บทที่ 7
พี่เสิ่นเป็นคนตรง จะไปแอบดูเซี่ยงชิงจวีอาบน้ำทุกวัน แล้วชอบมาบรรยายให้นางฟังว่าชายหนุ่มโปรดปรานเสื้อผ้าตัวใด
จริงอยู่ว่าจือจือเคยออกเรือนแล้ว ทว่าไม่ประสาเรื่องระหว่างชายหญิง ได้ฟังทีไรเป็นต้องเอามืออุดหูด้วยความเขินอาย
พี่เสิ่นหัวเราะคิกคัก “อายอะไรกันเล่า เจ้าชอบเขาไม่ใช่รึ”
จือจือเอามือลง ใบหน้าเนียนแดงก่ำ “ก็ไม่ได้ชอบอะไรหรอก”
คราวนี้พี่เสิ่นเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้างแล้ว “เจ้าไม่ได้ชอบเจ้าหนุ่มเซี่ยงนั่นหรอกรึ”
“ข้าแค่คิดว่าหากได้แต่งงานกับเขาจะได้มีชีวิตที่ดีเท่านั้นเอง” เด็กสาวตอบเบาๆ “ข้าไม่ชอบอยู่อย่างยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้อยากร่ำรวยล้นฟ้า ขอแค่ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างใจหายใจคว่ำ หรือต้องออกไปงานเลี้ยงบ่อยๆ เขาไม่จำเป็นต้องรักข้ามากมาย แค่ให้เกียรติข้าบ้างเท่านั้นก็พอ”
คู่สนทนานิ่งเงียบไปนาน แล้วพลันโพล่งขึ้นว่า “ผิดคาดที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้จักคิดบ้างนะ หากคิดได้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นปัจจุบันหรอก” นางยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายิ่งต้องเล่าเรื่องของเขาให้เจ้าฟังมากๆ”
เซี่ยงชิงจวีโปรดปรานสีเขียว คงเพราะชื่อตนเองมีคำว่า ‘ชิง’
กิจกรรมที่ชื่นชอบคืออ่านหนังสือ อ่านหนังสือ และอ่านหนังสือ บางทีก็เดินหมากกับตนเอง แต่ดูเหมือนฝีมือในเชิงหมากจะไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย อย่างน้อยๆ ก็ดูได้จากสีหน้าเหยียดหยามของพี่เสิ่นยามเล่าว่าชายหนุ่มเดินหมาก
หากออกไปข้างนอกจะชอบไปนั่งดื่มชาที่ร้าน ชนิดชาที่นิยมที่สุดคือต้าหงเผา
ทันทีที่เซี่ยงชิงจวีเดินเข้าร้านน้ำชาก็ได้ยินเสียงหวานใสเสนาะหูของหญิงผู้หนึ่ง
“เรียนถามเถ้าแก่ ไม่ทราบว่ามีต้าหงเผาหรือไม่”
“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ชาต้าหงเผาของวันนี้ถูกจองไว้หมดแล้วล่ะขอรับ อ้อ คนจองคือคุณชายที่เพิ่งเดินเข้ามาท่านนี้ล่ะ”
จือจือมองตามสายตาเจ้าของร้าน แล้วต้องนึกชมในใจว่าพี่เสิ่นช่างบอกเวลาได้แม่นยำยิ่งนัก ฝ่ายนั้นกล่าวว่าทุกวันเซี่ยงชิงจวีจะมาร้านชาเวลานี้ ต้าหงเผาเป็นชาราคาแพง ร้านชาจึงซื้อเก็บไว้ไม่มาก ปกติเซี่ยงชิงจวีจะสั่งจองไว้ล่วงหน้าหนึ่งวัน ดังนั้นหากจือจือมาหาซื้อเวลานี้ ส่วนใหญ่จะซื้อไม่ได้ ทีนี้นางก็จะไม่ต้องเปลืองเงินเปลืองทอง ทั้งยังมีโอกาสชวนเซี่ยงชิงจวีคุยอีกด้วย
เด็กสาวเหลือบมองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้ายินดี “คุณชายเซี่ยงนั่นเอง ช่างบังเอิญจริง”
เถ้าแก่มองสองหนุ่มสาว “พวกท่านรู้จักกันหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย”
เซี่ยงชิงจวีเดินเข้ามา เอ่ยทักนางอย่างเย็นชาและห่างเหินว่า “แม่นางหลิน” จากนั้นก็หันไปพูดกับเจ้าของร้าน “เอาส่วนของข้าให้นางไปเถิด ส่วนค่าชาให้ลงบัญชีข้าเหมือนเดิม”
จือจือรีบปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ในเมื่อคุณชายเซี่ยงซื้อไว้แล้ว ข้าจะแย่งท่านได้อย่างไร”
ชายหนุ่มปรายตามองนาง ใบหน้าหล่อเหลายังดูสุภาพและห่างเหินเหมือนเก่า “ไม่เป็นไร ปกติข้าก็ดื่มบ่อยๆ อยู่แล้ว”
เถ้าแก่ร้านชาหัวเราะ “แม่นางนี่สิเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก น้อยนักที่ลูกค้าหน้าใหม่จะสั่งต้าหงเผา”
จือจือยิ้มรับอย่างประดักประเดิด ยังดีที่เซี่ยงชิงจวีไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ดูท่าจะมองเจตนาของนางไม่ออก เขาเปลี่ยนไปสั่งชาอวิ๋นอู้แทน แล้วขึ้นไปห้องพิเศษชั้นบน แต่เดินไปได้ครึ่งทางก็หยุดอยู่กลางบันได แล้วหันมามองจือจือ
เด็กสาวกำลังคอตกอย่างเงื่องหงอย ด้วยคิดว่าวันนี้ก็มอบถุงเหอเปาให้เขาไม่สำเร็จอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าเซี่ยงชิงจวีจะเอ่ยเรียกนาง
“แม่นางหลิน”
จือจือเงยหน้าพรวด มองเขาตาเป็นประกายพราวระยับ
“ข้างล่างมากคนมากปาก แม่นางหลินได้ชาแล้วก็รีบกลับไปดีกว่า” เขาบอกอย่างเย็นชา
จือจือขยุ้มถุงเหอเปาในแขนเสื้อโดยแรง ตอบรับเบาๆ ขณะก้มหน้าลงใหม่ “อืม”
เซี่ยงชิงจวีตวัดตามองผ่านชายแขนเสื้อนาง ก่อนจะหมุนตัวออกเดินอีกครั้ง
เถ้าแก่ที่ยืนมองอยู่อีกทางเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเพิ่งเคยเห็นคุณชายเซี่ยงดุดันถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ร้านชาของเรามีหญิงสาวแวะเวียนมาไม่น้อย เวลาพวกนางพูดคุยกับคุณชายเซี่ยง เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยสักครั้ง”
จือจือมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้พูดถึงเซี่ยงชิงจวีมากไปกว่านั้น ได้แต่สั่งให้ลูกน้องรีบห่อชาต้าหงเผามาส่งให้นาง “แม่นางรีบกลับไปเถิด”
ตกกลางคืน พี่เสิ่นวนไปวนมารอบห่อชาบนโต๊ะ
“โลกนี้มีบุรุษที่ไม่หวั่นไหวกับความงามของสตรีอยู่จริงๆ หรือนี่” พูดมาถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองเด็กสาวที่อยู่บนเตียง
จือจือสวมเพียงชุดตัวใน ปล่อยผมยาวรุ่ยร่าย ผมของนางไม่ได้ตรงสนิท แต่หยักศกน้อยๆ ตรงปลาย ลอนหยักนี้ช่วยเพิ่มความเย้ายวนให้นางมากขึ้น ดวงหน้าเนียนละมุนราวกับดอกตูมที่กำลังจะผลิบาน เพียงแต่ว่าดอกไม้ดอกนี้มิได้งามกระจ่างใสแบบดอกซิ่งหรือดอกสาลี่ แต่งามฉูดฉาดเตะตาแบบดอกไห่ถัง* ดอกเชียนรื่อหง* หรือดอกเหมยแดง
นางมัวแต่เอามือเท้าคางอย่างเหม่อลอย ไม่ทันสังเกตถึงสายตาของพี่เสิ่นที่จ้องมองมา
พี่เสิ่นลอยเข้ามาข้างตัวนาง “จือจือ”
เด็กสาวหันไปมอง นัยน์ตาหงส์มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ “หือ?”
“หากข้าบอกว่าความจริงแล้วข้าเป็นผีบุรุษ เจ้าจะทำอย่างไร” พี่เสิ่นหน้าแดงอย่างน่าสงสัยเมื่อพูดอย่างนั้น
จือจือกะพริบตา “ผีบุรุษ?”
“ใช่ หากข้าบอกว่าสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเป็นบุรุษ เจ้าจะทำอย่างไร”
ดวงตาของจือจือฉายแววตกตะลึงพรึงเพริด จากนั้นก็รีบมุดเข้าไปในผ้าห่มพลางเอาหมอนที่อยู่บนเตียงตีพี่เสิ่น
“ไม่หรอกๆ ข้าแหย่เจ้าเล่น” แม้จะตีไม่โดน พี่เสิ่นก็ยังหลบตามความเคยชิน
“ผีบ้ากาม!” จือจือบริภาษ
ฝ่ายตรงข้ามยิ้มอย่างอ่อนใจ “จือจือคนดี ข้าแค่แหย่เจ้าเล่นเท่านั้น จะดูหน้าอกข้าไหมเล่า”
“หน้าไม่อาย!”
“เอาล่ะๆ เจ้ายังอยากแต่งงานกับเจ้าหนุ่มเซี่ยงอยู่หรือไม่” พี่เสิ่นงัดไม้ตายมาใช้ ซึ่งก็ทำให้จือจือสงบปากสงบคำได้ทันที
วิญญาณล่องลอยกระแอมสองครั้ง “พวกเราควรคิดวางแผนขั้นต่อไปกันได้แล้ว แผนไปดักเจอที่ร้านน้ำชาใช้ไม่ได้ผล”
ทว่าพวกนางยังไม่ทันได้ความคิดดีๆ ก็มีคนมาสู่ขอจือจือเสียก่อน…
“ท่านพ่อ ข้าไม่แต่งนะ”
พอได้ยินว่าคนที่มาคือหลัวฟั่ง จือจือก็ส่ายหน้าดิก
หลินผู้พ่อเหลือบมองนาง “จือจือ หลัวฟั่งเป็นคนซื่อ นิสัยใจคอไม่เลว ครอบครัวก็ฐานะดีพอควร”
เด็กสาวแทบร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เพราะบอกตรงๆ ไม่ได้ว่าต่อไปหลัวฟั่งจะเอาสมบัติตระกูลไปผลาญจนสิ้น อุตส่าห์นึกว่าจงใจแต่งตัวงามหยาดเยิ้มแล้วจะทำให้มารดาของหลัวฟั่งตกใจจนหนีเปิดไปได้แล้วเชียว คิดไม่ถึงว่าความจริงวันนั้นหลัวฟั่งแอบอยู่ข้างนอก สายตาที่บุรุษมองสตรีย่อมแตกต่างจากสายตาที่สตรีมองสตรีด้วยกันอยู่แล้ว ความงามของจือจือในวันนั้นทำให้หลัวฟั่งหลงใหลจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ พอกลับถึงบ้านก็ร้องไห้คร่ำครวญว่าจะต้องแต่งนางมาเป็นภรรยาให้จงได้ พ่อแม่รบกับบุตรชายไม่ชนะ สุดท้ายจึงต้องมาเจรจาสู่ขอให้
“จือจือ อีกสามเดือนจะถึงงานเสกสมรสขององค์หญิง ตามธรรมเนียม หลังจากที่องค์หญิงเสกสมรสครึ่งปี สามัญชนจะแต่งงานไม่ได้ หากเจ้าไม่แต่งงานตอนนี้ก็เท่ากับต้องรออีกเกือบปี เอ่อ…กว่าจะไปหาคู่ครองเอาตอนนั้น อายุเจ้าก็จะไม่นับว่าน้อยแล้วนะ” เขาเอ่ยพลางทอดถอนใจ
“ท่านพ่อ” จือจือร้อนใจจนอยากร้องไห้ เพราะกลัวบิดาจะตกปากรับคำการสู่ขอครั้งนี้ยิ่งนัก
หลินผู้พ่อมองบุตรสาวแล้วโบกมือไล่ “เจ้ากลับห้องไปเถิดไป เรื่องนี้พ่อจะลองตรองดูอีกที”
จือจือกลับเข้าห้อง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
พี่เสิ่นสังเกตสีหน้านาง “เป็นอะไรไป”
“ท่านพ่อคิดจะยกข้าให้หลัวฟั่งที่บ้านอยู่ถัดไปอีกถนน”
“หลัวฟั่ง? ใครล่ะนั่น” พี่เสิ่นลอยเข้ามาหา “เจ้าไม่อยากแต่งงานกับเขาหรือ”
“อืม” จือจือไม่กล้าเล่าให้พี่เสิ่นฟังว่าความจริงตัวเองตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง นางคิดว่าตัวเองจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไม่ได้ทั้งสิ้น หากเล่าไป มีแต่จะนำภัยมาถึงตัวไม่หยุดหย่อน
“พ่อเจ้าตอบรับแล้วหรือ”
“ท่านพ่ออยากตอบรับ” จือจือถอนหายใจ
พี่เสิ่นใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้สิ คืนนี้เจ้าไปแอบดูเจ้าหนุ่มเซี่ยงอาบน้ำเสีย เขาจะได้รับผิดชอบเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“หา?!”
บทที่ 8
แน่นอนว่าจือจือปฏิเสธความคิดไม่เข้าท่าของพี่เสิ่น
วันรุ่งขึ้น หลัวฟั่งมาหานางถึงบ้าน
เนื่องจากเป็นการเจรจาสู่ขอ จือจือจึงออกไปพบหลัวฟั่งโดยตรงไม่ได้ นางหลบอยู่หลังฉากบังตา แอบฟังบิดาสนทนากับชายหนุ่ม
“หลานชาย ตอนนี้เจ้าทำงานที่ใดหรือ”
“เรียนท่านลุง ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้งานใหม่ที่ตำหนักองค์หญิงขอรับ”
จือจือเบิกตากว้างเมื่อฟังมาถึงตรงนี้
ทำงานในตำหนักองค์หญิง?
เป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ชาติที่แล้ว…
จือจือเพิ่งตระหนักว่าชาติก่อนนางไม่รู้ว่าหลัวฟั่งทำงานที่ใด รู้แต่ว่าภายหลังเขาเอาทรัพย์สินของตระกูลไปผลาญจนหมดสิ้น พอได้ยินคำว่า ‘ตำหนักองค์หญิง’ นางจึงตกตะลึงจังงังพลางคิดกับตนเองในใจว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่แต่งกับหลัวฟั่งผู้นี้เป็นอันขาด
พอชายหนุ่มกลับไป จือจือก็รีบเดินออกมาทันที
“ท่านพ่อ ข้าแต่งงานกับเขาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
หลินผู้พ่อเหลือบตาขึ้นมองบุตรสาวอย่างฉงน “จือจือ หลัวฟั่งมีอะไรไม่ดีในสายตาเจ้ากันนะ”
นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ใจข้ามีคนอื่นแล้วเจ้าค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ” บิดาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ
จือจือตกใจจนต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งพลางหลบตาวูบ “อันที่จริงข้ามีคนที่ต้องใจอยู่แล้ว”
หลินผู้พ่อมองนางนิ่งนาน ไม่ได้ซักไซ้ว่าคนที่บุตรสาวต้องใจคือใคร แต่เขาคิดว่าเขารู้
พอพี่เสิ่นรู้ว่าจือจือทำอะไรลงไปก็หัวเราะลั่น
“หัวเราะอะไรของท่าน” จือจือถูกอีกฝ่ายหัวเราะใส่จนกระอักกระอ่วนไปหมด
“ข้าแค่รู้สึกทึ่งว่าคนนิสัยอย่างเจ้าทำเรื่องเช่นนั้นได้ด้วยหรือ” พี่เสิ่นหัวเราะต่ออีกยก “เจ้าพูดถึงขนาดนี้ พ่อเจ้าคงไม่ตอบรับการสู่ขอครั้งนี้แล้วใช่หรือไม่”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ไม่น่าจะตอบรับกระมัง” จือจือนั่งเอามือเท้าคางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางปรายตามองเงาสะท้อนในกระจก นางไม่เคยคิดว่าตนเองงดงามมากมายอะไรนัก ทว่าพี่เสิ่นมักจะชมนางอยู่เสมอ ทั้งยังบอกว่าหากตนเป็นชาย จะต้องแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน
พี่เสิ่นลอยมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แน่นอนว่าบานกระจกไม่อาจสะท้อนภาพนางได้ ขนาดนางทำแลบลิ้นปลิ้นตาก็ยังมองไม่เห็นอะไรอยู่ดี
“เมื่อไรคุณชายเซี่ยงถึงจะยอมรับถุงเหอเปาของข้าเสียทีนะ”
นึกถึงความเย็นชาที่เซี่ยงชิงจวีแสดงออกมา จือจือรู้สึกราวกับตัวเองเป็นโรคร้าย เขาทำประหนึ่งว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหากเข้าใกล้นางอย่างนั้น
“จือจือ ในเมื่อเจ้าไม่ได้ชอบเขา ไยต้องมุ่งมั่นจะแต่งงานกับเขาให้ได้ด้วยเล่า” พี่เสิ่นถาม “เมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีอะไรนักหรอก แต่หนุ่มรูปงามน่ะมีดาษดื่นเชียวล่ะ”
วิญญาณล่องลอยขยิบตาให้นาง “ขอเวลาข้าสักสามสี่วัน รับรองว่าข้าต้องหาบุรุษดีๆ ให้เจ้าได้แน่” พูดจบอีกฝ่ายก็หายวับไปต่อหน้าต่อตานาง
ถ้อยคำของจือจือในวันนั้นคงได้ผล บิดาของนางไม่พูดถึงหลัวฟั่งอีกเลย ป้าหลัวก็ไม่มาเยี่ยมเยือนอีกเช่นกัน
จือจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก กระนั้นก็ไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปไหน นางกำลังร้อนรน เหลืออีกเพียงสามเดือนท่านผู้นั้นก็จะเสกสมรสแล้ว หากนางยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาไปในสามเดือนนี้ ก็ต้องแต่งเข้าตำหนักองค์หญิงไปเป็นอนุ
แค่คิดถึงคืนที่ตนเองต้องตาย เด็กสาวก็สั่นเทาไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่ใหญ่…พี่ใหญ่”
“หือ?” จือจือเพิ่งรู้ตัวว่าน้องชายกำลังเรียกตน “มีอะไรหรือ”
“พี่เซี่ยงมาขอรับ”
“อะไรนะ!” นางอุทานอย่างประหลาดใจ
“ดูเหมือนจะนำของบางอย่างมาให้ท่านพ่อ แต่ท่านพ่อออกไปข้างนอก ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร ข้าบอกให้พี่เซี่ยงฝากของไว้ แต่เขาบอกว่าจะอยู่รอจนท่านพ่อกลับมา” หลินหยวนขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ช่วยไปชงชาให้ข้าที ข้าจะยกไปรับรองพี่เซี่ยง”
จือจือร้องอ้อ นางมีฝีมือชงชาเป็นเลิศ สามปีที่อยู่ในตำหนักองค์หญิง นางทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่มีงานชุมนุมทีไร ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของนางก็คือชงชาให้เหล่าผู้มีเกียรตินี่ล่ะ
ราชบุตรเขยแปลกใจมากทีเดียวตอนที่ได้ดื่มชาของนางเป็นครั้งแรก ถึงกับมองนางด้วยแววตาเหลือเชื่อ ‘นึกไม่ถึงเลยว่าจือจือจะมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้’
ราชบุตรเขยเป็นชายหนุ่มองอาจหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากบทงิ้ว สมัยที่แต่งเข้าตำหนักองค์หญิงใหม่ๆ จือจือยังฝันหวานว่าราชบุตรเขยจะพึงใจในตัวนาง ดังนั้นเวลาได้รับคำชมจากราชบุตรเขยทีไร นางจะตื่นเต้นจนมือไม้แทบพันกันทุกครั้ง
‘มิได้เจ้าค่ะ ข้าแค่ทำเป็นนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น’
ราชบุตรเขยหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มลอยเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้ใบหูของนางร้อนผ่าวขึ้นมา
‘จือจือไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก’
‘ชารสดีมากเลยหรือ’ เสียงสตรีผู้หนึ่งดังแทรกขึ้นมา ‘เช่นนั้นก็ชงมาให้ข้าสักถ้วยซิ’
จือจือรีบทิ้งตัวคุกเข่า ‘จือจือถวายบังคมองค์หญิง’
รองเท้าปักลวดลายวิจิตรประณีตเยื้องย่างเข้ามาในคลองจักษุ
‘ลุกขึ้นเถิด’
จือจือสะบัดหัว สั่งตนเองไม่ให้คิดถึงเรื่องในอดีตอีก
นางบอกน้องชาย “รอสักครู่นะ พี่จะไปชงชาให้เดี๋ยวนี้”
ไม่ทันไรหลินหยวนก็กลับเข้ามาใหม่ “พี่ใหญ่ พี่เซี่ยงดื่มชาหมดแล้ว ยังต้องชงไปให้อีกหรือไม่”
“หมดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” จือจือผงะไปอย่างตกใจ “เช่นนั้นพี่จะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
ตอนที่น้องชายวิ่งกลับเข้ามาเป็นรอบที่สาม จือจือไม่รู้ว่าตนเองทำหน้าอย่างไร แต่หลินหยวนดูหัวเสียนิดๆ “บ้านเราไม่ใช่โรงน้ำชาเสียหน่อย เขาดันซดเอาๆ ถ้วยแล้วถ้วยเล่าราวกับวัวหิว หึ”
จือจือเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “คงจะคอแห้งกระมัง”
“หึ ใครจะคอแห้งถึงเพียงนั้น สองกาเข้าไปแล้ว ชาดีๆ ในบ้านหมดไปกับเขานี่ล่ะ”
เด็กสาวมองท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของน้องชายแล้วยิ้มขัน “เดี๋ยวรอบนี้พี่ยกออกไปให้เองแล้วกัน”
หลินหยวนส่ายหน้าทันที “ก่อนออกไปท่านพ่อกำชับข้าไว้ว่าพี่ใหญ่เพิ่งหายป่วย ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี ออกไปรับแขกไม่ได้ ข้ายกไปให้เองดีกว่า”
แต่นางถึงขั้นลุกมาชงชาแล้ว ออกไปรับรองแขกจะเป็นไรไปเล่า
กว่าหลินหยวนจะกลับเข้ามาอีกครั้งก็ผ่านไปนาน สีหน้าดูสดใสขึ้นเล็กน้อย “ในที่สุดก็ไปเสียที”
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ”
“ดูเหมือนพี่เซี่ยงจะมีธุระ เลยกลับไปแล้ว”
“อ้อ”
ตกเย็นพอหลินผู้พ่อกลับมา หลินหยวนก็เล่าเรื่องเซี่ยงชิงจวีให้ฟัง เขานิ่งคิดเล็กน้อยก็ร้องว่า “อ้อ พ่อไม่ดีเอง คราวก่อนฝากคุณชายเซี่ยงหาของบางอย่างมาให้ แต่ลืมไปว่านัดกันวันนี้ ช่างเถิด พรุ่งนี้พ่อจะถือของขวัญไปขอขมาเขาที่บ้าน”
“ท่านพ่อ ของอะไรหรือ”
“ของให้พี่เจ้าน่ะสิ” หลินผู้พ่อหันมามองบุตรสาว “เป็นไข่มุกที่มากับเรือเดินสมุทร เห็นว่าของสิ่งนี้ช่วยรักษาจิตใจให้สงบผ่อนคลายได้ เจ้ามักนอนหลับไม่ใคร่สนิท พ่อคิดว่าของสิ่งนี้จะต้องช่วยได้แน่”
“ท่านพ่อ คงจะแพงมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ” จือจือส่ายหน้าทันที “ข้าไม่ต้องใช้หรอก เดี๋ยวนี้ข้านอนหลับสบายดี”
“ไม่แพง แค่ไข่มุกเม็ดเดียว จะแพงสักเท่าไรกันเชียว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ตั้งใจพักฟื้นร่างกายให้ดีก็พอ ระยะนี้อย่าเพิ่งออกไปไหนทั้งนั้น” บิดาเว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หากมีแขกมาหา เจ้าก็ไม่ต้องออกมา ให้น้องชายเจ้าคอยรับรองแขกไปคนเดียวพอ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.