บทที่ 13
พอได้ยินเสียงบุรุษผู้นั้น ปฏิกิริยาแรกของจือจือคือหันขวับไปมอง แต่ไม่เห็นใครยืนอยู่ตรงที่เสียงลอยมาสักคน นางมองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นใครทั้งนั้น
ช้าก่อน! เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นในสมอง จะเป็นผีหรือเปล่า…
ตอนกลางวันนางมองไม่เห็นผี นางเคยลองแล้ว ทันทีที่ฟ้าสาง นางจะมองไม่เห็นพี่เสิ่น แต่ยังไม่เคยลองว่าตนเองสามารถได้ยินเสียงผีกลางวันแสกๆ ได้หรือไม่
ระยะนี้มีพี่เสิ่นวนเวียนอยู่รอบตัวตลอด นางแทบจะไม่เห็นผีตนอื่นเลย
จือจือเก็บถุงเหอเปากลับมาเงียบๆ ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน
“แม่นาง เจ้าได้ยินเสียงของผู้น้อยชัดๆ เลยนี่นา” เสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นมาอีก “คนส่วนใหญ่ไม่ได้ยิน แต่เจ้ามีปฏิกิริยา แสดงว่าต้องได้ยิน”
เปล่าเลยๆ! ข้าไม่ได้ยิน
เด็กสาวหมุนตัวเดินกลับบ้าน ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน นางจะให้ผีบุรุษตามกลับบ้านด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“แม่นาง…แม่นาง…อย่าเพิ่งไปสิ”
จือจือเสแสร้งอย่างสุดความสามารถ แม้แต่ฝีเท้า นางก็ยังพยายามควบคุมไม่ให้ดูรีบร้อนนัก
แต่ผีบุรุษตนนั้นยังคงตามนางมาตลอดทาง
“แม่นาง ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาจะตามเจ้าหรอกนะ แต่ผู้น้อยไร้ที่ไปจริงๆ ร่อนเร่ไร้จุดหมายบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลนี้มาหลายวัน ไม่รู้จะไปที่ใดดี บังเอิญเห็นแม่นางทำท่าจะทิ้งถุงเหอเปาที่งามถึงเพียงนี้ เลยอดส่งเสียงไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าแม่นางจะเป็นคนแห่งโชคชะตาของผู้น้อย”
ข้าไม่ใช่! เลิกตามข้าเสียที!
พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน นางก็รีบผลุบเข้าบ้านแล้วปิดประตูลงกลอนทันที
เสียงเงียบไปแล้ว น่าจะไม่ได้ตามมาแล้วกระมัง
“พี่ใหญ่ ไปที่ใดมา”
จือจือสูดหายใจเฮือกด้วยความตระหนก ก่อนจะหันไปเอ็ดน้องชาย “เสี่ยวหยวน อย่าเข้ามายืนข้างหลังให้พี่ตกใจสิ”
เด็กชายมองนางด้วยสายตาแปลกๆ “วันนี้พี่ใหญ่แต่งตัวเสียงดงาม ไปที่ใดมาหรือ”
“งามตรงไหนกันเล่า ก็แต่งตัวธรรมดานั่นล่ะ พี่แค่ออกไปเดินเล่นมาเท่านั้น”
ผีบุรุษเมื่อครู่ทำเอานางผวาเสียจนเกือบลืมไปแล้วว่าเพิ่งประจักษ์อะไรมากับสองตา นางไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นอะไรกับเซี่ยงชิงจวี แต่ทั้งคู่ดูสมกันเหลือเกิน สตรีอย่างนางไม่เหมาะจะเป็นภรรยาเอกของขุนนางใหญ่หรอก อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลยดีกว่า
จือจือไล่หลินหยวนไปที่อื่น ก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง พอกำลังจะรินชาให้ตนอง เสียงบุรุษผู้นั้นก็ดังขึ้นมาอีก
“แม่นาง ขออภัยที่ผู้น้อยเสียมารยาท แต่ผู้น้อยเพิ่งจะเคยเข้าห้องสตรีเป็นครั้งแรก”
มือที่กำลังจะรินชาชะงัก จากนั้นนางก็วางป้านชาลง
“ท่านเป็นผีอะไร เหตุใดถึงต้องตามข้ามาด้วย” นางรวบรวมความกล้าถามออกไปอย่างนั้น
ความปรีดาสะท้อนอยู่ในน้ำเสียงอีกฝ่าย “แม่นาง เจ้าได้ยินจริงๆ ด้วย ตอนแรกผู้น้อยตั้งใจจะกลับไปอยู่แล้วเชียว”
จือจือกัดริมฝีปากตนเอง ข้านี่ช่างโง่เขลาแท้ๆ
“อันที่จริงแม่นางไม่ต้องกลัวไป แม้ผู้น้อยจะกลายเป็นผีไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผีร้ายหรอกนะ” ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของจือจือ
“แล้วเหตุใดท่านต้องตามข้ามาด้วย ไม่ไปเกิดใหม่หรือ”
ผีหนุ่มทอดถอนใจ “ความจริงผู้น้อยไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เพียงแค่ตายกะทันหันเกินไป ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ เลยคอยหลบท่านยมทูต แต่ดูเหมือนท่านยมทูตใกล้จะเจอตัวเสียแล้ว”
จือจือเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อยๆ “แล้วท่านอยากทำอะไรเล่า”
“แม่นางช่วยเก็บศพผู้น้อยได้หรือไม่”
“อะไรนะ!” เด็กสาวตกใจจนหน้าซีด “ไม่ไหว ข้าทำไม่ได้หรอก”
ท่าทางผีหนุ่มจะคาดเดาปฏิกิริยาของนางได้อยู่แล้ว “น่ากลัวมากเลยสินะ ไม่เป็นไร แม่นางไม่เต็มใจก็ช่างเถิด ผู้น้อยเพียงแค่ลองถามดูเท่านั้น แต่ผู้น้อยยังมีอีกเรื่องที่หวังว่าแม่นางจะยอมช่วย”
เสียงของเขาฟังดูจริงใจขึ้นมากเมื่อพูดประโยคหลังๆ
“ลองว่ามาสิ แต่ข้าอาจช่วยไม่ได้นะ”
“แม่นางต้องทำได้แน่” ดูท่าฝ่ายตรงข้ามจะมั่นใจมากทีเดียว “แม่นางไปจุดธูปหนึ่งดอกที่ศาลเจ้าประจำเมืองทางตอนใต้ของเมือง จุดเสร็จก็เป็นอันจบ รับรองว่าผู้น้อยจะต้องตอบแทนบุญคุณแม่นางด้วยของขวัญล้ำค่าอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ต้องการของขวัญหรอก คะ…แค่อยากให้ท่านไปเกิดใหม่ก็พอ”
จะได้ไม่ตามตอแยนางอีก
ผีหนุ่มตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ผู้น้อยทราบแล้ว หวังว่าแม่นางจะยอมช่วย ระหว่างนี้ผู้น้อยจะไปที่อื่นก่อน”
หลังจากนั้นเสียงก็เงียบไป
จือจือรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะได้เจอผีหนุ่มตนนี้ นางจึงลืมความเจ็บปวดที่เห็นเซี่ยงชิงจวียืนกับสตรีอื่นลงไม่น้อย
พี่เสิ่นปรากฏตัวขึ้นในตอนกลางคืน พอรู้ว่าจือจือไม่ได้มอบถุงเหอเปาก็อุทานด้วยความตกใจ
“อะไรกัน! เจ้าหนุ่มเซี่ยงยังไม่ยอมรับไปอีกหรือ”
“ไม่ใช่ วันนี้ตอนข้าไปถึงก็เห็นเขายืนคู่กับหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง ดูชื่นมื่นมากทีเดียว”
พี่เสิ่นมองท่าทางเศร้าหมองของนางแล้วกลับหัวเราะเสียอย่างนั้น “ดีแล้วล่ะ จือจือ ข้าว่าเจ้าเลือกต่อไปเถิด ข้าไม่คิดจริงๆ นะว่าเจ้าหนุ่มเซี่ยงเป็นชายที่เหมาะสมกับเจ้า เจ้าแต่งกับเขาไปมีแต่จะลำบาก”
เด็กสาวพยักหน้า “อืม”
จือจือล้มตัวนอนบนเตียง พอเช้าวันรุ่งขึ้น นางก็ไปหาบิดา
“ท่านพ่อ หาคู่แต่งงานให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ”
นางตัดใจจากเซี่ยงชิงจวีแล้ว ตอนนี้ขอแค่ไม่ต้องแต่งเข้าตำหนักองค์หญิงก็พอ
หลินผู้พ่อมองบุตรสาวด้วยความประหลาดใจอยู่นาน สุดท้ายก็บอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป พ่อจะหาคู่แต่งงานดีๆ ให้เจ้าเอง”
อีกเพียงเดือนครึ่งก็จะถึงงานเสกสมรสขององค์หญิง ดังนั้นจือจือจึงร้อนรนกระวนกระวายกับเรื่องนี้อย่างมาก
หลินผู้พ่อไหว้วานแม่สื่อหลายคน แม่สื่อแต่ละคนเคยเห็นจือจือมาแล้วทั้งนั้น ตอนเห็นนางล้วนทำตาเป็นประกายแล้วชมไม่ขาดปากว่า ‘งามผุดผาดออกอย่างนี้ ท่านวางใจได้เลย ข้าจะต้องหาคู่แต่งงานดีๆ ให้นางได้แน่’
ทุกคนพูดเช่นนั้นตอนเห็นจือจือ ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย
หลินผู้พ่อไปถามแม่สื่อผู้หนึ่งด้วยความประหลาดใจ แม่สื่อผู้นั้นทำหน้าพิพักพักพ่วนเมื่อเห็นเขา พอโดนถามก็อึกๆ อักๆ ก่อนจะคืนเงินให้ในท้ายที่สุด
“ท่านหลิน เรื่องคู่ครองของบุตรสาวท่าน ข้าจนปัญญาจริงๆ ท่านไปไหว้วานคนอื่นเถิด”
“พะ…เพราะเหตุใดกันเล่า”
หลังถูกคาดคั้นหนักเข้า แม่สื่อก็ยอมตอบสั้นๆ เพื่อตัดรำคาญ “ลี้ลับ…ลี้ลับเกินไปน่ะสิ”
ลี้ลับ? หมายความว่าอย่างไร
จือจือไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้ด้วย นางยังจำได้ว่าต้องไปจุดธูปที่ศาลเจ้าประจำเมืองทางตอนใต้ของเมือง ดังนั้นจึงเลือกวันฤกษ์ดีเตรียมธูปออกจากบ้าน เจียดเงินเล็กน้อยเช่ารถลา จึงสามารถมาถึงศาลก่อนเที่ยงวัน พอก้าวลงจากรถนางก็ผงะไปเล็กน้อย เพราะศาลเจ้าประจำเมืองดูทรุดโทรมอย่างมาก เหมือนไม่มีใครมาสักการะเท่าไรนัก
เด็กสาวให้เจ้าของรถลารออยู่ก่อน แล้วเดินเข้าไปข้างในคนเดียว
สภาพภายในก็เก่าโทรมไม่แพ้กัน องค์เทพเจ้ามีแต่ฝุ่น ของไหว้บนแท่นบูชาเหมือนถูกสัตว์กัดกินจนเหลือแต่กระดูกกับแกน
จือจือเงยหน้ามองเจ้าที่ จากนั้นก็หาอยู่นานกว่าจะเจอกระถางธูป นางใช้แพรพกเช็ดถูกระถาง แล้วหยิบธูปออกมาจากตะกร้าสานของตน เมื่อจุดธูปแล้ว นางก็คุกเข่าลงคำนับ
“ข้าได้รับการไหว้วานจากผีตนหนึ่งให้มาจุดธูป หวังว่าท่านเจ้าที่จะไม่ถือสา และขอให้คุณชายท่านนั้นไปเกิดใหม่ในเร็ววัน ได้ใช้ชีวิตสุขสงบในชาติหน้า”
หลังอธิษฐานจบ นางก็รีบเดินออกจากศาลเจ้าประจำเมืองทันที
“ขอบคุณแม่นาง”
ตอนกำลังจะเดินพ้นศาล นางได้ยินเสียงผีหนุ่มตนนั้น ปลายเท้าจึงได้หยุดชะงัก “ไม่เป็นไร”
นางก้าวเท้าเดินต่อ ฝ่ายตรงข้ามพูดขึ้นมาอีก “แม่นางโปรดวางใจ ผู้น้อยจะต้องมอบของขวัญล้ำค่าให้แม่นางแน่”
คราวก่อนอาฉินก็บอกว่าจะมอบของขวัญให้นาง แต่นางหาไม่เจอ นี่ผีหนุ่มจะให้ของขวัญนางอีกคนแล้ว น่ากลัวว่าจะหลอกนางเสียมากกว่า
จือจือรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อถึงบ้าน นางเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ เสียงของน้องชายก็ดังขึ้นนอกหน้าต่าง
“พี่ใหญ่ พี่เซี่ยงมา”
นางกำลังใช้ผ้าเช็ดผม ได้ยินอย่างนั้นมือก็หยุดค้างไปนาน
“ไปเรียนท่านพ่อไป” นางทำเป็นบอกอย่างไม่ใส่ใจ
ท่าทางหลินหยวนจะกลัดกลุ้มเล็กน้อย “แต่ดูเหมือนพี่เซี่ยงต้องการพบพี่ใหญ่เท่านั้น พี่ใหญ่ ท่านจะออกไปพบหรือไม่”
บทที่ 14
จือจือลังเลอยู่นานถึงค่อยตอบไปว่า “เจ้าบอกให้คุณชายเซี่ยงรอก่อน อีกเดี๋ยวพี่จะออกไป”
“อืม” เสียงฝีเท้าของหลินหยวนดังห่างออกไปเรื่อยๆ
เด็กสาวเช็ดผมพลางเดินไปด้านหลังฉากบังตา แล้วไม่แน่ใจว่าตนเองเหยียบโดนอะไรเข้า ดูเหมือนจะเป็นฝักเจ้าเจี่ยวแต่นางไม่ได้วางมันไว้บนพื้นเสียหน่อย
ก่อนสติจะขาดหาย นางเห็นแค่เพดานห้องหมุนกลับหัวเท่านั้น
จือจือรู้สึกว่าตนเองนอนหลับไปนานมาก
นางปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วได้ยินเสียงน้องชายอุทานอย่างยินดี
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว”
เด็กสาวรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งตัว นางเป็นอะไรไปนะ
บิดาที่วิ่งเข้ามาจากข้างนอกปราดมาที่เตียง “จือจือลูกพ่อ ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้วล่ะ…ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
นางไตร่ตรองอย่างจริงจัง “ข้า…ข้าแค่หิว”
หลังได้กินโจ๊กไปสามชามรวด เรี่ยวแรงของจือจือถึงค่อยฟื้นคืนกลับมาบ้าง แล้วนึกได้ว่าดูเหมือนตนเองจะลื่นล้มจนหมดสติไป
“เสี่ยวหยวน คุณชายเซี่ยงกลับไปหรือยัง” นางแอบถามน้องชาย
หลินหยวนมองพี่สาวอย่างประหลาดใจ สีหน้าเจ็บปวดนิดๆ เมื่อตอบว่า “พี่ใหญ่ ท่านหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม”
“อะไรนะ!” ช้อนที่นางถืออยู่ร่วงตกลงไปในชามดังแกร๊ง
“งานเสกสมรสขององค์หญิงผ่านไปแล้ว จริงสิ เมื่อเช้ายังมีการประกาศพระราชโองการว่าหากบ้านใดมีบุตรสาวอายุครบสิบสี่แล้วยังไม่ได้แต่งงาน ต้องส่งภาพเหมือนไปให้หมด ตอนแรกไม่จำเป็นต้องส่งภาพของพี่ใหญ่ แต่ในเมื่อพี่ใหญ่ฟื้น ท่านพ่อจึงส่งภาพเหมือนของท่านไปแล้ว” ความประหลาดใจฉายอยู่ในดวงตาของหลินหยวนเมื่อพูดจบ “องค์หญิงผู้นี้พิลึกพิลั่นจริงๆ…”
จือจือไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วทั้งนั้น สมองของนางตอนนี้ขาวโพลนไปหมด
เหตุใดนางถึงได้หลับไปหนึ่งเดือน ซ้ำจังหวะเวลายังประจวบเหมาะถึงเพียงนี้…
‘แม่นางโปรดวางใจ ผู้น้อยจะต้องมอบของขวัญล้ำค่าให้แม่นางแน่’
นางนึกถึงคำที่ผีหนุ่มพูดกับตน
อย่าบอกนะว่านี่คือของขวัญที่อีกฝ่ายมอบให้
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงร้องไห้เสียเล่า” คำถามของหลินหยวนดึงความคิดของจือจือกลับมาทันที
นางปาดน้ำตาพลางฝืนยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก เสี่ยวหยวน ต่อไปเวลามีใครพูดกับเจ้ากลางถนน เจ้าห้ามตอบเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ แล้วก็อย่าเที่ยวรับปากคำขอของใครง่ายๆ ด้วย”
“หา?”
หัวใจนางเจ็บร้าวเหลือเกิน
นับตั้งแต่รู้ว่าตนเองหลับไปถึงหนึ่งเดือน จือจือก็ไม่อยากข้าวอยากน้ำ เอาแต่นอนน้ำตารินอยู่บนเตียงทั้งกลางวันกลางคืน หลินหยวนนึกว่าพี่สาวร้องไห้เพราะเซี่ยงชิงจวี จึงพูดปลอบโยนนาง
“พี่ใหญ่ อย่าทุกข์ใจไปเลย พอพี่เซี่ยงรู้ว่าพี่ใหญ่ฟื้นแล้วยังเขียนจดหมายมาให้ท่านด้วย”
เขาเขียนจดหมายมา แต่จือจือไม่ฉีกอ่านด้วยซ้ำ นางไม่รู้หนังสือ จะเขียนจดหมายมาให้ทำไมกัน
จือจือร่ำไห้ราวกับเป็นมนุษย์น้ำตา ระหว่างนั้นทางกองสมรสก็ได้ประกาศรายชื่ออนุของราชบุตรเขย
ชื่อของจือจือเป็นหนึ่งในนั้นจริงๆ
หลินผู้พ่อตกใจเสียไม่มีดีเมื่อได้รู้ ส่วนหลินหยวนฟังแล้วร้องไห้โฮ
“เช่นนั้นต่อไปก็จะไม่ได้เจอพี่ใหญ่อีกแล้วสิ ไม่เอานะ ข้าไม่เอา!”
หลินผู้พ่อเองก็ต้องข่มความหมองเศร้าเช่นกัน พวกเขาก็แค่ส่งภาพวาดไปเหมือนเช่นครอบครัวอื่น คิดแค่ว่าส่งๆ ไปให้จบเรื่อง เพราะเชื้อพระวงศ์จะมาสนใจชาวบ้านสามัญชนเช่นพวกเขาได้อย่างไร
จือจือเดาผลลัพธ์ได้แต่แรกแล้ว นางไม่เพียงแต่จะเลิกร้องไห้ ยังปลอบโยนน้องชายว่า “อย่าร้องไปเลย สักวันพี่ก็ต้องออกเรือน อีกทั้งนี่ยังแต่งเข้าไปอยู่ในตำหนักองค์หญิง ไม่ขาดแคลนอะไรทั้งสิ้น”
หลินหยวนยังไม่ยอมเลิกร้อง นางลูบแก้มเขาเบาๆ “เสี่ยวหยวน เจ้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือแล้วดูแลท่านพ่อให้ดี อย่าลืม…อย่าลืมเขียนจดหมายหาพี่ หากย้ายบ้านก็ต้องบอกพี่ด้วยล่ะ”
อย่างน้อยๆ เมื่อกลายเป็นผี นางยังสามารถไปหาครอบครัวได้
“พี่ใหญ่ ถ้าข้าเขียนจดหมายหา ท่าน…ท่านอ่านออกหรือ” เด็กชายสะอื้นฮัก
“…” จือจือชะงักไป “พี่จะวานคนอื่นอ่านให้ฟัง”
บิดาถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เขาไปสืบมาแล้ว แม่สื่อที่เจรจาหาคู่ครองให้จือจือใช่ว่ารับเงินไปแล้วไม่ยอมทำงาน พวกนางพยายามหาแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าย่างเท้าเข้าไปเจรจาในบ้านใด ตกเย็นบ้านนั้นจะต้องเกิดเหตุทำนองไก่หรือสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายตลอด พวกนางจึงมองว่าเป็นลางร้าย ประกอบกับก่อนหน้านี้จือจือนอนไม่ได้สติถึงสามเดือน นอกจากจะไม่หิวตายยังรอดมาใช้ชีวิตได้อย่างแข็งแรง เพียงแค่นี้ก็ลี้ลับเกินไปแล้ว
บิดานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวตนเองจะเข้าตาองค์หญิง
เขาทอดถอนใจอีกครั้ง
กองสมรสประกาศรายชื่อ แล้วยังส่งสินสอดกับชุดเจ้าสาวมาให้ คนที่มาเหมือนเป็นคนจากวังหลวง เวลามองหลินผู้พ่อ ความดูแคลนจะฉายในดวงตา
“บนกระดาษเขียนฤกษ์มงคลไว้ เมื่อถึงเวลาจะมีคนมารับ อย่าพลาดฤกษ์เป็นอันขาดเชียวล่ะ”
สกุลหลินมองว่าเป็นโชคร้าย แต่ในสายตาคนอื่น นี่เท่ากับไก่บ้านจะกลายเป็นนางหงส์ชัดๆ
“พี่ใหญ่ พี่เซี่ยงมีของให้ท่าน”
จือจือชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรับของที่หลินหยวนส่งให้ เป็นภาพวาดใบหนึ่ง
นางไล่น้องชายออกไป แล้วค่อยๆ คลี่ภาพวาดให้แผ่ลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
พอเห็นภาพเท่านั้น นางก็มีอันตะลึงงัน
เพราะว่านั่นเป็นรูปของนาง
แสงโคมพรายพร่างไปทั้งเมือง สะท้อนใบไม้เป็นเลื่อมวาวสีเงิน โคมไฟสีแดงเรียงรายคดเคี้ยวยาวเหยียดราวกับมังกรไฟ เด็กสาวในภาพแต่งกายด้วยอาภรณ์ฉูดฉาดยิ่งกว่าเปลวเพลิง มือหนึ่งถือโคมกระจกสีวาดรูปหญิงงาม อีกมือยื่นออกไปข้างหน้า คล้ายกำลังรอใครมาจับมือตน
บนภาพยังมีข้อความกำกับ จือจืออ่านออกแค่สองตัวเท่านั้น เพราะนั่นเป็นชื่อของนางเอง
วันที่สิบเดือนสามเป็นวันมหาฤกษ์ เหมาะที่จะแต่งงานหรือย้ายที่อยู่
จือจือนั่งเกี้ยวให้คนหามเข้าตำหนักองค์หญิงทางประตูเล็ก ก่อนหน้านางยังมีเกี้ยวสามหลัง อันเป็นของเหวินซื่อธิดาจากภรรยาเอกของเสนาบดีกรมปกครอง ซูซื่อ ธิดาจากอนุภรรยาของราชเลขาธิการ และฉินซื่อ ธิดาจากอนุภรรยาของแม่ทัพฝ่ายขวา
มีแต่สูงศักดิ์กว่าจือจือทั้งนั้น
นางนั่งอยู่ในเกี้ยว มีผ้าแดงคลุมศีรษะ
ว่าไปก็แปลก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางก็ไม่ได้เจอพี่เสิ่นอีกเลย ราวกับว่าอีกฝ่ายหายตัวไปเฉยๆ อย่างนั้น
นางเข้าไปอยู่เรือนชุ่ยไชซึ่งห่างไกลที่สุดเหมือนอย่างชาติก่อน เพียงแต่ว่าเมื่อย่างเท้าเข้ามาในเรือนแห่งนี้อีกครั้ง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ครั้งก่อนนางรู้สึกราวกับเข้ามาอยู่ในแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน ผิดกับคราวนี้ที่รู้สึกว่าที่นี่หนาวเย็นน่ากลัว เพราะนางถูกโบยตายในเรือนชุ่ยไชนี่เอง
ชาติที่แล้วนางต้องรออยู่จนเช้าวันที่สอง ถึงค่อยเปิดผ้าคลุมศีรษะเอง แต่ครั้งนี้พอเดินเข้าเรือน นางก็ตลบผ้าขึ้นแล้ว ก่อนจะพบกับสายตาตกใจของของไฉ่หลิง
จือจือยิ้มให้สาวใช้ “ข้าอึดอัดน่ะ”
ดูเหมือนไฉ่หลิงจะกำลังตะลึงงัน จวบจนจือจือมองนางด้วยความฉงน นางถึงได้สติกลับมา แล้วรีบย่อกายคำนับ “คารวะอี๋เหนียงห้า บ่าวมีนามว่าไฉ่หลิง นับจากวันนี้ไปจะคอยปรนนิบัติรับใช้อี๋เหนียงห้าเจ้าค่ะ”
“อืม”
สาวใช้ก้มหน้าหลุบตาอย่างนอบน้อม “เรียนอี๋เหนียงห้า เรือนที่เราอยู่เรียกว่าเรือนชุ่ยไช เป็นเรือนที่เงียบสงบที่สุดในตำหนักองค์หญิง นอกจากสาวใช้ระดับล่างอีกสองคนที่คอยทำหน้าที่ปัดกวาดทำความสะอาด ที่นี่ก็ไม่มีใครอีก ของกินของใช้บ่าวจะเป็นคนไปรับมา อี๋เหนียงห้าชอบกินอาหารแบบใดก็บอกบ่าวได้ บ่าวจะไปสั่งโรงครัวไว้ล่วงหน้า”
จือจือร้องอ้อในคอแสดงการรับรู้
เรื่องพวกนี้นางเคยเจอมาแล้วเมื่อชาติก่อน จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“คืนนี้ราชบุตรเขยไม่มานะเจ้าคะ อี๋เหนียงห้าจะอาบน้ำก่อนหรือไม่” ไฉ่หลิงถามอย่างระมัดระวัง
“เอาสิ ชุดที่ข้าสวมหนักจะแย่ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันด้วย” จือจือเว้นช่วงเล็กน้อย “จริงสิ พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำหรือไม่”
“ตามกฎ พรุ่งนี้อี๋เหนียงห้าต้องไปคุกเข่าขอบพระทัยองค์หญิงเจ้าค่ะ”
ความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่ในดวงตาจือจือ ทว่านางพยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ ซ้ำยังยิ้มให้สาวใช้อย่างอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นวันนี้รีบพักผ่อนแต่หัววันดีกว่า”
พรุ่งนี้นางต้องไปพบคนที่ฆ่าตนเอง
ปากบอกว่าจะพักผ่อนแต่หัววัน แต่จือจือนอนไม่หลับเอาเสียเลย ได้แต่พลิกกลับไปกลับมาอยู่บนเตียง ไฉ่หลิงที่นอนอยู่ในห้องด้านนอกเข้าใจผิดคิดว่านางลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางดึก จึงส่งเสียงถามอยู่หลายครั้ง จือจือทำได้แค่บอกว่ารู้สึกแปลกที่
พอตื่นมาส่องกระจกในตอนเช้าก็พบว่าใต้ตามีรอยคล้ำบางๆ อย่างที่คิด
ไฉ่หลิงเข้ามาช่วยแต่งตัวให้ ความจริงสาวใช้ประหลาดใจอย่างมาก ในบรรดาหญิงสาวทั้งสี่ที่แต่งเข้ามา อี๋เหนียงห้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อยที่สุด ทว่าเมื่อวานตอนเห็นการประดับตกแต่งในเรือนกลับดูไม่ตกตะลึงเลยสักนิด บุคลิกท่าทางดูเหมือนชนชั้นสูงด้วยซ้ำ ตอนเช้าพอนางยกน้ำชาไปให้ถ้วยหนึ่ง อี๋เหนียงห้ายังรู้ว่าใช้สำหรับบ้วนปาก
นอกจากนั้นอี๋เหนียงห้าผู้นี้ช่างงดงามเสียจริงๆ ผิวหน้าขาวเนียนราวกับไข่ปอก กลิ่นกายหอมจรุง ขนาดบนเตียงที่เจ้าตัวนอนเมื่อคืนยังติดกลิ่นหอมจางๆ
ไฉ่หลิงเคยได้ยินมาว่าโลกเรามีหญิงงามประเภทหนึ่งที่ตัวหอมแต่กำเนิด
นางช่วยหวีผมให้พลางเอ่ยถาม “อี๋เหนียงห้าอยากทำผมทรงอะไรเจ้าคะ”
“อะไรก็ได้” จือจือนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะเสริมขึ้นมาอีก “ยิ่งดูธรรมดาเท่าไรยิ่งดี”
ไฉ่หลิงชะงัก ก่อนจะรับคำสั่ง
เสื้อผ้าในตู้ตัดเย็บตามขนาดรูปร่างของจือจือทั้งสิ้น จือจือกวาดตามองผ่านๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะแต่งกายให้เรียบที่สุด แต่พลันนึกขึ้นได้เสียก่อนว่าเมื่อชาติที่แล้วอนุคนอื่นๆ ล้วนแต่แต่งตัวงดงามตระการตาไปเข้าเฝ้าองค์หญิงทั้งสิ้น หากนางแต่งเรียบๆ จะยิ่งเด่นกว่าเก่า
“ไฉ่หลิง เอาตัวนี้แล้วกัน” นางนึกถึงทรงผมตนเองขึ้นมาได้ “ไฉ่หลิง ทำผมใหม่ เอาทรงที่ซับซ้อนหน่อย แต่ไม่ต้องวิจิตรพิสดารมาก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ต.ต. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.