ทว่านางยิ่งอ่านกลับยิ่งกระดากอาย ชาติก่อนนางช่างบ้าบิ่นเสียจริง อายุน้อยๆ ก็ฟังคำของบิดานำบทกลอนไปรวมเล่มแล้ว ยังไม่ทันผ่านชีวิตจะมีอารมณ์สะทกสะท้อนอันลึกซึ้งจากที่ใดได้เล่า บทกลอนเหล่านี้ไม่แคล้วเป็นเสียงโอดครวญที่ปราศจากความรู้สึกจริง เหมือนเสียงทอดถอนใจให้กับกาลเวลาอย่างเลื่อนลอย
บัดนี้ได้เกิดเป็นคนอีกหนึ่งชาติภพ เมื่ออ่านบทกลอนในวัยเยาว์ของตน ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็พลันประดังเข้าใส่จนนางอยากจะฉีกหนังสือรวมบทกวีเล่มนี้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนเข้ากองไฟเผาให้วอดเสียเดี๋ยวนี้ ขณะเดียวกันนางก็นึกฉงนว่าฉู่เสียรู้ได้อย่างไรว่านี่คือบทกลอนของนาง ทั้งให้นางอ่านทวนซ้ำไม่เลิกรา
เมื่ออ่านซ้ำเป็นรอบที่ห้า ฉยงเหนียงก็ข่มกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเงยหน้าถามเสียเลย “ขอบังอาจเรียนถามท่านอ๋อง ข้าน้อยเคยล่วงเกินท่านกระนั้นหรือ”
ฉู่เสียจับจ้องริมฝีปากแดงกับแก้มนวลของฉยงเหนียงโดยตลอด พอเห็นนางเงยหน้า สายตาเขาก็ไม่ได้เบนไปทางอื่น เพียงตอบนางเรียบๆ “ก็ไม่นับว่าล่วงเกินหรอก แค่เคยพนันกับเจ้าเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าถึงกับลืมหมดสิ้นแล้ว”
ฉยงเหนียงกำลังจะเอ่ยปากอีกหน ประกายความคิดก็พลันผุดวาบ นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ จะว่าไปก็เกี่ยวข้องกับกลอนบทที่อ่านไปเมื่อครู่
ตอนนั้นนางตามหลิ่วเจียงจวีไปที่ลานล่าสัตว์ เจอกับคุณหนูผู้หนึ่งที่แต่งตัวเป็นชายแล้วโต้เถียงกันเพื่อแย่งกวางตัวหนึ่ง
คุณหนูผู้นั้นก็ช่างไร้เหตุผลนัก เห็นอยู่ว่าฉยงเหนียงเป็นผู้ยิงได้ก่อน แต่กลับดึงดันจะบอกว่าตนเป็นผู้ยิงถูกกวาง ท่าทางบอกชัดว่าถูกตามใจจนเสียนิสัย
เหตุการณ์โดยรวมฉยงเหนียงจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จำได้เพียงว่ามีบุรุษสวมหมวกสานปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรสีดำผู้หนึ่งตามมาด้วยกันกับคุณหนูผู้นั้น ดูท่าน่าจะเป็นพี่ชายของอีกฝ่าย ความไร้เหตุผลสืบทอดกันมาไม่มีผิดเพี้ยน ฉยงเหนียงที่ถูกยั่วโทสะจึงเอ่ยทักทายย้อนไปถึงบรรพบุรุษสามรุ่นและล่วงหน้าไปถึงลูกหลานห้ารุ่นของพี่น้องคู่นั้นโดยไม่ใช้คำหยาบสักคำเดียว
ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจะพูดมาประโยคหนึ่ง ทำนองว่าคุณหนูปากจัดเช่นนางเป็นสตรีที่ขาดการอบรม วันหน้าออกเรือนจะต้องทุกข์ยาก
นางในตอนนั้นก็เป็นคนถือดี จึงพิศมองบุรุษใต้ม่านแพรดำผู้นั้นขึ้นลงก่อนเอ่ยตอบโต้ ‘ท่านไม่กล้าสู้หน้าผู้คน ย่อมเป็นเพราะรูปโฉมขี้ริ้วยิ่ง ต่อให้ข้าทุกข์ยากก็ไม่ถึงคราวต้องทำอาหารซักเสื้อผ้าให้ท่านหรอก’
บุรุษผู้นั้นแค่นเสียงหัวเราะอันเย็นชาก่อนโต้กลับ ‘นั่นก็ไม่แน่’
ถัดจากนั้นตลอดทั้งวัน กลุ่มของนางก็พบเจอพี่น้องคู่นั้นไม่หยุดหย่อน ต่อมายามที่ออกจากลานล่าสัตว์บังเอิญเจอฝนตกหนัก นางต้องยืนรอเรืออยู่ในศาลาของท่าข้ามฟากอย่างแสนเบื่อหน่าย จึงโพล่งกลอนบทนั้นออกมา รอจนนางหมุนตัวจึงค่อยพบว่าบุรุษผู้นั้นยืนอยู่ด้านหลังของนางพอดี…
คิดมาถึงตรงนี้ เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษใต้ม่านแพรดำผู้นั้นก็ดูเหมือนจะตรงกับฉู่เสีย นางจึงรีบถามหยั่งเชิง “ฤดูร้อนเมื่อปีกลาย ข้าอยู่ที่ลานล่าสัตว์มีเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยกับญาติของท่านอ๋องใช่หรือไม่”
ฉู่เสียหยักยกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจริงใจเท่าใดนัก ถึงค่อยหยิบตะเกียบคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากเคี้ยวชิมรสชาติก่อนเอ่ย “ตอนพูดพนันกับคุณหนูเมื่อปีกลาย ข้านึกไม่ถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูยังนับว่าเข้าปากได้”
แผ่นหลังของฉยงเหนียงผุดซึมไปด้วยเหงื่อเย็น แม้แต่ในชาติก่อนนางก็ไม่เคยรู้ตัวว่าบังเอิญไปล่วงเกินคนใจแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นเยี่ยงนี้เข้า ถ้าเช่นนั้นชาติก่อนที่เขาส่งคนมาสู่ขอนางถึงสกุลหลิ่ว ก็ต้องการจะแต่งนางเข้าจวนมาทำอาหารซักเสื้อผ้าให้เขาเพราะเคยไปลบหลู่เขาเข้ากระมัง
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว หลังจากเขาสู่ขอนางไม่สำเร็จ ดูเหมือนจะถูกหอบม้วนเข้าสู่คดีทุจริตขายตำแหน่งขุนนางในการสอบที่กำลังจะถึงนี้ สุดท้ายเขาถูกฮ่องเต้ลงโทษให้ออกจากเมืองหลวงภายในวันที่กำหนด มิเช่นนั้นด้วยท่าทีโหดร้ายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว นางในตอนนั้นคงยากจะออกเรือนไปกับซั่งอวิ๋นเทียน ยังไม่แน่ว่านางจะถูกเขาเคี่ยวกรำจนอยู่ในสภาพใด
คิดมาถึงตรงนี้นางก็วางหนังสือแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนนั้นข้าน้อยไม่รู้ความจึงล่วงเกินท่านอ๋องเข้า หวังว่าผู้ใหญ่เช่นท่านอ๋องจะไม่ถือสาหาความผู้เยาว์ ละเว้นข้าน้อยได้หรือไม่”
ฉู่เสียเห็นนางคุกเข่าอยู่ตรงริมเสื่อหอมก็เอ่ยสั่งเรียบๆ “มารินสุราให้ข้า”
ฉยงเหนียงขบริมฝีปากลุกขึ้นแล้วเดินตรงไป ทว่ายังไม่ทันจะนั่งมั่นคงก็ถูกฉู่เสียยุดข้อมือที่ขาวเนียนแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมอกในคราวเดียว
ริมฝีปากบางของเขาพลันแนบชิดริมติ่งหูนางก่อนกระซิบตอบ “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ หน่อย จะได้มองให้ชัดว่ารูปโฉมของข้าหลางอ๋องคู่ควรที่เจ้าจะทำอาหารซักเสื้อผ้าและปรนนิบัติไปชั่วชีวิตหรือไม่”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.