้าวังแล้ว จิ้นหลิงจ่างกงจู่กลับหายตัวไปที่ใดก็ไม่รู้!

ประเดี๋ยวจะทำอย่างไรดี จิ้นหลิงจ่างกงจู่อยู่ที่ใดกันแน่ ตู้ฮุ่ยกุมหน้าผาก

ซย่าโหวอวี๋ก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

ชาวหูก่อกบฏ เมืองลั่วหยางแตก ปู่ทวดของนางนำขุนนางใหญ่ในราชสำนักรีบร้อนเดินทางลงใต้ ย้ายเมืองหลวงไปที่เจี้ยนคัง อาศัยอยู่ในวังเก่าของอู๋อ๋องเป็นการชั่วคราว ภายหลังไฟสงครามลุกลาม คลังแผ่นดินว่างเปล่า มิอาจบูรณะวังเก่าได้ จวบจนถึงสมัยของบิดานางอู่จงฮ่องเต้จึงได้เริ่มซ่อมแซมวังและตำหนัก ใช้เวลาสิบปีจึงเสร็จสิ้น เนื่องจากวังเสี่ยนหยางมีอาณาบริเวณไม่กว้างนัก อีกทั้งบางส่วนยังคล้ายกับตำหนักเดิมของอู๋อ๋อง แม้นางจะใช้ชีวิตอยู่ในวังมาสิบห้าปี ทว่าภาพของหญ้าป่า อาคารปรักหักพังและพื้นที่รกร้างตรงหน้านี้ นางก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ

กระนั้นไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้สติขึ้นมาและรู้สึกเหมือนจู่ๆ ย้อนเวลากลับไปสิบปีก็ต้องว้าวุ่นเป็นกังวล จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร้อนใจจนอยากจะพิสูจน์เรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองทั้งนั้น การที่นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ตรงนี้ได้นั้นถือเป็นเรื่องปกติ!

ซย่าโหวอวี๋กอดไหล่ นั่งลงบนบันไดหินของตำหนักที่มีตะไคร่สีเขียวเกาะเต็มอย่างช้าๆ

นั่นเป็นความฝันกระมัง

โคลนผสมก้อนหินกระแทกร่างกายนาง อาเหลียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนก นางกุมศีรษะวิ่งหนีแต่กลับถูกทับอยู่ในศาลา ไม้หมอนที่ทับซ้อนกันมั่วจนเหลือพื้นที่เล็กๆ ไว้ให้นาง ร่างกายท่อนล่างเจ็บปวดอย่างรุนแรงกระทั่งไม่มีความรู้สึกอะไรอีก

เซียวหวนตะโกนเรียกชื่อนาง เขาใช้มือปัดก้อนหินและไม้หมอนที่ทับร่างนางอยู่ออก

หินบนภูเขาไหลลงมาอีกครั้ง

ผู้ติดตามของเซียวหวนเปลี่ยนจากตะโกนเสียงดังร้องเรียกเขาเป็นลากตัวเขาออกไป เขาสลัดตัวออกจากการฉุดกระชากของคนผู้นั้น แล้วโผมาอยู่เหนือร่างนาง

ความรู้สึกหายใจไม่ออกยามที่ถูกกดทับอยู่ใต้ดิน…ยังมี…อ้อมกอดอบอุ่นของเซียวหวน แขนแข็งแกร่งที่วางอยู่เหนือศีรษะนาง…คำปลอบประโลมพึมพำที่ไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร…ในพื้นที่เล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นมานั้น นางถูกเขาปกป้องคุ้มครองจนมิอาจขยับตัวได้ ตรงหน้ามีแต่ความดำมืด ต่อให้นางพยายามเบิกตากว้างอย่างไรก็มิอาจเห็นสีหน้าเขาได้ชัดเจน…

เหตุใดเขาต้องช่วยนางด้วย

เขาจากไปแล้วมิใช่หรือ

เขาจะช่วยนางได้อย่างไร

นางต้องกำลังฝันไปแน่!

ซย่าโหวอวี๋นั่งอยู่บนบันไดหินเปียกลื่นอันเยียบเย็น ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางศีรษะ ผีเสื้อสีอ่อนเกาะอยู่บนไม้พุ่มขนาดเล็กก่อนจะบินจากไป

หัวสมองของนางสับสนไปหมด ภาพต่างๆ ถาโถมเข้ามาไม่หยุด คล้ายเป็นภาพมายาที่คว้าจับไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“จ่างกงจู่!” เสียงอุทานเบาๆ อย่างตื่นตระหนกดังขึ้นที่ข้างหู

ซย่าโหวอวี๋เงยหน้ามองไปก็เห็นนางกำนัลหลายคนยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยท่าทางระมัดระวัง ยังมีนางกำนัลคนหนึ่งพูดเสียงค่อยกับนางกำนัลอีกคน “เร็วเข้า รีบไปบอกชุยฮูหยินกับนางข้าหลวงตู้ว่าพบตัวจ่างกงจู่แล้ว ไม่ต้องทูลฮ่องเต้แล้ว!”

ซย่าโหวอวี๋มีสีหน้านิ่งเฉย

หลังการเผชิญหน้านี้ ก็มีเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้น ชุยซื่อกับตู้ฮุ่ยรีบรุดมา

“จิ้นหลิง ไฉนเจ้าจึงวิ่งมาที่นี่” ชุยซื่อเห็นนางแล้วก็ตาแดง บ่นด้วยน้ำเสียงตำหนิ ทว่าสีหน้าหวาดหวั่นดูผ่อนคลายลง

ซย่าโหวอวี๋ไม่ได้ไปไหนไกล นางอยู่ในวังเก่าของอู๋อ๋องซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังตำหนักเฟิ่งหยางออกมานัก เนื่องจากที่นี่รกร้างไม่ถูกใช้งานมานานแล้ว เวลาคนในวังเดินผ่านจึงมักจะอ้อมไป ย่อมไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะมาที่นี่ตามลำพัง

ชุยซื่อเห็นสีหน้าซย่าโหวอวี๋แข็งทื่อ ท่าทางนิ่งงัน เหมือนได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างไรอย่างนั้น หางตาและหว่างคิ้วไม่เหลือแววเฉลียวฉลาดและไหวพริบเฉกเช่นยามปกติแม้แต่ครึ่งส่วน นางขบคิดในใจว่าซย่าโหวอวี๋ใช่พบเจอเรื่องอะไรมาหรือเปล่า แม้ในใจจะเป็นห่วง แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถามตรงๆ เพียงก้าวขึ้นไปแล้วจูงมือซย่าโหวอวี๋พาเดินออกไปข้างนอก ส่งสายตากับตู้ฮุ่ยและเอ่ยว่า “เอาล่ะๆ เจอคนก็ดีแล้ว ฟั่นฮูหยินกับชายาอู่หลิงอ๋องน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าแต่งตัวใหม่ ประเดี๋ยวทุกคนจะได้นั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน!”

ฟั่นฮูหยิน? ฟั่นฮูหยินไหน

ซย่าโหวอวี๋ขมวดคิ้ว

หัวสมองของนางผุดเทียบเชิญงานศพของฟั่นฮูหยินของหลูยวนขึ้นมาทันที ในความทรงจำของนาง ฟั่นฮูหยินตายในรัชศกเซิงผิงปีที่แปดเดือนสามวันที่สิบหก

เวลานั้นแม้หลูยวนจะเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ถูกเซียวหวนกดข่มจนหายใจไม่ออกแล้ว แทบไม่มีอำนาจใดในราชสำนัก ประจวบเหมาะกับที่ฟั่นฮูหยินล้มป่วย ไม่นานหลูยวนก็ป่วยตาม บุตรชายคนโตของหลูยวนแอบมาขอร้องเซียวหวนให้ละเว้นหลูยวนและให้เขาเกษียณอายุกลับบ้านเกิด แต่เซียวหวนยังคงไม่ปล่อยหลูยวน ยื้อหลูยวนไว้จนกระทั่งตาย

นับแต่นั้นมา เซียวหลูสองสกุลก็ผูกความแค้นครั้งใหญ่ แต่ข้อดีก็คือในราชสำนักไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยการตัดสินใจของเซียวหวนอีก เขาสามารถทำให้หนึ่งคำพูดของตนเองหนักแน่นประดุจเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งวาจาประหนึ่งราชโองการได้อย่างแท้จริง

ความทรงจำของนางหยุดลงในรัชศกเซิงผิงปีที่สิบเดือนเจ็ดวันที่สิบ…

ซย่าโหวอวี๋สั่นสะท้าน หากนางย้อนกลับมาในอดีตจริง เช่นนั้น…เช่นนั้นน้องชายของนางซึ่งก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันซย่าโหวโหย่วเต้าจะตายในรัชศกเจี้ยนอันปีที่สามเดือนสามวันที่เก้า

นางคว้าแขนเสื้อของชุยซื่อไว้ทันที พร้อมถามอย่างร้อนใจ “วันนี้เป็นวันใดปีใด”

ผิดปกติ! ตู้ฮุ่ยเหลือบมองชุยฮูหยิน

ซย่าโหวอวี๋เฉลียวฉลาดเกินผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก มีความคิดเป็นของตนเอง ตั้งแต่เหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตายไป นางยิ่งระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ขบคิดทุกย่างก้าว ปกป้องโอรสสวรรค์จนขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น อายุน้อยๆ ก็ฝึกตนเองจนกลายเป็นคนสุขุมมั่นคงไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า ต่อให้นางเลอะเลือนชั่วขณะไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันใดปีใดก็ไม่น่าจะโพล่งถามออกมาตรงๆ ต่อหน้าพวกนาง!

ชุยฮูหยินส่ายหน้าให้ซย่าโหวอวี๋จนแทบมองไม่เห็น ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับซย่าโหวอวี๋ ก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการซักไซ้ นางพูดเสียงอ่อนโยน “วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนสามรัชศกเจี้ยนอันปีที่สาม”

ซย่าโหวอวี๋ใบหน้าซีดขาว นางจำได้แล้ว!

วันนี้นางเชิญฟั่นฮูหยินของหลูยวนและหลิ่วซื่อชายาของอู่หลิงอ๋องผู้เป็นอาเข้าวังมาดื่มน้ำชา ตั้งใจจะหารือเรื่องการแต่งงานของน้องชาย

ซย่าโหวอวี๋ถูกใจสกุลชุยในชิงเหอ ซึ่งก็คือสกุลมารดาของน้าสะใภ้นาง ส่วนฟั่นซื่ออาจถูกหลูยวนกำชับมา ให้ยืนกรานว่าหลานสาวของหลูยวนเป็นสตรีที่เพียบพร้อม เป็นคู่ครองที่ดีของโอรสสวรรค์ หลิ่วซื่อพูดไม่เก่ง ต่อให้นางนัดแนะกับอีกฝ่ายไว้ก่อน หลิ่วซื่อก็ยังอึกๆ อักๆ พูดอะไรไม่ออก นางจึงได้แต่ออกหน้าเอง แนะนำบุตรสาวสกุลชุย เปิดเผยความคิดที่แท้จริงออกไปก่อนเวลา

ฟั่นซื่อกลับไม่ยอมรับฟัง ปั้นหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มบอกว่าโอรสสวรรค์ไม่ใช่เรื่องในครอบครัว การแต่งงานของโอรสสวรรค์จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ช่วยปกครองบ้านเมือง

สุดท้ายจึงแยกย้ายกันไปด้วยความไม่พอใจ

ประชุมขุนนางวันต่อมา หลูยวนพูดถึงการเลือกพระชายา เหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องด้วย หลูยวนจึงกำหนดวันเลือกพระชายาเป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ ทั้งยังจัดงานเลี้ยงข้างเขาจงซาน

ผลคือน้องชายนางถูกลมเย็นเข้า กลับวังแล้วไข้สูงไม่ลด ตอนหัวค่ำของหกวันให้หลังก็สูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป

น้ำตาของซย่าโหวอวี๋ไหลรินทันที หากนี่เป็นความฝันก็ขออย่าให้นางตื่นขึ้นมาเลย ให้นางยังมีเวลา มีโอกาสที่จะช่วยเหลือน้องชายที่น่าสงสารและป่วยตายจากไปตั้งแต่ยังไม่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยเถอะ

หากนางย้อนกลับมาในอดีต เช่นนั้นก็ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายปกป้องนาง ให้นางเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง นางจะสร้างถ้ำหินบูชาเทพเซียนทั้งหลาย บริจาคเงินสร้างวัด ครั้งนี้นางจะต้องปกป้องชีวิตน้องชายตนเองไว้ให้ได้ ปกป้องบัลลังก์ของน้องชาย ปกป้องพวกคนที่เคยช่วยเหลือและคุ้มครองนาง

ส่วนเซียวหวน…

ซย่าโหวอวี๋รู้สึกสับสน เป็นครั้งแรกที่นางไม่รู้ควรทำเช่นไรดี เช่นนั้นก็พักเรื่องเขาไว้ก่อนชั่วคราวแล้วกัน นางลอบคิดในใจ รอให้นางจัดการกับปัญหาตรงหน้าเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน!

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซย่าโหวอวี๋ก็รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขึ้นมาก เหมือนจิตวิญญาณกลับคืนมา นางพูดกับชุยซื่ออย่างกระปรี้กระเปร่า “น้าสะใภ้ไปรอข้าอยู่ที่ตำหนักข้างเถิด! หากฟั่นฮูหยินกับพระชายามาแล้วจะได้ช่วยข้าต้อนรับดูแล ทางนี้ข้ามีนางกำนัลปรนนิบัติก็พอแล้ว”

ชุยซื่อคิดดูแล้วก็รับคำอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็ดี! พระชายายังคุยง่าย แต่ฟั่นซื่อกลับรับมือด้วยไม่ง่ายนัก หากไม่เห็นพวกเราอยู่เลยสักคนคงจะบ่นยืดยาวไม่จบไม่สิ้นอีก!”

ฟั่นซื่อใช่รับมือง่ายเสียที่ใดกัน เห็นชัดว่าเป็นเพราะอำนาจราชวงศ์ตกต่ำ เพราะหลูยวน ฟั่นซื่อจึงไม่เห็นโอรสสวรรค์กับนางอยู่ในสายตา…ซย่าโหวอวี๋เก็บความรู้สึกหดหู่อย่างรวดเร็ว นางยิ้มพูดคุยกับชุยซื่อและตู้ฮุ่ยอย่างอ่อนโยนขณะเดินกลับตำหนักเฟิ่งหยาง

 

ความร้อนเย็นของน้ำที่อยู่ในระดับเหมาะสมช่วยบรรเทาความประหม่าที่หลงเหลืออยู่ของซย่าโหวอวี๋ นางวักน้ำใส่ใบหน้าตนเองแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ก่อนจะนั่งพิงถังไม้เงียบๆ พลางครุ่นคิดว่าประเดี๋ยวจะทำเช่นไรดี หลูยวนจึงจะไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบ

นางกำนัลรายงานผ่านฉากบังลมปักลายว่าฟั่นซื่อกับหลิ่วซื่อเข้าวังมาแล้ว ยามนี้นั่งรออยู่ในตำหนักข้าง มีชุยซื่อคอยดื่มชาเป็นเพื่อน

ซย่าโหวอวี๋ลุกขึ้นแล้วให้นางกำนัลเช็ดตัวให้แห้ง หวีผม แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ก่อนจะเดินไปที่ตำหนักข้าง

ฟั่นซื่อเป็นสตรีรูปร่างอรชรและสูงโปร่ง ผิวขาวราวน้ำค้างแข็ง ดูนุ่มเนียนปานหิมะ ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง*กลมโต จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดงชุ่มชื้น เมื่อเทียบเครื่องหน้ากับสตรีทั่วไปแล้วกลับดูเด่นชัดกว่า เหมือนกุหลาบป่าดอกหนึ่ง งดงามกระชากวิญญาณ มีความสวยไม่ธรรมดา

ด้วยเหตุนี้นางจึงเคยถูกลือว่ามีสายเลือดของชาวเซียนเปย ไม่ใช่บุตรีสายตรงสกุลฟั่น แน่นอนว่าข่าวลือเหล่านี้ล้วนถูกหลูยวนกดเอาไว้ ทั้งสองรักใคร่ปรองดองกันมาตลอด โดยให้กำเนิดบุตรชายห้าคนและบุตรสาวสองคน

ซย่าโหวอวี๋พินิจพิจารณาฟั่นซื่ออย่างละเอียด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่านางไม่ได้มีสายเลือดบริสุทธิ์ของชาวฮั่น

ฟั่นซื่อดูสุขุมมั่นคงอย่างมาก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋ด้วยความเยือกเย็น นางดูสูงสง่าผ่อนคลายเฉกเช่นสตรีสกุลสูงศักดิ์ที่ผ่านการต่อสู้ฟันฝ่าในเรือนหลังมามาก

เหมือนเช่นอาเฮ่อ สมองของซย่าโหวอวี๋ผุดความคิดนี้ขึ้นมา

นางอึ้งไปเล็กน้อย ใคร่ครวญให้ดีเวลานี้อาเฮ่อน่าจะยังเป็นเด็กน้อยอายุสิบขวบ ไม่รู้ว่าเขาไปตกระกำลำบากอยู่ที่ใด นางจะตามหาเขาล่วงหน้าดีหรือไม่

ความคิดนี้วูบขึ้นมาในหัวของซย่าโหวอวี๋เพียงครู่เดียวก็ถูกนางปฏิเสธ

อาเฮ่อปกปิดเรื่องในอดีตของตนเองอย่างมิดชิด นางคิดว่าเป็นเพราะเด็กเคยถูกทำร้ายมาก่อน จึงไม่อยากพูดถึงและไม่ได้ถามมาก บัดนี้มาย้อนคิดดู นางไม่รู้เลยว่าอาเฮ่อเป็นคนที่ไหน เวลานี้อยู่ที่ใด แล้วจะไปตามหาเขาได้อย่างไร เห็นทีนางคงได้แต่ใช้วิธีเดิมในการเก็บคนกลับมาอีกครั้งแล้ว!

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มขื่น นางได้แต่ข่มความคิดในใจ เอ่ยทักทายกับฟั่นซื่อ “ฮูหยินเชิญนั่ง! ไม่ทราบว่าระยะนี้ฮูหยินแข็งแรงดีหรือไม่ แม่ทัพใหญ่สุขภาพเป็นเช่นไรบ้าง”

ฟั่นซื่อยิ้มตอบว่า “ดี” หว่างคิ้วฉายความเย็นชาและจองหองอยู่หลายส่วน

ซย่าโหวอวี๋ไม่ถือสา แทนที่จะบอกว่าฟั่นซื่อนิสัยไม่ดี มิสู้บอกว่าเป็นเพราะหลูยวนมีตำแหน่งสูงซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจ นางจึงถูกเอาอกเอาใจจนเสียนิสัย

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มทักหลิ่วซื่อแล้ว ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับศักดิ์

หลิ่วซื่อเป็นสตรีที่มีรูปโฉมธรรมดา แต่ชาติตระกูลกลับโดดเด่นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นขุนนางใหญ่ยศสองพันตั้น* ขึ้นไปยึดพื้นที่หลายหน้าในผังตระกูล บางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ อู่หลิงอ๋องจึงเคารพและให้เกียรตินางอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ให้ความสนิทสนม ปีที่สองหลังจากหลิ่วซื่อให้กำเนิดบุตรชายคนโตเขาก็เริ่มรับอนุ บัดนี้อนุและสาวใช้ห้องข้างในบ้านมีมากมายนับไม่ถ้วน บุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากอนุมีมากถึงเจ็ดแปดคน

นางตอบรับซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม ทั้งเป็นฝ่ายถามถึงจุดประสงค์ที่ซย่าโหวอวี๋เชิญนางเข้าวังมา

เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่ซย่าโหวอวี๋กับหลิ่วซื่อนัดแนะกันไว้ล่วงหน้า ทว่ายามนี้ซย่าโหวอวี๋กลับเปลี่ยนใจ นางไม่ได้หยั่งเชิงเจตนาของหลูยวนอย่างอ้อมค้อมเหมือนในความทรงจำ แต่พูดถึงการแต่งงานของโอรสสวรรค์โดยตรง “แม่ทัพใหญ่มีความดีความชอบในการปกป้องโอรสสวรรค์ อู่หลิงอ๋องเป็นน้องชายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน นับเป็นอาของโอรสสวรรค์ ชุยฮูหยินยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นน้าสะใภ้ของพวกเรา ข้าขบคิดดูแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องเชิญทุกท่านเข้าวังมา ด้วยเรื่องโอรสสวรรค์แต่งพระชายาเกี่ยวพันถึงบ้านเมือง มิอาจสะเพร่าเลินเล่อ ข้าจึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงที่วังเสี่ยนหยางในวันเทศกาลซั่งซื่อ เชิญสตรีที่อายุเข้าเกณฑ์จากตระกูลต่างๆ มาร่วมงาน ถึงยามนั้นต้องขอให้ฮูหยินทั้งสามท่านช่วยดูด้วยว่าแม่นางจากตระกูลใดเหมาะสมที่สุด”

จะว่าไปเรื่องพวกนี้นางก็เรียนรู้มาจากหลูยวนทั้งสิ้น นางจะใช้หอกของศัตรูแทงโล่ของศัตรู* เชื่อว่าอีกไม่นานหลูยวนจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้แน่

ฟั่นซื่ออึ้งไป นี่ใช่การหารือเสียที่ใด เห็นชัดว่าเป็นการแจ้งให้ทราบ…ไม่ว่าผู้อื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ ถึงอย่างไรนางซย่าโหวอวี๋ก็ตัดสินใจไปแล้ว พวกเจ้าไม่มาก็คือไม่ให้หน้าข้า

ที่ผ่านมาจ่างกงจู่ไม่เคยเป็นเช่นนี้ อย่างมากนางก็ดูสีหน้าคน ทำอะไรมักอ้อมค้อมคลุมเครือ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางแข็งกร้าวและตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฟั่นซื่อขมวดคิ้ว เพ่งพินิจซย่าโหวอวี๋อย่างละเอียด

ซย่าโหวอวี๋สวมชุดกระโปรงลายหงส์กับนกเป็ดน้ำสีชาด เรือนผมดำขลับเกล้ามวยสูง ปิ่นรูปหงส์สีทองเปล่งประกายระยับ ปากหงส์คาบอัญมณีสีแดงเลือดห้อยย้อยอยู่ข้างใบหน้าที่ขาวกระจ่างดุจหิมะของนาง คิ้วยาวจรดจอนผม ตาหงส์วาวระยับสุกสว่างกว่าอัญมณีหลายส่วน ความอ่อนเยาว์ที่ยามปกติแม้จะปกปิดไว้ก็ปิดไม่มิด ยามนี้กลับหายไปไม่เหลือ สีหน้าน่ากลัว ท่วงทีน่าเกรงขาม นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย แต่กลับเหมือนกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในฝัก หากตกลงกันไม่ได้ กระบี่ก็จะถูกชักออกมาเผยความคมกริบ

ฟั่นซื่อตกใจจนสะดุ้ง นางเคยเห็นความเชื่อมั่นและความหยิ่งทะนงในตนเองเช่นนี้จากผู้ที่มีอำนาจแข็งแกร่งเท่านั้น ซย่าโหวอวี๋เป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่งอยู่แท้ๆ ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด

เมื่อไม่กี่วันก่อน คำพูดและการกระทำของซย่าโหวอวี๋ยังเจือความขลาดเขินอยู่หลายส่วน ไฉนพริบตาเดียวจึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้

หัวสมองของฟั่นซื่อผุดใบหน้าของเซียวหวนที่ดูเหมือนอ่อนโยนแต่แววตากลับสะท้อนความเย็นชา

ไม่ใช่เขา!

ตอนนี้เซียวหวนยังเอาตัวไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีเวลามายุ่งกับเรื่องของซย่าโหวอวี๋ หรือระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่รู้ หรือว่ามีคนให้ความมั่นใจอะไรกับนาง

ฟั่นซื่อเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เทศกาลซั่งซื่อหรือ จะฉุกละหุกเกินไปหน่อยหรือไม่ แม่นางหลายคนที่อายุเข้าเกณฑ์และคู่ควรกับโอรสสวรรค์ล้วนไม่อยู่ในเมืองเจี้ยนคัง” นางพูดพลางโค้งมุมปากเล็กน้อย เอียงศีรษะคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จ้องตาซย่าโหวอวี๋ไม่วางตา “หรือว่าจ่างกงจู่มีตัวเลือกอยู่แล้ว แค่อยากให้โอรสสวรรค์ทอดพระเนตรเท่านั้น?”

ซย่าโหวอวี๋หัวเราะเสียงเย็นในใจ นางมีตัวเลือกอยู่แล้วจริงๆ หลูยวนก็มีตัวเลือกในใจอยู่แล้วมิใช่หรือ ในความทรงจำ หลูยวนตั้งใจให้หลานสาวของตนเป็นฮองเฮานี่

ตามหลักสกุลหลูนับเป็นสกุลใหญ่ที่สูงศักดิ์ ในด้านชาติตระกูลนับเป็นคู่ครองที่เหมาะสม ทว่าหลานสาวที่หลูยวนเลือกให้น้องชายนางกลับทั้งดำทั้งอ้วน ทั้งนิสัยยังร้ายกาจ เคยมีข่าวลือว่าโบยข้ารับใช้หญิงจนตาย แล้วนางจะให้สตรีเช่นนี้มาเป็นน้องสะใภ้ได้อย่างไร

น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้นางดูถูกความไร้ยางอายของหลูยวนเกินไป คิดว่าหากนางหารือกับหลูยวนอย่างนอบน้อม จากนั้นตอบแทนไมตรีเขาด้วยการถอยก้าวหนึ่ง ให้ผลประโยชน์เขาอย่างเต็มที่ หลูยวนจะล้มเลิกความคิดที่จะก้าวก่ายการแต่งงานของน้องชายนาง

คิดไม่ถึงว่าพอหลูยวนรับผลประโยชน์ไปแล้ว กรงเล็บกลับยังตะปบไว้แน่น พาหลานสาวของตนมาเสนอต่อหน้าน้องชายในวันเทศกาลซั่งซื่อ บอกเหล่าขุนนางเป็นนัยว่านี่คือพระชายาที่เขาคัดสรรมาให้โอรสสวรรค์ ทำให้น้องชายนางทั้งร้อนใจทั้งโมโห เกือบจะสะบัดแขนเสื้อจากไป…นางนึกตำหนิตนเองในเรื่องนี้มาตลอด รู้สึกว่าการที่น้องชายป่วยตายเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกพระชายาครั้งนี้มาก

ครั้งนี้นางจะคัดเลือกพระชายาให้น้องชายเช่นกัน และจะกำหนดวันเป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ แต่นางจะไม่ปล่อยให้หลูยวนควบคุมสถานการณ์ได้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เขาคิดจะคัดเลือกเมื่อไรก็เมื่อนั้นหรือ เขาคิดจะเลือกใครก็เลือกคนนั้นหรือ ครั้งนี้ถึงตานางทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกบ้างแล้ว ถึงตานางทำให้เขาต้องเสียใจภายหลังบ้างแล้ว!

ความทุกข์และความเจ็บปวดที่หลูยวนมอบให้นาง นางจะคืนกลับไปให้เขาจนกว่าจะครบทั้งหมด

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ พูดกับฟั่นซื่อ “ข้าว่ามิสู้ฮูหยินกลับไปถามความประสงค์ของแม่ทัพใหญ่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” ความหมายที่แฝงอยู่มีการเสียดสีฟั่นซื่อเล็กน้อยที่จัดการเรื่องในครอบครัวไม่ได้ ไม่มีอำนาจตัดสินใจ

อาจเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีผู้ใดกล้าเสียดสีเหน็บแนมเช่นนี้ ฟั่นซื่อฟังแล้วก็ใบหน้าแดงก่ำทันที

ซย่าโหวอวี๋ทำเหมือนมองไม่เห็น นางไม่เหลือบแลฟั่นซื่ออีก เพียงหันไปด้านข้างแล้วยิ้ม ก่อนพูดกับหลิ่วซื่อและชุยซื่ออย่างเกรงใจ “ถึงยามนั้นยังต้องรบกวนฮูหยินทั้งสองช่วยสังเกตให้โอรสสวรรค์ด้วย”

หลิ่วซื่อกับชุยซื่อย่อกายลงโดยพร้อมเพรียงกัน และรับคำอย่างนอบน้อม

ฟั่นซื่อโมโหทีเดียว นางเม้มปากปฏิเสธที่จะพูดคุยกับซย่าโหวอวี๋

หากเป็นเมื่อก่อน เห็นแก่หน้าหลูยวน ซย่าโหวอวี๋จะต้องคิดหาหนทางประนีประนอมกับฟั่นซื่อแน่ แต่ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาบอกนางว่าฐานะของนางกับหลูยวนกำหนดแล้วว่าพวกเขาไม่อาจเดินทางเดียวกันได้ ไม่ว่านางจะระมัดระวังเพียงใด หลูยวนก็ไม่รับไมตรีจากนาง แล้วไยนางต้องลดเกียรติตนเอง เอาใบหน้าอุ่นร้อนของตนเองไปแนบใบหน้าเย็นเฉียบของหลูยวนด้วยเล่า

มีเรื่องก็มีเรื่องสิ! นางเหนื่อยมาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ตอนนี้นางแค่อยากใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสักหน่อย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสักหน่อยเท่านั้น

ซย่าโหวอวี๋สั่งให้นางกำนัลยกผลไม้เข้ามา ฟั่นซื่อกลับลุกขึ้นขอตัว ซย่าโหวอวี๋สั่งเสียงเรียบให้ตู้ฮุ่ยไปส่งแขก

หลิ่วซื่อกระอักกระอ่วน เตือนซย่าโหวอวี๋เสียงค่อย “แต่ไรมาแม่ทัพใหญ่ก็ให้เกียรติฟั่นซื่อ ข้ารู้ว่าเจ้ารำคาญนาง แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกชัดเจนเพียงนี้”

ซย่าโหวอวี๋ขอบคุณในความหวังดีของนาง แต่กลับไม่เสียใจภายหลังแม้แต่น้อย

หลิ่วซื่อถอนหายใจ นางกินผลไม้เล็กน้อย ดื่มชาไปอีกสองถ้วยก็เอ่ยขอตัว ซย่าโหวอวี๋ไปส่งนางที่หน้าประตูด้วยตนเอง

ชุยซื่อกลับอยู่เป็นคนสุดท้าย นางถามซย่าโหวอวี๋อย่างเป็นกังวล “จิ้นหลิง เจ้าวางแผนอย่างไรกันแน่”

ซย่าโหวอวี๋ลูบลูกประคำไม้กฤษณาบนข้อมือเงียบๆ นี่เป็นของที่มารดานางเหวินเซวียนฮองเฮาทิ้งไว้ให้ ว่ากันว่าเป็นของที่ท่านยายมอบให้ก่อนมารดาเข้าวัง เมื่อถูกลูบไล้เป็นเวลานานก็ทำให้ลูกประคำเรียบลื่นเปล่งประกาย เหมือนถูกเคลือบด้วยไขบางๆ หนึ่งชั้น

ซย่าโหวอวี๋อยากเกี่ยวดองกับสกุลชุย นี่เป็นเรื่องที่ปรึกษาหารือกับน้าชาย น้าสะใภ้ ตลอดจนประมุขสกุลชุยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้าชาย น้าสะใภ้หรือคนสกุลชุย ล้วนคิดว่านี่เป็นการแต่งงานที่ดีมาก ติดที่หลูยวนเท่านั้น เมื่อเรื่องราวยังไม่ถูกกำหนดเป็นที่แน่นอน พวกเขาจึงคิดว่าไม่ควรป่าวประกาศออกมา

ในความทรงจำ ตอนหลูยวนพาหลานสาวมาตรงหน้าน้องชาย ภายใต้การปลอบประโลมของซย่าโหวอวี๋ แม้น้องชายจะไม่ได้หุนหันออกจากงานในทันที ถึงอย่างนั้นโทสะที่แสดงออกมาก็ชัดเจนมาก แต่หลูยวนกลับทำเป็นไม่รับรู้ จะบีบให้น้องชายนางรับปากให้ได้ น้องชายอดทนจนเหลืออด จึงตัดสินใจปฏิเสธหลูยวนอย่างอ้อมค้อม หลูยวนถูกหักหน้า ไม่รอให้งานเลี้ยงเลิกก็หาข้ออ้างกลับไปก่อน

จนกระทั่งน้องชายป่วย สลบไสลไม่ได้สติ พอหมอบอกว่าน้องชายยากจะฟื้นขึ้นมาได้ ไม่รู้หลูยวนไปฟังมาจากที่ใดว่าคนที่นางกับน้องชายถูกใจแต่เดิมคือคุณหนูเจ็ดสกุลชุย ด้วยความโมโหและอับอาย หลูยวนจึงพาลโกรธสกุลชุยไปด้วย หลังจากน้องชายตายไป เขาก็บังคับสกุลชุยให้ส่งคุณหนูเจ็ดเข้าอารามเต๋าบำเพ็ญตน

ไม่ถึงสองปี คุณหนูเจ็ดสกุลชุยก็ป่วยตาย ทว่าหลานสาวของหลูยวนที่ถูกผลักมาตรงหน้าน้องชายก่อนหน้านี้กลับออกเรือนไปอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติในเวลาอันรวดเร็ว

ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมให้เรื่องราวต้องซ้ำรอยอีก!

ซย่าโหวอวี๋มองเมฆยามเย็นตรงขอบฟ้า พูดเสียงเบา “ครั้งนี้ข้าไม่ได้คิดจะเลือกพระชายาให้น้องชาย!”

“หา!” ชุยซื่อมองซย่าโหวอวี๋อย่างประหลาดใจ ทำท่าจะพูดแล้วเงียบไป เดิมทีพวกเขาตกลงกันไว้แล้ว บัดนี้ไม่ได้ยินข่าวคราวแม้แต่น้อยนิด บอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนแปลงเช่นนี้หรือ แล้วนางจะไปชี้แจงกับพี่ชายและพี่สะใภ้ที่บ้านเดิมอย่างไร

ซย่าโหวอวี๋เอ่ยต่อเนิบช้า “หลูยวนจะละทิ้งโอกาสในการแสดงอำนาจในครั้งนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเลือกแม่นางบ้านใดมาเป็นฮองเฮา ขอเพียงหลูยวนไม่พอใจ เขาย่อมต้องขัดขวาง แทนที่จะให้แม่นางบ้านอื่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย มิสู้รออีกสักพัก รอให้พวกเรามีความมั่นใจมากกว่านี้ค่อยว่ากัน”

เทศกาลซั่งซื่อครั้งนี้ นางไม่รู้ว่าหลูยวนจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือไม่ แต่นางจะไม่ยอมให้การแต่งงานของน้องชายต้องกลายเป็นสนามต่อสู้ระหว่างนางกับหลูยวนเป็นอันขาด การคัดเลือกพระชายาสามารถเลื่อนออกไปอีกสองสามเดือน รอให้นางกับหลูยวนตัดสินแพ้ชนะได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

แต่ก่อนหน้านั้นนางต้องแน่ใจเรื่องหนึ่งก่อน

สรุปนางอยู่ในความฝันหรือย้อนกลับมาในอดีตเมื่อสิบปีก่อนกันแน่

ซย่าโหวอวี๋กุมมือชุยซื่อ อธิบายกับอีกฝ่ายอย่างละเอียดครู่ใหญ่ จึงขจัดความสงสัยของชุยซื่อไปได้ ทำให้ชุยซื่อเชื่อว่านี่ไม่ใช่คำพูดบ่ายเบี่ยงเพราะคิดจะแต่งตั้งคนอื่นขึ้นเป็นฮองเฮา

ส่งชุยซื่อออกจากวังแล้ว ซย่าโหวอวี๋ก็รีบรุดไปยังตำหนักทิงเจิ้ง

ซย่าโหวโหย่วเต้าโอรสสวรรค์ในวัยสิบสี่สวมชุดคลุมแขนกว้างสีดำปักลายนกและคนคู่ร่ายรำกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ เห็นซย่าโหวอวี๋เข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างดีใจ ยิ้มเอ่ยเรียกเสียงดัง “พี่สาว!”

ซย่าโหวอวี๋มองน้องชายที่มีคิ้วตาหมดจด ผิวพรรณซีดขาว ร่างกายผอมแห้งอ่อนแอราวกับดอกผูกงอิง ที่แค่ลมพัดก็ปลิดปลิวไปได้ นางได้แต่เหม่อลอยไปชั่วขณะ

น้องชายของนางยังมีชีวิตอยู่ เขายืนอยู่ตรงหน้านาง ดวงตากระจ่างใส รอยยิ้มเจิดจ้า

น้ำตาของซย่าโหวอวี๋เอ่อล้นขนตา

ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับพูดอย่างประหม่า “พี่สาว ท่านเป็นอะไรไป นางข้าหลวงตู้พูดอะไรต่อหน้าพี่สาวอีกแล้วหรือ”

แม้ตู้ฮุ่ยจะเป็นนางข้าหลวงของตำหนักเฟิ่งหยาง แต่ตำหนักเฟิ่งหยางเป็นตำหนักบรรทมของเหวินเซวียนฮองเฮา หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตายไป ซย่าโหวอวี๋ก็พักอยู่ที่นี่ต่อ ตู้ฮุ่ยไม่เพียงเคยปรนนิบัติเหวินเซวียนฮองเฮา ยังเคยปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ เป็นคนที่เฝ้าดูพวกเขาพี่น้องเติบโตขึ้นมา

ในวังแห่งนี้มีเพียงตู้ฮุ่ยที่เป็นห่วงพวกเขาพี่น้องอย่างแท้จริง และมีเพียงนางที่กล้าฟ้องเรื่องเขาต่อหน้าซย่าโหวอวี๋ หลังจากนางออกเรือน ตู้ฮุ่ยยังรับคำสั่งนางมาตำหนักทิงเจิ้งอยู่บ่อยครั้ง เพื่อดูว่าซย่าโหวโหย่วเต้าทำอะไรบ้าง

ซย่าโหวอวี๋อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางลูบศีรษะน้องชาย เส้นผมของเขานุ่มสลวยดำขลับเปล่งประกาย ความรู้สึกที่ฝ่ามือสัมผัสนั้นจริงแท้ยิ่ง

นี่จะเป็นความฝันได้อย่างไร นางต้องย้อนกลับมาในอดีตแน่!

ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับเบนศีรษะออก หลบมือของพี่สาว เขาบ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าโตแล้วนะ พี่สาวจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าขุนนางใหญ่พวกนั้นมาเห็นเข้า ในใจพวกเขาต้องคิดว่าข้าเหยาะแหยะไม่หนักแน่น ยากจะทำการใหญ่”

“ได้! ได้!” ซย่าโหวอวี๋ปล่อยมืออย่างเชื่อฟัง ขณะที่สายตาก็ถูกประกายน้ำบดบัง จนภาพเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน น้องชายของนางยังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ ทั้งเชื่อฟังและรู้ความ เขาจะตายได้อย่างไร!

ซย่าโหวอวี๋จับจ้องน้องชายตาไม่กะพริบ ในใจเจ็บปวดยากจะทานทน

ซย่าโหวโหย่วเต้ายังคิดว่าตนเองทำอะไรผิด เขารับชาร้อนที่ข้ารับใช้ยกมาให้ นำไปวางตรงหน้าพี่สาวด้วยตนเอง พลางปั้นยิ้มที่ดูไม่สบายใจเท่าไรนักและนั่งลงข้างกายนาง

ซย่าโหวอวี๋โอบไหล่น้องชายอย่างอดใจไม่อยู่ และถามถึงชีวิตประจำวันของเขาอย่างอ่อนโยน

“มีนางข้าหลวงตู้จับตาดูข้าอยู่ พี่สาวยังมีอะไรไม่วางใจอีก” ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้มเอ่ย “ไฉนวันนี้พี่สาวจึงถามถึงเรื่องพวกนี้เล่า”

ไม่น่าแปลกที่ซย่าโหวโหย่วเต้าจะประหลาดใจ สำหรับเขานั้น เพิ่งไม่ได้เจอนางแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่สำหรับนาง…กลับไม่ได้เจอน้องชายมาสิบปีแล้ว

ซย่าโหวอวี๋พยายามควบคุมอารมณ์ “ได้ยินว่าหลูไหวจะขอหงหนงแต่งให้บุตรชายคนโตของเขา มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่”

“พี่สาวรู้ได้อย่างไร!” ซย่าโหวโหย่วเต้าตระหนกตกใจ

ซย่าโหวอวี๋ไม่พูดอะไร

ซย่าโหวโหย่วเต้าร้อนรนทันที “พี่สาว ท่านอย่าโกรธเลยนะ! ข้าให้คนส่งหนังสือไปให้แม่ทัพใหญ่แล้ว แม่ทัพใหญ่จะต้องตำหนิผู้ว่าการหลูแน่…” เขาพูดพลางเผยสีหน้ารังเกียจ “พี่สาวท่านไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางรับปากแน่ พวกเขาสกุลหลูคิดว่าใต้หล้านี้เป็นของพวกเขาหรือไร แค่หลูยวนคนเดียวก็หน้าไม่อายมากพอแล้ว หลูไหวผู้นั้นยิ่งไร้ยางอายกว่า…ข้าอดทนกับหลูยวนเพราะเห็นแก่ที่เขาเคยช่วยเหลือข้า แต่หลูไหวนับเป็นตัวอะไร”

หลูไหวเป็นน้องชายแท้ๆ ของหลูยวน มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลหยางโจว

หงหนงเป็นน้องสาวแท้ๆ ของนางที่มีชีวิตได้สามวันก็ตายจากไป หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าขึ้นครองราชย์ก็ได้แต่งตั้งนางเป็น ‘หงหนงเต้ากงจู่’

บุตรชายสายตรงคนโตของหลูไหวตายไปตอนแปดขวบ ฮูหยินของเขาเชื่อคำพูดของพระธุดงค์ บอกว่าบุตรชายของเขาถูกผีร้ายตามรังควาน จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปเกิด หากสามารถแต่งงานหลังตายกับสตรีที่มีดวงชะตาวันเดือนปีเกิดสูงศักดิ์ ชาติหน้าย่อมได้เกิดในตระกูลใหญ่โตโดดเด่น

ไม่รู้ว่าหลูไหวผู้นั้นไปสืบหาดวงชะตาวันเดือนปีเกิดของหงหนงเต้ากงจู่มาจากที่ใด เอ่ยว่าจะขอแต่งหงหนงเต้ากงจู่เป็นภรรยาของบุตรชายคนโตของตนในงานเลี้ยงวันเทศกาลซั่งซื่อ

บางทีอาจเหมือนตอนนี้ น้องชายกลัวนางโกรธจึงไม่ได้บอกอะไรกับนางทั้งนั้น ในงานวันเทศกาลซั่งซื่อหลูยวนก็ยกเรื่องนี้มาพูดก่อน พอน้องชายปฏิเสธ เขาค่อยพาหลานสาวมาพบน้องชาย…น้องชายข่มกลั้นโทสะไม่อยู่ ขุนนางพวกนั้นจึงรู้สึกว่าน้องชายไม่ไว้หน้าสกุลหลู

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มให้ซย่าโหวโหย่วเต้า พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่สาวไม่ได้โกรธ แค่ตื้นตันใจที่น้องชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้จักดูแลพี่สาวเช่นนี้ พี่สาวรู้สึกดีใจมาก!”

“จริงหรือ” ซย่าโหวโหย่วเต้าทั้งตกใจทั้งยินดี เขยิบมานั่งข้างกายซย่าโหวอวี๋อีกครั้ง “พี่สาว ต่อไปท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีกแล้ว แค่ใช้ชีวิตร่วมกับพี่เขยให้ดีก็พอ มีหลานชายหลานสาวให้ข้าสักสองสามคน ถึงเวลานั้นข้าจะแต่งตั้งพวกเขาเป็นจวิ้นอ๋อง* กับกงจู่ หากใครกล้าพูดอะไร ข้าก็จะเนรเทศออกไปเสีย”

“ได้เลย!” ซย่าโหวอวี๋รับคำ น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป

สิ่งที่ซย่าโหวโหย่วเต้าหวาดกลัวที่สุดคือเห็นพี่สาวซย่าโหวอวี๋หลั่งน้ำตาอย่างโศกเศร้า

เขาคลอดออกมาก่อนกำหนด อ่อนแอเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง หากไม่มีมารดาคอยดูแลอย่างเอาใจใส่ ป่านนี้เขาคงตายไปนานแล้ว เพียงแต่เหวินเซวียนฮองเฮาตั้งครรภ์หงหนงตอนเขาอายุสามขวบ ตอนคลอดหงหนงแล้วตกเลือด แม้เหวินเซวียนฮองเฮาจะรอดชีวิตมาได้ แต่หงหนงกลับเสียชีวิต เหวินเซวียนฮองเฮาสะเทือนใจ นับแต่นั้นมาก็ล้มป่วยอยู่บนเตียงหลายปี นางไม่มีเรี่ยวแรงมาดูแลเอาใจใส่ซย่าโหวโหย่วเต้าอีกเลย จนกระทั่งจากโลกนี้ไป

ซย่าโหวโหย่วเต้ามาอยู่กับซย่าโหวอวี๋ตั้งแต่อายุสามขวบ ซย่าโหวอวี๋ช่วยเขาประจบเอาใจบิดา ช่วยเขาปกครองข้ารับใช้ ช่วยเขากำราบเหล่าขุนนาง หากไม่มีพี่สาวคนนี้ ต่อให้เขาเป็นรัชทายาทก็ไม่มีปัญญาขึ้นครองราชย์ได้ ถึงขั้นอาจชักนำภัยมาสู่ชีวิตเพราะเคยถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเสียด้วยซ้ำ

ในใจเขา ซย่าโหวอวี๋เป็นคนที่ดีกับเขาที่สุดในใต้หล้า แม้แต่เหวินเซวียนฮองเฮายังด้อยกว่าพี่สาวคนนี้ของเขาเล็กน้อย แล้วเขาจะทนเห็นพี่สาวเสียใจได้อย่างไร

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาลุกขึ้นยืนด้วยร้อนใจจนอดรนทนไม่ไหว “พี่เขยไม่ดีกับท่านหรือ หรือท่านเป็นกังวลเรื่องหลูยวน ไม่เป็นไรนะ ขอเพียงข้าไม่รับปาก หลูยวนทำอะไรข้าไม่ได้หรอก หงหนงเป็นน้องสาวของข้า ข้าไม่ยอมให้นางต้องทนรับความอัปยศอดสูเช่นนี้แน่ พี่สาว ท่านรอข้าอีกไม่กี่ปี ข้า…ข้าจะไม่เป็นเช่นนี้ไปตลอดแน่ ไม่ปล่อยให้ท่านต้องถูกใครรังแก” ตอนซย่าโหวโหย่วเต้าพูดเช่นนี้ เขาก็โมโหจนหน้าแดง

เขารู้ เป็นเพราะความอ่อนแอไร้ความสามารถของเขาจึงทำให้พี่สาวต้องแต่งงานกับเซียวหวนที่เย็นชาผู้นั้น พี่สาวที่เป็นสตรีสูงศักดิ์และหยิ่งทะนงจำต้องก้มหัวยามอยู่ต่อหน้าหลูยวน…

ซย่าโหวโหย่วเต้าละอายใจเหลือเกิน เขาจับชายเสื้อของซย่าโหวอวี๋อย่างขลาดกลัว ก่อนก้มหน้าเอ่ยว่า “พี่สาว ท่านอย่าร้องไห้เลย!”

ซย่าโหวอวี๋อยากดึงน้องชายมากอดเหลือเกิน แต่กลัวจะทำให้เขาตกใจ นางจึงจับมือน้องชาย ส่งสัญญาณให้เขานั่งลงข้างตน ตบมือเขาเบาๆ และเอ่ยว่า “พี่สาวดีใจจนร้องไห้ต่างหาก”

ซย่าโหวโหย่วเต้ายังคงคลางแคลงใจ

ซย่าโหวอวี๋ได้แต่ตอบว่า “วันนี้ข้าเรียกตัวฟั่นฮูหยิน พระชายาหลิ่วและน้าสะใภ้มาคุยเรื่องการแต่งงานของเจ้า…” นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักเฟิ่งหยางก่อนหน้านี้ให้ซย่าโหวโหย่วเต้าฟังทั้งหมด

ซย่าโหวโหย่วเต้าดีใจจนกระโดดขึ้นมา ก่อนจะเดินวนไปมาในตำหนักข้างอย่างตื่นเต้นสองรอบ แล้วนั่งคุกเข่าลงข้างกายซย่าโหวอวี๋อีกครั้ง “พี่สาว เมื่อเป็นเช่นนี้แม่ทัพใหญ่ก็ไม่สามารถบังคับพวกเราได้แล้วกระมัง ยังคงเป็นพี่สาวที่ฉลาด รู้ว่าต้องรับมือแม่ทัพใหญ่อย่างไร มิน่าแม่ทัพใหญ่ถึงไม่ชอบพี่สาว มักบอกว่าพี่สาวไม่มีลักษณะของสตรีสักอย่าง แต่ใครกำหนดกันเล่าว่าสตรีสมควรเป็นเช่นไร…”

เขาบ่นเสียยืดยาว ซย่าโหวอวี๋ฟังแล้วทรมานใจเหลือเกิน

ซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นบุตรชายสายตรงคนโต อู่จงฮ่องเต้ตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมาก ทว่าร่างกายเขากลับไม่แข็งแรง การเล่าเรียนและวิชายุทธ์ก็ธรรมดามาก หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาล้มป่วย ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับอู่จงฮ่องเต้เหมือนแต่ก่อน มารดาขององค์ชายรองจึงถือโอกาสนี้พูดจาว่าร้าย ทำให้อู่จงฮ่องเต้เริ่มไม่พอใจในตัวบุตรชายคนนี้ พบหน้ากันทีไม่ตวาดก็ตำหนิ ประกอบกับไม่มีเหวินเซวียนฮองเฮาคอยไกล่เกลี่ย ทำให้ทุกครั้งเวลาซย่าโหวโหย่วเต้าเห็นอู่จงฮ่องเต้จึงล้วนทำท่าเหมือนหนูเห็นแมว หากไม่หลบลี้หนีหน้าก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ทุกครั้งที่อู่จงฮ่องเต้เห็นเขา คิดถึงตนเองที่เก่งกาจทั้งด้านการปกครองและการทหาร แต่กลับมีบุตรชายสายตรงคนโตเช่นนี้ ในใจให้หงุดหงิดยิ่งนัก อยากให้ตนเองไม่เคยมีบุตรชายคนนี้เสียเลย ที่ผ่านมาจึงมักเข้มงวดกวดขันกับซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นอย่างยิ่ง

ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจึงตึงเครียดอย่างมาก ซย่าโหวโหย่วเต้ากลายเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวมากขึ้นทุกที หากไม่ใช่เพราะมีซย่าโหวอวี๋คอยพูดจาสนับสนุนน้องชายผู้นี้ต่อหน้าอู่จงฮ่องเต้ อู่จงฮ่องเต้คงตัดหางปล่อยวัดบุตรชายผู้นี้ไปแล้ว และปล่อยให้เขาใช้ชีวิตไปตามยถากรรม

ในเมื่อซย่าโหวโหย่วเต้าเติบโตมาเช่นนี้ จะให้เป็นโอรสสวรรค์ที่ไม่มีนิสัยลังเลขาดความเด็ดขาดและใจเสาะขี้กลัวได้อย่างไร หากบอกว่าเป็นความผิดของใคร นั่นย่อมเป็นความผิดของเสด็จพ่อ จะปัดความผิดมาที่น้องชายนางทั้งหมดได้อย่างไร นางเชื่อว่าหากอู่จงฮ่องเต้คอยชี้แนะโอรสสวรรค์ดีๆ โอรสสวรรค์ย่อมไม่กลายเป็นเช่นนี้

ซย่าโหวอวี๋หยุดความคิดฟุ้งซ่านในใจ แล้วหยอกเย้าน้องชาย “เห็นทีหากการแต่งงานกับคนจากสกุลชุยประสบความสำเร็จ น้องชายคงจะดีใจมาก?”

ซย่าโหวโหย่วเต้าหน้าแดงเรื่อ เขาแย้งเสียงดัง “ข้ามีอะไรให้ดีใจ ท่านน้าสะใภ้ต่างหากที่ดีใจ!” แม้คำพูดจะสื่อความหมายไปอีกทาง แต่น้ำเสียงกลับเจือความหวานและยินดีอยู่หลายส่วน

ซย่าโหวอวี๋ตะลึงงัน นางคิดว่าเรื่องการเกี่ยวดองกับสกุลชุยเป็นเพียงแผนการรับมือกับสถานการณ์เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะตั้งความหวังกับการแต่งงานครั้งนี้ไว้มากเพียงนี้

ซย่าโหวอวี๋คิดถึงการจากไปก่อนวัยอันควรของน้องชายเมื่อชาติก่อน และคิดถึงชะตากรรมของคุณหนูเจ็ดสกุลชุยแล้ว นางก็รู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน อดลูบศีรษะน้องชายไม่ได้ พึมพำว่า “พวกเจ้าล้วนยังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆ”

“พี่สาวบอกว่าอะไร ‘ดีจริงๆ’ หรือ” เสียงของพี่สาวเบาเกินไป เขาได้ยินไม่ชัด แต่กลับจับความโศกเศร้าและสลดหดหู่จากน้ำเสียงของพี่สาวได้

ซย่าโหวอวี๋รีบยิ้มพูด “ข้าบอกว่า…น้องชายข้าจะแต่งภรรยาแล้ว ดีจริงๆ!”

ซย่าโหวโหย่วเต้าเขินอาย ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม

ซย่าโหวอวี๋หัวเราะ นางพูดคุยเป็นเพื่อนน้องชายอีกหลายคำ กำชับเขาด้วยคำพูดทำนองว่า ‘อย่าอ่านตำรามากเกินไป ระวังสายตาด้วย’ ‘ต้องนอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า’ ก่อนจะออกจากตำหนักทิงเจิ้ง

ทว่าพอนางก้าวออกจากตำหนักทิงเจิ้ง สองขากลับอ่อนยวบจนต้องประคองนกกระเรียนทองแดงข้างทางไว้

“จ่างกงจู่! ท่านเป็นอะไรไปเพคะ” นางกำนัลที่ติดตามรับใช้เห็นนางมีใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นไหลไม่หยุด ก็อดอุทานเสียงค่อยไม่ได้ “ข้าจะไปเชิญหมอประเดี๋ยวนี้!”

“ไม่ต้อง!” ซย่าโหวอวี๋ส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา

นางย้อนกลับมาในอดีตจริงๆ!

กลับมาในอดีตจริงๆ!

นางจำได้ชัดเจน ครั้งก่อนนางกับพวกฟั่นซื่อแยกย้ายจากกันไปด้วยความไม่พอใจ นางกลัวว่าอารมณ์ของตนเองจะส่งผลกระทบต่อน้องชาย หลังส่งฟั่นซื่อจากไปแล้วจึงพักผ่อน จวบจนถึงเทศกาลซั่งซื่อ หลูไหวโผล่มา นางถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงยามนั้นนางพูดอะไรก็ล้วนสายเกินไปแล้ว ระหว่างเดินทางจากเขาจงซานกลับวัง นางยังตำหนิน้องชายไปคำรบหนึ่ง

“อาเหลียง!” นางร้องเรียกตามความเคยชิน “เจ้ามาให้ข้าหยิกหน่อย ข้าจะดูว่าเจ้าเจ็บหรือไม่” นางไม่อยากเชื่อในความโชคดีของตนเอง

นางกำนัลด้านข้างตอบเสียงค่อย “วันนี้อาเหลียงไม่เข้าเวร จ่างกงจู่จะให้เรียกตัวนางมาหรือไม่เพคะ”

ซย่าโหวอวี๋หลุดหัวเราะออกมา ความรู้สึกของการมีชีวิตใหม่และได้ย้อนกลับมาอีกครั้งยิ่งเหมือนจริงกว่าเดิม หากนางจำไม่ผิด ตอนนี้อาเหลียงอายุสิบแปดปี ยังเป็นนางกำนัลหวีผมตำแหน่งเล็กๆ ในตำหนักเฟิ่งหยาง หลังจากน้องชายนางสวรรคต นางก็ไม่อยากให้คนที่เคยปรนนิบัติเสด็จแม่กับน้องชายอยู่ในวังต่อไป เพราะอาจถูกเฝิงไทเฮาทรมาน จึงให้พวกเขาติดตามนางไปจวนสกุลเซียว ภายหลังนางกับเซียวหวนทะเลาะกัน อาเหลียงตามนางไปอยู่ที่ไร่ชานเมืองซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของนาง

นางพูดกับนางกำนัลผู้นั้น “เจ้าไปบอกนางข้าหลวงตู้ที นับแต่นี้ไปให้อาเหลียงคอยปรนนิบัติข้างกายข้า”

ชาติก่อนอาเหลียงเฉลียวฉลาดมีความสามารถ จงรักภักดีต่อนาง ชาตินี้นางยังคงตัดสินใจใช้งานอาเหลียงต่อ

ยังมีอาห่าวอีกคน ปีนี้น่าจะแค่ห้าขวบ เป็นลูกสาวชาวนาครอบครัวหนึ่งในไร่ชานเมืองที่เป็นสินเจ้าสาวของนาง ถึงเวลาต้องอย่าลืมบอกอาเหลียงให้ส่งคนไปรับนางเข้าจวน…นอกจากนี้ยังมีพ่อบ้านอีกสองสามคนที่ติดตามนางไปโดยไม่ลังเลตอนนางออกจากสกุลเซียว ล้วนเป็นคนที่สามารถใช้งานได้…

ลมกลางคืนโชยปะทะใบหน้า กลิ่นหอมจากใบหญ้าลอยมาเลือนราง

ซย่าโหวอวี๋สูดลมหายใจเข้าลึก นางอาศัยอยู่ในไร่ชานเมืองมาสิบปี อากาศที่สูดเข้าไปทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่มีเวลาใดที่รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นทั้งกายและใจเฉกเช่นยามนี้ นางก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ดินแข็งแน่นใต้ฝ่าเท้ากับเงาจันทร์ข้างกายล้วนทำให้นางเบิกบานใจอย่างมาก

ซย่าโหวอวี๋เห็นตู้ฮุ่ยรุดมารับ นางจึงเอ่ยถามตู้ฮุ่ย “ได้ยินว่าดอกแปดเซียน ในวัดหย่งหนิงบานแล้วหรือ”

ตู้ฮุ่ยอึ้งไป เมืองเจี้ยนคังเพิ่งจะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองได้เมื่อสิบปีที่แล้ว คนที่นับถือศาสนาพุทธค่อยๆ เพิ่มขึ้น เดือนสี่วันที่แปดของทุกปีจะมีการจัดงานวัด วัดเจ็ดแปดแห่งในเมืองล้วนต้องการโดดเด่นเป็นที่หนึ่ง จึงเค้นสมองขบคิดหาวิธีเชิญผู้สูงศักดิ์มาร่วมงานวัดที่วัดของตนให้ได้

ดอกแปดเซียนพวกนั้นเดิมทีจะผลิบานในช่วงเทศกาลตวนอู่ ดอกไม้มีขนาดใหญ่เท่ากระถาง ประกอบขึ้นจากดอกไม้ห้ากลีบจำนวนแปดดอก เกสรคล้ายผีเสื้อ เวลาสายลมพัดผ่านดูเหมือนผีเสื้อล้อไข่มุก ทั้งยังเหมือนแปดเซียนเริงระบำ จึงได้ชื่อดังกล่าวมา นับเป็นดอกไม้ที่หายากทีเดียว

ไม่รู้วัดหย่งหนิงไปหาต้นแปดเซียนมาจากที่ใดสองต้น ทั้งยังใช้วิธีการพิเศษเร่งให้ต้นไม้ออกดอกก่อนเวลาในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นส่งคนมาหานางที่บ้าน หมายจะเชิญโอรสสวรรค์กับจิ้นหลิงจ่างกงจู่ไปชมดอกไม้

ตู้ฮุ่ยรู้สึกไม่เหมาะสม จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับจ่างกงจู่ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดไปปากมากต่อหน้าจ่างกงจู่กันแน่

ตู้ฮุ่ยยิ้มพูด “มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ แต่หลายปีมานี้วัดหย่งหนิงมักชิงดีชิงเด่นกับวัดฉือเอิน ข้าคิดว่าจ่างกงจู่กับโอรสสวรรค์อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า หาไม่แล้วจะกลายเป็นเครื่องมือของภิกษุเหล่านี้”

วัดฉือเอินเป็นวัดที่หลูยวนสร้างให้มารดาบังเกิดเกล้าที่เสียชีวิตไป วัดเพิ่งสร้างขึ้นมาได้สามปีห้าปี แต่มีผู้มาสักการะบูชาจำนวนมาก สามารถเทียบชั้นกับวัดใหญ่ที่สร้างมาร้อยปีได้เลย

ในความทรงจำของซย่าโหวอวี๋ เวลานี้ตู้ฮุ่ยยังไม่ได้บอกนางเรื่องดอกแปดเซียนในวัดหย่งหนิงบาน แต่ภายหลังเมื่อน้องชายป่วย สลบไสลไม่ได้สติ ตู้ฮุ่ยต้องการปลอบโยนนาง จึงบอกนางว่าวัดหย่งหนิงมีความเป็นสิริมงคล ทั้งดอกแปดเซียนยังผลิบานในช่วงเวลานี้ได้ ทำให้นางเกือบไปขอพรให้น้องชายที่วัดหย่งหนิงแล้ว

คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวอวี๋ก็ลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นางจับมือตู้ฮุ่ยไว้ มือของตู้ฮุ่ยผอมแห้งเรียวยาวทว่าอบอุ่น นางมีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ ซย่าโหวอวี๋แน่ใจเรื่องนี้อีกครั้ง ซบไหล่ตู้ฮุ่ยพึมพำว่า “ให้ข้าพักสักหน่อย!”

กลิ่นไม้จันทน์อ่อนจางวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก นี่เป็นกลิ่นจากร่างกายของตู้ฮุ่ย

ตู้ฮุ่ยราวกับเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของนาง ชอบไหว้พระ เช้าเย็นจะต้องจุดธูปหนึ่งดอกต่อหน้าพระพุทธองค์เสมอ เมื่ออยู่ใกล้จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากร่างกายตู้ฮุ่ย แต่พวกนางกลับไม่รู้ตัวสักนิด

ซย่าโหวอวี๋รู้สึกแสบตา เวลานี้นางกล้าแน่ใจแล้วว่านางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนจริงๆ ชีวิตในชาติก่อนของนางดูเหมือนจะล้มเหลวเมื่อใกล้สำเร็จทุกครั้งไป แต่พอนางประสบเคราะห์ภัยถึงชีวิต นางกลับได้มีชีวิตใหม่

หากนี่เป็นความเมตตาของพระพุทธองค์ เช่นนั้นชีวิตนี้ขอให้นางสมปรารถนา ขอให้นางก้าวเดินต่อไปอย่างราบรื่นเถอะ! หาไม่แล้วนางจะมีชีวิตใหม่ไปเพื่ออะไร

ซย่าโหวอวี๋นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ จ้องมองม่านเตียงปักลายดอกอวี้จินท่ามกลางแสงสีเหลืองสลัว แล้วค่อยๆ เข้าสู่นิทรา

ในฝันเซียวหวนมองนางนิ่ง ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำนิ่งสงบดุจบ่อน้ำ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเยียบเย็น หัวใจหนาวเหน็บ นางถามเขาว่ากินอาหารค่ำหรือยัง เขาไม่ตอบ ยังคงจ้องมองนาง นางว้าวุ่นไม่สบายใจ อยากพูดอะไรเล็กน้อย เหนือศีรษะพลันมีก้อนหินบ้างใหญ่บ้างเล็กห่อหุ้มด้วยดินโคลนร่วงตกลงมาราวสายฝน นางกุมศีรษะ หวีดร้องเสียงแหลมอย่างตื่นตระหนกและหลบเลี่ยง เซียวหวนปราดเข้ามาในก้าวเดียว บังศีรษะนางไว้ และกอดนางแนบอก

รอบด้านเงียบสนิท นอกจากลมหายใจของพวกเขาแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดทั้งนั้น

นางถามเขาว่า ‘ท่านช่วยข้าทำไม’

เขาไม่ตอบ ยังคงเอาแต่จ้องมองนาง นัยน์ตาดำสนิททอประกายในความมืด ดูคล้ายสัตว์ป่าไร้อารยะ ดุร้ายเหี้ยมเกรียม นางถอยไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัว แต่เขากลับประชิดเข้ามาทีละก้าว

จากนั้นก็อ้าปากกว้างอย่างดุดัน…

“ไม่! ไม่! ไม่!” ซย่าโหวอวี๋หวีดร้องเสียงแหลม นางสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในสภาพที่เหงื่อชุ่มโชกศีรษะ

ตู้ฮุ่ยนั่งอยู่ตรงหัวเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย รีบเขย่าตัวนาง พอเห็นนางลืมตาก็พรูลมหายใจยาว ถามอย่างเป็นกังวล “ฝันร้ายหรือเพคะ”

เนตรหงส์ของซย่าโหวอวี๋เบิกกว้าง ทอประกายหวาดหวั่นภายใต้แสงไฟ คล้ายคลื่นน้ำที่ไหวกระเพื่อม สามารถกระชากวิญญาณผู้พบเห็นได้

ตู้ฮุ่ยสะดุ้งในใจ ความรักใคร่สงสารเพิ่มขึ้นกว่าเดิม นางรีบเอ่ยว่า “นางข้าหลวงที่เข้าเวรได้ยินเสียงท่านละเมอ ปลุกท่านอย่างไรก็ไม่ตื่น จึงได้ตามข้ามา”

ซย่าโหวอวี๋พยักหน้า เสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ข้าอยากดื่มน้ำ!”

นางกำนัลด้านข้างรีบไปรินน้ำอุ่นและยกเข้ามา ตู้ฮุ่ยประคองไหล่ซย่าโหวอวี๋เอาไว้ และป้อนนางดื่มน้ำ

พอน้ำอุ่นไหลผ่านลำคอของซย่าโหวอวี๋ไป จิตใจก็ประดุจทุ่งนาแห้งผากที่ได้รับความชุ่มชื้น นางเหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ตู้ฮุ่ยพูด “เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนชุดใหม่นะเพคะ”

ซย่าโหวอวี๋จึงตัดสินใจอาบน้ำเสียเลย กว่าจะจัดการตนเองเสร็จเรียบร้อย ท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏสีขาวแล้ว

ถึงวันก่อนวันเทศกาลซั่งซื่อแล้ว!

นางเดินไปตามทางของหลูยวนเมื่อชาติที่แล้ว หลูยวนคงไม่คัดค้านกระมัง ทว่าต่อให้หลูยวนคัดค้านก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องเลือกฮองเฮาแล้วกัน! ถึงอย่างไรครั้งนี้คนที่ร้อนใจก็ไม่ใช่นางแน่

ซย่าโหวอวี๋ยกมุมปาก ก่อนจะเอนกายลงอีกครั้งและนอนต่อ

 

ตื่นมาอีกครั้งก็สายมากแล้ว อาเหลียงนั่งทำงานเย็บปักอยู่หน้าเตียงนางอย่างเรียบร้อย นางถามอาเหลียง “เวลาใดแล้ว”

อาเหลียงรีบวางเข็มกับด้ายในมือ ยกน้ำชาที่อุ่นอยู่ด้านข้างเข้ามา ปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ดื่มสองคำก่อนตอบว่า “ใกล้ยามอู่* แล้วเพคะ!”

น้องชายใกล้เลิกประชุมขุนนางแล้ว ซย่าโหวอวี๋พูดต่อ “นางข้าหลวงตู้ล่ะ”

อาเหลียงไม่รู้ นางกำนัลอีกคนจึงยิ้มตอบแทน “แม่ทัพใหญ่เห็นด้วยที่จะให้จัดงานเลี้ยงในวังในวันเทศกาลซั่งซื่อ นางข้าหลวงตู้จึงส่งคนไปตระเตรียมเพคะ”

ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะ นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าและประทินโฉม

ท้องฟ้านอกตำหนักแจ่มกระจ่างเหมือนผ่านการชะล้าง กิ่งก้านแตกหน่อ ทิวทัศน์เป็นฤดูวสันต์ไปแล้ว

อาเหลียงคุกเข่าข้างกายซย่าโหวอวี๋ ช่วยนางผูกหยกหยุดก้าว และถุงหอมพลางยิ้มพูด “อากาศกลับมาอบอุ่นแล้วจริงๆ ดอกอิ๋งชุน ในเรือนหลังบานสะพรั่งแล้วเพคะ”

ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูด “ประเดี๋ยวข้าจะไปกินอาหารกลางวันกับน้องชาย ไว้ตอนบ่ายค่อยไปดูแล้วกัน!”

อาเหลียงรับคำอย่างนอบน้อม “เพคะ”

ราวกับพวกนางยังอยู่ในไร่ชานเมือง แต่เพราะนางจะไปหาน้องชาย สถานการณ์จึงแตกต่างออกไป เหมือนสองช่วงเวลาทับซ้อนอยู่ด้วยกัน แม้จะมีส่วนที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับยังมีเค้าลางความคล้ายคลึงให้เห็น

ซย่าโหวอวี๋มองต้นไม้ใหญ่ในลานที่มีใบหนาแน่นเขียวชอุ่มแล้วยิ้มพูด “วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ อากาศในวันเทศกาลซั่งซื่อก็น่าจะดีเช่นกัน”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: