X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่หนึ่ง

หลิ่วเจียงฉยงผู้มีชื่อเล่นว่า ‘ฉยงเหนียง’ คือยอดหญิงชนชั้นสูงในสายตาของผู้คนทั้งหลาย

นางมีฐานะเป็นบุตรีภรรยาเอกคือคุณหนูของสกุลหลิ่วซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเมืองหลวง ปัจจุบันหลิ่วเมิ่งถังบิดานางเป็นถึงราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน* อีกทั้งสกุลหลิ่วก็เป็นขุนนางสำคัญในราชสำนักมาสามรุ่นแล้ว วงศ์ตระกูลจึงมีฐานะยิ่ง ไม่เพียงมีรถม้าอันหรูหราเป็นพาหนะ งานเลี้ยงที่ได้เข้าร่วมก็ล้วนใหญ่โต เนื่องจากนางเรียนรู้โคลงกลอน อักษร และภาพวาดมาแต่เล็ก ทั้งเกิดมาเป็นโฉมสะคราญ ชื่อเสียงของนางจึงลือเลื่องเมืองหลวงทั้งในด้านความงามและความสามารถ ถ้อยคำทั่วหล้าที่ใช้สำหรับเยินยอสตรีผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความรู้ล้วนแต่นำมาประโคมพรรณนาตัวนางได้อย่างมิต้องตระหนี่ถี่เหนียว

แน่นอนว่าเว้นก็แต่เรื่องคู่ครองของนางที่ออกจะเหลวไหลอยู่บ้าง…คุณหนูที่ดีงามเพียงนี้ถึงกับกระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ละทิ้งคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ทั้งราชสำนัก เลือกลดตัวไปแต่งกับซั่งอวิ๋นเทียนบัณฑิตที่มาจากครอบครัวชาวบ้านสามัญอย่างเด็ดเดี่ยว

เดิมทีเรื่องนี้ช่างชวนให้เสียดายและน่าทอดถอนใจนัก แต่ใครเล่าจะรู้ว่าบัณฑิตยากจนผู้เข้าเมืองหลวงมาสอบขุนนางผู้นี้จะผ่านการสอบหน้าพระที่นั่งและได้รับตำแหน่งสำคัญจากจยาคังตี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เนื่องจากในอดีตสกุลหลิ่วเคยถูกหอบม้วนเข้าสู่ความวุ่นวายทางการเมืองจนต้องระหกระเหินพักใหญ่ ทำให้จยาคังตี้รู้สึกทั้งละอายใจทั้งสงสาร ประกอบกับภูมิหลังที่ไร้ผู้สนับสนุนของเขยขวัญสกุลหลิ่วผู้นี้ก็เป็นที่เข้าตาจยาคังตี้ สุดท้ายซั่งอวิ๋นเทียนจึงได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดี กลายเป็นขุนนางผู้ลือนามแห่งยุค หลังจากที่ฉยงเหนียงแต่งเข้าสกุลซั่ง สามีผู้สุภาพหล่อเหลาก็ไม่เคยมีอนุนางบำเรอ สามีภรรยาปรองดองกลมเกลียว มีบุตรธิดาหนึ่งคู่สืบสกุล กล่าวได้ว่าทุกสิ่งล้วนเพียงพอแล้ว

อย่างน้อยๆ สตรีชั้นสูงเกินครึ่งในเมืองหลวงต่างก็อิจฉาฉยงเหนียงที่มีสายตาอันเฉียบคมเรื่องการเลือกสามี ทำให้ในเรือนมีแต่ความสงบสบายใจ นอกจากนี้นางยังเก่งด้านการคบค้าผู้คน ชอบทำการกุศล และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงจ้งหวาฟูเหรินขั้นหนึ่งอีกด้วย

ขณะนี้สายลมยามใกล้รุ่งพัดโชย จันทราจวนลาลับ แสงเทียนที่สั่นไหวยังคงฉายผ่านลายฉลุบนหน้าต่าง ก่อนที่ฉยงเหนียงจะผลักเปิดประตูห้องนอนซึ่งปิดสนิทอยู่ด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นยินดี นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ คือดีใจกับครึ่งชีวิตแรกที่ราบรื่นมั่นคงของตน

ทว่าน่าเสียดาย…ทั้งหมดนี้ล้วนพังทลายเป็นเสี่ยงๆ ในทันทีที่นางเห็นสามีของตนอยู่บนเตียงกับหญิงอื่นเต็มสองตา

ใบหน้าอันหล่อเหลาของผู้เป็นสามีคล้ายฉาบด้วยความตกตะลึงระคนกระอักกระอ่วน เขาป้องบังสตรีที่เรียกขานเป็นพี่น้องกับนางพลางหันใบหน้าอันแตกตื่นมามองนางที่กลับจากบ้านเดิมกะทันหัน

อย่างไรเสียเขาก็เป็นเสาหลักของราชสำนักที่ถูกหล่อหลอมออกมาจนสุขุมหนักแน่น ไม่ช้าเขาก็ตั้งสติได้ รีบขยับมือเท้า กระตุกผ้าห่มที่อยู่ใต้ร่างมาบดบังอย่างรวดเร็ว อากาศในห้องช่างน่าสะอิดสะเอียน ผู้เป็นสามีและหญิงอื่นขดตัวเหงื่อชุ่มอยู่ในมุมหนึ่งของเตียง ผ้าห่มแพรที่แต่เดิมใช้รองเตียงก็พลอยชุ่มเหงื่อไปด้วย คราบเปียกชื้นหลายรอยที่ปรากฏบนผ้าห่มแพรพอบอกได้ว่าพวกเขาเคี่ยวกรํากันอย่างดุเดือดเพียงใด

ฉยงเหนียงได้แต่กำสองมือแน่น นิ่งมองผ้าห่มแพรซึ่งเป็นสินเจ้าสาวที่นางปักเองกับมือผืนนั้น สีหน้าของนางแข็งค้าง คิดในใจเพียงว่า…น่าเสียดายผ้าห่มลายดอกไป่เหอแบบซูโจว** ที่เมื่อแรกข้าสู้บรรจงปักอยู่หนึ่งเดือน ตอนนี้ต้องใช้ไฟเผาทิ้งเท่านั้นถึงจะสะอาด…

ฉยงเหนียงซึ่งเดิมคิดจะมอบความประหลาดใจให้กับสามี ชั่วขณะนี้กลับถูกสามีทำให้ตื่นตกใจแทนแล้ว

ต่างจากท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านของชุยผิงเอ๋อร์สตรีที่สามีของนางปกป้องอยู่

ในที่สุดเมื่อฉยงเหนียงถูกเหตุการณ์ดุจฝันร้ายนี้บีบคั้นให้ต้องถอยออกจากประตูห้องไปอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ชุยผิงเอ๋อร์ถึงรวบสางเรือนผมที่ยุ่งสยาย คลุมเสื้อนอกของซั่งอวิ๋นเทียนแล้วเดินเนิบนาบออกมาจากห้องชั้นใน หลังจากชมดูสีหน้าเปี่ยมด้วยโทสะของฉยงเหนียงอย่างหยิ่งยโสจนหนำใจแล้ว ชุยผิงเอ๋อร์ค่อยเอ่ยปากกล่าวว่า “พี่สาว ข้ากับพี่ซั่งสานไมตรีกันมาเนิ่นนานแล้ว เพียงติดขัดที่ท่านช่างหึงหวง พี่ซั่งไม่สะดวกใจจะเอ่ยปากกับท่าน ตอนนี้ถูกท่านพบเข้าเอง ข้าก็ประหยัดถ้อยคำไปได้มาก วันพรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ซั่งแจ้งต่อท่านพ่อท่านแม่ พวกเราจะได้เข้าพิธีให้ถูกต้องในเร็ววัน!”

เมื่อมองตรงไปยังใบหน้าพริ้มเพราที่ยังฉาบด้วยจริตอันยั่วยวนของชุยผิงเอ๋อร์ ฉยงเหนียงก็ไม่อาจข่มกลั้นต่อไป ยื่นมือตบหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาด “ทำเรื่องขัดต่อศีลธรรมเยี่ยงนี้แล้วยังพูดได้เต็มปากเต็มคำอีก เจ้าช่างหน้าไม่อายเลยจริงๆ!”

ชุยผิงเอ๋อร์คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านตลาดมานานปี ย่อมมีอุปนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบใคร ประกอบกับแต่ไรมายามอยู่ต่อหน้าฉยงเหนียง ชุยผิงเอ๋อร์ก็เคยชินที่จะพูดด้วยกิริยาเช่นนี้และเคยชินที่จะเห็นอีกฝ่ายอดกลั้นยอมลงให้ตนมาตลอด ดังนั้นนางจึงตบหน้าฉยงเหนียงคืนหนึ่งฉาดทันที ใบหน้านางฉายแววหยิ่งผยองและดุร้ายอำมหิต ขัดกับเสียงพูดที่นุ่มเบาสั่นเครือนิดๆ ราวได้รับความไม่เป็นธรรมเสียเต็มประดา “พี่สาว ไยท่านจึงลงมือตบตีผู้อื่นเล่า หรือว่าข้ายังถูกท่านข่มเหงรังแกไม่พอ ทั้งที่ข้าต่างหากคือคุณหนูสกุลหลิ่วผู้เกิดจากภรรยาเอก แต่กลับถูกคนแซ่อื่นอย่างท่านมาทำตัวเป็นนกเขายึดรังสาลิกาเสียได้ เรื่องนี้ข้าเคยต่อว่าท่านหรือไร!”

หึๆ! แค่ ‘นกเขายึดรังสาลิกา’ ประโยคเดียวนี้ก็อุดปากฉยงเหนียงได้แล้ว

สิ่งที่ชุยผิงเอ๋อร์เอ่ยถึงคือความลับของสกุลหลิ่วที่มิอาจบอกต่อคนนอก

ปีนั้นในราชสำนักเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สกุลหลิ่วพลอยเดือดร้อนไปด้วย ระหว่างออกจากเมืองหลวงเพื่อหนีศัตรู พวกเขาไปหลบฝนในโรงเตี๊ยมที่อยู่กลางเขาแล้วบังเอิญได้พบกับครอบครัวพ่อค้าแผงลอยสกุลชุย เป็นกรรมเวรแท้ๆ ที่สองสกุลต่างก็มีทารกแฝดชายหญิงหนึ่งคู่ ชั่วขณะนั้นเอง สกุลหลิ่วกับสกุลชุยที่มาหลบฝนด้วยกันถึงกับอุ้มทารกหญิงสองคนสลับผิดไป

ด้วยเหตุนี้คุณหนูสกุลหลิ่วตัวจริงจึงพลัดพรากไปตกระกำลำบาก ในขณะที่ฉยงเหนียงบุตรสาวพ่อค้าแผงลอยสกุลชุยผู้นี้กลับกลายมาเป็นไข่มุกล้ำค่าบนมือสกุลหลิ่ว

ตอนที่ฉยงเหนียงในวัยสิบหกกำลังคัดเลือกครอบครัวที่จะออกเรือน ความจริงเรื่องชาติกำเนิดนี้ถูกแม่นมของสกุลหลิ่วที่ป่วยหนักใกล้สิ้นลมแล้วเปิดเผยออกมา

ตอนนั้น ‘มารดา’ ของฉยงเหนียง หรือก็คือเหยาซื่อฮูหยินของประมุขสกุลหลิ่วฟังแล้วร่ำไห้เจียนขาดใจ ฉยงเหนียงเองก็คล้ายถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

ตามความเห็นของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลิ่วซึ่งฉยงเหนียงเรียกเป็น ‘ท่านย่า’ นั้น ต้องการจะรับตัวชุยผิงเอ๋อร์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในสกุลชุยกลับมาเข้าสกุลหลิ่วดังเดิม

ทว่าเมื่อส่งคนไปสืบข่าว ผลกลับออกมาว่าชุยผิงเอ๋อร์กลายเป็นนางบำเรอของหลางอ๋องฉู่เสียแล้ว

ตอนนั้นหลางอ๋องคุมทัพตั้งมั่นอยู่ที่แดนเจียงตงเป็นไปได้มากที่จะก่อกบฏ เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนหลีกเลี่ยงเขากันแทบไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้หากสลับตัวบุตรสาวคืนมา หลิ่วเมิ่งถังก็ต้องกลายเป็นพ่อตาของหลางอ๋องไปกระมัง

ญาติดวงตกที่จะชักนำภัยมาถึงเก้าชั่วโคตรเยี่ยงนี้มิอาจรับส่งเดชเด็ดขาด!

ตอนนั้นสกุลหลิ่วจึงได้แต่ปล่อยให้ผิดแล้วผิดเลย ยังคงให้ฉยงเหนียงเป็นคุณหนูสกุลหลิ่วตัวจริงต่อไป มิได้รับบุตรสาวแท้ๆ กลับมา

เพียงแต่เมื่อสืบได้ข่าวว่าหลางอ๋องฉู่เสียผู้นั้นเป็นคนโหดร้ายทารุณ ดูแคลนสตรีเป็นที่สุด ทั้งมักกำนัลนางบำเรอโฉมงามให้ผู้อื่น เหยาซื่อที่รักลูกจนร้อนใจจึงแอบฝากคนนำเงินก้อนโตไปขอให้ที่ปรึกษาคนสำคัญของหลางอ๋องช่วยออกหน้ากล่าวขอชุยผิงเอ๋อร์มา หลังจากชุยผิงเอ๋อร์รอนแรมหลายทอดจนกลับถึงเมืองหลวง ค่อยอ้างว่านางเป็นญาติห่างๆ ที่เดินทางมาขอพึ่งพิง เช่นนี้ถึงรับตัวนางกลับเข้าสกุลหลิ่วได้

เมื่อชุยผิงเอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดของตน ก็เคียดแค้นฉยงเหนียงที่ยึดตำแหน่งบุตรีภรรยาเอกไปชนิดเข้ากระดูกดำ รวมทั้งต้นเหตุที่ก่อนนี้ตนต้องตกอับเป็นของเล่นบุรุษก็ถูกเหมารวมไปที่ตัวฉยงเหนียงด้วย ภายหลังได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่สกุลหลิ่ว และคิดว่าทั้งหมดนี้เดิมทีควรจะเป็นของตน หัวใจของชุยผิงเอ๋อร์ที่สุมด้วยความโกรธแค้นก็ยิ่งบิดเบี้ยว

จนกระทั่งตอนท้ายชุยผิงเอ๋อร์ถึงขั้นรู้สึกว่าสามีของฉยงเหนียง…ซั่งอวิ๋นเทียนเสาหลักของบ้านเมืองผู้มีอนาคตไกลผู้นี้เดิมทีก็สมควรเป็นสามีของตนถึงจะถูก!

เนื่องจากหลายปีก่อนตอนอยู่ในจวนหลางอ๋อง ชุยผิงเอ๋อร์ถูกจับกรอกยาป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีฤทธิ์รุนแรง นางรู้ตัวว่าชาตินี้ไม่อาจจะให้กำเนิดบุตรได้แล้ว จึงปฏิบัติต่อบุตรชายหญิงของฉยงเหนียงอย่างอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ คอยนำผลไม้สดตามฤดูกาลกับของเล่นที่แปลกใหม่มาให้เป็นประจำ

ผิดกับฉยงเหนียงที่มักวุ่นอยู่กับการคบค้าระหว่างสตรีชั้นสูงตามงานจิบน้ำชาของผู้รักบทกวี ทั้งเกรงว่ามารดาใจดีจะทำให้บุตรเสียคน ดังนั้นนางจึงให้ความสำคัญกับการเรียนของบุตรเพียงอย่างเดียว ตั้งข้อเรียกร้องต่อบุตรทั้งสองอย่างเข้มงวด และตีพวกเขาอยู่บ่อยครั้งจนทำให้ลูกๆ ห่างเหินกับนาง

สองฝ่ายเปรียบกันแล้ว น้าชุยในใจของเด็กๆ ถึงกับมีความผูกพันใกล้ชิดยิ่งกว่ามารดาเสียอีก พวกเด็กๆ จึงมักเฝ้ารอให้น้าชุยมาเยือนที่จวนสกุลซั่ง และมาเล่นสนุกด้วยกันกับพวกเขา

ภาพความปรองดองอันจอมปลอมนี้ถึงกับปิดหูปิดตาฉยงเหนียง จนกระทั่งช่วงหนึ่งนางหลงนึกว่าชุยผิงเอ๋อร์ละวางความโกรธแค้นในใจลงแล้ว ยินยอมที่จะอยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง ถึงได้ปฏิบัติกับสามีและลูกๆ ของนางอย่างกลมเกลียวเช่นนี้ อีกอย่างเพราะนางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของสกุลหลิ่วแต่กลับยังสวมฐานะนี้ไว้ ในใจรู้สึกละอายจึงพยายามเอาใจชุยผิงเอ๋อร์ในทุกเรื่อง

จวบจนชั่วขณะนี้ฉยงเหนียงถึงค่อยเข้าใจกระจ่างเสียที ชุยผิงเอ๋อร์กำลังแสดงไมตรีที่ใดกันเล่า! อีกฝ่ายเจตนาจะมาแทนที่นาง ตั้งใจจะยึดสามีกับบุตรชายหญิงของนางไปเป็นของตนเองทั้งหมดต่างหาก!

อาการแสบร้อนบนแก้มกำลังย้ำเตือนฉยงเหนียงว่าเมื่อก่อนที่ตนพยายามทำดีกับชุยผิงเอ๋อร์นั้นโง่เขลาเพียงใด ถึงขั้นชักนำชุยผิงเอ๋อร์งูพิษตัวนี้เข้ามาในเรือนของตนเสียได้

หากเป็นฉยงเหนียงในอดีตถูกชุยผิงเอ๋อร์ตบหน้าฉาดนี้เกรงว่าคงจะกลั้นใจอดทนไว้ ทว่านางในตอนนี้ตัดสินใจจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว นางเพียงใช้สายตาอันเยียบเย็นจับจ้องใบหน้าที่ยิ่งแสดงความเหิมเกริมของชุยผิงเอ๋อร์ ก่อนจะพลันตวัดยกหนึ่งเท้าเตะใส่ท้องของอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง!

หลิ่วเจียงจวีคุณชายใหญ่สกุลหลิ่วชื่นชอบการต่อสู้ ฉยงเหนียงในวัยเด็กขี้โรคจึงฝึกการต่อสู้กับอาจารย์สอนยุทธ์ของพี่ชายอยู่หลายปี แรงของหนึ่งเท้าที่ตวัดเตะออกไปนี้จึงมิใช่ดีแต่อวดลีลา

ชุยผิงเอ๋อร์ร้องโหยหวนหนึ่งหนก่อนจะทรุดกองกับพื้นดุจถุงผ้าใบหนึ่ง

เมื่อหนึ่งเท้านี้เตะออกไป ซั่งอวิ๋นเทียนที่อยู่ในห้องชั้นในไม่โผล่หน้าก็ออกมาจนได้

เห็นชัดว่าเสาหลักแห่งราชวงศ์ต้าหยวนผู้นี้ไม่ค่อยสันทัดเรื่องไกล่เกลี่ยความขัดแย้งอันยุ่งเหยิงระหว่างคนรักเดิมกับคนโปรดใหม่ ขณะที่เขาฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง ในสมองก็คิดว่าจะยอมรับผิดกับฉยงเหนียงเช่นไรดี นางอ่อนหวานเสมอมา ทั้งดีกับชุยผิงเอ๋อร์อย่างยิ่ง นางคงจะไม่สร้างความลำบากแก่ชุยผิงเอ๋อร์นักหรอก ทว่าครั้งนี้นางโกรธจนขาดสติอย่างเห็นได้ชัด เสียงด่าทอด้วยโทสะที่ดังลั่นนั้นทำให้เสียงที่นุ่มเบาของชุยผิงเอ๋อร์ยิ่งฟังดูน่าสงสารชวนถนอม รอจนได้ยินเสียงร้องโหยหวนของชุยผิงเอ๋อร์ที่ถูกเตะทรุดลงกับพื้นอย่างอเนจอนาถ ก็ยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณบุรุษที่มักเห็นใจผู้อ่อนแอ เขาจึงรีบวิ่งออกมาทันใด

คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นขณะพยุงชุยผิงเอ๋อร์ที่พริบตาพลันอ่อนปวกเปียกยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกว่าตนคล้ายมีความมั่นใจแล้ว จึงเอ่ยกับฉยงเหนียงว่า “ฉยงเหนียง เจ้าทำเกินไปแล้ว เดิมทีความผิดอยู่ที่ข้า เจ้าจะตบตีจะด่าว่าล้วนเป็นสิ่งที่ข้าพึงรับไว้ แต่เจ้า…เจ้าทำเช่นนี้กับน้องสาวของเจ้าได้อย่างไรกัน! ความทุกข์ยากที่นางเคยได้รับมีมากเหลือเกิน ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายรักถนอมนางแทบไม่ทันด้วยซ้ำ หากพวกท่านรู้ว่าเจ้าก่อเรื่องเช่นนี้มีหรือจะไม่ถือโทษเจ้า! เจ้าทำเยี่ยงนี้ออกจะ…ออกจะป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!”

ในใจฉยงเหนียงคล้ายมีบางสิ่งถูกค้อนทุบอย่างรุนแรงจนแหลกละเอียด ร่างที่ยืดตรงของนางพลันส่ายโคลงเล็กน้อย เนื่องเพราะรู้ชาติกำเนิดว่าสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างตนเป็นของครอบครัวพ่อค้าอันต่ำต้อย นับแต่ปีที่นางอายุสิบหกจึงยิ่งมีอุปนิสัยที่คร่ำครึเงียบขรึม เคร่งครัดในจรรยาของคุณหนูตระกูลลือนาม กลัวแต่ว่าหากคำพูดและการกระทำของตนไม่เหมาะสม จะถูกเครือญาติสกุลหลิ่วที่รู้ตื้นลึกหนาบางนำมาพูดสนุกปาก

ทว่าตอนนี้สามีที่ฉยงเหนียงมิได้ระวังป้องกันเลยกลับเป็นผู้ขยี้แผลที่ซ่อนอยู่ในใจนาง ซ้ำยังโอบชู้รักไว้แนบอกพลางประณามว่านางป่าเถื่อนเกินไป…

ฟ้าเท่านั้นที่รู้ หากชั่วขณะนี้ในมือนางถือกระบี่อยู่ก็คงจะไม่กระทำเรื่องป่าเถื่อนเช่นนี้แน่ เพียงเงื้อมือตวัดกระบี่ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม แทงอีกฝ่ายสองรูให้เลือดอุ่นระอุไหลทะลักออกมาก็สิ้นเรื่องแล้ว!

ยามนี้ตัวตนดั้งเดิมที่เก็บกดมาช้านานพลันปลดเปลื้องจากพันธนาการ ฉยงเหนียงประดุจผีเสื้อที่เจาะออกจากรังไหม บุคลิกอันใจกว้างผ่อนปรนและสงบนิ่งล้วนถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้าง นางแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ตัดสินใจว่าจะป่าเถื่อนให้ถึงที่สุด พอเดินไม่กี่ก้าวไปถึงเบื้องหน้าของซั่งอวิ๋นเทียน นางก็ละทิ้งท่าทางของกุลสตรีผู้อ่อนหวานในอดีต ยกมือตบหน้าสามีหนึ่งฉาดอย่างหนักหน่วงจนเขาหน้าหันแล้วค่อยเอ่ยถาม “ซั่งอวิ๋นเทียน ก่อนจะลงชื่อในหนังสือสมรสเจ้าตาบอดหรือว่าหูหนวกกันแน่ ก่อนแต่งงานข้าเคยปิดบังเจ้าเรื่องชาติกำเนิดของตนหรือไร เหตุใดข้าจึงละทิ้งไม่ออกเรือนกับคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่กลับเลือกชาวบ้านธรรมดาที่ทางบ้านยากจนเช่นเจ้า! นั่นเพียงเพราะข้ารู้ตัวว่าตนเองไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหลิ่ว ไม่คู่ควรกับผู้ดีมีตระกูลที่แท้จริง ยิ่งไม่อยากให้วันหน้าสามีรู้เรื่องแล้วกล่าวโทษว่าข้าหลอกแต่งงาน ดังนั้นข้าถึงได้เลือกเจ้า!”

ขณะกล่าวนางมองขึ้นลงเพื่อพิจารณาสามีที่พลันเปลี่ยนเป็นดูแปลกหน้า จากนั้นจึงเอ่ยเยาะหยันตนเอง “เดิมทีข้ามาจากครอบครัวพ่อค้าที่ต่ำต้อย ตอนนั้นสกุลซั่งของเจ้าก็ไส้แห้งจนแทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ นับว่าชาติตระกูลเหมาะสมกันดี ต่างก็ไม่อาจติข้อบกพร่องของกันและกันได้ ตอนที่ข้าเปิดเผยความจริงอันย่ำแย่ของตน เจ้าเคยสาบานให้คำมั่นไว้อย่างไรกัน เจ้าบอกว่าต่อให้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของข้าเป็นเช่นไร นับจากนี้ข้าก็คือภรรยาของเจ้าซั่งอวิ๋นเทียน ชายชาตรีสกุลซั่งจะอาศัยความสามารถของตนทำให้ภรรยาและบุตรเป็นที่นับหน้าถือตา แต่ตอนนี้เล่า เจ้ากลับรังเกียจว่าข้าป่าเถื่อน? แล้วนี่เล่า…ตอนที่เล่นชู้อยู่บนเตียงกับชุยผิงเอ๋อร์เจ้าคงจะรู้ซึ้งถึงท่วงท่าของคุณหนูสกุลหลิ่วตัวจริงแล้วกระมัง พวกเจ้าช่างเป็นสุภาพชนที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียนี่กระไร!”

สกุลซั่งสามารถก้าวผ่านอดีตที่ยากไร้มาสู่ปัจจุบันที่มั่งคั่งมีหน้ามีตาได้ ย่อมมิใช่อาศัยเพียงเบี้ยหวัดเล็กน้อยของซั่งอวิ๋นเทียน การวางแผนกิจการของฉยงเหนียงต่างหากที่มีคุณความดีอันมิอาจจะลบล้าง การดูแลร้านค้าหลายแห่งมานานปีได้ขัดเกลาให้สตรีที่เคยอยู่แต่ในห้องหอไม่รู้จักความทุกข์ยากผู้นี้มีคารมเป็นเยี่ยม บัดนี้เมื่อนางเอ่ยถากถางอย่างเจ็บแสบ ซั่งอวิ๋นเทียนที่เพิ่งจะสวมกางเกงออกมามีหรือจะทนรับไหว

แม้แต่งงานกันมาสิบปีแล้ว ทว่าในใจเขาก็ยังคงรักฉยงเหนียงอยู่ ยังมิต้องเอ่ยถึงความฉลาดในการวางตัวของนางกับความเก่งกาจในการผูกสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งส่งผลดีในการทำงานของเขาอย่างยิ่ง ลำพังเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉม ชุยผิงเอ๋อร์ก็มิอาจเทียบฉยงเหนียงที่เกิดมางามประณีตดุจหยก สะกดให้ผู้ชมมิอาจละสายตา

เมื่อแรกตอนที่เขาได้ยินเรื่องชาติกำเนิดของฉยงเหนียง แท้จริงแล้วในใจยินดีเป็นบ้าเป็นหลังจนยากจะข่มกลั้น ลอบดีใจว่าหากมิใช่เพราะความลับนี้ ต่อให้นางตกอับเป็นชาวบ้านร้านตลาด ด้วยรูปโฉมระดับนี้ก็ต้องมีคหบดีแย่งกันส่งของหมั้นหมาย มีหรือที่โอกาสจะเวียนมาถึงเขาได้

ก่อนหน้านี้ชุยผิงเอ๋อร์เผยความในใจต่อเขาหลายครั้งหลายคราล้วนถูกเขาปฏิเสธ ทว่าจนใจที่ฉยงเหนียงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าจรรยาของกุลสตรีเสมอมา ขณะร่วมเตียงกระทั่งคำหยาบโลนก็มิอาจทนฟัง อย่างไรเสียนานวันเข้าสามีภรรยาย่อมจะขาดรสชาติ

มีหนหนึ่งระหว่างที่ฉยงเหนียงกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม เขาดื่มสุราแล้วขาดความยับยั้ง สุดจะข่มใจต่อการรุกเร้าของชุยผิงเอ๋อร์ หลังจากกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อนจนมีสัมพันธ์กัน เขาถึงกับติดอกติดใจมิรู้หาย จึงยิ่งหักห้ามใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

ถึงอย่างไรชุยผิงเอ๋อร์ก็ออกมาจากจวนหลางอ๋องที่คลุ้งคาวโลกีย์ ท่วงทีปล่อยเนื้อปล่อยตัวยามอยู่บนเตียงจึงทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงรสชาติอันเต็มอิ่มระหว่างบุรุษสตรีอย่างแท้จริง หลังจากลักลอบเช่นนี้หลายหนเข้า ความรู้สึกผิดบาปอันเข้มข้นที่อยู่ในใจเขาก็ถึงกับค่อยๆ เจือจางลงอย่างมาก

บุรุษขวนขวายหาความก้าวหน้าในเส้นทางขุนนางเพื่อสิ่งใดกันเล่า มิใช่เพื่อให้ได้เสพดนตรีเคล้านารี ตักตวงความสำราญเล็กๆ น้อยๆ ให้กับชีวิตหรือไร! เปรียบกับสหายขุนนางคนอื่นๆ ที่มีสามภรรยาสี่อนุแล้ว ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของเขาซั่งอวิ๋นเทียนก็แค่อยู่ไปวันๆ เท่านั้น!

ทว่าในใจเขาก็ยอมรับว่ามีแต่ฉยงเหนียงที่คู่ควรเป็นภรรยาของเขา สัมพันธ์ลับๆ อันฉาบฉวยกับชุยผิงเอ๋อร์นี้เขามิได้อยากจะให้ภรรยาล่วงรู้แม้แต่น้อย

เพียงแต่วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดเด็กรับใช้ที่คอยดูต้นทางให้เขาเสมอกลับหายไปไม่เห็นร่องรอย ทำให้ภรรยาที่กลับเรือนมากะทันหันเห็นสภาพอันทุลักทุเลของเขาเข้าอย่างจัง

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้ต้องกวาดตามองชุยผิงเอ๋อร์ที่ยังคงเปล่งเสียงร่ำไห้ สัญชาตญาณบอกเขาว่านางอาจคิดไม่ซื่อเล่นลูกไม้บางอย่างก็เป็นได้

ทว่า…เรื่องแดงเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างที่ชุยผิงเอ๋อร์กล่าว ถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูตัวจริงของจวนสกุลหลิ่ว จะปฏิบัติกับนางอย่างไม่เป็นธรรมมิได้ อีกอย่าง ด้วยนางไม่อาจให้กำเนิดบุตร และที่ผ่านมาก็รักถนอมลูกๆ ทั้งคู่ของเขามาก ภายหน้านางแต่งเข้าจวนสกุลซั่งย่อมไม่มีทายาทมาคุกคามฐานะบุตรสายตรงที่เกิดจากฉยงเหนียง เขายิ่งไม่มีทางจะหลงอนุจนทิ้งขว้างภรรยา เขาจะแบ่งปันความรักให้ทั่วถึงอย่างแน่นอน เช่นนี้ก็ดีพร้อมต่อทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือไร

จริงอยู่เขาลักลอบคบชู้เช่นนี้ทำให้ฉยงเหนียงเสียหน้า แต่เขานึกว่าด้วยความรู้สึกติดค้างที่นางมีต่อชุยผิงเอ๋อร์มาช้านาน เรื่องรับอนุย่อมลุล่วงได้โดยปริยาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านพ่อตากับท่านแม่ยายจะยอมหรือไม่ จะรู้สึกหรือไม่ว่าฐานะอนุไม่เป็นธรรมต่อคุณหนูสกุลหลิ่วตัวจริง

ทว่าภรรยาที่เยือกเย็นวางตัวดีเสมอมากลับลงมือตบผู้อื่นราวหญิงชาวบ้านที่ป่าเถื่อน ซ้ำเอ่ยประชดเหน็บแนมเขาอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง

เมื่อมองเห็นประกายอันเย็นเฉียบในดวงตารูปเมล็ดซิ่งคู่งามของฉยงเหนียง เขาก็พลันเบื้อใบ้ไปชั่วขณะ มือที่พยุงชุยผิงเอ๋อร์อยู่ก็คลายออกช้าๆ

หลังจากพูดถากถางสามีจบ นางก็หันไปมองชุยผิงเอ๋อร์ที่ยังหลั่งน้ำตาไม่หยุด “ส่วนเจ้า…ก็ไม่ต้องมาเสแสร้งเป็นเจ้าทุกข์ต่อหน้าข้า! เดิมทีข้าเองก็ไม่รู้หรอก จนกระทั่งเร็วๆ นี้บังเอิญได้ยินคำสนทนาส่วนตัวของท่านพ่อท่านแม่ ข้าถึงได้เข้าใจคดีอุ้มบุตรสาวผิดตัวในครั้งนั้นชัดแจ้งเสียที เจ้าจะกลับไปถามท่านพ่อท่านแม่ดูเองก็ได้ว่าเหตุใดตอนนั้นถึงอุ้มผิดตัว! เดิมทีเพื่อจะลี้ภัยและรักษาสายเลือดผู้สืบสกุลของตนไว้ พวกท่านจึงขโมยบุตรชายของผู้อื่นมาตบตาศัตรูที่บุกมากลางทาง แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากพ้นภัยแล้วมาสลับตัวคืน แม่นมสองคนของสกุลหลิ่วจะรีบร้อนจนผิดพลาด ต่างคนต่างก็ไปสลับเด็กมารอบหนึ่ง แม้ทารกชายสองคนจะถูกสลับคืนเรียบร้อย แต่กลับสลับข้ากับเจ้าผิดไป แม่นมที่สลับเด็กผิดมาสังเกตเห็นในภายหลัง ด้วยเกรงว่าเจ้านายจะเอาโทษนางจึงปิดบังเรื่อยมา จวบจนก่อนตายถึงได้เปิดเผยความจริง ต้นเหตุของเวรกรรมในครั้งนี้ใช่ข้ากับสกุลชุยเป็นผู้ก่อเสียเมื่อไร!”

ถ้อยคำที่นางเอ่ยนี้ไม่มีความเท็จแม้สักนิด ดังนั้นจะว่าไปแล้วสกุลชุยต่างหากคือเจ้าทุกข์ที่แท้จริง

แม้ชุยผิงเอ๋อร์ต้องซัดเซพเนจร แต่สาเหตุก็มิใช่เพราะสามีภรรยาสกุลชุยละโมบในลาภยศจึงขายบุตรสาวไปเป็นนางบำเรอ

ตามข้อเท็จจริงที่ฉยงเหนียงส่งคนไปสืบมาได้ในภายหลัง เห็นชัดว่าเป็นชุยผิงเอ๋อร์เองที่ตอนนั้นอายุน้อยมองสถานการณ์ตื้นเขิน รังเกียจว่าบุตรชายของครอบครัวฐานะดีที่สามีภรรยาสกุลชุยเลือกให้ไม่สูงศักดิ์มั่งมีพอ นางอาศัยว่ามีรูปโฉมงดงามทั้งยังอ่อนเยาว์จึงลอบหนีออกจากบ้าน แล้วเป็นฝ่ายไปติดตามหลางอ๋องเพื่อจะเป็นนางบำเรอของเขา เพียงแต่ต่อมาเมื่อได้เข้าจวนอ๋องจริงๆ ค่อยรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคออันโหดร้ายของหลางอ๋องฉู่เสีย นางจึงร้องร่ำรำพันไม่เลิกรา

สิ่งที่ฉยงเหนียงกล่าวมา อันที่จริงชุยผิงเอ๋อร์รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่นั่นแล้วอย่างไร หากมิใช่เมื่อแรกอุ้มเด็กผิดตัว ลูกคนชั้นต่ำอย่างฉยงเหนียงมีหรือจะได้เสพสุขกับลาภยศที่ไม่สิ้นสุดของสกุลหลิ่ว และได้ครองชื่อเสียงอันดีงามเป็นคุณหนูชนชั้นสูงของเมืองหลวงอยู่เช่นนี้รึ สิ่งที่เจ้าติดค้างข้าผิงเอ๋อร์…ต่อให้ชดใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้นหรอก!

จากเรื่องที่จะสร้างความประหลาดใจจนกลายเป็นจับชู้ได้ฉากนี้ ในที่สุดก็บานปลายไปถึงเบื้องหน้าหลิ่วเมิ่งถังผู้เป็นประมุขสกุลหลิ่ว

เรื่องอัปยศในเรือนเยี่ยงนี้ แม้แต่ใต้เท้าราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลินก็ไม่สะดวกจะออกหน้าด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นซั่งอวิ๋นเทียนบุตรเขยของเขาในตอนนี้ก็เป็นใหญ่ในกรมขุนนาง เสมือนแขนซ้ายขวาของฮ่องเต้ เขาจึงต้องไว้หน้าบุตรเขยบ้าง

ด้วยเหตุนี้เมื่อใต้เท้าหลิ่วปิดประตูห้องหารือกับเหยาซื่อฮูหยินของตนเสร็จ จึงให้เหยาซื่อในฐานะมารดาเป็นผู้เจรจากับฉยงเหนียง

เหยาซื่อที่ไม่มีรอยยิ้มของมารดาผู้เปี่ยมเมตตาให้กับฉยงเหนียงอีกเลยนับแต่พบว่าอุ้มบุตรสาวมาผิดคน คราวนี้กลับดูอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก นางประดับยิ้มบนใบหน้าก่อนจะจูงฉยงเหนียงมาถึงริมหน้าต่างฉลุลายที่อยู่ทิศตะวันตกของห้องชั้นใน จากนั้นยื่นส่งถ้วยน้ำชาร้อนๆ ไปให้พลางกล่าว “ผิงเอ๋อร์เติบโตมาในตลาด ถึงอย่างไรก็บกพร่องธรรมเนียม เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้นางทำตามอำเภอใจโดยไม่ปรึกษาพวกเราพ่อแม่ได้อย่างไรกัน หากบอกออกมาแต่เนิ่นๆ เจ้าที่เป็นพี่สาวมีหรือจะไม่เข้าอกเข้าใจและอภัยให้นาง”

ถ้อยคำเกริ่นนำนี้ทำให้หัวใจของฉยงเหนียงดิ่งฮวบลงไม่หยุดยั้ง

เหยาซื่อเอ่ยปากต่อดังคาด “เพียงแต่…จะให้ผิงเอ๋อร์น้องสาวเจ้าเป็นอนุ พ่อกับแม่ก็ทำใจไม่ได้จริงๆ เดิมทีพวกเราคัดเลือกชายหนุ่มรูปงามมากความสามารถไว้ให้นางหลายคนแล้ว ขอเพียงแต่งเข้าไปนางก็คือฮูหยินเอก ทว่าที่ผ่านมาน้องสาวเจ้าล้วนไม่ยอมตกลงปลงใจ ในเมื่อสองคนนั้น…มาถึงขั้นนี้แล้ว ในใจเจ้าก็อย่าได้เคืองแค้นนางเลย ตอนนี้อวิ๋นเทียนเด็กคนนั้นเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ในเรือนจะปล่อยให้ว่างโหวงเรื่อยไปได้อย่างไรกัน หากนางแต่งเข้าไปอยู่ในเรือนเจ้า พ่อกับแม่กลับจะวางใจได้ยิ่งขึ้น อย่างไรเสียก็มีเจ้าคอยดูแลข้อบกพร่องของนาง นางเองก็สามารถช่วยเสริมในสิ่งที่เจ้าขาด เอ๋อหวงกับหนี่ว์อิงร่วมปรนนิบัติหนึ่งสามี* ก็นับเป็นเรื่องที่ดีงาม…ต่อให้นางแต่งเข้าไปแล้วมีฐานะเป็นภรรยาอีกคนเทียบเท่าเจ้า แต่นางไม่อาจให้กำเนิดบุตรก็ย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากนักมิใช่หรือ”

ถัดจากนั้นเหยาซื่อพูดอะไรอีกบ้างฉยงเหนียงล้วนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว เดิมทีนางนึกว่าเหยาซื่อต้องไม่เห็นพ้องเรื่องตบแต่งชุยผิงเอ๋อร์บุตรสาวแท้ๆ ที่รักถนอมมาตลอดเป็นอนุ นางไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าที่แท้เหยาซื่อตั้งใจจะให้ชุยผิงเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยวเข้าจวนสกุลซั่งในฐานะภรรยาอีกคน

ในใจฉยงเหนียงแสนเศร้าสลด ทว่าเมื่อมองดูเหยาซื่อผู้ที่ตนเคารพเป็นมารดาแท้ๆ เสมอมา ความทุกข์ระทมนับพันหมื่นกลับไม่อาจจะระบายออก เพียงพูดได้ประโยคเดียวว่า “ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร…ลูกไม่ยินยอม!”

เหยาซื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปจนสิ้น เพียงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ผิงเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ยากตั้งมากเพียงนั้น ใช่ว่าเจ้าไม่รู้! หากมิใช่สามีภรรยาสกุลชุยติดค้างนาง ไม่ดูแลนางให้ดี นางจะถึงกับถูกหลางอ๋องนั่นเอาตัวไปหรือ แต่พวกเราเคยตำหนิพ่อแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าเมื่อไรกัน พวกเรารู้ว่าเจ้าถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก ไม่มีทางจะกลับเข้าครอบครัวพ่อค้าชาวบ้านได้เด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่เคยเรียกให้เจ้าไปจากสกุลหลิ่ว ทั้งปฏิบัติกับเจ้าเสมือนลูกในไส้ สินเจ้าสาวกับสาวใช้ที่จัดเตรียมให้เจ้าในตอนนั้นมีสิ่งใดบ้างที่ไม่สมฐานะ เจ้ายังมีสิ่งใดไม่พอใจอีก!”

ฉยงเหนียงฟังมาถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขวับ จับจ้องเหยาซื่อตรงๆ พลางกล่าว “ท่านแม่ ลูกได้ยินคำสั่งเสียก่อนตายของแม่นมอิ่นผู้นั้นแล้ว เดิมทีใช่ว่าสกุลชุยอยากจะรับโชควาสนาเช่นนี้จากสกุลหลิ่ว…”

เหยาซื่อพลันถูกเปิดโปงรอยด่างดวงในอดีตจึงอึกอักอยู่บ้าง ทว่าไม่ช้าก็สงบสติตีหน้าขรึมโต้กลับไป “ตอนนี้ไม่อยากจะรับก็คงไม่ได้แล้ว…ชุยฉวนเป่าพี่ชายร่วมสายเลือดของเจ้าคนนั้นไม่รักดี ตีน้องชายภรรยาจนอาการสาหัสสุดจะยื้อชีวิตได้ บัดนี้ถูกจับขังคุกแล้ว คนสกุลชุยก็ช่างไร้ยางอาย แอบไปขอร้องทางผิงเอ๋อร์ ผิงเอ๋อร์ใจกว้างมีเมตตาจึงมาขอร้องให้พ่อของพวกเจ้าออกหน้าไกล่เกลี่ย นับดูแล้วถือว่านางไม่ผิดต่อสกุลชุยเลย แต่เจ้าเล่าจะไม่ยอมรับนางเยี่ยงนี้หรือ พ่อของพวกเจ้าหารือกับอวิ๋นเทียนและแม่ของเขาแล้ว แม่ของเขาชื่นชอบผิงเอ๋อร์มาแต่ไหนแต่ไร อวิ๋นเทียนเองก็บอกว่าหากเจ้ายินยอมก็จะยกผิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นภรรยาอีกคน”

ฉยงเหนียงฟังจนตะลึงงัน ว่าอย่างไรนะ!…ที่แท้สกุลหลิ่วกับสกุลซั่งก็แอบหารือกันเรียบร้อยแล้ว น่าขันที่ข้าเพิ่งมารู้เป็นคนสุดท้าย…สกุลชุยประสบเคราะห์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ เหตุใดสามีภรรยาสกุลชุยยอมไปขอร้องชุยผิงเอ๋อร์แทนที่จะมาหาข้าเล่า

คิดมาถึงตรงนี้ ในใจฉยงเหนียงก็พลันขมฝาด

เมื่อแรกที่รับรู้ชาติกำเนิดของตน ฉยงเหนียงยังอายุน้อย ในใจนางนั้นสามีภรรยาสกุลหลิ่วต่างหากคือญาติที่สนิทที่สุด พอคิดว่าจะต้องพรากจากบิดามารดากับพี่ชายที่คุ้นเคย กลับไปอยู่ในครอบครัวพ่อค้าที่ต่ำต้อย ใช้ชีวิตประสาชาวบ้านกับเหล่าคนแปลกหน้า นางก็เอาแต่ร่ำไห้ทั้งคืนจนน้ำตาชุ่มหมอนกับที่นอน

ยังดีตอนนั้นหลิ่วเมิ่งถังเอ่ยปากลั่นวาจาว่า… ‘สกุลชุยเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้าที่ตั้งแผงขายขนมอยู่ในตลาด ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน บุตรีที่สกุลหลิ่วถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาสิบหกปีจะให้กลับไปร้องขายของอยู่ริมถนนได้อย่างไรกัน อีกอย่าง เรื่องเสียชื่อก็ไม่ควรให้แพร่งพรายออกนอกเรือน ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าหลิ่วเจียงฉยงคุณหนูสกุลหลิ่วเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ หากจู่ๆ ส่งนางคืนไป ย่อมทำให้ผู้อื่นติฉินนินทาจนเสื่อมเสียชื่อเสียงอันดีงามของสกุลหลิ่ว อย่างไรเสียสกุลหลิ่วมีบุตรสาวมากเพียงไรก็เลี้ยงไหว’

หลิ่วเมิ่งถังจึงปฏิเสธคำอ้อนวอนของสกุลชุยที่จะขอรับตัวบุตรสาวแท้ๆ กลับไป

ต่อมาสกุลชุยไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี โวยวายจะไปฟ้องร้องทางการเพื่อทวงคืนบุตรสาว สกุลหลิ่วถึงได้ฝืนตอบรับให้พวกเขาสามีภรรยามาพบปะฉยงเหนียงเพื่อฟังความเห็นของนาง

น่าขันที่ตอนนั้นในใจนางยังซาบซึ้งต่อสกุลหลิ่ว ประกอบกับเข้าใจผิดว่าสกุลชุยขายบุตรสาวแลกเงินทอง หมายพึ่งพิงผู้มีลาภยศ ความดื้อดึงของสกุลชุยจึงทำให้นางนึกรังเกียจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าหากตนตกอยู่ในมือพ่อค้าที่เสื่อมทรามไร้ยางอายเยี่ยงนี้ก็เท่ากับร่วงลงสู่กองเพลิง ไม่มีวันจะได้โงหัวขึ้นมาอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อได้พบสามีภรรยาคู่นั้น ได้เห็นเครื่องแต่งกายอันซอมซ่อไม่ถูกกาลเทศะกับท่าทีอึดอัดวางตัวไม่ถูกดูไม่อาจสู้หน้าผู้อื่นนั้นแล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเดียดฉันท์ เอ่ยคำประชดประชันที่รุนแรง แล้วพูดตรงๆ ว่า ‘ข้ายอมตายก็ไม่ขอกลับไปกับพวกเขา’

นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่ได้มารบเร้าเซ้าซี้ที่จวนสกุลหลิ่วอีก ยิ่งไม่ได้มาปรากฏตัวเบื้องหน้านางนับแต่นั้น

แม้กระทั่งตอนที่นางออกเรือนแล้วได้ยินว่าสกุลชุยตกยากถึงขั้นต้องอพยพไปหาเลี้ยงชีพที่กวนซี เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่นางไหว้วานคนนำไปให้ก็ยังถูกคนสกุลชุยส่งคืนมาถึงจวนสกุลซั่งครบทั้งจำนวน เพียงแนบจดหมายบอกชัดว่าให้นางเป็นบุตรีสกุลหลิ่วและออกเรือนไปอย่างสบายใจ พวกเขาจะไม่มาหานางอีก จะไม่ทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนางเด็ดขาด

ตอนนี้มาคิดดูแล้ว คำพูดและการกระทำของนางในวันนั้นทำให้บุพการีผู้ให้กำเนิดต้องปวดใจเพียงใด

วันนี้เมื่อเหยาซื่อเอาพี่ชายสกุลชุยมาข่มขู่บีบคั้นให้นางยอมก้มศีรษะ คำซักถามนับพันหมื่นประโยคของนางจึงล้วนติดค้างอยู่ในลำคอ ไม่อาจเปล่งออกจากปากได้อีก

เดิมบิดามารดาสกุลชุยก็เสียบุตรสาวไปแล้ว หากขาดบุตรชายไปอีกคน ไม่เท่ากับเอาชีวิตสองสามีภรรยาผู้เฒ่านั้นหรอกหรือ

เห็นนางไม่พูดจา เหยาซื่อค่อยคลี่ยิ้มผ่อนคลายสีหน้า “เจ้าอย่าได้คิดไม่ตกไปเลย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนครอบครัวเดียวกัน ทางด้านสกุลชุยเจ้าก็ไม่ต้องกังวล พ่อของพวกเจ้าจะไหว้วานสหายร่วมรุ่นช่วยจัดการให้เรียบร้อยเอง…”

เมื่อออกมาจากจวนสกุลหลิ่ว ฉยงเหนียงก็ขึ้นรถม้ากลับจวนสกุลซั่งไปอย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นางสูดหายใจเข้าอย่างกลัดกลุ้ม ตั้งใจจะไปดูบุตรชายหญิงที่กำลังฝึกคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือ ทว่าระหว่างเดินผ่านสวนดอกไม้เล็ก นางกลับได้ยินเสียงหัวเราะอันเบิกบานของเหลียนเกอเอ๋อร์ บุตรชายวัยเก้าขวบดังมาว่า “น้าชุย ที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ ต่อไปท่านจะมาอยู่ที่จวนของพวกเราตลอดไปใช่หรือไม่”

“หากแม่เจ้าเห็นด้วยก็เป็นเรื่องจริง…เพียงแต่กลัวว่าแม่เจ้าจะไม่ยินยอม…” ชุยผิงเอ๋อร์ตอบเสียงนุ่มนวล

เสียงพูดของชุยผิงเอ๋อร์ยังไม่ทันจะขาดคำ เชี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ บุตรสาวของฉยงเหนียงก็ถามด้วยเสียงเล็กๆ “เหตุใดท่านแม่จะไม่ยินยอมเล่า”

“นางอาจกลัวว่าน้าอยู่เป็นเพื่อนพ่อเจ้ากับพวกเจ้านานเกินไป นางจะได้อยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าพ่อลูกน้อยลงกระมัง” ชุยผิงเอ๋อร์จงใจเอ่ยอย่างลังเล

เหลียนเกอเอ๋อร์ฟังจบกลับพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่งานยุ่งจะแย่ นางเพียงชอบดื่มชาแต่งกลอนแล้วก็แจกโจ๊กกินเจกับพวกฮูหยินตระกูลใหญ่ พอถูกคนชมว่าเป็นแบบอย่างของกุลสตรี นางก็ดีใจจนลืมข้ากับน้องสาวแล้ว ยิ่งไม่มีเวลาไปสนใจท่านพ่อหรอก…คราวก่อนตอนที่ท่านพ่อเป็นไข้ นางก็ไม่ได้เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เพราะกำลังวุ่นกับการระดมเงินบริจาคช่วยผู้ประสบภัยที่วัดเป็นเพื่อนฮูหยินอัครเสนาบดีอะไรนั่นอยู่มิใช่หรือ หากไม่ใช่น้าชุยคอยใส่ใจดูแล เกรงว่าท่านพ่อคงต้องป่วยหนักแล้ว!”

ถัดจากนั้นชุยผิงเอ๋อร์พูดเสียงเบาว่าอะไรต่อ ฉยงเหนียงล้วนฟังไม่รู้เรื่องอีก

หากบอกว่าการทรยศของสามีได้ฉีกเปลือกนอกอันจอมปลอมที่ทำให้ผู้อื่นนึกอิจฉาชีวิตนางแล้ว เช่นนั้นคำพูดที่ฟังดูไร้เดียงสาของบุตรชายก็ยิ่งบดขยี้ความพยายามทั้งหมดที่หลอกลวงทั้งตัวนางเองกับผู้อื่นจนไม่เหลือดี หยาดน้ำตาพลันรินไหลลงมาทันใด

สตรีชั้นสูงจากตระกูลใหญ่ผู้ลือเลื่องเมืองหลวงอะไรนั่นล้วนเป็นสิ่งไร้ค่าที่เทียบกับสุนัขผายลมยังไม่ได้ด้วยซ้ำ!

นับจากอายุสิบหกปีเป็นต้นมา นางก็ยิ่งให้ความสำคัญกับตนเองในสายตาของผู้อื่น เพียงเฝ้าหวังว่าหากสักวันถูกผู้อื่นล่วงรู้ชาติกำเนิด นางจะได้รับคำพูดประโยคหนึ่งจากผู้คน… ‘ไม่เชื่อหรอก! บุตรีสกุลหลิ่วมีทั้งรูปโฉม ความสามารถ และความประพฤติที่ไม่มีใครเทียบได้ นางจะเป็นลูกพ่อค้าแผงลอยที่ต่ำต้อยไปได้อย่างไร’

ทว่าความพยายามทั้งหมดนี้แลกได้สิ่งใดกลับมาเล่า

บิดามารดาเลี้ยงหมายจะรักษาหน้าตาจึงมอบฐานะบุตรีภรรยาเอกอันจอมปลอมให้นาง ทว่าตระหนี่ที่จะมอบความรักความเมตตาที่แท้จริงของคนเป็นบิดามารดา ส่วนนางก็ตั้งหน้าตั้งตาสวมบทบาทเป็นกุลสตรีที่เฉียบแหลมในสายตาของผู้คนอย่างระแวดระวังระคนร้อนตัว ทว่ากลับสูญเสียหัวใจของสามีกับลูกๆ ไป

แม้กระทั่งบิดามารดาแท้ๆ ก็ถูกคำพูดฉีกหน้าอย่างไร้ไมตรีของนางทำร้ายจิตใจ ซ้ำบัดนี้ยังตกยากจากนางไปแดนไกลเสียแล้ว…

ฉยงเหนียงรู้สึกจุกในลำคอจนยากจะหายใจได้ ฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้คล้ายไม่เหลือตำแหน่งแห่งที่ของนางโดยสิ้นเชิง

หากว่า…เมื่อแรกข้ายอมกลับไปกับสามีภรรยาสกุลชุย ยอมรับตำแหน่งแห่งที่ของตนเองให้ชัดแต่เนิ่นๆ ข้าก็จะไม่ลงเอยในสภาพอันน่าขันเช่นวันนี้ใช่หรือไม่

ฉยงเหนียงไม่อาจจินตนาการต่อได้ เมื่อนางเดินใจลอยไปจนถึงข้างบ่อน้ำในสวนดอกไม้ท้ายจวน นางเพียงรู้สึกได้ว่าด้านหลังมีเรี่ยวแรงขุมหนึ่งพลันผลักนางตกลงไปในบ่อน้ำลึก

ยามที่ปากสำลักน้ำเข้าไปหลายอึกจนทั้งร่างจมดิ่งลงอย่างรวดเร็วนั้น นางแว่วเสียงเด็กรับใช้ของซั่งอวิ๋นเทียนตะโกนก้องว่า “แย่แล้ว! ฮูหยินคิดไม่ตก กระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายเสียแล้ว!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: