บทที่ 2
วันเทศกาลซั่งซื่ออากาศดีจริงๆ
ตื่นมาตอนเช้า ท้องฟ้าไกลออกไปปรากฏสีขาวท้องปลาอย่างอ่อนโยนแล้ว ย้อมแสงสีม่วงจางๆ อากาศสดชื่นแจ่มใส ต้นหลิวระย้าแตกหน่ออ่อนมากมาย
ซย่าโหวโหย่วเต้านั่งเกี้ยวมา เขาสวมเสื้อแขนกว้างลายเรียบสีฟ้านวล ใช้ผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน มือถือคทาหยก คลุมกายด้วยเสื้อหนังกวางอีกชั้น ดวงตาเปล่งประกาย ใบหน้าแดงเรื่อ เหมือนเด็กที่กำลังจะออกไปท่องเที่ยวคนหนึ่ง หว่างคิ้วฉายความตื่นเต้นและร่าเริงเบิกบานอยู่หลายส่วน
“พี่สาว!” เขาวิ่งตรงเข้ามาในตำหนักบรรทมของซย่าโหวอวี๋ “ท่านยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกหรือ”
ซย่าโหวอวี๋นั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรือนผมดำขลับเงางามทิ้งตัวอยู่ด้านหลัง อาเหลียงกับนางกำนัลสองสามคนล้อมรอบนาง กำลังเกล้ามวยให้นางอย่างคล่องแคล่ว
ซย่าโหวโหย่วเต้านั่งลงข้างกายซย่าโหวอวี๋ เลือกดอกไม้ลูกปัดอันหนึ่งจากกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะและพูดกับซย่าโหวอวี๋ “พี่สาว ประเดี๋ยวท่านประดับดอกไม้ลูกปัดอันนี้นะ ดอกไม้ลูกปัดอันนี้งดงาม”
เขาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับขุนนางมากอำนาจอย่างหลูยวน กลับไม่สนใจว่าวันนี้หลูยวนจะทำอะไรบ้าง ไม่คิดว่าจะรับมือกับหลูยวนเช่นไร แต่กลับเสนอแนะนางว่าควรสวมเครื่องประดับชิ้นใด
ซย่าโหวอวี๋มองดวงตาใสกระจ่างของซย่าโหวโหย่วเต้าที่วาวระยับด้วยความยินดี นางหวนคิดถึงชาติก่อน น้องชายก็วิ่งมานั่งข้างๆ นางและพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่หลังจากถูกนางตำหนิไปคำรบหนึ่งก็ก้มหน้าคอตกราวถูกสาดด้วยน้ำเย็น จนกระทั่งถึงเขาจงซานแล้ว สายตาที่เขามองนางยังเจือความขลาดกลัวอยู่หลายส่วน ครั้นคิดถึงโชคชะตาของเขาเมื่อชาติที่แล้ว ต่อให้มีคำตำหนิมากมายเพียงใดนางก็มิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
“ข้าเชื่อเจ้าแล้วกัน!” นางยิ้มให้ซย่าโหวโหย่วเต้า พยายามทำให้เสียงตนเองให้ดูนุ่มนวล น้ำเสียงอ่อนโยน
ซย่าโหวโหย่วเต้าดีอกดีใจยิ่ง เขายิ้มตาหยีเหมือนเด็กน้อยที่ไร้ห่วงไร้กังวลคนหนึ่ง
ซย่าโหวอวี๋หัวใจสั่นสะท้าน ตั้งแต่เหวินเซวียนฮองเฮาจากไป นางก็ไม่เคยเห็นน้องชายดีใจขนาดนี้มาก่อน เมื่อครู่นางแค่คล้อยตามคำพูดเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าปกติแล้วเขาใช้ชีวิตอย่างกดดันเพียงใด ซย่าโหวอวี๋เจ็บแปลบในใจ
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มถามซย่าโหวโหย่วเต้า “เจ้ากินอาหารเช้ามาหรือยัง แม้จะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ตอนเช้าอากาศยังหนาวเย็นเล็กน้อย เจ้ามาที่นี่แต่เช้าตรู่ทำไมกัน”
ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้มร่า สีหน้าไร้เดียงสากว่าเดิม “ข้าอยากกินอาหารกับพี่สาว อีกอย่าง ข้าสวมเสื้อหนังสัตว์แล้ว ไม่หนาวหรอก”
ซย่าโหวอวี๋สั่งให้ข้ารับใช้เตรียมสำรับอาหารเช้าและหันไปพูดกับซย่าโหวโหย่วเต้า “เจ้าออกมาโดยมีเสื้อหนังสัตว์แค่ตัวเดียวหรือ”
“ใช่!” ซย่าโหวโหย่วเต้ามองนางอย่างงุนงง
ซย่าโหวอวี๋สั่งเถียนเฉวียนขันทีของซย่าโหวโหย่วเต้า “ไปเอาเสื้อบุซับในแบบบางมาให้โอรสสวรรค์ ตอนกลางวันอากาศจะค่อนข้างร้อน ถึงยามนั้นค่อยให้โอรสสวรรค์เปลี่ยนจากเสื้อหนังสัตว์มาสวมเสื้อบุซับในแบบบาง”
เถียนเฉวียนอมยิ้มรับคำ เขาก็เป็นเช่นเดียวกับตู้ฮุ่ย แต่ก่อนเขาปรนนิบัติเหวินเซวียนฮองเฮา พอเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตาย เขาก็เริ่มมารับใช้ซย่าโหวอวี๋พี่น้อง เมื่อซย่าโหวโหย่วเต้าสืบทอดบัลลังก์ เขาจึงปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่ตำหนักทิงเจิ้ง กลายเป็นขันทีประจำตัวของซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวโหย่วเต้าฟังแล้วร่าเริงยิ่งกว่าเดิม สองปีมานี้น้อยครั้งที่พี่สาวจะยิ้มแย้มกับเขาเช่นนี้ ทุกครั้งเวลาพบกันล้วนบอกให้เขาระวังวาจาและการกระทำ แม้เขาจะรู้ว่าพี่สาวสั่งสอนได้ถูกต้อง แต่มากน้อยย่อมรู้สึกไม่มีความสุขอยู่บ้าง ยามนี้จู่ๆ พี่สาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนสมัยที่เขายังไม่ขึ้นครองราชย์ จิตใจของเขาที่ตึงเครียดเล็กน้อยจึงผ่อนคลายได้ทั้งหมด และอ้อนพี่สาวเหมือนกับสมัยที่ยังเป็นเด็ก “พี่สาว ข้าไม่อยากกินโจ๊ก ข้าจะกินขนมแป้งย่าง!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าร่างกายอ่อนแอ ต้องระวังเรื่องอาหารการกิน อาหารปิ้งย่างอย่างขนมแป้งย่างมิอาจกินมากได้ เพราะเหตุนี้เขาจึงชอบกินมากเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็อยากกินของพวกนี้แล้ว
การใช้ชีวิตอย่างสันโดษตลอดสิบปีทำให้ซย่าโหวอวี๋หวงแหนความสุขมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนึกอาลัยในรอยยิ้มเจิดจ้าของน้องชาย ขบคิดดูแล้ว นางจึงประนีประนอมและเป็นฝ่ายถอย “ให้กินชิ้นเล็กแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”
ซย่าโหวโหย่วเต้าโห่ร้องด้วยความยินดี เหมือนได้รับของแปลกประหลาดล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น ซย่าโหวอวี๋หัวเราะตาม รู้สึกดีกับการเปลี่ยนแปลงของตนเอง
สองพี่น้องกินอาหารเช้าอย่างเบิกบาน ก่อนจะนั่งเกี้ยวตามกันไปยังอุทยานหวาหลินสถานที่จัดงานเลี้ยง
เนื่องจากเกิดไอเย็นในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ที่เดิมทีควรออกดอกจึงไม่ออกดอก ตงชิง หวงหยางและฉือจู๋ยังมีใบเขียวชอุ่ม แต่ต้นท้อ ต้นหลี่และต้นยี่โถกลับไม่มีดอกตูมแม้แต่ครึ่งดอก ใบร่วงโรยจนหมด ดูน่าเวทนาเล็กน้อย มีเพียงดอกอิ๋งชุนที่ประดับอยู่ตามก้อนหินและภูเขาเปล่งประกายสีทองระยับเป็นแถบ เห็นแล้วชวนให้สดชื่น รู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วจริงๆ
ซย่าโหวโหย่วเต้าหันไปพูดกับพี่สาว “พรุ่งนี้พวกเราปลูกดอกอิ๋งชุนในลานเพิ่มดีกว่า”
น้องชายที่โง่เขลา ดอกอิ๋งชุนต้องตอนกิ่งในเดือนเก้าเดือนสิบของปีก่อน ฤดูใบไม้ผลิปีถัดมาจึงจะผลิดอกสดใสงดงาม ซย่าโหวอวี๋บ่นในใจ แต่อยู่ต่อหน้าซย่าโหวโหย่วเต้าเช่นนี้กลับไม่พูดอะไร ทั้งยังพยักหน้าเล็กน้อย “ทำตามที่น้องชายบอก พรุ่งนี้พวกเราปลูกดอกอิ๋งชุนเพิ่มกัน”
ซย่าโหวโหย่วเต้าหัวเราะเบิกบาน เขาหันกลับไปมองสระไท่เยี่ย
แน่นอนว่าสระไท่เยี่ยของวังเสี่ยนหยางเทียบกับสระไท่เยี่ยของอุทยานหลวงในลั่วหยางไม่ได้ แต่สระไท่เยี่ยของวังเสี่ยนหยางเหนือกว่าในด้านความใสกระจ่าง ทิวทัศน์สงบเงียบ ยามนี้หญ้าแห้งริมทะเลสาบยังไม่หมดไป หญ้าใหม่กลับพยายามหาช่องงอกเงยขึ้นมา เหล่าขันทีปูพรมขนสัตว์สวยงามบนผืนหญ้า ยกโต๊ะกับภาชนะงดงามออกมาตั้ง สตรีในอาภรณ์งดงามหรูหราสองสามคนจับกลุ่มพูดคุยกัน ข้างหลังหากมิใช่แม่นางน้อยในชุดสีสันสดใสก็เป็นข้ารับใช้หญิงที่หลุบคิ้วก้มหน้าอย่างนอบน้อม เหล่าขุนนางจับกลุ่มกันอยู่อีกด้านหนึ่ง ระหว่างสนทนายังมีเสียงหัวเราะก้องกังวานลอยมาเป็นพักๆ
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดกับซย่าโหวอวี๋อย่างเบิกบาน “พี่สาว ดูเหมือนทุกคนจะมาถึงแล้ว”
ซย่าโหวอวี๋ชะเง้อคอมองแวบหนึ่ง ยิ้มพูด “คนส่วนใหญ่มาถึงแล้วจริงๆ”
แต่ครอบครัวหลูยวนกลับไม่มีใครมาสักคน
หลูไหวอีกคน เดิมทีเขารักษาการณ์มณฑลหยางโจว ทั้งที่ไม่ได้รับราชโองการและไม่ได้รับเชิญมางานเลี้ยง แต่ชาติก่อนกลับเดินอาดๆ ตามหลังหลูยวนมาร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่เขาจงซาน เรื่องนี้ทำให้นางตั้งตัวไม่ติด กระทั่งทำให้สกุลหลูสบโอกาส
มองจากไกลๆ ทุกคนเห็นเกี้ยวของซย่าโหวโหย่วเต้าและซย่าโหวอวี๋มาถึงจึงเงียบเสียง อู่หลิงอ๋อง หลิวซื่อและคนอื่นๆ เข้ามาคารวะทั้งสอง
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูด “ไม่ต้องมากพิธี” เสียงเหมือนนกน้อยที่ถูกปล่อยออกจากกรง ทั้งยังหยอกเย้าอู่หลิงอ๋องอย่างหาได้ยากยิ่ง “อาภรณ์ชุดนี้ของเสด็จอางดงามมาก”
อู่หลิงอ๋องหัวเราะฮ่าๆ เขากับอู่จงฮ่องเต้เป็นพี่น้องร่วมอุทร แต่ทั้งสองกลับไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย อู่จงฮ่องเต้หล่อเหลาคมคาย อู่หลิงอ๋องสูงตระหง่านองอาจ อู่จงฮ่องเต้เชี่ยวชาญด้านตำราอักษร อักษรเว่ยลี่* ที่เขียนเทียบชั้นกับเซียนอักษรเถาหรานจือได้ อู่หลิงอ๋องกลับไม่ชอบอ่านตำราแต่เชี่ยวชาญการขี่ม้า นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดซย่าโหวอวี๋เรียกตัวอู่หลิงอ๋องกลับเจี้ยนคังแล้ว หลูยวนจึงระวังป้องกันเขามาก เขาเดินพาซย่าโหวโหย่วเต้าไปนั่งลงตรงตำแหน่งประธาน
ซย่าโหวอวี๋ถูกสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นห้อมล้อม ถึงอย่างไรนางก็จากเมืองเจี้ยนคังไปสิบปีแล้ว เรื่องบางอย่างนางยังพยายามลืมเลือนเสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นพอมองผ่านกลุ่มคนไป นางก็ยังเห็นคุณหนูเจ็ดสกุลชุยผู้มีนัยน์ตากระจ่างใส ฟันขาวสะอาดในทันที ซย่าโหวอวี๋อดยิ้มให้คุณหนูเจ็ดไม่ได้
คุณหนูเจ็ดในวัยสิบสามปีกลับก้มหน้าอย่างเขินอาย
ซย่าโหวอวี๋ลอบถอนหายใจ ชาตินี้คุณหนูเจ็ดต้องรู้เรื่องการแต่งงานระหว่างตนเองกับน้องชายแล้วแน่ๆ หวังว่าชาตินี้จะไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสองสามารถแต่งงานกันอย่างราบรื่นปลอดภัย
รอจนซย่าโหวโหย่วเต้าทักทายขุนนางเสร็จ สตรีทั้งหลายก็นั่งลงตามตำแหน่ง
โต๊ะที่เหลือไว้ให้หลูยวนกับฟั่นซื่อว่างเปล่า ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
สีหน้าของซย่าโหวโหย่วเต้ากับอู่หลิงอ๋องย่ำแย่เล็กน้อย มีเพียงซย่าโหวอวี๋ที่เห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร เพราะนางไม่ได้ต้องการเอาชนะคะคานเพื่อหน้าตา แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่แท้จริงมากกว่า ประกอบกับนางมีประสบการณ์จากชาติก่อนมาแล้ว
นางส่งสัญญาณให้เถียนเฉวียนขันทีของซย่าโหวโหย่วเต้าไปปลอบประโลมซย่าโหวโหย่วเต้า ส่วนตนเองก็ยกถ้วยแก้วที่บรรจุนมหมัก* ขึ้นมา พลางเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ เดิมทีควรอาบน้ำปัดเป่าเคราะห์ภัย ดื่มสุราขจัดอัปมงคล เพียงแต่โอรสสวรรค์อยากท่องเที่ยวไปกับเหล่าขุนนาง ติดที่อากาศแปรปรวน เกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาโดยใช่เหตุ จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นที่สระไท่เยี่ย ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี สนุกสนานให้เต็มที่” พูดจบนางก็ยกมือขึ้น
หลิ่วซื่อ ชุยซื่อที่สนิทสนมกับซย่าโหวอวี๋พี่น้องลุกขึ้นอย่างนอบน้อม รับคำพร้อมกับดื่มนมหมักจนหมดถ้วย คนบางส่วนที่ใกล้ชิดกับสกุลหลูกลับทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ ทั้งยังมีขุนนางบางคนเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ยังไม่มา ทำเช่นนี้ออกจะไม่เคารพกันหรือไม่ ควรรอแม่ทัพใหญ่ก่อน”
ซย่าโหวโหย่วเต้ากับอู่หลิงอ๋องใบหน้าฉายแววโทสะ
ซย่าโหวอวี๋กลับชิงพูดตัดหน้าพวกเขา “เรื่องนี้เดิมทีเป็นเรื่องที่หารือกันในการประชุมขุนนางเมื่อวานแล้ว เช้าวันนี้แม่ทัพใหญ่ไม่ได้ส่งคนมาบอกว่ามาร่วมงานด้วยไม่ได้ คิดว่าคงมีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าเป็นแน่ ฤดูวสันต์กลางวันสั้น หากพวกเรายังรอต่อไป เกรงว่าคงได้แต่ชมเมฆยามเย็นเสียแล้ว! พวกเราไม่รอแล้วดีกว่า”
ทางฝ่ายสตรียังดี แต่เหล่าขุนนางที่นั่งถัดจากอู่หลิงอ๋องไป ฟังแล้วกลับมุ่นคิ้วไม่พูดจา บางคนกระซิบกระซาบกัน ริมสระไท่เยี่ยที่เดิมทีสงบเงียบจึงเกิดเสียงดังจอแจทันที
ซย่าโหวอวี๋โกรธเกรี้ยวยิ่ง แต่นางกลับข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเลื่อนสายตาไปยังข้าหลวงส่วนพระองค์ พูดกึ่งล้อเล่นกึ่งตักเตือน “หรือว่าท่านข้าหลวงของพวกเราไม่ได้พูดให้ชัดเจน แม่ทัพใหญ่จึงไม่รู้เวลาของงานเลี้ยงในวันนี้”
หลูยวนแต่งตั้งตนเองเป็นลู่ซั่งซูซื่อ ปกครองดูแลงานในสำนักราชเลขา ซย่าโหวโหย่วเต้าถูกอำนาจของหลูยวนบีบบังคับ แต่ด้วยไม่อยากยอมรับ เขาจึงปิดหูขโมยกระดิ่งไม่ออกราชโองการแต่งตั้งและไม่ยอมรับด้วยวาจา แต่ความจริงหลังจากแต่งตั้งตนเองแล้ว หลูยวนก็เริ่มกุมอำนาจด้านการปกครองและการทหารไว้ในมือ การแต่งตั้งและการถอดถอนขุนนางมิอาจกระทำได้หากเขาไม่เห็นชอบ ข้าหลวงส่วนพระองค์เป็นขุนนางที่รับใช้โอรสสวรรค์อย่างใกล้ชิด มีหน้าที่รับผิดชอบถ่ายทอดรับสั่ง แม้ตำแหน่งจะไม่สูงแต่กลับมีความสำคัญอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมเป็นคนของหลูยวน นางพูดเช่นนี้ก็แค่ชี้กวางเป็นม้า เท่านั้น…หากหลูยวนไม่พอใจ นางจะผลักความรับผิดชอบไปที่ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นี้
ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นี้รู้ เหล่าขุนนางก็รู้ แต่กลับไม่มีผู้ใดโต้แย้งได้ หากแย้งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าหลวงส่วนพระองค์ ก็เท่ากับบอกว่าหลูยวนจงใจมาสาย หากแย้งว่าหลูยวนติดธุระทำให้ล่าช้า ย่อมแสดงว่าหลูยวนไม่เคารพโอรสสวรรค์
ขุนนางใหญ่หลายคนขบคิดเข้าใจแล้ว ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเย็น ปลายจมูกกลับมีเหงื่อเย็นซึมออกมา พวกเขาตระหนักอย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรคือ ‘ประตูเมืองไฟไหม้ ปลาในคูพลอยเดือดร้อน’ แต่กลับอดคิดไม่ได้ว่าจิ้นหลิงจ่างกงจู่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นั้นย่อมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเป็นพิเศษ ซย่าโหวอวี๋อายุยังน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนก็จริง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยประกายเยียบเย็นราวกับดาบกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก หากคำตอบของเขาไม่อาจทำให้นางพอใจ นางคงทำให้เขาเลือดพุ่งไปสามฉื่อ ได้ในชั่วพริบตา
เขาเคยรับใช้ข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ซย่าโหวอวี๋สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แม้จะแข็งแกร่งกว่าสตรีในห้องหับทั่วไป แต่ก็ไม่เหมือนวันนี้ที่ดูดุร้ายยิ่งกว่าบุรุษ เป็นเพราะแต่ก่อนเขามองคนผิด หรือว่าจ่างกงจู่ตั้งใจจะแตกหักกับแม่ทัพใหญ่กันแน่
นี่แสดงว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นแล้วกระมัง
เหตุใดเขาถึงได้เคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้ มายืนอยู่ในสถานการณ์อันตรายในเวลานี้ เกรงว่าถึงเวลาแล้วตายอย่างไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ! ข้าหลวงส่วนพระองค์หนาวเยือกที่แผ่นหลัง
“กระหม่อม กระหม่อม…” สมองของข้าหลวงส่วนพระองค์ทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามคิดหาหนทางรับมือ ข้างหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสับสนปนมากับเสียงแหลมสูงเจือแววยินดีของขันที
“โอรสสวรรค์ จ่างกงจู่ แม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วทั้งครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนโล่งอก บรรยากาศภายในงานผ่อนคลายลง
ซย่าโหวอวี๋เห็นหลูยวน หลูไหวสองพี่น้องเดินเคียงไหล่กันเข้ามา ห่างไปไม่กี่ก้าวก็เป็นฟั่นซื่อเดินนำบุตรชายสองคนของนางกับหลูยวน
เหมือนเมื่อชาติที่แล้ว!
ซย่าโหวโหย่วเต้าเบิกตาโต ซย่าโหวอวี๋ขึงตาปรามน้องชาย ก่อนจะนั่งรอสองพี่น้องสกุลหลูเข้ามาคารวะอย่างเคร่งขรึม
หลูยวนรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย หนวดเคราใต้คางตัดเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาสวมชุดคลุมแขนกว้างลายเมฆมงคลสีฟ้านวล แม้อายุจะเกินสี่สิบแล้ว แต่เรือนร่างยังคงเหยียดตรง เขาก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจด้วยท่วงท่าผึ่งผาย มองจากไกลๆ ดูเหมือนคนอายุราวสามสิบปีเท่านั้น เป็นหนึ่งในบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงแห่งยุค
หลูไหวอ่อนกว่าหลูยวนสามปี เขาสวมชุดคลุมแขนกว้างลายหัวสัตว์สีแดงเลือดนก พวกเขาสองพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันทีเดียว แต่หลูไหวกลับดูแลร่างกายได้ไม่ดีเท่าหลูยวน รูปร่างอ้วนท้วน ไม่เพียงหน้าท้องยื่นเหมือนคนท้องหกเดือน เวลาเดินตามหลังหลูยวนยังดูท่าทางหยาบกระด้างอย่างมิอาจแก้ไขได้ หากไม่เพราะเขาติดตราของผู้ว่าการมณฑลขั้นสี่ เกรงว่าผู้คนคงเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพ่อค้าจากที่ใดเป็นแน่
หลูยวนคารวะซย่าโหวโหย่วเต้าด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาผงกศีรษะให้ซย่าโหวอวี๋ ซึ่งถือว่าปฏิบัติตามธรรมเนียมมารยาทแล้ว ดีร้ายอย่างไรก็ดูไม่ขัดตา แต่หลูไหวกลับประสานมือให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเพียงลวกๆ เท่านั้น จากนั้นยิ้มพูดกับซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างไร้มารยาทอย่างมาก
“อากาศร้อนถึงเพียงนี้ โอรสสวรรค์ยังจะสวมเสื้อหนังสัตว์อีก เช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ข้าว่านับแต่พรุ่งนี้ไป ให้ข้าสอนทักษะการขี่ม้ายิงธนูให้กับโอรสสวรรค์ดีกว่า หากให้โอรสสวรรค์ป่วยอยู่เช่นนี้ตลอด ถึงอย่างไรย่อมมิใช่เรื่องดี”
ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหจนใบหน้าแดง
ซย่าโหวอวี๋กลับมิอาจปล่อยให้เรื่องราวต้องซ้ำรอย นางเอ่ยปากหยุดคำพูดของซย่าโหวโหย่วเต้า “ใต้เท้าทั้งสอง เชิญนั่ง งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลูยวนผงกศีรษะ เขาไปนั่งตรงที่นั่งฝั่งขวามือของซย่าโหวโหย่วเต้า หลูไหวเห็นเช่นนั้นก็นั่งลงตามหลูยวน ฟั่นซื่อพาบุตรสองคนไปคารวะซย่าโหวอวี๋พี่น้อง
ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหยิ่ง เขาจึงเอาอย่างหลูยวนด้วยการพยักหน้าให้เด็กสองคนเท่านั้น
ซย่าโหวอวี๋กลับมีท่าทีสุภาพ
ซย่าโหวโหย่วเต้าแค่นเสียง “หึ” อย่างไม่พอใจ
ซย่าโหวอวี๋หัวเราะออกมา นางอยากเข้าไปลูบหัวน้องชายเหลือเกิน
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น สตรีผู้หนึ่งเอ่ยถามฟั่นซื่อ “ไฉนจึงไม่พาคุณชายใหญ่บ้านพวกเจ้ามาร่วมงานเลี้ยงด้วยเล่า”
ฟั่นซื่อกับหลูยวนมีบุตรทั้งหมดเจ็ดคน คนโตสองคนเป็นบุตรสาว ออกเรือนไปแล้ว บุตรชายคนโตปีนี้อายุสิบสี่ เท่ากับซย่าโหวโหย่วเต้าพอดี บุตรชายคนเล็กปีนี้เพิ่งจะสองขวบ ว่ากันว่าเล่าเรียนตำราแล้ว ครั้งนี้คนที่ติดตามมาด้วยเป็นบุตรชายคนรองกับบุตรชายคนที่สาม คนหนึ่งอายุสิบเอ็ด คนหนึ่งอายุแปดขวบ
“อาฝอติดตามหรงเซียนเซิง ไปเจียวโจวแล้ว” ฟั่นซื่อตอบด้วยสีหน้าที่ปิดความดีใจไว้ไม่มิด “ปีหน้าเวลานี้จึงจะกลับมา”
“ตายจริง! ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” เหล่าสตรีฟังแล้วต่างประจบสอพลอ
หรงเซียนเซิงมีนามว่าสื่อ ชื่อรอง หยวนจื่อ ถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่เก่าแก่ในตงอู๋ เคยดำรงตำแหน่งข้าหลวงส่วนพระองค์และซั่นฉีฉางซื่อเนื่องจากไม่ชอบงานเอกสารที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า จึงลาออกจากการเป็นขุนนางและไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษในไคว่จี เขามีงานเขียนออกมามากมายจนได้ฉายาว่า ‘สี่ปราชญ์แห่งเจียงจั่ว’ เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า
มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรที่อยากเข้าสำนักของหรงสื่อแต่ถูกปฏิเสธ ทว่าเขากลับรับหลูชิงบุตรชายคนโตของหลูยวนเป็นลูกศิษย์ แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นอิจฉาได้อย่างไร!
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร ซย่าโหวอวี๋หัวเราะเสียงเย็นในใจ สุดท้ายไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังพวกเขาก็ยังลำบากอยู่ดี จุดจบคือต้องก้มศีรษะอ้อนวอนเซียวหวน!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซย่าโหวอวี๋ย่อมคิดถึงเซียวหวนขึ้นมา ชาติก่อนเวลานี้เซียวหวนจะถูกหลูยวนส่งไปสวีโจว เดิมทีก่อนแต่งซย่าโหวอวี๋เป็นภรรยา เซียวหวนเป็นเจ้าเมืองตงหยาง หลังแต่งซย่าโหวอวี๋เป็นภรรยาแล้ว ซย่าโหวอวี๋เห็นว่าจิงโจวกับเซียงหยางติดต่อกัน ทั้งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ น้าชายของตนยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลจิงโจวด้วย จึงเลื่อนขั้นเซียวหวนเป็นแม่ทัพเพี่ยวจี้ และผู้ว่าการมณฑลเซียงหยาง ทว่าเซียวหวนยังไม่ทันได้รับตำแหน่ง หลูยวนกลับโยกย้ายเซียวหวนไปเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารกะทันหัน ดูแลการทหารในสวีโจวและอวี้โจวสองมณฑล
การเดินทางไปสวีโจวหรืออวี้โจวนั้น หยางโจวเป็นเส้นทางที่ต้องผ่าน ผู้ว่าการมณฑลหยางโจวคือหลูไหว สกุลเซียวเป็นตระกูลเก่าแก่ในเมืองอู๋เดิม ขอบเขตอำนาจจึงอยู่ในอู๋จงเท่านั้น ผู้ว่าการมณฑลอวี้โจวกับผู้ว่าการมณฑลสวีโจวล้วนแต่เป็นคนของหลูยวน การกระทำนี้ของหลูยวนเห็นชัดว่าเป็นการป้องกันเซียวหวน เกรงว่าเซียวหวนมีอำนาจแล้วจะทำให้ซย่าโหวโหย่วเต้าแข็งข้อมากยิ่งขึ้น
ชาติก่อน พอซย่าโหวโหย่วเต้าสลบไสลไม่ได้สติ แม้ซย่าโหวอวี๋จะให้คนใช้ม้าเร็วนำข่าวไปแจ้งเซียวหวนในทันที แต่ในใจก็รู้ว่าเซียวหวนเพิ่งไปถึงที่นั่น ยังไม่ทันได้กอบกู้ตำแหน่งฐานะของตนเองเลยด้วยซ้ำ แล้วจะรุดกลับมาได้อย่างไร
แต่ที่เหนือความคาดหมายของนางคือ ภายหลังเซียวหวนไม่เพียงรุดกลับมาถึงได้ทันเวลา เขายังสมคบกับเฝิงซื่อได้ ‘ทันท่วงที’ ด้วย โลงของน้องชายนางเพิ่งจะถูกย้ายไปที่สุสาน เขาก็เสนอให้แต่งตั้งซย่าโหวโหย่วฝูที่ถือกำเนิดจากเฝิงซื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว…
คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวอวี๋ก็รู้สึกปวดหัว นางตัดสินใจพักเรื่องของเซียวหวนไว้ก่อน แล้วหันไปคิดถึงหลานสาวคนนั้นของหลูยวน
ชาติก่อน งานวันเทศกาลซั่งซื่อจัดที่ข้างเขาจงซาน พื้นที่กว้างขวาง ผู้คนมากมาย ภายในงานวุ่นวายเล็กน้อย นางจึงไม่ทันสังเกตว่าฟั่นซื่อพาใครมาร่วมงานเลี้ยงบ้าง รอจนหลูยวนดึงหลานสาวคนนั้นของเขามาตรงหน้านางก็สายเกินไปแล้ว
ทว่าครั้งนี้หลูยวนกลับไม่ได้พาคนมา เขาเปลี่ยนใจ? หรือมีแผนการอื่นกันแน่
ซย่าโหวอวี๋ครุ่นคิดในใจและอดใจลอยไม่ได้ กว่านางจะได้สติกลับมาอีกครั้ง งานเลี้ยงก็ใกล้ยุติลงแล้ว พวกเด็กหญิงเด็กชายล้วนกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดที่ ต่อให้มารดาทั้งหลายหลอกล่อหรือตวาดเสียงค่อยก็ไม่ได้ผลนัก
นางเม้มปากยิ้ม รู้สึกเอ็นดูพวกเขาทีเดียว ตอนแต่งงานกับเซียวหวนใหม่ๆ นางเองก็อยากมีลูกเป็นของตนเอง แต่ภายหลัง…สรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน นางแค่รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้มีลูกกับเซียวหวน หาไม่แล้วย่อมมีแต่ทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองต้องลำบาก นางยิ้มสั่งเถียนเฉวียน “เลิกงานเถอะ! อย่าทำให้พวกเด็กๆ อึดอัดจนทนไม่ไหวเลย”
บางทีคนที่ไม่มีลูกก็ดูชอบเด็กเป็นพิเศษ เถียนเฉวียนยิ้มรับคำ สีหน้าเมตตาอารีเป็นอย่างมาก
เด็กหญิงกับเด็กชายวิ่งออกไปทันที ข้ารับใช้ข้างกายจึงรีบตามไป มารดาแต่ละคนขมวดคิ้วนิ่วหน้า บางคนรีบคว้าลูกตนเองที่ยังไม่ได้วิ่งออกไปไว้ แล้วบ่นเสียงค่อย “ไฉนเจ้าจึงซุกซนถึงเพียงนี้ เจ้าดูคุณชายรองกับคุณชายสามสกุลหลูสิ ไม่เห็นพวกเขาจะเหมือนพวกเจ้าเลย!”
‘คุณชายรองกับคุณชายสามสกุลหลู’ ย่อมหมายถึงบุตรชายทั้งสองคนของหลูยวน ยามนี้พวกเขานั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อยข้างกายฟั่นซื่อ ท่าทางว่าง่ายรู้ความ
รักสนุก ซุกซนถือเป็นนิสัยตามธรรมชาติของเด็ก สามารถนั่งนิ่งได้ในเวลาเช่นนี้ หากมิใช่คนอ่อนแอไร้ความสามารถก็ย่อมเป็นคนเสแสร้งแกล้งทำ ซย่าโหวอวี๋ค่อนขอดอยู่ในใจ นางรู้ว่าตนเองกำลังพาล ด้วยคุณชายรองกับคุณชายสามสกุลหลูพอเติบโตขึ้นมาแล้ว แม้จะไม่โดดเด่นเหมือนบุตรชายคนโตสกุลหลู แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าทำผิดคิดร้ายอะไร
ระหว่างขบคิด นางก็เห็นหลูไหวลุกขึ้นเดินเข้ามาหานางกับซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวอวี๋ตื่นตัวทันที
ชาติก่อนหลูไหวก็เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเช่นนี้ ตอนนั้นนางกำลังพูดคุยกับชุยซื่ออยู่จึงไม่ทันสังเกต กว่าจะรู้เจตนาของหลูไหว ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ตวาดด่าหลูไหวเสียงดังลั่นแล้ว ทุกครั้งที่ย้อนคิดถึงเรื่องนี้ ซย่าโหวอวี๋ล้วนสงสัยว่านี่เป็นแผนการของหลูยวน หลูไหวไม่ได้ตั้งใจจะให้หงหนงแต่งงานหลังตายกับบุตรชายคนโตของเขาจริงๆ แต่ทำไปเพื่อให้หลานสาวของพวกเขาได้แต่งงานกับน้องชายนางต่างหาก
ซย่าโหวอวี๋นั่งเท้าแขนกับโต๊ะพลางชูจอกทักทายกับสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่เบื้องล่างด้วยท่าทางเหมือนผ่อนคลาย ทว่าความคิดจิตใจทั้งหมดกลับอยู่ที่ซย่าโหวโหย่วเต้าที่อยู่ห่างจากนางไปสิบกว่าก้าว
หลูไหวถือจอกสุราเดินไปตรงหน้าซย่าโหวโหย่วเต้าเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว เขาโค้งกายเล็กน้อย ทำท่าเหมือนคารวะอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงพูดเรื่องบุตรชายคนโตของเขา “ตัวเขาเล็กเท่านี้ น่ารักถึงเพียงนั้น แต่กระหม่อมที่เป็นบิดากลับไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ บัดนี้ย้อนคิดดูทีไรก็ล้วนเจ็บปวดยากจะทานทน กลางคืนนอนไม่หลับ อยากจัดการเรื่องการแต่งงานให้เขา หงหนงกงจู่ชาติตระกูลสูงศักดิ์ อายุไล่เลี่ยกับบุตรชายกระหม่อมพอดี กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ให้บุตรชายกระหม่อมได้แต่งหงหนงกงจู่เป็นภรรยาด้วยเถอะ”
“เจ้า!” ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขาเงื้อคทาหยกในมือทำท่าจะเขวี้ยงไปที่หลูไหว
ขุนนางใหญ่ที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขายังคงไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ส่วนขุนนางที่ได้ยินไม่ชัดเจนก็ล้วนไม่เข้าใจ ทุกคนหันไปมองหลูไหวกับซย่าโหวโหย่วเต้า ดูเหมือนคำพูดเดียวของหลูไหวจะทำให้ซย่าโหวโหย่วเต้าโมโหแล้ว ซย่าโหวโหย่วเต้าฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดจริงๆ เขาไม่เพียงไม่มีความสุขุมมั่นคงของกษัตริย์ ยังไม่มีความใจกว้างเฉกเช่นที่กษัตริย์พึงมี
ไม่แปลกที่ชาติก่อนน้องชายนางจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง ซย่าโหวอวี๋ถอนหายใจอยู่ในใจ นางลุกขึ้นเอ่ยเสียงขรึม “การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากการตัดสินใจของบิดามารดาแล้ว ยังต้องดูดวงชะตาวันเดือนปีเกิดด้วย ผู้ว่าการหลูมาสู่ขอหงหนงของพวกเรา ไม่ทราบว่าเคยเชิญอาจารย์มาเทียบดวงชะตาดูแล้วหรือไม่”
ซย่าโหวโหย่วเต้าฟังแล้วสาแก่ใจไม่น้อย แต่งงานหลังตายก็ถือเป็นการแต่งงาน ในเมื่อเป็นการแต่งงาน ย่อมต้องมีสามหนังสือหกพิธี* และการเทียบดวงชะตา อย่าว่าแต่ลูกหลานของราชวงศ์เลย ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไป ด้วยเกรงว่าจะถูกทำร้ายด้วยอาคมดำมืด ล้วนไม่มีผู้ใดเปิดเผยวันเดือนปีเกิดของตนเองง่ายๆ แน่ แล้วหลูไหวล่วงรู้วันเดือนปีเกิดของหงหนงกงจู่ได้อย่างไร หากเขาไม่รู้ การที่เขาบุ่มบ่ามมาสู่ขอหงหนงกงจู่โดยไม่หารือกับซย่าโหวอวี๋และซย่าโหวโหย่วเต้าก่อน การกระทำเช่นนี้มิใช่ไม่เห็นครอบครัวของฮ่องเต้อยู่ในสายตาหรอกหรือ
หลูยวนคิดจะทำอะไร…
สกุลหลูคิดจะทำอะไร…
หลูไหวอ้าปากค้าง ริมฝีปากขยับหลายที สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดที่ร้ายกาจกว่านี้ออกมา
หลูยวนเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง เขาตระหนกในใจเล็กน้อย ที่ผ่านมาเขาประเมินจิ้นหลิงจ่างกงจู่ต่ำเกินไป หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาตายไป นางยังสามารถผลักดันซย่าโหวโหย่วเต้าให้ขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ยามนั้นเขาก็ควรรู้แล้วว่านางไม่ธรรมดา ไม่ควรถูกท่าทางอ้อมค้อมคลุมเครือ ประนีประนอมยอมเสียเปรียบของนางตบตา
เรื่องนี้หากจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าจะทำให้เสียการ หลูยวนขบคิดพลางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ตำหนิหลูไหวหลายคำ จากนั้นจึงคารวะซย่าโหวโหย่วเต้าพี่น้องอย่างนอบน้อม “โอรสสวรรค์กับจ่างกงจู่โปรดอภัยด้วย สองวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณชายใหญ่บ้านเขา เขาฟังเสียงน้องสะใภ้บ่นจนรำคาญ ประจวบเหมาะถึงวันครบรอบพอดี ดื่มสุราไปหลายจอก วาจาจึงขาดความเหมาะสม กระหม่อมต้องขออภัยโอรสสวรรค์กับจ่างกงจู่แทนน้องชายด้วย”
คิดจะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปเช่นนี้หรือ ซย่าโหวโหย่วเต้าพลันเดือดดาล
ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าหลังจากนี้พวกเขายังมีศึกหนักต้องทำอีก จึงถือโอกาสเอ่ยว่า “ยังต้องขอให้แม่ทัพใหญ่ดูแลน้องชายท่านให้ดีด้วย เขาเป็นถึงผู้ว่าการมณฑลหยางโจว มีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ หากแม้แต่เรื่องในครอบครัวยังแยกแยะได้ไม่ชัดเจน แล้วจะนำทัพปราบปรามข้าศึกได้เช่นไร คำพูดเช่นนี้พูดต่อหน้าพวกเราพี่น้องก็แล้วไปเถอะ หากแพร่ออกไปต้องมีคนสงสัยในความสามารถของผู้ว่าการหลูเป็นแน่”
หลูยวนเหลือบมองหลูไหวแวบหนึ่ง หลูไหวเพียงก้มหน้ารับผิดอย่างนอบน้อม
ซย่าโหวโหย่วเต้าดีอกดีใจ หางตากับหว่างคิ้วปิดบังความยินดีไว้ไม่มิด
ซย่าโหวอวี๋ถอนหายใจ น้องชายของนางคนนี้ เมื่อไรจะโตเสียทีนะ!
หลูยวนเตรียมตัวมาล่วงหน้าแล้ว เขาย่อมไม่ยอมกลับไปมือเปล่าเช่นนี้แน่ เขาตำหนิหลูไหวอีกหลายคำ จากนั้นก็ไล่หลูไหวกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองด้วยความโมโห เสร็จแล้วจึงหมุนตัวกลับมาขออภัยซย่าโหวโหย่วเต้าอีกครั้งด้วยความจริงใจ
ซย่าโหวโหย่วเต้ากระหยิ่มยิ้มย่อง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยืดเอวเชิดอกเช่นนี้ จิตใจเขาพลันอ่อนยวบลง คิดถึงตอนที่อู่จงฮ่องเต้สั่งสอนเขา ทุกครั้งล้วนมีหลูยวนคอยช่วยพูดแทน บัดนี้หลูยวนขออภัยเขาต่อหน้าธารกำนัล หากเขายังติดใจเรื่องของหลูไหวอีก ย่อมมิใช่วิสัยของสุภาพชน
ซย่าโหวโหย่วเต้าสีหน้าผ่อนคลายลง เสียงที่พูดก็กลับมาอ่อนโยนดังเดิม “ผู้ว่าการหลูดื่มมากเกินไป ท่านไปบอกเขาว่าวันหน้าอย่าได้เอาเรื่องเช่นนี้มาล้อเล่นอีกเลย สมัยที่มารดาข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ชอบให้ผู้อื่นพาดพิงน้องสาวข้าคนนี้มากที่สุด”
บุตรสาวที่ตายเร็ว…ย้อนคิดถึงเมื่อไร หัวใจย่อมเจ็บปวดเมื่อนั้น
หลูยวนเข้าใจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “หลูไหวเองก็เลอะเลือน ยังดีที่โอรสสวรรค์กับจ่างกงจู่จิตใจกว้างขวาง จะว่าไปแล้ว เหวินเซวียนฮองเฮาสวรรคตไปแปดปีแล้ว อีกไม่กี่วันก็เป็นวันครบรอบวันสวรรคตของเหวินเซวียนฮองเฮา โอรสสวรรค์ทรงมีแผนการเช่นไรหรือ”
หากไม่ใช่วันครบรอบสิบปี ส่วนใหญ่ล้วนแต่จัดงานเซ่นไหว้เล็กๆ
แต่ซย่าโหวอวี๋พี่น้องมีความผูกพันลึกซึ้งกับเหวินเซวียนฮองเฮา อย่าว่าแต่ซย่าโหวโหย่วเต้าเลย แม้แต่ซย่าโหวอวี๋เอง ทั้งที่รู้ดีว่าหลูยวนมีอุบายในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดบางอย่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซย่าโหวโหย่วเต้า เขารู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถมาตลอด ไม่เพียงมิอาจสร้างชื่อเสียงให้มารดาที่ด่วนจากไปได้ ยังไม่อาจทำให้พี่สาวที่ปกป้องเขามาตลอดมีความสุขและปลอดภัย คำพูดนี้ของหลูยวนจึงกระแทกหัวใจเขา
“ความหมายของแม่ทัพใหญ่คือ?” เขาไม่ปกปิดเจตนาของตนเองแม้แต่น้อย จ้องมองหลูยวนด้วยสายตาคาดหวังอย่างเปิดเผย
หลูยวนตอบ “ตามความเห็นของกระหม่อม โอรสสวรรค์ถึงวัยอภิเษกสมรสแล้ว มิสู้กำหนดเรื่องการแต่งงานให้ชัดเจนเสีย จะได้ถือโอกาสทำพิธีเซ่นไหว้ในวันครบรอบของเหวินเซวียนฮองเฮา หลังงานอภิเษกสมรส ย่อมสามารถอวยยศให้เหวินเซวียนฮองเฮาได้ พาฮองเฮามาจุดธูปคารวะเหวินเซวียนฮองเฮา”
ตามธรรมเนียม โอรสสวรรค์แต่งตั้งฮองเฮาต้องแจ้งบรรพบุรุษ รอจนแต่งตั้งฮองเฮาแน่นอนแล้ว ฮองเฮาองค์ก่อนย่อมกลายเป็นไทเฮา ต้องได้รับการแต่งตั้งอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ก่อนตายคนที่เหวินเซวียนฮองเฮาไม่วางใจที่สุดก็คือบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ หากซย่าโหวโหย่วเต้าสามารถแต่งงานเร็วหน่อย เป็นผู้ใหญ่ได้เร็วหน่อย ย่อมถือเป็นการทำให้เหวินเซวียนฮองเฮาสบายใจ
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “แม่ทัพใหญ่กล่าวมีเหตุผล! วันครบรอบของมารดาต้องเตรียมพร้อมให้ดีถึงจะถูก”
แสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป ซย่าโหวอวี๋ลอบถอนหายใจอีกครั้ง
วันครบรอบของเหวินเซวียนฮองเฮาคือเดือนสามวันที่ยี่สิบ ชาติก่อนนางห่วงเรื่องนี้จึงตัดสินใจกำหนดการแต่งงานของน้องชายหลังเทศกาลซั่งซื่อ ถึงขั้นคิดว่าน้องชายแต่งงานปีนี้ ปีหน้ามีลูก รอให้มารดาจากไปครบสิบปี ย่อมสามารถอุ้มลูกของน้องชายไปจุดธูปเซ่นไหว้มารดาได้
แต่ในความเป็นจริง การตัดสินใจของนางกลับทำร้ายน้องชาย!
ซย่าโหวอวี๋ขอบตาเปียกชื้น นางเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว ยิ้มพูดกับหลูยวน “แม่ทัพใหญ่คิดเหมือนกับข้าเลย เทศกาลซั่งซื่อครั้งนี้ข้าตั้งใจมาสังเกตแม่นางน้อยจากตระกูลต่างๆ พอดี!”
หลูยวนทำท่าคาดไม่ถึง เขาขบคิดและตอบว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินจ่างกงจู่พูดถึงเลย”
ซย่าโหวอวี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ จะตัดสินใจอย่างเร่งรีบได้อย่างไร วันนี้ข้าก็แค่ดูๆ เท่านั้น” พูดพลางปรายตามองซย่าโหวโหย่วเต้า ราวกับกำลังบอกหลูยวนว่าที่นางตัดสินใจจัดงานเลี้ยงในอุทยานหวาหลินก็เพื่อให้ซย่าโหวโหย่วเต้าได้เห็นแม่นางน้อยเหล่านั้นตอนพวกนางคารวะตน
หลูยวนสีหน้าไม่ดีนัก
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มกระหยิ่ม ร้องเรียกชุยซื่อ “ข้ากับโอรสสวรรค์จะไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบ รบกวนน้าสะใภ้ช่วยแนะนำแม่นางทั้งหลายให้ข้ารู้จักด้วย มีแม่นางที่ยังอ่อนเยาว์บางส่วนที่ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว”
ชุยซื่อยิ้มรับคำ ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดอย่างเขินอาย “ข้า…ข้าต้องไปด้วยหรือ”
“แน่นอน!” ซย่าโหวอวี๋ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ นางต้องการให้ซย่าโหวโหย่วเต้าถือโอกาสนี้ดูตัวแม่นางจากตระกูลต่างๆ
สีหน้าหลูยวนย่ำแย่กว่าเดิม เขาพูด “เรื่องนี้จะไม่เหมาะหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูด “เรื่องนี้มีอะไรไม่เหมาะเล่า วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งซื่อนะ”
เทศกาลซั่งซื่อ เรียกอีกชื่อว่าเทศกาลผู้หญิง เป็นเทศกาลที่สตรีออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นแถบชานเมือง ทั้งยังเป็นวันที่ชายหนุ่มดูตัวหญิงสาว
ชุยซื่อปิดปากหัวเราะ ซย่าโหวโหย่วเต้าก้มหน้าอย่างเขินอาย เดินตามหลังซย่าโหวอวี๋ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
พวกซย่าโหวอวี๋ถูกนางกำนัลและขันทีห้อมล้อมเดินไปยังศาลาริมสระไท่เยี่ย หญิงสาวที่จับกลุ่มเล่นกันอยู่ตรงนั้นเจ้าผลักข้า ข้าผลักเจ้า หัวเราะคิกคักพลางมองมายังซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ
ซย่าโหวอวี๋เห็นคุณหนูเจ็ดสกุลชุยในชุดกระโปรงสีแดงยืนอยู่ข้างหญิงสาวกลุ่มนั้น อีกฝ่ายบิดผ้าเช็ดหน้าแอบมองซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวอวี๋อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ นางเดินเข้าไปในศาลาพร้อมน้องชายช้าๆ
แม่นางน้อยทั้งหลายกลับคืนสู่ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเยี่ยงกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ แต่ละคนเข้ามาคารวะซย่าโหวโหย่วเต้ากับซย่าโหวอวี๋ด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่รู้แล้วว่ามือเท้าจะวางอย่างไรดี
ซย่าโหวอวี๋ได้แต่ยิ้มก้าวเข้าไปบอกให้พวกนางลุกขึ้น พลางถามอย่างสนิทชิดเชื้อว่าพวกนางเป็นบุตรสาวบ้านใด มางานกับใคร และปกติทำอะไรกันบ้าง
คุณหนูเจ็ดสกุลชุยยืนอยู่หลังสุด เพียงแต่ซย่าโหวอวี๋ยังไม่ทันได้เอ่ยถามนาง ฟั่นซื่อโผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ทั้งยังพาแม่นางคนหนึ่งที่ทั้งอ้วนและดำเข้ามาคารวะ
“นี่เป็นบุตรสาวสายตรงคนโตของบ้านอาสามของหม่อมฉัน คุณหนูสี่สกุลหลู เดิมทีควรมาคารวะจ่างกงจู่ตั้งนานแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้นางอยู่บ้านเดิมคอยปรนนิบัติไท่ฮูหยิน จึงไม่มีโอกาสได้เข้าวัง ครั้งนี้ไท่ฮูหยินมาพักในเมืองเจี้ยนคังชั่วคราว หม่อมฉันจึงพานางมาคารวะจ่างกงจู่ด้วย”
แม้คุณหนูสี่สกุลหลูจะไม่งดงาม แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับดำขลับ ดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบมาก นางก้าวตรงไปคุกเข่าเบื้องหน้าซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าทันที
แค่ซย่าโหวอวี๋รู้ว่านางเป็นหลานสาวของหลูยวนก็ไม่อาจทำใจชอบนางได้แล้ว ทว่าซย่าโหวโหย่วเต้ากลับทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว พิจารณานางด้วยความอยากรู้อยากเห็น คุณหนูสี่สกุลหลูก็ยิ้มให้ซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวโหย่วเต้าให้เกียรติสตรีมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่นางกำนัลข้างกายเขาก็ยังสุภาพเป็นมิตร เห็นคุณหนูสี่สกุลหลูทักทายเขาเช่นนี้ เขาจึงยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร
ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วไม่พอใจ นางพูดเสียงเรียบกับคุณหนูสี่ “ลุกขึ้นแล้วค่อยพูดเถอะ!”
คุณหนูสี่รับคำอย่างนอบน้อม ถอยไปอยู่ข้างหลังฟั่นซื่อ
ซย่าโหวอวี๋ถามคุณหนูสี่เหมือนที่ถามแม่นางทั้งหลายในศาลาก่อนหน้านี้ “มาเจี้ยนคังตั้งแต่เมื่อไร พักอยู่ที่นี่เคยชินหรือไม่ ไท่ฮูหยินที่บ้านสบายดีหรือเปล่า”
คุณหนูสี่ตอบทีละคำถาม ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูดกับฟั่นซื่อ “ดูไปแล้วคุณหนูสี่ดูก็น่าจะสิบสี่สิบห้าแล้วกระมัง มีผู้ใดมาเจรจาทาบทามแล้วหรือยัง”
ฟั่นซื่อส่ายศีรษะ กำลังจะพูดอะไร ซย่าโหวอวี๋กลับชิงพูดตัดหน้านางเสียก่อน “ไฉนจึงมีคำว่าบังเอิญได้เล่า สองสามวันก่อนข้าพูดถึงแม่นางน้อยและคุณชายน้อยทั้งหลายในเมืองเจี้ยนคังกับน้าสะใภ้ น้าสะใภ้ก็เอ่ยถึงคุณชายบ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ ปีนี้อายุสิบแปดแล้วก็ยังไม่ได้เจรจาเรื่องการแต่งงาน ไหว้วานให้น้าสะใภ้ช่วยดูตัวให้พอดี ข้าเห็นคุณหนูสี่เป็นคนมีไหวพริบ อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่เห็นจะต้องถูกใจแน่ มิสู้ให้น้าสะใภ้ของข้าเป็นแม่สื่อให้คุณหนูสี่บ้านพวกเจ้าเป็นเช่นไร”
ฟั่นซื่อตะลึงงัน ซย่าโหวอวี๋จู่โจมนางจนตั้งตัวไม่ติด อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่เป็นน้องสาวร่วมอุทรของอู่จงฮ่องเต้ เป็นอาของซย่าโหวอวี๋และซย่าโหวโหย่วเต้า เนื่องจากนิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจ จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของอู่จงฮ่องเต้ ได้แต่หาตระกูลหนึ่งให้นางออกเรือนไปแบบส่งๆ ตั้งนานแล้ว ตระกูลสามีไม่โดดเด่น บุตรชายคนเดียวไม่เพียงรูปโฉมธรรมดา นิสัยยังดื้อรั้นเอาแต่ใจเป็นพิเศษ ไม่ได้เรื่องทั้งด้านบุ๋นและบู๊ วันทั้งวันดีแต่ก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย ทว่าอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่กลับประคบประหงมบุตรชายผู้นี้ไว้ในฝ่ามือประดุจเป็นของล้ำค่า ไม่เพียงรักใคร่ตามใจเท่านั้น พอถึงวัยแต่งงานแล้ว ก็ยังไม่เห็นหญิงสาวตระกูลทั่วไปอยู่ในสายตา จะหาลูกสะใภ้ที่มาจากตระกูลขุนนางให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรชายนางที่อายุสิบแปดแล้วจึงยังไม่ได้เจรจาเรื่องการแต่งงานเสียที
ฟั่นซื่อโมโหเหลือเกิน หลูยวนตามตัวคุณหนูสี่มาเมืองเจี้ยนคังก็เพื่อให้นางแต่งงานกับซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวอวี๋ทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร รู้สึกว่าคุณหนูสี่สกุลหลูได้แต่ครองคู่กับคนเสเพลที่บ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่กระนั้นหรือ
ฟั่นซื่ออยากโต้แย้งแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…หากนางปฏิเสธข้อเสนอของซย่าโหวอวี๋ตรงๆ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ไม่เพียงหักหน้าซย่าโหวอวี๋ ยังเป็นการล่วงเกินอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ที่ชอบหาเรื่องผู้อื่นด้วย แต่หากนางปฏิเสธซย่าโหวอวี๋อย่างอ้อมค้อม ก็เกรงว่าคนมากปากมาก หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีลือออกไปว่าคุณหนูสี่สกุลหลูเจรจาเรื่องการแต่งงานกับคุณชายบ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ คุณหนูสี่ย่อมจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้ซย่าโหวอวี๋มีข้ออ้างตัดคุณหนูสี่ออกจากตัวเลือกการเป็นฮองเฮา
ฟั่นซื่อขบคิดดูแล้ว ในใจพลันว้าวุ่น ซย่าโหวอวี๋มิใช่คนที่ชอบเป็นแม่สื่อแม่ชัก นางเพิ่งพบคุณหนูสี่เป็นครั้งแรก ไฉนจู่ๆ จึงบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้คุณหนูสี่ได้เล่า ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นคนไม่เอาไหนอย่างบุตรชายของอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ หรือว่าซย่าโหวอวี๋รู้เจตนาของแม่ทัพใหญ่แต่แรกแล้ว จึงต้องการใช้วิธีนี้ตอบโต้แม่ทัพใหญ่ แต่ซย่าโหวอวี๋ทราบเรื่องได้อย่างไร หรือว่าข้างกายพวกเขามีคนของซย่าโหวอวี๋
ไม่ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ฟั่นซื่อก็ต้องรีบไปบอกแม่ทัพใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้แล้ว! ฟั่นซื่อมองหาหลูยวน
หลูยวนย่อมรู้อยู่แล้วว่าหลานสาวตนผู้นี้รูปโฉมไม่โดดเด่น พบกันครั้งแรกยากที่จะทำให้ผู้อื่นชื่นชอบ แต่หลานสาวคนนี้เฉลียวฉลาดปราดเปรียว กระจ่างแจ้งในหลักคุณธรรม เป็นสตรีคนเดียวในตระกูลที่อายุไล่เลี่ยกับซย่าโหวโหย่วเต้า เขาถูกใจมากทีเดียว รู้สึกว่าหากไม่พยายามทำให้นางเข้าวังย่อมน่าเสียดายเกินไป แต่ใจเขาตระหนักดีว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น จำเป็นต้องมีเงื่อนไขและโอกาสที่เหมาะสม ดังนั้นตอนฟั่นซื่อพาคุณหนูสี่ไปคารวะซย่าโหวอวี๋ เขาจึงทำทียืนอยู่ข้างต้นไม้ริมทะเลสาบพูดคุยกับขุนนางสองสามคนที่กำลังประจบเขา แต่ความจริงกลับคอยสังเกตสถานการณ์ที่ศาลาริมน้ำตลอดเวลา
เห็นฟั่นซื่อชะเง้อคอมองมาทางเขา เขารู้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ แต่ในฐานะขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก กลับไม่สะดวกจะเดินเข้าไปในกลุ่มสตรี เขาส่งสายตาให้ขันทีคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ขันทีผู้นั้นรุดเข้าไปอย่างเงียบๆ ทันที ได้ยินจิ้นหลิงจ่างกงจู่กำลังพูดกับฟั่นซื่อด้วยท่าทีไม่พอใจนัก “หรือว่าฟั่นฮูหยินไม่พอใจฐานะของอาหญิงข้า หรือคิดว่าคุณหนูสี่ยังเด็ก ยังไม่ถึงวัยแต่งงาน?”
หากฟั่นซื่อรับคำอย่างคล้อยตาม ทำให้อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่โกรธยังไม่เท่าไร แต่การยอมรับว่า ‘คุณหนูสี่ยังไม่ถึงวัยแต่งงาน’ ย่อมเปิดโอกาสให้ซย่าโหวอวี๋กีดกันคุณหนูสี่ออกจากตำแหน่งฮองเฮาได้อย่างสมเหตุสมผล เช่นนั้นการที่แม่ทัพใหญ่ทุ่มเทพาคุณหนูสี่มาปรากฏตัวต่อหน้าซย่าโหวโหย่วเต้าจะไปมีความหมายอะไรอีก
ฟั่นซื่อร้อนใจแทบทนไม่ไหว ยิ่งนางยิ่งร้อนใจก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก ปลายจมูกมีเหงื่อซึมออกมา
ขันทีผู้นั้นเห็นแล้วรีบเอ่ยว่า “โอรสสวรรค์ จ่างกงจู่ แม่ทัพใหญ่เชิญพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟั่นซื่อโล่งอก ซย่าโหวอวี๋กลับไม่เหลือบแลขันทีผู้นั้นแม้แต่หางตา ในวังเต็มไปด้วยคนของหลูยวน นางกำจัดไปชุดหนึ่งก็มาอีกชุดหนึ่ง ทำเอานางหมดแรงจะคิดเล็กคิดน้อยกับหลูยวนแล้ว
นางพูดกับฟั่นซื่อต่อ “ในเมื่อฮูหยินไม่ได้ไม่พอใจในตัวญาติผู้พี่ของข้า มิสู้ให้ข้าเป็นคนจัดการ พรุ่งนี้เช้าเชิญต้าจ่างกงจู่เข้าวังและคุยเรื่องนี้กับนาง นางฟังแล้วจะต้องดีใจมากแน่ ส่วนฟั่นฮูหยินกับคุณหนูสี่ คืนนี้ค้างคืนในวังเป็นอย่างไร ต้าจ่างกงจู่จะได้พบหน้าคุณหนูสี่ด้วย”
นี่นางจะเป็นแม่สื่อให้สองตระกูลให้ได้ใช่หรือไม่! ฟั่นซื่อใบหน้าเขียวคล้ำ นางข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป พูดเสียงแข็ง “การแต่งงานของบุตรชายบุตรสาวถือเป็นเรื่องใหญ่ จะทรงกระทำอย่างฉาบฉวยเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่างคุณหนูสี่บ้านพวกเราก็เป็นที่ชื่นชอบของไท่ฮูหยินมาก การแต่งงานของนางย่อมต้องผ่านความเห็นชอบจากไท่ฮูหยินก่อน”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้ม ยังคิดจะพูดจายั่วโทสะฟั่นซื่อต่อ ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับดึงแขนเสื้อนางไว้ กระซิบว่า “พี่สาว ท่านอย่าบังคับฝืนใจผู้อื่นเช่นนี้เลย เรื่องของญาติผู้พี่พวกเราอย่ายุ่งดีกว่า…” เขาไม่ชอบญาติผู้พี่คนนี้ จึงไม่อยากให้พี่สาวสร้างความลำบากใจให้แม่นางคนหนึ่งเพื่อเขา
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มหยันในใจ สกุลหลูร้ายกาจจะตาย! ทั้งที่คิดจะยกคุณหนูสี่ให้แต่งงานกับน้องชายนางแท้ๆ ทว่าหลังจากน้องชายนางตายไป คุณหนูสี่สกุลหลูกลับออกเรือนไปอย่างราบรื่น แต่คุณหนูเจ็ดสกุลชุยกลับถูกหลูยวนบีบบังคับจนตาย นางไม่สนหรอกว่าคุณหนูสี่สกุลหลูจะถูกทำร้ายหรือไม่ ขอเพียงสกุลหลูไม่ยัดเยียดคุณหนูสี่ผู้นี้ให้น้องชายนางก็พอ
ตอนนี้นางดึงคุณหนูสี่สกุลหลูมาพัวพันกับญาติผู้พี่บ้านท่านอาแล้ว ต่อให้สกุลหลูหน้าหนาเพียงใด ก็คงไม่ถึงขั้นจะเจรจาเรื่องการแต่งงานให้หลานสาวกับพี่และน้องอย่างต่อเนื่องกระมัง
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มมองฟั่นซื่อ “เป็นข้าเองที่ขบคิดไม่รอบคอบ ฟั่นฮูหยินอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย แต่ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าท่านอาน่าจะชอบคุณหนูสี่”
ฟั่นซื่อสีหน้าเปลี่ยนไป ทำท่าจะบันดาลโทสะ
ซย่าโหวอวี๋กลับยิ้มพูดกับซย่าโหวโหย่วเต้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อแม่ทัพใหญ่เชิญ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปพูดกับแม่นางน้อยทั้งหลาย
“พวกเจ้าเล่นกันอยู่ที่นี่ก่อน มีอะไรสั่งนางกำนัลกับขันทีข้างกายได้เลย!” พูดจบก็เดินออกจากศาลาไปพร้อมซย่าโหวโหย่วเต้า
คุณหนูสี่สกุลหลูมองแผ่นหลังผอมเกร็งของซย่าโหวโหย่วเต้าแล้วกัดริมฝีปาก
ฟั่นซื่อกลับพูดเสียงค่อยอย่างไม่พอใจ “มองอะไร ไปหาลุงใหญ่ของเจ้าพร้อมกับข้า!”
ซย่าโหวอวี๋ก่อกวนเช่นนี้ การแต่งงานของคุณหนูสี่กับซย่าโหวโหย่วเต้าแปดเก้าส่วนคงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง นางอึดอัดใจยิ่งนัก เห็นหลูยวนแล้วสีหน้าก็เต็มไปด้วยความคับแค้น
แม้หลูยวนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นสีหน้าท่าทางของฟั่นซื่อแล้วก็พอคาดเดาได้แปดเก้าส่วน ทว่าเขายังคงเอ่ยว่า “หลานสาวกระหม่อมผู้นี้ถูกเลี้ยงดูข้างกายมารดามาตั้งแต่เล็ก การเรียนธรรมดา แต่กลับคัดอักษรได้งดงาม หากจ่างกงจู่มีเวลาว่างวันใด มิสู้เรียกนางเข้าวังมาเพื่อคัดอักษรเป็นเพื่อนท่านเถิด”
ไท่ฮูหยินสกุลหลูเป็นคนแซ่เถา เป็นญาติผู้น้องของเซียนอักษรเถาหรานจือ คัดอักษรเสี่ยวข่ายได้งดงามอ่อนช้อย ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า
ในเมื่อคุณหนูสี่สกุลหลูเติบโตมาโดยมีหลูไท่ฮูหยินเป็นผู้ดูแล นางย่อมคัดอักษรได้งดงาม ทว่าชาติก่อนกลับไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึง เห็นได้ชัดว่าต่อให้งดงามก็ยังงดงามอย่างมีขีดจำกัดอยู่ดี
ซย่าโหวโหย่วเต้าเหลือบมองคุณหนูสี่สกุลหลูอีกหลายครั้ง สมัยเป็นเด็กเพื่อเอาใจบิดาเขาเคยมุมานะฝึกคัดอักษร บางทีอาจเพราะไม่มีพรสวรรค์ ตัวอักษรของเขาจึงธรรมดา ดังนั้นเขาจึงยกย่องคนที่ลายมือสวยเป็นพิเศษ
หลูยวนช่างรู้จักหาช่องจริงๆ!
“เช่นนี้ดีเลย!” ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูด “สองสามวันก่อนอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ยังบ่นกับข้าว่าอยากทำหนังสือแบบคัดอักษรสักเล่มหนึ่ง ต้องการหาแม่นางที่คัดอักษรเก่งมาช่วยสักสองสามคน คุณหนูสี่เพิ่งมาเมืองเจี้ยนคัง คิดว่าคงยังไม่คุ้นเคยกับผู้คนในเมืองเจี้ยนคังนัก จะได้ถือโอกาสนี้รู้จักและทำความคุ้นเคยกับแม่นางทั้งหลายพวกนั้น”
ไฉนจึงพูดถึงอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่อีกแล้ว! ฟั่นซื่อหน้าดำทะมึนเป็นก้นหม้อ
หลูยวนเห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้ แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่สามีภรรยาจะมากระซิบกระซาบกัน ทางหนึ่งหัวสมองทำงานอย่างรวดเร็ว อีกทางหนึ่งก็พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ต้าจ่างกงจู่กับฮ่องเต้พระองค์ก่อนล้วนศึกษาเล่าเรียนกับเซียนอักษรเถาเซียนเซิง ชื่นชอบการคัดอักษร ต้าจ่างกงจู่ทรงอยากทำหนังสือแบบคัดอักษรหรือ กระหม่อมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ไม่ทราบว่าต้าจ่างกงจู่ประสงค์จะทำหนังสือออกมาในลักษณะใด”
ฟั่นซื่อพาคุณหนูสี่ไปพบซย่าโหวอวี๋ เดิมอยากถือโอกาสนี้ทำให้ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าคุณหนูสี่เป็นฮองเฮาที่พวกเขาเลือกไว้ให้โอรสสวรรค์ แต่ฟั่นซื่อพบซย่าโหวอวี๋แล้วกลับไม่มีความดีใจแม้แต่ครึ่งส่วน เห็นได้ชัดว่าการเข้าเฝ้าครั้งนี้ไม่ราบรื่น
อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่กับเหวินเซวียนฮองเฮามีความสัมพันธ์ที่แย่มาก ทำให้อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่พลอยไม่ชอบซย่าโหวอวี๋พี่น้องไปด้วย แม้แต่งานเลี้ยงเทศกาลซั่งซื่อเช่นนี้ก็ยังไม่ได้เชิญอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่เข้าวังมา บัดนี้จู่ๆ ซย่าโหวอวี๋กลับเอ่ยถึงคนผู้นี้
คนผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในหัวของหลูยวน สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นดำทะมึนเช่นเดียวกับฟั่นซื่อทันที
อวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่มีบุตรชายเสเพลไม่เอาไหนผู้หนึ่ง กำลังเจรจาทาบทามหาคู่ครองให้เขาไปทั่ว! หรือว่า…ซย่าโหวอวี๋ดึงคุณหนูสี่กับเจ้าคนเสเพลบ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่มาเกี่ยวข้องกัน
เขาชำเลืองมองฟั่นซื่อแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเหลือบมองคุณหนูสี่สกุลหลู
ฟั่นซื่อพยักหน้า ความรู้ใจระหว่างสามีภรรยาที่ครองรักกันมาหลายปีทำให้หลูยวนแน่ใจในความคิดของตนเอง
หลูยวนสูดหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง ได้ยินซย่าโหวอวี๋เอ่ยว่า “หลายวันก่อนต้าจ่างกงจู่มาหาข้า บอกให้ข้ามอบเงินให้นางหนึ่งแสนก้วน* ข้าถึงได้รู้ว่าต้าจ่างกงจู่ต้องการทำหนังสือแบบคัดอักษร หลายปีมานี้คลังแผ่นดินว่างเปล่า เบี้ยหวัดและรายรับของข้าล้วนนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักพระราชวัง ไหนเลยจะมีเงินให้ต้าจ่างกงจู่ เดาว่าในใจต้าจ่างกงจู่เองก็รู้ บันดาลโทสะไปรอบหนึ่งและไม่พูดถึงเรื่องเงินอีก แต่ให้ข้าหาคนไปช่วยเหลือนาง ข้ากำลังกลุ้มใจไม่รู้จะส่งผู้ใดไปดูพอดี แม่ทัพใหญ่ก็แนะนำคุณหนูสี่ให้ข้ารู้จัก นี่นับเป็นวาสนาโดยแท้! จะว่าไป ญาติผู้พี่ของข้าคนนั้นแม้จะไม่เอาไหน แต่กลับกตัญญูรู้คุณเป็นที่หนึ่ง ต้าจ่างกงจู่หนักใจกับการแต่งงานของเขามาก หากคุณหนูสี่สามารถไปช่วยต้าจ่างกงจู่ได้ ไม่แน่อาจได้รับความชื่นชอบจากต้าจ่างกงจู่ ขอราชโองการให้คุณหนูสี่อยู่ต่อ นี่นับเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง!”
ดีกับผีน่ะสิ!
ช่วยผู้อาวุโสบ้านอื่นคัดอักษร แต่กลับหมั้นหมายกับบุตรชายบ้านนั้น เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ผู้อื่นยังคิดว่าคุณหนูสี่ขาดคุณธรรมจรรยา ยั่วยวนบุตรชายบ้านคนอื่น ชื่อเสียงทั้งชีวิตย่อมถูกทำลายป่นปี้!
ซย่าโหวอวี๋คิดจะทำอะไรกันแน่ หลูยวนมองซย่าโหวอวี๋ด้วยแววตาเยียบเย็น
ซย่าโหวอวี๋ไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย นางจ้องหลูยวนกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรยากาศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตึงเครียด
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากลัวว่าพี่สาวจะเสียเปรียบ จึงก้าวขึ้นมาหลายก้าวและยืนข้างๆ ซย่าโหวอวี๋ตามสัญชาตญาณ
คุณหนูสี่สกุลหลูก้มหน้า ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ
ฟั่นซื่อขมวดคิ้ว นางดูแคลนซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างมาก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นถึงโอรสสวรรค์กลับเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังซย่าโหวอวี๋ นางยังดูถูกซย่าโหวอวี๋ด้วย รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง แต่กลับชอบออกหน้าแก่งแย่งชิงดีกับบุรุษ ฟั่นซื่อโอบไหล่คุณหนูสี่สกุลหลูอย่างปลอบโยน
ชุยซื่อขมวดคิ้วเช่นกัน นางรู้สึกว่าซย่าโหวอวี๋ทำเกินไปหน่อย ไม่ว่าวันหน้าคุณหนูสี่สกุลหลูจะแต่งงานกับผู้ใด ซย่าโหวอวี๋ในฐานะจ่างกงจู่พูดเช่นนี้กับคุณหนูสี่ ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของคุณหนูสี่ นอกจากนี้ซย่าโหวอวี๋ยังไม่ควรขัดแย้งกับหลูยวนด้วยเรื่องเช่นนี้
ชุยซื่อรีบพูด “ไม่ทราบแม่ทัพใหญ่ตามจ่างกงจู่มาด้วยเรื่องใดกัน ยามนี้พระอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ ยืนคุยกันตรงนี้จะร้อนเอาได้ เชิญแม่ทัพใหญ่กับจ่างกงจู่เข้าไปพูดคุยในศาลาด้านข้างไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของชุยซื่อทำลายความเงียบงันระหว่างหลูยวนกับซย่าโหวอวี๋
ใบหน้าหลูยวนเต็มไปด้วยความถมึงทึง ที่แท้ความสุขุม ความกระหยิ่มใจและท่าทีมีแผนการที่ซย่าโหวอวี๋แสดงออกมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงการเล่นละครทั้งสิ้น! นางขุดหลุมรอเขาอยู่ตรงนี้ล่วงหน้าแล้ว!
ทว่านางรู้แผนการของเขาได้อย่างไร หรือข้างกายเขามีคนของนาง หลูยวนครุ่นคิด ในใจราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน ไฟโทสะลุกพรึ่บขึ้นมาทันใด
ซย่าโหวอวี๋กล้าปั่นหัวเขา! นางไม่กลัวเขาจะปลดจ่างกงจู่อย่างนางออกจากตำแหน่งรึ
หว่างคิ้วของหลูยวนสาดกลิ่นอายสังหาร สีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม “ไม่รบกวนจ่างกงจู่ดีกว่า เกรงว่าหลานสาวกระหม่อมผู้นี้คงไม่มีเวลาช่วยอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ คุณหนูสี่นิสัยใจคอกว้างขวาง กระทำสิ่งใดล้วนรอบคอบ อ่อนโยนว่าง่าย ท่านย่าของกระหม่อมขาดนางไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว”
เขาต้องการกอบกู้ชื่อเสียงให้คุณหนูสี่สกุลหลู!
ซย่าโหวโหย่วเต้าตกใจจนตัวสั่น แต่เขากลับไม่ได้ถอยหลัง ได้แต่ยืนเคียงไหล่กับพี่สาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ คุณหนูสี่สกุลหลูเหลือบมองซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง
หากเป็นชาติที่แล้ว ต่อให้ซย่าโหวอวี๋จะขัดแย้งกับหลูยวนก็ต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน แต่ประสบการณ์ชาติที่แล้วบอกกับนางว่า คนที่ไม่ได้อยู่บนทางเส้นเดียวกันก็คือไม่ได้อยู่บนทางเส้นเดียวกัน ความอดทนของนางมีแต่จะทำให้ผู้อื่นคิดว่านางอ่อนแอสามารถรังแกได้ แทนที่จะใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนขลาดกลัว มิสู้เปิดเผยชัดเจนไปเลยเสียดีกว่า อยากทำอะไรก็ทำ!
ซย่าโหวอวี๋จับมือซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างปลอบโยน พลางยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่พูดผิดแล้ว! ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้ากับน้องชาย หากในอดีตไม่มีท่าน ย่อมไม่มีพวกเราสองพี่น้อง พวกเราจดจำได้เสมอ! เพียงแต่สองปีก่อนพวกเราอายุน้อยเกินไป ยังไม่รู้ความ ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องลำบาก หากสามารถพระราชทานสมรสให้สกุลหลูได้ สร้างชื่อเสียงให้สกุลหลู ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร!”
ความหมายที่แฝงอยู่คือ นางไม่ได้พระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่สกุลหลูกับคุณชายบ้านอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่ตรงๆ ก็นับว่าดีแล้ว!
หลูยวนโมโหจนหัวเราะออกมา “เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องเป็นโอรสสวรรค์ ไทเฮาหรือฮองเฮาจึงจะมีอำนาจกระทำได้ หรือจ่างกงจู่ประสงค์จะก้าวก่าย?”
ซย่าโหวอวี๋แย้มยิ้ม “ท่านย่ากับเสด็จแม่ของข้าต่างก็สวรรคตไปแล้ว โอรสสวรรค์ก็เป็นน้องชายข้า ข้าที่เป็นพี่สาวช่วยน้องชายดูแลเรื่องในตำหนักใน เหตุใดจะกระทำไม่ได้เล่า ทุกคนร้อนใจเช่นนี้ หรือคิดว่าข้าที่เป็นจ่างกงจู่ไม่คู่ควรจะจัดการเรื่องนี้”
ซย่าโหวโหย่วเต้าได้ยินพี่สาวพูดถึงเขา แม้จะกลัวว่าหลูยวนจะทะเลาะกับซย่าโหวอวี๋ แต่ยังคงร้อนใจชิงพูดตัดหน้าหลูยวน “ภายนอกพี่สาวมีฐานะเป็นจ่างกงจู่ แต่ในใจข้ากลับเป็นสายเลือดใกล้ชิดที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน เรื่องของข้าย่อมเป็นเรื่องของพี่สาว นางย่อมสามารถตัดสินใจได้อยู่แล้ว!” พูดจบ เขากลัวหลูยวนจะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยจึงพูดต่อ “เหมือนเช่นเรื่องในบ้านของแม่ทัพใหญ่ ล้วนให้ฟั่นฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจมิใช่หรือ แม่ทัพใหญ่จะตำหนิพี่สาวข้าด้วยเรื่องนี้ไม่ได้! ข้ายินดีให้นางยุ่งเรื่องของข้าเอง!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว เว้นเสียแต่ว่าหลูยวนอยากจะหักหน้าเขา มิเช่นนั้นก็ได้แต่ยุติเรื่องนี้และเงียบไป
ฟั่นซื่อกลับคิดมากกว่าหลูยวนมากนัก นางลอบดึงแขนเสื้อหลูยวน
หลูยวนกุมทหารจำนวนมากอยู่ในมือ รู้สึกว่าหลายปีมานี้ตนใจกว้างกับซย่าโหวอวี๋พี่น้องมากเกินไป จนสองพี่น้องลืมไปแล้วว่าผู้ใดกันที่รักษาลาภยศสรรเสริญไว้ให้พวกเขา ในเมื่อทุกคนแสดงจุดยืนกันชัดเจนแล้วในวันนี้ การบีบบังคับทางวาจาย่อมไม่มีความหมายอะไร เขาจะหาโอกาสสั่งสอนพี่น้องสองคนนี้ให้ได้ เมื่อพวกเขารู้ถึงความร้ายกาจแล้วย่อมจะเชื่อฟังเอง
ชุยซื่อตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมศีรษะนานแล้ว นางเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาประนีประนอม ก่อนอื่นตำหนิซย่าโหวอวี๋ว่าไม่รู้ความ ทั้งยังบอกว่าตนเองไม่ทันได้ห้ามปรามซย่าโหวอวี๋ หลังจากนั้นจึงเชิญฟั่นซื่อกับหลูยวนกลับไปดื่มน้ำชาและกินขนมในศาลาอีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.