บทที่ 5
หลูยวนสะดุ้งในใจอย่างไร้สาเหตุ เขาขมวดคิ้วหันไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึง
บางทีอาจเพราะระหว่างทางรีบร้อนเกินไป ไม่มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวให้ดี เซียวหวนจึงสวมชุดคลุมแขนกว้างผ้าทอละเอียดสีขาวแบบธรรมดาทั่วไป ศีรษะโพกผ้าขาว รูปร่างสูงโปร่ง คิ้วเป็นรูปสวย ดวงตาดำสนิท เวลายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นประหนึ่งพระจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์ที่ส่องแสงโดดเด่นอยู่กลางท้องนภา ทำให้ตำหนักข้างสว่างไสวขึ้นมาทันใด
ซย่าโหวอวี๋อดขยับปลายคิ้วไม่ได้ ที่แท้เซียวหวนสมัยเป็นหนุ่มก็ดูหล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ ทว่าต่อให้หล่อเหลาสง่างามเพียงใดก็มิอาจปกปิดความทะเยอทะยานของเขาเอาไว้ได้ ซย่าโหวอวี๋ต้องฝืนอดทนจึงจะไม่เผยความเหยียดหยันของตนออกมา
กระนั้นในความคิดของซย่าโหวอวี๋ก็ผุดภาพอ้อมกอดอบอุ่นและวงแขนแข็งแกร่งที่คอยปกป้องนางในความมืดโดยไม่รู้ตัว สายตานางเลื่อนไปยังใบหน้าเขาที่มีเครื่องหน้าชัดเจนก่อนจะเบนออกไป หลุบตาลงเหมือนภรรยาที่เคารพยกย่องสามีพวกนั้น นางก้าวออกไปคารวะเซียวหวน “ผู้บัญชาการ!”
เซียวหวนคารวะตอบ ใช้เสียงที่มีแต่คนรอบด้านเท่านั้นที่ได้ยินพูดอย่างอ่อนโยน “ข้ามาช้า ทำให้จ่างกงจู่ตกใจแล้ว!”
เวลานี้เซียวหวนสมควรออกหน้าแล้วจริงๆ หาไม่แล้วซย่าโหวอวี๋ย่อมมิอาจต้านทานการโจมตีของหลูยวนได้ นางโค้งกายเล็กน้อย ถอยหลบไปด้านหลังเซียวหวน มอบสมรภูมินี้ให้กับเขา
เซียวหวนไม่เกรงใจ เขาก้าวขึ้นไปหลายก้าวเรียก “แม่ทัพใหญ่” และคารวะ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ท่าทีกลับแข็งกร้าว
“จ่างกงจู่ใจร้อน หากคำพูดล่วงเกินแม่ทัพใหญ่เข้า ข้าก็ขอโทษแม่ทัพใหญ่แทนนางด้วย แต่คำพูดของจ่างกงจู่มีเหตุผลมาก สิ่งใดหากไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ย่อมมิอาจสมบูรณ์ได้ ราชสำนักและบ้านเมืองยิ่งมิอาจปรับเปลี่ยนและทดแทนส่งเดช ราชวงศ์ที่ล่มจมพวกนั้น ราชวงศ์ใดบ้างที่ไม่ได้เริ่มมาจากการทำลายกฎเกณฑ์ในราชสำนัก ตัวเลือกการแต่งตั้งฮ่องเต้ไม่พ้นทายาทสายตรงคนโตและผู้มีความสามารถ ปีนี้ซีไห่อ๋องเพิ่งอายุเจ็ดขวบ ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีความสามารถพิเศษอะไร เช่นนั้นย่อมสมควรแต่งตั้งทายาทสายตรงคนโต เคราะห์ภัยอาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ แม่ทัพใหญ่เองก็ไม่เคยพบซีไห่อ๋องมาก่อน แล้วผู้ใดบ้างจะกล้ารับรองว่าซีไห่อ๋องจะแข็งแรงอายุยืนเหมือนเช่นที่พวกเราคิด”
“ถูกต้อง! ถูกต้อง!” เซี่ยตันหยางอดพรูลมหายใจยาวไม่ได้ตอนเห็นเซียวหวน เขาก้าวออกมาในเวลานี้ เอ่ยว่า “กฎเกณฑ์มิอาจทำลาย หาไม่ราชสำนักและแผ่นดินย่อมวุ่นวาย ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่จ่างกงจู่พูด การแต่งตั้งฮ่องเต้ควรเลือกจากตงไห่อ๋องหรือหลางหยาอ๋องคนใดคนหนึ่ง”
ยามนี้ขุนนางใหญ่ที่พึ่งพาเซี่ยตันหยางต่างก็ได้สติ ที่แท้ใต้เท้าเซี่ยไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของหลูยวน แต่รอให้เซียวหวนที่กุมอำนาจทหารไว้ในมือมาถึงต่างหาก!
พวกเขาพากันแสดงความเห็นด้วย แน่นอนว่าหลูยวนกับพรรคพวกย่อมไม่สนับสนุน โต้แย้งกันไปมาคนละคำสองคำ ไม่นานตำหนักข้างที่ใช้หารือเรื่องการเมืองก็เอะอะจนดูเหมือนตลาด
หลูยวน เซียวหวน ซย่าโหวอวี๋ต่างมองคนกลุ่มนี้โต้เถียงกันไปมาเงียบๆ หลูยวนมีหลูไหวช่วยพูด ซย่าโหวอวี๋แค่คอยตามหลังเซียวหวนก็พอ เซี่ยตันหยางเห็นแล้วลอบสบถในใจอย่างอดไม่ได้ มารดามันเถอะ หากเขาไม่ม้วนแขนเสื้อเข้าช่วยเหลือ หลูยวนก็จะกลายเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว เซี่ยตันหยางมีวาทศิลป์ดีไม่ธรรมดา เมื่อเขาออกหน้าจัดการเอง หลูไหวและคนอื่นๆ ย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเปรียบ
หัวคิ้วของหลูยวนขมวดมุ่น ทั้งแค้นหลูไหวที่ไม่เอาไหน เวลาที่ให้เล่าเรียนตำรากลับจะฝึกกระบี่ ยังแค้นเซี่ยตันหยางที่หน้าไม่อาย ทำตัวเป็นสุนัขติดตามเซียวหวนด้วย
“หยุดเถียงกันเสียที!” หลูยวนตวาดเสียงดัง หมายจะยุติการโต้แย้งของทุกคน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสนใจเขา
เซียวหวนด้านข้างเอ่ยขึ้นเนิบช้า “แม่ทัพใหญ่ ที่เป่ยฉีล่มสลายมิใช่เพราะปลดคนโตแต่งตั้งคนเล็กหรอกหรือ ขอให้แม่ทัพใหญ่ใคร่ครวญให้ดีด้วย อย่าให้บั้นปลายชีวิตต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกผู้คนก่นด่าไปอีกนับพันปีเลย”
หลูยวนหน้าดำเป็นน้ำหมึก
เซียวหวนกลับไม่เหลือบแลเขาอีก เพียงก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว โคจรกำลังไปที่จุดตันเถียน ตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาน “ทุกท่านโปรดฟังข้าพูดสักคำ!”
ตำหนักข้างพลันเงียบลง
เซียวหวนพูด “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ผู้ที่เห็นด้วยที่จะให้แต่งตั้งทายาทสายตรงคนโตโปรดมายืนข้างหนึ่ง ไม่เห็นด้วยให้แต่งตั้งทายาทสายตรงคนโตให้ไปยืนอีกข้างหนึ่ง เช่นนี้ย่อมมองเห็นชัดเจนในทันที เสียงส่วนน้อยทำตามเสียงส่วนใหญ่ก็แล้วกัน”
ซย่าโหวอวี๋เงยหน้าชำเลืองมองเซียวหวนแวบหนึ่ง เขาวางกับดักเอาไว้ เพราะเขาไม่ได้พูดว่าคนที่เห็นด้วยให้แต่งตั้งตงไห่อ๋องหรือหลางหยาอ๋องยืนฝั่งหนึ่ง คนที่เห็นด้วยให้แต่งตั้งซีไห่อ๋องยืนอีกฝั่งหนึ่ง แต่กลับพูดว่าคนที่เห็นด้วยให้แต่งตั้งทายาทสายตรงคนโตยืนฝั่งหนึ่ง ไม่เห็นด้วยให้แต่งตั้งทายาทสายตรงคนโตยืนอีกฝั่งหนึ่ง ขอถามหน่อยว่าใครบ้างที่ชาติกำเนิดไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ บ้านใดบ้างที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างภรรยาเอกภรรยารองบุตรคนโตบุตรคนเล็ก บ้านใดบ้างที่ไม่มีการสืบทายาทสืบสกุล หากไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งทายาทสายตรงคนโต เช่นนั้นจะให้สนับสนุนแต่งตั้งผู้มีความสามารถและคุณธรรมหรือ แล้วผู้มีความสามารถและคุณธรรมจะตัดสินเช่นไรเล่า
เช่นนี้มิวุ่นวายไปหมดหรือ เวลานี้ผู้ใดจะกล้าก้าวออกมาปฏิเสธกฎเกณฑ์ที่ตระกูลใหญ่ยึดถือปฏิบัติตามมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลาหลายร้อยปีเล่า
เหล่าขุนนางเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เซี่ยตันหยางถือโอกาสนี้ก้าวออกไปด้านข้าง “ข้าสนับสนุนให้แต่งตั้งทายาทสายตรงคนโต”
คนของเซี่ยตันหยางก้าวตามเขาไปด้านข้างทันที พวกที่เป็นกลางขบคิดดูแล้วจึงตามไปยืนด้านข้างเซี่ยตันหยาง หลูยวนหลูไหวพี่น้องสายตาฉายความดุดันหลายส่วน ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านการแต่งตั้ง ‘ทายาทสายตรงคนโต’
มีคนออกหน้าไกล่เกลี่ย “คำพูดของผู้บัญชาการเซียวก็มีเหตุผล ข้าว่าเลือกเอาระหว่างตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องสักคนดีหรือไม่ ถึงอย่างไรซีไห่อ๋องก็เติบโตในเฟิงโจวตั้งแต่เล็ก ลักษณะของผู้คนที่นั่นห้าวหาญดุดัน ไม่รู้นิสัยของซีไห่อ๋องจะเป็นเช่นไร ตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องดีร้ายอย่างไรก็เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ล้วนมีนักปราชญ์คอยชี้แนะ คิดว่านิสัยใจคอไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก เข้าวังแล้วมีแม่ทัพใหญ่คอยกำกับชี้แนะอีก คิดว่าต้องกลายเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องแห่งยุคแน่ๆ”
หลูยวนฟังแล้วพลันรู้สึกเสียใจภายหลัง
