X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 4-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่ 4

วุฒิภาศลงจากรถตู้มาตามลำพัง เขาปล่อยให้ปารุสก์ทำงานต่อด้านใน ทันทีที่เหยียบถึงพื้น ชายคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาทักเขา

“ว่าไง มันยอมปล่อยตัวประกันรึยัง”

คนถูกถามชะงักเพราะไม่รู้ว่าชายคนนี้คือใคร วุฒิภาศยังไม่ตอบ อีกฝ่ายคงจะรู้ตัวว่าตนเองผลีผลามเกินไปจึงรีบแนะนำตัวก่อน

“ผมเป็นผู้จัดการเขตของธนาคาร”

“อ้อ ครับ”

วุฒิภาศรับทราบแล้วทำท่าจะผละออกไปทันที แต่กลับถูกขัดขวางโดยการดึงข้อศอกไว้

“ผมถาม คุณยังไม่ตอบ”

“เรากำลังดำเนินการอยู่ครับ ถ้าคุณจะช่วย…กรุณาปล่อยผมให้ทำหน้าที่ แล้วผมขอประวัติพนักงานทุกคนในธนาคารอย่างละเอียดด้วยครับ พวกเขาทำงานมาแล้วกี่ปี แต่งงานรึยัง มีลูกกี่คน ผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง มีใครที่มีปัญหาเรื่องการเงินรึเปล่า ความขัดแย้งภายในสาขามีมั้ย…”

ถวิลอ้าปากหวอ เขาค่อยๆ ปล่อยมือจากข้อศอกของวุฒิภาศ ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นอีกครั้ง

“รบกวนขอด่วนด้วยครับ”

คนในทีม NIC พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน ถวิลรู้สึกอย่างนั้น ไม่มีใครบอกว่าทำไมรายชื่อและประวัติของพนักงานธนาคารในสาขาจึงมีความสำคัญหรือจำเป็นต่อการช่วยชีวิตพนักงานออกมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นนัก แต่ทุกคนเอาแต่สั่งๆๆ ให้เขาต้องหาคำตอบมาให้ได้

 

วุฒิภาศกำลังจะมุ่งหน้าไปยังรถกระบะซึ่งมีหัสยุทธนั่งรออยู่ พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่วิ่งเข้ามาใกล้สถานที่เกิดเหตุพอดี นายตำรวจหนุ่มแค่รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาไม่ได้หยุดรอใครหรือสิ่งใด ขณะนี้สิ่งที่เขารับรู้จำเป็นต้องถูกรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อน

แสงแดดอ่อนตัวลงอีก แต่ผู้คนซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกกลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างหนาตา โอบเกียรติเข้ามาประกบตัววุฒิภาศแล้วพาเขาไปส่งยังรถกระบะ ดูเหมือนทางตำรวจสืบสวนสอบสวนเองก็เครียดไม่น้อย

“จะค่ำแล้ว ผมไม่ชอบ” โอบเกียรติพูดขณะที่เดินไปด้วยกัน

“ไม่มีใครชอบหรอกครับ ต้องมีการเจรจาอีกรอบก่อนเส้นตาย”

“ผมบอกเจ้าหัสไปแล้วว่ามีทางเดียวที่ตำรวจพอจะบุกเข้าไปได้คือหลังคา หากจำเป็น…เราจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าตึกแล้วให้หน่วยสวาทโรยตัวลงมา มีหน้าต่างอยู่สองช่องที่พอจะพังเข้าไปได้”

“ขอบคุณครับ”

วุฒิภาศกลับมานั่งตำแหน่งเดิมบนรถกระบะอีกครั้ง ตอนนี้หัสยุทธมีกระดาษหลายแผ่นวางพิงไว้กับพวงมาลัยรถ บนนั้นมีการวาดแผนผังอาคารคร่าวๆ ไว้ด้วย เมื่อวุฒิภาศนั่งเรียบร้อยแล้วก็เริ่มรายงานทันที

“ปืนประกอบเองครับ กระบอกปืนเป็นโลหะทรงกลมคล้ายท่อเหล็ก เสียงที่รุสก์บอกว่าแปลกๆ น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เคยได้ยินเสียงปืนที่ประกอบขึ้นเองมาก่อน”

“เอาปืนประกอบเองมาปล้นธนาคารเหรอ”

“ครับ แล้วในกล้องวงจรปิดมีภาพของผู้ต้องสงสัยสองคน”

“สองคน?” หัสยุทธหยุดลากเส้นบนแผนผังของเขา “ปืนกี่กระบอก”

“เท่าที่เห็นจากกล้องวงจรปิดมีคนละกระบอกครับ”

“ได้ประวัติของพนักงานรึยัง”

“ยังครับ ผมกำชับกับผู้จัดการเขตไปแล้ว ตอนนี้รุสก์กำลังแคปภาพคนร้ายออกมา แล้วรถพยาบาลก็มาถึงแล้วครับ”

“อีกกี่นาที” จู่ๆ หัสยุทธก็ถามเรื่องเวลาขึ้น และคนที่ตอบก็คือปารุสก์

“สิบจุดห้าสองนาทีครับ”

“โอเค ให้รถพยาบาลสแตนด์บาย ถ้าเรียกแล้วให้เข้ามาจอดหน้ารถตำรวจทันที”

“รับทราบครับ”

หัสยุทธยื่นหน้าออกมาทางหน้าต่างที่เปิดกระจกไว้แล้วตะโกนบอกโอบเกียรติ “จะเจรจาอีกรอบ มีความเป็นไปได้ว่ามีคนร้ายสองคน พวกมันใช้ปืนประกอบเอง รัศมีของกระสุนไม่น่าไกลมาก แต่ก็อย่าประมาท หลังจากนี้อาจจะเรียกรถพยาบาลเข้า นายคอยเคลียร์เส้นทางด้วยแล้วกัน”

“เออ”

หัสยุทธพูดกับเครื่องรับสัญญาณของเขา “ต่อสายเลยรุสก์”

“ครับ เจ้านาย”

เสียงโทรศัพท์ในธนาคารดังขึ้นอีกครั้ง โอ่งหันไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝาผนังทันที เวลาที่เขาเป็นคนกำหนดนั้นยังไม่หมด โจรปล้นธนาคารจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา มันหันไปมองหน้าลูกน้องซึ่งตอนนี้ออกจะขาวซีด

“ไม่รับเหรอพี่”

“ยังไม่ถึงเวลา”

“พวกมันอาจจะมีอะไรบอกเรา”

“เราต้องเป็นคนตั้งกฎ ไม่ใช่ตำรวจ”

“แต่…”

โอ่งตวัดสายตาจ้องมองตุ่นคล้ายกับต้องการสะกดให้เชื่อฟัง และมันก็ได้ผลเมื่อคนเป็นลูกน้องไม่โต้แย้งอะไรอีก แต่คนที่ทนต่อไปไม่ได้กลับเป็นผู้จัดการสาขา

“รับสิ เผื่อตำรวจจะมีข้อเสนอดีๆ มาให้พวกนาย”

“หุบปาก! พวกกูไม่ได้ถาม”

ตุ่นตวาดแล้วโบกปืนในมือไปมา ตัวประกันต่างหวีดร้องแล้วขดตัวแน่น

“ก็ได้ กูจะรับ” โอ่งบอก

“อ้าว ทำไมพี่ต้องเชื่อมันด้วย มันเป็นผู้จัดการ มันอาจจะเล่นตุกติกร่วมมือกับตำรวจได้นะ”

“มันทำอะไรไม่ได้หรอกน่า เอ็งมัดมันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ตุ่นเริ่มเห็นด้วย เขาจึงเงียบไป โอ่งรอให้เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกสองครั้งจึงรับ แต่เขาไม่ได้กรอกเสียงลงไป กลับรอให้ฝ่ายตรงข้ามพูดขึ้นมาก่อน

“รถพยาบาลมาถึงแล้ว เราต้องให้คนเจ็บได้รับการรักษาด่วน”

“แล้วรถกระบะที่ขอล่ะ ถ้ารถไม่มาก็อย่าหวังว่ากูจะให้คนออกไป”

“ฉันว่าถ้ารอนานกว่านี้คนเจ็บจะไม่รอดนะ แล้วจากคดีปล้นมันจะกลายเป็นคดีฆ่าคนโดยเจตนาด้วย”

หัสยุทธได้ยินเพียงความเงียบ เขารู้สึกถึงความคิดที่วิ่งวนในสมองของคนร้ายแม้จะอยู่ห่างกันหลายเมตร เขารู้ดีว่าคนร้ายทุกคนต่างก็พยายามหาทางรอดของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย…ถ้าพวกมันยังมีสติดีอยู่

นานเกือบนาทีในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับ

“แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าตำรวจจะเอารถมาให้จริง”

“นายเห็นรถตำรวจที่จอดเยื้องหน้าธนาคารไหม”

โอ่งขยับตัวออกจากเคาน์เตอร์นิดหนึ่งแล้วมองผ่านกระจก เขาเห็นรถคันเดิมที่จอดนิ่งอยู่นานแล้ว

“เห็น”

“ถ้าส่งมอบตัวประกันครบทุกคนเสร็จ นายก็เอาคันนี้ไปเลย”

“เฮ้ย!”

เสียงโอบเกียรติดังมาจากทางด้านหลังรถกระบะ เขาแอบฟังอยู่และนึกอยากจะเตะหัสยุทธขึ้นมาทันที

“แต่ตอนคุยกัน ฉันไม่ได้บอกว่าจะปล่อยตัวประกันทุกคน”

“แล้วนายจะทำอะไรกับพวกเขา เอาพวกเขาไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าตำรวจจะไม่ตามจับตายนายงั้นเหรอ”

โอ่งเงียบอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องใช้ความคิด สายตาเหลือบไปมองผู้จัดการสาขาที่ตอนนี้เริ่มขยุกขยิก เพราะปมเชือกที่มัดข้อมือไว้ทำให้ผู้จัดการสาขารู้สึกอึดอัด

“ขอเวลาคิดก่อน” เขาพูดออกมาในที่สุด

“ได้ แต่ตอนนี้นายต้องส่งคนเจ็บออกมาก่อน เวลาทุกนาทีสำคัญกับเธอนะ”

“ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”

แต่ริมฝีปากที่ซีดเซียวและดวงตาที่หรี่ลงจนแทบจะลืมไม่ขึ้นของคนเจ็บก็ทำให้เจ้าวายร้ายเริ่มไม่มั่นใจในคำพูดของตนเองเช่นกัน

“ฉันจะเป็นคนเข้าไปรับคนเจ็บเอง ตกลงไหม” หัสยุทธเริ่มรุกขึ้นไปอีกขั้น

“ไม่ ไม่ต้องเข้ามา ฉันจะส่งมันออกไปพร้อมแม่บ้านกับ รปภ.”

เป็นการตัดสินใจใหม่ ณ ขณะนั้น เพราะด้วยสภาพของคนเจ็บแล้วโอ่งคิดว่าเธอไม่สามารถเดินออกไปได้ด้วยตัวเองแน่ และแม่บ้านหรือ รปภ. คนใดคนหนึ่งก็คงรับน้ำหนักที่ต้องประคองเธอไม่ไหว เขาต้องการให้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่ในการควบคุม

การตัดสินใจของคนร้ายทำให้หัสยุทธเอะใจเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรถึงมัน

“ไม่มีการยิงสวนออกมา รับปากอย่างลูกผู้ชาย เพราะถ้านายผิดคำสัญญา หน่วยจู่โจมคงไม่ยอมแน่…ตกลงไหม”

“ตกลง ถ้าตำรวจจะไม่เข้ามาใกล้ธนาคารเกินสามเมตร”

“โอเค ฉันจะเรียกรถพยาบาลเข้ามาจอดหน้าธนาคาร นายปล่อยคนเจ็บกับตัวประกันอีกสองคนออกมา” หัสยุทธรีบตอบรับ เขาไม่แย้งเลยว่าคนร้ายได้ปล่อยตัวประกันจำนวนมากกว่าที่เคยตกลงกันไว้

“ได้”

โอ่งวางหูโทรศัพท์ลงทันที ส่วนหัสยุทธก็เริ่มออกคำสั่ง

“มันเปลี่ยนใจปล่อยตัวประกันเพิ่มอีกหนึ่ง น่าจะเป็นคนแก่ทั้งคู่ คาดว่าสภาพของคนเจ็บคงแย่มาก ให้รถพยาบาลเข้ามาจอดหน้ารถกระบะได้ ถอยหลังเข้ามานะ แล้วให้อาสขึ้นมาในรถด้วย”

“รับทราบครับ”

ปารุสก์ติดต่ออาสดาไปยังเครื่องรับสัญญาณของเขาเพื่อย้ำคำสั่งอีกครั้งทันที

“รู้ไหมว่าทำไมมันพูดถึงระยะสามเมตรที่ไม่ยอมให้เราเข้าใกล้”

“ถ้าใกล้กว่านั้นมันจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเหรอครับ” วุฒิภาศตอบในลักษณะของการถามกลับ

“อาจจะใช่ มันคงเป็นระยะที่ผู้ร้ายรู้สึกปลอดภัยถ้าตำรวจจะอยู่ห่างมันสามเมตร แต่มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเลขนี้อาจจะอยู่ในจิตใต้สำนึกของมัน ในเวลาที่ถูกบีบให้ตัดสินใจมันจึงพูดออกมา”

“สามเมตร…” วุฒิภาศพยายามคิดว่าระยะสามเมตรหรือเลขสามนั้นจะมีความสำคัญอย่างไรบ้าง ไม่นานเขาก็ทำตาโต “ระยะที่ทรงประสิทธิภาพของปืนเหรอครับ”

หัสยุทธยิ้มมุมปากนิดเดียว “ถูก ปืนของพวกมันอาจจะทำงานได้ดีในระยะนั้น ห่างไปกว่านั้นมันจะไม่สามารถควบคุมทิศทางตามที่ต้องการได้”

“แต่…แล้วทำไมมันไม่อยากให้เราเข้าไปล่ะครับ ถ้าเข้าไปใกล้มันจะยิงได้ถนัดกว่าไม่ใช่เหรอ ผมไม่เข้าใจ”

“พวกมันไม่ได้อยากยิงตำรวจหรอก นั่นเป็นระยะที่มันคิดจะควบคุมตัวประกันต่างหาก”

“หัวหน้าคิดอย่างนั้นเหรอครับ”

“อืม งานนี้มันพกปืนประกอบขึ้นเองมาปล้น นายคิดว่ามันจะกล้าดวลปืนกับตำรวจงั้นเหรอ ดูท่าทางเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่พวกมันวางแผนไว้ ตอนนี้เลยเป็นการตกกระไดพลอยโจนไปแล้ว จากการเจรจาเมื่อครู่มันคงกำลังรู้สึกเสียเปรียบเราอยู่ คราวนี้ก็ได้แต่รอให้เราพลาดเพื่อที่จะตอบโต้กลับ จากนั้นมันจะโยนความผิดให้เราทันทีว่าทุกการกระทำของมันเป็นผลมาจากการผิดสัญญาของเรา เพราะฉะนั้นต้องระวังทุกฝีก้าว ฟ้าก็มืดลงทุกที…”

หัสยุทธเห็นรถพยาบาลกำลังกลับรถหันด้านหลังมาทางเขา และคนขับก็ค่อยๆ เคลื่อนมันมาจอดด้านหน้ารถกระบะ

“บอกอาสให้คนขับรถพยาบาลปิดไฟให้หมด”

ไม่ถึงห้าวินาทีรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็ปิดไฟหน้าและไฟเหนือหลังคารถ เหลือเพียงไฟถอยหลังเท่านั้นที่ยังส่องแสงสีแดงนำทางอยู่ เมื่อรถฉุกเฉินมาจอดปิดด้านหน้ารถกระบะเรียบร้อยแล้ว หัสยุทธก็ลงจากรถเป็นครั้งแรก เขาเดินไปที่ประตูคนขับซึ่งตอนนี้ถูกเลื่อนกระจกลงช้าๆ อาสดานั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับรถนั่นเอง

“มันจะปล่อยคนเจ็บออกมาพร้อมตัวประกันอีกสองคน ไม่ต้องให้ใครเดินไปรับ รออยู่ที่รถจนกว่าตัวประกันทุกคนจะเดินมาถึง พาพวกเขาขึ้นรถแล้วพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล อาส…”

“ครับ”

“นายตามไปโรงพยาบาลด้วย แล้วสอบสวนตัวประกันอีกสองคนได้เลย”

“ครับผม”

หัสยุทธพยักหน้า เขากำลังจะเดินกลับขึ้นรถอีกครั้ง แต่โอบเกียรติกระโดดลงจากกระบะหลังมาดักทางไว้เสียก่อน

“นายเชื่อใจพวกนั้นได้ไงว่ามันจะไม่ยิงสวนออกมา”

“ถ้านายไม่เชื่อก็เล็งปืนรอได้เลย แต่ฉันว่าไม่คุ้ม เพราะถ้านายยิงเข้าไปอาจโดนตัวประกันคนอื่น”

โอบเกียรติถอนใจ เขาไม่ได้กลับขึ้นไปประจำบนตำแหน่งเดิม กลับรออยู่ด้านหน้ารถกระบะเพื่อมองทะลุกระจกรถพยาบาลไปยังประตูของธนาคาร ส่วนหัสยุทธยื่นหน้าเข้าไปในรถกระบะเพื่อคุยกับวุฒิภาศอีกครั้ง

“ถ้าพวกมันมีความมั่นใจว่าจะปล้นธนาคารได้ด้วยปืนที่ประกอบขึ้นเอง นายคิดว่ามันจะเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน”

สายตาของวุฒิภาศมุ่งมั่นก่อนตอบ “คนในธนาคารครับ”

“อืม หาให้เจอว่าเป็นใคร”

 

คนในธนาคารต่างก็เห็นแล้วว่าด้านหน้ามีรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลจอดรออยู่ ดวงตาของตัวประกันทุกคนมีความหวังว่าตนจะได้ออกไปจากที่นี่ แต่ดูเหมือนคนที่มีหน้าที่ตัดสินใจว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรไม่ได้คิดเช่นนั้น โอ่งไม่ชอบใจเลยที่มองไม่เห็นรถกระบะอยู่ในสายตาแล้ว ตุ่นขยับเข้ามาใกล้หัวหน้าของมันแล้วถามเบาๆ

“มันจะทำอะไร”

“แบบนี้เราจะขึ้นรถลำบาก ต้องให้ตำรวจเอารถกระบะมาจอดหน้ารถพยาบาล แล้วเราค่อยออกไปพร้อมคนเจ็บกับตัวประกันตามที่ตกลงกับมันไว้”

“พี่คิดอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ เอ็งไปพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นซิ”

“จ้ะ”

ตุ่นเหน็บปืนของตัวเองไว้ที่ขอบกางเกงยีนแล้วเดินไปตรงกลุ่มตัวประกัน ส่วนโอ่งเดินเข้าไปที่เก้าอี้แล้วปลดพันธนาการของ รปภ. และแม่บ้านออก คนทั้งคู่ตัวสั่นระริกและคงไม่คิดจะต่อสู้ ต่างก็คลำข้อมือของตนเองเพื่อสำรวจรอยบาดจากกุญแจมือ

“มานี่”

โอ่งกวักมือเรียกคนทั้งคู่ให้เดินออกมาจากกลุ่ม แม่บ้านดูจะหวาดกลัวมากกว่าคนเจ็บและ รปภ. เมื่อตุ่นพยุงพนักงานหญิงให้ยืนขึ้นและกึ่งประคองกึ่งลากมาตรงกลางห้องเพื่อสมทบกับโอ่งและตัวประกันอีกสองคนแล้ว มันจึงหยิบปืนที่เหน็บไว้ขึ้นมาถือเหมือนเดิม

“มาแล้วพี่ ท่าทางจะไม่ไหว”

“ให้แม่บ้านกับ รปภ. พยุงคนเจ็บไว้ แล้วเอ็งไปเอาผู้หญิงคนนั้นมา เราจะพาขึ้นรถไปด้วยกัน”

โอ่งชี้มือไปทางสุภาพสตรีคนเดิมที่มันเคยพาเธอหนีไปทางด้านหลังของธนาคาร หญิงคนนั้นหันมองคนรอบข้างคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสบตากับเธอเลยนอกจากผู้จัดการสาขา วิรุฬถูกมัดติดกับเธอ ดังนั้นเมื่อตุ่นจะแกะเชือกก็จำเป็นต้องแกะปมที่ผูกคนทั้งคู่ออกด้วย

“เอาฉันไปแทน” วิรุฬพูด

“ไม่! แกไม่มีสิทธิ์ต่อรอง” โอ่งขู่

แล้วในจังหวะที่เชือกถูกปลด วิรุฬก็คลั่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนแล้วโถมตัวเข้าหาโอ่ง ตุ่นตกใจจนเกือบจะลั่นไกใส่เขา แต่ในเสี้ยววินาทีที่วิรุฬไปถึงตัวโอ่ง มันก็ใช้แขนตวัดล็อกคอเขาได้ทันท่วงที

“อย่าเพิ่งยิง! เปลืองกระสุน”

“พี่ไหวไหม” ตุ่นถาม

“ไหว เอ็งคุมคนไว้ ใครตุกติกยิงแม่ง เดี๋ยวกูจะเอาไอ้นี่ไปจัดการให้มันเชื่องก่อน”

พูดจบแล้วโอ่งก็ลากตัวผู้จัดการสาขาร่างอ้วนเข้าไปตรงบริเวณห้องครัวด้านหลัง เสียงพนักงานธนาคารร้องลั่นเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายผู้จัดการของตน แต่โอ่งไม่สนใจ เมื่อลากวิรุฬไปถึงห้องน้ำแล้วมันก็ปิดประตู ไฟในห้องน้ำถูกเปิดขึ้น แขนแข็งแกร่งปล่อยลำคออวบนั้นให้เป็นอิสระ ใบหน้าที่มีเลือดแห้งเกรอะกรังซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกมองตรงมายังเงาสะท้อนที่อยู่ด้านหลังของเขา

“มึงผิดสัญญาทุกอย่าง ไอ้ห่า…”

คนด้านหลังซึ่งสูงกว่ายืนนิ่ง แววตาไม่อ่อนลงแต่ก็ไม่กร้าวเหมือนเมื่อตอนอยู่ด้านหน้าธนาคาร

“มึงปล่อยให้ลูกน้องมึงทำร้ายกู”

“มันเลยเถิดน่า ฉันห้ามไม่ทัน ก็นายบอกเองว่าไม่ให้ฉันบอกลูกน้องเรื่องนี้”

“แล้วมึงว่าคนอย่างไอ้นั่นมันจะเก็บความลับได้ไหม” วิรุฬกัดฟันพูดแล้วเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างคราบเลือดอย่างลวกๆ “มึงทำให้เรื่องมันบานปลายแล้วจะทิ้งกูไปง่ายๆ ไม่ได้ พวกมึงต้องเอากูไปด้วย แล้วค่อยไปปล่อยไว้ที่ไหนก็ได้ กูจะเบี่ยงเบนความสนใจของตำรวจให้เอง”

โอ่งพยักหน้าช้าๆ

“แล้วถ้ามีใครสักคนต้องตาย” วิรุฬถ่มน้ำลายลงไปในอ่าง กลิ่นคาวเลือดติดอยู่ในปากเขาซึ่งคงมีบาดแผลสักแห่งในนั้น “ก็ต้องเป็นลูกน้องมึง”

ดวงตาที่เคยกร้าวไหวระริก แต่มันก็เป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว เขารับทำงานใหญ่นี้มาแล้วไม่มีทางที่จะถอยกลับ

ชายสองคนออกมาจากทางด้านหลังของธนาคารด้วยสภาพที่ฝ่ายหนึ่งโดนหิ้ว เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจนถึงกลางหลัง เสื้อเชิ้ตสีขาวลู่ติดลำตัว คอของวิรุฬห้อยพับแต่เขายังไม่หมดสติ ตัวประกันในห้องโถงต่างร้องคราง

“พี่ทำอะไรมันน่ะ” ตุ่นถามเสียงสั่น

“ให้มันหายใจในน้ำนิดหน่อย คราวนี้ไม่กล้าหือกับเราแล้ว นั่งตรงนี้อย่าคิดจะทำอะไรอีกนะมึง”

โอ่งขู่ก่อนจะผลักร่างอวบของตัวประกันให้นั่งลงบนเก้าอี้แถวแรก พนักงานธนาคารร้องเรียกชื่อของวิรุฬเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังมีสติดีอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง โอ่งรู้ดีว่าตำรวจกำลังรอให้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันเกิดขึ้น เขาพยักหน้าให้ลูกน้องเพื่อให้ตุ่นควบคุมพนักงานที่บาดเจ็บให้ยืนขึ้นพร้อมกับแม่บ้านและ รปภ. เมื่อทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่พวกมันพอใจแล้วโอ่งจึงรับสาย

“เมื่อไรนายจะส่งตัวประกันออกมา” หัสยุทธเปิดฉากถามก่อน

“ไม่ จนกว่ารถกระบะจะมาจอดใกล้หน้าธนาคารมากกว่านี้ ให้คนขับรถมาจอดหน้าประตู ติดเครื่องยนต์ไว้ แล้วลงจากรถ ถ้าไม่ทำตามที่สั่งก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้ตัวประกัน”

หัสยุทธกระดิกนิ้วให้สัญญาณวุฒิภาศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน วุฒิภาศลงจากรถทันที แล้วส่งสัญญาณบอกอาสดาที่นั่งอยู่บนรถตู้ต่อ จากนั้นเขาก็เรียกโอบเกียรติมาคุย

“ว่าไง” โอบเกียรติถาม

“มันจะหนีแล้ว มันจะปิดการเจรจาแค่นี้ครับ”

“งั้นตัวประกันที่เหลือล่ะ”

“มีความเป็นไปได้หลายทาง ถ้าทุกคนไม่ถูกควบคุมไว้ก็อาจจะตายแล้ว”

“ตั้งหลายคนเนี่ยนะ”

“หากมันปิดการเจรจาในที่เกิดเหตุ แสดงว่ามันต้องหาทางหนีทีไล่ที่มีตัวประกันไปด้วย เพื่อรับรองว่าตัวเองจะปลอดภัยจนกว่าจะพ้นรัศมีการติดตามของตำรวจ”

“งั้นจะเป็นใครก็ได้สิ”

“ใช่ครับ อาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”

โอบเกียรติกำลังใช้ความคิด แล้ววิทยุตำรวจซึ่งเหน็บไว้ข้างสะโพกของเขาก็ส่งเสียงเรียก นายตำรวจร่างใหญ่รีบรับแล้วสื่อสารทันที วุฒิภาศกำลังจะกลับไปประจำที่ของตนแต่โอบเกียรติก็หยุดเขาไว้ก่อน

“คนของผมแจ้งว่าตอนนี้มีญาติของตัวประกันมารายงานตัวแล้วสามคน”

“สามคน…ถ้ารวมกับพนักงานเจ็ดคนก็เป็นสิบ เรามีตัวประกันอยู่ในนั้นไม่ต่ำกว่าสิบ” วุฒิภาศทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนพูดเบาๆ “ผมไม่คิดว่ามันจะฆ่าคนทั้งหมดได้หรอก”

“งั้นก็ต้องเตรียมบุกแล้ว” โอบเกียรติสั่งให้ลูกน้องของตนพร้อมจู่โจมทุกวินาที

 

กลับมาที่การเจรจาอีกครั้ง ดูเหมือนหัสยุทธจะยอมจำนนต่อความต้องการของผู้ร้าย เนื่องจากมันให้ผู้จัดการสาขามาพูดกับเขาเป็นครั้งที่สอง น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นไม่สู้ดีนัก และยังคงยืนยันว่ารถกระบะของตำรวจต้องจอดอยู่หน้าประตูธนาคารเท่านั้น

หัสยุทธครุ่นคิดเพียงลำพัง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าในสถานที่เกิดเหตุมักจะเกิดความเครียดได้ง่าย และการที่คนถืออาวุธไว้ในมือเกิดความเครียดแบบสะสมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หากคนร้ายต้องการจะจบการเจรจาจริง เขาก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตำรวจว่าจะสามารถทำงานต่อได้ เพราะเรื่องมันจะต้องไม่จบลงตรงที่ผู้ร้ายสามารถหนีไปได้อย่างลอยนวล

“เอาล่ะ ตกลง ฉันจะเป็นคนขับรถกระบะไปจอดหน้าธนาคารเอง”

“ติดเครื่องไว้ ลงจากรถไปให้ห่างมากที่สุด แล้วการปล่อยตัวประกันถึงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น”

“โอเค” หัสยุทธวางสายลง เขาเริ่มพูดกับปารุสก์อีกครั้ง “ฉันจะทิ้งเครื่องมือสื่อสารของนายไว้ในรถ จับสัญญาณไว้ให้ดีนะ”

“ครับเจ้านาย”

“เตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่อยู่รอบสถานที่ให้เตรียมตัวให้พร้อม หากผู้ร้ายพาตัวประกันออกจากพื้นที่ได้สำเร็จต้องมีการติดตามอย่างเร่งด่วน”

ปารุสก์รับคำสั่ง หัสยุทธจึงเริ่มดึงเครื่องมือสื่อสารที่ติดตัวเขาออก แต่ไม่ได้ปิดการรับส่งสัญญาณ โอบเกียรติเดินเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างฝั่งคนขับเพื่อวางแผนร่วมกันกับหัสยุทธ

“ฉันสั่งให้ลูกน้องเตรียมการแล้วนะ ทีมแรกจะอยู่กับนาย ทีมที่สองจะบุกเข้าไปทางด้านหลังของธนาคารทันทีที่คนร้ายเดินออกมา ส่วนทีมสุดท้ายรออยู่ในรถอีกคันแล้ว ถ้าคนร้ายออกจากตรงนี้เมื่อไรพวกนั้นก็พร้อมติดตามทันที”

“อืม”

โอบเกียรตินึกหมั่นไส้ เขาอุตส่าห์พูดตั้งยาว แต่อีกฝ่ายครางอืมออกมาแค่คำเดียว หัสยุทธกำลังซุกเครื่องมือลงใต้เบาะนั่งข้างคนขับ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็ลงจากรถอีกครั้ง

“วิญญูหามุมยิงได้แล้ว ถ้าจำเป็น…”

หัสยุทธหันมาสบตาเพื่อนร่วมงานด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟ อาคาร ป้ายโฆษณา และรถราบนท้องถนนเท่านั้น ภายในธนาคารยังคงมืดสนิท แม้แต่แสงจากหน้าจอโทรทัศน์ที่เคยกะพริบผ่านกระจกให้เห็นตอนค่ำก็ถูกคนด้านในปิดไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

หัสยุทธยืนขึ้นเต็มตัว เขาสูงไล่เลี่ยกับโอบเกียรติแต่ตัวไม่หนาเท่า สีหน้าท่าทางของเขาดูเย็นชาไม่ค่อยแสดงอารมณ์นัก นักเจรจาต่อรองของกรมตำรวจกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องของตนและลูกน้องของโอบเกียรติที่อยู่รอบๆ รถกระบะมารวมตัวกัน เขาพยายามจะยืนใกล้ๆ กับคนขับรถฉุกเฉินเพื่อให้อาสดาได้ยินแผนการต่อไปด้วย

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ร้ายน่าจะมีด้วยกันสองคน มันต้องการรถ ฉะนั้นก็รับประกันได้เลยว่ามันจะหยุดเจรจาทันทีเมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการ จากข้อมูลที่พยายามรวบรวมมาทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะมีตัวประกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคน หนึ่งในนั้นบาดเจ็บและกำลังจะออกมาพร้อมกับ รปภ. และแม่บ้าน พวกมันคงตั้งใจจะใช้สามคนนี้เป็นโล่ มันเพิ่งออกคำสั่งให้ตำรวจเอารถกระบะไปจอดหน้าธนาคาร ถ้าไม่ทำ มันจะไม่ปล่อยใครออกมาเลย”

โอบเกียรติขมวดคิ้วแน่น “แสดงว่าจะหนีแน่”

“ใช่ มันจะขึ้นรถก่อนแน่นอน แล้วคาดว่าจะเอาตัวประกันคนอื่นไปด้วย คงต้องให้หน่วยของนายรับมือต่อ ฉันจะพยายามเจรจาจนถึงที่สุด ถ้าหยุดมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันเอารถไป”

“แล้วเรื่องอาวุธล่ะ ฉันควรระวังอะไรบ้าง”

“จากกล้องวงจรปิดวุฒิบอกว่าน่าจะเป็นปืนประกอบขึ้นเอง”

“ถ้าเป็นเหมือนปืนปากกา มันก็ต้องใส่กระสุนทีละนัด”

“อืม เป็นโชคดีของเรา มันคงไม่ยิงมั่วแน่ แต่ถ้ามันมีตัวประกันอยู่ด้วย เราก็ไม่ควรเสี่ยงให้มันใช้ปืนอยู่ดี มีอะไรจะถามอีกไหม” หัสยุทธกวาดสายตามองทุกคน “ถ้าไม่มีก็เริ่มทำงานกัน”

โอบเกียรติตบบ่าหัสยุทธครั้งหนึ่งแล้วหันไปสั่งงานลูกน้องของเขา ได้ยินแว่วๆ ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแบ็กอัพให้หัสยุทธสามนาย และแน่นอนว่าทุกนายมีสิทธิ์จะใช้อาวุธปืนได้ทันทีที่มีความจำเป็น

การทำงานระหว่างทีมของโอบเกียรติกับหัสยุทธไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก นอกจากการปฏิบัติงานภาคสนามที่เกิดขึ้นจริงหลายครั้งแล้ว การฝึกหลายรูปแบบพวกเขาก็เคยผ่านมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นแทบจะไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมานอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าหัสยุทธอยู่ข้างหน้า โอบเกียรติต้องประกบด้านหลัง และถ้าหัสยุทธไร้ซึ่งอาวุธ โอบเกียรติต้องมั่นใจว่าเขามีคนมากกว่าคนร้ายหลายเท่าเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมงานของเขา

 

หัสยุทธตรวจสอบเสื้อกันกระสุนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย บรรยากาศด้านนอกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเมื่อหน่วยจู่โจมของโอบเกียรติพร้อมอาวุธครบมือมายืนประจำจุดของตน ผู้คนด้านนอกธนาคารสามารถมองเห็นพวกเขาได้ง่ายกว่าคนที่อยู่ด้านใน ตอนนี้หน้าอาคารพาณิชย์ห้องอื่นต่างก็มีตำรวจซุ่มอยู่ ดวงไฟถูกเปิดไม่มากนัก ทั้งนี้เพื่อต้องการพรางสายตาจากคนร้าย ฝูงชนถูกกันออกห่างกว่าเดิม แม้กระทั่งถนนใหญ่ก็ถูกกั้นเส้นทางเดินรถไปแล้วหนึ่งเลน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้คนที่จะสัญจรผ่านไปมา

วุฒิภาศทดสอบสัญญาณที่เครื่องรับของตนเป็นครั้งสุดท้าย “หัวหน้าจะขึ้นรถแล้ว นายพร้อมนะ”

“พร้อมครับพี่ สัญญาณบนรถชัดเจนดี กล้องบนหลังคารถของเราเปิดเรียบร้อย ถ้าไอ้ลูกหมาออกมาเมื่อไรผมถ่ายภาพได้แน่นอน”

“ดีมาก ฉันจะอยู่ด้านขวามือของหัวหน้า ส่วนอาสจะอยู่บนรถตู้ การเจรจาจะจบตรงที่ผู้ร้ายขึ้นรถ”

“มีคำสั่งสกัดไหม”

“ไม่มี หน่วยจู่โจมจะรับเรื่องต่อ นายติดตามสัญญาณในรถต่อไป”

“รับทราบ”

เมื่อพูดธุระกับปารุสก์จบ วุฒิภาศก็เดินไปเกาะหน้าต่างรถด้านคนขับเพื่อแจ้งข่าวสารกับหัวหน้าของเขาก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น

“รุสก์พร้อมแล้วครับ หัวหน้าโอเคไหม”

“หิวข้าว”

วุฒิภาศอมยิ้ม “มีอะไรที่ผมต้องห่วงไหม”

“เมื่อหน้าที่ของหน่วยเราจบ ต้องมั่นใจว่าตัวประกันทุกคนจะถูกจับแยกสอบสวนตั้งแต่คืนนี้ เราต้องการข้อมูลทุกอย่างเพื่อบันทึกคดี”

“ผมทราบดีครับ”

“งั้นก็เริ่มกันเลย”

หัสยุทธสตาร์ตรถกระบะแล้วเตรียมเคลื่อนมันไปยังด้านหน้ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล เขายกมือออกมานอกหน้าต่างเป็นสัญญาณบอกเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าภารกิจสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้

บทที่ 5

“มันเอารถมาจอดแล้ว”

โอ่งพูดให้ลูกน้องของเขาได้ยิน ในตอนนี้มันจับสุภาพสตรีคนนั้นให้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วใช้มือข้างขวาซึ่งถือปืนอยู่ล็อกคอเธอให้อยู่ในตำแหน่งด้านหน้าตัวเขา ส่วนด้านหลังมีกระเป๋าเป้ที่ใส่เงินไว้เต็ม เธอดูตื่นกลัวและหวาดผวา มือไม้อ่อนคล้ายกับจะเป็นลม แสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านกระจกของธนาคารเข้ามาไม่มากนักแต่ก็พอจะมองเห็นแววตาหลายคู่ที่จ้องมองความเคลื่อนไหวของพวกโจรในธนาคารได้ ทุกคนคงภาวนาให้เรื่องนี้จบลงเสียที

ตุ่นมีท่าทีลุกลี้ลุกลน มันเอาถุงผ้าของธนาคารมาผูกไว้กับเอวของตัวเอง มัดเงินในนั้นถูกเหวี่ยงไปมาเบาๆ ระหว่างที่มันขยับตัว ตุ่นจับถุงเงินให้ไปอยู่ด้านข้างลำตัว มันโผเข้ามาหาเจ้านายแล้วเขย่งเท้าขึ้นกระซิบถามเบาๆ

“แล้วทิ้งพวกนี้ไว้ในนี้เหรอพี่”

เขาหันมาดุเสียงเข้ม “เออ มึงจะเอาไปด้วยรึไง”

“แล้วถ้าเราโผล่ออกไป ตำรวจมันจะไม่ยิงสวนมาเหรอ กว่าจะไปถึงรถมันก็หลายก้าวอยู่นะ”

โอ่งหยุดคิดชั่วครู่แล้วตัดสินใจ “งั้นมึงเอาผู้จัดการไปเป็นตัวประกัน พอเราขึ้นรถเสร็จก็ถีบมันออกมาเลย”

ตุ่นยิ้มออกมาได้ “เออ ดี”

โอ่งคิดรอบคอบแล้วว่าในตอนนี้มีเพียงผู้จัดการสาขาคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะสามารถควบคุมได้ แม้ว่าตุ่นจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่าผู้จัดการจะไม่มีวันทรยศเขา เพราะต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว

ตุ่นเดินไปหาผู้จัดการสาขาอีกครั้งแล้วดึงตัวของเขาขึ้นจากเก้าอี้ “มากับกู”

“ไปไหน”

“อยากจะเป็นพระเอกไม่ใช่เหรอ โอกาสมาถึงแล้ว”

ในระหว่างที่ตุ่นกำลังยื้อยุดฉุดกระชากวิรุฬ โอ่งก็กำลังทอดสายตาออกไปยังเบื้องหน้า เมื่อเห็นว่ารถกระบะถูกจอดอยู่นานแล้วแต่คนในรถกลับไม่ยอมลงมาเขาก็นึกฉุน

“ทำไมมันไม่ออกไปจากรถซะทีวะ” เขาหันไปมองลูกน้องซึ่งลากวิรุฬออกมาได้สำเร็จแล้ว “มึงพาไอ้นี่ออกไปก่อน”

“พี่จะให้ฉันออกไปก่อนเหรอ”

“เออ มันตัวใหญ่กว่า เอามันไว้บังสิ ให้คนเจ็บกับคนแก่สองคนออกไปก่อน แล้วค่อยเดินตามไป ใช้พวกมันเป็นโล่”

ตุ่นดูตื่นกลัวแต่ก็พยายามทำตามคำสั่ง มันใช้ปืนจี้ให้วิรุฬเดินนำหน้าโดยมีตัวเองประกบซ้อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้แม่บ้านกับ รปภ. พยุงพนักงานหญิงที่ได้รับบาดเจ็บออกไปก่อน

“ออกไป เดินช้าๆ นะมึง”

คนทั้งสามเดินไปถึงชั้นวางของที่ใช้กั้นประตูกระจก รปภ. ผลักให้มันเลื่อนออกไปบางส่วนเพื่อที่จะเปิดประตูได้สะดวก และไขกุญแจเปิด จากนั้นก็แง้มบานประตูโดยมีโอ่งกับวิรุฬยืนซ้อนหลังอยู่

“ช้าๆ อย่าเปิดทั้งบาน” ตุ่นพูด

เมื่อทั้งสามออกจากประตูได้แล้วก็ยืนเป็นระนาบเพื่อรอให้วิรุฬกับตุ่นตามออกมา

“ออกไปเลยนะพี่”

“เออ ค่อยๆ ออกไป กูก็จะตามมึงไปติดๆ นี่แหละ”

ตุ่นดึงหมวกไอ้โม่งลงมาปิดบังใบหน้าไว้ทั้งหมดแล้วเริ่มเคลื่อนตัวไปด้านหน้า หัวใจของทุกคนสูบฉีดอย่างแรงแม้กระทั่งคนที่ถูกพันธนาการไว้ด้านในธนาคาร นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีคนออกไปจากธนาคารนับตั้งแต่ถูกปล้น และเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเกือบห้าชั่วโมงเลยทีเดียว

เมื่อประตูกระจกขยับ หัสยุทธซึ่งยังคงนั่งอยู่ในรถที่เปิดกระจกไว้กว้างประมาณห้าเซนติเมตรก็เริ่มขยับตัวเช่นกัน เขากำลังรอให้ฝั่งคนร้ายทำตามสิ่งที่ได้ให้สัญญาไว้ นี่ยังเป็นการประวิงเวลาให้หน่วยจู่โจมสามารถหาช่องทางที่จะเข้าประชิดตัวคนร้ายและตัวประกันอีกด้วย ขณะนี้ความกังวลยังมีอยู่หลายทาง เมื่อตัวประกันบางส่วนติดค้างอยู่ด้านในและตำรวจก็ไม่รู้ว่าคนร้ายมีอาวุธอื่นอีกหรือไม่นอกจากปืนประดิษฐ์เอง

ประตูไม่ได้ถูกผลักให้เปิดกว้างทั้งบาน มันแค่ถูกเปิดแง้มๆ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที รปภ. คนเจ็บ และแม่บ้านก็ตามกันออกมา ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อชายร่างอ้วนซึ่งอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ปรากฏกายขึ้นด้วย หัสยุทธไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น แต่เขามั่นใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่โจรปล้นธนาคารแน่ ตรงหัวไหล่ข้างซ้ายของชายร่างอ้วนมีมือของใครคนหนึ่งตรึงไว้ หัสยุทธรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนร้าย พวกมันกำลังจะใช้ตัวประกันเป็นโล่

หัสยุทธตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วก้าวขาลงทีละข้าง การขยับของตำรวจทำให้เกิดเสียงโต้ตอบจากฝั่งธนาคารขึ้น

“ยะ…อย่ายิงครับ ผมเป็นผู้จัดการสาขา” ชายคนนั้นร้องบอกตำรวจเสียงสั่น “มะ…มันสั่งให้คุณตำรวจลงจากรถแล้วถอยไปไกลๆ ถ้าไม่ทำตาม มันจะไม่ออกไป”

หัสยุทธยืนขึ้นเต็มตัวแล้วพยักหน้า เขาไม่ละสายตาจากร่างของวิรุฬแม้แต่วินาทีเดียว หากแต่ไม่ได้มองแค่ผู้จัดการร่างอ้วน เขากำลังมองลึกเข้าไปถึงข้างใน นายตำรวจรู้ดีว่าคนด้านในก็กำลังจับจ้องเขาอยู่ หัสยุทธก้าวให้พ้นรัศมีการเหวี่ยงของประตูรถแล้วผลักบานประตูให้ปิด โดยที่ไม่ได้หันไปมองแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ

“ให้คนเจ็บมาที่รถพยาบาลก่อน” หัสยุทธเริ่มการต่อรองอีกครั้ง “นายสัญญาแล้ว แลกคนเจ็บกับรถ”

หลังจากเสียงของหัสยุทธเงียบไปไม่นาน กลุ่มคนหน้าธนาคารก็เริ่มขยับ แสงจากป้ายหน้าอาคารพาณิชย์แต่ละห้องให้ความสว่างเพียงพอที่หน่วยจู่โจมจะหาเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้ทุกคนถูกสั่งให้พรางตัวเพื่อให้คนร้ายวางใจพอที่จะก้าวออกมาด้านนอก ขณะนี้สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่ฝ่ามือของหัสยุทธซึ่งหากขยับเป็นสัญญาณเพียงนิด ทุกคนก็พร้อมจะเข้าจู่โจม แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงถูกปล่อยให้ดำเนินต่อไปอย่างเงียบๆ

“ถอยไปอีกครับ มันให้คุณตำรวจถอยห่างจากรถมากกว่านี้” ยังคงเป็นเสียงของวิรุฬที่สั่งกลับมา

“โอเค ผมจะถอยพร้อมกับที่ทั้งสามคนเดินมาที่รถพยาบาล”

หัสยุทธเห็นวิรุฬพยักหน้า จึงเริ่มเดินถอยหลังทีละก้าวช้าๆ คนกลุ่มเล็กๆ ก็เริ่มขยับเช่นกัน เมื่อนายตำรวจหนุ่มถอยพ้นท้ายรถกระบะมาแล้ว จึงเหลือเพียงหัวของรถพยาบาล สายตาของเขายังคงจดจ้องไปที่วิรุฬ นายตำรวจเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นได้ชัดเจนว่าคนที่ยืนซ้อนหลังผู้จัดการสาขานั้นกำลังขยับตัว แต่เขาต้องการให้มันออกจากประตูมากกว่านี้ เขาต้องการความมั่นใจว่าคนร้ายไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งคน

แล้วตุ่นก็เคลื่อนตัวออกมาจากประตูในที่สุด มันผลักหลังวิรุฬให้เดินนำหน้า ส่วนตัวเองก็ก้มศีรษะซุกด้านหลังชายร่างอ้วนจนมิด ไม่มีมุมที่หน่วยจู่โจมซึ่งอยู่ด้านหน้าธนาคารจะสามารถมองผ่านลำกล้องไปได้ เว้นแต่คนที่อยู่บนดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์ซึ่งขึ้นไปรออยู่แล้วนั้นจะสามารถทำได้

หัสยุทธเบี่ยงตัวหลบหลังรถตู้ทันทีที่พ้นมุม เขาแอบอยู่ข้างรถพยาบาลโดยที่ลอบมองผ่านกระจกรถไปยังเป้าหมายเป็นระยะ อาสดาเริ่มรายงานให้ได้ยินเบาๆ

“ออกมามากขึ้นแล้วครับ คนร้ายยังหลบอยู่หลังตัวประกัน”

“คนเจ็บมาถึงรถกระบะรึยัง”

“ยัง ท่าทางมันจะถ่วงเวลา”

“อย่าเพิ่งขยับ รอให้คนเจ็บขึ้นรถพยาบาลก่อน แล้วรีบเอารถออกไปเลย”

“ถ้ามันเอาตัวประกันไปด้วยล่ะครับ”

“ปล่อยเป็นหน้าที่ของไอ้โอบ อย่าผิดสัญญาที่เจรจาไว้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะยิงตัวประกัน รอ…”

ความกดดัน ความเครียด ความกลัว ถูกสาดซัดใส่เจ้าหน้าที่ทุกนายที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้แต่สภาพแวดล้อมในรัศมีเกือบกิโลเมตรของสถานที่เกิดเหตุก็ยังเงียบผิดปกติ โอบเกียรติซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกระถางต้นไม้ซึ่งหล่อขึ้นจากปูนซีเมนต์ก็แทบจะไม่ได้หายใจ เขาอยู่ห่างออกไปทางด้านข้างของธนาคารซึ่งเป็นลานจอดรถจักรยานยนต์ ตรงนั้นสามารถมองเห็นผู้ร้ายกับตัวประกันด้านข้างได้ แต่เขาก็ไม่เสี่ยงที่จะใช้อาวุธระงับเหตุในตอนนี้ เนื่องจากตัวประกันหลายคนยังอยู่ในความควบคุมของคนร้ายอยู่

กล้องบนหลังคารถ NIC สามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้ในบางมุม ปารุสก์กดคำสั่งให้กล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ รวมถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายเป็นวินาทีต่อวินาที เสียงของวุฒิภาศดังขึ้นในหูของเขา

“ตัวประกันที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นใคร”

“เดี๋ยวนะพี่ ผมได้รูปพนักงานมาแล้ว ขอเทียบแป๊บนึง”

ปารุสก์ดึงไฟล์ที่ฝ่ายบุคคลของธนาคารส่งมาให้ขึ้นมาดูประกอบภาพบนหน้าจอ ไม่ถึงนาทีเขาก็หาคำตอบให้เพื่อนร่วมงานได้ เพราะคนคนนั้นเป็นบุคคลแรกในไฟล์เลยทีเดียว

“ผู้จัดการธนาคารสาขาย่อย นายวิรุฬ พึ่งบุญ”

วุฒิภาศพยักหน้ารับรู้ข้อมูลนั้นแล้วจดบันทึกลงในสมุดของเขา ส่วนอาสดาเมื่อได้ยินคำตอบของปารุสก์ก็รีบรายงานหัสยุทธซึ่งยังคงหลบอยู่ข้างรถตู้

“ตัวประกันเป็นผู้จัดการครับ”

ยังไม่ทันที่หัสยุทธจะพูดอะไร ประตูกระจกของธนาคารก็ถูกดันออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นผู้หญิงในชุดแซกซึ่งปารุสก์จำได้ทันทีเพราะเคยเห็นเธอในกล้องวงจรปิดแล้ว วุฒิภาศก็เช่นกัน และเธอก็มีคนร้ายประกบอยู่ด้านหลังไม่ต่างจากผู้จัดการสาขาด้วย

“คนนี้ลูกค้าครับ” อาสดาแจ้งหัสยุทธเมื่อได้ยินปารุสก์บอกมาในเครื่องรับสัญญาณของเขา “คนร้ายใส่หมวกไหมพรมอำพรางใบหน้าทั้งสองคน”

“แล้วทำไมเลือกผู้หญิงวะ” หัสยุทธเริ่มโกรธ “อยากยั่วตำรวจนักรึไง ทุกคนอย่าเพิ่งขยับนะ รอให้มันออกมาพ้นประตูก่อน อย่าให้มันกลับเข้าไปข้างในอีก ไม่งั้นเราลำบากแน่ รอ…นิ่ง…”

ความกังวลของตำรวจมุ่งตรงไปที่ตัวประกันคนที่สองมากกว่าที่ออกมาชุดแรก เพราะเธอเป็นผู้หญิงและมีท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด หัสยุทธสงสัยว่าทำไมคนร้ายเลือกที่จะใช้ตัวประกันผู้หญิง เพราะนั่นคล้ายกับไม่อยากจบปัญหาง่ายๆ ซึ่งตำรวจมักจะอ่อนไหวกับตัวประกันที่เป็นเพศหญิงมากกว่า เนื่องจากพวกเธออ่อนแอกว่าผู้ชาย และตำรวจจะกัดไม่ปล่อยแน่เพื่อให้มั่นใจว่าคนร้ายจะได้รับผลจากการกระทำที่สาสมกับความผิดของพวกมัน โดยเฉพาะโอบเกียรติ…

การประเมินสถานการณ์ตรงหน้าจำเป็นต้องเกิดขึ้นทุกวินาทีและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หัสยุทธกับโอบเกียรติคิดไปในทางเดียวกันว่าหากกลุ่มที่มีคนเจ็บสามคนขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว คนร้ายต้องทิ้งตัวประกันคนหนึ่งไว้แน่ เนื่องจากรถกระบะของตำรวจเป็นแบบตอนเดียว จุผู้โดยสารได้สองคน ในเมื่อคนร้ายมีสองคน มันคงไม่คิดเอาตัวประกันไว้หลังรถแน่ แต่ถ้าหากจะเอาตัวประกันไปด้วย ก็น่าจะสามารถอัดคนเพิ่มเข้าไปได้แค่คนเดียวซึ่งควรจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ไม่ใช่ชายร่างอ้วน ตอนนี้ตำรวจจึงต้องพยายามคิดให้ทันความคิดของโจรว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป

ตุ่นกระซิบข้างหูให้วิรุฬเดินช้าๆ เพื่อที่เขาจะได้รอโอ่งให้เดินขึ้นมาประกบ การก้าวขึ้นรถกระบะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ โอ่งดึงตัวประกันหญิงให้เดินขึ้นมาเกือบจะเป็นระนาบเดียวกันกับวิรุฬ ขณะทุกคนกำลังเดินตรงมายังรถกระบะ หัสยุทธก็ยกมือซ้ายขึ้นเป็นสัญญาณให้บุกเข้าไปทางด้านซ้ายเพื่อโอบหลังคนร้ายก่อน ทิศนั้นโอบเกียรติคุมสถานการณ์อยู่ คนของโอบเกียรติได้รับคำสั่งต่อกันเป็นทอดๆ

การเคลื่อนไหวของหน่วยจู่โจมนายหนึ่งทำให้โอ่งรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย หางตาของเขาจับความเคลื่อนไหวนั้นได้ หัวหน้าคนร้ายหยุดเดินแล้วหันหลังชิดกับแผ่นหลังของลูกน้อง เขาประกาศก้อง

“อย่าขยับนะมึง ให้กูไปก่อน ไม่งั้นได้ตายหมดนี่แหละ กูวางระเบิดไว้ในธนาคารแล้วด้วย ถ้ากูไม่รอด พวกมันก็ตายห่าหมด…เลือกเอา”

หัสยุทธได้ยินคำประกาศนั้นชัดเจนทุกคำ คนเจ็บดูท่าทางไม่ดีเอาเสียเลย แม่บ้านก็เริ่มร้องไห้ ส่วน รปภ. ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมสติได้เช่นกัน ชายสูงวัยอาจจะไม่ได้ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้ หัสยุทธจำเป็นต้องปรากฏตัวที่ด้านหน้ารถตู้อีกครั้ง เขาตะโกนเสียงดังเพื่อให้ผู้ร้ายเห็นว่ามันยังอยู่ในห้วงเวลาของการเจรจาอยู่ และยังไม่มีใครผิดคำพูดตามที่ได้ให้สัญญาไว้

“ใจเย็นๆ นายไปได้ เอารถไปเลย ฉันสตาร์ตรถไว้แล้ว แต่ระเบิดไม่ได้อยู่ในสัญญา นายต้องให้ตำรวจเข้าไปช่วยคนในธนาคาร”

“ไม่ๆๆๆ จะไม่มีการเคลื่อนไหวตอนนี้”

โอ่งตะโกนเสียงดัง แขนข้างที่โอบสุภาพสตรีไว้เริ่มกระชับแน่นขึ้น ส่วนตุ่นก็ชักไม่มั่นใจเพราะอาจจะมีใครสักคนกำลังเล็งปืนมาที่เขา

“เฮ้ นายต้องเข้าใจว่าตำรวจจะไม่ยอมเสียเปรียบไปมากกว่านี้” หัสยุทธเตือนสติ “การเจรจาจบลงไปแล้ว เราให้ในสิ่งที่นายขอ และต่อจากนี้นายจะไม่ได้อะไรเพิ่มอีก ถ้าจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนซะตั้งแต่ตอนนี้ ปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระแล้วมอบตัวซะ”

โอ่งเพิ่งสำนึกได้ว่าไม่น่าพูดเรื่องระเบิดขึ้นมาเลย ในทีแรกเขาต้องการให้ตำรวจเห็นว่าตนเป็นต่อและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับดักที่วางไว้กำลังย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง ขณะนี้กลุ่มคนร้ายและตัวประกันยืนกระจุกตัวอยู่กลางลานกว้างหน้าธนาคาร ซึ่งอีกไม่ถึงสิบก้าวก็จะถึงรถกระบะอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนทุกคนไม่กล้าขยับ

“กูจะขึ้นรถ!”

คนร้ายเลือกทางเดินของตัวเองในที่สุด หัสยุทธไม่ขัด เขาผายมือไปยังรถกระบะ

“งั้นเชิญ แต่ฉันจะเดินเข้าไปรับคนเจ็บเอง โอเคไหม”

โอ่งสบตากับหัสยุทธภายใต้หมวกไหมพรม เขาพยายามหาความจริงใจ ความมั่นคง และความซื่อสัตย์จากดวงตาคู่นั้น

 

ในหัวของวิรุฬมีแต่ความระแวงและเป็นกังวล เขาเริ่มไม่ไว้ใจทั้งสถานการณ์และคนร่วมแผนการของเขา ตั้งแต่เห็นพาหนะที่จะหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุเขาก็รู้แล้วว่าโอ่งคงไม่ยอมพาเขาไปด้วยแน่ และการติดอยู่ที่นี่ร่วมกับตัวประกันคนอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เขาต้องการความมั่นใจว่าตนเองจะไม่เป็นที่สงสัยของใครต่อใคร โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา เมื่อคิดได้ดังนั้นวิรุฬจึงเริ่มมองหาโอกาสที่จะทำให้สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาเห็นพนักงานหญิงที่ถูกยิงเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยและใกล้จะเดินไปถึงรถกระบะ นักเจรจาต่อรองกำลังเดินเข้ามาหากลุ่มคนซึ่งน่าจะถูกส่งต่อไปยังรถฉุกเฉิน คราวนี้ก็จะเหลือเขา ตัวประกันอีกหนึ่งกับโจรทั้งสองเท่านั้น เขารู้ว่าพวกมันคงพยายามกันเขาออกแล้วก็หนีไปด้วยกัน เขาไม่อยากถูกทิ้งอย่างไร้ค่าและถูกประณามว่าเป็นผู้จัดการสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหา เขาจึงจำเป็นต้องหาโอกาสให้ตัวเอง

จังหวะที่หัสยุทธกำลังจะมาถึงตัวคนเจ็บและอีกไม่กี่ก้าวที่โอ่งกับตุ่นจะไปถึงประตูรถกระบะ จู่ๆ วิรุฬก็โผเข้าหากลุ่มคนเจ็บคล้ายกับจะปกป้องพร้อมกับตะโกนลั่น

“ระวัง!”

“เฮ้ย!”

…เปรี้ยง!…

การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่มีปี่มีขลุ่ยของวิรุฬเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมทำให้ตุ่นตกใจสุดขีด มันไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่พักไว้ตรงไกปืนได้ จึงทำปืนลั่นอีกครั้ง และคราวนี้ลูกกระสุนไปฝังอยู่ที่หัวไหล่ของวิรุฬ ชายร่างอ้วนทรุดตัวลงกับพื้นแล้วยังไม่วายฉุดกลุ่มคนเจ็บให้ล้มกลิ้งลงพร้อมกันด้วย หัสยุทธพุ่งเข้าหาพวกเขาแล้วพยายามใช้แขนและร่างกายกดศีรษะของทุกคนให้ก้มลงกับพื้น เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

…เปรี้ยงๆๆ…

“กรี๊ดดดดดด…”

“ไอ้ตุ่น!…”

“อย่ายิงๆๆ ฉันท้องอยู่ มีเด็กอยู่ในท้องของฉัน!”

เสียงปืนสามนัดดังขึ้นมาจากฝ่ายของตำรวจ โอ่งพยายามยึดตัวประกันคนสุดท้ายไว้พร้อมกับหลบกระสุนไปด้วย เสียงของผู้หญิงคนนั้นทำให้หัสยุทธตกใจมาก เขาตะโกนลั่น

“หยุดยิง หยุด!”

ในเสี้ยววินาทีนั้นโอ่งหันมามองร่างของลูกน้องซึ่งนอนจมกองเลือดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเรียกสติของตนกลับมา เขากระชากประตูรถกระบะให้เปิดออกแล้วดันร่างของสุภาพสตรีท่านนั้นให้เข้าไปข้างใน ส่วนตัวเองก็รีบมุดเข้าไปนั่งประจำที่ของคนขับ

หัสยุทธยังคงนอนอยู่บนพื้นแต่เขาก็ตะโกนแข่งกับเสียงของเครื่องยนต์ที่เพิ่งถูกกระชากออกไป

“ตาม ไอ้โอบตาม! ตัวประกันท้องอยู่…ระวังด้วย”

โอบเกียรติไม่ได้ตามรถกระบะไปด้วยตัวเองแต่เป็นทีมของเขาซึ่งประจำอยู่ในรถก่อนแล้ว หัสยุทธรีบลุกขึ้นยืน อาสดาลงจากรถฉุกเฉินมารับตัวคนเจ็บเพื่อให้ทุกคนไปถึงมือแพทย์อย่างเร็วที่สุด ส่วนวิรุฬร้องครวญครางเสียงดังลั่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าหน้าที่ ในขณะที่วุฒิภาศก็รีบวิ่งตรงมายังหัวหน้าของเขา

“แล้วเรื่องระเบิดล่ะครับ”

“อาจแค่ขู่ คนของไอ้โอบเข้าไปแล้วนี่ คุณรีบไปช่วยลำเลียงคนออกมาจากธนาคารก่อน”

“ครับ”

หลังจากกระจายงานแล้วหัสยุทธก็หันไปสนใจร่างของเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นซีเมนต์ เขาเดินเข้าไปหาร่างนั้นช้าๆ เจ้าหน้าที่เริ่มใช้เทปสีเหลืองกั้นบริเวณที่มีศพนอนอยู่เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาบันทึกภาพและเก็บหลักฐานซึ่งเป็นวัตถุปืนและถุงเงินไว้

หัสยุทธนั่งยองข้างร่างของตุ่น ถุงผ้าซึ่งใส่เงินไว้ยังคงผูกติดกับเอว นายตำรวจเห็นเลือดแดงฉานไหลนองพื้นก็พอเข้าใจได้ว่ากระสุนคงเข้าไปที่ร่างตุ่นทั้งสามนัด มันเป็นกฎการตอบโต้ หากคนร้ายเริ่มยิง เจ้าหน้าที่ก็สามารถจะโต้ตอบด้วยอาวุธปืนได้ แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย หากการเจรจาสำเร็จก็อาจจะไม่มีคนตายเกิดขึ้น

อาวุธปืนที่ตกอยู่ไม่ไกลนักเป็นอย่างที่วุฒิภาศสงสัย มันคงถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยฝีมือของคนใช้งาน เขาเห็นอักษรตัวที (T) ถูกสลักอยู่ตรงลำกล้องด้วย

“หัวหน้าครับ หน่วยจู่โจมพาตัวประกันออกมาได้ทั้งหมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทั้งอาคารอยู่ว่ามีวัตถุระเบิดอย่างที่คนร้ายกล่าวอ้างไว้หรือไม่” วุฒิภาศกลับมารายงานความคืบหน้าให้หัสยุทธทราบ

หัสยุทธพยักหน้ารับ “คุณไปประกบฝ่ายสอบสวนเถอะ ผมจะไปหารุสก์”

“ครับ”

อีกเมตรเดียวหัสยุทธก็จะไปถึงประตูรถตู้ของ NIC แต่เขากลับถูกหยุดด้วยแขนของชายคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก

“คนของผมเป็นยังไงบ้าง”

หัสยุทธพยายามคิดว่าชายคนดังกล่าวเป็นใครแต่ก็คิดไม่ออก สีหน้าของเขาคงบอกความคิดได้ ชายคนนั้นจึงเริ่มต้นบทสนทนาใหม่

“ผมเป็นผู้จัดการเขต คุณเป็นคนเจรจากับคนร้ายใช่ไหม”

“อ๋อ ครับ คนของคุณ…คงหมายถึงพนักงานธนาคารใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“ตอนนี้ทุกคนปลอดภัย คนเจ็บอยู่ในมือแพทย์หมดแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังจะถูกสอบสวน ตอนนี้ผมยังไม่หมดหน้าที่ ต้องขอตัวก่อนครับ”

หัสยุทธกำลังจะเบี่ยงตัวเพื่อเดินต่อไป แต่ถวิลกลับไม่ยอมให้เขาเลี่ยงไปได้ นายธนาคารยังคงต้องการสอบถามบางเรื่องอยู่

“แล้วคนร้ายล่ะ”

หัสยุทธต้องชะงักอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้น้ำเสียงเคร่งกว่าเดิม “ท่านครับ ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับไปเป็นตัวประกัน คนร้ายจี้ตัวเธอให้นั่งรถไปกับมัน และที่สำคัญเธอยังท้องอยู่อีกด้วย คราวนี้ท่านจะปล่อยผมไปทำงานได้รึยังครับ”

“เอ่อ ดะ…ได้ งั้นผมรอให้พวกคุณทำงานก่อนก็ได้”

ถวิลยอมเบี่ยงตัวหลบให้หัสยุทธเดินตรงไปที่รถตู้ของเขา สถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงาน เขาต้องพยายามเข้าใจและหาทางอื่นที่จะรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นให้ได้

 

“รุสก์…ถึงไหนแล้ว”

“อ่ะ เจ้านาย ผมประสานงานกับลูกน้องพี่โอบไปแล้วครับ” ปารุสก์รู้ดีว่าหัสยุทธถามถึงอะไร “สัญญาณจากเครื่องที่เจ้านายทิ้งไว้ในรถบอกว่ามันยังไปได้ไม่ไกล นี่ไง” เขาชี้ไปที่หน้าจอซึ่งมีแผนที่อยู่บนนั้น

“แล้วได้ยินเสียงอะไรในรถไหม” หัสยุทธลากเก้าอี้มานั่ง

ปารุสก์ส่ายหน้า “ไม่มีเสียงพูดคุย มีแต่เสียงเครื่องยนต์ ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้มันอาจจะทิ้งรถไว้แล้วหนีไป”

“อืม เป็นไปได้ ภาวนาให้มันไม่ทำอะไรตัวประกันก็แล้วกัน”

“ผมได้ยินว่าเธอท้องเหรอครับ”

“ใช่ ทุกคนก็เพิ่งรู้พร้อมกันนี่แหละ ถ้ารู้ก่อน ผมคงไม่เสี่ยงให้มันเอารถออกไปได้”

“สัญญาณกำลังจะขาดหาย ถ้ามันไปไกลกว่านี้เครื่องของผมจะจับสัญญาณไม่ได้อีก”

“ไม่เป็นไร คนของไอ้โอบตามอยู่นี่”

แล้วคนทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศภายในรถ คล้ายกับต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง นานเกือบสามนาทีในที่สุดปารุสก์ก็แจ้งว่ารถกระบะของตำรวจนั้นหลุดออกจากรัศมีของการจับสัญญาณแล้ว

“ไปได้ไม่ไกลหรอก คนของไอ้โอบไม่ปล่อยให้มันพาผู้หญิงไปได้แน่”

ปารุสก์ถอนใจหนัก “แล้วอีกคนตายไหมครับ”

“ไม่รอด สามนัด…ไม่พลาดสักนัด”

“ผมไม่ชอบเห็นคนตาย ตอนที่เสียงปืนดัง ผมก็ปิดตา”

หัสยุทธตบไหล่ของลูกน้องเบาๆ เขารู้จักปารุสก์ดี แม้จะตัวใหญ่แต่ใจของเขาเล็กนิดเดียว แถมยังอ่อนไหวเหมือนเด็ก

“เช็กกับอาสให้หน่อย คนเจ็บถึงโรงพยาบาลรึยัง”

“ได้ครับ”

“อย่างน้อยเราก็คิดถูกหลายเรื่อง ผู้ร้ายมีสองคน อาวุธเป็นปืนประดิษฐ์ แต่น่าเสียดายที่ต้องมีคนมาตายด้วย”

หัสยุทธเหยียดขาตรงแล้วเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลงแล้วระบายลมหายใจออกช้าๆ เขาต้องการการผ่อนคลายความเครียดและอาหารหนักท้องด้วยสักมื้อ

ตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งขับออกมายังถนนใหญ่โอ่งก็ยังไม่มีเวลาใส่ใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาถูกสั่งมาจากวิรุฬอีกทีว่าไม่ควรพูดอะไรเมื่อเข้ามานั่งในรถของตำรวจ เพราะไม่รู้ข้างในจะมีเครื่องดักฟังหรือวิทยุติดตามอะไรอยู่หรือไม่ เขาควรเงียบและคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ควรจะเงียบด้วย เมื่อมีเสียงวิทยุในรถดังขึ้นโอ่งก็ตัดสินใจกระชากสายไฟเครื่องรับวิทยุภายในรถตำรวจออกเสียเลย

เมื่อคิดถึงวิรุฬ โทสะก็พุ่งขึ้นมาอีก เขาไม่น่าเห็นแก่ตัวแล้วทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำของวิรุฬทำให้ไอ้ตุ่น ลูกน้องที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันมาเกือบสิบปีต้องจบชีวิตลงเหมือนหมาข้างถนน มือที่กำพวงมาลัยรถบีบแน่นจนข้อนิ้วโปนปูด เขาเหลือบตามองกระจกหลังเห็นรถคันหนึ่งติดตามมาอย่างไม่ลดละ เดาไม่ยากเลยว่าคงเป็นรถของตำรวจแน่ ก่อนจะปล้นธนาคารเขาคิดแผนการหนีด้วยรถยนต์มาแล้ว และเขาจะยังใช้แผนเดิมนั่นคือการมุ่งเข้าสู่วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครแล้วค่อยหาทางทิ้งรถไว้ตรงไหนสักแห่งที่พอจะหนีต่อด้วยเท้าได้

สุภาพสตรีที่นั่งข้างเขารัดเข็มขัดนิรภัยโดยที่ไม่ต้องบอก รถยนต์ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ผิดกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย ความมืดช่วยในการอำพรางรถได้ก็จริงแต่ถ้าเขาเจอด่านสกัดของตำรวจ เขาก็จะไม่รอดแน่ โอ่งมองหาลู่ทางที่จะหลบออกนอกเส้นทางพิเศษมาตลอด เขาพยายามขับหลบระหว่างรถบรรรทุกพ่วงซึ่งขับตามกันมาเพื่อสลัดรถติดตามให้คลาดสายตา จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งปลูกอยู่ริมทางพิเศษ เขาขับผ่านบ้านคนกับร้านอะไหล่ยางรถยนต์มาได้เกือบครึ่งกิโลเมตร ชายหนุ่มจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะทิ้งรถ

“ตรงนี้แหละ”

เขาพูดเบาๆ แล้วหักหัวรถลงไปข้างทางซึ่งเป็นต้นหญ้าสูงท่วมศีรษะคน ดินข้างทางค่อนข้างนุ่มแต่รถก็ยังไม่จมลงไปมากนัก เขาปิดไฟหน้ารถแล้วจอดนิ่งอยู่ในป่าหญ้า รอจนกระทั่งเห็นรถที่ขับตามอยู่ขับผ่านไปแล้วโอ่งจึงรีบออกคำสั่ง

“ลงจากรถ”

สุภาพสตรีที่ตกเป็นตัวประกันจำต้องลงจากรถตามคำสั่ง เธอไม่ได้ดูตื่นกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่กลับดูมุ่งมั่นที่จะหนีเอาตัวรอด โอ่งคว้ากระเป๋าเป้ของมันซึ่งมีเงินบรรจุอยู่จนเต็มมาพาดบ่าไว้ นึกเสียดายเงินอีกถุงที่ติดอยู่กับตัวเจ้าตุ่น หากทุกคนรอดมาได้คงมีโอกาสเสวยสุขกับเงินก้อนนั้นไปอีกนาน แต่เมื่อพลาด…ชีวิตของมันก็มีค่าแค่นั้นเอง

“เดินย้อนกลับไป อาจจะหารถรับจ้างจากอู่ซ่อมรถที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ได้” โอ่งเดินอ้อมหน้ารถมารับตัวประกันจากอีกฝั่งของประตูรถ หญ้าที่สูงท่วมศีรษะนั้นน่ารำคาญแต่ก็ช่วยอำพรางตัวในความมืดได้มาก “แต่ต้องเดินลุยในป่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไหวไหม”

“ไหว”

เธอพูดออกมาเป็นคำแรกนับตั้งแต่ที่ตะโกนบอกตำรวจว่าตนตั้งครรภ์ กระเป๋าหนังปลอมที่คล้องไหล่อยู่ดูเกะกะ โอ่งพยายามจะคว้ามันมาถือให้แต่เธอกลับดึงกลับ

“ไม่ต้อง พี่นั่นแหละเอาสัมภาระมาแบ่งไว้กับฉันก็ได้ จะได้ช่วยกัน”

ในเป้มีทั้งเสื้อแจ็กเก็ต ปืน และเงินสด แต่โอ่งก็ไม่คิดให้ภรรยาของมันต้องรับผิดชอบข้าวของเหล่านี้

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ”

คนทั้งคู่ออกเดินเท้า พยายามไม่เข้าใกล้ริมถนนมากนัก แต่ก็ต้องไม่เดินห่างออกไปไกลมากเพราะไม่อย่างนั้นคงจะหลงในดงหญ้าจนหาทางออกไม่เจอ โอ่งจูงมือภรรยาแล้วพยายามมองหาแสงไฟข้างหน้าไปด้วย เสียงยวดยานยังคงดังก้องอยู่บนถนน

“ไอ้ตุ่นไม่น่าตาย พี่สงสารมัน”

“เพราะไอ้วิรุฬแท้ๆ เราไม่น่าไว้ใจเลย น่าจะหาทางกำจัดมันไว้ก่อน นี่มันรอดไปได้ไม่รู้จะใส่ไฟเราเรื่องอะไรบ้าง”

“แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็คงไม่ได้เงินก้อนโตนะอิ๋ว”

สุภาพสตรีที่ถูกเรียกว่าอิ๋วถอนใจหนัก ดูเหมือนอารมณ์ของเธอยังร้อนอยู่ “มันทำเพื่อตัวเอง มันแค่ใช้เราเป็นเครื่องมือ เราไม่น่าเชื่อเลยเรื่องที่มันห้ามไม่ให้เราบอกความจริงกับตุ่น”

โอ่งรู้สึกผิดต่อตุ่นกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเหตุผลที่วิรุฬให้ไว้ในตอนนั้นมันฟังดูมีน้ำหนัก เขาจึงยอมรับปากที่จะไม่บอกลูกน้องว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแผนการของผู้จัดการสาขาที่พวกเขาตั้งใจปล้นทั้งสิ้น

การเดินย่ำไปในพื้นที่ชื้นแฉะและค่อนข้างมืดทำให้คนทั้งคู่ทุลักทุเล ยิ่งกับฝ่ายหญิงด้วยแล้วการใส่รองเท้ามีส้นกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญ อิ๋วเริ่มหายใจแรงจนคนข้างหน้าได้ยิน

“เหนื่อยเหรอ น่าจะอีกไม่ไกลแล้วนะ”

“มะ…ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ”

แล้วจู่ๆ เสียงหวีดหวอของรถตำรวจก็ดังขึ้น คนร้ายปล้นธนาคารพร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดตกใจสุดขีด โอ่งมั่นใจว่าพวกเขากำลังจะใกล้ถึงชุมชนแล้ว แต่เสียงหวอ เสียงเครื่องยนต์ และเสียงแว่วๆ ของผู้คนทำให้เขาเริ่มวิตกว่าอาจจะไปไม่ทันเวลา

“มันคงหารถเจอแล้ว”

“ทำยังไงดีพี่”

“ต้องเข้าดงหญ้าให้ลึกกว่านี้ ไป…”

แทนที่จะเดินเลียบขนานไปกับถนนซึ่งพอมองเห็นจากแสงไฟรำไร โอ่งต้องตัดสินใจที่จะเดินลึกเข้าไปในพงหญ้าเพื่ออำพรางตัวให้มากขึ้น สองหนุ่มสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางการหนีใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าตำรวจจะไม่ตามพวกเขาเจอ

สองคนผัวเมียเร่งฝีเท้าเดินไปในทิศทางที่ตนเองไม่รู้จัก ท่ามกลางความมืดสลัวที่มีเพียงแสงของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเท่านั้นที่นำทางพวกเขา นานเกือบสิบนาทีในที่สุดคนทั้งคู่ก็ไปโผล่ยังหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นที่ไหน แต่ที่น่าตกใจคือเบื้องหลังที่พวกเขาเดินจากมานั้นมีแสงไฟสว่างกว่าเดิม พงหญ้าก็ไม่ได้สงบราบเรียบแต่มันกลับสั่นไหวคล้ายใครแผ้วถางเพื่อจะค้นหาของที่หายไปอยู่เป็นจุดๆ

“ฉันไม่ไหวแล้วพี่”

ใบหน้าที่เคยขาวและถูกแต่งแต้มอย่างดีด้วยเครื่องสำอางราคาถูกนั้นกลับเปื้อนเปรอะและชื้นเหงื่อ มีเพียงริมฝีปากที่ยังคงเป็นสีแดงสดอยู่ เธอยกมือขึ้นกุมชายโครงแล้วทรุดตัวลงนั่งริมหนองน้ำ โอ่งทิ้งเป้ที่สะพายอยู่ลงบนพื้นข้างลำตัว

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องแยกกัน”

“อะไรนะ! พี่จะทิ้งฉันเหรอ” อิ๋วลุกขึ้นแล้วโผดึงคอเสื้อของสามี “พี่ทิ้งฉันไม่ได้นะ พี่สัญญาว่าจะดูแลฉันตลอดไปจำไม่ได้เหรอ!”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ” เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้ “พี่ไม่ได้ทิ้ง แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกัน อาจจะไม่รอดทั้งคู่ เธออยากใช้ชีวิตร่วมกับพี่ไม่ใช่เหรอ”

หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าไม่กี่ปีน้ำตาไหลพราก เธอพยักหน้าหลายครั้ง

“ฟังพี่นะ ตอนนี้ทุกคนไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าตำรวจเจอเธอก็ให้ไปกับเขา บอกทุกคนว่าเธอถูกพาตัวมา ส่วนพี่จะพยายามหนีไปให้ไกลที่สุดแล้วค่อยหาทางกลับมาหา…ตกลงไหม”

แม้น้ำตาจะท่วมดวงตาคู่สวยแต่แววตานั้นก็บอกให้รู้ว่าเธอเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ดี

“แล้วเราจะติดต่อกันได้ยังไง”

โอ่งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบ “บ้าน…ทิ้งข้อความไว้ที่นั่นว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วพี่จะไปหา เอานี่” ชายหนุ่มนั่งลงแล้วเปิดกระเป๋าเป้ “เอาเงินพวกนี้ติดตัวไป เธอต้องใช้มัน โชคดีที่ไอ้วิรุฬมันระวังเรื่องนี้ให้เราแล้ว แบงก์คละประเภทแล้วก็ไม่เรียงหมายเลข เธอเอาไปใช้ได้เลย”

มือน้อยนั้นยังสั่นตอนที่สามียื่นธนบัตรมาให้ปึกใหญ่ จนในที่สุดโอ่งจำเป็นต้องเป็นฝ่ายยัดมันไว้ในกระเป๋าถือของเธอเสียเอง

“พยายามพูดให้น้อยที่สุด ทำตัวให้น่าสงสารเข้าไว้ แล้วจะไม่มีใครสงสัยเธอ พี่จะหนีไปก่อนแล้วกบดานสักพัก รอให้ข่าวซาเราค่อยตามหากัน”

อิ๋วดึงข้อมือของโอ่งไว้อีกครั้ง “เราจะหากันจนเจอใช่ไหม”

โอ่งจ้องลึกลงไปในแววตาเศร้าและว้าเหว่นั้นอย่างมีความหมาย “แน่นอน เราต้องตามหากันจนเจอ เราเคยทำได้มาแล้วนี่ เราจะต้องทำได้อีกครั้ง เชื่อพี่…”

หญิงสาวโผเข้าหาอ้อมอกอุ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วประกบริมฝีปากบางของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เธอกับเขาจุมพิตกันอย่างดูดดื่มเพื่อเป็นการสั่งลา ก่อนที่เสียงแหวกพงหญ้าของผู้คนจะดังใกล้เข้ามาอีก เขาผลักเธอออกเบาๆ แล้วสะพายเป้ขึ้นบนไหล่อีกครั้ง

“อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเดินไปไหน พวกเขาจะได้หาเธอเจอ” มือข้างซ้ายแตะที่หน้าท้องของภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย “ดูแลตัวเองให้ดีๆ พี่ไปล่ะ”

อิ๋วทรุดตัวลงนั่งคร่ำครวญในขณะที่โอ่งผลุบหายเข้าไปในพงหญ้าอีกด้านของหนองน้ำ หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้และเวียนศีรษะ นั่นอาจเป็นเพราะความเครียดที่สะสมมานาน เธอทั้งร้องไห้ทั้งอาเจียน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขยะชิ้นหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้กลางทุ่ง ถ้าเธอตายไปตอนนี้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปีจึงจะมีคนพบศพ ในสมองมีความคิดวิ่งวนไปทั่ว เธอและเขาเดินเข้าสู่ประตูนรกมานานแล้ว ความทรมาน ความเจ็บปวด ความสูญเสียและสิ้นหวังไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เธอแค่ต้องผ่านมันไปทีละขั้น ทีละเรื่องก็เท่านั้นเอง

 

ยิ่งเดินต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหลงทาง ชายหนุ่มหอบจนตัวโยน เขาเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างและรกทึบ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหยุดและวางเป้ลงบนพื้นเพื่อให้หัวไหล่ได้คลายความตึงเครียดลง มือข้างหนึ่งยังคงกำปืนแน่น โอ่งทรุดตัวลงนั่งทับต้นหญ้ากลุ่มหนึ่งจนมันล้มลู่ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวระยับ

“อีกนิดเดียว”

เขาอดรำพึงไม่ได้เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว เขาเริ่มเรื่องเหล่านี้เพราะตกกระไดพลอยโจนแท้ๆ เขาพลาดกับชีวิตมาเยอะแล้วและไม่อยากจะพลาดกับมันอีก เมื่อยังมีอีกสองชีวิตรอเขาอยู่ ถ้างานนี้สำเร็จพวกเขาจะได้เงินทั้งหมดที่ปล้นมา และมันจะเป็นทุนสำหรับชีวิตในอนาคต ทุนของลูกที่จะเกิดมา เขาไม่ต้องการให้ลูกเป็นเหมือนเขากับอิ๋วที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ชีวิตของเด็กคนนี้ต้องดีกว่าพวกเขา

สวรรค์หรือนรกไม่รู้ที่ส่งวิรุฬมาให้ ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง วิรุฬรู้ว่าโอ่งกับอิ๋วต้องการเงิน แต่เขาไม่รู้ว่าวิรุฬต้องการอะไร เขาแค่ทำตามความต้องการของเจ้าทุกข์ที่พวกเขาเคยไปปล้นบ้านเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทำวิรุฬจะแจ้งความกับตำรวจ แล้วคราวนี้เขาก็จะต้องไปนอนในคุกโดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกเลย พวกเขาต่างมีสัญญาง่ายๆ ต่อกันว่าเมื่อปล้นเสร็จเงินเป็นของเขา แล้วต้องหายไปจากชีวิตของวิรุฬชั่วนิรันดร์ ไม่อย่างนั้นวิรุฬจะตามล้างตามเช็ดไม่มีวันเลิกลา แม้โอ่งจะมีปืน แต่เขารู้ดีว่าปืนของเขาสู้อำนาจเงินของวิรุฬไม่ได้แน่ และสิ่งที่เกิดในธนาคารนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าผู้ชายคนนั้นใจโหดกว่าที่เขาเคยคิดมากนัก

เสียงแสกสากดังขึ้นข้างตัว โอ่งขยับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าเสียงของมันมาจากเบื้องต่ำ มันไม่ใช่เสียงของรอยเท้าหรือผู้คน บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เลี้อยคลานบางชนิดที่เขาเผอิญเข้ามารบกวนการพักผ่อนของมันก็เป็นได้

“งู?”

ชายหนุ่มรีบดึงสายของเป้ขึ้นพาดบ่าอีกครั้ง เสียงแสกสากยังดังอยู่ใกล้ข้อเท้าของเขา แสงจากธรรมชาติมีน้อยเกินกว่าที่จะมองเห็น และนั่นมันยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้แก่เขา โอ่งตั้งสมาธิ เกร็งข้อและนิ้วมือเพื่อควบคุมอาวุธปืนของเขาอีกครั้ง แล้วในวินาทีต่อมาขณะได้ยินเสียงน่ากลัวนั้นอีกเขาก็เหนี่ยวไกปืน

…เปรี้ยง!…

เสียงปืนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังพยายามแพ้วถางป่าหญ้านั้นสะดุ้ง และพวกเขาก็เริ่มคาดคะเนใหม่อีกครั้งว่าผู้ร้ายกำลังหนีไปในทิศทางไหน

บทที่ 6

สถานการณ์ภายนอกธนาคารเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ตำรวจเปิดถนนให้มีการเดินรถทุกช่องทางการจราจรแล้ว และเจ้าของอาคารพาณิชย์ห้องอื่นก็กลับเข้าพื้นที่ของตน หลังจากได้รับแจ้งจากตำรวจว่าไม่พบวัตถุระเบิดและอาวุธร้ายแรงอย่างอื่นภายในบริเวณอาคารพาณิชย์ทั้งเจ็ดห้อง

ตัวประกันทุกคนถูกสอบปากคำและปล่อยตัวกลับบ้านในเวลาเกือบสี่ทุ่ม แม้จะหมดหน้าที่หลักของหน่วย NIC ไปนานแล้ว แต่ทุกคนก็ถือว่ายังอยู่ในทีมปฏิบัติการ และพวกเขาจำเป็นต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างเพื่อสรุปคดี วุฒิภาศกับอาสดายังคงวิ่งวุ่นอยู่คนละแห่ง โดยวุฒิภาศประกบทีมสอบสวนของโอบเกียรติและหน่วยพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ ส่วนอาสดานั้นยังคงติดอยู่ในโรงพยาบาลพร้อมคนเจ็บทั้งสองคน และได้สอบปากคำแม่บ้านและ รปภ. ซึ่งติดรถไปที่โรงพยาบาลกับเขาด้วย

ภายในรถตู้ของ NIC จึงมีเพียงแค่หัสยุทธกับปารุสก์ประจำการอยู่ ลูกน้องตัวกลมจัดการหาอาหารรองท้องมาให้เจ้านายเป็นขนมปังไส้ต่างๆ สามห่อจากร้านสะดวกซื้อแถวนั้นกับกาแฟกระป๋อง มันพอประทังความหิวได้ชั่วขณะแต่ไม่ทำให้อิ่มนาน หัสยุทธเริ่มอยู่ไม่นิ่งจนปารุสก์รู้สึกได้

“เจ้านายจะกลับก่อนไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมโทรรายงานก็ได้”

หัสยุทธส่ายหน้า “อยากรู้ว่าทางโน้นเป็นยังไงก่อน”

เขาหมายถึงเรื่องที่คนร้ายพาตัวประกันซึ่งเป็นผู้หญิงหนีไปด้วย ปารุสก์จึงหันกลับไปดูเวลาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง

“ผมจะลองติดต่อไปที่ทีมไล่ล่า”

หัสยุทธพยักหน้าเห็นด้วย คนเป็นลูกน้องจึงโทรศัพท์เข้ารถตำรวจคันที่ติดตามคนร้ายไป เขาเปิดสปีกเกอร์เพื่อให้หัสยุทธได้ยินการโต้ตอบระหว่างกันด้วย สัญญาณถูกเรียกไปไม่นานทางนั้นก็มีคนรับสาย

“ครับผม”

“หวัดดีครับ ผมจากหน่วย NIC นะ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“เจอรถตำรวจที่คนร้ายขับออกมาแล้วครับ”

หัสยุทธขยับเก้าอี้เข้าไปฟังที่ลำโพงใกล้ขึ้น “คนร้ายทิ้งรถเหรอ”

“ครับ ทิ้งไว้ที่ถนนวงแหวนด้านตะวันออก”

“แล้วตัวประกันล่ะ”

“เราเพิ่งพบตัวประกันเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมานี่เอง สภาพแย่มากครับ คล้ายกับโดนบังคับให้เดินเข้ามาในพงหญ้าข้างทางด้วย ตอนนี้เธอดูช็อก ยังให้การอะไรไม่ได้เลย รถฉุกเฉินกำลังมารับตัวไปโรงพยาบาลครับ”

หัสยุทธกับปารุสก์ถอนใจออกมาพร้อมกัน ก่อนที่ปารุสก์จะเป็นฝ่ายถามต่อ

“แล้วจับคนร้ายได้รึยังพี่”

“ยังครับ ต้องขอกำลังเสริม พื้นที่ที่คนร้ายหลบหนีเป็นทุ่งหญ้าสูงประกอบกับมีแอ่งน้ำทำให้ยากลำบากในการค้นหามากครับ แถมความมืดก็ยังเป็นอุปสรรคด้วย ตอนนี้เราขอรถปั่นไฟเข้ามาแล้ว คืนนี้สารวัตรโอบเกียรติสั่งการให้ค้นหาจนกว่าจะพบตัว อาจจะถึงเช้านะผมว่า…”

“ผมเอาใจช่วยนะพี่ แล้วจะรอติดตามข่าว”

“ขอบคุณมากครับ”

ทั้งสองฝั่งวางสายลงเกือบจะพร้อมกัน ปารุสก์ได้โอกาสจึงหันกลับมาพูดกับเจ้านายของเขาอีกครั้ง

“เจ้านายกลับไปเถอะ หาอะไรกินก่อนแล้วก็กลับบ้านซะ เดี๋ยวทางนี้พวกผมจัดการเอง”

เขาใช้เวลาคิดนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า “ก็ได้ แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะเข้าไปที่นิติเวชก่อนถึงจะไปฟังรายงาน”

“โอเคครับ”

นายตำรวจร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเปิดประตูออกจากรถตู้ไป ทันทีที่เขาออกมาสูดอากาศด้านนอกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำเป็นฉากๆ

…ถ้าเขาเข้าชาร์จคนเจ็บเร็วกว่านี้ บางทีโจรคนนั้นอาจจะไม่ตาย…

รอยเลือดบนพื้นตอกย้ำว่าเมื่อครู่ยังมีร่างไร้ลมหายใจของคนคนหนึ่งนอนอยู่ หัสยุทธสะบัดหน้าแรงๆ สองสามครั้งแล้วกำลังจะหมุนตัวไปทางรถกระบะอีกคันของ NIC ซึ่งเขาจอดอยู่ไกลออกไป แต่ระหว่างนั้นวุฒิภาศก็เดินเข้ามาหาเขาเสียก่อน

“หัวหน้าจะกลับแล้วเหรอครับ”

“อืม นายมีอะไรรึเปล่า”

“ตำรวจช่วยตัวประกันสุภาพสตรีไว้ได้แล้วครับ”

“ผมรู้แล้ว เมื่อกี้วิทยุไปถามเจ้าหน้าที่แล้ว”

“อ้าว…” วุฒิภาศเหวอไปเล็กน้อยก่อนที่จะหาอีกข่าวมารายงาน “อีกเรื่อง…อาสคุยกับผู้บริหารของธนาคารที่โรงพยาบาลมาครับ เขาบอกว่าอยากจะพูดคุยกับตำรวจอย่างเป็นทางการเพื่อสรุปเรื่องทั้งหมด เขาจำเป็นจะต้องเสนอข่าวเพื่อให้ลูกค้าหายวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินฝากในธนาคารของพวกเขา รวมถึงชื่อเสียงของธนาคารโดยรวมด้วย”

“อืม เอาไว้ก่อน ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ แต่ถ้าพวกเขาอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจจริงให้เขาไปคุยกับไอ้โอบแทนก็แล้วกัน ผมขี้เกียจเจอคนเยอะ”

“เอ่อ ครับ”

ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งจนมือขวาของเขาเริ่มชิน แล้วทีมของโอบเกียรติก็จะได้หน้าได้ตาไปเกือบทุกครั้งเช่นกัน แม้บางครั้งการทำงานของ NIC อาจจะโดดเด่นกว่าหน่วยจู่โจมมากก็ตาม

“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”

“เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องทำงาน ผมจะเข้านิติเวชก่อน”

วุฒิภาศยิ้มกว้าง “ครับ”

หัสยุทธเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วแต่ทำไม่สนใจ เขารีบเดินไปยังรถกระบะทันที อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าพวกนี้ชอบจับสังเกตเขากับหมอบุษอยู่เรื่อย ทั้งที่มันไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นเพื่อนร่วมงานซึ่งแทบจะกัดคอกันทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากันก็เท่านั้นเอง

เขาต้องขับรถของ NIC กลับไปจอดไว้ที่ใกล้อาคารสำนักงานแล้วขับรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของตัวเองกลับบ้าน หัสยุทธเคยชินกับการกลับเข้าบ้านในเวลาค่อนคืนไปแล้ว และมีอีกคนที่เคยชินไม่ต่างกัน นั่นคือสาวสวยวัยเจ็ดสิบซึ่งไม่ยอมให้มีผมขาวปรากฏบนศีรษะ

เธอนั่งสวดมนต์อยู่หน้าหิ้งพระตอนที่รถของหัสยุทธเข้ามาจอดในโรงจอดหน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดสามชั้น สามสิบตารางวา ซึ่งมีพื้นที่โล่งหน้าบ้านไว้สำหรับทำโรงจอดรถกับสวนขนาดเล็ก พร้อมกับหลังบ้านไว้เป็นลานซักล้าง ชายหนุ่มปิดประตูรั้วซึ่งสูงแค่เอวแล้วล็อกรถ เพื่อนบ้านของเขาส่วนใหญ่ต่างปิดไฟเงียบ คงจะเข้าสู่นิทรารมณ์กันไปแล้ว จะเหลือก็เพียงสาวสวยในบ้านของเขานี่แหละ หัสยุทธรู้ดีว่าป้าของเขาจะยังไม่หลับหากหลานรักยังไม่กลับถึงบ้าน

ชายฉกรรจ์วัยสี่สิบพำนักอยู่กับป้าวัยชราตามลำพังดูจะไม่ค่อยมีทางเป็นไปได้มากนัก แต่ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตเช่นนี้มาสิบกว่าปีจนชิน ทันทีที่หัสยุทธเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นสองละอองดาวก็เดินออกมาจากห้องพระซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของเธอพอดี เธอสูงแค่หัวไหล่ของหัสยุทธแต่ดูแข็งแรง ผิวหนังย่นและตกกระบ้าง ผมยาวรวบไว้เป็นมวยด้านหลัง ดูก็รู้ว่าทำสีผมฝืนธรรมชาติเพราะมองไม่เห็นผมขาวแม้สักเส้น เธอสวมแว่นตากรอบสีทอง จมูกเล็กรั้น ริมฝีปากบางเฉียบ ใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ตรงหัวไหล่มีผ้าสไบสีเดียวกันพาดไว้ด้วย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทักก่อน

“หวัดดีคนสวย วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

หญิงชราที่มีรอยยับบนใบหน้าน้อยกว่าอายุจริงยิ้มขื่น “มือไม่ขึ้น”

“ห๊า ยังไปเล่นไพ่บ้านป้าหวานอยู่เหรอ ระวังตำรวจจับ”

“จับก็ให้หลานไปช่วยสิ”

“หลานเป็นตำรวจนักเจรจานะ ถ้าจะให้ไปช่วย ป้าต้องหาใครสักคนในวงไพ่มาจับป้าเป็นตัวประกันแล้วล่ะ”

ละอองดาวหัวเราะขำกับสำบัดสำนวนของหลานโข่ง “แล้วกินข้าวมารึยัง”

“แวะกินข้าวหมูแดงข้างทางมาแล้วครับ ป้าล่ะ”

“ป้าไม่กินข้าวเย็น หัสก็รู้นี่ คาร์โบไฮเดรตเป็นพิษต่อความงามนะ แต่เมื่อเย็นป้าต้มจับฉ่ายใส่กระดูกหมูหม้อใหญ่ไว้ พรุ่งนี้เช้าน้ำซุปจะอร่อยเข้าเนื้อพอดี”

“ลาภปาก แล้วเดือนเสี้ยวไปไหน”

“เจ้าเสี้ยวเหรอ เฮ้อ…” หญิงชราถอนใจ “ให้ป้าเปิดแอร์ให้ตั้งแต่สี่ทุ่ม ตอนนี้นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงแล้วมั้ง”

“เฮ้ อย่างนี้ต้องตักเตือนกันหน่อย ไม่งั้นก็ต้องให้ช่วยจ่ายค่าไฟ ผมเข้าไปหามันหน่อยนะ”

“อืม ไปสิ”

หัสยุทธหมุนตัวไปฝั่งตรงข้ามกับห้องพระ เดินไปแค่สามก้าวก็ถึงประตู เขาเปิดมันเบาๆ เพราะกลัวจะเป็นการรบกวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้น และเมื่อบานประตูถูกเปิดให้กว้างออกเขาก็เห็นเจ้าขนนิ่มสีครีมนอนอยู่บนพรมเช็ดเท้าปลายเตียงของละอองดาว

“ฮ้า วันนี้เป็นเด็กดี ไม่ขึ้นไปนอนบนเตียง”

คนที่เดินตามหลังเข้ามาหัวเราะเบาๆ “ใครว่าเป็นเด็กดี มันฉลาดจะตาย ตรงที่มันนอนน่ะแอร์ตกพอดี”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

หัสยุทธนั่งลงบนพื้นใกล้กับเจ้าเดือนเสี้ยว มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเขาแล้วกลับทำไม่ใส่ใจ แค่ยกศีรษะขึ้นมานิดแล้วแกล้งหลับต่อ

“เจ้าแมวจอมหยิ่ง”

เขาพูดปนขำ แล้วเริ่มลูบไล้ขนสีครีมของมันอย่างแผ่วเบา ตอนได้เดือนเสี้ยวมาใหม่ๆ มันยังเล็กและมีขนสีขาวตลอดทั้งตัว แต่เมื่อโตขึ้นสีขนของมันตรงใบหน้า หู เท้า และหางกลับเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือดวงตาสีฟ้าสดใสของมัน และชื่อของมันก็ได้มาจากขนสีขาวเล็กๆ ซึ่งขึ้นแซมขนสีเข้มตรงกลางหน้าผาก ละอองดาวบอกว่ามันมีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

“ไหนใครบอกว่าแมวไทยขี้อ้อน ไม่เห็นใช้ได้ผลกับเจ้านี่เลย”

เดือนเสี้ยวขยับตัวนิดๆ คล้ายอึดอัดกับสัมผัสของมือสาก แต่จำต้องยอมทนเพราะเขาเป็นคนที่จ่ายค่าไฟให้มันได้นอนห้องแอร์อย่างสุขสบาย ละอองดาวตามมานั่งลงบนปลายเตียง เธอเฝ้ามองแล้วยิ้มขำกับความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและแมวสาวคู่นี้

“อยู่กับป้ามันก็อ้อนดี มันอาจจะไม่ชอบผู้ชายมั้ง”

“เป็นเลสเบี้ยนเหรอแก” หัสยุทธหัวเราะร่า “ดี จะได้ไม่ต้องมีลูกกับใคร”

ละอองดาวเห็นแววเครียดและเหนื่อยล้าบนใบหน้าและแววตาของหลานชาย หัสยุทธมีชีวิตเพื่องานมากเกินไป และงานที่ทำอยู่ก็กำลังกัดกร่อนความมีชีวิตชีวาของเขาไปทุกที

“วันนี้ดีไหม”

จู่ๆ ละอองดาวก็ถามขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนถามแล้วพยายามหาคำพูดดีๆ มาตอบ แต่กลับถูกดักคอเสียก่อน

“บอกมาเถอะ”

หัสยุทธส่ายหน้าช้าๆ มือยังไม่หยุดเกาคางเจ้าเดือนเสี้ยวซึ่งตอนนี้มันคงเหนื่อยใจที่จะทำสีหน้ารำคาญชายหนุ่มแล้ว จึงเอาแต่นอนนิ่ง “ไม่ดีครับ”

“มีคนตายเรอะ” หัสยุทธพยักหน้า “ถ้าไม่ชอบ ไม่ลองหางานอย่างอื่นทำล่ะ”

“มันก็…ไม่เชิงไม่ชอบ ผมอยากเป็นคนที่เข้าไปพูดคุยกับคนร้ายเป็นคนแรก เพื่อฟังและสังเกตว่าเขาต้องการอะไร ผมตื่นตัวเต็มที่ที่จะได้แก้ปัญหาให้พวกเขา เพราะผมมองว่าเขาคือคนที่กำลังมีปัญหาแล้วกำลังจะทำให้คนอื่นๆ มีปัญหาตามไปด้วย ถ้าเราแก้ที่เขาได้ คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็จะรอดไปด้วย เหตุผลนี้แหละที่ทำให้ผมยังทำงานนี้ต่อไปได้”

“แล้วไม่มีใครที่จะทำหน้าที่นี้ได้แล้วเหรอ นอกจากหัสน่ะ”

“ก็คงมี นี่ผมก็กำลังฝึกลูกน้องของตัวเองอยู่”

“ในโลกนี้มีไม่กี่อาชีพที่ได้เห็นคนตายทุกวัน แต่หัสก็เลือกที่จะทำอาชีพนั้น ถ้าเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวนอย่างเดียวป้าคงไม่ค่อยห่วงเท่าไร แต่เรื่องที่ต้องพูดกับโจรโดยที่มีปืนของมันจ่อเราอยู่นี่สิ…”

ชายหนุ่มหยุดเกาคางเจ้าเดือนเสี้ยวกะทันหันจนมันต้องโงหัวขึ้นมาดูอีกครั้งด้วยความสงสัย “ผมยังโอเคกับมันครับป้า ไม่ต้องห่วงหรอก สัญญาว่าจะไม่อยู่กับงานนี้จนสิ้นอายุราชการ” เขายิ้มน้อยๆ

“ทั้งเสี่ยงทั้งเครียด”

“แต่ก็สุขใจนะที่ได้ช่วยเหลือคน”

“เฮ้อ ชะตากรรมของคนเราไม่เหมือนกัน ป้าก็พยายามเข้าใจแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

“ขอบคุณครับ” เขายกมือขึ้นไปตบหัวเข่าของคนเป็นป้าเบาๆ “ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีงานต่อ”

“จ้ะ แล้วพรุ่งนี้ป้าจะลุกขึ้นมาอุ่นแกงให้”

หัสยุทธลุกขึ้นยืน “ขอบคุณครับ ป้าก็นอนได้แล้วนะ”

“ไม่ต้องห่วงป้าหรอก ป้านอนวันละไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว”

“สมกับเป็นป้าของตำรวจจริงๆ”

หัสยุทธยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เดือนเสี้ยวอารมณ์ค้างที่ปลุกมันขึ้นมาแล้วกลับเกาคางให้แป๊บเดียว เจ้าแมวหน้าหยิ่งลุกขึ้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียง มันทิ้งตัวลงข้างต้นขาละอองดาวแล้วเอาศีรษะวางไว้บนตัก หญิงชรานึกขำ

“ทำไมแกไม่อ้อนเขาอย่างนี้บ้าง มัวแต่ไว้ท่า รักเขาก็ต้องแสดงออกสิ รู้ไหม”

ละอองดาวยอมสละเวลาเกาคางให้เดือนเสี้ยวต่ออีกนิดก่อนที่จะเข้านอนตอนเกือบเที่ยงคืนครึ่งไปแล้ว

ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดมาอีกชั้น บนชั้นสามของบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาทั้งหมด ด้านซ้ายแบ่งเป็นห้องนอนกับห้องน้ำในตัว ส่วนทางด้านขวาเปิดโล่งไว้สำหรับเป็นห้องนั่งเล่นซึ่งมีหน้าต่างกระจก ชั้นวางหนังสือ และโซฟา  หากมีเวลาว่างเขามักจะใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้น แต่ส่วนใหญ่มันไม่ค่อยมี…

หัสยุทธเข้าไปชำระล้างร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก รู้สึกเนื้อตัวเหนียวเหนอะและอ่อนล้ามาก เมื่อได้น้ำเย็นจัดกระทบผิวความสดชื่นก็กลับคืนมาได้ไม่ยาก ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็นุ่งผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำ ผมสั้นเปียกแฉะและยังมีหยดน้ำเกาะพราวทั่วตัว ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กถูกหยิบติดมือออกมาจากห้องน้ำด้วย เขาใช้มันเช็ดผมและใบหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกวางอยู่บนเตียงดังขึ้นเบาๆ หัสยุทธรีบเดินไปรับสายทันที เขาจำเสียงเรียกเข้าได้ว่ามาจากหนึ่งในสมาชิกของ NIC อย่างแน่นอน

“ว่าไง”

“นอนรึยังครับ”

“ยัง เพิ่งถึงบ้าน มีอะไรว่ามาเลย”

เสียงถอนหายใจของวุฒิภาศดังเข้ามาในสายก่อนตอบ “คนร้ายโดนจับแล้วครับ แต่บาดเจ็บสาหัส คนของสารวัตรโอบบอกว่ามีการยิงต่อสู้”

“แล้วเจอของกลางไหม”

หัสยุทธถามถึงถุงเงินซึ่งคนร้ายนำติดตัวไปด้วย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนร้ายต้องแบ่งเป็นสองถุง ถุงหนึ่งถูกผูกติดเอวคนร้ายซึ่งถูกยิงตายหน้าธนาคาร ส่วนอีกถุงก็น่าจะอยู่กับคนร้ายที่พาตัวประกันหลบหนีไปด้วย

“เจอครับ แต่ก็ต้องให้ผู้จัดการสาขาเป็นคนเข้ามาดำเนินการตรวจสอบ เรายังไม่ทราบจำนวนเงินทั้งหมดที่ถูกขโมยไป คงต้องรอให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บแล้วออกจากโรงพยาบาลก่อน”

“อืม… แล้วนี่พวกนายกลับบ้านกันรึยัง”

“กำลังจะแยกย้ายกันกลับครับ”

“ดี ขอบใจมาก นายกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ครับหัวหน้า”

หัสยุทธวางสายลง หากคนร้ายคนนี้เสียชีวิตลงอีกคนจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับตำรวจสืบสวน เพราะยังมีอีกเรื่องที่เขาสงสัยตั้งแต่ทีแรกแต่ยังไม่มีเวลาวิเคราะห์ นั่นก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด เขาภาวนาให้คนร้ายรอดเพื่อจะได้ให้ปากคำกับตำรวจในคดีนี้ได้

 

บรรยากาศภายในห้องพักฟื้นของคนไข้ในนั้นเย็นเฉียบและเงียบสงบ หยดน้ำเกลือทิ้งตัวดิ่งลงในสายยางซึ่งถูกส่งเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ป่วยอีกทอด อิ๋วไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ตั้งแต่ถูกตำรวจพบตัวในทุ่งหญ้า เธอต้องพยายามแสดงว่าตื่นกลัวกับเหตุการณ์อย่างสุดขีด ทั้งที่น้ำตาซึ่งไหลเป็นทางนั้นมีไว้เพื่ออาลัยสามีของเธอที่ต้องหลบหนีไปเพียงลำพัง ร่างกายของเธอถูกดูแลและปรนนิบัติอย่างดีจากตำรวจและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ลูกของเธอกับเขายังปลอดภัยดี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกังวลหมดไป เพราะเธอต้องพยายามหาเหตุผลมาตอบตำรวจให้ได้ว่าเธอคือใคร อาศัยอยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร และในเวลาที่เกิดเหตุปล้นธนาคารขึ้นนั้นเธอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร

หญิงสาวรู้ดีว่าทุกอย่างถูกอุปโลกน์ขึ้นตั้งแต่เหตุผลของการเข้าไปในธนาคารแล้ว แต่ถ้ายังใช้เหตุผลเดิมที่ว่าเอาบัญชีธนาคารของแม่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมาเบิกเงินนั้นตำรวจต้องรู้แน่ว่าเธอโกหก คราวนี้เธอเองก็จะถูกขุดคุ้ยแล้วยังเรื่องของวิรุฬอีก เธอไม่รู้ว่าเขายังจะช่วยเหลือเธอกับสามีอยู่หรือไม่ เพราะตั้งแต่ตุ่นถูกยิงตาย เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าวิรุฬเลือดเย็นมากกว่าที่เธอเคยรู้จัก

เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนอย่างแผ่วเบา คนที่นอนอยู่สะดุ้งน้อยๆ ก่อนที่สายตาจะปรับให้เห็นภาพชัดเจนว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นสวมชุดสีขาว เธอจึงลดความกังวลลงไปได้มาก

“อ้าว นอนไม่หลับเหรอคะ”

“เอ่อ ค่ะ”

“ต้องพยายามหลับด้วยตัวเองนะคะ เพราะคุณตั้งครรภ์คุณหมอเลยไม่ได้สั่งยาคลายกังวลให้ ไม่อย่างนั้นคงได้หลับด้วยฤทธิ์ยาไปแล้ว”

เธอปล่อยให้นางพยาบาลมาเช็กสายน้ำเกลืออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากถาม “พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ ฉันอยากกลับเร็วๆ”

“อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ ต้องอยู่ในดุลยพินิจของคุณหมอ อีกอย่างเคสของคุณพิเศษหน่อยคือต้องอยู่ในความดูแลของตำรวจด้วย เพราะยังไม่ได้สอบปากคำเหมือนคนไข้อีกสองรายที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เอาเป็นว่านอนพักให้สบายก่อนนะคะแล้วค่อยถามคุณหมออีกครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้ประมาณสิบโมงเช้าคุณหมอก็จะเข้ามาตรวจคุณแล้วล่ะค่ะ”

เสี่ยงเกินไปที่เธอจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนถึงตอนนั้น อิ๋วเฝ้ามองพยาบาลเดินออกจากห้องพักของเธอไปอย่างเงียบๆ แล้วคิดย้อนถึงคำพูดที่ว่า ‘ยังไม่ได้สอบปากคำเหมือนคนไข้อีกสองราย’

‘พนักงานธนาคารที่ถูกยิงหนึ่ง…วิรุฬอีกหนึ่ง แล้วมันจะบอกตำรวจว่ายังไง’

อิ๋วพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ในหลายๆ ทาง มีเวลาเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง เธอต้องคิดแล้วตัดสินใจให้ได้ก่อนที่เวลาจะหมดลง

อาการบาดเจ็บที่หัวไหล่สร้างความเจ็บปวดให้กับวิรุฬมากกว่าที่เขาคิด แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อผู้บังคับบัญชาเข้ามาดูแลเขาทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการเยียวยาจิตใจ เขากลายเป็นฮีโร่ของพนักงานในธนาคารอย่างที่ตั้งใจไว้ ทุกคนเห็นเขาเป็นเจ้านายที่เสียสละและกล้าหาญ พร้อมที่จะปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์คับขัน ถวิลเข้ามาพบเขาในห้องพักฟื้นเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาพร้อมกับคำปลอบใจและคำสัญญาว่าเขาจะได้รับเกียรติยศจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมด

ชายวัยกลางคนเพ่งมองภรรยากับลูกสาวซึ่งนอนขดตัวบนโซฟาเฝ้าไข้ด้วยความรู้สึกเป็นกังวล เขาหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ราบรื่น และไม่มีใครก้าวเข้ามาเป็นอุปสรรคสำคัญในเรื่องนี้ ไอ้ตุ่นตายไปแล้ว เหลือก็แค่โอ่งกับเมียของมัน เขาหวังว่าจะจัดการเรื่องที่เหลือได้

วิรุฬต้องนอนคะแคงข้าง เพราะแผลที่หัวไหล่ทำให้เขาไม่สามารถนอนหงายได้ นึกก่นด่าตุ่นในใจที่มันตกใจเพราะความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ชายวัยกลางคนต้องค่อยๆ หายใจเพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ขยับมาก เขาปิดตาลงเพื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งถูกสอบปากคำไป เขาต้องไม่ทำตัวให้น่าสงสัย สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีแล้วและมันเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองอย่างมาก

‘คนร้ายเข้ามากันกี่คนครับ’

‘สองครับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก พอเสียงปืนดังขึ้นผู้คนข้างในก็โกลาหลไปหมด’

‘แล้วคนร้ายใช้วิธีไหนในการควบคุมฝูงชน’

‘ก็มันมีปืนไงครับ ใครๆ ก็ต้องกลัวปืนกันทั้งนั้น’

‘พนักงานมีการกดสัญญาณเตือนภัยไหมครับ”

‘กดไม่ทันครับ เธอโดนยิงซะก่อน ต่อจากนั้นโจรมันก็ควบคุมพวกเราไว้ได้ทั้งหมด ผมกลัวว่ามันจะฆ่าคน ทั้งพนักงาน ทั้งลูกค้าต่างหวาดกลัวกันมาก เราหวังว่าเมื่อมันได้เงินไปแล้ว มันจะรีบออกจากธนาคารไป’

‘แล้วบาดแผลตรงข้างกกหูของคุณได้มายังไงครับ’

‘มันใช้ปืนฟาดเข้ามาที่หน้าของผม ตอนที่ผมพยายามจะต่อสู้เพื่อปกป้องคนในนั้นครับ’

‘ก่อนออกจากธนาคารคนร้ายใช้วิธีไหนในการเลือกตัวประกันครับ’

‘เอ่อ ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันอยากให้ผมเป็นโล่กำบังให้มันเท่านั้นเอง โอย…’

‘ท่าทางคุณคงจะเจ็บแผล งั้นผมจะหยุดสอบปากคำไว้แค่นี้ก่อน รอให้คุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วทางตำรวจจะขอรบกวนสอบปากคำอีกครั้งนะครับ’

‘ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ขอบคุณมากครับ’

…ดีแล้ว เขาทำได้ดีแล้ว…

 

แปดนาฬิกาสามสิบห้านาทีของวันใหม่เป็นเวลาที่บุษบงกชควรจะต้องอยู่ในห้องทำงานของเธอแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับติดอยู่ในลิฟต์องโรงพยาบาลพร้อมกับพยาบาลอีกสองคนที่เอาแต่พูดถึงละครไทยซึ่งเพิ่งฉายจบไปเมื่อคืน คุณหมอวัยสามสิบห้าที่กำลังสนุกกับการทำงานในแผนกนิติเวชไม่เคยรู้สึกเหนื่อยกับงานหากมันเกี่ยวกับการได้ช่วยเหลือผู้คน แต่สิ่งที่ทำให้เหนื่อยกลับเป็นการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะพวกตำรวจ เธอย่นจมูกเล็กๆ ของตัวเองอย่างขัดใจเมื่อนึกถึงข้อความที่ถูกส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้เธอต้องเจอกับอะไรบ้าง

เมื่อถึงชั้นเจ็ดบุษบงกชก็รีบพุ่งตัวออกไป รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเป็นจังหวะเร่งรีบ ทำให้ชายกระโปรงอัดพลีตสีพาสเทลสะบัดน้อยๆ คุณหมอซึ่งมีผมยาวสีบรูเน็ตกำลังเดินไปด้วย ค้นหาของบางอย่างในกระเป๋าถือไปด้วย เธอต้องการที่ผูกผมเพื่อใช้รวบผมดัดหยิกเป็นลอนนั้นให้พ้นต้นคอก่อนที่จะถึงห้องทำงาน

“อยู่ไหนๆ อ้อ เจอแล้ว”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นเมื่อพบของที่ต้องการในกระเป๋าสุดลี้ลับของตัวเอง ที่มีทั้งกระเป๋าเครื่องสำอาง โทรศัพท์มือถือ Kindle สำหรับอ่านหนังสือ ไอแพดเครื่องเล็ก ไอพอดสำหรับฟังเพลง หูฟัง แถมยังกระเป๋าสตางค์ใบใหญ่ เธอจะรู้สึกขอบคุณกว่านี้หากกระเป๋าแบรนด์เนมที่ถืออยู่จะออกรุ่นเป้ทหารมาไว้สำหรับให้ผู้หญิงใส่ของใช้ที่จำเป็นพวกนี้ได้เพียงพอ

ในที่สุดเธอก็รวบผมเสร็จก่อนจะถึงประตูห้องทำงานหนึ่งก้าว บุษบงกชรีบผลักประตูเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำทักทายเพื่อนร่วมงานของเธอ ซึ่งก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“อรุณสวัสดิ์จ้ะพจ”

จังหวะโผล่พรวดพราดกับจังหวะเอ่ยคำทักทาย เกือบซ้อนทับกับจังหวะที่ได้สบตากับใครบางคน และเป็นใครบางคนที่เธอไม่คิดว่าจะต้องได้เจอในเวลาที่ตัวเองพลาดอย่างนี้ เขาอยู่ในชุดไม่เป็นทางการ คงจะกำลังปฏิบัติงานในหน้าที่พนักงานสืบสวนอยู่ เธอเกลียดเวลาเขาใส่เสื้อยืดคอวีสีดำแนบลำตัว เพราะเธอจะบังคับสายตาของตัวเองกลับมาได้อย่างยากลำบากมาก

“มาสาย”

หญิงสาวตั้งใจถอนหายใจหนักให้เห็น “เจ็ดนาที”

“สาย”

“กวนประสาท”

บุษบงกชบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วรีบเดินไปที่โต๊ะทำงาน เธอวางกระเป๋าบนโต๊ะซึ่งห่างจากตำแหน่งที่แขกนั่งอยู่ประมาณสองเมตร แล้วแกล้งหยิบโน่นจับนี่โดยไม่ได้สนใจเขา

พจนีย์ ผู้ช่วยของบุษบงกชเดินเข้ามาหาพร้อมกับโกโก้ร้อนแก้วใหญ่ เธอวางมันไว้บนโต๊ะทำงานของหมอ ส่วนอีกมือเป็นกาแฟร้อนที่ถูกส่งต่อไปให้คนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้า

“สารวัตรมารอตั้งแต่แปดโมงเช้าค่ะ” ผู้ช่วยรายงานพร้อมกับมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที

“พี่ทำงานแปดโมงครึ่ง”

“ซึ่งสายไปเกือบสิบนาทีแล้วตอนนี้”

คนที่เพิ่งจิบกาแฟไปอึกใหญ่บ่น พจนีย์เริ่มชินกับบรรยากาศระหว่างสองคนนี้แล้ว เธอเดินกลับไปที่ด้านหลังห้องทำงานซึ่งถูกแบ่งเป็นพื้นที่ครัวเล็กๆ ของแผนกนิติเวช

บุษบงกชยิ่งแกล้งทำทุกอย่างให้ช้าลง เธอนั่งบนเก้าอี้ส่วนตัวแล้วยกโกโก้ร้อนขึ้นละเลียดอย่างใจเย็น หัสยุทธอมยิ้มกับการท้าทายนั้น เขาลอบมองใบหน้าหวานแต่นัยน์ตาดุกับขนตาที่ถูกดัดและปัดให้โค้งอย่างนึกทึ่ง อดคิดไม่ได้ว่ากว่าจะออกจากบ้านคงเสียเวลากับการแต่งแต้มไปมากโข ผู้หญิงนี่ก็แปลก ทำงานกับศพแท้ๆ แต่ชอบแต่งตัวสวย ใครจะมาเห็นหรือชื่นชมก็คงเป็นเรื่องยาก

“คุณได้รับข้อความแล้วใช่ไหม”

บุษบงกชเหลือบตาขึ้นมามองเขา “เรื่องไหนล่ะ ฉันได้รับข้อความเยอะแยะไปหมด มีส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากเคาน์เตอร์เครื่องสำอางด้วยนะ แต่มันหมดเขตสิ้นเดือนนี้ นี่ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปช็อปปิ้ง”

หัสยุทธเริ่มหมั่นไส้กับความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของแพทย์หญิงตรงหน้า นี่ถ้าเป็นผู้ชายเขาคงเข้าไปตบศีรษะแล้วจับมาเขย่าตัวเสียให้เข็ด นายตำรวจสูดหายใจลึกก่อนร่ายยาว

“คนร้ายสองคนปล้นธนาคารเมื่อเย็นวาน มันจับพนักงานกับลูกค้าเป็นตัวประกันอยู่ข้างในหลายชั่วโมง มีคนถูกยิงหนึ่งคน เสียเลือดมากจนต้องมีการเจรจาให้แลกคนเจ็บกับรถยนต์…”

พจนีย์ถือจานใส่แครกเกอร์มาวางตรงหน้าบุษบงกชกับหัสยุทธ  แล้วยืนฟังเหตุการณ์ด้วย

“ระหว่างที่มีการลำเลียงคนเจ็บออกมา คนร้ายใช้ตัวประกันคนหนึ่งเป็นโล่กำบังเพื่อที่จะมายังรถ แล้วก็เกิดการชุลมุนขึ้นในที่สุด คนร้ายถูกวิสามัญหนึ่งคน ส่วนอีกคนก็หนีไปพร้อมตัวประกันซึ่งเป็นผู้หญิง”

บุษบงกชแทะมุมแผ่นแครกเกอร์ทีละมุมจนทุกมุมกลายเป็นรอยฟัน หัสยุทธเล่าต่อ

“แล้วคนร้ายที่เสียชีวิตก็ถูกส่งมาให้คุณชันสูตร…จบ”

“ความจริงคุณไม่ต้องเสียเวลามานั่งเล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ ฉันอ่านหนังสือออก ส่วนใหญ่ตำรวจมักจะเขียนรายงานสั้นๆ แนบมาด้วยอยู่แล้ว”

“ก็อยากมาเล่าเอง”

จู่ๆ ก็เกิดสูญญากาศขึ้นในห้องชั่ววินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อพจนีย์หันกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ห้องทำงานขนาดเล็กนี้จุโต๊ะทำงานสองตัว ตู้เอกสาร ตู้หนังสือ เก้าอี้รับแขก ตู้เย็นเล็กๆ กับพื้นที่สำหรับวางของว่างไว้เท่านั้น ส่วนห้องที่ใช้ทำงานจริงๆ ของหมอบุษบงกชกับผู้ช่วยของเธอนั้นอยู่ในห้องกระจกถัดออกไป เสียงแกล้งถอนใจของคุณหมอทำลายความเงียบลง

“เอาล่ะ งั้นก็รับทราบ ฉันขอจัดการอาหารเช้าของตัวเองก่อนแล้วจะเริ่มทำงาน”

หัสยุทธไม่ได้แตะแครกเกอร์สักชิ้น เพราะต้มจับฉ่ายกับข้าวสวยเข้าไปรอกาแฟร้อนอยู่ในกระเพาะอาหารของเขาตั้งแต่เช้าแล้ว นายตำรวจจึงดื่มกาแฟฝีมือการชงของพจนีย์จนหมดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

“กาแฟห้องนี้อร่อยที่สุด นี่เป็นเหตุผลที่ผมต้องมาบ่อยๆ ขอบใจมากนะพจ”

“ค่า ยินดีเสมอเลยค่ะสารวัตร แล้วมาอีกนะคะ”

สาวร่างเล็กจิ๋วที่ทำงานคล่องแคล่วเหลือหลายยิ้มกว้างตอบเขา หัสยุทธพยักหน้าให้ก่อนที่จะเหลือบสายตาไปมองคนที่กำลังจะยกแก้วโกโก้ขึ้นดื่ม

“แล้วจะรอผลการชันสูตร”

บุษบงกชยกแก้วขึ้นสูงจากระดับสายตาของเธอคล้ายเป็นการชวนเฉลิมฉลอง หัสยุทธทิ้งสายตาเฉยชาให้ก่อนเดินออกจากห้อง พจนีย์รอให้บานประตูปิดลงแล้วจึงลุกจากเก้าอี้ของตน เธอเดินมาที่โต๊ะทำงานของบุษบงกช

“ความจริงโทรมาก็ได้เนอะ”

คุณหมอเหลือบตาขึ้นมองผู้ช่วยร่างเล็ก “ก็เขาบอกเองนี่ว่าจะมากินกาแฟฝีมือเธอ”

“ข้ออ้างมากกว่า อาจจะอยากเห็นหน้าใครบางคน”

บุษบงกชยักไหล่ “พี่ไม่ชอบทายใจใคร เห็นหน้าก็เซ็งแล้ว ผู้ชายอะไรปากเสีย คุยด้วยทีไรอารมณ์เสียทุกที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใช้ปากเป็นอาวุธ เขารอดมาจากการเจรจากับคนร้ายได้ยังไง ถ้าพี่เป็นคนร้ายแล้วเจอตานี่นะ พี่จะยิงเขาก่อนตัวประกัน”

พจนีย์หัวเราะลั่นแล้วเดินไปเก็บแก้วกาแฟกับจานแครกเกอร์กลับไปไว้ในครัวเล็กๆ ของเธอ หลังจากนี้ทั้งหมอบุษและตัวเธอเองอาจจะไม่มีเวลากินอะไรอีกเลยจนกว่างานจะเสร็จ

 

(ติดตามต่อวันที่ 26 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

Jamsai Editor: