X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 10-12

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 10 จากไปพร้อมสายฝนพรำ

“เจ้าสาม เจ้าคิดจะทำอะไร” สวี่ซื่อถามขึ้นอีกครั้ง สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก

องค์หญิงใหญ่กวาดสายพระเนตรมองเฉินอิ๋งคราหนึ่ง พระขนงงามที่โก่งสูงอยู่เล็กน้อยคู่นั้นขมวดเข้าหากัน บริเวณหว่างพระขนงคล้ายมีคนแต้มหมึกไว้สองกลุ่ม

ทรงสะบัดแขนเสื้อพลางรับสั่งน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “เด็กผู้นี้ เหตุใดต้องมากพิธีด้วย เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ข้าไม่ถือสาเอาความเจ้า”

“หม่อมฉันมิได้กระทำผิดอันใด ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์อภัยโทษให้เพคะ” เฉินอิ๋งตอบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ท่าทางแข็งขืนอย่างไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำมาก่อน

สวี่ซื่อหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เฉินอิ๋งก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน น้ำเสียงกระจ่างชัดเป็นพิเศษ “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เซียงซานเซี่ยนจู่เป็นผู้ก่อ ความผิดมีสามประการ หนึ่งไม่เคารพอาวุโส ทำลายข้าวของของอดีตฮ่องเต้ สองซื้อตัวคนให้กระทำการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น กล่าวหาว่าพี่ใหญ่ของหม่อมฉันเป็นขโมย สามใช้อำนาจรังแกผู้คน ทำลายพระเกียรติของเหล่าราชนิกุลรวมถึงไทเฮา”

หลังกล่าวออกมารวดเดียวจบ นางก็ชี้ไปยังข้าวของที่อยู่บนโต๊ะ น้ำเสียงกลับกลายจริงจัง “ทั้งหมดนี้คือหลักฐานคำให้การเพคะ” หลังจากนั้นก็ชี้ไปยังประตูใหญ่เรือนรับรองที่อยู่ด้านหลัง “สาวใช้จวนเจิ้นหย่วนโหวเถาจือคือพยาน เมื่อครู่นางถูกสตรีสูงวัยสองคนนำตัวออกไป”

เรือนรับรองเงียบสงัดราวกับคนตายที่พูดไม่ได้ ทุกคนต่างสองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง

คุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับองค์หญิงใหญ่เช่นนี้

หรือนางไม่กลัวถูกไทเฮาตำหนิเอา?

“หม่อมฉันพูดจบแล้ว ตอนนี้รู้สึกไม่ใคร่สบาย อยากกลับไปพักที่รถม้า หม่อมฉันทูลลาเพคะ” เฉินอิ๋งพูดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย น้ำเสียงหนักแน่นสงบนิ่ง นางค้อมกายแสดงคารวะ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากเรือนรับรองไป

องค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์เขียวคล้ำ นางกำนัลที่อยู่ทางด้านหลังอ้าปากเตรียมตวาด

“หยางมามาตามออกไปดูหน่อย อย่าปล่อยให้เจ้าสามหลงทาง” สวี่ซื่อชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน น้ำเสียงอ่อนละมุน ท่าทางสุภาพเยือกเย็น ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าคิดตัดหน้าชิงเอ่ยปาก

หลังพูดจบนางก็หันไปมององค์หญิงใหญ่ สีหน้ายังคงละมุนละม่อมเหมือนทุกครั้ง “เจ้าสามยังเป็นเด็ก ขออย่าได้ทรงถือสากับเด็กไม่รู้ประสีประสาเลยนะเพคะ”

นางถอนหายใจเบาๆ คล้ายนึกขึ้นได้ถึงเรื่องทุกข์ใจอะไรบางอย่างก่อนจะกล่าวต่อ “จะว่าไป หากสะใภ้รองมิได้ป่วย วันนี้นางต้องมาร่วมงานด้วยเป็นแน่ ยามนี้บ้านรองได้แต่ต้องพึ่งเจ้าสามดูแลจัดการ เด็กผู้นี้จะว่าไปนับว่าน่าสงสารยิ่งนัก”

สวี่ซื่อพูดพลางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมากดที่หางตา คล้ายโศกาอาดูรยิ่ง

คำพูดของสวี่ซื่อนี้เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ขอเพียงองค์หญิงใหญ่ทรงตำหนิอันใดออกมาแม้เพียงน้อย นั่นก็เท่ากับว่าทรงกำลังรังแกเด็กน้อยน่าเวทนาที่ไม่เพียงขาดบิดา แม้แต่มารดาก็กำลังล้มป่วย

องค์หญิงใหญ่ทรงถือตนว่ามีฐานะสูงส่ง ไหนเลยจะยอมเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น

ว่ากันด้วยเรื่องฐานะ เฉินอิ๋งย่อมมีโทษฐานล่วงเกินเบื้องสูง ทว่าหากว่ากันด้วยเรื่องอายุ องค์หญิงใหญ่อายุยังมากกว่ามารดาของเฉินอิ๋งอยู่หลายปี แล้วมีหรือจะบันดาลโทสะใส่ดรุณีน้อยนางหนึ่งต่อหน้าทุกคน

คำพูดเช่นนี้ของสวี่ซื่อนับว่าสมแล้วกับที่เป็นฮูหยินใหญ่ แข็งแกร่งอ่อนละมุน ไม่เพียงสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ หนำซ้ำยังไม่แสดงท่าทีอ่อนแอให้ได้เห็น

บรรยากาศในเรือนรับรองผ่อนคลายลง

กัวย่วนหน้าดำหน้าแดง โมโหอับอายแทบคลั่ง นางทำท่าจะลุกขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะองค์หญิงใหญ่ทรงกดมือนางไว้แน่น หนำซ้ำยังส่งสายตาเฉียบขาดให้นางติดๆ กันหลายครั้งหลายหนจนนางมิอาจระเบิดโทสะ

เฉินอิ๋งในเพลานี้เดินออกมาอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินนานแล้ว สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองตามนางไป ดูนางเอ้อระเหยมองหาร่มอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน ปฏิเสธการปรนนิบัติของหยางมามากับสาวใช้เสื้อสีคราม ก่อนจะยกร่มขึ้นเดินออกไปอยู่ท่ามกลางสายฝนเล็กละเอียดที่โปรยปรายอยู่ทั่วแผ่นฟ้า

เรือนรับรองตกอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน

ในเวลานั้นทุกคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาประการเดียวกัน

คุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้วิเศษวิโสมาจากที่ใดกัน

เหตุใดถึงกล้ากระตุกหนวดพยัคฆ์ขององค์หญิงใหญ่ หนำซ้ำยังปลีกตัวจากไปได้อย่างปลอดภัยเช่นนั้น นี่เป็นเพราะนางใจกล้าหรือเพราะนางโชคดียิ่งกันแน่

ผู้คนจำนวนมากต่างกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ…

 

งานเลี้ยงรับวสันต์คฤหาสน์อู่หลิงจบสิ้นลงแล้ว สีหน้าของตู้ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเจิ้นหย่วนโหวจนถึงสุดท้ายก็ยังคงตึงเครียดไม่คลาย

ที่สีหน้าย่ำแย่แน่นอนว่าไม่ใช่มีเพียงนางผู้เดียว องค์หญิงใหญ่สองแม่ลูกนั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่ยิ่งกว่า

ทันทีที่นั่งลงบนรถม้า กัวย่วนก็ไม่พูดไม่จา ดึงปิ่นทองบนศีรษะลง ทิ่มแทงใส่หัวใส่หน้าของเส่าหงพลางร้องก่นด่า “เจ้ามันน่าตายนัก! แพศยาหน้าไม่อาย! คนชั้นต่ำงี่เง่า! เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอยู่ในส้วมเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอยู่ข้างนอก ข้าสั่งให้เจ้าหลบ! ข้าสั่งให้เจ้าหลบไป!”

เส่าหงเจ็บปวดเนื้อตัวสั่น ไม่กล้าหลบเลี่ยง ทำได้แต่เพียงคุกเข่าอยู่ที่นั่น น้ำตาเปื้อนเลือดอาบใบหน้าชวนสยดสยอง

“พอแล้วๆ เจ้าก็หยุดเถอะ” องค์หญิงใหญ่ทรงดึงกัวย่วนไว้ สีพระพักตร์อับจนยิ่ง “แม้แต่กับสาวใช้ก็ยังไม่เว้น เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ”

ถึงจะทรงตำหนิแต่น้ำเสียงกลับยังคงอบอุ่นอ่อนโยน ทรงประคองมือของกัวย่วนขึ้นเป่า “เจ็บหรือไม่ ต้องให้แม่ช่วยนวดให้หรือเปล่า”

อารมณ์ขุ่นข้องที่อัดแน่นอยู่ภายในใจเป็นนานของกัวย่วนจู่ๆ ก็ระเบิดออกทันที นางเขวี้ยงปิ่นในมือทิ้ง ถลากอดองค์หญิงใหญ่ร่ำไห้เสียงดัง พูดสะอึกสะอื้นว่า “จวนเฉิงกั๋วกง…รังแกกันเกินไปแล้ว เสด็จแม่เหตุใดถึงไม่ทรงลงโทษพวกนาง…ให้คุกเข่าสำนึกผิด เหตุใดถึงปล่อยให้ลูกถูกพวกนางรังแกเช่นนี้”

นางกระทืบเท้าร่ำไห้ด้วยทั้งอับอายและโมโห “คุณหนูสามบัดซบ! ตัวบัดซบ! เสด็จแม่ ลูกต้องการให้นางชื่อเสียงป่นปี้! ลูกต้องการล้างแค้น!”

องค์หญิงใหญ่ทรงโอบกอดนางไว้ ลูบแผ่นหลังของผู้เป็นบุตรีอย่างเอ็นดูรักใคร่และรับสั่งอย่างทะนุถนอม “ได้ๆ เด็กดี เลิกร้องได้แล้ว ไว้แม่ค่อยเข้าวังกราบทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จยายเอง รับรองจะต้องให้คุณหนูสามสกุลเฉินมาคุกเข่าอยู่แทบเท้าเจ้า ให้เจ้าได้จัดการตามแต่ใจ”

ได้ยินเช่นนั้นกัวย่วนก็หยุดร้องทันที นางเงยหน้างดงามเปื้อนน้ำตาราวดอกสาลี่พร่างพรมด้วยหยาดฝนจ้องมองดูองค์หญิงใหญ่ ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตาเบิกกว้างกะพริบปริบๆ คล้ายไม่นึกอยากเชื่อ “เสด็จแม่ทรงพูดจริง ไม่ใช่แค่คิดปลอบลูกใช่หรือไม่เพคะ”

“ดูเจ้าสิ หน้าตาเลอะเทอะมอมแมมหมดแล้ว แม่เคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” องค์หญิงใหญ่ทรงจิ้มปลายจมูกผู้เป็นบุตรี สีพระพักตร์เอ็นดูรักใคร่ แต่แล้วจู่ๆ พระขนงงามของพระองค์ก็ลู่ต่ำ พระสุรเสียงเย็นเยียบ “เรื่องในวันนี้แม่ทำไม่ถูกที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับเจ้า แต่เจ้าวางใจ แม่ต้องให้คุณหนูสามสกุลเฉินยอมรับผิดต่อหน้าเจ้าให้ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะจัดการกับนางเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า”

“เสด็จแม่ดีต่อลูกยิ่งนัก!” กัวย่วนเลิกร้องไห้ นางยิ้มและกอดองค์หญิงใหญ่ สีหน้าเบิกบานยิ่ง “เสด็จแม่ คราวนี้ท่านห้ามขวางลูกอีก ลูกจะให้คนถอดเสื้อคุณหนูสามออก โบยนางอย่างหนักกลางห้องโถงใหญ่ต่อหน้าทุกคน ดูซิว่าวันหน้านางจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร”

“เอาเถอะๆ จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า อยากทำเช่นไรก็เช่นนั้น” องค์หญิงใหญ่รับสั่งด้วยความเมตตารักใคร่ ก่อนจะทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยนางซับน้ำตา “เลิกร้องได้แล้ว ดูเจ้าสิ ร้องจนจะเป็นแมวลายอยู่แล้ว”

กัวย่วนค่อยๆ หยุดร้องไห้ พอเห็นเส่าหงยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด นางก็ถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่ายคราหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นชิงชัง “หรือต้องให้ข้าเอ่ยปากเชิญ เจ้าไปตายอยู่ที่ใด ยังไม่รีบเล่าความจริงออกมาอีก”

บทที่ 11 ละอองฝนเพิ่งจางหาย

พอได้ยินเช่นนั้นเส่าหงถึงกล้าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตา นางเอ่ยปากเสียงสั่นว่า “เรียนเซี่ยนจู่ หลังเอาหยกไปวางไว้ในห้องสุขา ผู้น้อยก็ทำตามคำสั่งของเซี่ยนจู่ ไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกรอบหนึ่ง ตอนกำลังจะกลับมาที่เรือนรับรองกลับถูกสาวใช้ผู้หนึ่งทำน้ำชาหกใส่จนเปียกโชกไปทั้งตัว สาวใช้นางนั้นพร่ำร้องขอความเมตตาไม่หยุด หนำซ้ำยังลากผู้น้อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องสุขาของพวกบ่าวไพร่ ผู้น้อยกลัวว่าหากติดตามเซี่ยนจู่ไปในสภาพนั้นจะเป็นการเสียมารยาทเลยตามนางไป สุดท้าย…” นางเนื้อตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

กัวย่วนสองตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ โกรธที่ไม่อาจดึงปิ่นออกมาทิ่มแทงใส่คนได้อีก

เรื่องราวหลังจากนั้นย่อมเดาได้ไม่ยาก เส่าหงต้องถูกคนวางแผนลากพาตัวไปห้องสุขาแน่ และคนที่วางแผนย่อมไม่แคล้วเป็นคุณหนูสามสกุลเฉิน

เสียฟางที่อยู่อีกด้านพอเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ใจกล้าตรงเข้ามาทุบตีเส่าหงเต็มแรงสองที เอ่ยปากรวดเร็วสีหน้าขึงขังว่า “หัวเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรือ ใครลากไปที่ใดก็ไป ชาวบ้านเรียกให้เจ้าไปตายเจ้าจะไปตายหรือไม่ ยังมีหน้ามาร้องห่มร้องไห้อีก”

เส่าหงไม่กล้าพูด ทำได้เพียงหมอบตัวสั่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุด พรมสีครามเปียกชื้นเป็นด่างดวงขึ้นมาทันที

“ช่างเถอะ เสียฟาง เจ้าช่วยจัดการนางแทนข้าด้วย อีกเดี๋ยวพอลงจากรถม้าเจ้าก็จัดการหาผ้าคลุมหน้าให้นางใส่เสีย หน้าตาเช่นนี้กว่าจะหายก็คงต้องอีกสักระยะ” ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็มีรับสั่ง

เสียฟางนึกโล่งอก รีบกดหัวเส่าหงขอบพระทัย ก่อนจะพานางไปจัดการที่มุมมุมหนึ่ง

องค์หญิงใหญ่ทรงโอบกัวย่วนไว้ในอ้อมแขนพร้อมรับสั่งนุ่มนวล “นิสัยของเจ้าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยน แค่บ่าวไพร่ผู้หนึ่งเท่านั้น หากรู้สึกขัดหูขัดตานักก็สั่งให้พวกมามาจัดการเฆี่ยนโบยเท่านั้นก็ได้แล้ว เหตุใดต้องลงมือเอง”

กัวย่วนนัยน์ตาแดงเรื่อขึ้นมาอีกคราว นางพูดสะอึกสะอื้น “ก็ลูกคับแค้นใจ คุณหนูสามนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ลูก…”

นางพูดต่อไม่ออก น้ำตาหลั่งรินออกมาอีก

เพราะมีบุตรีเพียงหนึ่งเดียว องค์หญิงใหญ่จึงทรงเอ็นดูนางราวกับไข่ในหิน ยามนี้พอเห็นกัวย่วนร่ำไห้ออกมาอีก ไหนเลยจะยังตำหนิอีกฝ่ายได้แม้เพียงครึ่งประโยค องค์หญิงใหญ่โอบกอดกัวย่วนไว้พลางเอ่ยปากเรียกแก้วตาดวงใจไม่หยุด หนำซ้ำยังรับปากนางอีกหลายต่อหลายเรื่อง บรรยากาศภายในรถถึงได้ผ่อนคลายลงอีกครั้ง

 

บรรยากาศภายในรถม้าของจวนองค์หญิงใหญ่นั้นมารดาเมตตาบุตรีเอ็นดูรักใคร่กันเพียงใดไม่ต้องพูดถึง ทว่ารถม้าของจวนกั๋วกงยามนี้กลับมีเพียงความเงียบงัน

หลังขึ้นรถม้าสวี่ซื่อก็ไม่กล่าวอะไรแม้แต่ครึ่งคำ นางทำเพียงหลับตาเอาแรงพิงร่างอยู่กับหมอนอิงปักลายทัศนียภาพสีดำขาว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ คล้ายอ่อนล้า

บนรถมีเพียงเฉินอิ๋งกับนางสองคนเท่านั้น แม้แต่สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรินน้ำให้สักคนก็ไม่มี ส่วนพวกเฉินจิ่นถูกสวี่ซื่อไล่ให้ไปขึ้นรถม้าอีกคัน โดยมีฮูหยินสามเสิ่นซื่อเป็นคนพาไป

เฉินอิ๋งเชื่อว่าบนรถม้าคันนั้นบรรยากาศต้องคึกคักยิ่งยวดแน่ ด้วยนิสัยของเสิ่นซื่อ ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรนางก็ต้องหาเรื่องออกมาจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ขายหน้ายามนี้คือบ้านใหญ่ ล่วงเกินองค์หญิงใหญ่คือบ้านรอง บ้านสามทำตัวสงบนิ่ง นางย่อมรอดูด้วยความยินดีปรีดา

ข้อดีของการดูไฟชายฝั่ง* คือไม่ว่าเช่นไรไฟนั่นก็ไม่มีทางลุกลามมาถึงตัวได้ ดังนั้นเรื่องคึกคักครึกครื้นที่เกิดขึ้นนั้นย่อมน่าสนใจยิ่งนัก

ตอนกลับถึงจวนกั๋วกงพระอาทิตย์ก็ใกล้ลาลับขอบฟ้าแล้ว ฝนไม่รู้หยุดตกตั้งแต่เมื่อใด แสงสายัณห์ทอดตัวเอียงเฉียงแหวกผ่านทะลุม่านเมฆลงมาจับอยู่บนพื้นพสุธา ไม่ต่างอะไรกับผ้าโปร่งสีทองผืนใหญ่

พวกสวี่ซื่อลงจากรถม้าเปลี่ยนมานั่งเกี้ยว เกี้ยวไหมครามหลังน้อยเคลื่อนผ่านประตูข้าง ทะลุโถงผ่านลานก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา ทุกคนลงจากเกี้ยวได้ไม่ทันไรโคมไฟสีแดงสองดวงเหนือประตูฉุยฮวาก็สว่างขึ้น แสงสีแดงทองสว่างไสวอบอุ่นราวกับเปลวเพลิง

“สะใภ้สามคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะพาพวกเด็กๆ ไปกล่าวคำทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อน” สวี่ซื่อบอกต่อเสิ่นซื่อด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ

“ทำเช่นนั้น…คงไม่เหมาะกระมัง” เสิ่นซื่อไม่คิดจากไป นางสองตาวับวาวเป็นประกายด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “ทุกคนไปกันหมด เว้นก็แต่ข้าที่ไม่ไป ทำเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดกับข้าเช่นไรเล่า”

“มีข้าอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะตำหนิเจ้า” สวี่ซื่อไม่เปิดช่องให้นางแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยนดังเก่า คล้ายตกลงเจรจากันได้ไม่ยาก

“ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบความสงบ ไม่นิยมคนมาก สะใภ้สามหาได้จำเป็นต้องไปไม่ แม้นมีเรื่องอันใด ไว้ถามเจ้าสองกับเจ้าสี่ภายหลังก็เหมือนกัน”

มีเฉินเซียงกับเฉินหานไปพบฮูหยินผู้เฒ่าสวี่อยู่แล้ว นางมิได้คิดจงใจกีดกันบ้านสาม คำพูดของสวี่ซื่อนี้ชัดเจนมากพอแล้ว

เสิ่นซื่อแม้จะไม่พอใจแต่ก็ทำได้เพียงฝืนรับคำ ตอนเดินจากไปสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก

ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ ‘ต่อสู้ทำศึก’ กับสวี่ซื่อมา นางไม่เคยชนะอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่สักครั้ง เรื่องนี้กระตุ้นอารมณ์อยากเอาชนะของนางยิ่งยวด ยิ่งพ่ายแพ้ก็ยิ่งฮึกเหิม ทุกครั้งที่พ่ายแพ้นางก็จะหายหน้าไปสองสามวันก่อนจะหวนกลับมาใหม่ สวี่ซื่อจึงคุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนี้ของอีกฝ่ายนานแล้ว

หลังไล่เสิ่นซื่อจากไปเป็นที่เรียบร้อย สวี่ซื่อก็พาพวกเฉินจิ่นไปยังเรือนหมิงหย่วน

เรือนหมิงหย่วนเป็นที่พำนักของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของจวน ประกอบด้วยเรือนย่อยห้าหลัง สามหลังรับแสงได้ดี อีกสองหลังได้รับแสงน้อย ด้านนอกยังประกอบด้วยห้องข้าง โถงรับรองส่วนหน้า และเรือนอุ่น รูปแบบถูกต้องตามมาตรฐาน ลานกว้างโล่งรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสงบเงียบไม่สับสนวุ่นวาย ขนาดฝุ่นที่ฝังอยู่ระหว่างช่องว่างของแผ่นอิฐเขียวครามก็ยังถูกปัดกวาดจนสะอาดเอี่ยม

เพราะรู้ข่าวแต่แรกแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่จึงสั่งหญิงรับใช้อาวุโสที่ชื่อหลิวเป่าซ่านจยาให้รอเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ทันทีที่เห็นสวี่ซื่อพาคนเข้ามา หลิวเป่าซ่านจยาก็ระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตรงเข้าไปต้อนรับพลางเอ่ยปาก “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูทั้งหลายมาได้เวลาพอดี ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังจะให้คนไปตามตัวพวกท่านมาพูดคุยสนทนาแก้เบื่ออยู่เชียว พวกท่านมาถูกจังหวะเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องดีใจแน่นอนเจ้าค่ะ”

สวี่ซื่อแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม แต่ยามนี้อย่างไรก็ยังต้องปั้นยิ้ม นางเอ่ยปากหยอกเย้าอีกฝ่าย “อีกไม่นานก็จะถึงเวลาอาหาร พวกเราแวะมาไม่นานก็จะไปแล้ว ไม่รบกวนเวลาอาหารของฮูหยินผู้เฒ่า รบกวนมามาเรียนฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้เถิด”

“ฮูหยินใหญ่ชอบพูดเล่นยิ่งนัก” หลิวเป่าซ่านจยายิ้มสองตาหยีเป็นเส้น นางแสดงคารวะต่อคุณหนูทั้งหลายตามลำดับ ก่อนจะหันกลับไปนำทาง “ฮูหยินผู้เฒ่ารออยู่ในห้องแล้ว ผู้น้อยนำทางทุกท่านไปเอง”

ขณะกำลังพูดคุยสัพยอก ท่ามกลางวงล้อมของพวกสาวใช้ ในที่สุดพวกนางก็เดินไปถึงหน้าประตูเรือนประธาน ทุกคนต่างพากันหยุดพูด หลิวเป่าซ่านจยาเดินขึ้นหน้าเลิกม่านประตูออกด้วยตนเอง ปล่อยให้คนอื่นๆ เดินเข้าไปภายใน

ในห้องแม้จะยังไม่ได้จุดโคม แต่กลับไม่มืดมิด แสงสีแดงทองฉาบอยู่บนหน้าต่างกระดาษ พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงัด

ทุกคนลอดผ่านซุ้มสลักลายเถาองุ่นละเอียดประณีตระหว่างหัวเสา เลี้ยวผ่านบังตาไม้จันทน์หกพับฝังกระจกลายสนกระเรียนอายุวัฒนะ เดินตรงเข้าไปยังห้องเชื่อมฝั่งตะวันออกเงียบๆ สวี่ซื่อนำพาเหล่าคุณหนูขึ้นหน้าแสดงคารวะ

“ลุกขึ้นเถอะ นั่งสิ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ท่าทางเปี่ยมเมตตา นางยกมือขึ้นน้อยๆ หลิวเป่าซ่านจยาก็รีบค้อมเอว พาพวกสาวใช้ถอยจากไป

ทุกคนนั่งลงตามลำดับอาวุโส สวี่ซื่อเองก็ไม่ยอมเสียเวลา นางกล่าวรายงานแผ่วเบา “ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดให้อภัย ข้าไม่ควรรีบร้อนแวะมาเช่นนี้ แม้นมีคำพูดอันใดก็ไม่ควรพูดต่อหน้าพวกเด็กๆ ทว่าวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องเล็กๆ ข้าหากล้าตัดสินใจโดยพลการไม่ จึงใคร่ขอฮูหยินผู้เฒ่าช่วยชี้แนะ เด็กๆ พวกนี้ล้วนอยู่ที่นั่นตอนเกิดเรื่องเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง มิได้ปฏิเสธและมิได้เห็นชอบ

สวี่ซื่อหันมองไปทางเฉินเซียง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าสอง เด็กดี เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านย่าฟังเถิด”

อาจเพราะเฉินเซียงได้รับการชี้แนะมาก่อน ยามนี้จึงไม่มีทีท่าประหลาดใจอันใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย บางทีอาจเพราะต้องตอบคำถามต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสวี่

บทที่ 12 อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเหตุและผล

เฉินเซียงเล่าเรื่องยืดยาวเพราะนางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หนำซ้ำยังอยู่ในเรือนรับรองนั่นมาโดยตลอด อีกทั้งยังรู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าเฉินอิ๋ง ดังนั้นจึงเล่าได้กระจ่างแจ้ง

หลังเล่าจบ สวี่ซื่อก็พูดน้ำเสียงอ่อนละมุน “นั่งลงเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว ดื่มน้ำดับกระหายเสียก่อน”

ใบหน้างดงามของเฉินเซียงแดงระเรื่อขึ้นมาน้อยๆ นางค้อมกายนั่งกลับลงไป

สวี่ซื่อหันไปหาฮูหยินผู้เฒ่าสวี่อีกครั้ง เอ่ยปากอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าดูเอาเถิด เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ยังมีเรื่องที่เจ้าสองไม่เห็นอีก ตอนพวกเรากล่าวอำลา องค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์บึ้งตึงตลอดเวลา พยักพระพักตร์เพียงครั้งก็เสด็จจากไปแล้ว หนำซ้ำยังจูงฮูหยินรองสกุลกู้พูดคุยเรื่องราวสารพัดสารพัน เชื่อว่าเรื่องราวในวันนี้พวกเราคงล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ไม่ใช่น้อยแล้วเจ้าค่ะ”

นางพูดพลางถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดซับลงบนหางตา จู่ๆ ก็สะอึกสะอื้น “ลูกจิ่นเป็นลูกที่ข้าให้กำเนิด ต้องทนรับความอยุติธรรมใหญ่หลวงเช่นนี้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจนัก ทว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่รับสั่งยอมรับผิดแล้ว ข้าย่อมไม่ควรต่อปากต่อคำคิดเอาชนะคะคานอันใดกับนางอีก อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมเอาไว้ก่อน ทว่ายามนี้ดูท่าองค์หญิงใหญ่จะกริ้วมาก เรื่องอื่นอันใดข้าไม่กลัว กลัวก็แต่จะทรงหาเรื่องสร้างความวุ่นวายจนเรื่องนี้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของไทเฮา หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่”

นางคล้ายยิ่งพูดยิ่งเป็นกังวล จึงถอนหายใจยาวๆ ออกมาอีกครั้งก่อนจะเก็บผ้าเช็ดหน้า “ยามนี้ถึงใคร่ขอคำชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องนี้พวกเราควรจัดการเช่นไรดีเจ้าคะ”

เฉินจิ่นนั่งไม่เป็นสุข คิดเอ่ยปากก็ทำได้แค่หยุดไว้ นางได้แต่คิดเท่านั้น ก็เหมือนตอนอยู่ในเรือนรับรองที่นางหมายจะเอ่ยปากนั่นปะไร

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปิดเปลือกตาลงน้อยๆ นิ่งเงียบอยู่เป็นนานคล้ายงีบหลับ

สวี่ซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เดิมคืออาหลานกัน นางเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นางรู้ดีว่าในเวลานี้ไม่เหมาะจะรบกวน จึงทำเพียงนั่งจิบชาเงียบๆ

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ขยับกายน้อยๆ อยู่บนเก้าอี้ ปริปากพูดออกมาเนิบๆ “เจ้าสาม เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”

เฉินอิ๋งลุกขึ้นยืน ค้อมกายคารวะอีกฝ่ายก่อนจะยืดตัวตรง “มีเจ้าค่ะท่านย่า”

สวี่ซื่อกวาดตามองนางด้วยสายตาเมินเฉยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้ากดซับลงที่มุมปาก

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่รู้สึกประหลาดใจ คล้ายนึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งมีอะไรต้องการจะพูด นางตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าว่ามา”

เฉินอิ๋งค้อมกายแสดงคารวะอีกครั้ง พูดน้ำเสียงกระจ่างชัด “ท่านย่า ท่านป้าใหญ่พูดเหตุและผลกลับกันแล้ว”

สวี่ซื่อตะลึง ผ้าเช็ดหน้าค้างอยู่ห่างจากริมฝีปาก

เหตุใดจู่ๆ นางถึงยกเอาเรื่องเหตุและผลขึ้นมาพูด

หรือเฉินอิ๋งคิดว่าไม่ควรเอ่ยปากขอรับโทษจากฮูหยินผู้เฒ่า

ขอรับโทษมีอะไรเกี่ยวกับเหตุและผล

“เหตุและผลอะไรของเจ้า” สวี่ซื่อถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ

“เรียนท่านป้าใหญ่ ที่หลานพูดคือเหตุและผลของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้” เฉินอิ๋งตอบน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเราล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ไม่ใช่ผล หากแต่เป็นเหตุ เพราะองค์หญิงใหญ่มีพระทัยหมายสร้างความลำบากใจให้กับจวนกั๋วกงอยู่แต่แรก ดังนั้นถึงได้เกิดเรื่องเซียงซานเซี่ยนจู่ใส่ไคล้พี่ใหญ่”

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ที่เฝ้าปรือตามาโดยตลอดลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก แววตาราวกับอสนีบาตเย็นเยียบกวาดมองมาทางเฉินอิ๋ง

เฉินอิ๋งตระหนักรู้ได้ทันที นั่นไม่ใช่สายตาที่หญิงชราผู้หนึ่งพึงมี

คมกริบ วับวาว เฉียบขาด แฝงไว้ซึ่งพลังทะลุทะลวงรุนแรงประหนึ่งอสนีบาตฟาดใส่ร่าง ทำเอาคนหนาวสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย

เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสองต่างเบนสายตาไปทางอื่น

สายตาเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่กับสายตาสงบนิ่งของเฉินอิ๋งราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่โปรดปรานหลานสาวผู้นี้ยิ่ง ก็เหมือนกับเฉินอิ๋งที่ไม่ปลื้มท่านย่าของตนเองสักเท่าใด

อันที่จริงนับตั้งแต่เฉินอิ๋งจำความได้ นางก็ไม่อาจนึกชอบท่านย่าของตนเอง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสวี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเฉินอิ๋งนางก็รักใคร่เอ็นดูหลานสาวสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกผู้นี้ไม่ลง

ทว่าในเวลานี้ ย่าหลานที่ต่างชังน้ำหน้าซึ่งกันและกันกลับประหลาดใจที่รับรู้ได้ถึงความสอดคล้องทางด้านความคิดอ่านบางอย่างของกันและกัน

มุมปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นในองศาแปลกประหลาด ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หลับตาลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากเห็นหลานสาวเจ้าของรอยยิ้มพิลึกพิลั่นนั่น หรือว่าต้องการใช้วิธีการนี้แสดงถึงความลึกล้ำของตนเองกันแน่

“เจ้าสาม คำพูดนี้ของเจ้าหมายความเช่นไร” สวี่ซื่อถามขึ้นอีกคราว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้นทุกที ทำให้นางแลดูหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ

“หลานได้ยินว่ายามนี้ใกล้เลือกพระชายาเอกในองค์รัชทายาทแล้ว” เฉินอิ๋งไม่ได้ตอบคำถามของสวี่ซื่อตรงๆ หากกลับเปิดเรื่องใหม่ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย

คำพูดนี้ทำสวี่ซื่อหน้าเปลี่ยนสีได้สำเร็จ เสียงของนางยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เจ้าว่าอะไรของเจ้า เรื่องคัดเลือกพระชายาเอกในองค์รัชทายาทเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

เฉินอิ๋งลอบถอนใจออกมาคราวหนึ่ง น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งเหมือนเก่า “หลานเองก็ได้ยินคนพูดมาเช่นกัน องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงหมายมั่นปั้นมือจะให้สตรีสกุลกัวได้เข้าวัง”

“เจ้าพูดว่า…สกุลกัว?” สวี่ซื่อไม่นึกอยากเชื่อ

องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงอภิเษกกับกัวจุ่น บุตรชายคนโตของภรรยาเอกของซิงจี้ป๋อ เรื่องนี้ในเวลานั้นนับเป็น ‘เรื่องใหญ่’ เรื่องหนึ่ง หนึ่งก็ด้วยเพราะองค์หญิงใหญ่มีพระชนมายุยี่สิบสอง โตกว่ากัวจุ่นถึงสองปี เรียกได้ว่าออกเรือนตอน ‘สูงวัย’ สองเพราะกัวจุ่นเป็นพ่อม่ายเมียตายตอนอายุสิบเก้า อายุยี่สิบกลายเป็นราชบุตรเขย ตอนปลายปีที่อภิเษกองค์หญิงใหญ่ทรงให้การประสูติเซียงซานเซี่ยนจู่

ส่วนองค์หญิงใหญ่เหตุใดถึงยอมอภิเษกสมรสกับพ่อม่ายอย่างกัวจุ่น แค่ดูจากรูปร่างหน้าตาของเซียงซานเซี่ยนจู่ก็รู้ได้แล้ว

กัวจุ่นตอนวัยหนุ่มชัดว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองเซิ่งจิง ต่อให้ตอนนี้คนเข้าสู่วัยกลางคน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงหล่อเหลางามสง่า องค์หญิงใหญ่ในยามนั้นตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น ยืนกรานว่านอกจากเขาแล้วไม่ขออภิเษกกับผู้ใดทั้งสิ้น สุดท้ายด้วยเพราะบุญพาวาสนาส่ง ทำให้สมดังใจปรารถนา

งานอภิเษกสมรสนี้ว่ากันว่าเซียวไทเฮากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานให้

เพราะเซียวไทเฮาทรงมีองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ดังนั้นจึงทรงรักใคร่เอ็นดูพระองค์มากเป็นพิเศษ ในรัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่ง ราชสำนักกำลังตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ฮ่องเต้หยวนจยาเพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ในมีเหล่าอ๋องคอยจ้องตาเป็นมัน นอกมีศัตรูแข็งแกร่งโอบล้อม บัลลังก์ฮ่องเต้ไม่มั่นคง ต้องการความช่วยเหลือจากไทเฮาเป็นการด่วน

ตามตรอกเล็กซอยน้อยต่างเล่าลือกันว่าที่งานแต่งงานนี้เกิดขึ้นได้นั่นก็ด้วยเพราะฮ่องเต้กับไทเฮาทำข้อตกลงกัน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่มีใครกล้ายืนยัน

แต่ไม่ว่าเช่นไรชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหนำซ้ำยังมีความสามารถอย่างกัวจุ่นกับองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงผู้สูงศักดิ์แห่งราชสำนักต้าฉู่ก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน นี่ย่อมนับเป็นเรื่องดีของราชสำนักต้าฉู่ นี่เป็นความจริงที่ทุกคนล้วนเห็นได้ด้วยตา

“พวกเจ้ากลับไปกินอะไรก่อนเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่มองไปทางพวกเฉินจิ่น หลังจากชะงักไปชั่วขณะนางก็จงใจสำทับขึ้นอีกประโยค “เจ้าสาม เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน”

สวี่ซื่ออ้าปากค้างก่อนจะปิดกลับลงไปพลางส่งสายตาปลอบขวัญไปทางเฉินจิ่น

คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่มีผู้ใดกล้าขัด พวกเฉินจิ่นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในห้องเหลือแค่คนสามคน

“เจ้าไปเอาข่าวนี้มาจากที่ใด” สวี่ซื่อเอ่ยปากเป็นคนแรก สีหน้าเคร่งขรึม เก็บซ่อนสายตาคาดคะเนไว้

“ตอนหลานไปงานชุมนุมกวีจวนซิงจี้ป๋อครั้งก่อน ได้ยินพวกบ่าวไพร่เก่าแก่ในจวนแอบวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องดังกล่าวเจ้าค่ะ” เฉินอิ๋งตอบ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: