X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน อี๋เหนียงห้าขององค์หญิง บทที่ 11-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 11

“พี่เซี่ยง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เสียงแจ้วๆ ของน้องชายดังเข้าหู นับตั้งแต่ได้กินขนมจานนั้นของเซี่ยงชิงจวี หลินหยวนก็เหมือนจะชอบชายหนุ่มเอามากๆ

“อุ๊ย! มือจับตรงไหนอยู่น่ะ” ประโยคคำถามของพี่เสิ่นดังขึ้นแบบไม่ให้ตั้งตัว

จือจือปรายตามอง พอพบว่ามือของเซี่ยงชิงจวียังประคองไหล่นางเอาไว้ก็รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“คุณชายเซี่ยง” นางทักทายเบาๆ

“อืม” ชายหนุ่มชักมือกลับ แล้วก้มหน้ามองหลินหยวน “พวกเจ้าก็ออกมาเดินชมโคมไฟเหมือนกันสินะ ท่านลุงหลินไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

“ท่านพ่อไม่ชอบที่พลุกพล่านจอแจ ก็เลยมีแค่ข้ากับพี่ใหญ่ออกมากันสองคน”

เซี่ยงชิงจวีมองเด็กสาวที่ยังเอาแต่ก้มหน้า “ข้าเองก็มาคนเดียว เช่นนั้นก็เดินด้วยกันเถิด”

เขาพูดแล้วก็บอกให้สองพี่น้องรอสักครู่ ไม่นานเขาก็ถือโคมไฟสองดวงกลับมา

ดวงหนึ่งเป็นรูปกระต่าย อีกดวงหนึ่งเป็นรูปเสือ

แน่นอนว่าหลินหยวนเอื้อมมือไปหาโคมรูปเสือ แล้วชมอย่างปากหวาน “ขอบคุณขอรับพี่เซี่ยง ข้าไม่เคยเห็นโคมเสือสวยเท่านี้มาก่อนเลย”

“ชอบก็ดีแล้ว” เซี่ยงชิงจวียื่นโคมอีกดวงที่เป็นรูปกระต่ายไปให้จือจือ

นางมองดวงโคม จากนั้นก็มองมือที่อยู่บนด้ามโคม

แสงโคมที่สว่างไสวไปทั้งบริเวณเอิบอาบมือข้างนั้นให้เปล่งประกายราวกับเนื้อหยก ทว่ากระดูกข้อนิ้วที่ขึ้นรูปชัดเจนกลับให้ความรู้สึกสมชาย แตกต่างจากความอ่อนละมุนนุ่มนิ่มอย่างสตรีเพศโดยสิ้นเชิง

“ให้ข้าหรือเจ้าคะ” จือจือเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

น้ำเสียงของเขาเย็นชาพอกับสีหน้า “ตรงนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือ”

“อ้อ” เด็กสาวรับโคมมา

พี่เสิ่นหัวเราะ “ปากแข็งอย่างกับเหล็กเชียวนะ”

อันที่จริงจือจืออยากถามพี่เสิ่นว่าที่พูดหมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้พวกนางอยู่ข้างนอก ย่อมถามไม่ได้

เมื่อกลุ่มสองคนหนึ่งผีกลายเป็นกลุ่มสามคนหนึ่งผี บรรยากาศก็พิพักพิพ่วนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายพี่เสิ่นทนไม่ไหว บอกว่า ‘ข้าไปเดินเที่ยวคนเดียวดีกว่า’ จากนั้นก็หายตัวไป

หลินหยวนไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่าบรรยากาศแปลกไป ยังคงตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม อีกทั้งยังมองว่าพี่สาวเดินช้า จนตนเองแซงขึ้นมานำหน้าสองก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นว่าจือจือเดินคู่กับเซี่ยงชิงจวี

“แม่นางหลิน เวลาเดินข้าชอบเดินข้างนอก” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นอย่างนั้น

จือจือประหลาดใจเล็กน้อย “อ้อ ได้เจ้าค่ะ” นางเปลี่ยนไปเดินข้างในแทน

แม้เจ้าตัวจะบอกเองว่าชอบ แต่เดินข้างนอกมักจะถูกชนเอาได้ง่ายๆ เด็กสาวแอบมองอยู่พักใหญ่ก็สังเกตเห็นว่าเวลาถูกชน คิ้วดกหนาของเขาจะมุ่นเข้าหากันนิดๆ

การแอบมองของนางคงจะโจ่งแจ้งเกินไป เซี่ยงชิงจวีถึงได้หันมาถามตรงๆ “มองอะไรอยู่”

จือจือรีบดึงสายตากลับมา “ไม่ได้มองเสียหน่อย”

“โกหก” ถ้อยคำของเขาทำให้นางลนลานยิ่งกว่าเก่า กำลังจะขยับปากแย้ง เซี่ยงชิงจวีก็พูดต่อไปว่า “อยากได้โคมดวงนั้นหรือ”

จือจือเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาเขา ไปปะเข้ากับแผงขายโคม แค่เหลือบมองปราดเดียว ดวงเนตรงามก็ถูกโคมไฟดวงหนึ่งดึงดูดสายตาทันที โคมดวงนั้นเป็นโคมรูปหญิงงามทรงห้าเหลี่ยมทำจากกระจกสี แม้แต่เชือกถักห้อยพู่ข้างใต้ยังไม่ธรรมดา เพราะร้อยกระจกสีเอาไว้ด้วย พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ารูปหญิงงามบนกระจกสีทั้งห้าด้านดูคล้ายกำลังร่ายรำตามเปลวไฟที่เต้นวาบ

“อยากได้หรือไม่” เสียงของเซี่ยงชิงจวีดังขึ้นเหนือกระหม่อม

“สวยเหลือเกิน” จือจือออกปากชมอย่างห้ามไม่อยู่ “แต่จะต้องแพงมากแน่”

“แม่นางน้อยอยากได้หรือ” เจ้าของแผงเป็นชายหน้าขาวเกลี้ยงเกลาไร้เครา สวมหมวกใบน้อย เพียงแต่ว่าหมวกเหมือนจะเล็กไปหน่อย ทำให้ใบหน้าดูใหญ่กว่าความเป็นจริง

นางเม้มปากส่ายหน้า

“เถ้าแก่ โคมดวงนี้ราคาเท่าไร” เซี่ยงชิงจวีโพล่งถามออกไป

จือจือหันไปบอกเขาเสียงแผ่ว “จะต้องแพงมากแน่ อย่าซื้อเลยเจ้าค่ะ”

เซี่ยงชิงจวีปรายตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างผิดวิสัย จือจือไม่คิดว่าตนเองเป็นพวกคลั่งไคล้หนุ่มรูปงาม แต่คืนนี้พระจันทร์กับแสงโคมสวยจับจิต จนนางกลายเป็นพวกหลงใหลในความงามไปแล้ว

“โคมดวงนี้เหมาะจะแขวนอยู่ในห้องข้ายิ่งนัก”

จือจือหมดคำพูดไปทันใด “…”

ชายหนุ่มควักเงินซื้อโคมมาจริงๆ ซ้ำยังเดินถือเอง เหมือนกลัวว่าจือจือจะกังวลไม่เลิก ปกติเขาก็งามเด่นอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งหล่อเหลาสะดุดตายิ่งกว่าเก่า

บุรุษมาดสุขุมนุ่มนวลเดินถือโคมกระจกสีรูปหญิงงาม ไม่รู้ว่าคุณชายบ้านใดออกมาหาคนรักใต้แสงจันทร์

หลินหยวนที่เดินนำหน้าวิ่งกลับมาหา แล้วถูกโคมดวงนี้สะกดสายตาเช่นกัน

“โคมไฟสวยเหลือเกิน พี่เซี่ยง ท่านซื้อมาหรือ”

“อืม ชอบหรือไม่ หากชอบข้ายกให้” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่จือจือสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยงชิงจวีเจือรอยยิ้มไว้นิดๆ ยามเอ่ยประโยคนั้น

“ชอบขอรับ แต่ท่านพ่อเคยสอนไว้ว่าสุภาพชนต้องไม่แย่งของที่คนอื่นชื่นชอบ” หลินหยวนเอื้อมมือมาจูงมือพี่สาว “พี่ใหญ่ ข้าจะพาไปดูอะไรดีๆ”

เขาพูดแล้วก็ดึงนางออกวิ่ง

จือจือร้องบอกว่าช้าหน่อยพลางวิ่งตาม ลืมเซี่ยงชิงจวีไปชั่วขณะ

หลินหยวนพานางวิ่งผ่านฝูงชนและแสงโคมพร่าพราย จนสายตานางมีแต่ผู้คนเนืองแน่นกับแสงโคมสว่างไสว จือจือนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่กลายเป็นผี แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้

“พี่ใหญ่ ดูสิ”

จือจือมองตาม แล้วพบว่าที่นี่เป็นเวทีแสดง

สตรีนางหนึ่งยืนอยู่บนเวที สวมอาภรณ์งดงาม ทว่าแต่งหน้าพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง ใบหน้าป้ายสีแดงริ้วหนึ่ง สีขาวริ้วหนึ่ง ขณะที่ริมฝีปากทาสีดำสนิท นางบิดกายยักย้ายขณะเอ่ยเอื้อนสำเนียงแปร่งประหลาด

“พี่ใหญ่ ได้ยินว่าคณะนี้มาจากหลิ่งหนาน การร่ายรำของพวกเขาเป็นไปเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า ไม่เหมือนการร่ายรำของพวกเรา ภาษาที่พูดก็แตกต่างออกไปด้วย” หลินหยวนบอกพี่สาวพลางชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของเวที “นั่นคือเครื่องดนตรีของพวกเขา ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ”

“นั่นเรียกว่ากู่ตัน”

จือจือหันไปมอง ไม่รู้ว่าเซี่ยงชิงจวีเข้ามายืนข้างหลังพวกนางสองพี่น้องตั้งแต่เมื่อไร

“กู่ตันเป็นเครื่องดนตรีเฉพาะถิ่นของหลิ่งหนาน กล่าวกันว่าเวลาเล่นจะสามารถเรียกแมลงนานาชนิดบนแผ่นดินได้” ชายหนุ่มอธิบายเนิบๆ

“แมลง?” หลินหยวนแทบไม่เชื่อหูตนเอง “เช่นนั้นก็น่าขยะแขยงแย่สิ”

จือจือตบหลังมือน้องชายเบาๆ “อย่าพูดเช่นนี้สิ หากคนเขาได้ยินเข้าจะทำอย่างไร”

“ก็แค่ตำนานเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะจริงเสมอไป” เซี่ยงชิงจวีมองหญิงสาวบนเวที “แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เหตุใดถึงได้ยกกู่ตันขึ้นมาตั้งบนเวทีร่ายรำเพื่อบวงสรวง”

แค่ได้ยินว่าเป็นเครื่องดนตรีเรียกแมลงได้ หลินหยวนก็หมดความสนใจจะดูต่อ เลยลากพี่สาวกับเซี่ยงชิงจวีไปที่อื่นแทน

พอเดินไปถึงคูเมือง เด็กชายบอกว่าอยากลอยประทีปดอกบัว เซี่ยงชิงจวีจึงควักเงินซื้อมาสามดวง

ตอนที่หลินหยวนกับเซี่ยงชิงจวีถือพู่กันเขียนคำอธิษฐาน จือจือรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย เพราะนางอ่านหนังสือไม่ออก เรื่องจะเขียนหนังสือยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางอ่านได้เพียงชื่อตนเองเท่านั้น ส่วนตัวอักษรอื่นแค่ดูออกว่าเขียนสวยหรือไม่

ชายหนุ่มเขียนคำอธิษฐานเสร็จก็หันมามองนางด้วยสายตาเฉยเมย “อยากเขียนว่าอย่างไรเล่า ข้าจะเขียนให้”

“อ้อ เขียนคำว่าสงบสุขสวัสดีก็แล้วกัน” จือจือสรรหาถ้อยคำไพเราะไม่ได้ แต่คิดว่าใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุขก็ดีมากพอแล้ว

ประทีปดอกบัวสามดวงถูกปล่อยลงน้ำพร้อมกัน

แม้จะเริ่มลอยด้วยกัน ทว่าไม่ทันไรก็ถูกลมพัดไปคนละทิศละทางอยู่ดี

สุดท้ายจือจือเป็นคนถือโคมดวงนั้นกลับบ้าน

เซี่ยงชิงจวีบอกว่าที่บ้านไม่มีที่วาง แล้วยื่นให้นางโดยตรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลินหยวนมองทางนั้นทีทางนี้ที “ห้องข้ามีที่วาง”

จือจือรีบบอก “เช่นนั้นเสี่ยวหยวนก็เอาไปเถิด”

“แต่ข้าคิดว่าโคมดวงนี้เหมาะกับพี่ใหญ่มากกว่า” เด็กชายตอบเนิบๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว จือจือวางโคมไว้บนโต๊ะ

หญิงงามทั้งห้ายังคงร่ายรำตามการโชติโชนของเปลวเทียน ทรงเสน่ห์สะกดใจ

“เจ้าหนุ่มเซี่ยงให้หรือ” ไม่รู้ว่าพี่เสิ่นโผล่ออกมาจากที่ใด “แล้วเจ้ามอบถุงเหอเปาให้เขาหรือยัง”

“ถุงเหอเปา?” จือจือเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เนื่องจากที่ผ่านมาหาโอกาสมอบให้ชายหนุ่มไม่ได้เสียที นางจึงพกถุงเหอเปาติดตัวตลอดเวลา แต่วันนี้เดินเที่ยวอย่างมีความสุข ขนาดเจอเจ้าตัวยังลืมนึกถึงไปเสียสนิท นางลุกขึ้นยืนคลำเอว จากนั้นก็คลำตามตัว

“ดูเหมือนจะหายไปแล้ว”

พี่เสิ่นลอยเข้ามาตรงหน้า “อะไรหาย”

จือจือขมวดคิ้ว ดวงหน้าเรียวเล็กขาวเนียนสะท้อนความขุ่นใจ “ถุงเหอเปาหายไปแล้ว”

“เจ้าเก็บไว้ที่ใด ลองหาดูดีๆ ซิ แต่ถ้าหาไม่เจอก็เย็บใหม่อีกใบแล้วกัน”

บทที่ 12

ถุงเหอเปาหายไป ขนาดหาจนทั่วห้องก็ยังหาไม่เจอ

พี่เสิ่นลอยไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ไม่ต้องหาแล้ว คงทำหล่นไว้ที่ใดกระมัง งานปักเจ้าฝีมือดีออกอย่างนั้น อาจมีใครเก็บไปแล้วก็ได้”

สิ่งที่จือจือเสียดายคือเครื่องหอมในถุงต่างหากที่นางทุ่มเงินไปไม่น้อย ตั้งยี่สิบอีแปะเชียวนะ

ในเมื่อหาถุงเหอเปาไม่พบก็ช่วยไม่ได้ จือจือแขวนโคมกระจกสีไว้กลางห้อง ตอนจะนอนมักเหลือบมองมันอยู่เรื่อยอย่างห้ามใจไม่อยู่ พี่เสิ่นที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างก็มองเช่นกัน

“โคมไฟงามดีนี่ เจ้าว่าเจ้าเซี่ยงซื้อโคมให้เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

จือจือใคร่ครวญ แล้วพลิกตัวไปมองอีกฝ่าย ใบหน้าขาวละมุนแดงเรื่อ “เขาชอบข้ากระมัง”

พี่เสิ่นหัวเราะ “ข้าว่าไม่ใช่หรอก”

“เพราะเหตุใดเล่า”

วิญญาณล่องลอยทำท่าลึกลับ “หากบุรุษชอบสตรีสักคน ความคิดจะวนเวียนอยู่กับนาง แม้ในยามหลับยังฝันเห็นนาง ข้าเข้าไปในความฝันคุณชายเซี่ยงมาแล้ว ในฝันเขามีแต่หนังสือทั้งนั้น”

จือจือไม่ยอมตัดใจ “ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเขาอาจฝันถึงข้าก็ได้”

พี่เสิ่นลอยเข้ามามองนางใกล้ๆ “แต่บ้านเขายากจนมากเลยนะ มีแค่บ่าวแก่ๆ หนึ่งคน”

“แต่ก็ไม่มีพ่อแม่สามีให้ต้องปรนนิบัติ อีกทั้งเพราะยากจน เขาจึงมีเงินแต่งข้าแค่คนเดียว” จือจือพูดแล้วดึงผ้าห่มมาปิดหน้า

“อุ๊ย! แล้วถ้าหากทุกๆ คืนเจ้าหนุ่มเซี่ยงนั่น…” พี่เสิ่นลดเสียงลง แล้วพบว่าเด็กสาวหน้าแดงแจ๋อย่างที่คิด

วิญญาณล่องลอยหัวเราะลั่น และกล่าวก่อนจะลอยออกไป “เจ้านอนเสียเถิด ข้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกดีกว่า น่าเบื่ออะไรอย่างนี้”

จือจือลูบพวงแก้มร้อนผ่าวของตน แล้วมองโคมหญิงงามอีกครั้ง

เซี่ยงชิงจวีชอบนางแล้วสินะ ไม่เช่นนั้นจะให้โคมนางด้วยเหตุใดกัน

วันที่สิบหกเดือนหนึ่ง ร้านรวงกลับมาเปิดขายของอีกครั้ง จือจือตื่นนอนไปร้านเครื่องหอมแต่เช้า เครื่องหอมที่ซื้อมาคราวก่อนกลิ่นหอมมากทีเดียวในความคิดนาง

“จือจือมาแล้วหรือ คราวนี้จะซื้อเครื่องหอมแบบใดเล่า” เถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงงามหยาดเยิ้ม มักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำล้วน แต่ดูแล้วทรงเสน่ห์แพรวพราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งริมฝีปากที่เจ้าของโปรดปรานแต่งแต้มด้วยชาดสีแดงสดมากกว่าสีอื่น

จือจืออมยิ้มเอ่ย “ข้าอยากมาซื้อเครื่องหอมชนิดเดียวกับคราวก่อนเจ้าค่ะ”

ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น “แย่ล่ะสิ เครื่องหอมที่เจ้าซื้อคราวก่อนถูกคนเหมาไปตั้งแต่เช้าแล้ว ในร้านไม่มีเหลือแม้แต่นิดเดียว กว่าจะมีของรอบใหม่เข้ามาก็ต้องรออย่างน้อยสามเดือน”

เด็กสาวร้องอ้อ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเลือกชนิดอื่นก็ได้”

“จือจือว่าง่ายที่สุดเลย” เถ้าแก่เนี้ยชมเปาะพลางเข้ามากอดนาง จือจือยิ้มอย่างกระดาก เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้อะไรก็ดีทุกอย่าง เสียแต่ว่าเวลาเจอนางทีไรจะชอบมาโอบมากอดนางอยู่เรื่อย

นางใช้เวลาอยู่ในร้านเครื่องหอมทั้งช่วงเช้า กว่าจะเลือกหลายๆ กลิ่นที่ถูกใจมาผสมกันได้

เถ้าแก่เนี้ยสูดดม “จือจือ เจ้าเลือกเครื่องหอมเก่งกาจยิ่งนัก ไปเปิดร้านเองได้เลย”

จือจือไม่คิดว่าตนเองเก่งกาจตรงไหน แค่ชาติที่แล้วได้ดมมามาก ตำหนักองค์หญิงมีเครื่องหอมสารพัดกลิ่น แค่เครื่องหอมที่สาวใช้แต่ละคนใช้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

นางเดินกลับบ้านหลังเลือกเครื่องหอมเสร็จ กลิ่นหอมจากร้านสุราที่อยู่ถัดไปอีกถนนโชยเข้าจมูก จือจือถือเครื่องหอมที่ห่อไว้ด้วยกระดาษพลางคิดกับตนเองในใจว่าถุงเหอเปาใบใหม่จะปักเป็นลายเดียวกับใบเก่าดีหรือไม่

ตุ้บ!

นางชนเข้ากับใครผู้หนึ่งจนห่อกระดาษในมือร่วงตกพื้น

จือจือรีบย่อตัวลงไปเก็บ

“แม่นางไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร” จือจือเก็บห่อเครื่องหอมขึ้นมาปัด แต่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นเท่านั้นก็นิ่งตะลึงอยู่กับที่ มือที่ถือห่อกระดาษสั่นสะท้านน้อยๆ

ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของนาง จึงถามซ้ำอีกครั้ง “แม่นางไม่เป็นไรจริงหรือ”

เด็กสาวฝืนยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร” จากนั้นก็เดินอ้อมร่างอีกฝ่าย

“เยวี่ยหยาง มองอะไรอยู่”

ชายหนุ่มหันกลับไปยิ้มให้สหายที่เดินออกมาจากในร้าน “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อครู่ข้าเดินชนแม่นางน้อยคนหนึ่งเข้า ท่าทางนางเหมือนกลัวข้าอยู่นิดๆ”

“พูดเป็นเล่น เจ้าเป็นบุรุษรูปงามอันดับต้นๆ ของแผ่นดิน ซ้ำยังเป็นว่าที่ราชบุตรเขย ข้าไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดกลัวเจ้ามาก่อนเลย”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ปากดีให้น้อยหน่อย ไปกันเถิด”

จือจือถือห่อเครื่องหอมเดินจ้ำอ้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่าเหตุไฉนนางถึงได้ไม่หลุดพ้นจากคนพวกนี้เสียทีนะ

ชาตินี้นางไม่อยากพบเจอพวกเขาเลยจริงๆ ไม่ว่าจะท่านผู้นั้นหรือชายหนุ่มคนเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ชี้เป็นชี้ตายให้คนรอบตัวได้ง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็ทำให้นางกลัวจับใจแล้ว

นางไม่อยากแก้แค้น หวังแค่ว่าชาตินี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น

ดูท่าที่ลอยประทีปดอกบัวไปจะไม่ได้ผล

เพิ่งกลับมาถึงบ้าน จือจือก็เห็นบิดากำลังคุยกับใครผู้หนึ่งอยู่

ซ้ำคนผู้นั้น…

“แหม นี่คงเป็นจือจือสินะ รูปงามผุดผ่องจริงๆ” สตรีผู้นั้นปรี่เข้ามาหาอย่างตีสนิท ซ้ำยังเดินวนรอบตัวจือจือพลางพิจารณานางอย่างละเอียด

เด็กสาวส่งสายตาฉงนสงสัยไปยังบิดา

สีหน้าของหลินผู้พ่อไม่ดีไม่แย่ “นี่คือแม่สื่อแซ่ซ่ง เจ้าเรียกนางว่าน้าซ่งแล้วกัน”

“สวรรค์! ข้าอยู่มาจนค่อนชีวิตยังไม่เคยเห็นสตรีคนใดงามถึงเพียงนี้มาก่อน” น้าซ่งสะบัดแพรพกในมือใส่เขา “มีบุตรสาวงดงามถึงเพียงนี้ ธรณีประตูเรือนคงถูกเหยียบจนพังราบไปแล้วกระมัง”

จากนั้นน้าซ่งก็จับมือจือจือมาดูฝ่ามือ “มือนิ่มจริง อยู่บ้านคงไม่ได้ทำงานบ้านเลยสินะ บ้านอีกฝ่ายมีบ่าวไพร่ เจ้าไม่ต้องทำเองเช่นกัน แต่งเข้าไปก็ใช้ชีวิตสุขสบายอย่างเดียว”

จือจือเข้าใจในทันทีว่าสตรีผู้นี้มาเจรจาเรื่องแต่งงาน

ชาติก่อนก็มีคนมาทาบทามนางมากมาย เพียงแต่ว่าครั้งนี้โชคไม่ดี นางจึงถูกคว้าตัวไว้ได้อย่างจัง

“ท่านพ่อ ข้ามีธุระต้องทำ ขอตัวเข้าห้องก่อนนะเจ้าคะ” เด็กสาวรีบบอก

“อืม ไปเถิด”

จือจือหลบเข้ามาอยู่ในห้องตนเอง แล้วเห็นโคมกระจกสีรูปหญิงงามได้ในทันที

หากคนที่มาทาบทามสู่ขอคือเซี่ยงชิงจวีก็ดีสิ นางจะต้องรีบตอบรับด้วยความยินดีอย่างแน่นอน จากนั้นแต่งกันไปไม่กี่ปี นางก็จะได้เป็นฮูหยินของขุนนางใหญ่

พอคิดมาถึงตรงนี้จือจือก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลานั้นนางอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากใส่อะไรก็ได้ใส่ แค่คิดก็มีความสุขแล้ว

อืม รีบปักถุงเหอเปาให้เสร็จโดยเร็วดีกว่า

ไม่รู้ว่าหลินผู้พ่อไล่น้าซ่งผู้นั้นกลับไปได้อย่างไร ที่แน่ๆ คือเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บิดาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพียงแค่ถามนางว่าตอนกลางวันไปที่ใดมา

“ไปร้านเครื่องหอมมาเจ้าค่ะ”

“อืม” จากนั้นหลินผู้พ่อก็ถามว่าสองพี่น้องเที่ยวเล่นในเทศกาลหยวนเซียวเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง

หลินหยวนบรรยายให้ฟังโดยละเอียด “จริงสิ ท่านพ่อ พวกเราเจอพี่เซี่ยงด้วย เขาซื้อโคมไฟให้พี่ใหญ่ดวงหนึ่ง สวยมากเลย”

“โคมไฟ?” หลินผู้พ่อขมวดคิ้ว “ไปเอามาให้พ่อดูซิ จือจือ”

จือจือขึงตาใส่น้องชายทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบโคมไฟในห้อง

หลินผู้พ่อดูโคมไฟแล้วไม่ได้พูดอะไร ได้แต่บอกให้นางเอาไปเก็บ

พอจือจือกลับห้องมาก็เจอพี่เสิ่นที่กำลังลอยอยู่หน้าเครื่องหอมห่อใหม่ของนาง

“เครื่องหอมนี้ไม่เหมือนคราวก่อนนี่” พี่เสิ่นทัก

“เจ้าค่ะ ชนิดที่ซื้อคราวก่อนขายหมดแล้ว ข้าเลยต้องซื้ออีกแบบ ท่านว่ากลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง”

พี่เสิ่นหันมายิ้มให้นาง “กลิ่นหอมมากทีเดียว แต่น่าจะเพิ่มกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าไปอีกสักชนิด เพราะกลิ่นตอนนี้ออกขม กลิ่นดอกโบตั๋นก็ไม่เลวนะ ลองผสมลงไปดูสิ”

“ได้”

จือจือไปซื้อผงดอกโบตั๋นมาผสมลงในเครื่องหอมแล้วพบว่ากลิ่นดีขึ้นจริงๆ นางใช้เวลาปักถุงเหอเปาอยู่สามวันก็เป็นอันเรียบร้อย

เหลืออีกแค่เดือนครึ่งก็จะถึงงานเสกสมรสขององค์หญิง

จือจือยกนิ้วนับวันแล้วให้ร้อนรนยิ่งกว่าเก่า

หากมอบถุงเหอเปานี้ให้เซี่ยงชิงจวี เขาจะต้องตระหนักถึงความในใจของนางแน่นอน เช่นนั้นเขาจะมาสู่ขอนางหรือไม่นะ

จือจือแสดงออกอย่างเปิดเผยด้วยการปักรูปยวนยางคู่หนึ่งลงบนถุงเหอเปา หวังใจว่าเมื่อเซี่ยงชิงจวีเห็นยวนยางคู่นี้ จะเข้าใจความนัยที่นางไม่ได้เอ่ยเอื้อนออกจากปาก มารดาเคยบอกว่าหากสตรีชอบใครสักคน ไม่มีทางออกปากเอง จะต้องแสดงออกอ้อมๆ ให้อีกฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน เช่นนี้ฝ่ายชายก็จะยิ่งรักเรามากขึ้น

แม้บอกว่าขอแค่ฝ่ายชายให้เกียรติกันก็พอแล้ว ทว่าสตรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความรัก พวกนางต้องการความรักอันมากล้นมาค้ำจุนตนเอง สตรีที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยความรักคือสตรีที่งดงามที่สุด

วันที่นำถุงเหอเปาไปมอบให้ จือจือตื่นแต่เช้าตรู่มาส่องกระจกลองเสื้อผ้าอยู่หลายชุด กระนั้นนางก็ยังรู้สึกว่าตนเองมีเสื้อผ้าน้อยเกินไปอยู่ดี ดูเหมือนเซี่ยงชิงจวีจะเคยเห็นหมดแล้วทุกชุด ก็เสื้อผ้านางมีอยู่เท่านี้เองนี่นา

สุดท้ายนางเหลือบตาไปมองกระโปรงสีฟ้าอ่อนตัวเดียวกับที่ใส่ออกไปกลางดึกคืนนั้น เหมือนว่าเซี่ยงชิงจวีจะยังไม่เคยเห็น นางสวมชุดนี้ก็แล้วกัน

เด็กสาวใส่เสื้อผ้าแล้วตั้งใจทำผมทรงใหม่ ผมทรงนี้ยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ชาติก่อนเพิ่งจะเริ่มนิยมหลังจากที่นางแต่งเข้าตำหนักองค์หญิงไปแล้ว หญิงสาวทำผมทรงนี้กันทั้งนั้น นางอยู่ว่างๆ ในตำหนักรู้สึกเบื่อหน่าย จึงหัดทำดูบ้าง

นางบรรจงแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ทั้งแต่งหน้า ลงน้ำมันผม แม้แต่ปลายนิ้วยังทาน้ำคั้นดอกเทียน* ที่เก็บเอาไว้

ก่อนออกจากบ้าน เด็กสาวหันไปส่องกระจก

จือจือยิ้มให้ภาพสะท้อนของตนเองบนบานกระจกสำริด ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

นางแอบออกจากบ้านโดยไม่ให้น้องชายเห็น ระหว่างที่เดินไปตามทางก็ใคร่ครวญในใจว่าจะพูดอย่างไรดี ความรู้สึกยามนำถุงเหอเปาไปมอบให้เขาครานี้แตกต่างไปจากคราก่อน ถุงเหอเปาที่อยู่ในแขนเสื้อเหมือนร้อนขึ้นจนร้อนจัดราวกับลูกไฟ เดินเลี้ยวอีกแค่แยกเดียวก็จะเห็นประตูคฤหาสน์สกุลเซี่ยงแล้ว นางเริ่มนับก้าว แต่พอเดินเลี้ยวเท่านั้นก็หยุดชะงักอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง

ที่หน้าประตูคฤหาสน์สกุลเซี่ยง เซี่ยงชิงจวีกำลังยืนคู่กับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นแต่งกายงดงาม ข้างๆ ยังมีเด็กสาวแต่งตัวแบบสาวใช้ยืนอยู่ด้วย

ใบหน้าของเซี่ยงชิงจวีประดับรอยยิ้มที่จือจือไม่เคยเห็นมาก่อน

หญิงงามก็กำลังแย้มยิ้มเช่นกัน ซ้ำยังยกมือขึ้นคล้องแขนเซี่ยงชิงจวี…

ระหว่างทางกลับบ้าน จือจือคิดว่าตนเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน

นางเอาแต่จำว่าเซี่ยงชิงจวีสอบผ่าน แต่ไม่ได้จำว่าในเวลานั้นเขาแต่งงานแล้วหรือไม่ ต่อให้ยังไม่ได้แต่ง มีหญิงที่ต้องใจอยู่แล้วหรือเปล่า

จือจือล้วงถุงเหอเปาออกจากแขนเสื้อ

ยวนยางคู่ที่ปักอยู่บนถุงเหอเปาเหมือนกำลังเยาะเย้ยกัน ชายหญิงที่นางเห็นเมื่อครู่นี้ต่างหากถึงจะเป็นคู่ครองที่สมกันอย่างแท้จริง

หญิงสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์งามหรู ทุกอากัปกิริยาบ่งบอกว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวย ขนาดเอื้อมมือไปคล้องแขนฝ่ายชายอย่างใจกล้าก็ยังทำได้ง่ายๆ ราวกับว่าควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

นับเป็นครั้งแรกที่จือจือรู้สึกริษยาใครสักคน

นางมองถุงเหอเปาของตนเอง แล้วเหลือบไปเห็นเข่งขยะข้างทาง จึงเดินดุ่มๆ เข้าไปเงื้อมือจะเขวี้ยงถุงเหอเปาทิ้งอย่างหัวเสีย

“แม่นาง ถุงเหอเปาสวยเพียงนี้ ทิ้งทำไมกันเล่า”

น้ำเสียงขี้เล่นของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: