บทที่ 2
ฝีเท้าของหลี่ซิวหยวนชะงักค้าง
เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเสิ่นหยวนที่นี่ อีกทั้งนางยังยิ้มพลางพูดกับเขาด้วยว่า ‘กลับมาแล้วหรือ’
เหมือนกับเป็นภรรยาที่รอสามีกลับมาโดยตลอด จากนั้นพอรู้ว่าสามีกลับมาในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้สามีด้วยความดีใจ…
ในใจหลี่ซิวหยวนพลันมีความรู้สึกแปลกๆ ประการหนึ่ง คล้ายว่าเดิมทีเสิ่นหยวนก็ควรอยู่ในเรือนฮุ่ยชุนนี้ รอเขาเลิกงานกลับมาทุกวัน
สายตาเขาพินิจมองเสิ่นหยวน เสื้อผ้าต่วนสีเหลืองอ่อนลายดอกเหมยกุ๊นขอบขนสัตว์กับกระโปรงผ้าไหมสีเหลืองนวล นางนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูงดงามยิ่ง
ในห้วงความคิดหลี่ซิวหยวนพลันปรากฏกลอนวรรคหนึ่งขึ้นมา…คนงามดั่งบุปผาอยู่เบื้องนภาในม่านเมฆ คล้ายว่าอยู่สูงลิบมิอาจแตะต้อง
เขาอดจะตกตะลึงไม่ได้
เวลานี้เสิ่นหยวนวางลูกแมวน้อยในอ้อมแขนลงบนตั่งหลัวฮั่นอย่างเบามือแล้ว
เพื่อเลี่ยงไม่ให้หลี่ซิวเหยาต้องคิดมาก เวลานางอยู่ต่อหน้าหลี่ซิวเหยาจะพูดคุยกับหลี่ซิวหยวนอย่างห่างเหินมีพิธีรีตองเหมือนอย่างที่นางปฏิบัติต่อผู้อื่น แต่ยามเผชิญหน้าหลี่ซิวหยวนตามลำพังเช่นนี้ นางยังคงไม่อยากสนทนากับเขา
เรื่องบางเรื่องถึงนางจะพยายามเมินเฉย สามารถไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ แต่ก็ยังไม่อาจทำเฉยได้อยู่ดี
เสิ่นหยวนอยากจะออกไปจากที่นี่ในทันที ทว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงเย็นชาของหลี่ซิวหยวนเอ่ยถามนางว่า “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เสิ่นหยวนรู้สึกอยากหัวเราะอยู่บ้าง หรือหลี่ซิวหยวนจะคิดว่านางจงใจตรงมาเซ้าซี้เขาถึงในเรือนฮุ่ยชุน?
ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงตอบว่า “เมื่อครู่น้องสะใภ้รองบังเอิญพบข้าในสวน จึงเรียกให้ข้ามาดูภาพที่นางปัก” ก่อนจะเอ่ยถามหลี่ซิวหยวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนๆ “ไฉนวันนี้น้องรองจึงเลิกงานเร็วปานนี้เล่า”
หลังเสิ่นหยวนแต่งเข้ามาตอนพบหลี่ซิวหยวนก็ไม่เคยเรียกว่า ‘น้องรอง’ มาก่อน ยามนี้ถือเป็นครั้งแรก และยังเพื่อให้เขากระจ่างแจ้งในความสัมพันธ์ตอนนี้ของทั้งสองด้วย
นางเป็นพี่สะใภ้ของเขา มิหนำซ้ำในใจนางก็ไม่ได้รู้สึกใดๆ กับเขาแล้วจริงๆ
หลี่ซิวหยวนได้ยินแล้วก็เงียบไปไม่เอ่ยปาก ทว่าสายตาที่มองเสิ่นหยวนกลับเข้มขึ้น
เสิ่นหยวนกลับไม่อยากไปสนใจว่าหลี่ซิวหยวนจะรู้สึกเช่นไร เพียงยิ้มพลางพูดว่า “ข้ายังมีธุระ ขอตัวไปก่อน รบกวนน้องรองบอกกับน้องสะใภ้รองด้วย” พูดพลางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
หลี่ซิวหยวนยังยืนอยู่ตรงประตู แม้เขาจะมีรูปร่างผอม แต่เขาก็เป็นบุรุษ อย่างไรก็สูงใหญ่กว่าเสิ่นหยวน เขาขวางประตูไม่ยอมเปิดทาง เสิ่นหยวนก็หมดหนทางจะเดินออกไปได้
เสิ่นหยวนจึงหยุดฝีเท้าลง เงยหน้ามองหลี่ซิวหยวนด้วยสายตาที่สงบนิ่งยิ่ง
นางพูดกับเขาชัดเจนเพียงนี้แล้ว เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมหลบอีกหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน หรือยังคิดว่านางตั้งใจมาพัวพันเขา ก็เลยอยากจะออกปากต่อว่าให้หนัก?
