X
    Categories: With Loveทดลองอ่านเจ้าสาวสโลว์ไลฟ์

ทดลองอ่าน เจ้าสาวสโลว์ไลฟ์ บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 4

ปิ่นโตสี่ล้าน

ปาลไม่ได้พบอิศยาอีกเลยนับตั้งแต่กลับจากลอยอังคารลุงถมยาที่แม่น้ำเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขามัวแต่วุ่นกับการรักษาคนไข้ แล้วอิศยาเองก็หายหน้าหายตาไปจากโรงพยาบาล มารู้ข่าวอีกทีก็เพราะได้ยินพยาบาลที่เคาน์เตอร์พูดกันนี่แหละ

“เสียดายเนอะ เอ๋ยมันหยุดทำปิ่นโตไปแล้วพี่จะกินอะไรดี ข้าวโรงอาหารรสชาติก็สู้ไม่ได้”

“เอ๋ยหาที่พักใหม่ได้ก็คงกลับมาทำอีกครั้ง”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่แมว”

ปาลถือวิสาสะแทรกขึ้นกลางวง ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยสนใจเรื่องชาวบ้านมาก่อน

“บ้านหนูเอ๋ยกำลังจะโดนยึดน่ะสิหมอ หนูเอ๋ยมันเลยต้องหาที่ใหม่ นังนง…พี่หมายถึงป้าของเอ๋ยน่ะ เหลือเกินจริงๆ เด็กตาดำๆ ยังคิดจะขับไล่ไสส่งได้”

“ฉันได้ยินคนลือกันทั้งตลาดเลยนะพี่แมวว่าถ้าหนูเอ๋ยหาเงินไปคืนไม่ได้ นังนงจะขายหนูเอ๋ยให้เสี่ยซ้ง”

มาลัยยกมือขึ้นทาบอก “มันเป็นป้าประสาอะไรวะ ไม่สงสารเด็กบ้างรึไง”

“ป้าอะไรล่ะพี่แมว แค่ญาติห่างๆ นังนงมันเห็นแก่เงินจะตาย แล้วเสี่ยซ้งแกขึ้นชื่อเรื่องชอบเด็กอยู่แล้ว ฉันเคยเห็นหน้าตอนมาหาหมอที่โรง’บาลแล้วยังขยะแขยงจะแย่”

“สงสารหนูเอ๋ยนะคะหมอ”

ชายหนุ่มโคลงศีรษะก่อนเดินแยกออกมาโทรศัพท์ แต่ปลายสายไม่รับจึงเดินย้อนกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาลอีกครั้ง

“ผมมีธุระด่วนน่ะครับพี่แมว ถ้าผมจะขอลาช่วงบ่าย แล้วกลับมาตอนเย็น ผะ…”

“ได้สิคะหมอปาล มีหมออยู่อีกสองคน แล้วคนไข้ก็หร็อมแหร็มแบบนี้ หมอปาลไปเถอะค่ะ”

“ถ้ามีเคสด่วน โทรหาผมได้นะครับ ผมจะรีบกลับมา”

“ตั้งแต่หมอปาลอยู่โคกเสือเผ่นก็ไม่เคยลาเลย ไปเถอะค่ะ ทางนี้พี่จัดคิวให้เอง”

“ขอบคุณครับพี่แมว”

ปาลไม่ได้ขับรถของตน เพราะเพิ่งถอดเฝือกไปเมื่อวันก่อน เขายังไม่สามารถทำหัตถการได้ เพราะมือยังใช้งานได้ไม่ดีนัก ทำได้เพียงวินิจฉัยโรคและจ่ายยาให้คนไข้เท่านั้น นับประสาอะไรกับขับรถ ปาลเลยใช้บริการรถสองแถวที่หน้าโรงพยาบาลมาลงที่หน้าร้านขายของชำ เดินอีกไม่เกินร้อยเมตรก็ถึงบ้านของอิศยา

ตอนที่เขาหยุดยืนหน้าบ้านสองชั้นก็พบว่ามีข้าวของกองพะเนินอยู่หน้าบ้านแล้ว ชายสองคนกำลังกุลีกุจอขนพวกอะไหล่รถยนต์และอุปกรณ์งานซ่อมมาขึ้นท้ายรถกระบะ หนึ่งในนั้นคือเจ้าของอู่รถในอำเภอเมืองที่เคยลากรถของเขาไปซ่อมที่อู่ในเมืองและเพิ่งนำมาจอดคืนที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับลุง”

“เอ๋ยมันขายอะไหล่พวกนี้ให้น่ะหมอ ลุงเลยเรียกเด็กมาช่วยขน อย่างว่าแหละเนอะ เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ สู้ขายเอาเงินก้อนไว้ดีกว่า”

“แล้วเอ๋ยอยู่ไหนครับ”

“อยู่ในครัวแน่ะหมอ มีธุระรึเปล่า ลุงไปเรียกให้ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปหาเอ๋ยเอง”

ปาลถือวิสาสะเดินเข้าบ้านปูนกึ่งไม้หลังกะทัดรัดขนาดสองชั้นซึ่งดัดแปลงชั้นล่างเป็นอู่ซ่อมรถและชั้นบนเป็นที่พักอาศัย แสงแดดซึ่งส่องผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาเผยให้เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านถูกขนออกไปมากแล้ว ภายในจึงดูโล่งตา

ยกเว้นอุปกรณ์ในครัวที่ยังอยู่ครบ และตอนนี้เจ้าของบ้านกำลังง่วนกับการขยำวัตถุดิบในกะละมังสแตนเลสใบโต หญิงสาวหันขวับไปมองเจ้าของฝีเท้าที่เดินมาจากทางด้านหลัง เธอไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้ง เพียงแต่สายตานั้นช่างว่างเปล่า

“มีอะไรรึเปล่าคะหมอปาล”

อิศยาเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้สวมเฝือกแล้ว มีเพียงรอยแผลแห้งๆ บนหน้าผาก จึงบุ้ยใบ้ไปทางกะละมังสแตนเลสอีกใบที่คว่ำอยู่

“หมอปาลช่วยหยิบกะละมังใบนั้นให้เอ๋ยหน่อยค่ะ”

ปาลทำตามคำสั่งและถือโอกาสสวมบทลูกมือช่วยเชฟสาวไปในตัว เราไม่ได้พูดคุยอะไรนัก เพราะเธอกำลังวุ่นอยู่กับการนวดปลากรายสำหรับทำทอดมันดิบ ดูท่าคงขายดีเพราะคะเนจากปริมาณกะละมังสามใบแล้วน่าจะหลายกิโลกรัม

“ส่งลูกค้าที่ไหนบ้าง”

“ทั่วประเทศนั่นแหละค่ะ”

“ขนาดนั้นเชียว”

“พูดแล้วจะหาว่าคุย เมืองนอกก็เคยสั่งนะ เอ๋ยส่งไปหลายประเทศแล้วด้วยค่ะ”

พอพูดเรื่องการทำมาค้าขายสีหน้าของอิศยาก็ดูสดใสขึ้น ปาลจึงเน้นคุยเรื่องงานของเธอเป็นพิเศษ ครู่ใหญ่ทีเดียวเธอถึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองชักพูดมากเกินไปแล้ว

“ถามขนาดนี้ หมอปาลคิดจะเปิดร้านแข่งกับเอ๋ยเหรอคะ”

“เวลานอนยังไม่ค่อยมีเลย ฉันไม่แย่งงานเธอหรอกน่า”

เขายิ้มเอ็นดูพลางบีบจมูกเธอเบาๆ แต่อากัปกิริยานั้นกลับทำให้หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เราต่างจ้องหน้ากันก่อนจะต่างคนต่างเสมองทางอื่น

“หมอปาลไปนั่งเถอะ ยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอคะ”

“ดีขึ้นมากแล้ว ให้ฉันช่วยเถอะ ยังเหลืออีกเยอะไหม”

อิศยาส่ายศีรษะ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

“อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ หมอปาลไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวเอ๋ยไปคุยด้วย”