เดิมทีเขาก็คิดจะแต่งตั้งฮ่องเต้โดยเลือกจากตงไห่อ๋องและหลางหยาอ๋องคนใดคนหนึ่ง แต่ซย่าโหวอวี๋เป็นเพียงสตรีในตำหนักในกลับสามารถบงการการแต่งงานของซย่าโหวโหย่วเต้าได้ บีบบังคับเขาทุกทาง ทำให้เขารู้สึกรังเกียจจึงตัดสินใจสั่งสอนซย่าโหวอวี๋ ด้วยการกีดกันพี่น้องต่างมารดาสองคนของนางที่มีฐานะถูกต้องสมเหตุสมผลออกจากตำแหน่งฮ่องเต้ แล้วหันไปแต่งตั้งซีไห่อ๋องที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับอู่จงฮ่องเต้แทน เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญคนที่ไม่เชื่อฟังเขา ทั้งยังคิดว่าตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องเดิมทีเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดบัลลังก์อยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนใครเป็นฮ่องเต้ พวกเขาก็ไม่ซาบซึ้งใจเป็นพิเศษ แต่ซีไห่อ๋องที่จู่ๆ ก็ก้าวกระโดดขึ้นมาจากคนธรรมดาจนกลายเป็นโอรสสวรรค์ ความตื่นเต้นยินดีเช่นนี้จึงจะทำให้ซีไห่อ๋องนอบน้อมเชื่อฟังเขาหลังจากขึ้นครองราชย์ พึ่งพิงและทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกข้อที่หลูยวนไม่ได้บอกแก่ผู้ใดทั้งนั้น ตั้งแต่เซียวหวนได้เป็นฟู่หม่าตูเว่ย ซย่าโหวโหย่วเต้าทำท่าเหมือนกลัวเซียวหวนจะคิดร้ายกับซย่าโหวอวี๋ จึงหันไปสนับสนุนเซียวหวน เห็นเขาเป็นขุนนางคนสนิท ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่สะดวกให้หลูยวนอย่างยิ่งและทำให้เขาหวาดเกรงทีเดียว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลังจากเซียวหวนรับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเซียงหยางแล้ว เขาจึงบีบให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเลื่อนขั้นเซียวหวนเป็นผู้บัญชาการกองทัพในสวีโจวกับอวี้โจวสองมณฑลทันที
เขาพอคาดเดาได้ว่าเซียวหวนรู้ข่าวแล้วจะต้องรีบรุดกลับมา เขาจึงตั้งใจส่งคนไปสกัดตามทาง แต่คนที่เขาส่งไปสกัดเซียวหวนยังคงล้มเหลวกลับมา ไม่เพียงไม่อาจขัดขวางเซียวหวน เซียวหวนยังรุดกลับมาทันเวลาสำคัญและบุกเข้ามาในตำหนักทิงเจิ้งได้ เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยว่าระหว่างซย่าโหวอวี๋กับเซียวหวนต้องมีช่องทางติดต่อกันที่เขาไม่รู้มาตลอดแน่
ทว่าถึงอย่างไรหลูยวนก็มีจิตใจแข็งแกร่ง ความรู้สึกเสียใจภายหลังผุดขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ กับเรื่องที่กลายเป็นความจริงไปแล้ว เขาไม่เคยย้อนคิดถึง คิดเพียงว่าจะใช้วิธีใดแก้ไขสถานการณ์ลำบากตรงหน้า
เขาตัดสินใจในทันที เพียงยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ข้าแต่งตั้งซีไห่อ๋องหาใช่เพราะประโยชน์ส่วนตน ข้าสนับสนุนให้แต่งตั้งซีไห่อ๋อง” ฟังดูค่อนข้างดื้อรั้นไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับห่อเหี่ยวเล็กน้อย
คนที่อยู่ในตำหนักล้วนเป็นขุนนางที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชสำนัก รู้ว่าหลูยวนถูกบีบให้ล้มเลิกความคิดในการแต่งตั้งซีไห่อ๋องแล้ว เพียงแต่ด้วยตำแหน่งและฐานะของเขา ต่อให้ยอมถอยและยอมแพ้ ท่าทีที่แสดงออกก็มิอาจแพ้ได้ เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อรักษาหน้าตนเองไว้เท่านั้น
จิตใจที่ตึงเครียดของเซี่ยตันหยางพลันผ่อนคลายลง ถึงอย่างไรผู้ที่กุมอำนาจทหารไว้ในมือย่อมร้ายกาจกว่า พอเซียวหวนมา พวกคนที่ภายนอกเชื่อฟังแต่ในใจไม่เห็นด้วยก็มีความกล้าขึ้นมาทันที หลังผ่านพ้นเรื่องนี้ไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้ตำแหน่งขุนนางที่มีอำนาจสักตำแหน่งหนึ่งแน่
เซียวหวนโล่งอกเช่นกัน แม้สกุลเซียวจะร่ำรวยอันดับหนึ่ง มีกองกำลังเกินหมื่น เขาเองกุมอำนาจทหารไว้ในมือ แต่สกุลหลูดำรงอยู่มาหลายยุคหลายสมัย หาใช่สกุลเซียวจะเทียบเทียมได้ หากวันนี้หลูยวนยืนกรานไม่ยอมถอย ใครจะเป็นฝ่ายชนะยังพูดยากจริงๆ
เขาเหลือบมองซย่าโหวอวี๋ นางหลุบตายืนอยู่ข้างหลังเขา สีหน้าโศกเศร้ากลับเจือแววงุนงงอยู่หลายส่วน ราวกับไม่กระจ่างแจ้งนักว่าในราชสำนักเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาขบคิดและถอนสายตากลับมา เดินหน้าไปหลายก้าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า ยืนอย่างมั่นคง จากนั้นจึงกวาดตามองเหล่าขุนนาง
ตำหนักข้างค่อยๆ เงียบเสียงลง จวบจนเงียบสนิทไร้เสียงใดแล้ว เซียวหวนจึงหันไปมองเซี่ยตันหยาง
เซี่ยตันหยางพูดเสียงดัง “ข้าคิดว่าควรแต่งตั้งตงไห่อ๋องเป็นฮ่องเต้” ในตำหนักข้างมีคนสนับสนุนและมีคนที่คัดค้าน
ซย่าโหวอวี๋เงยหน้าขึ้นพิจารณาเซียวหวนอย่างละเอียด
เซียวหวนในยามนี้ผิวพรรณขาวสะอาด เส้นผมดำขลับเงางาม ดวงตาเปล่งประกายระยับ คิ้วคมปลาบทำให้เขาดูองอาจสง่างามแต่ไม่สูญเสียความเฉียบคมฮึกเหิม ทว่าหางตาที่ดูเหมือนอ่อนโยนกลับฉายแววหยิ่งทะนงสูงส่งออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว หล่อเหลาจนทำให้คนมองต้องเหลียวหลัง
เซียวหวนในอีกสิบปีให้หลัง รูปโฉมยังคงโดดเด่นถึงเพียงนั้น รูปร่างยังคงผึ่งผายถึงเพียงนี้ แต่คิ้วคมสันของเขากลับไม่มีผู้ใดกล้าชื่นชมอีกแล้ว ผู้คนมีแต่จะหวาดหวั่นขยาดกลัวเขาเวลาเขาพูดคุยหัวเราะแสดงความรู้สึกอย่างอิสรเสรี ท่าทีผ่อนคลายของเขาเหมือนกุมความเป็นความตายของผู้อื่นไว้ในมือตลอดเวลา
ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกหนึ่งข้อ เซียวหวนในอีกสิบปีให้หลังเปี่ยมด้วยเล่ห์เหลี่ยมและมากประสบการณ์ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้แน่
สุดม้วนแผนที่ มีดสั้นปรากฏ เขาเปิดเผยความทะเยอทะยานของตนเองเร็วเกินไป วิธีการก็รุนแรงเกินไป
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ นางได้ยินหลูไหวพูดเสียงเฉียบ “ในเมื่อเป็นการแต่งตั้งทายาทสายตรงคนโต เมื่อไม่มีสายตรงย่อมต้องแต่งตั้งคนโต แต่มารดาของตงไห่อ๋องกลับเป็นหญิงรับใช้ ยามอยู่ในตระกูลใหญ่ไม่ใช่แม้แต่สาวใช้ห้องข้างเสียด้วยซ้ำ เซี่ยตันหยาง เจ้าใช้ไหวพริบฉกฉวยโอกาส มีแผนการร้ายในใจ!”
แน่นอนว่าเซี่ยตันหยางไม่ยอมรับ หลูไหวกับเซี่ยตันหยางโต้เถียงกันไปมาคนละคำ ทุกคนเห็นว่านี่เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยแท้ จึงรีบห้ามปรามทั้งสองคน
ซย่าโหวอวี๋ก้าวมาข้างหน้าหลายก้าว นางยืนอยู่ข้างกายเซียวหวน ก่อนเอ่ยปากกะทันหัน “พวกเจ้าโต้แย้งกันไปมาเช่นนี้ก็ไม่ได้ข้อสรุปหรอก ข้าอยากเอ่ยคำพูดสักสองคำ ไม่ทราบจะได้หรือไม่”
สายตาของทุกคนพุ่งไปรวมกันที่ซย่าโหวอวี๋ เซียวหวนพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี บุญคุณความแค้นระหว่างซย่าโหวอวี๋กับหลูยวน ทุกคนในราชสำนักมีใครบ้างที่ไม่รู้ เขามัวแต่สนใจว่าจะทำเช่นไรให้หลูยวนตกหลุมพราง แต่กลับหลงลืมซย่าโหวอวี๋ไปเสียสนิท
น่าจะพูดว่าในใจเขา แม้ซย่าโหวอวี๋จะมีความแค้นกับหลูยวน แต่นางสุขุมสำรวมมาตลอด เพื่อซย่าโหวโหย่วเต้าแล้ว แต่ไรมาไม่เคยเอาตนเองไปพัวพันกับเรื่องราวใหญ่โตในราชสำนักหรือบุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลใหญ่ ที่ผ่านมานางพูดน้อย มักจะรอบคอบประนีประนอม ไม่เคยพูดจาโผงผาง เป็นแบบฉบับของสตรีในวังจริงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ชอบนิสัยเช่นนี้ เวลาที่อยู่กับนางมักต้องให้เขาคอยคาดเดาว่านางต้องการสิ่งใดกัน สิ่งที่ทำหรือคำพูดนางนั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ซึ่งเขาออกจะเหนื่อยอยู่เล็กน้อย
ทว่าตอนนี้ซย่าโหวอวี๋กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางก้าวออกมาแสดงจุดยืนของตนเอง
ซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคตไปแล้วมิใช่หรือ เวลานี้นางน่าจะจัดการทุกอย่างด้วยความรอบคอบระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม เงียบไว้ถึงจะถูก ถึงอย่างไรจ่างกงจู่ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดกับจ่างกงจู่ที่ชอบชี้นิ้วบงการผู้อื่น แบบแรกย่อมเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้องค์ใหม่มากกว่า
ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการตายของซย่าโหวโหย่วเต้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลูยวน ซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร เพื่อน้องชายของนางคนนี้แล้ว ซย่าโหวอวี๋ถึงขั้นยอมลดตัวมาแต่งงานกับเขา บัดนี้เห็นได้ว่านางกำลังโมโหอย่างแท้จริงด้วยเรื่องของน้องชายคนนี้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่หลูยวนเห็นด้วย นางจะคัดค้านทุกอย่าง ขอเพียงเป็นสิ่งที่หลูยวนคัดค้าน นางก็จะเห็นด้วยทั้งหมด
หากเป็นเช่นนี้ย่อมแย่แน่! ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะคิดหาหนทางทำให้สถานการณ์เป็นไปตามที่เขาต้องการ ตอนนี้กำลังจะรวบแหอยู่แล้วเชียว เขาไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำลายแผนการของเขาเป็นอันขาด
ถ้าหากไม่ใช่อย่างเขาคิดเล่า?
ซย่าโหวอวี๋เป็นพี่สาวคนโตของซย่าโหวโหย่วเต้า ก่อนตายซย่าโหวโหย่วเต้าฝากฝังซย่าโหวอวี๋ไว้กับหงฟู่ ทั้งยังให้นางไปร้องไห้ระบายทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ได้ บางครั้งฐานะตำแหน่งและอำนาจของซย่าโหวอวี๋ก็เหมือนซี่โครงไก่ แต่บางครั้งกลับสามารถทำให้เหล่าขุนนางหวั่นเกรง ราษฎรเชื่อฟัง เซียวหวนลังเลครู่หนึ่ง
ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วอดเม้มปากไม่ได้ นางรู้สึกว่าเรื่องราวเริ่มสนุกมากขึ้นทุกที ชาติก่อนหลูยวนคิดจะอ้างชื่อโอรสสวรรค์บงการขุนนาง หมายแต่งตั้งหลางหยาอ๋องซย่าโหวโหย่วฝูที่ยังเด็กขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขามีบารมียิ่งใหญ่ ซย่าโหวโหย่วฝูก็มีสายเลือดและมีความถูกต้องชอบธรรม หลูยวนจึงยืนยันตำแหน่งฮ่องเต้ของซย่าโหวโหย่วฝูได้โดยไม่มีอุปสรรค เพียงแต่ระหว่างนั้นเขาก็ถูกเซียวหวนเล่นงานไปครั้งหนึ่ง
ที่ดินบรรดาศักดิ์ของซย่าโหวโหย่วฝูอยู่ในอวี้โจว เซียวหวนถูกหลูยวนส่งไปสวีโจว เป็นผู้บัญชาการกองทัพในสวีโจวอวี้โจวสองมณฑล เขาตัดหน้าหลูยวนด้วยการรับตัวซย่าโหวโหย่วฝูแม่ลูกมาที่เมืองเจี้ยนคัง ทำให้เฝิงซื่อเข้าใจผิดคิดว่าที่บุตรชายได้ขึ้นครองราชย์เป็นเพราะเซียวหวนออกแรง ส่วนซย่าโหวโหย่วเต้าตายเพราะหลูยวน
เฝิงซื่อกลัวว่าบุตรชายจะก้าวซ้ำรอยเดิม จึงขอความคุ้มครองจากเซียวหวนโดยสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งต้าซือหม่าให้ ทั้งยังยืนอยู่ฝ่ายเซียวหวนอย่างเต็มตัว ช่วยเขากดข่มหลูยวนเอาไว้
เนื่องจากเซี่ยตันหยางไม่มีโอกาสปะทะกับหลูยวน ภายหลังจึงถูกเซียวหวนใช้งานและกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เซียวหวนใช้ควบคุมหลูยวน
ชาตินี้ไม่รู้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นตรงไหน เริ่มจากหลูยวนรนหาที่ด้วยการจะแต่งตั้งซีไห่อ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ตามมาด้วยการคัดค้านของเซี่ยตันหยางและคนอื่นๆ และที่น่าสนุกยิ่งกว่าคือเซียวหวนต้องทำเหมือนชาติที่แล้วแน่นอน หลังจากรู้ว่าน้องชายนางไม่อยู่แล้ว เขาต้องตัดสินใจเลือกทางที่มีประโยชน์กับตนเองมากที่สุดเป็นอย่างแรก แต่งตั้งซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทั้งยังคิดจะยืมอำนาจของหลูยวน สนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นสู่ตำแหน่ง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติก่อน เวลานี้เซียวหวนน่าจะทำข้อตกลงกับเฝิงซื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังรับตัวเฝิงซื่อแม่ลูกมาที่เมืองเจี้ยนคังแล้ว หาไม่แล้วชาติก่อนคงไม่มีทางที่หลูยวนเพิ่งจะยืนยันตำแหน่งฮ่องเต้ของซย่าโหวโหย่วฝู เขาก็รับตัวเฝิงซื่อแม่ลูกเข้าวังมาทันที ทำให้หลูยวนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากตาค้าง
น่าเสียดายที่หมากตัวหนึ่งของเขาอย่างเซี่ยตันหยางกระโดดออกมาในเวลานี้ เลือกยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลูยวนเร็วเกินไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อแผนการของเซียวหวน ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะส่งผู้ใดไปควบคุมหลูยวน และจะมีใครควบคุมหลูยวนได้ ซย่าโหวอวี๋คิดแล้วเกือบจะหัวเราะออกมา
นางรีบเผยอริมฝีปากแดงเล็กน้อยก่อนที่เซียวหวนจะเอ่ยอะไร แล้วพูดเสียงดัง “ข้าเห็นด้วยกับความคิดของใต้เท้าเซี่ย แต่งตั้งตงไห่อ๋องเป็นฮ่องเต้”
เซียวหวนหน้าถอดสีในทันใด เขากับซย่าโหวอวี๋เป็นสามีภรรยากัน ถือเป็นพวกกันโดยธรรมชาติ บางครั้งซย่าโหวอวี๋เป็นตัวแทนของเขา เขาเองก็เป็นตัวแทนของซย่าโหวอวี๋ ในเมื่อเขารู้ว่าซย่าโหวอวี๋ไม่ปกติ ย่อมควรตัดสินใจขัดขวางอย่างเด็ดขาดถึงจะถูก การลังเลเพียงชั่วครู่นี้ทำให้เรื่องราวเลยเถิดจนมิอาจแก้ไขได้อีก จะว่าไปเขายังคงนึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาอันน้อยนิดของพวกเขา
ซย่าโหวอวี๋กลับอารมณ์ดีอย่างมาก ชาติก่อนเซียวหวนก็ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนออกมา แต่กลับทำเหมือนชาตินี้ที่ถกเถียงกับหลูยวนเสียหลายคำ ไม่เพียงทำให้หลูยวนตกหลุมพรางเท่านั้น เขายังทำให้นางเข้าใจผิดคิดว่าเซียวหวนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางเสียอีก
ชาตินี้เขายังคงไม่แสดงท่าทีให้ชัดเจน ทั้งยังทำให้เซี่ยตันหยางเข้าใจจุดยืนของเขาผิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้คนเข้าใจผิดต่อไปก็แล้วกัน เหมือนเช่นที่นางเข้าใจผิดเขามาในชาติที่แล้ว นางทำเช่นนี้จะเรียกได้ว่าตาต่อตาฟันต่อฟันหรือเปล่านะ
สายตาที่ซย่าโหวอวี๋มองเซียวหวนเจือรอยยิ้ม นี่เป็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกหลังจากน้องชายนางป่วยตาย
เซียวหวนขุ่นเคืองใจเล็กน้อย หากเขาคัดค้านซย่าโหวอวี๋ในสถานการณ์เช่นนี้ จะมิใช่เป็นการประกาศกับใต้หล้าหรือว่าเขากับซย่าโหวอวี๋ไม่ปรองดองกัน ถึงตอนนั้นเขาไม่เพียงสูญเสียพันธมิตรอย่างซย่าโหวอวี๋ไป ยังต้องผูกความแค้นกับเซี่ยตันหยาง ไปยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหลูยวน ทำให้คนคิดว่าเขายอมคุกเข่าอ่อนข้อให้กับอีกฝ่าย หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคตก็รีบหันไปพึ่งพาหลูยวนอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เขาสูดหายใจลึกอย่างอดไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์!
ขณะที่เซียวหวนคิดว่าการงัดข้อกับหลูยวนซึ่งหน้าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ความคิดที่ผิดพลาดไปเพียงชั่วขณะเดียวก็ทำให้เขาต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลูยวนเร็วเกินไป เขาไม่มีอะไรจะพูด
รอยยิ้มในส่วนลึกของดวงตาซย่าโหวอวี๋เข้มข้นกว่าเดิม นางเดินหน้าไปหลายก้าว ก่อนหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าตั่งมังกรที่ซย่าโหวโหย่วเต้านั่งว่าราชการในยามปกติ ปลายนิ้วขาวเนียนวางลงบนที่เท้าแขนเบาๆ ลูบไล้ไม้เรียบลื่นเป็นมันเงา เนตรหงส์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเฉียบคม ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนโยน “ใต้เท้าทุกท่านยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เดิมทีขุนนางใหญ่หลายคนคิดว่าควรแต่งตั้งทายาทสายตรงคนโตอยู่แล้ว บัดนี้ซย่าโหวอวี๋ยืนอยู่ฝั่งที่เลือกซย่าโหวโหย่วอี้ ประกอบกับยังมีเซียวหวนอยู่อีกคน พวกเขาย่อมยินดีปรีดาพากันยกย่องซย่าโหวอวี๋ว่าเข้าใจหลักคุณธรรมอย่างลึกซึ้ง
ยามนี้เซียวหวนตั้งสติได้แล้ว ใบหน้าเขามีรอยยิ้มจางๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะปรากฏไปไม่ถึงดวงตา ทว่าในสายตาคนนอกแล้ว เขาก็ยังดีใจมากอยู่
เซี่ยตันหยางและพรรคพวกมองหลูยวนคล้ายเพิ่งชนะศึกใหญ่ครั้งหนึ่ง หลูยวนกลับเพียงมองละครฉากนี้อย่างเย็นชา มีอำนาจทหารถึงจะมีอำนาจในการพูด ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮ่องเต้ ย่อมหนีไม่พ้นแม่ทัพใหญ่เช่นเขา เวลายังอีกยาวไกลนัก พวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทั้งหลาย วันหน้าจะเป็นเช่นไรยังต้องดูกันต่อไปอีก หลูยวนกำลังจะสะบัดแขนเสื้อจากไป
ซย่าโหวอวี๋ตะโกนเรียกชื่อที่ไม่คุ้นเคยเสียงดัง “อิ่นผิง เจ้าไปเชิญตงไห่อ๋องเข้ามาในตำหนัก!”
เซียวหวนกับหลูยวนสูดหายใจเข้าด้วยความตระหนกพร้อมกัน ภายในตำหนักเงียบกริบ
เซี่ยตันหยางมองซย่าโหวอวี๋อย่างตกตะลึงพรึงเพริด เหมือนเพิ่งตั้งใจมองนางเป็นครั้งแรก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่จิ้นหลิงจ่างกงจู่วางแผนไว้ล่วงหน้าหรือ เขากลายเป็นหุ่นเชิดของจิ้นหลิงจ่างกงจู่โดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ ถูกจิ้นหลิงจ่างกงจู่กับเซียวหวนหลอกใช้? เด็กสองคนที่อายุไล่เลี่ยกับบุตรชายเขา…
กระทั่งเซี่ยตันหยางจะโมโหยังโมโหไม่ออก เขามองเซียวหวนด้วยสายตาซับซ้อน
เซียวหวนแผ่นหลังหนาวเยือก พวกเขาล้วนตกหลุมพรางของซย่าโหวอวี๋!
ที่ดินบรรดาศักดิ์ของตงไห่อ๋องซย่าโหวโหย่วอี้อยู่ที่เจี้ยนหูเมืองตงไห่ หากเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ก็ต้องใช้เส้นทางบกเจ็ดวันจึงจะถึง ใช้เส้นทางน้ำสามวันจึงจะถึง ซย่าโหวโหย่วเต้าเพิ่งสวรรคตได้ไม่ถึงเจ็ดวัน ตัวเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งจะกำหนดเป็นที่แน่นอน ซย่าโหวโหย่วอี้กลับปรากฏตัวในตำหนักทิงเจิ้งภายใต้การคุ้มครองของซย่าโหวอวี๋ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนการที่ซย่าโหวอวี๋วางไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่พวกเขาขุนนางที่มีอำนาจและขุนนางที่ปรึกษาแต่ละคนกลับคิดว่าสถานการณ์อยู่ในการควบคุมของตนเอง ขอเพียงตนเป็นผู้ลงมือ ไม่เพียงสามารถกำหนดฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ ยังสามารถบงการสถานการณ์ในราชสำนักด้วย
ช่างหลงตนเองจนน่าหัวเราะ!
ซย่าโหวอวี๋เป็นสตรีเช่นไรกันแน่ น้องชายร่วมอุทรที่พึ่งพาอาศัยกันมาป่วยตายกะทันหัน นางกลับวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ต้องกระทำไปด้วยความรู้สึกเช่นไรกัน เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ เป็นจ่างกงจู่ที่สงบเสงี่ยมและได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนไม่ดีหรือ เหตุใดต้องเอาตัวมาพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงในราชสำนักด้วย เรื่องนี้มีผลดีกับนางเช่นไร
หัวสมองของเซียวหวนสับสนว้าวุ่น นานครู่ใหญ่ก็ยังมิอาจดึงสติกลับมาได้
ทว่าท่าทางของเซียวหวนกลับทำให้เซี่ยตันหยางอารมณ์ดีขึ้นมาก อย่างน้อยเซียวหวนก็ไม่ได้หลอกใช้เขา!
เขาพลันรู้สึกเวทนาเซียวหวนเล็กน้อย เกรงว่าเด็กคนนี้คงยังไม่ตระหนักถึงความร้ายกาจของซย่าโหวอวี๋กระมัง แต่พวกเขาเหล่านี้มีผู้ใดบ้างที่ตระหนักถึงความร้ายกาจของซย่าโหวอวี๋อย่างแท้จริงเล่า หากนางไม่ได้ตลบหลังพวกเขาในครั้งนี้ เกรงว่าพวกเขาคงยังไม่เข้าใจความร้ายกาจของนางได้อย่างลึกซึ้ง
คิดเช่นนี้แล้ว เขารู้สึกว่าตนเองกับเซียวหวนก็แค่ห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะร้อยก้าว เขาไม่มีหน้าไปเห็นใจเซียวหวนหรอก เขาถอนหายใจยาวเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าจิ้นหลิงจ่างกงจู่จะเชิญตงไห่อ๋องเข้าวัง”
ซย่าโหวอวี๋ต้องการให้พวกเขาตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองทำ ชาติก่อนนางใช้ชีวิตอย่างจำยอมมาชั่วชีวิต สุดท้ายก็ยังต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียว คนที่อยากปกป้องไม่อาจปกป้องไว้ได้สักคน คนที่อยากคุ้มครองก็ไม่อาจรักษาไว้ได้สักคน ชีวิตนี้นางอยากจะทำอะไรก็จะทำเช่นนั้น เรื่องอะไรต้องให้คนใกล้ชิดมาเจ็บปวด ต้องทำให้ศัตรูสาแก่ใจด้วย!
นับตั้งแต่วันนี้ไป นางจะทะนุถนอมตนเองมากยิ่งขึ้น ทะนุถนอมคนที่เคยจงรักภักดีต่อนาง เคยมีบุญคุณต่อนางมากยิ่งขึ้น
“โอรสสวรรค์สวรรคต พวกเขาที่เป็นพี่น้องย่อมสมควรมาเมืองเจี้ยนคังเพื่อจุดธูปเซ่นไหว้” ซย่าโหวอวี๋คลี่ยิ้มจางๆ สายตากวาดมองเซียวหวน ก่อนจะเลื่อนไปยังหลูยวน
ความตกตะลึงของหลูยวนแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายดุดันทั่วร่างแล้ว
ซย่าโหวอวี๋! นางมีสิทธิ์อะไรมาเยาะหยันเขา นางลืมไปแล้วหรือไรว่าแต่ก่อนนางเคยก้มหน้าเชื่อฟังเขาเช่นไรบ้าง หากไม่มีเขา นางจะนับเป็นตัวอะไร ซย่าโหวโหย่วเต้าจะได้เป็นฮ่องเต้หรือ
นี่นางจะทำอะไรกัน ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน! ได้ปลาลืมไซ!
นางคิดว่านางมีตำแหน่งหน้าที่อะไรกัน เป็นจ่างกงจู่แค่ไม่กี่ปีก็ลืมตัวเสียแล้วหรือ คิดว่าตัวเองทำเช่นนี้แล้วจะบงการราชสำนักได้? ควบคุมฮ่องเต้ได้หรือ สีหน้าของหลูยวนถมึงทึงจนน่ากลัว
ซย่าโหวอวี๋กลับไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย เลวร้ายที่สุดก็แค่เท่านี้ ยังมีอะไรให้เลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือ นางยิ้มจางๆ จ้องมองหลูยวน
อิ่นผิงคุ้มกันเด็กหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาดเดินเข้ามาโดยมีเถียนเฉวียนนำหน้า เขาอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ทว่าท่วงท่ากิริยากลับสุขุมอย่างยิ่ง เขาดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็ก คิ้วเข้มตาโต หน้าผากกว้างจมูกโด่ง แตกต่างจากซย่าโหวโหย่วเต้าและซย่าโหวอวี๋ที่มีตาหงส์คิ้วยาว หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลาโดยสิ้นเชิง ยิ่งมิอาจเทียบกับอู่จงฮ่องเต้ที่ท่าทางเอาแต่ใจไม่สำรวมได้ อย่างน้อยก็เป็นเด็กที่แข็งแรงมีมารยาท ดูแล้วค่อนข้างพึ่งพาได้คนหนึ่ง
ขุนนางสูงวัยบางคนอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ พึมพำว่า “โอรสสวรรค์”
ซย่าโหวโหย่วอี้กลับไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เขาเดินไปตรงหน้าซย่าโหวอวี๋อย่างเคารพนบนอบ โค้งคำนับจนสุดและเอ่ยเรียกนางว่า “พี่สาว”
ซย่าโหวอวี๋มองเด็กที่ถูกตนขุดมาจากดินแดนอันห่างไกลผู้นี้ด้วยความรู้สึกซับซ้อน ชาติก่อนซย่าโหวโหย่วอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งพวกนี้เลย เขาได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองตงไห่อย่างราบรื่น แต่งภรรยาและมีบุตร ตอนที่นางเกิดเรื่องขึ้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ในความทรงจำของนางนั้น เขายังคงเป็นเด็กน้อยที่เกาะราวกั้นรถเทียมวัว และมองกลับมายังวังหลวงอย่างอาลัยอาวรณ์จวบจนรถเทียมวัวแล่นจากไปไกลแล้วเสมอ นั่นเป็นเหตุการณ์ตอนมารดานางเหวินเซวียนฮองเฮาส่งเขาไปยังที่ดินบรรดาศักดิ์
“เดินทางลำบากแล้ว!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ ไม่อยากให้ซย่าโหวโหย่วอี้เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ แม้แต่น้อย คำเรียกขานนี้ควรเป็นของน้องชายนางซย่าโหวโหย่วเต้าเพียงผู้เดียว จะไม่มีผู้อื่นเรียกได้อีก นางเตือนซย่าโหวโหย่วอี้เสียงค่อยอย่างอ้อมค้อม “ตอนนี้ท่านเป็นโอรสสวรรค์แล้ว เรียกข้าว่าจ่างกงจู่จะดีกว่า”
ส่วนลึกในดวงตาของซย่าโหวโหย่วอี้ฉายความงุนงง แต่เขายังคงทำตามคำสั่งของซย่าโหวอวี๋อย่างว่าง่าย เรียกนางใหม่ว่า “จ่างกงจู่”
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะอย่างชื่นชม ทว่าเซียวหวนกลับหงุดหงิดเหลือเกิน ซย่าโหวโหย่วฝูพักอยู่ในเรือนที่เขาจัดเอาไว้ให้ ยามนี้เฝิงซื่อกับซย่าโหวโหย่วฝูยังคงรอฟังข่าวดีจากเขาอยู่ ทว่าซย่าโหวอวี๋กลับไปเสาะหาน้องชายคนหนึ่งที่เหมือนกับซย่าโหวโหย่วเต้ามา คนที่เต็มไปด้วยความเคารพรักนาง
อู่จงฮ่องเต้นี่อย่างไรกัน ลูกชายหนึ่งคนสองคนล้วนเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด! หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ซย่าโหวอวี๋เลือกซย่าโหวโหย่วอี้มารับตำแหน่งฮ่องเต้
ทว่าซย่าโหวอวี๋ก็นับว่าหาทางออกให้เขาเช่นกัน ในเมื่อซย่าโหวโหย่วฝูมาเมืองเจี้ยนคังแล้ว ย่อมมิอาจกลับหลางหยาไปอย่างเงียบๆ ได้ ทำได้แค่เข้าวังโดยอ้างว่ามาจุดธูปเซ่นไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้า เพียงแต่ตอนที่เฝิงซื่อเห็นซย่าโหวโหย่วอี้ขึ้นครองราชย์แล้วอาจจะอาละวาดยกใหญ่
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเซียวหวนก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็น เฝิงซื่อกับซย่าโหวโหย่วฝูที่ไม่มีอำนาจก็เป็นแค่แมวที่ถูกเลี้ยงไว้ ไม่น่าหวั่นเกรง กลัวก็แต่ฮ่องเต้ตรงหน้าผู้นี้จะอายุไม่ยืน ซย่าโหวโหย่วฝูย่อมกลายเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียว สายตาของเซียวหวนวาวระยับ
เซี่ยตันหยางกลับปีติยินดีมากนัก ซย่าโหวโหย่วอี้รูปโฉมสะอาดสะอ้าน ท่วงท่ากิริยาสง่างาม นิสัยสุภาพอ่อนโยน ฮ่องเต้องค์ใหม่ผู้นี้ดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากจริงๆ ซย่าโหวอวี๋ทำอะไรล้วนไว้ใจได้จริงๆ!
เขาก้าวออกไปคารวะซย่าโหวโหย่วอี้อย่างเต็มพิธี พูดเสียงดังอย่างนอบน้อม “กระหม่อมเซี่ยสยา ขอต้อนรับโอรสสวรรค์!” เซี่ยตันหยางมีชื่อว่าสยา
ขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ที่อยู่ในตำหนักต่างก็ได้สติ พากันคารวะฮ่องเต้องค์ใหม่
ภายในตำหนักข้างที่ไม่ใหญ่โตนัก ยามนี้กลับมีคนยืนอยู่สี่คน คนหนึ่งคือซย่าโหวโหย่วอี้ที่ยังงุนงงไม่เข้าใจสถานการณ์ คนหนึ่งคือซย่าโหวอวี๋ที่คิดไม่ถึงว่าเหล่าขุนนางจะยอมรับฮ่องเต้องค์ใหม่ได้รวดเร็วเพียงนี้ พอคิดว่าโลงศพของน้องชายยังตั้งอยู่ในโถงพิธี ในใจนางก็รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย อีกคนหนึ่งคือเซียวหวนที่ลังเลว่าตนเองควรปฏิบัติกับซย่าโหวโหย่วอี้ด้วยท่าทีเช่นไรกันแน่ และอีกคนคือหลูยวนที่มีสีหน้าหยิ่งยโสโอหัง ท่าทางแฝงแววเหยียดหยันเล็กน้อย
แต่เซียวหวนได้สติอย่างรวดเร็ว นี่เป็นราชสำนักใหม่แล้ว เป็นการเริ่มต้นใหม่ เรื่องราวต่างๆ ในอดีตเป็นเช่นหมอกควันที่ลอยผ่านไป เขาควรแสดงท่าทีและจุดยืนในทันทีถึงจะถูก
เซียวหวนคุกเข่าลงเอ่ยว่า “กระหม่อมจิ้นหลิงฟู่หม่าตูเว่ย แม่ทัพใหญ่เพี่ยวจี้ ผู้บัญชาการกองทัพในสวีโจวและอวี้โจว เซียวหวน ถวายบังคมโอรสสวรรค์!” เขาทำให้คนอื่นๆ เข้าใจว่าตนเองอยากจะโดดเด่น ถึงได้คุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้องค์ใหม่หลังขุนนางคนอื่นๆ
สายตาของซย่าโหวโหย่วอี้ถูกเซียวหวนดึงดูดไปในทันที เขามองเซียวหวนด้วยความฉงนใจเล็กน้อย
ซย่าโหวอวี๋ตัดสินใจแล้วเช่นกัน ในเมื่อนางจะละทิ้งอดีต ย่อมต้องลืมความสูงศักดิ์ในสมัยที่อู่จงฮ่องเต้ครองราชย์ ลืมการเป็นที่นับหน้าถือตาในสมัยที่ซย่าโหวโหย่วเต้าปกครองบ้านเมือง ซย่าโหวอวี๋คุกเข่าให้ซย่าโหวโหย่วอี้ ทว่ากลับถูกซย่าโหวโหย่วอี้คว้าแขนเอาไว้ เขาพูดเสียงค่อย “พี่สาว เอ่อ จ่างกงจู่ ท่านคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าเถอะ ไม่ต้องคุกเข่า”
ซย่าโหวอวี๋ขบคิดดูแล้วก็รู้สึกว่านางยังต้องถวายบังคมฮ่องเต้องค์ใหม่ตามกฎธรรมเนียม เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซย่าโหวโหย่วอี้ย่อมเป็นเพียงฮ่องเต้กับขุนนาง นางไม่คิดจะสนับสนุนหรือปกป้องฮ่องเต้คนใดอีกแล้ว ความรู้สึกบางอย่าง การเสียสละบางอย่าง จะเป็นของน้องชายที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับนางมาเท่านั้น
การอยู่คนเดียวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านย่อมทำให้เกิดความกังวล ความหวาดกลัว ความอ่อนแอ และความไม่สบายใจ ซย่าโหวอวี๋เคยผ่านประสบการณ์นี้มาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นนางจึงอธิบายกับซย่าโหวโหย่วอี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บัดนี้พระองค์เป็นโอรสสวรรค์แล้ว หากทรงทำผิดกฎธรรมเนียมตั้งแต่แรก วันหน้าจะทำให้เหล่าขุนนางเคารพเชื่อฟังได้อย่างไร” นางคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย
ซย่าโหวโหย่วอี้มองซย่าโหวอวี๋ ท่าทางของเขาทำอะไรไม่ถูก ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรออกมาแล้วก็เงียบไป
เซียวหวนที่ใช้หางตาสังเกตการณ์อยู่ตลอดยกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เหลือหลูยวนยืนอยู่เพียงผู้เดียว เซียวหวนความคิดแล่นปราด เขาคลานเข่าไปข้างหน้าสองก้าว พูดเสียงค่อยเหมือนเสียงยุงกับซย่าโหวโหย่วอี้ด้วยน้ำเสียงเตือนสติ “โอรสสวรรค์ ทรงรีบบอกแม่ทัพใหญ่ว่าไม่ต้องคุกเข่าถวายบังคมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวโหย่วอี้เหมือนเพิ่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้งเพราะคำพูดนี้ อารมณ์ที่ฉายอยู่บนใบหน้าถูกเก็บกลับไปทันที เขารีบพูด “แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องถวายบังคม ทุกท่านลุกขึ้นเถอะ”
น้ำเสียงของเขาอ่อนเยาว์ สั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะความหวาดกลัวและไม่คุ้นเคย ถึงอย่างนั้นก็พยายามเปล่งออกมาอย่างก้องกังวานเต็มที่แล้ว แตกต่างจากตอนซย่าโหวโหย่วเต้าขึ้นครองราชย์ที่เอาแต่จับมือซย่าโหวอวี๋ไม่ปล่อยโดยสิ้นเชิง ทำให้ขุนนางเก่าแก่สมัยอู่จงฮ่องเต้ปลาบปลื้มน้ำตาคลอ เอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า “โอรสสวรรค์ช่างปราดเปรื่อง”
ซย่าโหวโหย่วอี้ ‘ปราดเปรื่อง’ ตรงที่ใดกัน! ซย่าโหวอวี๋ค่อนขอด ทว่าในใจนางรู้ดีว่าซย่าโหวโหย่วอี้กล้าหาญกว่าน้องชายของนางมากนัก บางทีนี่อาจเป็นโชคดีของราชวงศ์ซย่าโหวของพวกเขาแล้ว!
ซย่าโหวโหย่วอี้หันไปมองเถียนเฉวียน
เถียนเฉวียนก้าวเข้าไปประคองซย่าโหวอวี๋ขึ้นมา
หลูยวนมองซย่าโหวอวี๋กับเซียวหวนเล่นละคร ดวงตาก็ฉายแววเหยียดหยันดูแคลน เขาบังเกิดความคิดที่จะสังหารซย่าโหวอวี๋อีกครั้ง
เซียวหวนกลับอาศัยฐานะฟู่หม่าตูเว่ยนำทางซย่าโหวโหย่วอี้ไปจุดธูปเซ่นไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้า จากนั้นจึงหารือเรื่องพิธีศพของซย่าโหวโหย่วเต้ากับซย่าโหวโหย่วอี้ “ท่านอ๋องทั้งหลายส่งคนไปแจ้งแล้ว โอรสสวรรค์ว่าทางด้านหลางหยาอ๋องต้องส่งคนไปแจ้งด้วยหรือไม่”
ซย่าโหวโหย่วอี้รู้ว่านี่เป็นเพราะซย่าโหวโหย่วฝูแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้กับเขา จึงรีบตอบว่า “ย่อมสมควรเชิญหลางหยาอ๋องมาเจี้ยนคังเพื่อเซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้ด้วยตนเอง”
เซียวหวนรับคำด้วยความชื่นชม เถียนเฉวียนค้อมกายก้าวขึ้นมาพูด “ก่อนหน้านี้แม่ทัพใหญ่หารือกับเหล่าขุนนาง พระศพของอดีตฮ่องเต้จะย้ายไปวัดวั่นเฉิง จ่างกงจู่สั่งให้กระหม่อมเก็บกวาดตำหนักลู่หมิงให้เรียบร้อยเพื่อใช้เป็นตำหนักบรรทมชั่วคราวของโอรสสวรรค์ รอให้ย้ายโลงของอดีตฮ่องเต้ไปแล้ว โอรสสวรรค์ค่อยย้ายเข้าไปในตำหนักทิงเจิ้ง ผู้ที่ติดตามโอรสสวรรค์มาด้วยล้วนจัดให้พักอยู่ในตำหนักลู่หมิง โอรสสวรรค์เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จะเสด็จไปตำหนักลู่หมิงเพื่อพักผ่อนก่อน หรือตรัสกับใต้เท้าทั้งหลายก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวโหย่วอี้พูด “ข้าไปตำหนักลู่หมิงเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นจะมาเฝ้าศพให้อดีตฮ่องเต้”
เซี่ยตันหยางและคนอื่นๆ ตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะลอบผงกศีรษะในใจ รู้สึกว่าซย่าโหวโหย่วอี้รู้ธรรมเนียมมารยาท รู้กาลเทศะดียิ่ง
จากนั้นซย่าโหวโหย่วอี้ก็ประสานมือคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “จ่างกงจู่ ขอบคุณท่านที่ช่วยดูแล” เขาพูดต่อ “จ่างกงจู่เป็นพี่สาวของข้ากับหลางหยาอ๋อง สมัยที่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ก็เคารพนับถือจ่างกงจู่อย่างมาก พวกข้าควรเอาเยี่ยงอย่างจึงจะถูก ภายหน้าเรื่องต่างๆ ในวังยังต้องรบกวนจ่างกงจู่เหมือนสมัยที่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ด้วย จ่างกงจู่โปรดอย่าปฏิเสธเลย” พูดจบ เขาก็โค้งคำนับอีกครั้ง
หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าตาย ซย่าโหวอวี๋ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว รอให้จัดการงานศพของน้องชายเสร็จ นางจะสะสางความสัมพันธ์กับสกุลเซียวให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกไปตามหาอาเฮ่อ จากนั้นก็จะพาอาเฮ่อและคนอื่นๆ ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ดูว่าเกาะเซียนเผิงไหลมีอยู่จริงหรือไม่ และเขาคุนหลุนอยู่ที่ใดกันแน่
ซย่าโหวอวี๋รับคำ “รอให้คัดเลือกข้ารับใช้ใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ได้แล้ว ข้างกายพระองค์ย่อมมีคนให้ใช้งานเพิ่มขึ้นเพคะ”
เรื่องนี้ซย่าโหวโหย่วอี้ได้ยินมาแล้ว ซย่าโหวโหย่วเต้าเสียชีวิตเพราะเสพหานสือซั่น ข้ารับใช้ข้างกายเขาถูกโบยจนตายทั้งหมด โอรสสวรรค์สวรรคต ทุกคนล้วนยุ่งจนหัวหมุน จึงยังไม่ได้หาขันทีและนางกำนัลในตำหนักทิงเจิ้งมาเพิ่ม งานทุกอย่างล้วนให้ขันทีและนางกำนัลจากตำหนักเฟิ่งหยางเป็นผู้รับผิดชอบแทน
แน่นอนว่ามีคำกล่าวที่ว่าโอรสสวรรค์หนึ่งยุคขุนนางหนึ่งสมัย ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเจ้านายวังเสี่ยนหยาง คนข้างกายฮ่องเต้จะเป็นผู้ใดนั้น ย่อมต้องให้ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นผู้ตัดสินใจเอง ซย่าโหวโหย่วอี้เข้าใจ เขาซาบซึ้งใจอย่างมาก
ซย่าโหวอวี๋ช่วยเหวินเซวียนฮองเฮาดูแลจัดการเรื่องในวังมาตั้งแต่สมัยเหวินเซวียนฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ นางประคับประคองอดีตฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ บัดนี้ยังสนับสนุนเขาเป็นฮ่องเต้อีก เปรียบเสมือนบิดามารดาของเขา เขาไม่มีภรรยาและอนุ ไม่ว่ามองจากมุมใด การให้ซย่าโหวอวี๋ดูแลเรื่องในวังต่อไปหรือจัดการเรื่องในราชสำนักล้วนชอบด้วยเหตุผล ทว่าตั้งแต่เขาเข้าวังมา ซย่าโหวอวี๋แสดงออกในทุกโอกาสว่า ‘ข้าแค่สนับสนุนเจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้คิดจะตักตวงผลประโยชน์ส่วนตน’ ไม่มีการทำเกินกว่าหน้าที่ไปแม้แต่น้อย
ซย่าโหวโหย่วอี้พูด “ข้าอายุยังน้อย หลายเรื่องยังคงต้องให้จ่างกงจู่ช่วยชี้แนะ ขอจ่างกงจู่โปรดอย่าปฏิเสธเลย!”
ซย่าโหวโหย่วอี้เฉลียวฉลาดมาแต่เด็ก เขาอยู่ข้างนอกมาหลายปี ทำอะไรล้วนมีระเบียบแบบแผน รอให้พิธีศพของน้องชายนางเสร็จสิ้นแล้ว เขาน่าจะปรับตัวให้เข้ากับวังหลวงและชีวิตของฮ่องเต้ได้กระมัง ซย่าโหวอวี๋คิดเช่นนี้และรับปาก
เถียนเฉวียนกับอิ่นผิงติดตามซย่าโหวโหย่วอี้ไปพักผ่อนที่ตำหนักลู่หมิง เซี่ยตันหยางและคนอื่นๆ จะหารือเรื่องพิธีขึ้นครองราชย์ของซย่าโหวโหย่วอี้ ส่วนซย่าโหวอวี๋ก็กลับตำหนักใน
ตู้ฮุ่ยพาขันทีและนางกำนัลส่วนหนึ่งมารอต้อนรับซย่าโหวอวี๋ที่นอกตำหนักเฟิ่งหยาง รอจนนางอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จึงอดเอ่ยถามเสียงค่อยไม่ได้ “เรื่องในวันนี้ราบรื่นดีหรือไม่เพคะ”
อิ่นผิงออกจากเมืองหลวงไปกะทันหัน แล้วพาซย่าโหวโหย่วอี้มาปรากฏตัวที่ตำหนักทิงเจิ้ง หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจ่างกงจู่ของพวกเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่เชื่อ!
เรื่องราวยุติลงแล้ว ซย่าโหวอวี๋ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังตู้ฮุ่ยอีก นางพูด “ทุกอย่างราบรื่นมาก!”
ตู้ฮุ่ยโล่งอก ก่อนจะปรนนิบัตินางพักผ่อน
ซย่าโหวอวี๋เหนื่อยมาก ทว่านางกลับไม่อยากพัก จึงสั่งให้ตู้ฮุ่ยเอารายชื่อคนที่ยินดีติดตามนางออกจากวังมาให้ พวกนางต้องรีบจัดการตำหนักเฟิ่งหยางให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมอบให้คนของซย่าโหวโหย่วอี้
ตู้ฮุ่ยตัดสินใจติดตามซย่าโหวอวี๋ออกจากวัง นางเข้าวังมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ บัดนี้อายุสามสิบหกแล้ว กว่าครึ่งของชีวิตอาศัยอยู่ในวัง บัดนี้ต้องจากไป ย่อมตัดใจไม่ได้แน่นอน นางมองข้าวของในตำหนักอย่างอาลัย ม่านหนาหลายชั้น ฉากกั้นที่วาดรูปต้นไม้แก่กับศาลารับลม โคมไฟชาววังแบบตั้งรูปข้ารับใช้หมอบคุกเข่าที่วางอยู่ตรงมุมห้อง ขอบตาก็แดงเรื่อขณะเอ่ยว่า “จ่างกงจู่จะไม่เอาอะไรไปเลยจริงๆ หรือ”
“ไม่เอาอะไรไปทั้งนั้น” ซย่าโหวอวี๋ย้ำอีกครั้ง “เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ข้า เสด็จแม่และอดีตฮ่องเต้เคยใช้ก็ให้เผาทิ้งไปให้หมด ภาชนะและเครื่องประดับนอกจากที่ต้องฝังพร้อมศพแล้ว ให้นำไปคืนที่คลังราชสำนักทั้งสิ้น” เรื่องทั้งหลายทั้งปวงในอดีต นางสมควรปล่อยวางถึงจะถูก
ตู้ฮุ่ยรับคำด้วยสีหน้าหม่นหมอง นำรายชื่อของข้ารับใช้ที่ยินดีออกจากวังมาให้ ซย่าโหวอวี๋รับรายชื่อไปดูอย่างละเอียด
ชาติก่อนนางไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้ บางคนคิดว่าติดตามนางออกจากวังคงดีกว่า…ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ในวัง ทั้งยังได้เป็นบ่าวหญิงระดับสูงในสกุลเซียวของต้าซือหม่า รอจนนางกับเซียวหวนทะเลาะกัน คนเหล่านั้นรู้สึกว่าการติดตามนางไปกลายเป็นไม่มีความมั่นคง จึงเลือกอยู่สกุลเซียวต่อ คนที่อยู่ต่อส่วนหนึ่งอาศัยว่าตนเองเคยอยู่ในวังปรนนิบัตินาง เหวินเซวียนฮองเฮาและซย่าโหวโหย่วเต้า จึงไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของสกุลเซียว อาศัยชื่อสกุลเซียวกับชื่อเสียงของนางก่อเรื่องที่ข้างนอก ทำให้เซียวหวนปวดหัวอยู่พักหนึ่ง ทั้งยังทำชื่อเสียงนางเสื่อมเสีย
ชาตินี้นางไม่มีทางใช้คนเหล่านี้อีก ซย่าโหวอวี๋พยายามเทียบเคียงรายชื่อคนเหล่านี้กับผู้คนในความทรงจำ ลดทอนไปมา สุดท้ายจึงยืนยันรายชื่อและส่งคืนให้ตู้ฮุ่ย
เสร็จแล้วถึงได้รู้สึกว่าร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุดกำลังร่ำร้องการพักผ่อน นางหาวติดๆ กัน ไม่พักผ่อนไม่ได้แล้ว
ตู้ฮุ่ยยิ้มน้อยๆ ก่อนร้องเรียกอาเหลียงเข้ามาปรนนิบัติ “ท่านวางใจเถอะ สองวันนี้ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
พวกนางจะย้ายออกไปในวันที่โลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าถูกย้ายไปที่วัดวั่นเฉิง ซึ่งอยู่ห่างจากวังเสี่ยนหยาง
มีตู้ฮุ่ยคอยจัดการ ซย่าโหวอวี๋ยังมีอะไรไม่สบายใจอีก นางหลับสนิทไปงีบหนึ่ง ตื่นมาก็เป็นเวลาจุดโคมแล้ว
อาเหลียงที่เฝ้าอยู่หน้าเตียงตลอดเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “จ่างกงจู่ หม่อมฉันให้คนต้มน้ำแกงผักฉุนไช่ ไว้ นึ่งขนมเปี๊ยะเจอีกเล็กน้อย ท่านกินสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
ซย่าโหวโหย่วเต้าเสียชีวิต ซย่าโหวอวี๋ต้องไว้ทุกข์ อาหารที่ปกติกินวันละสี่มื้อจึงลดเหลือวันละสองมื้อ ไม่มีเนื้อปลาเนื้อแกะ ทั้งที่เป็นเช่นนี้แล้ว แต่บ่อยครั้งที่ซย่าโหวอวี๋ยังไม่อยากแม้แต่จะดื่มน้ำ พวกนางที่คอยรับใช้ข้างกายจึงพากันร้อนใจกันหมด แค่ซย่าโหวอวี๋ดื่มน้ำชาเพิ่มขึ้นสองคำ พวกนางก็ดีอกดีใจไปครึ่งวันแล้ว
บางทีอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองควรทำล้วนทำไปแล้ว ยามนี้นับว่าหมดภาระในใจ อาเหลียงไม่พูดยังไม่เท่าไร พอพูดถึงของกินขึ้นมา ซย่าโหวอวี๋ก็รู้สึกหิวมาก
อาเหลียงยินดีปรีดายิ่ง รีบสั่งให้คนยกอาหารออกมา
น้ำแกงผักฉุนไช่สดใหม่และอร่อย ขนมเปี๊ยะเจเติมน้ำผึ้งเข้าไปด้วยให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม ทำให้ซย่าโหวอวี๋เจริญอาหารมาก นางดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่หมดไปถ้วยหนึ่ง และกินขนมเปี๊ยะเจอีกชิ้น อาเหลียงกำลังจะโน้มน้าวซย่าโหวอวี๋ให้ดื่มนมหมักเพิ่มอีก เซียวหวนก็มาพอดี
เวลานี้? อาเหลียงลอบพิจารณาสีหน้าของซย่าโหวอวี๋อย่างอดไม่ได้
ซย่าโหวอวี๋กลับรู้สึกปกติมาก ระหว่างพวกเขาสามีภรรยาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เซียวหวนน่าจะต้องหาเวลาส่วนตัวมาพบนางอยู่แล้ว
ซย่าโหวอวี๋สั่งอาเหลียง “เชิญต้า…” ยังดีที่นางนึกขึ้นได้ก่อนที่คำว่า ‘ซือหม่า’ จะหลุดออกไป แล้วเปลี่ยนคำพูดเป็น “เชิญผู้บัญชาการไปดื่มชาที่ตำหนักข้าง” ตระกูลสูงศักดิ์ที่มาจากทางเหนือชอบดื่มนมหมัก แต่ตระกูลใหญ่ทางใต้กลับชอบดื่มชา
อาเหลียงรับคำแล้วออกไป
เซียวหวนยืนอยู่ในตำหนักข้างพิจารณาของประดับตกแต่งและภาชนะรอบด้านที่ถูกเก็บไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดวงตาเขาฉายความเหม่อลอย เขาแค่จากเมืองเจี้ยนคังไปไม่กี่เดือนเท่านั้น ซย่าโหวอวี๋กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่! บางทีซย่าโหวอวี๋อาจไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพียงแต่หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าป่วยตายไป สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป ซย่าโหวอวี๋แค่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะไม่เคยเข้าใจนางมาก่อน
เซียวหวนก้าวไปข้างหน้า นิ้วมือลูบจานกระเบื้องสีเขียวครามที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งไม่ทันได้ห่อเก็บ นั่นเป็นจานก้นลึกที่มีขาตั้งทำเป็นรูปนกสี่ตัว ขณะที่ความรู้สึกในใจเขาซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก เสียงใสกระจ่างของซย่าโหวอวี๋ก็ดังขึ้นข้างหู “นั่นเป็นของที่ช่างปั้นดินเผาที่ไร่ชานเมืองของข้าส่งมาเมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้สึกว่าไม่เลวจึงตั้งใจนำกลับไปที่นั่นด้วย”
เจ้าไม่คิดจะกลับจวนสกุลเซียวหรือ
เซียวหวนเกือบโพล่งออกไปแล้ว ทว่าหลังจากนั้นเขาก็อดหัวเราะเสียงขื่นในใจไม่ได้
ซย่าโหวอวี๋ออกจากตำหนักทิงเจิ้งได้ไม่นาน ซย่าโหวโหย่วอี้ในชุดไว้ทุกข์สีขาวก็ปรากฏตัวที่โถงพิธีศพของซย่าโหวโหย่วเต้า จากคำพูดของซย่าโหวโหย่วอี้ ซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคตได้ไม่ถึงสองวัน ซย่าโหวอวี๋ก็ตั้งใจส่งคนไปแจ้งข่าวกับเขา ทั้งยังเชิญเขามาเมืองเจี้ยนคังเพื่อจุดธูปเซ่นไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้า
หากบอกว่าการเป็นฮ่องเต้ของซย่าโหวโหย่วอี้ไม่ใช่แผนการของซย่าโหวอวี๋ เกรงว่าแม้แต่ผีก็คงไม่เชื่อ การที่ซย่าโหวอวี๋มีอุบายเช่นนี้ แปดถึงเก้าส่วนนางน่าจะรู้เจตนาของเขา
เขาไม่อยากขัดแย้งกับซย่าโหวอวี๋ อีกทั้งเวลานี้เขายังมิอาจขัดแย้งกับนาง ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสตอนที่หลูยวนกับเซี่ยตันหยาง ‘กำลังยุ่ง’ มาที่ตำหนักเฟิ่งหยาง
เห็นซย่าโหวอวี๋ถูกนางกำนัลกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มุมปากของเซียวหวนก็เม้มน้อยๆ
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เขามาหานางทำไมนั้น นางน่าจะรู้แจ้งแก่ใจดี ทว่ายามที่มาพบเขานางกลับพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วยเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่อยากพูดคุยกับเขาตามลำพัง
ทว่าต่อให้นางไม่ยินดีเพียงใด เขายังคงต้องหาหนทางคุยกับนางตามลำพังให้ได้…เมื่อครู่ตอนอยู่ในโถงพิธี หลูยวนเริ่มเรียกร้องขอเลื่อนยศให้ลูกหลานสกุลหลูบางส่วนอย่างเปิดเผยแล้ว แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่จะมีสีหน้างุนงง และเซี่ยตันหยางโต้แย้งออกไปด้วยเหตุผล แต่ด้วยนิสัยของหลูยวนและอำนาจบารมีที่อีกฝ่ายมีอยู่ในราชสำนักตอนนี้แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่กับเซี่ยตันหยางคงยื้อเวลาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากซย่าโหวอวี๋และยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางก่อน เพราะไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหมือนการแต่งตั้งซย่าโหวโหย่วอี้ขึ้นอีก เซียวหวนขบคิดอย่างรวดเร็ว
“จ่างกงจู่” เขาคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม พูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีจริงจังและจริงใจ “เรื่องหลางหยาอ๋องข้าทำไม่ถูก ข้าคิดว่าแทนที่จะให้แม่ทัพใหญ่ได้สร้างคุณความชอบนี้ มิสู้ให้หลางหยาอ๋องเป็นผู้รับไมตรี คิดไม่ถึงว่าจ่างกงจู่จะพอใจตงไห่อ๋อง เรื่องนี้เป็นเพราะข้าใจร้อนเกินไป เกรงว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดา จะทำให้เสียโอกาสไป อันที่จริงข้าควรหารือกับจ่างกงจู่ก่อนถึงจะถูก”
อย่างนั้นหรือ…ซย่าโหวอวี๋ไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
หากเซียวหวนแค่อยากลดทอนอำนาจในราชสำนักของหลูยวน น่าจะคิดหาวิธีแต่งตั้งซย่าโหวโหย่วอี้ถึงจะถูก เขาทำเช่นนี้ก็แค่ต้องการลักขื่อเปลี่ยนเสา หาผลประโยชน์จากเรื่องนี้เท่านั้น ความจริงชาติก่อนเขาก็ทำเช่นนี้ ทั้งยังประสบความสำเร็จมากด้วย ซย่าโหวอวี๋ในชาติที่แล้ว เวลานี้จะต้องโวยวายเซียวหวนยกใหญ่เป็นแน่ ทว่าซย่าโหวอวี๋ในตอนนี้กลับไม่อยากพูดกับเขามากไปกว่านี้แม้แต่คำเดียว
นางพูด “ผู้บัญชาการกล่าวผิดแล้ว! เรื่องราวในราชสำนักเดิมทีข้าไม่สมควรก้าวก่าย เพียงแต่ข้าไม่อยากให้หน้าที่ของบรรพบุรุษ สายเลือดของวงศ์ตระกูลต้องขาดตอนไปในรุ่นของน้องชายเท่านั้นเอง” พูดจบ นางก็เปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าทางตำหนักทิงเจิ้งน่าจะหารือเรื่องการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่เสร็จแล้ว ไม่ทราบกำหนดวันขึ้นครองราชย์เป็นวันใด จะจัดพิธีราชาภิเษกที่ไหน สุสานของอดีตฮ่องเต้จะจัดการเช่นไร”
โดยทั่วไปพิธีราชาภิเษกล้วนจัดในตำหนักทิงเจิ้ง ตอนนี้โลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้ายังตั้งอยู่ในตำหนักทิงเจิ้ง คนในสำนักราชเลขาจะย้ายโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไปวัดวั่นเฉิงก่อนกำหนดเพื่อประจบเอาใจฮ่องเต้องค์ใหม่หรือไม่ สุสานของซย่าโหวโหย่วเต้าเพิ่งจะเริ่มสร้าง ไม่เพียงต้องใช้เงิน ยังต้องเพิ่มกำลังคนด้วย ชาติก่อนโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าตั้งอยู่ในวัดฉือเอินเป็นเวลาเจ็ดเดือน เฝิงซื่อยังเคยคิดจะตัดค่าธูปเทียนน้ำมันในการตั้งโลงของซย่าโหวโหย่วเต้าด้วยซ้ำ
นี่ต่างหากเรื่องที่นางเป็นห่วงมากที่สุด ส่วนเรื่องที่ราชสำนักควรเป็นเช่นไรนั้นไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับนางเลย ซย่าโหวอวี๋ปฏิเสธเซียวหวนอย่างเด็ดขาด
เซียวหวนหัวคิ้วขมวดมุ่น เขาคิดไม่ถึงว่าซย่าโหวอวี๋จะไม่ยอมรับฟังอะไรเลยเช่นนี้ เขาเองก็มีนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เช่นกัน เขาจึงพูดออกมาตรงๆ “ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการหารือเรื่องเหล่านี้ แม่ทัพใหญ่หลูคิดว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเรื่องเป่ยเหลียง ที่ผ่านมากู้ซย่าคอยยุยงเป่ยเหลียงเหวินตี้ให้ใช้กำลังทหารกับทางใต้มาตลอด บัดนี้เขาเป็นต้าซือหม่าแล้ว เกินครึ่งน่าจะโน้มน้าวให้เหวินตี้ยกทัพลงใต้ หยางโจว จิงโจวและเซียงหยางล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แทนที่ถึงเวลาพวกเราค่อยป้องกัน มิสู้รวบรวมกำลังทหารตั้งแต่ตอนนี้ ชิงยกทัพขึ้นเหนือเสียก่อน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงการโยกย้ายขุนนาง…”
เหมือนกับชาติที่แล้ว เซียวหวนก็เอาเรื่องนี้มาอ้าง ซย่าโหวโหย่วฝูจึงแต่งตั้งเขาเป็นต้าซือหม่า เขานำทหารสามหมื่นเดินทางขึ้นเหนือทางเซียงหยาง หลังจู่โจมเมืองติดกันสามเมือง เป่ยเหลียงเหวินตี้เสียชีวิตกะทันหัน เป่ยเหลียงโกลาหล องค์ชายหลายคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วอ้างว่าตนเองเป็นทายาทที่ถูกต้องโดยชอบธรรม พากันตั้งตัวเป็นใหญ่ ต่อสู้แย่งชิงภายใน เซียวหวนทำศึกไปจนถึงเมืองลั่วหยาง ชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่าเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง สั่นคลอนบารมีของหลูยวนเป็นอย่างยิ่ง
หลูยวนเห็นท่าไม่ดีจึงใช้เหตุผลว่าเซียวหวนมีความดีความชอบมากเกินไปจนคุกคามเจ้านาย โน้มน้าวเฝิงซื่อกับซย่าโหวโหย่วฝู ตัวนางเองก็ทะเลาะกับเซียวหวนอีก เซียวหวนไม่มีคนที่มีอำนาจในราชสำนักช่วยพูดแทน สุดท้ายจึงถูกบีบคั้นจนต้องย้อนกลับมาที่เมืองเจี้ยนคังอย่างจนใจ
นับแต่นั้นมา เซียวหวนก็ตระหนักถึงอำนาจในราชสำนัก ไม่รู้เขาใช้วิธีการใดโน้มน้าวเซี่ยตันหยาง สองคนช่วยเหลือพึ่งพากัน สามปีให้หลังเมื่อเป่ยเหลียงแตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย เซียวหวนจึงผลักดันเซี่ยตันหยางให้รับตำแหน่งซื่อจง เป็นราชเลขาธิการฝ่ายพระราชวัง ส่วนเขายกทัพขึ้นเหนือเป็นครั้งที่สอง
ชาตินี้เซียวหวนไม่อาจสนับสนุนให้ซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นครองราชย์ ไม่อาจใช้โอกาสนี้ก้าวกระโดดขึ้นเป็นขุนนางที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนัก ส่วนหลูยวนก็คิดจะแต่งตั้งซีไห่อ๋องเป็นฮ่องเต้ ทำให้สูญเสียความไว้วางใจจากฮ่องเต้องค์ใหม่ไป
นับว่าทั้งสองเสมอกัน เพียงแต่ไม่รู้ต่อจากนี้เซียวหวนจะมีแผนการอะไรและจะทำอะไรบ้าง
ซย่าโหวอวี๋ใคร่ครวญจนใจลอย พอนางได้สติกลับมา เซียวหวนก็กำลังพูดถึงเจตนาของหลูยวน “…แต่งตั้งหลูไหวเป็นแม่ทัพทัพกลาง บัญชาการกองทัพที่หยางโจว อวี้โจว สวีโจวสามมณฑล แต่งตั้งผู้ว่าการมณฑลสวีโจวเป็นกองหน้า ให้แม่ทัพอันซีเป็นผู้ตรวจการและหัวหน้าทัพ โยกย้ายเสบียงจากไหวอัน เดินทางขึ้นเหนือปราบเป่ยเหลียง”
นางฟังแล้วอดครุ่นคิดไม่ได้ “หลูยวนคิดจะข้ามแม่น้ำที่จิงโข่วหรือ”
หากราชสำนักคิดจะยกทัพขึ้นเหนือ มีเพียงสองเส้นทางเท่านั้น หนึ่งคือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำที่หนิวจู่ ขึ้นเหนือโดยผ่านลี่หยาง อีกเส้นทางคือไปทางทิศตะวันออก ข้ามแม่น้ำที่จิงโข่ว ขึ้นเหนือโดยผ่านก่วงหลิงและเผิงเฉิง การขึ้นเหนือจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ต้องอาศัยกำลังจากเซียงโจวจิงโจวสองมณฑล การขึ้นเหนือจากทิศตะวันออกต้องอาศัยกำลังจากสวีโจวอวี้โจวสองมณฑล”
ตอนนี้เซียวหวนดำรงตำแหน่งแม่ทัพเพี่ยวจี้ ผู้บัญชาการกองทัพสวีโจวอวี้โจวสองมณฑล หลูยวนเลือกเดินทางขึ้นเหนือทางทิศตะวันออก คงไม่ได้คิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดการเซียวหวนด้วยกระมัง
ซย่าโหวอวี๋ปรายตามองเซียวหวนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เซียวหวนยากจะปกปิดความตื่นตระหนกในใจ กงจู่ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แย่งชิงภายในวังอย่างซย่าโหวอวี๋ มิใช่ควรใส่ใจว่าตระกูลใดแสดงความเป็นมิตรต่อนางมากกว่า ขุนนางคนใดยินดีทำงานให้นาง สตรีบ้านใดไม่เคารพนาง บ้านใดมีความลับอะไรกระนั้นหรือ นางรู้ได้อย่างไรว่าการเดินทัพขึ้นเหนือต้องใช้เส้นทางใด
เซียวหวนมองซย่าโหวอวี๋อย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงรู้สึกว่าตนเองในฐานะฟู่หม่าของซย่าโหวอวี๋กลับเผยสีหน้าโง่งมเหมือนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลยแม้แต่น้อยออกมา เขารีบเก็บสีหน้า ทำท่าเหมือน ‘เรื่องนี้ไม่มีอะไรสักหน่อย พวกเราสมควรคุยกันเช่นนี้อยู่แล้ว’ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ถูกต้อง แม่ทัพใหญ่จะข้ามแม่น้ำที่จิงโข่วและเดินทัพขึ้นเหนือ”
ชาติก่อนเซียวหวนก็ข้ามแม่น้ำที่จิงโข่วและตีเมืองต่างๆ ไปจนถึงลั่วหยาง ทว่ายามนี้หลูไหวยังมีหลูยวนรักษาการณ์อยู่ที่เมืองเจี้ยนคัง ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเสบียงอาหาร ไม่แน่สงครามครั้งนี้อาจง่ายดายยิ่งกว่าตอนที่เซียวหวนทำสงครามครั้งนั้นเสียอีก
หรือว่านางมีชีวิตใหม่อีกครั้ง นอกจากจะช่วยชีวิตน้องชายไม่สำเร็จแล้ว ยังไปให้ประโยชน์แก่หลูยวน?
หากสกุลหลูสร้างความดีความชอบด้านสงครามครั้งนี้อีก ชื่อเสียงบารมีย่อมไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าในชาติก่อนด้วยซ้ำ เช่นนั้นนางมิต้องถูกหลูยวนกดขี่ต่อไปหรือ ซย่าโหวอวี๋ไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแน่นอน การไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การถูกบีบบังคับให้ออกไปอยู่ต่างถิ่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
มิน่าเซียวหวนถึงได้มาหานาง เขาต้องคิดถึงปัญหาข้อนี้เหมือนกันแน่
ซย่าโหวอวี๋พูด “ท่านมีความคิดเช่นไร”
เซียวหวนขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้สำคัญ หรือเพราะสีหน้าของซย่าโหวอวี๋เมื่อครู่นี้ทำให้เขาต้องมองนางใหม่ สีหน้าเขาเคร่งขรึมกว่าเมื่อครู่นี้หลายส่วน พูดเสียงเครียด “ก่อนที่แม่ทัพใหญ่จะเสนอให้หลูไหวเป็นผู้รับผิดชอบนำทัพขึ้นเหนือ ได้เสนอให้ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพในเซียงโจว จิงโจวสองมณฑล”
น้าชายของซย่าโหวอวี๋เป็นผู้ว่าการมณฑลจิงโจว หากเซียวหวนเป็นผู้บัญชาการกองทัพในเซียงโจว จิงโจวสองมณฑล เขาย่อมกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของเจิ้งเฟินน้าชายของซย่าโหวอวี๋
เรื่องนี้จะให้สกุลเจิ้งคิดเช่นไร จะให้นางคิดเช่นไร
แต่ซย่าโหวอวี๋จำต้องยอมรับว่าหลูยวนดีดลูกคิดได้ไม่เลวจริงๆ ให้สกุลเจิ้งกับสกุลเซียวแย่งชิงอำนาจอยู่ทางตะวันตก สิ้นเปลืองกำลังของตระกูล ส่วนสกุลหลูกลับยึดครองเจียงหนาน วางแผนอย่างผ่อนคลาย กุมอำนาจในราชสำนักแต่เพียงผู้เดียว อนาคตข้างหน้าสองสกุลย่อมเห็นผลแพ้ชนะชัดเจน
กระนั้นเซียวหวนตั้งใจมาบอกนางเรื่องนี้ คิดว่าคงตระหนักได้ว่าการจัดการเช่นนี้ไม่เหมาะสม เรื่องนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
เซียวหวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ซย่าโหวอวี๋เป็นภรรยาของเขา นางมีฐานะสูงศักดิ์ เขาเองก็ไม่เรียกร้องให้นางเคารพนอบน้อมเขา แต่ท่าทางแบ่งแยกเรื่องงานชัดเจน ดูเกรงใจและเหินห่างเช่นนี้ เขาคิดอย่างไรก็รู้สึกขัดใจเหลือเกิน
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.