หลี่ซิวหยวนสบตากับเสิ่นหยวน ริมฝีปากเม้มน้อยๆ สายตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ขยับตัวหลบไปด้านข้าง
เห็นดังนี้ไฉ่เวยที่ยืนเป็นกังวลอยู่ด้านหลังเสิ่นหยวนมาตลอดถึงคลายใจลงในที่สุด รีบก้าวไปเปิดม่านประตูแล้วเชิญให้เสิ่นหยวนเดินออกไป
ขณะเสิ่นหยวนเดินผ่านไป หลี่ซิวหยวนก็ได้กลิ่นดอกมะลิหอมละมุนสดชื่น
แปลก เมื่อก่อนนางมิใช่ชอบกลิ่นกุหลาบหรือไร
นางมีรูปโฉมงามจรัสปานนั้น นิสัยก็หยิ่งผยองยิ่ง เหมาะกับดอกกุหลาบที่จัดจ้านหอมหวนมากกว่าดอกมะลิที่งามเรียบนัก
หลี่ซิวหยวนมองเสิ่นหยวนที่เดินออกไปถึงลานเรือนแล้ว เงาหลังดูอรชรบอบบาง
ทันใดนั้นก็พลันมองเห็นเซี่ยเจินเจินเดินออกมาจากในครัวเล็กด้านข้าง พอนางมองเห็นเสิ่นหยวนก็ก้าวไปหาทันที
ทางด้านนั้นเซี่ยเจินเจินเพิ่งจะทำขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ยเสร็จ ดูหลี่มามาใส่มันลงในลังถึงแล้วถึงได้เดินออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าพอก้าวพ้นประตูครัวเล็กมากลับเห็นเสิ่นหยวนอยู่ในลานเรือน ซ้ำยังมีท่าทางเหมือนกำลังจะกลับ
เซี่ยเจินเจินจึงรีบก้าวไปถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ นี่ท่านจะกลับแล้วหรือ รออีกสักครู่เถิด ขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ยใส่ลงลังถึงแล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ที่ ท่านอยู่ชิมก่อนค่อยไป”
เสิ่นหยวนมองเห็นเซี่ยเจินเจินก็หยุดฝีเท้าลง
เซี่ยเจินเจินผู้นี้นับว่านิสัยดียิ่ง เสิ่นหยวนเองก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย เพียงแต่…
เสิ่นหยวนหันหน้ากลับไปมองก็เห็นหลี่ซิวหยวน ไม่รู้อีกฝ่ายมายืนอยู่บนบันไดศิลาเขียวตั้งแต่เมื่อไร เขากำลังมองนางด้วยสายตาอึมครึม ไม่รู้ว่าในใจคิดสิ่งใดกันแน่
ไม่รู้เหตุใดเสิ่นหยวนถึงได้รู้สึกว่าหลี่ซิวหยวนที่เป็นเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
ท่าทีที่หลี่ซิวหยวนมีต่อนางในยามนี้ นางบอกไม่ถูกว่าเป็นท่าทีแบบใดกัน
หากบอกว่ายังระอานางเหมือนที่ผ่านมา เช่นนั้นพอเขาเห็นนางก็ควรจะเดินหนีไปทันทีมิใช่หรือ แต่ไฉนยามนี้สายตาของเขากลับมองนางโดยตลอด
หากบอกว่าให้ความเคารพนางในฐานะพี่สะใภ้ แต่น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับนางก็ฟังดูเย็นชายิ่ง
เสิ่นหยวนคิดแล้วก็รู้สึกว่าหลี่ซิวหยวนคงรับเรื่องที่นางกลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาไม่ได้กระมัง!
จะอย่างไรในใจเขาเมื่อก่อนนางก็ตามพัวพันเขาถึงเพียงนั้น ทำให้เขาอิดหนาระอาใจอย่างที่สุด จู่ๆ วันหนึ่งนางกลับแต่งงานกับพี่ใหญ่ของเขา ซ้ำเขายังต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้…
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนก็หายข้องใจแล้ว
ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มให้เซี่ยเจินเจินพลางกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นน้องรองเลิกงานกลับมาแล้ว ก็คิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าใช่จะกลับมาแล้วเช่นกันหรือไม่ จึงได้รีบจะกลับไปต้อนรับเขา”
เวลานี้เองเซี่ยเจินเจินจึงเพิ่งมองเห็นหลี่ซิวหยวนที่ยืนอยู่บนบันได นางนึกประหลาดใจเช่นกันว่าไฉนวันนี้เขาถึงเลิกงานกลับมาเร็วเพียงนี้ จากนั้นก็มองเห็นเขามีสีหน้าเย็นชา กำลังหันหน้ามองกระถางต้นสนที่วางอยู่หน้าระเบียงอยู่ คล้ายว่าไม่ได้ให้ความสนใจทางพวกนางโดยสิ้นเชิง
เซี่ยเจินเจินโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก หลี่ซิวหยวนไม่ให้ความสนใจเสิ่นหยวนเช่นนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องดี เพราะนางรู้สึกอยู่เสมอว่าหลี่ซิวหยวนปฏิบัติต่อเสิ่นหยวนค่อนข้างต่างไปจากผู้อื่น
เซี่ยเจินเจินหันหน้ามามองเสิ่นหยวน ก่อนเอ่ยกระเซ้าว่า “พี่สะใภ้ใหญ่อดใจรอพบพี่ใหญ่ไม่ไหวถึงเพียงนี้ พวกท่านรักใคร่กันดีโดยแท้”
คำพูดของเซี่ยเจินเจิน หลี่ซิวหยวนก็ได้ยินเช่นกัน คิ้วยาวทั้งสองของเขาขมวดมุ่น ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชามิเปลี่ยน
เสิ่นหยวนเองก็ยิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบอะไร
ที่เสิ่นหยวนพูดเมื่อครู่นี้มิใช่ข้ออ้างเพื่อจะจากไปเสียทั้งหมด มองเห็นหลี่ซิวหยวนเลิกงานกลับมาเร็วเพียงนี้ คิดว่าวันนี้หลี่ซิวเหยาก็คงกลับมาเร็วเช่นกัน นางจึงอยากกลับไปพบหลี่ซิวเหยาเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ
เสิ่นหยวนกำลังจะเอ่ยปากบอกลาเซี่ยเจินเจินก็เห็นชิงเหอเดินตามหลังสาวใช้นางหนึ่งของเรือนฮุ่ยชุนเข้ามา
ครั้นมองเห็นเสิ่นหยวนชิงเหอก็รีบเอ่ยเรียก “ฮูหยิน” ก่อนจะยอบตัวคารวะหลี่ซิวหยวนและเซี่ยเจินเจิน แล้วเอ่ยเรียกว่า “คุณชายรอง ฮูหยินรอง”
จากนั้นชิงเหอถึงกล่าวกับเสิ่นหยวน “ที่แท้ท่านก็มาอยู่ที่นี่เอง เมื่อครู่นายท่านกลับมาแล้ว เห็นท่านไม่อยู่ในเรือนก็ออกตามหาท่านไปทั่วเลยเจ้าค่ะ! กระทั่งตัวบ่าวเองก็เป็นนายท่านใช้ให้ออกมาหาท่านเช่นกัน”
เสิ่นหยวนได้ยินแล้วก็ทำท่าจะรีบกลับไปทันที แต่ทันใดนั้นเองก็มองเห็นเงาร่างสูงใหญ่องอาจเดินเข้าประตูเรือนมาพอดี
ครั้นมองเห็นเสิ่นหยวนอยู่ในนี้ หลี่ซิวเหยาก็ก้าวปราดเข้ามากุมมือนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มพลางกล่าวกับนาง “เมื่อครู่ข้าเที่ยวตามหาเจ้าอยู่เป็นนานก็หาไม่พบ ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่นี่เอง”
ดูเหมือนว่ายามนี้ในสายตาเขามีเพียงเสิ่นหยวนคนเดียว คนอื่นๆ เขาล้วนไม่แยแส
ถูกหลี่ซิวเหยากุมมือต่อหน้าคนมากเพียงนี้ เสิ่นหยวนก็รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง นางจึงดิ้นเบาๆ เงยหน้าถลึงตาใส่เขา ก่อนกระซิบว่า “ที่นี่มีคนอยู่ตั้งมาก พวกเขาจะมองอย่างไร รีบปล่อยมือเร็วเข้า”
หลี่ซิวเหยามองสองแก้มแดงเรื่อของนางพลางยิ้มน้อยๆ แต่กลับมิได้ปล่อยมือ
เสิ่นหยวนจนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้หลี่ซิวเหยากุมมือต่อไป ในขณะที่ใบหน้ากลับแดงยิ่งกว่าเดิม นางหลุบตาลงอย่างเอียงอายอยู่บ้าง
เซี่ยเจินเจินมองอยู่ข้างๆ รู้สึกอิจฉายิ่งที่คนทั้งสองรักใคร่กันถึงเพียงนี้ คิดดูเถอะว่าหลี่ซิวหยวนเคยทำดีกับตนต่อหน้าผู้อื่นอย่างปราศจากการหลบเลี่ยงเช่นนี้เสียที่ใด แม้แต่ลับหลังเขาก็ไม่เคยทำเช่นกัน
ทว่าภายนอกเซี่ยเจินเจินยังคงยอบตัวคารวะหลี่ซิวเหยาอย่างนอบน้อม เอ่ยเรียกว่า “พี่ใหญ่” ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวกับเขาว่า “เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่คิดว่าท่านอาจจะกลับมาแล้วก็รีบร้อนจะกลับไปพบท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านกลับตามมาหาถึงที่นี่เสียก่อน”
หลี่ซิวเหยาได้ยินแล้วย่อมจะดีใจ มองเสิ่นหยวนด้วยแววตายิ้มปราดหนึ่ง รู้สึกว่าเซี่ยเจินเจินถือเป็นคนรู้กาลเทศะ ท่าทางที่มีต่อนางจึงอบอุ่นขึ้นกว่าที่ผ่านมาไม่น้อย
จากนั้นเซี่ยเจินเจินก็หันหน้าไปเรียกหลี่ซิวหยวน “ท่านพี่ พี่ใหญ่มาแล้ว ท่านมาพบเสียหน่อยเถอะ”
ตอนนี้เซี่ยเจินเจินเข้าใจแล้วว่าหลี่ซิวหยวนมีนิสัยคร่ำครึ คิดว่าคงไปได้ไม่ไกลในเส้นทางขุนนาง วันหน้ามิแคล้วยังต้องให้หลี่ซิวเหยาช่วยเกื้อหนุน ดังนั้นนางจึงหวังให้หลี่ซิวหยวนสามารถมีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่ซิวเหยาได้ นี่ก็คือสาเหตุว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงกระตือรือร้นต่อเสิ่นหยวนมาก
ยามนี้สายตาของหลี่ซิวหยวนกำลังมองมือที่จับกุมกันอยู่ของหลี่ซิวเหยากับเสิ่นหยวน รวมถึงเสิ่นหยวนที่ยืนอยู่ข้างหลี่ซิวเหยาด้วยใบหน้าเอียงอาย
ได้ยินที่เซี่ยเจินเจินพูด หลี่ซิวหยวนก็ขมวดคิ้วอย่างรำคาญอยู่บ้าง แต่สุดท้ายยังคงเดินลงบันไดมายืนเบื้องหน้าหลี่ซิวเหยา เอ่ยเรียกอย่างเย็นชาเสร็จก็ไม่มีอย่างอื่นจะพูดอีก “พี่ใหญ่”
หลี่ซิวเหยาเองก็เพียงตอบรับในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็พยักหน้าให้เซี่ยเจินเจิน แล้วกุมมือเสิ่นหยวนหมุนตัวเดินออกนอกประตูเรือนไป
มองดูเงาหลังของเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวเหยา เซี่ยเจินเจินก็พูดขึ้นอย่างทอดถอนใจ “พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ช่างรักใคร่กันดีโดยแท้! พอพี่สะใภ้ใหญ่คิดว่าพี่ใหญ่อาจกลับมาแล้วก็รีบจะกลับไปพบเขาทันที พี่ใหญ่เองกลับมาเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยู่ในเรือนก็รีบตามหานางไปทั่วเช่นกัน พวกเขาสองคนแต่งงานกันมาสามเดือนกว่าแล้ว แต่ยังดูเหมือนห่างกันไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเวลาอยู่เลย”
หลี่ซิวหยวนได้ยินคำพูดของเซี่ยเจินเจิน ในใจก็รู้สึกไม่สบายยิ่ง สีหน้าเยียบเย็นลงทันใด
“เมื่อครู่เหตุใดเจ้าต้องเรียกข้ามาพบพี่ใหญ่ด้วย” เสียงของหลี่ซิวหยวนฟังดูเยียบเย็นเช่นกัน “อีกทั้งท่าทีที่เจ้ามีต่อเขาเมื่อครู่นี้ เจ้าคิดเอาใจเขา? ประจบเขา?”
เซี่ยเจินเจินได้ยินหลี่ซิวหยวนพูดเช่นนี้ก็อดจะอึ้งงันไปไม่ได้ ครั้นรู้สึกตัวนางก็รู้สึกฝาดเฝื่อนในใจและรู้สึกไม่เป็นธรรม
เมื่อก่อนนางก็เป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเช่นกัน วันๆ รู้จักแต่อ่านหนังสือ ท่องกลอน แต่ตอนนี้นางแต่งงานเป็นภรรยาคนแล้ว อีกทั้งสามียังเป็นคนเช่นนี้ด้วย นางยังจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า ไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ด้วยเหตุนี้เซี่ยเจินเจินจึงมองหลี่ซิวหยวนพลางพูดน้ำตาคลอ “ข้าจะทำอะไรได้ ท่านไม่คิดบ้างเล่าว่าตอนนี้ฝ่าบาทมีพระราชโอรสเพียงสองพระองค์ แม้องค์ชายใหญ่จะทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว แต่พี่ใหญ่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากอยู่ ในพระทัยฝ่าบาทก็ต้องหวั่นเกรงเขาเช่นกัน ถึงภายนอกขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะล้วนดูถูกขุนนางบู๊ แต่อันที่จริงมีผู้ใดบ้างไม่เกรงกลัวพี่ใหญ่ ส่วนหลี่ซูเฟยนั้น ข้าเห็นว่าก็มีพระทัยทะเยอทะยานเช่นกัน นางทรงพยายามผูกมัดพี่ใหญ่เข้าเป็นพวกอยู่ตลอด ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ในวันหน้าจะเป็นเช่นไร”
เซี่ยเจินเจินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “มิหนำซ้ำ เนื่องจากเรื่องคราวก่อนที่ท่านลงนามร่วมกับขุนนางใหญ่คนอื่นในฎีกากราบทูลขอให้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท ทำให้หลี่ซูเฟยทรงมีอคติต่อท่านแล้ว หากท้ายที่สุดองค์ชายรองทรงได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ ตัวท่านจะเป็นเช่นไรเล่า อย่างไรก็ต้องสานสัมพันธ์กับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ให้ดี ข้ารู้ว่าท่านสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่เต็มใจจะทำเรื่องพรรค์นี้ เช่นนั้นข้าก็จะขอทำเอง แต่นี่ท่านกลับยังมาต่อว่าข้าเช่นนี้อีก!”
เซี่ยเจินเจินร้องไห้พลางพูดอีกว่า “ถ้าแค่ท่านมีความสามารถได้อย่างพี่ใหญ่ สามารถดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องให้ข้ามาคอยนั่งเป็นห่วง ข้ามีหรือจะต้องทำเช่นนี้ ท่านดูอย่างพี่สะใภ้ใหญ่สิ ตอนนี้นางไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับอะไรทั้งสิ้น ทุกวันแค่รับการพะเน้าพะนอจากพี่ใหญ่อย่างสบายใจ…”
ยังพูดไม่ทันจบหลี่ซิวหยวนก็พลันตวาดตัดบท “เงียบ!”
ยามนี้สีหน้าเขามิได้เฉยชาเช่นที่ผ่านมาแล้ว กลับเปลี่ยนเป็นหน้าดำคร่ำเคร่ง แม้แต่เส้นเลือดบนลำคอก็ยังผุดขึ้นมา
เซี่ยเจินเจินคิดอย่างเยาะหยันตัวเองอยู่บ้างว่าที่แท้เขาก็มีช่วงเวลาที่ไม่เฉยชากับนางเช่นกัน! ถึงแม้จะเป็นเพราะอารมณ์โมโห แต่นั่นก็ยังดีกว่าท่าทางเย็นชาที่นางเห็นในทุกวัน
ท่าทางเย็นชาของหลี่ซิวหยวนเหมือนกับเป็นหยกเนื้อเย็นชิ้นหนึ่ง ทำให้เซี่ยเจินเจินเกลียดชังเป็นที่สุด
ทว่าที่สุดแล้วก็ยังคงรู้สึกเสียใจยิ่ง เซี่ยเจินเจินอดจะเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมาไม่ได้
ไม่มีสาวใช้ในลานเรือนคนใดกล้าก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ยสักคน ล้วนแต่คุกเข่าลง
ระหว่างที่เซี่ยเจินเจินร้องไห้น้ำตาอาบหน้า ก็เห็นหลี่ซิวหยวนสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ก่อนหมุนตัวเดินลิ่วออกประตูเรือนไป
ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ใด เซี่ยเจินเจินคิดในใจ
นางรู้ว่าหลี่ซิวหยวนมีห้องหนังสืออยู่ที่เรือนส่วนหน้า นั่นเป็นสถานที่ที่เขาเอาไว้ใช้รับแขก ทว่าในเรือนฮุ่ยชุนนี้ก็มีห้องหนังสือของเขาอยู่ห้องหนึ่งเช่นกัน ปกติหนังสือที่เขาต้องการอ่านจะอยู่ในห้องหนังสือนี้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไปที่ห้องหนังสือในเรือนส่วนหน้าไม่บ่อยนัก
สองวันก่อนเซี่ยเจินเจินเพิ่งจะหาข้ออ้างไล่ซู่ชิงไปอยู่ที่นั่น ด้วยคิดว่าไม่อยากเห็นอีกฝ่ายให้บาดตา แต่ตอนนี้ดีนัก นางกลับผลักหลี่ซิวหยวนไปหาซู่ชิงเสียเอง
ซ้ำซู่ชิงก็เป็นคนอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยขึ้นเสียงกับหลี่ซิวหยวนสักครั้ง ไม่ว่าเขาทำสิ่งใดนางล้วนสนับสนุน
คิดถึงตรงนี้เซี่ยเจินเจินก็อดจะยกมือปิดหน้าร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิมไม่ได้
อีกด้านหนึ่งหลังหลี่ซิวเหยากุมมือเสิ่นหยวนเดินออกมาจากเรือนฮุ่ยชุนแล้ว เขาก็เอ่ยถามนางว่า “ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่”
เรือนฮุ่ยชุนเป็นเรือนของหลี่ซิวหยวนกับเซี่ยเจินเจิน
คราวก่อนขณะหลี่ซิวเหยามองเห็นหลี่ซิวหยวนกับเสิ่นหยวนที่เรือนโม่อวิ้น ในใจก็นึกสงสัยอยู่บ้างแล้ว รู้สึกอยู่ตลอดว่าระหว่างคนทั้งสองหาได้แค่เคยพบหน้ากันในบ้านเสิ่นลั่วแต่อย่างเดียวไม่
ยามนี้ยังมาเห็นเสิ่นหยวนอยู่ในเรือนฮุ่ยชุนอีก และเมื่อครู่หลี่ซิวหยวนก็อยู่ด้วย
เสิ่นหยวนรู้ว่าหลี่ซิวเหยาเป็นคนขี้ระแวง เกรงว่าเขาจะเกิดคลางแคลงใจขึ้นมาจึงรีบอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในเรือนแล้วรู้สึกอุดอู้ จึงพาไฉ่เวยไปเดินเล่นในสวน แล้วบังเอิญเจอกับน้องสะใภ้รองเข้าพอดี นางบอกว่าไม่กี่วันก่อนเพิ่งปักภาพเสร็จ จึงชวนข้ามาดู เดิมทีข้าไม่อยากมา แต่นางก็จะชวนข้ามาให้ได้ ข้าจึงได้แต่ตามมา หลังคุยกับนางได้ครู่หนึ่ง นางบอกว่าจะทำขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ยให้ข้ากิน ตอนนั้นเองก็เห็นน้องรองเลิกงานกลับมา ข้าคิดว่าท่านอาจจะกลับมาแล้วเช่นกัน จึงรีบจะกลับไปเรือนจิ้งหยวนเพื่อพบท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาหาข้าเสียก่อน”
พูดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนก็กระเซ้าขึ้นยิ้มๆ “ต้องโทษท่าน มิเช่นนั้นป่านนี้ข้าก็คงได้กินขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ยที่น้องสะใภ้รองทำแล้ว!”
หลี่ซิวเหยาได้ยินเสิ่นหยวนพูดเช่นนี้ ความคลางแคลงใจเมื่อครู่ก่อนก็สลายหายไป จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบหกสิบปีของอิงกั๋วกง ตอนเย็นจะจัดงานเลี้ยง ซ้ำยังเชิญคณะละครและนักแสดงปาหี่มาด้วย ตอนประชุมขุนนางในตอนเช้าเขาได้กราบทูลขอให้ฝ่าบาททรงเลื่อนเวลาเลิกงานในวันนี้ให้เร็วขึ้น ด้วยอยากจะเชิญบรรดาขุนนางไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนเขา ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว ดังนั้นวันนี้กรมกองต่างๆ จึงเลิกงานตั้งแต่กลางยามเว่ย”
เสิ่นหยวนจึงถามว่า “แล้วไฉนท่านถึงไม่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอิงกั๋วกงเล่า”
ตอนนี้หลี่ซิวเหยาเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่มีทางที่อิงกั๋วกงจะไม่เชิญเขา
แต่เสิ่นหยวนก็จำได้ว่าชาติก่อนอิงกั๋วกงดูเหมือนจะยืนอยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่ ต่อมายังถูกหลี่ซิวเหยาจัดการด้วย
หลี่ซิวเหยามองนางด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม “ไปอยู่กับคนพวกนั้นมีอะไรน่าสนใจกัน กลับมาอยู่กับเจ้าดีกว่า”
มิหนำซ้ำหลี่ซิวเหยาเองก็รู้ว่าแม้ผิวเผินอิงกั๋วกงจะเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยง แต่ก็หาเชิญด้วยความจริงใจไม่
อิงกั๋วกงถือตัวว่าเป็นขุนนางมาสองรัชศก บรรพบุรุษยังเคยเป็นผู้ช่วยที่ติดตามปฐมกษัตริย์ จึงไม่เห็นหลี่ซิวเหยาอยู่ในสายตา อีกทั้งอิงกั๋วกงก็สนับสนุนองค์ชายใหญ่ ผู้ที่ไปร่วมงานเลี้ยงคราวนี้ก็เป็นขุนนางที่ยืนอยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่เป็นส่วนมาก หลี่ซิวเหยาไม่อยากไปคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นในใจหลี่ซิวเหยาก็คิดถึงเสิ่นหยวนจริงๆ ดังนั้นจึงบอกปัดอย่างเกรงอกเกรงใจสองสามคำ แล้วสั่งให้ฉีหมิงส่งของขวัญไปแทน ส่วนตนเองก็กลับมาก่อน
เสิ่นหยวนได้ยินแล้วก็แก้มแดง ในใจนึกยินดียิ่ง
นางมองหลี่ซิวเหยาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลพลางกล่าวเสียงเบา “ท่านเหนื่อยมาค่อนวันแล้ว ในเมื่อกลับมาแล้วก็พักผ่อนให้เต็มที่สิ ไยต้องออกมาเที่ยวตามหาข้าด้วยตนเอง ข้ารู้ว่าท่านกลับมาแล้ว ไม่นานย่อมต้องกลับไป”
“ข้าอยากเห็นเจ้าเร็วขึ้น” เสียงของหลี่ซิวเหยาเจือแววขบขัน สายตาที่มองนางก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
เสิ่นหยวนได้ยินดังนี้ก็เม้มปากยิ้มน้อยๆ สองแก้มแดงเรื่อ งดงามเกินบรรยาย
หลี่ซิวเหยารู้สึกเพียงในใจราวกับถูกขนนกปัดผ่าน ทั้งคัน ทั้งอ่อนระทวย และก็ดีใจอย่างที่สุด เขาสามารถรู้สึกได้ชัดเจนยิ่งว่าเสิ่นหยวนมีท่าทีต่อเขาต่างไปจากที่ผ่านมาแล้ว
ที่ผ่านมาเวลานางอยู่ต่อหน้าเขาจะมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่เคยมีเวลาที่เอียงอายเช่นนี้ ดังนั้นยามนี้ในใจนางจะต้องมีเขาแล้วแน่นอน
หลี่ซิวเหยากระชับมืออ่อนนุ่มบอบบางของเสิ่นหยวนเบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่ พูดกับนางยิ้มๆ ว่า “ไป พวกเรากลับไปบอกให้พี่จางทำขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ยให้เจ้ากัน”
เขายังไม่ลืมว่าเมื่อครู่นี้เสิ่นหยวนต่อว่าเขาที่ทำให้นางอดกินขนมที่เซี่ยเจินเจินทำ
เสิ่นหยวนได้ยินแล้วรอยยิ้มตรงมุมปากก็ยิ่งกดลึกกว่าเดิม นางยังคงปล่อยให้เขาจับมือตนเองเดินไปข้างหน้าอย่างน่ารักว่าง่ายยิ่ง
หลังหลี่ซิวหยวนเดินออกจากประตูเรือนฮุ่ยชุนมาก็มิได้ไปไหนไกล แต่มายืนใจลอยอยู่ใต้ต้นหลิวที่หน้าประตูเป็นครู่ใหญ่ จากนั้นถึงสืบเท้าเดินไปห้องหนังสือที่เรือนส่วนหน้าของตนเอง
ครั้นเดินเข้ามาในห้องหนังสือหลี่ซิวหยวนก็มองเห็นซู่ชิงกำลังใช้ผ้าเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้อยู่
ซู่ชิงเองก็คิดไม่ถึงว่าหลี่ซิวหยวนจะมาในเวลานี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขากะทันหันนางจึงมีสีหน้าตกตะลึงทันใด
จากนั้นนางก็รีบทิ้งผ้าในมือลง ก้าวมาหา ก่อนเอ่ยเรียกอย่างทั้งตกใจทั้งดีใจ “นายท่าน”
หลี่ซิวหยวนพยักหน้าให้ซู่ชิงโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้พนักกลมทางด้านข้าง แล้วหันหน้ามองดอกเหมยที่นอกหน้าต่างอย่างใจลอย
ซู่ชิงเห็นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า เรียกให้สาวใช้ไปยกน้ำมาให้นางล้างมือ จากนั้นนางก็ไปชงชาและใช้ถาดน้ำชาลงรักใบเล็กยกถ้วยชามาให้หลี่ซิวหยวนด้วยตนเอง
ขณะซู่ชิงยกถาดเข้ามาก็เห็นหลี่ซิวหยวนนั่งมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างใจลอยอยู่ แม้แต่ท่าทางก็ยังไม่เปลี่ยนไปสักนิด
ไม่รู้ว่านายท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้มาก่อนเลย…
ซู่ชิงคิดในใจเช่นนี้ แต่ยังคงไม่กล้ารบกวนหลี่ซิวหยวน หลังวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเล็กด้านข้างมือเขาแล้ว นางก็ถอยไปยืนมือแนบลำตัวกลั้นหายใจอยู่ด้านข้าง
หลี่ซิวหยวนดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ เขาเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอยโดยตลอด ซู่ชิงจึงยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างตามไปด้วย
ราวปลายยามเซินหลี่ซิวหยวนถึงได้สติกลับมาในที่สุด เขาหันหน้าไป ยกมือหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเล็กขึ้นมาดื่ม
เห็นดังนั้นซู่ชิงก็รีบส่งเสียงห้าม “นายท่าน ชาถ้วยนี้เย็นแล้ว ให้บ่าวไปเปลี่ยนชาร้อนๆ มาให้ใหม่นะเจ้าคะ”
พูดพลางนางก็ยื่นมือจะหยิบถ้วยชาในมือหลี่ซิวหยวนไป แต่กลับถูกฝ่ายหลังเบี่ยงมือหลบ
หลี่ซิวหยวนไม่พูดอะไร เพียงเปิดฝาถ้วยออกแล้วก้มหน้าดื่มไปอึกหนึ่ง
น้ำชาเย็นชืดแล้ว รสขมปร่าแผ่มาจากปลายลิ้น ในใจเขาตอนนี้ก็ขมขื่นอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“นายท่าน!” เขาได้ยินซู่ชิงละล่ำละลักพูดอยู่ข้างๆ “กระเพาะท่านไม่ดี จะดื่มชาที่เย็นแล้วเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ” สีหน้านางดูร้อนใจยิ่ง
หลี่ซิวหยวนเงยหน้ามองซู่ชิงปราดหนึ่ง จากนั้นก็เบนสายตาออก เพียงเอ่ยปากสั่งนางเนิบๆ “ฝนหมึก ข้าจะคัดอักษร”
การคัดอักษรสามารถทำให้คนใจสงบได้
ที่แล้วมาเวลาหลี่ซิวหยวนมีเรื่องรบกวนจิตใจก็จะคัดอักษร แค่ครู่เดียวก็สามารถทำให้ใจสงบนิ่งดุจผิวน้ำได้
หากแต่วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร หลี่ซิวหยวนยิ่งคัดกลับยิ่งรู้สึกอารมณ์ร้อนรุ่ม ไม่นานบนพื้นก็มีกระดาษที่เขียนพลาดถูกโยนทิ้งไว้จำนวนมาก
สุดท้ายเขาก็หยุดคัด โยนพู่กันขนแพะในมือลง แล้วนั่งซึมกะทือบนเก้าอี้
หลี่ซิวหยวนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าไฉนตอนนี้เสิ่นหยวนถึงรักใคร่กับหลี่ซิวเหยาปานนั้น เมื่อก่อนนางมิใช่ชอบตน ตามตอแยตนตลอดหรือไร
ทว่ายามนี้นางถึงกับไม่แม้แต่จะมองหลี่ซิวหยวนเต็มๆ ตาแล้ว ถึงจะฝืนใจคุยกับเขาสองคำก็ยังมีท่าทางเย็นชาอย่างที่สุด คล้ายต้องการผลักไสเขาให้ออกห่างก็มิปาน
ตรงกันข้ามกับเวลาเสิ่นหยวนคุยกับหลี่ซิวเหยาโดยสิ้นเชิง ดวงตานางจะมีประกาย มุมปากก็มีรอยยิ้ม ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกได้ว่าตอนนี้นางชอบหลี่ซิวเหยามาก
นึกถึงที่เมื่อครู่เสิ่นหยวนจับมือกับหลี่ซิวเหยา ยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าเอียงอาย บรรยากาศรอบตัวนางดูหวานซึ้ง หลี่ซิวหยวนก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ร้อนกว่าเดิม
หลี่ซิวหยวนเองก็ไม่รู้ว่าไฉนตนเองถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนยามมองเห็นเสิ่นหยวนในใจเขาจะรู้สึกระอานางอย่างที่สุดแท้ๆ แทบอยากให้ตนเองไม่เห็นนางได้เป็นดี
ต่อมาได้รู้ว่าเสิ่นหยวนหมั้นหมายกับหวังซิ่นรุ่ยซื่อจื่อของก่วงผิงป๋อ หลี่ซิวหยวนยังรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ รู้สึกว่าพอเสิ่นหยวนแต่งงานแล้ว ต่อไปนางก็จะไม่มาตามพัวพันตนเองอีก
เวลานั้นหลี่ซิวหยวนอยากให้เสิ่นหยวนรีบแต่งงานเร็วๆ ใจแทบขาด
ตอนนี้นางแต่งงานเข้าแล้วจริงๆ แต่คนที่แต่งด้วยกลับเป็นหลี่ซิวเหยา…พี่ชายของเขา
ช่วงที่ผ่านมานี้หลี่ซิวหยวนก็ได้ยินผู้อื่นพูดอยู่เนืองๆ ถึงขั้นว่าบางครั้งยังได้เห็นเองกับตาว่าระหว่างเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวเหยารักใคร่กันปานใด
ในใจหลี่ซิวหยวนรู้สึกโกรธขึ้งเสิ่นหยวนอยู่บ้าง
ยามนั้นนางมิใช่บอกว่าชอบเขา และยังบอกด้วยว่าบุรุษใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบเขาได้แม้แต่คนเดียวหรือไร
ทว่าพริบตาเดียวนางถึงกับหันไปดีต่อหลี่ซิวเหยาปานนี้ และไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิงแล้ว เห็นได้ว่าวาจาในเวลานั้นของนางล้วนใช้หลอกลวงเขาเท่านั้น!
ครั้นถึงเวลาอาหารเย็นหลี่ซิวหยวนก็ยังคงไม่กลับไปเรือนฮุ่ยชุน
เซี่ยเจินเจินคงโกรธจริงๆ แล้ว จึงมิได้ให้สาวใช้มาเชิญหลี่ซิวหยวนกลับไป กลายเป็นซู่ชิงต้องไปยกอาหารที่ครัวมาปรนนิบัติเขากินในห้องหนังสือ
พอหลี่ซิวหยวนกินเสร็จ ซู่ชิงก็เรียกสาวใช้นางหนึ่งเข้ามาเก็บถ้วยชาม
สาวใช้ที่เข้ามาสวมเสื้อกั๊กสีเขียวคราม หน้าตาท่าทางดูมีน้ำมีนวลอยู่หลายส่วน หลี่ซิวหยวนเงยหน้ามองนางปราดหนึ่ง คลับคล้ายจะจำได้ว่านางเหมือนจะชื่อว่าเสี่ยวเฟิง
เดิมทีหลี่ซิวหยวนมิได้ใส่ใจสาวใช้นางนี้ แค่มองปราดเดียวก็เป็นอันจบ แต่สายตาเขากลับมองเห็นถุงหอมที่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอยู่บ้างทันที
เวลานี้เสี่ยวเฟิงเก็บถ้วยชามบนโต๊ะลงกล่องอาหารเรียบร้อยแล้วจึงยอบตัวคารวะหลี่ซิวหยวน ทำท่าจะถือกล่องอาหารออกจากห้องไป ทันใดนั้นก็พลันถูกหลี่ซิวหยวนเรียกเอาไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
เสี่ยวเฟิงรีบหยุดยืน เอ่ยถามอย่างเคารพนบนอบ “มิทราบว่านายท่านมีงานใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”
แม้นางจะเป็นสาวใช้ในห้องหนังสือนี้ อีกทั้งอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว แต่หลี่ซิวหยวนเป็นคนเย็นชา น้อยนักที่จะพูดกับผู้อื่นก่อน ไม่แน่ว่าจะรู้ชื่อของนาง ทว่าวันนี้เขากลับพูดกับนาง…
เสี่ยวเฟิงใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินหลี่ซิวหยวนถามนางว่า “ถุงหอมที่ห้อยอยู่ตรงเอวเจ้า ได้มาจากที่ใด” หากฟังดูดีๆ คล้ายจะได้ยินเสียงเขาสั่นเครือน้อยๆ
ซู่ชิงรู้สึกแปลกใจ นางปรนนิบัติรับใช้ข้างกายหลี่ซิวหยวนมาห้าปี เห็นเขามีท่าทางเรียบเฉยเสมอมา เดิมทีวันนี้ก็รู้สึกว่าที่เขาใจลอยมาตลอดบ่ายนั้นแปลกมากแล้ว ยามนี้เขายังถึงขั้นเสียงสั่นอีกด้วย
วันนี้นายท่านเป็นอะไรไปกันแน่
ด้วยเหตุนี้ซู่ชิงจึงมองไปที่ถุงหอมตรงเอวเสี่ยวเฟิง
เป็นถุงหอมผ้าต่วนสีน้ำเงินไพลิน ด้านบนปักลายไผ่เขียวสองสามลำ ภูเขาหินหนึ่งลูก และยังมีดอกกล้วยไม้อีกกอหนึ่ง เนื้อผ้าดีมาก ดูแล้วน่าจะเป็นผ้าต่วนหางโจว ทว่างานปักกลับไม่ได้เรื่อง ลวดลายที่ซู่ชิงปักออกมาหลังเรียนได้ครึ่งปีก็ยังดีกว่านี้
เวลานี้เสี่ยวเฟิงก็กำลังก้มหน้ามองถุงหอมนี้เช่นกัน ในโสตได้ยินเสียงของหลี่ซิวหยวนพลันเร่งร้อนและเคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าไปเอาถุงหอมใบนี้มาจากที่ใดกันแน่ รีบบอกมา!”
เสี่ยวเฟิงขี้กลัวเป็นทุนเดิม พอได้ยินหลี่ซิวหยวนทำเสียงเคร่งเครียดเช่นนี้ก็ตกใจจนสองขาอ่อนยวบ เข่าทรุดลงกับพื้นทันที
“ระ…เรียนนายท่าน…” เสียงของเสี่ยวเฟิงสั่นเครือ ซ้ำยังเจือเสียงสะอื้น “ถะ…ถุงหอมใบนี้เดิมทีเป็นของเจิ่นหลิวบ่าวชายข้างกายนายท่าน มีหนหนึ่งบ่าวช่วยปะชุนเสื้อผ้าให้เขา เขาจึงมอบถุงหอมใบนี้ให้บ่าวเป็นการขอบคุณ บ่าว…บ่าว…”
พูดถึงตรงนี้เสี่ยวเฟิงก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อแล้ว นางไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดหลี่ซิวหยวนถึงถามเรื่องถุงหอมนี้กับนาง
หลี่ซิวหยวนเม้มปากเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร ทว่าสายตากลับมองถุงหอมที่อยู่ตรงเอวเสี่ยวเฟิงโดยตลอด
หลี่ซิวหยวนจำได้ว่าถุงหอมใบนี้เป็นเสิ่นหยวนมอบให้เขา
เวลานั้นไม่รู้ว่าเสิ่นหยวนไปสืบเรื่องที่เขาชอบต้นไผ่ที่ดูสูงส่งบริสุทธิ์มาได้อย่างไร จู่ๆ วันหนึ่งขณะเขากลับมาจากสำนักการศึกษาหลวงก็ถูกนางมาขวางทางไว้ ก่อนที่นางจะยัดถุงหอมใบนี้ใส่มือเขาทั้งใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็หมุนตัววิ่งหนีไป
เวลานั้นเขาใช้สองนิ้วคีบถุงหอมขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นสีน้ำเงินไพลิน ด้านบนปักลายไผ่เขียว ภูเขาหิน และดอกกล้วยไม้เอาไว้ ผ้าที่ใช้มีคุณภาพดีอย่างที่สุด ทว่างานปักกลับดูไม่ได้เอาเสียเลย
เขาย่อมจะไม่รับสิ่งของที่เสิ่นหยวนมอบให้ มิหนำซ้ำยังเป็นของอย่างถุงหอมอีก นึกอยากจะตามไปคืนของให้นาง แต่นางก็หนีหายไปไม่เห็นเงาแล้ว
หลี่ซิวหยวนไม่มีทางตามไปคืนถุงหอมให้นางถึงสกุลเสิ่นแน่ ไม่อาจปล่อยให้ทุกคนล่วงรู้เรื่องที่เสิ่นหยวนตามพัวพันเขา ดีไม่ดีจะยังบังคับให้เขาแต่งกับนางอีกด้วย
เวลานั้นหลี่ซิวหยวนจึงโยนถุงหอมใบนี้ให้เจิ่นหลิวบ่าวชายที่ตามอยู่ด้านหลังตนเอง สั่งให้เขาเอาไปทิ้งในที่ลับตาคน
คิดว่าเจิ่นหลิวเห็นถุงหอมนี้ทำด้วยผ้าชั้นดี เสียดายที่จะโยนทิ้ง จึงได้แอบเก็บเอาไว้เอง และต่อมาก็ได้มอบให้เสี่ยวเฟิง
พอได้เห็นถุงหอมใบนี้อีกครั้ง ในใจหลี่ซิวหยวนก็รู้สึกซับซ้อนยิ่ง เขาคิดแล้วสุดท้ายยังคงยื่นมือไปทางเสี่ยวเฟิง “เอาถุงหอมให้ข้า”
ได้ยินเช่นนี้เสี่ยวเฟิงกับซู่ชิงต่างตระหนกตกใจยิ่ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 พ.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.