ปาลอยากเขกกะโหลกตัวเองนักเชียว เขาไม่น่าถือวิสาสะยื่นมือไปบีบจมูกเธอเลย ไม่เช่นนั้นเราคงได้คุยกันอีกยาว เมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน เขาก็บ่ายหน้าเดินกลับไปนั่งรอที่โซฟา

“ลุงไปแล้วนะเอ๋ย”

เจ้าของอู่ซ่อมรถชะโงกเข้ามาบอก อิศยาจึงโผล่หน้าออกจากครัวแล้วยิ้มให้

“ขอบคุณมากนะจ๊ะลุง”

“มีอะไรให้ลุงช่วยก็โทรมานะเอ๋ย”

“จ้ะลุง”

“ผมไปก่อนนะหมอ”

“ครับ”

ปาลยิ้มให้ก่อนหยิบตำราแพทย์ขึ้นมาอ่าน ไม่ได้สนใจคำถามในดวงตาของชายสูงวัยว่าเขามาหาอิศยาด้วยธุระอันใด

หลังจากนั้นเกือบสิบนาทีอิศยาก็เดินออกมาจากครัว สายตาสบกับแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่กำลังพิงโซฟาพลาสติกตัวเล็ก ช่วงขายาวเก้งก้างไขว้ซ้อนกัน บนตักมีตำราแพทย์เล่มโตวางอยู่ เขาขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้าง สีหน้าของเขาดูคร่ำเคร่งภายใต้แว่นกรอบบางดูราวกับอาจารย์แพทย์ผู้ทรงภูมิ

เมื่อครู่ตอนยืนนวดเนื้อปลากรายอยู่ในครัวเธอคิดแล้วคิดอีกก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าคุณหมอสุดหล่อแห่งโคกเสือเผ่นมาหาเธอด้วยเหตุใดในเมื่ออัฐิของพ่อก็กลืนหายไปกับแม่น้ำหลายวันแล้ว

ทุกอย่างระหว่างเราจบไปแล้ว เราไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีก…ไม่ใช่เหรอ!

“หมอปาลมีธุระอะไรจะคุยกับเอ๋ยเหรอคะ”

อิศยาถามพลางนั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้าม ดวงตากลมโตช้อนมองดวงหน้าหล่อเหลาด้วยเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

“ก็อย่างที่เห็นแหละค่ะ บ้านกำลังจะโดนยึด เอ๋ยก็แค่ขายของในอู่ อย่างน้อยให้พอได้เงินสักก้อนหนึ่ง ดีกว่าโละเป็นเศษเหล็กไว้ชั่งกิโล”

“แล้วหนี้ส่วนที่เหลือล่ะ เธอหาเงินมาใช้หนี้ได้แล้วเหรอ”

“ยังไม่ได้ค่ะ เอ๋ยคงปล่อยให้บ้านถูกยึดไป”

“เธอเสียดายบ้านหลังนี้รึเปล่า”

“มันก็แค่เศษอิฐเศษไม้เอามาก่อรวมกัน พ่อไม่อยู่แล้ว เอ๋ยก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”

“แล้วถ้าปล่อยบ้านไป เธอยังเหลือหนี้อีกรึเปล่า”

“เหลืออีกล้านกว่าบาทค่ะ เอ๋ยจะลองคุยกับป้านงอีกที เผื่อแกยอมผ่อนผัน”

ปาลย่นคิ้วมองหญิงสาวหน้าใส เอ่ยถามตามตรง

“เธอรู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นคิดจะขายเธอให้เสี่ยซ้ง”

แววตาหม่นหมองของอิศยาสร้างความปวดแปลบให้ปาลราวกับมีหอกแหลมๆ พุ่งทะลุเข้ากลางใจ เขาอยากยื่นมือออกไปกุมมือเล็กจ้อยนั้นไว้ แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำตามใจปรารถนา

“เธอยังโกรธฉันอยู่ไหมเอ๋ย”

เขาแข็งใจถามออกไปทั้งที่หวาดกลัวคำตอบ ดวงตากลมแป๋วจ้องเขานิ่งนาน ก่อนเปล่งเสียงราบเรียบทว่าสั่นสะเทือนหัวใจนัก

“เอ๋ยไม่แน่ใจว่าควรโกรธหมอปาลรึเปล่าค่ะ ใจหนึ่งก็อยากโกรธอยากต่อว่า แต่อีกใจก็ไม่โกรธดีกว่า โกรธคนมันต้องใช้พลังงานเยอะ ช่วงนี้เอ๋ยมีเรื่องให้คิดเยอะ เอ๋ยเลยไม่อยากเปลืองเซลล์สมอง มันเหนื่อยค่ะ”

เขาคลี่ยิ้มกับคำตอบตรงไปตรงมาสมกับเป็นหญิงสาวสโลว์ไลฟ์ผู้ไม่ถือสาหาความกับใคร

“แต่เอ๋ยก็ไม่ลืมง่ายๆ หรอกนะคะ เอ๋ยจำได้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่อยากพูดถึง”

“เธออาจไม่อยากได้ยินคำขอโทษอีก แต่ฉันก็ขอโทษจริงๆ”

อิศยาก้มมองมือตัวเองพลางโคลงศีรษะรับรู้

“เอาเป็นว่าเอ๋ยรับคำขอโทษแล้ว จากนี้หมอปาลไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ เอ๋ยรู้ว่าหมอปาลไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ หมอปาลพยายามค้านพ่อแล้ว แต่พ่อไม่ยอมฟัง แล้วอีกอย่างหมอปาลเองก็เจ็บตัวไม่น้อย”

น้ำเสียงหวานใสแฝงความห่วงใยนั้นทำให้หัวใจของเขาวูบไหว ความรู้สึกห่วงใยปนหวงแหนเคลื่อนเข้าครอบงำความคิดจนผลักคำพูดที่นอนเนื่องอยู่ในใจหลุดออกมาจากเรียวปาก

“ให้ฉันช่วยนะเอ๋ย เรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเธอจะแก้ไขได้ ให้โอกาสฉันชดใช้ความผิดของตัวเองเถอะ”

ดวงตากลมแป๋วจับจ้องเขาไม่วางตา ทำให้หัวใจเขาเต้นโครมคราม ใบหน้าหล่อเหลาเห่อร้อน เธอคงไม่รู้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนที่จะควบคุมเสียงของตนเองไม่ให้สั่น

“หมอปาลไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เอ๋ยไม่อยากให้หมอปาลเดือดร้อนกับหนี้ที่พ่อก่อไว้ เอ๋ยเป็นลูกก็ต้องชดใช้ ไม่ใช่ดึงคนอื่นเข้ามาเดือดร้อนด้วย”

“แต่ฉันเต็มใจช่วยเธอ”

“ทำไมถึงช่วยล่ะคะ มีคนลำบากกว่าเอ๋ยตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นเอ๋ยด้วย”

“เพราะ…”

เป็นใครก็คงสงสัยสินะ เงินล้านไม่ได้หาง่ายๆ สักหน่อย แต่บังเอิญมันไม่เกินกำลังของปาลเท่านั้นเอง

“เพราะฉันทำให้เธอตกที่นั่งลำบาก ฉันถึงอยากชดใช้ให้เธอ เธอคิดเสียว่าฉันเป็นพี่ชายเธอก็ได้”

“แล้วเอ๋ยต้องแลกด้วยอะไรคะ”

คำถามแสนตรงไปตรงมาของอิศยาทำให้ปาลคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาคมกริบทอดมองเธออ้อยอิ่ง ริมฝีปากหยักสวยเปล่งเสียงอ่อนโยนออกมา

“แต่งงานกับฉันนะเอ๋ย”

“แต่งงานเนี่ยนะ!” ปาลพยักหน้า “หมอปาลอยากให้เอ๋ยคิดว่าหมอปาลเป็นพี่ชาย แล้วทำไมต้องจดทะเบียนสมรสด้วยล่ะคะ มันขัดๆ กันอยู่รึเปล่า เอ๋ยแต่งกับหมอปาล แล้วต่างอะไรกับเป็นเมียเสี่ยซ้งล่ะคะ”

นี่เขาต้องมานั่งเปรียบเทียบตัวเองกับคนแก่ตัณหากลับอย่างเสี่ยซ้งหรือไง เฮอะ!

“ฉันแก่กว่าเธอก็จริง แต่ก็ไม่ถึงสิบปี ตอนนี้ฉันโสด ไม่มีกิ๊ก ไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนไหนเลย จะไม่มีใครตราหน้าเธอว่าเธอเป็นเมียน้อย แย่งฉันมาจากผู้หญิงคนอื่น”

สายตาหวาดระแวงของอิศยาทำให้ปาลต้องชักแม่น้ำเพิ่ม

“เธอคงรู้ว่าชีวิตหมอของฉันมันยุ่งมาก ฉันเข้าเวรผลัดกับหมออีกสองคน เรื่องไม่ค่อยได้นอนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ฉันคงไม่มีเวลามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเธอนักหรอก”

“หมายถึงแต่งงานแล้วเราจะอยู่กันคนละบ้านเหรอคะ”

“ไม่ใช่ เราต้องอยู่บ้านเดียวกันไม่งั้นคนจะสงสัย เพียงแต่…ฉันจะไม่ฝืนใจเธอ”

“หมอปาลจะไม่แตะต้องเอ๋ยแม้แต่ปลายก้อย ถ้าเอ๋ยไม่ยินยอมใช่ไหมคะ”

“อืม”

“แล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเราล่ะคะ แบบว่าถ้าเราเผลอมีเซ็กซ์กันล่ะ เอ๋ยยี่สิบแล้ว ไม่ได้เด็กจนไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกนะคะ ถึงยังไงหมอปาลก็เป็นผู้ชาย”

คำถามแสนตรงไปตรงมาทำให้พวงแก้มของหมอขี้อายร้อนเห่อ

“ฉันก็จะรับผิดชอบเธอในฐานะภรรยา เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากเธอต้องการเช่นนั้น”

คำตอบนั้นทำให้อิศยารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง การใกล้ชิดผู้ชายหน้าขรึม ตัวหอม ทำให้เธอใจสั่นเป็นบางครั้ง แต่เธอกับหมอปาล…จะไปกันรอดจริงๆ เหรอ

เขาเป็นหมอฝีมือดี ใครๆ ในโคกเสือเผ่นก็ยกย่องเทิดทูน แต่เธอเรียนจบแค่มัธยมปลาย ในสายตาชาวบ้านเธอคือเด็กใจแตก ขี้เกียจตัวเป็นขน ใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆ เขาคิดดีแล้วเหรอถึงอยากแต่งงานกับเธอ

“ฉันสัญญาว่าจะคุ้มครองเธอแทนลุงถมยา ป้าของเธอจะแตะต้องเธอไม่ได้อีกเพราะเธอเป็นภรรยาของฉันแล้ว หลังจากฉันใช้ทุนจบ ฉันจะหย่าให้ หรือถ้าเธออยากจะตามฉันเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนหนังสือต่อ ฉันจะช่วยเป็นธุระจัดแจงให้”

“แล้วถ้าหมอปาลใช้ทุนเสร็จ เอ๋ยเกิดไม่อยากหย่าขึ้นมาล่ะคะ”

หัวคิ้วของปาลย่นเข้าหากัน ประกายความหวังจุดวาบขึ้นราวกับดอกไม้ไฟสีสวยบนท้องฟ้าสีดำ

“ถ้าเธอไม่อยากหย่า เราก็ใช้ชีวิตคู่กันต่อไป”

“ง่ายๆ แค่นี้เหรอคะ”

“อืม ง่ายๆ แค่นี้แหละ”

“ถามตรงๆ นะคะ หมอปาลยอมแต่งงาน ยอมใช้หนี้ให้เอ๋ย แต่หมอปาลกลับได้ชื่อว่าแต่งงานแล้ว พอหย่ากันก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อม่าย หมอปาลทำแบบนี้แล้วจะได้อะไรคะ หมอปาลมีแต่ขาดทุนนะคะ”

ความรู้สึกมันตีค่าเป็นกำไรขาดทุนได้เสียที่ไหนกัน แต่ปาลก็ไม่ได้พูดออกไปให้หญิงสาวรู้ถึงความในใจ เพราะกลัวเธอหวาดระแวงจนไม่ยอมใกล้ชิดเขาอีก

“ฉันไม่ได้แต่งฟรีๆ เสียหน่อย ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”

“เงื่อนไขอะไรคะ”

“เธอส่งปิ่นโตให้ฉันทุกวันได้ไหม”

อิศยาหน้าเหวอ เบิกตามองเขาด้วยความงุนงง

“แค่นี้เองเหรอคะ”

“อืม แค่นี้แหละ ถือเสียว่าเธอใช้หนี้เงินล้านฉันด้วยอาหารอร่อยๆ แล้วกัน”

“ถามจริงๆ นะ ครอบครัวหมอปาลคงรวยมากใช่ไหมคะ”

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“หมอปาลพูดเหมือนพวกลูกเศรษฐีในซีรี่ส์เกาหลีเลยค่ะ นึกจะเปย์อะไรก็เปย์ ไม่ต้องคิดแล้วคิดอีก”

ประกายขบขันเจืออยู่หลังกรอบแว่นบาง อิศยามักตั้งคำถามให้เขาแปลกใจได้เสมอ

“ฉันดูเหมือนคนพวกนั้นเหรอ”

“หมอปาลอาจจะไม่ได้ดูไร้สาระขนาดนั้น แต่ลุคหมอปาลก็ดูไม่ใช่ลูกตาสีตาสาแบบที่เอ๋ยเห็นแถวโคกเสือเผ่น”

“ครอบครัวฉัน…ก็เป็นคนธรรมดานั่นแหละ เพียงแต่พออยู่ได้ ไม่ถึงกับลำบาก แล้วเงินนี้ก็เป็นเงินเก็บของฉัน ไม่เกี่ยวกับเงินของพ่อแม่”

“แล้วหมอปาลจะบอกพ่อแม่ของหมอปาลยังไงคะ”

“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เธอไม่ต้องกังวลหรอก”

“แล้วเราจะจัดงานแต่งงานรึเปล่าคะ”

หมอปาลเลิกคิ้ว คล้ายไม่ได้นึกถึงข้อนี้มาก่อน

“จัดสิ ถ้าเราแค่จดทะเบียนแล้วเธอย้ายมาอยู่บ้านเช่าของฉัน หากวันหนึ่งเราเลิกกันชาวบ้านคงนินทาไม่เลิก จดทะเบียนแล้วจัดงานแต่งด้วยก็ดีเหมือนกัน เธอมีญาติที่ไหนอีกไหม ฉันต้องขออนุญาตใครรึเปล่า แบบว่าต้องส่งผู้ใหญ่ไปเจรจาสู่ขอไหม”

“เท่าที่รู้เอ๋ยไม่มีญาติเหลือแล้ว ญาติห่างๆ คนเดียวก็ป้านงนั่นแหละ แต่เอ๋ยคิดว่าเขาคงไม่ยอมหรอกค่ะ”

“นั่นสิ ฉันตัดช่องทางทำมาหากินป้าเธอนี่นา ถ้างั้นเธออยากแต่งวันไหนล่ะ ต้องดูฤกษ์ไหม ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไร”

“เอ๋ยยังไม่ได้ตอบตกลงสักหน่อย แค่ถามเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ”

คำตอบกระเง้ากระงอดนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างขึ้นบนดวงหน้าคมสัน ปาลรู้ดีว่าอิศยาไม่มีตัวเลือกมากนักหรอก เขาเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว…ไม่ใช่สิ เขาคือตัวเลือกที่เธอควรรีบคว้าไว้ต่างหาก

 

ติดตามบทที่ 4-6 ได้แล้ววันนี้!

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: