บทที่ 6
ปราบพยศปีศาจจิ้งจอก
ฉายก็แค่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงห้องนอน สูบเสร็จแล้วก็แค่จะออกไปหยิบน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย เพราะหลังจากหอบหิ้วหมอนกับผ้าห่มมาให้ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ไม่ได้ย่างกรายออกจากห้องนอนอีกเลย เขาจ่ายเงินหลักแสนต่อคืนแล้วเหตุใดจะเดินไปไหนมาไหนในห้องพักของตนไม่ได้เล่า ฉายย้ำกับตัวเอง ก่อนสาวเท้าออกจากห้องนอน
สายตาคมกริบมุ่งหน้าไปยังตู้เย็นซึ่งอยู่ในครัวใกล้โซนรับแขก แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวกรอบตาเรียวยาวกลับเบิกโตด้วยความตื่นตะลึง
บ้าฉิบ!
ฉายรู้ดีว่าสุภาพบุรุษควรเบี่ยงสายตาไปทางอื่น แต่บังเอิญเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ เขาเป็นคาสโนว่าจอมเจ้าชู้จึงไม่อาจถอนสายตาไปจากร่างเย้ายวนซึ่งกลิ้งลงมานอนบนพื้นได้
เลือดในกายถูกเรือนร่างอ้อนแอ้นซึ่งเหลือเพียงชุดชั้นในตัวจิ๋วสีขาวเคี่ยวจนร้อนระอุ ริมฝีปากหยักสวยขบเข้าหากันแน่นละม้ายจะห้ามปรามสัญชาตญาณดิบให้แพ้พ่าย แต่ช่วงขายาวกลับก้าวฉับๆ ไปหาคนที่นอนบิดกายอยู่บนพื้นก่อนจะยื่นนิ้วไปคีบผ้าห่มลงมาวางโปะร่างอ้อนแอ้นบนพื้น เตรียมพลิกกายหนีเข้าห้อง
แต่จู่ๆ ข้อเท้ากลับถูกยื้อยุดตามมาด้วยเสียงอ้อนแผ่วหวาน
“คุณคะ…ร้อน!”
ฉายเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ อะไรที่ไม่ควรจะ ‘ลุก’ ตอนนี้ก็เตรียมจะแผลงฤทธิ์อยู่รอมร่อ
“ปล่อย!”
ฉายสะบัดข้อเท้าออกจากอุ้งมือร้อนผ่าวพลางขยับถอยแต่ร่างอ้อนแอ้นกลับพลิกตัวขึ้นมาก่อนเดินตุปัดตุเป๋เข้าหาร่างสูงซึ่งสวมเพียงกางเกงผ้ายืดสีเทาเพียงตัวเดียว
“ร้อน…ปิดฮีตเตอร์หน่อย”
เธอท้วงเสียงอ้อแอ้ นัยน์ตากลมโตแดงก่ำฉ่ำเยิ้มราวกับมีหยาดน้ำพราวอยู่ในดวงตาสวยซึ้ง
กินไปกี่แก้วกันเนี่ยถึงลูกผีลูกคนแบบนี้
“คุณคะ”
“รู้แล้ว เดี๋ยวปิดให้ อย่าเข้ามา!”
ฉายขยับถอยอีกหลายก้าวพลางลนลานปิดฮีตเตอร์มือสั่น ผ่านผู้หญิงมาตั้งเท่าไรแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เห็นผู้หญิงแก้ผ้าแล้วเหงื่อท่วมใจเต้นแรง รับมือยากแบบนี้มาก่อน
“ปิดแล้ว!”
เขารีบโพล่งออกมาราวกับจะใช้มันเป็นยันต์กันโจรหื่น แต่หันกลับมายังไม่ทันเต็มตัวโจรสาวก็ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ตรงหน้าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มอกเปลือยเปล่าของเขาหนึ่งทีก่อนหัวเราะคิกคัก
“เย็นจัง!”
พูดไม่ทันขาดคำแม่คุณก็โถมเข้ากอดพลางถูไถใบหน้ากับอกกว้างเย็นเฉียบตรงหน้า
เนื้อตัวนุ่มนิ่มร้อนระอุราวกับถูกสุมไฟ ไม่แปลกเลยที่ไอเย็นเฉียบบนตัวเขาจากการออกไปตากลมหนาวสูบบุหรี่จะดึงดูดเธอถึงเพียงนี้
รู้อย่างนี้ไม่เปิดฮีตเตอร์ให้หรอก อุตส่าห์หวังดีเห็นว่ายิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเลยหอบผ้าห่มมาให้ แถมเปิดฮีตเตอร์ให้ด้วย ที่ไหนได้…เกือบถูกเธอเขมือบลงท้องเสียแล้ว
หากวิทยามาเห็นว่าคาสโนว่าหนุ่มผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิรักถึงกับหน้าตื่น มือไม้ลนลานยามถูกเรือนร่างเย้ายวนจู่โจมมันคงขำกลิ้ง
“ร้อนนักใช่ไหม”
“อืม!”
ฉายรู้ดีว่าความยับยั้งชั่งใจของตนใกล้จะหมดลงจึงกระชากวงแขนเรียวบางออกจากบั้นเอว ลากแม่ตัวน้อยหัวโยกหัวคลอนตามเข้าห้องนอนสู่ห้องน้ำด้านใน มือหนารวบเอวเล็กแล้วยกเธอเข้าไปไว้ในคอกอาบน้ำกระจกทรงสี่เหลี่ยมพลางเอื้อมมือไปตั้งโปรแกรมอัตโนมัติที่ควบคุมฝักบัวไว้จนแล้วเสร็จ
“อยู่นิ่งๆ เข้าใจไหม”
หญิงสาวปรือตามองเขาอย่างงุนงงแต่ก็ยอมพยักหน้าตาม แล้วทันทีที่มือหนาลากกระจกใสปิดเข้าหากันกักขังเธอไว้ภายใน สายน้ำเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลกก็กระหน่ำเทลงมาจากฝักบัวบนเพดาน
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังลั่นห้อง มือบางยกขึ้นทุบกระจกไม่ยั้ง เรือนร่างเย้ายวนดิ้นเร่าๆ ราวผีโดนข้าวสารเสก
ไม่ใช่…เธอไม่ใช่ผีธรรมดา แต่เป็นปีศาจจิ้งจอกเจ้าเสน่ห์ เซ็กซี่เย้ายวนยิ่งกว่าผีห่าซาตานตัวใด ทรวดทรงอวบอัดภายใต้บราเซียร์ตัวน้อยล้นทะลักออกมาละม้ายจะหลอกล่อให้นักพรตหนุ่มตบะแตกแล้วเข้าครอบครองกลืนกินปีศาจสาวเข้าไปทั้งตัว
ปีศาจสาวร้องสะอึกสะอื้น ควานหาก๊อกน้ำเพื่อสกัดกั้นน้ำเย็นเฉียบ ทว่าเห็นแต่ปุ่มอะไรไม่รู้เต็มไปหมด กดมั่วๆ ไปก็ไม่เห็นว่าน้ำเย็นเฉียบจะหยุดสักนิดจึงหันกลับมาร้องเรียกชายหนุ่มที่ยืนประจันหน้าอยู่นอกกรงขัง
“คุณคะ!…คุณ!…ช่วยด้วย!!”
ฉายขบฟันกรอดพลางกระชากประตูออกด้วยแววตาดำลึกล้ำ ปีศาจจิ้งจอกจึงโถมเข้าหานักพรตหนุ่มพลางทุบบ่าเขาไม่ยั้ง นักพรตผู้ถูกทำลายตบะแก่กล้าพึมพำอย่างหัวเสีย
“หาเรื่อง!”
ประกายตาร้อนแรงลึกล้ำวาบขึ้นในดวงตาคมกริบ ก่อนนักพรตหนุ่มจะช้อนร่างปีศาจจิ้งจอกเดินกลับแท่นบูชายัญ
ตายรึยัง!
เหตุใดถึงรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างแหลกละเอียดเป็นผุยผง เธอไปใช้แรงงานที่ไหนมาถึงหมดเรี่ยวหมดแรงเพียงนี้
เรียวคิ้วสวยย่นเข้าหากันยามสังเกตว่าบนเพดานมีโคมไฟหรูหราประดับแทนที่จะเป็นเพดานสีขาวสะอาดตา สติที่เริ่มประกอบเป็นรูปเป็นร่างเตือนว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องพักของตนเอง ทำเอาหญิงสาวผวาลุกขึ้นนั่ง ดวงตากลมโตเบิกโพลงเมื่อพบว่าบนเรือนกายมีเพียงผ้านวมผืนหนาสีขาวผืนเดียวเท่านั้น
เธอหรี่ตามองฝ่าแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาพลางกวาดตาไปรอบห้องที่ระเนระนาด แต่กลับไม่พบคนต้นเหตุที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้จึงรีบสะบัดผ้านวมให้พ้นตัวและก้าวลงจากเตียง แต่แล้วเธอกลับล้มคว่ำ แข้งขาสั่นระริกโดยไม่รู้สาเหตุ ต้องรอจนกระทั่งปรับตัวได้เธอจึงลุกขึ้นไปยืนหน้ากระจกบานยาว ไล่สำรวจสภาพของตัวเอง เส้นผมยาวดกดำที่ชี้ฟูฟ่องไม่ทำให้เธอตกใจเท่ากับรอยจ้ำสีกุหลาบที่กระจายไปทั่วเรือนร่างเปลือยเปล่า
กังสดาลหนาวยะเยือกจนต้องยกมือขึ้นกอดอกตัวเอง เธอไม่เคยปล่อยให้ราคะตัณหาเอาชนะเหตุผลมาก่อน หากไม่ใช่เพราะ ‘เหล้า’ หลายแก้วที่หนุ่มๆ พวกนั้นคะยั้นคะยอ เธอคงไม่ตื่นมาในสภาพนี้
หญิงสาวหันรีหันขวางพลางคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำที่พาดอยู่ตรงปลายเตียงขึ้นมาสวมก่อนสาวเท้าไปที่ห้องน้ำอย่างเชื่องช้าเพราะปวดแปลบไปหมดทั้งตัว เธอผละจากห้องน้ำที่ว่างเปล่าไปยังประตูบานเลื่อน แล้วทันทีที่เลื่อนประตูห้องนอนออกเธอก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก
ผ้าปูโต๊ะกองยับยู่ยี่ เบาะรองนั่งจากโซฟาและหมอนหนุนหลังสามสี่ใบวางระเกะระกะอยู่บนพื้น เก้าอี้ไร้เท้าแขนตั้งโดดเดี่ยวอยู่ริมกระจกหน้าต่างยาว
กังสดาลยกมือขึ้นกอดตัวเองด้วยความสั่นสะท้านยามหวนนึกถึงสัมผัสแข็งแกร่งรุกประชิดเข้ามาในเรือนกาย ฉีกทึ้งความบริสุทธิ์ที่เพียรเก็บงำมาเนิ่นนาน แทนที่จะปัดป้องสงวนไว้ดังเช่นเคยทำกับอัสนี เธอกลับประชดชีวิตด้วยการยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนแปลกหน้า
‘คุณคะ’
เสียงครางแผ่วหวานพร่ำร้องให้เขาเติมเต็มให้เธอเป็นผู้หญิงของเขาโดยสมบูรณ์
‘ชื่อผม!’
เขาสั่งเสียงแหบพร่า เธอเรียกขานชื่อนั้นอย่างว่าง่าย เพียงแต่เวลานี้เธอจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร
สมองของกังสดาลว่างเปล่าขาวโพลน ดวงหน้านั้นพร่าเลือนในความทรงจำ แต่กลับจดจำเสียงครางแผ่วหวานสลับกับเสียงหอบหายใจและสัมผัสร้อนแรงยามถูกคลื่นพิศวาสถาโถมเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ดี
ไม่ว่าเขาจะพลิกแพลงจับเธอเหวี่ยงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าหรือกระชากให้ดำดิ่งลงสู่ขุมนรกเธอก็ตามติดเขาไปอย่างไม่เกี่ยงงอน นี่กระมังสาเหตุที่ร่างกายของเธอปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างจำนน เธอหลงใหลเรือนกายแข็งแกร่งและห้วงพิศวาสยามเราตระกองกอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อคืนเธอใช้เหล้าเป็นข้ออ้างประชดชีวิตและพังทลายกฎเกณฑ์ทั้งหลายทิ้งไป ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้มาเนิ่นนาน แต่เช้ารุ่งขึ้นเธอกลับไม่อาจปล่อยให้อารมณ์เข้ามากอบกุมชัยชนะเหนือเหตุผลได้อีกจึงถลากลับเข้าห้องนอน กังสดาลพลิกถังขยะใบเล็กตรงโต๊ะเครื่องแป้งลงกับพื้น กวาดตามองหาของสำคัญ
หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…
ถุงยางอนามัยหลายชิ้นบนพื้นทำให้หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอาย เมื่อคืนเธอผ่านสมรภูมิเดือดมาได้อย่างไรโดยไม่ตายเสียก่อน จังหวะที่กำลังครุ่นคิดหาทางแก้ปัญหา สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบเห็นกระดาษแผ่นเล็กบนโต๊ะหนังสือ มีลายมือยุ่งๆ เขียนเป็นภาษาไทย
‘รอผมที่ห้องนะครับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน’
มือบางขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งลงพื้นปะปนกับเศษขยะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเธอยังไม่รู้เลย ใครจะบ้ารอให้เขากลับมาปู้ยี่ปู้ยำเธออีก…รอก็บ้าแล้ว!
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.