X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เทพน้อยแห่งหายนะ

หน้าที่แล้ว1 of 47

บทที่หนึ่ง

 ในแดนเซียนที่เมฆหมอกเลือนราง แสงเงินแสงทองสว่างไสวรุ่งโรจน์ เหล่าเทพเซียนยืนอยู่รอบลานพิพากษาเซียนอันกว้างใหญ่ด้วยสีหน้านิ่งขรึม มองเซียนน้อยที่คุกเข่าอยู่ตรงกลาง สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจและเจ็บแค้น

นางก็คือหนึ่งในสิบเซียนคนงามที่เหล่าทวยเทพชื่นชอบที่สุด…เทพน้อยแห่งหายนะ นางกำลังจะถูกเซียนเทพสูงสุดลงโทษ กลุ่มเทพบุรุษเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ เทพสตรีทั้งหลายก็มีสีหน้าไม่อาจทนดู

นับแต่นี้ทัศนียภาพงดงามในแดนเซียนจะลดน้อยลงไปหนึ่งอย่าง จะให้เซียนทั้งหลายไม่ทอดถอนใจได้อย่างไร ทว่าไม่มีเทพเซียนท่านใดกล้าออกมาพูดแทนนาง ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะยามเซียนเทพสูงสุดเกรี้ยวกราดเป็นฟืนเป็นไฟ เพลิงโทสะที่ลุกลามจะแผดเผาฌานตบะทั้งร่างของเหล่าเซียนจนพินาศสิ้น

พันปีก่อน เซียนเทพสูงสุดเคยพิโรธหนักครั้งหนึ่ง เซียนที่ช่วยพูดให้เทพเซียนที่ถูกลงโทษนั้นฌานตบะทั้งร่างถูกแผดเผา ทั้งยังถูกเซียนเทพสูงสุดส่งไปฝึกฝนหนักที่แดนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเทพเซียนตนใดกล้าเสี่ยงภัยช่วยพูดให้เทพน้อยแห่งหายนะ

“เทพน้อยแห่งหายนะ! เจ้ายอมรับผิดหรือไม่” เซียนเทพสูงสุดยากจะปิดบังความกริ้วโกรธ ตวาดถามเทพน้อยแห่งหายนะที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง

“ไม่ยอมรับ เซียนเทพสูงสุด ข้าไม่ยอมรับผิด เห็นอยู่ว่าข้าได้รับภัยพิบัติดุจปลาในบ่อที่ต้องรับเคราะห์* ข้ามีความผิดอะไร” เทพน้อยแห่งหายนะที่คุกเข่าอยู่กลางลานพิพากษาเซียนสั่นศีรษะ “ท่านไม่อาจลงโทษข้าเพราะเหอเปา* ใบนั้นถูกคนเก็บได้”

นางคือเทพน้อยแห่งหายนะของแดนเซียน พอเห็นชื่อก็คิดโยงไปถึงความหมาย นางเป็นเทพน้อยที่คอยสร้างเรื่องหายนะ นำพาโชคร้ายมาสู่ผู้คนโดยเฉพาะ ใครเจอนางเข้า ผู้นั้นก็ต้องเดินไปสู่หนทางกว้างใหญ่ที่เป็นความโชคร้ายอย่างสุดแสน แม้แต่กินน้ำยังติดฟันได้

นางเทพน้อยแห่งหายนะ แต่ไรมาก็ได้แต่นำพาโชคร้ายมาให้ผู้อื่น นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งโชคร้ายนี้จะย่างกรายมาถึงตนเองได้

แม้นางจะไม่ได้รับความชื่นชอบจากมนุษย์ แต่อยู่ในแดนเซียนนางกลับได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เทพเซียนทั้งกลุ่ม ไม่ว่าบุรุษสตรีล้วนชื่นชอบนางมาก เพราะนางเป็นหนึ่งในสิบเซียนคนงามที่ได้รับการลงคะแนนจากเทพเซียนทั้งหลาย เป็นรองเพียงพี่ฉางเอ๋อ* ผู้งามเพริศพริ้งสูงส่งหยิ่งยโสและเย็นชาเท่านั้น ทั้งอุปนิสัยก็นุ่มนวลอ่อนโยนยิ่ง…แม้จะเสแสร้งก็ตาม แต่หลายร้อยปีมานี้ก็เสแสร้งได้ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด ไม่เคยเผยพิรุธออกมาให้ใครเห็น นางอยู่ร่วมกับเซียนทั้งหลายได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน นอกจากเทพแห่งความสุขที่เฉยเมยเย็นชาผู้นั้นแล้ว ก็ไม่มีเซียนตนใดไม่ชอบนางเลย

ให้บังเอิญคนที่ทำให้นางต้องประสบภัยโดยไม่มีเค้าลางมาก่อนในวันนี้ก็คือคนที่สีหน้าเย็นชา สวมชุดสีดำทุกวัน แต่กลับเป็นหนึ่งในสี่เซียนเทพผู้เลอโฉม เทพแห่งความสุขผู้นั้น หากไม่เพราะบนศีรษะของเทพแห่งความสุขผู้นี้มีเกี้ยวครอบทองคำที่มีตัวอักษรคำว่า ‘ฝู’* สาดประกายวิบวับอยู่ล่ะก็ ลำพังมองหน้าตาที่บูดบึ้งของเขา นางคงคิดว่าเขาเป็นเทพแห่งภัยพิบัติ เทพแห่งเคราะห์ หรือไม่ก็ยมบาลแห่งแดนนรกไปแล้ว

ผู้ที่นำภัยพิบัติมาสู่นางในครั้งนี้ยังมีศัตรูคู่อาฆาตของเทพแห่งความสุขอีกคน เทพแห่งภัยพิบัติที่ถือพัดเล่มเล็กมีตัวอักษรคำว่า ‘ไจ’* เขียนอยู่ คอยพัดภัยพิบัติไปให้ผู้อื่น เรียกได้ว่าเป็นพวกวิปริต ทุกวันจะสวมชุดคลุมเซียนตัวยาวสีแดงฉานทั้งร่าง แต่งตัวราวกับเป็นเทพแห่งความสุขอย่างไรอย่างนั้น บรรดาเซียนที่ไม่รู้ต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเทพแห่งความสุขอยู่เสมอ

เทพแห่งภัยพิบัติผู้นี้ดูเป็นคนดีมาก แต่ความจริงแล้วใจคอคับแคบ มีแค้นต้องชำระ ไม่อาจไปมีเรื่องมีราวกับเขา หาไม่จะต้องประสบภัยพิบัติไม่จบไม่สิ้น ที่ผ่านมาพอนางเห็นท่านเซียนใหญ่แห่งภัยพิบัติผู้นี้ก็จะเดินเลี่ยงไป ด้วยกลัวมากว่าจะพลั้งเผลอไปล่วงเกินเขาเข้าและถูกเขาแก้แค้น หากเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่ใช่แค่โชคร้ายแล้ว หากแต่ต้องประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง

นางอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทำได้เพียงถลึงตาใส่เซียนใหญ่ทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างด้วยความแค้นเคือง วันนี้เทพแห่งความสุขกับเทพแห่งภัยพิบัติถึงกับร่วมมือกันสังหารนางด้วยการฝังทั้งเป็น จะให้นางยินยอมได้อย่างไร ตนเองพูดจนปากแทบฉีก อธิบายให้เซียนเทพสูงสุดฟังว่าพวกเขาสองคนต่อสู้กันดุเดือดสร้างความโกลาหลวุ่นวายให้กับพระราชวังเซียนไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ไม่ว่าพูดอย่างไรเซียนเทพสูงสุดก็ไม่เชื่อ เห็นว่านางก็คือตัวการก่อเรื่อง และมูลเหตุที่นำพาภัยพิบัตินี้มาสู่นางก็คือเหอเปาใบน้อยที่นางทำตกหล่นหายไป

นางรู้สึกว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม เปรียบกับโต้วเอ๋อในแดนมนุษย์* แล้วยังไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า!

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะเล่นลิ้น?!” เซียนเทพสูงสุดตวาดด้วยความเดือดดาล

เสียงตวาดทำให้เหล่าเทพอกสั่นขวัญแขวน ดวงจิตเซียนแทบจะหลุดลอย

“เซียนเทพสูงสุด ผู้น้อยไม่ได้เล่นลิ้น” เทพน้อยแห่งหายนะโต้แย้งอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “ท่านเพียงอาศัยเหอเปาที่ผู้น้อยทำตกหายก็จะลงโทษผู้น้อย ผู้น้อยไม่อาจยอมรับได้”

“สารเลว!” เซียนเทพสูงสุดถลึงตามองลานพิพากษาเซียนที่อยู่ในสภาพพังพินาศแทบจะกลายเป็นซากปรักพังตรงหน้าวาบหนึ่ง ยากจะข่มกลั้นความเดือดดาลไว้ได้ ตบโต๊ะโครม ตวาดเสียงเฉียบขาด “เจ้าก็คือตัวการผู้ก่อเรื่อง ถ้าเจ้าไม่ทำเหอเปาตกหาย เทพแห่งความสุขก็คงไม่เก็บเหอเปาของเจ้าได้ เทพแห่งภัยพิบัติก็คงไม่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นของแทนตัวที่ใช้ในการหมั้นหมายกันของพวกเจ้า วันนี้ก็ย่อมไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

“เซียนเทพ ท่านทำเช่นนี้เป็นการยัดเยียดความผิดให้ข้าชัดๆ เซียนทั้งหลายในแดนเซียนต่างรู้ดีว่าเหอเปาใบนั้นเป็นของวิเศษของข้า พวกเขาเซียนใหญ่ทั้งสองท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร ยังจะเข้าใจผิดว่าเหอเปาเป็นของแทนตัวในการหมั้นหมายอีกหรือ”

นางเห็นว่าตนมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีมาก รูปโฉมก็ได้รับการยอมรับ แต่ยังไม่ถึงขั้นดึงดูดเทพผู้เลอโฉมทั้งสองให้มาชื่นชอบโปรดปรานในเวลาเดียวกันกระมัง!

เซียนเทพสูงสุดเห็นนางไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตนผิด จึงขว้างค้อนเบิกศาลในมือไปที่นางด้วยความโมโห “อย่าคิดว่าเจ้าไม่ยอมรับผิดแล้วข้าก็จะจัดการเจ้าไม่ได้ ลำพังที่เจ้าแสดงท่าทีไม่เคารพข้า ข้าก็ลงโทษเจ้าอย่างหนักได้แล้ว!”

เทพน้อยแห่งหายนะเห็นค้อนเบิกศาลลอยมาตรงหน้าก็เบี่ยงตัวด้วยสัญชาตญาณ หลบพ้นไปได้พอดี นางดีใจที่หลบจากการถูกทำลายโฉมในครั้งนี้ไปได้ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นก็ทำให้เซียนเทพสูงสุดเดือดดาลถึงขีดสุด

เทพน้อยแห่งหายนะผู้นี้ถึงกับกล้าหลบหลีก เห็นชัดว่าไม่เห็นเขาผู้เป็นเซียนเทพสูงสุดอยู่ในสายตา สมควรต้องสั่งสอนนางให้หนักสักครา

เขาตวัดชายแขนเสื้อ “เข้ามา คุมตัวเทพแห่งความสุขกับเทพแห่งภัยพิบัติไปที่แท่นปลดเซียน ปลดตำแหน่งเซียนและถอดถอนฌานตบะของพวกเขาทั้งสอง ลดขั้นเป็นสามัญชน ส่วนเทพน้อยแห่งหายนะให้ผลักตกจากลานพิพากษาเซียนลงไปสู่แดนมนุษย์ พวกเจ้าสามคนลงไปอยู่แดนมนุษย์ทบทวนตนเองให้ดี จวบจนหมดอายุขัยค่อยกลับมาสู่แดนเซียน”

“ขอรับ” ผู้พิทักษ์ประจำลานพิพากษาเซียนรูปร่างสูงใหญ่เปี่ยมอานุภาพหลายคนเข้ามาคุมตัวทั้งสามไปรับโทษ

“ลุกขึ้น ชักช้าเสียเวลา ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” ผู้พิทักษ์ประจำลานพิพากษาเซียนที่รับหน้าที่คุมตัวเทพน้อยแห่งหายนะไปประตูสวรรค์ด้านใต้ ออกแรงดึงตัวนางขึ้นมาจากพื้น

เทพน้อยแห่งหายนะบิดมือเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ สีหน้าเห็นความตายเหมือนการกลับสู่มาตุภูมิ หมุนตัวยกเท้าจะเดินไปทางประตูสวรรค์ด้านใต้ “อย่าแตะต้องข้า ข้าเดินเองได้”

นางเหลียวมองไปรอบๆ ลานพิพากษาเซียน เห็นเทพแห่งความสุขกับเทพแห่งภัยพิบัติกำลังจะถูกคุมตัวไปที่แท่นปลดเซียน มุมปากนางหยักยกเป็นรอยยิ้มเยียบเย็น พวกเขาเซียนใหญ่วิวาทกัน เซียนน้อยอย่างนางกลับประสบเคราะห์กรรม หากนางไม่แก้แค้นตัวการผู้ก่อกรรมทำเข็ญทั้งสองก่อนถูกขับลงสู่แดนมนุษย์ล่ะก็ ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว

ฉวยโอกาสที่ผู้พิทักษ์ไม่ทันระวัง นางถีบผู้พิทักษ์ที่คุมตัวนางกระเด็นไปด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด แล้ววิ่งเข้าไปหาเทพแห่งความสุขและเทพแห่งภัยพิบัติที่กำลังรับโทษทัณฑ์ถูกถอดถอนฌานตบะอยู่บนแท่นปลดเซียน

“เทพแห่งความสุข! เทพแห่งภัยพิบัติ!” นางส่งเสียงเรียกพวกเขา มือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้อลอบประกบนิ้วมือ แล้วดีดไปที่พวกเขาสองคนพร้อมกัน “ไหนๆ ก็จะลงไปสู่แดนมนุษย์แล้ว เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมานาน ข้าขอมอบคำอวยพรให้พวกท่าน เทพแห่งความสุขท่านอยู่ในแดนเซียนอย่างราบรื่น ประสบโชคดีมาโดยตลอด ข้าเซียนน้อยขออวยพรท่านหลังจากลงไปเกิดในแดนมนุษย์แล้วขอให้ดวงชะตาเป็นภัยต่อบิดา เป็นภัยต่อมารดา เป็นภัยต่อภรรยาและเป็นภัยต่อบุตร ตลอดชีวิตไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่ตนชอบ สตรีที่ท่านชอบจะต้องป่วยหนัก ถูกโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าร่างกายจนแก่เฒ่า

เทพแห่งภัยพิบัติ ท่านชอบสาปแช่งผู้คนให้เกิดเหตุไม่คาดคิดที่สุด ทำร้ายคนให้ต้องพิการไปตลอดชีวิต ข้าขออวยพรท่านหลังจากลงไปเกิดในแดนมนุษย์แล้วชั่วชีวิตไม่มีใครรัก กลายเป็นคนพิการ เป็นขอทานไปชั่วชีวิต กรรมใดใครก่อผู้นั้นก็เป็นคนรับ”

“เทพน้อยแห่งหายนะ เจ้า…เจ้าช่างชั่วร้าย!” เทพแห่งภัยพิบัติถูก ‘คำอวยพร’ ของนางทำให้โมโหจนแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมาเหนือศีรษะ นัยน์ตาเบิกถลน

ทว่าก็จนปัญญาด้วยของวิเศษถูกเซียนเทพสูงสุดริบไป ไม่อาจสาปแช่ง ได้แต่ประกบนิ้วร่ายอาคมตอบโต้ แต่เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนถูกเชือกมัดเซียนพันธนาการอยู่ ไม่อาจประกบนิ้วมือได้ ร้อนอกร้อนใจจนกระทืบเท้า ตะคอกใส่นาง “รีบถอนคำสาปกลับคืนไปเดี๋ยวนี้!”

แม้จะไม่อาจประกบนิ้วมือได้และฌานตบะก็ถูกทำลายแล้ว แต่คำสาปที่เทพเปล่งวาจาออกมามีพลังที่สุด เทพแห่งภัยพิบัติรีบท่องคำสาปแช่งภัยพิบัติ ใช้ประโยชน์จากวาจาเทพโจมตีนางกลับไป

แต่เทพแห่งความสุขต่างจากเทพแห่งภัยพิบัติ เขาแอบท่องอาคมเทพอย่างรวดเร็ว สลายคำสาปแช่งด้วยเจตนาร้ายของนาง

“ฝันไปเถอะ!” เทพน้อยแห่งหายนะไหนเลยจะยอมให้โอกาสเช่นนี้กับพวกเขา ทุ่มกำลังที่ได้จากการกินนมมารดามาทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้า ถีบพวกเขาไปคนละที ชั่วเวลาเพียงประกายไฟแลบก็ถีบเทพแห่งภัยพิบัติและเทพแห่งความสุขตกจากแดนเซียนไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เทพทั้งหลายยับยั้งไม่ทัน กว่าพวกเขาจะได้สติกลับคืนมา เทพแห่งความสุขกับเทพแห่งภัยพิบัติก็ร่วงหล่นไปสู่แดนมนุษย์ด้วยความรวดเร็วแล้ว

จากนั้นเทพน้อยแห่งหายนะก็ไม่เปิดโอกาสให้เซียนเทพสูงสุดได้ตำหนิกล่าวโทษนางอีก กระโดดตัวลอยลงไปยังแดนมนุษย์อย่างห้าวหาญโดยไม่หันกลับมามอง

เทพทั้งหลายต่างถูกการกระทำของเทพน้อยแห่งหายนะทำให้ตะลึงงันไป กระทั่งเงาร่างนางหายลับไปแล้วจึงได้สติกลับคืนมาอีกครา

เซียนเทพสูงสุดถลึงตามองเทพน้อยแห่งหายนะที่กระโดดลงไปสู่ความว่างเปล่า มุมปากกระตุกแรงหลายครั้ง คำรามเสียงแหบแห้งไปทางที่ว่างเปล่า “เทพน้อยแห่งหายนะ อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าก็ไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้ เดิมข้าคิดว่าเจ้าต้องพลอยเดือดร้อน ประสบเคราะห์กรรมอย่างไม่เป็นธรรม แม้จะลดขั้นเจ้าลงไปแดนมนุษย์ แต่ก็อนุโลมผ่อนผันให้เจ้านำพาฌานตบะไปเกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวย ตลอดชีวิตมีแต่ความรักใคร่ปรองดอง เมื่อแก่เฒ่าก็ตายอย่างสงบในบ้าน คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับไม่รู้จักสำนึกผิดและแก้ไข สบประมาทข้า ไม่สนใจกฎสวรรค์ ดี ข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ

รับคำสั่ง รีบไล่ตามเทพน้อยแห่งหายนะไป จัดการให้นางไปอยู่ในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น เข้าไปสิงสู่อยู่ในร่างของหญิงที่เพิ่งตาย ให้นางได้ลิ้มรสการตกจากแดนเซียนลงไปสู่แดนนรก นอกจากสงวนไว้ซึ่งพลังอาคมในการนำพาโชคร้ายมาสู่ผู้คนแล้ว พลังอาคมอื่นๆ ที่เหลือเรียกคืนมาให้หมด ให้นางใช้สองมือทำงาน ลิ้มรสความทุกข์ยากในแดนมนุษย์ให้เต็มที่เพื่อเป็นการลงโทษและตักเตือน”

“ขอรับ” ผู้พิทักษ์ลานพิพากษาเซียนก้าวออกมารับคำ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็รีบไล่ตามเทพน้อยแห่งหายนะไปทันที

ความจริงแล้วตอนเทพน้อยแห่งหายนะกระโดดจากลานพิพากษาเซียนลงไป ก็มีเงาร่างสายหนึ่งหลบสายตาเหล่าเซียนกระโดดตามลงไปและไล่ตามนาง พริบตาเดียวเงาร่างสายนี้ก็ไล่ทันเทพน้อยแห่งหายนะ

“เทพน้อยแห่งหายนะ รอข้าก่อน!”

เทพน้อยแห่งหายนะผ่อนความเร็วลง พอหันหน้ากลับไปมองก็พบว่าเป็นสหายรักของตน เทพน้อยแห่งเคราะห์ที่บนศีรษะมีเห็ดหอมขึ้นราปักอยู่ดอกหนึ่ง จึงถามด้วยความไม่เข้าใจ “เทพน้อยแห่งเคราะห์ เหตุใดเจ้าจึงลงมาโดยพลการ”

เทพน้อยแห่งเคราะห์เพิ่มความเร็วไล่ตามนาง “ข้ามาช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากอันตรายโดยเอาของล้ำค่าอย่างหนึ่งมาให้เจ้า เจ้าไปหาประสบการณ์ในแดนมนุษย์จะต้องได้ใช้แน่นอน วันเวลาจะได้ไม่ผ่านไปอย่างยากลำบากเกินไป” ขณะที่ร่างของพวกนางเฉียดผ่านกัน นางก็คว้ามือเทพน้อยแห่งหายนะแล้วเอากำไลไม้ที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรแปลกประหลาดสวมไปที่ข้อมือของเทพน้อยแห่งหายนะ

“นี่คือ…” เทพน้อยแห่งหายนะเลิกคิ้วมองกำไลไม้

“เทพน้อยแห่งหายนะ นี่เป็นของที่เทพแห่งความสุขให้ข้ามอบให้เจ้าก่อนที่เขาจะถูกคุมตัวไปที่ลานพิพากษาเซียนเพื่อจะขออภัย เจ้าสวมเอาไว้ให้ดี”

“ของของเขา ข้าไม่เอา”

“กำไลไม้นี้เป็นของวิเศษ อานุภาพไร้ขอบเขต เซียนเทพสูงสุดพิโรธหนัก เจ้าลงไปแดนมนุษย์ครั้งนี้จะต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างมากแน่นอน จะไม่มีของวิเศษอยู่ใกล้ตัวเลยได้อย่างไร” เทพน้อยแห่งเคราะห์มองลานพิพากษาเซียนแวบหนึ่ง เห็นเงาร่างสีเงินสายหนึ่งพุ่งตรงมายังทิศทางที่พวกนางอยู่จึงรีบกล่าว “ผู้พิทักษ์ลานพิพากษาเซียนไล่ตามมาแล้ว ไม่รู้จะทำอะไร เจ้าระวังตัวหน่อย ข้าไม่อาจลงไปได้อีกแล้ว หากถูกผู้พิทักษ์ลานพิพากษาเซียนพบว่าข้าลอบลงมาโดยพลการต้องแย่แน่ เจ้าไปแดนมนุษย์ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี แล้วข้าจะติดต่อเจ้าไปอีก…” นางสั่งกำชับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลบไปทันใด

พริบตาเดียว ผู้พิทักษ์ลานพิพากษาเซียนก็มาถึงเบื้องหน้าเทพน้อยแห่งหายนะ ไม่พูดไม่จา แสงสีทองสายหนึ่งก็ผ่าเข้ามาที่กลางหน้าผากนาง เทพน้อยแห่งหายนะพลันวิงเวียนตาลาย ภาพเบื้องหน้ามืดมิด จากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีก

แดนมนุษย์ ในหมู่บ้านต้าเคิง ตำบลฝูเต๋อ เมืองโยวโจว แคว้นหนานเฉาได้เกิดคดีใช้จอบทุบศีรษะคนบาดเจ็บขึ้น ผู้ได้รับบาดเจ็บหมดสติมาสามวันแล้ว เวลานี้กำลังจะสิ้นใจ

ราตรีกาลมืดวิเวก เปลวไฟขนาดเมล็ดถั่วในตะเกียงน้ำมันส่องแสงสว่างผ่านร่องนิ้วที่ป้องปิดอยู่ออกมาเล็กน้อย ส่องสะท้อนผนังดินที่กระดำกระด่าง เงาร่างเลือนรางด้านบนสั่นไหวไปตามลำแสง

เสียงร้อนรนทว่าพยายามกดต่ำหลายเสียงดังขึ้นที่มุมกำแพง…

“เป็นอย่างไร ตายหรือยัง”

คำตอบที่คนผู้นั้นได้รับคือความนิ่งเงียบยาวนาน ทำให้ผู้เอ่ยปากถามอดรนทนไม่ไหวส่งเสียงเร่งรัด “เฮ่อซื่อ* เวลานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าก็พูดออกมาสักคำสิ ข้าจะได้กลับไปตอบคนอื่นถูก เจ้าเอาแต่นิ่งเงียบ หมายความว่าอย่างไรกันแน่”

เฮ่อซื่อที่มองตะเกียงใจลอยพลันตื่นจากภวังค์ ระบายลมหายใจออกมาด้วยความร้อนใจ “ยังจะหมายความอย่างไรได้ นอกจากนางผู้นี้ยังไม่ขาดใจ”

“ยังไม่? สามวันแล้วยังไม่สิ้นลมอีก ดวงแข็งยิ่งนัก”

“ก็นั่นน่ะสิ” เฮ่อซื่อบอกอย่างกลัดกลุ้ม “มารดามันเถอะ ทำให้ข้าร้อนใจแทบตายแล้ว นางเด็กหน้าเหม็นเหมยหรูเซียนผู้นี้ จะตายก็ไม่รีบตาย ตอนหามกลับมาจากในนาก็ลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ได้มาจนถึงป่านนี้ ตั้งสามวันแล้ว ยังไม่รีบขาดใจ จะได้หามไปบ้านคหบดีซุนรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา”

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทางคหบดีซุนไม่อาจรอได้”

เฮ่อซื่อขมวดคิ้วพูดอย่างแค้นใจ “ป้าหวัง ท่านร้อนใจ ข้ายิ่งร้อนใจกว่าท่าน แต่เรื่องนี้เร่งไม่ได้ นางเด็กสมควรตายนั่นยังหายใจอยู่ เหลือแค่ลมหายใจรวยรินมาสามวันแล้ว ข้าจะทำอย่างไรได้ นี่ก็ร้อนใจจนมุมปากมีตุ่มพุพองแล้ว”

เมื่อครึ่งเดือนก่อนบุตรชายขี้โรคของคหบดีซุนเศรษฐีอันดับหนึ่งของตำบลที่บำรุงร่างกายด้วยโสมและ เห็ดหลิงจือได้เสียชีวิตลง คหบดีซุนจึงคิดจะหาหญิงสาวอายุสิบสองถึงสิบเจ็ดปีที่ตายในช่วงไม่กี่วันนี้มาทำพิธีแต่งงานระหว่างคนตาย เมื่อไปอยู่แดนนรกจะได้มีคนคอยปรนนิบัติดูแลบุตรชายของเขา ด้วยเหตุนี้จึงตั้งราคาหนึ่งร้อยตำลึงซื้อศพที่เพิ่งตายร่างหนึ่ง

ทว่าทุกวันนี้ไม่มีทั้งภัยธรรมชาติทั้งภัยจากมนุษย์ ตำบลฝูเต๋อที่พวกเขาอยู่แม้จะเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนับว่ากินอิ่มนอนอุ่น ไม่มีใครอดตาย ด้วยเหตุนี้ในเวลาอันสั้นจะหาหญิงสาวที่เพิ่งตายลง จึงยากจะหาคนที่เหมาะสมได้

เมื่อเหมยหรูเซียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า เฮ่อซื่อจึงดีใจยิ่งนัก รีบเข้าไปตำบลหาป้าหวังผู้รับผิดชอบเรื่องนี้

ป้าหวังรับปากนางว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นจะไม่หักค่านายหน้า เพียงรับซองแดงที่คหบดีซุนมอบให้ เมื่อคนสิ้นลมให้นางหามมาที่ตำบลก็จะมอบเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้นางทันที นึกถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เปล่งประกายวับวาวแล้ว นางย่อมร้อนใจยิ่งกว่าใคร

“นางเด็กต่ำช้าช่างดวงแข็งยิ่ง” ป้าหวังพ่นคำด่าออกมา พลันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยเตือนนางเสียงเย็น “เฮ่อซื่อ เจ้าเคยคิดหรือไม่ เกิดนางเด็กต่ำช้าดวงแข็งจริง ไม่ยอมสิ้นใจ เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร”

“ไม่กระมัง สภาพของนางดูเหมือนใกล้จะตายอยู่แล้ว” เฮ่อซื่ออดกังวลขึ้นมาในใจไม่ได้

“ข้าพบเห็นเรื่องราวมามากกว่าเจ้า อย่าคิดว่าข้ายายแก่ขู่ขวัญเจ้า” ป้าหวังกล่าวพลางหัวเราะเสียงเย็น “ขอเตือนเจ้าอีกเรื่อง นางเด็กต่ำช้าในห้องผู้นั้นศีรษะของนางถูกเจ้าใช้จอบทุบจนได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องภายในครอบครัวพวกเจ้าย่อมไม่เอะอะโวยวายไปถึงศาล แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ถ้านางตายไป พวกเจ้าก็ดีอกดีใจ แต่ถ้านางไม่ตาย เจ้าเป็นคนทำให้นางบาดเจ็บ เจ้าต้องออกเงินให้นางไปหาหมอรักษาอาการบาดเจ็บ ทั้งยังต้องดูแลนาง นอนอยู่บนเตียงวันสองวันยังพอไหว เกิดนอนไม่ได้สติเช่นนี้แต่ยังมีลมหายใจ เจ้าจะทำเช่นไร”

เฮ่อซื่อได้รับคำเตือนเช่นนี้ก็ย่นหัวคิ้วโดยไม่รู้ตัว ที่ป้าหวังพูดใช่จะไม่มีเหตุผล หากไม่ตาย นางสูญเสียเงินหนึ่งร้อยตำลึง ทั้งยังต้องดูแลนางเด็กต่ำช้านั่น นี่จะได้อย่างไรกัน!

ระหว่างนั้นป้าหวังก็โน้มตัวลงมาพูดชิดข้างหูนาง กดเสียงลงต่ำมากขึ้น “อีกสามวันให้หลังก็จะเอาคุณชายซุนลงฝังแล้ว เจ้าตัดสินใจเอาเอง เจ้าจะเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึง นับแต่นี้กินดีอยู่ดี หรือจะไปดูแลปรนนิบัติคนที่ตายไปแล้วครึ่งตัวคนหนึ่ง” มือของนางไม่ลืมยกขึ้นมาทำท่าปาดคอ

ป้าหวังแสดงท่าทางให้เฮ่อซื่อรู้เป็นนัยเช่นนี้ นางมีหรือจะไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อนึกถึงว่าจะให้นางลงมือสะบั้นลมหายใจที่เหลือเพียงรวยรินของเหมยหรูเซียน ร่างของนางก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ “เรื่องนี้…ป้าหวัง ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ข้ากล้า แต่วางแผนชิงทรัพย์สังหารคนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย…”

ป้าหวังเหยียดมุมปาก ยืดตัวตรงแล้วว่า “เจ้าก็อย่าหาว่าข้าใจคอเหี้ยมโหด เรื่องเช่นนี้ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ในบ้านถ้ามีคนครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้อยู่ คนในครอบครัวไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานไปด้วย ไม่เป็นผลดีไม่ว่ากับใคร”

เฮ่อซื่อได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มหวั่นไหว

ใช่แล้ว นางเด็กต่ำช้านั่นมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ว่ากับใครก็ไม่เป็นผลดี!

“อีกอย่าง นางได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ได้รักษาจึงตาย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย ไม่มีใครสงสัยมาถึงเจ้า อย่าว่าแต่ที่เจ้าทำเป็นเรื่องดี นางมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้จึงจะทุกข์ทรมาน เจ้าช่วยนางให้ตายเร็วไปเกิดใหม่เร็วเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง” ป้าหวังพูดจบก็ไม่เกลี้ยกล่อมนางอีก รอให้เฮ่อซื่อตัดสินใจเอง

เฮ่อซื่อมองป้าหวังด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้า สุดท้ายก็บอกอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ใช่แล้ว…สวรรค์ต้องการจะรับคนไป เกี่ยวอะไรกับข้า” เหมยหรูเซียนนางเด็กต่ำช้านั่น เดิมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว แม้แต่ท่านหมอยังบอกอาการไม่ค่อยดี ถ่วงเวลาต่อไปเช่นนี้ กล่าวสำหรับเหมยหรูเซียนแล้วก็เป็นการทรมาน นางจะทำเรื่องดีให้เหมยหรูเซียนลงมาในท้องแม่เพื่อจะเกิดใหม่เสียแต่โดยเร็ว

เพิ่งจะกลับมาถึงเรือนด้านหลัง เฮ่อซื่อก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวบาดลึกถึงใจเชือดเฉือนถึงกระดูกของน้องสามีจย่าอิ๋งชุนและหลานชายเหมยชิงหยวนดังออกมาจากกระท่อมมุงหญ้าคา…

“หรูเซียน ตื่นขึ้นมาเถิด!”

“พี่สาว ท่านต้องตื่นขึ้นมานะ!”

เฮ่อซื่อชะงักฝีเท้า หยักยกมุมปากทีหนึ่ง หันไปถ่มน้ำลายใส่กองฟืนที่อยู่ด้านข้าง แช่งด่าออกมาคำหนึ่ง “เชอะ นางเด็กต่ำช้าที่สมควรตาย สิ้นใจเร็วหน่อยก็ดี ทำให้ข้าเสียเวลากังวลใจมาตั้งหลายวัน” จากนั้นก็จะเดินไปที่กระท่อมมุงหญ้าคา

คนสกุลจย่าได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจก็พากันออกจากห้องเร่งรุดมา ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จย่าเอ้อร์หลางพอเห็นเฮ่อซื่อภรรยาของตนเดินมาก็ขยิบตาให้นาง หลังจากได้รับสายตายืนยันจากนาง หัวใจที่เดิมแขวนลอยอยู่กลางอากาศก็สงบลง ตอนนี้เขาก็แค่รอรับเงินเท่านั้น

“ท่านพ่อ ดูเหมือนนางหนูหรูเซียนจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้ว” จย่าต้าหลางพูดกับผู้เฒ่าจย่าที่สีหน้าดูย่ำแย่มาก

“ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ หายนะเสียจริง สินค้าขาดทุน* เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ตายอยู่ที่บ้านสกุลเหมยพร้อมพ่อของนางเสียเลย เวลานี้กลับมาตายที่บ้านสกุลจย่าของเรา ยังต้องเสียเงินซื้อโลงศพอีก” ผู้เฒ่าจย่าถลึงตาใส่บุตรชายคนโตทีหนึ่ง

“ตาแก่ เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น ดีชั่วหรูเซียนก็เป็นหลานของเจ้า” หลัวซื่อ ยายของเหมยหรูเซียนเช็ดน้ำตาพลางตำหนิสามีที่ใจคอคับแคบ

“ก็แค่สินค้าขาดทุนของผู้อื่น ต้องให้บ้านสกุลจย่าเราเสียเงิน หรือว่ายังพูดไม่ได้” ผู้เฒ่าจย่าหันไปตะคอกภรรยาของตนด้วยความโมโห

จย่าต้าหลางในใจก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของบิดา “ท่านพ่อ ข้าจะไปซื้อโลงไม้บางที่ร้านขายโลงในตำบลตอนนี้เลย”

“โลงไม้บางใบหนึ่งก็ต้องใช้เงินครึ่งตำลึงแล้ว…” จย่าเอ้อร์หลางจงใจพูดขึ้น

ผู้เฒ่าจย่าได้ยินเข้าก็อุทานด้วยความตกใจและด่าว่าด้วยความโมโห “อะไรกัน แพงถึงเพียงนั้น! ไม่ได้ ใช้เสื่อห่อนางเด็กนั่นก็พอ เจ้าใหญ่ เจ้าไปหาคนมาสักสองสามคน พรุ่งนี้เช้าก็หามนางไปบนเขา หาที่เข้าสักแห่งจัดการเสีย หาหินสักก้อนวางทับไว้ก็แล้วกัน เด็กนี่ไม่ใช่คนสกุลจย่าเรา ไม่ต้องเอาโลงไม้บางให้นาง ยิ่งไม่ต้องทำป้ายที่หลุมฝังศพให้นาง”

“เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายเช่นนี้ ดีชั่วหรูเซียนก็เรียกเจ้าว่าท่านตา นางถูกสะใภ้รองเอาจอบทุบศีรษะ ชีวิตน้อยๆ ของนางถึงได้จบสิ้น เจ้าถึงกับไม่มีกระทั่งโลงศพให้นาง เจตนาให้นางตายตาไม่หลับหรือ…” ได้ยินสามีที่ไร้ความเมตตาพูดเช่นนั้น หยาดน้ำตาของหลัวซื่อทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดไหล

“ขืนเจ้าพูดมากอีก พรุ่งนี้พอเช้าขึ้นข้าก็จะให้คนเอานางไปทิ้งที่หุบเขาเสียเลย แม้แต่เสื่อก็ไม่ต้องใช้” ผู้เฒ่าจย่าทิ้งคำพูดไว้แล้วตวัดชายแขนเสื้อเดินไปยังกระท่อมมุงหญ้าคาที่ลานด้านหลังด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด

“ท่านพ่อ ช้าก่อน สะใภ้มีคำพูดจะบอก” เฮ่อซื่อรีบเรียกผู้เฒ่าจย่าไว้

“สะใภ้รอง อย่างไร เจ้าก็คิดจะพูดแทนนางเด็กต่ำช้า จะออกเงินครึ่งตำลึงนั่นให้นางหรือ”

“ไม่ ย่อมไม่ใช่ สะใภ้จะมีเงินครึ่งตำลึงได้อย่างไร” นางรีบโบกไม้โบกมือสั่นศีรษะ “ท่านพ่อ สะใภ้จะบอกท่านว่ามีวิธีไม่ต้องออกเงินซื้อโลงไม้บาง นางเด็กหรูเซียนก็สามารถมีโลงชั้นดีได้ ยังมีสุสานพื้นภูมิดีให้อยู่อีกด้วย”

ผู้เฒ่าจย่าเลิกคิ้ว “วิธีอะไร”

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อ เศรษฐีอันดับหนึ่งของตำบลฝูเต๋อเรา คหบดีซุน ลูกชายของเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่ใช่ตายไปหรอกหรือ เขาอยากจะหาหญิงสาวที่เพิ่งตายมาทำพิธีแต่งงานระหว่างคนตายให้กับบุตรชายของเขา ฝังสองคนไว้ด้วยกัน” เฮ่อซื่ออาศัยแสงเลือนรางจากตะเกียงสังเกตสีหน้าผู้เฒ่าจย่าอย่างระมัดระวัง “หากเรื่องสำเร็จลุล่วง คหบดีซุนจะมอบเงินเป็นสินน้ำใจให้เราสิบตำลึง”

“สิบตำลึง!”

“ใช่เจ้าค่ะ สิบตำลึง” เฮ่อซื่อรีบพยักหน้า “ถ้าท่านรับปาก พรุ่งนี้เช้าก็ให้ป้าหวังไปแจ้งคนที่บ้านสกุลซุนมาหามศพหรูเซียนไป”

“เจ้าคนต่ำช้าที่สูญสิ้นจิตใจอันรู้บาปบุญคุณโทษ หรูเซียนต้องตายเพราะเจ้า เจ้าถึงกับคิดจะขายศพนางให้เอาไปแต่งงานกับคนตายเพื่อเงินสิบตำลึงอีกหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” หลัวซื่อถอดรองเท้าออกมาใช้ส้นรองเท้าฟาดไปที่หน้าเฮ่อซื่อ

“ท่านแม่ ข้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อเสี่ยวกู* นางเป็นแม่ม่ายคนหนึ่ง จะเอาปัญญาที่ไหนมาจัดงานศพให้หรูเซียน” เฮ่อซื่อทางหนึ่งปิดป้องการโจมตีของหลัวซื่อ ทางหนึ่งก็แก้ต่างให้ตนเอง

“พอแล้ว” ผู้เฒ่าจย่าที่อยู่ด้านข้างเห็นแม่ผัวกับลูกสะใภ้คู่นี้เอะอะโวยวายกัน เพลิงโทสะก็ลุกท่วมร่าง หันไปตวาดภรรยาของตน “ยายแก่ เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ สะใภ้รอง เจ้าไปแจ้งป้าหวัง จำไว้ มือหนึ่งมอบคนมือหนึ่งรับเงิน” พูดจบเขาก็เดินนำออกประตูตรงไปที่ลานด้านหลังทันที

“ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ สะใภ้จะต้องเอาเงินสิบตำลึงนั่นมามอบถึงมือท่านแน่นอน” เฮ่อซื่อพยักหน้ารับปากอย่างชื่นมื่น

“สะใภ้รอง เจ้าไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เจ้าจะต้องถูกกรรมตามสนอง!” หลัวซื่อเดินร้องไห้ตามไปข้างหลังพลางด่าว่าเฮ่อซื่อ

จย่าเอ้อร์หลางที่อยู่ด้านข้างได้ยินมารดาแช่งด่าภรรยาของตนเช่นนี้ก็พูดอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ ก็แค่นางเด็กสมควรตายอายุสั้นคนหนึ่ง ท่านต้องแช่งด่า เอะอะโวยวายจนครอบครัวไม่สงบสุขเช่นนี้ด้วยหรือไร”

“ก็นั่นน่ะสิ ท่านแม่ ข้าทำไปเพราะหวังดีต่อเสี่ยวกู ท่านต้องเข้าใจและเห็นใจในความตั้งใจดีของข้าบ้าง” เฮ่อซื่อรีบฉวยโอกาสไต่ตามราวขึ้นไป*

“หุบปากเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าสองคนเอ่ยคำพูดนี้ออกมาไม่กลัวนางหนูหรูเซียนที่ศพยังไม่ทันเย็นจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้าหรือ” หลัวซื่อตวาดด้วยความโกรธ

“เงียบให้หมด! ใครพูดอีกแม้แต่คำเดียว ก็ไสหัวกลับไป” ผู้เฒ่าจย่าหยุดฝีเท้า หมุนตัวมาถลึงตาใส่

ทั้งกลุ่มเดินมาถึงหน้ากระท่อมมุงหญ้าคาที่ลานด้านหลัง มีเสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจของจย่าอิ๋งชุนกับเหมยชิงหยวนดังออกมาจากข้างในไม่ขาดสาย

จย่าเอ้อร์หลางรีบเปิดประตู ชูโคมไฟในมือขึ้นสูง ส่งเสียงเตือนขึ้น “ท่านพ่อ ที่นี่มืด ท่านช้าลงหน่อย”

คนสกุลจย่าผู้ใหญ่ห้าหกคนพอเข้าไปในกระท่อมมุงหญ้าคา ในห้องพลันเบียดเสียดยัดเยียดขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนแตกต่างกันไป มีคนเศร้าเสียใจ มีคนแอบดีใจ ไม่มีใครไม่มองร่างของเหมยหรูเซียนที่นอนอยู่บนฟางข้าวที่ปูอยู่บนเตียง นางในเวลานี้ไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว

ผู้เฒ่าจย่าเดินเข้าไปกวาดตามองแวบหนึ่ง ไม่สนใจจย่าอิ๋งชุนกับเหมยชิงหยวนที่ร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจอยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย ก่อนจะสั่งการบุตรชายทั้งสอง “พวกเจ้าเอาศพของนางเด็กนี่ไปไว้ที่ข้างถนนด้านนอก เอาเสื่อคลุมไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยให้คนมาหามไป”

บุตรสาวเพิ่งจะสิ้นลม พ่อของตนก็จะให้เอาร่างบุตรสาวไปไว้นอกบ้าน จย่าอิ๋งชุนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเท้าผู้เฒ่าจย่าจับขากางเกงของเขาไว้พลางกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ หรูเซียนเพิ่งสิ้นลม ขอร้องท่านอย่าหามนางออกไปเลย จะอย่างไรขอให้นางได้อยู่ในห้องสักคืน ได้เผาเงินกระดาษให้นางสักเล็กน้อยเถิด…”

“หุบปาก! บ้านสกุลจย่าข้าไม่ให้ใครตั้งศพ เจ้าคิดจะพาความโชคร้ายมาสู่บ้านสกุลจย่าใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าจย่าถีบบุตรสาวออกไป “เจ้าใหญ่ เจ้ารอง ยังจะนิ่งเฉยอยู่ไย รีบหามออกไป ชักช้ายืดยาดอยากให้ในบ้านแปดเปื้อนสิ่งสกปรกหรือ”

จย่าต้าหลางแข็งใจเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ก็แค่คืนเดียว…”

“เจ้าหุบปาก! แม้แต่คำพูดของพ่อเจ้าก็ไม่ฟังแล้วใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าจย่าตัดบทคำพูดของเขา

เฮ่อซื่อชะโงกหน้าไปมองเหมยหรูเซียนที่สิ้นลมไปแล้วจริงๆ พลางเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ข้าจะไปแจ้งป้าหวัง ให้นางบอกให้คหบดีซุนส่งคนมาหามศพไป”

“ไปเถิด”

“พี่สะใภ้รอง ท่านพูดอะไร หรูเซียนของข้าเหตุใดต้องให้คนของคหบดีซุนมาหามไป”

“เสี่ยวกู ท่านพ่อรับปากจะแต่งงานระหว่างคนตายกับบ้านซุนแล้ว คุณชายซุนอีกสามวันก็จะเอาลงฝัง ย่อมต้องรีบแจ้งพวกเขาให้มาหามศพไปเพื่อทำพิธีแต่งงานระหว่างคนตายกับคุณชายซุน” เฮ่อซื่อเบะปากพูดอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

“ไม่ได้ ข้าไม่รับปาก นางตายอย่างไม่เป็นธรรมก็น่าสงสารพอแล้ว ท่านพ่อท่านใจดำเช่นนี้ได้อย่างไร ยังจะผลักไสนางให้ไปแต่งงานระหว่างคนตายกับผู้อื่นอีก” จย่าอิ๋งชุนกอดศพบุตรสาวร้องไห้คร่ำครวญ “เหตุใดท่านจึงใจร้ายให้นางหลังจากตายแล้วยังไม่สงบสุข ยังต้องไปปรนนิบัติดูแลผู้อื่นในปรโลกอีก เช่นนี้นางย่อมไม่อาจไปเกิดใหม่ในเร็ววันได้!”

ผู้เฒ่าจย่าได้ยินคำกล่าวหาประณามของนาง พลันอับอายจนพานโกรธโมโห ฝ่ามือสะบัดออกไป “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่คิดจะอยู่บ้านสกุลจย่าของข้าอีกต่อไป ก็พาลูกชายของเจ้ากับศพนี่ไสหัวออกไป บ้านสกุลจย่าข้าไม่ต้อนรับหญิงไม่เป็นมงคลอย่างเจ้า”

“ตาแก่ เจ้าพูดกับอิ๋งชุนเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเจ้านะ” หลัวซื่อพุ่งเข้ามากอดจย่าอิ๋งชุนไว้

“ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ตั้งแต่นางเกิดมาก็เป็นสินค้าขาดทุนที่ไม่เป็นมงคล ข้าลำบากไม่น้อยถึงแต่งนางออกไปได้ ไม่เก็บไว้ให้เป็นหายนะต่อครอบครัว ใครจะรู้หลายปีนี้นางสร้างหายนะให้กับบ้านสกุลเหมยเสร็จ เวลานี้ก็กลับมาสร้างความหายนะให้พวกเราต่อ จะให้ข้ารับนางไว้ นางก็ต้องทำตัวเรียบร้อยอยู่ในกรอบ หาไม่ก็ไสหัวออกไป!” ผู้เฒ่าจย่าตวาดเสียงเฉียบขาด

จย่าต้าหลางรีบห้ามปราม “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าทะเลาะกันอีกเลย ลูกจะย้ายหรูเซียนไปไว้ข้างนอกก่อน” เขาสั่นศีรษะให้น้องสาวที่ใบหน้าบวมไปแถบหนึ่ง ให้นางอย่าพูดอะไรทำให้บิดาโกรธอีก

จย่าอิ๋งชุนคิดว่าตนเองถูกบิดาไล่ออกจากบ้านไม่เป็นไร อย่างมากก็กระโดดลงแม่น้ำปัญหาทุกอย่างก็จบสิ้นลง แต่ถ้านางตายแล้ว บุตรชายที่เพิ่งอายุห้าขวบจะทำอย่างไร

พอนึกถึงบุตรชาย จย่าอิ๋งชุนก็ได้แต่กล้ำกลืนความปวดใจ ความไม่ยินยอม รวมทั้งความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่ได้รับไว้ทั้งหมด ทำได้แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ

จย่าต้าหลางกับจย่าเอ้อร์หลางเดินเข้าไป เตรียมจะหามเหมยหรูเซียนออกไปนอกบ้าน แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังจะยกร่างนางขึ้นมานั่นเอง ลมแรงหอบหนึ่งก็พัดกระโชกเข้ามา ประตูหน้าต่างถูกพัดกระแทกเสียงดัง ‘ปึงปัง’ ตะเกียงน้ำมันกับโคมไฟที่แขวนอยู่บนผนังดับพึ่บลงพร้อมกัน ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด

เสียงคำรามแหลมและเศร้ากำสรดดังก้องขึ้นมาในกระท่อมมุงหญ้าคา เสียงนั่นทำให้คนอดขนลุกชันไม่ได้ ความเย็นยะเยือกพวยพุ่งขึ้นไปถึงหน้าผาก

อาศัยแสงจันทราที่ส่องสะท้อนมาที่ข้างหน้าต่าง คนสกุลจย่าทั้งบ้านพลันเห็นชัดถนัดตา เหมยหรูเซียนที่เดิมหมดลมหายใจไปแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่พลันลืมขึ้น ลำคอบิดมา มองจ้องผู้เฒ่าจย่ากับเฮ่อซื่อนิ่งด้วยแววตาน่าสะพรึงกลัว

แววตาที่คล้ายจะเอาชีวิตทำให้ผู้เฒ่าจย่าตกใจจนผงะถอยไปสองก้าว ซวนเซล้มลงไปนั่งกับพื้น กลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากพลางหอบหายใจ เปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว

แววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังเย็นเยียบคุกคามคน ทำให้เฮ่อซื่อตกใจราวกับเห็นผี นางส่งเสียงกรีดร้องออกมา ร่างอ่อนระทวยทรุดลงไปนั่งกับพื้น เนื้อตัวสั่นระริก ฟันกระทบกันกึกกัก พลางชี้นิ้วไปที่เหมยหรูเซียน “แสร้ง…แสร้ง…แสร้งตาย…”

ตามหลังคำพูดประโยคนี้ก็มีเสียงร้องน่าสะพรึงกลัวของอีกาดังขึ้นมา ทำลายความเงียบสงบในยามค่ำคืน

เหมยหรูเซียนค่อยๆ ลุกจากที่นอนกองฟางขึ้นมานั่ง มองพวกเขาด้วยแววตาเยียบเย็น แววตาโกรธแค้นที่เจือไปด้วยเพลิงโทสะทำให้คนที่อยู่ในกระท่อมมุงหญ้าคาต่างมีเหงื่อเย็นไหลท่วมร่าง ฟันล่างกับฟันบนสั่นกระทบกัน ไม่มีใครกล้าไปจุดตะเกียงน้ำมัน

หลังจากทำให้ทุกคนตื่นตระหนกมากพอแล้ว นางก็หยักยกมุมปากขึ้นช้าๆ พูดอย่างเน้นย้ำทีละคำ ให้คนที่อยู่ในห้องได้ยินชัดเจน “ท่านตา ท่านป้ารอง ท่านลุงรอง เกรงว่าความปรารถนาของพวกท่านจะต้องสูญสลายแล้ว โดยเฉพาะท่านป้ารอง เงินร้อยตำลึงของบ้านสกุลซุนนั่น ท่านไม่มีทางได้มาแล้ว ต้องขออภัยจริงๆ…” 

บทที่สอง

 หลังจากนั้นสามวัน

เหมยชิงหยวนผลักประตูที่สั่นคลอนทำท่าจะหลุดมิหลุดแหล่ให้เปิดออก ยกน้ำหวานเข้ามาชามหนึ่ง เอาน้ำหวานวางไว้บนตั่งเตี้ยข้างเตียง ตั่งเตี้ยตัวนั้นขาหักไปขาหนึ่งและเอาท่อนไม้มาค้ำไว้ เขามองเหมยหรูเซียนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

“พี่สาว ท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง”

หลังจากพี่สาวตื่นขึ้นมาก็นอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงดื่มน้ำเล็กน้อย ของอย่างอื่นไม่ได้แตะแม้แต่คำเดียว

“พี่สาว ท่านไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ได้แต่ดื่มน้ำ เช่นนี้ร่างกายจะทนไม่ไหว เมื่อครู่ท่านป้าใหญ่แอบเอาน้ำตาลแดงก้อนเล็กให้ข้าก้อนหนึ่ง บอกให้ข้าละลายน้ำเอาให้ท่านดื่ม มีแรงบาดแผลจึงจะหายเร็ว” เหมยชิงหยวนมองน้ำหวานชามนั้นพลางกลืนน้ำลาย

“พี่ไม่กระหายน้ำ หยวนเอ๋อร์เอาน้ำหวานชามนั้นดื่มเสียเถิด” นางมองน้องชายที่หน้าเหลืองรูปร่างซูบผอม ในใจเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ไม่ได้ พี่สาว ท่านต้องดื่มน้ำหวานนี้ ร่างกายจึงจะฟื้นคืนเป็นปกติ” เหมยชิงหยวนปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจัง

เห็นอยู่ว่าน้องชายอยากดื่มน้ำหวาน แต่เพื่อร่างกายของนางจึงฝืนทนไว้ ท่าทางของเขาทำให้นางปวดใจ นางประคองตัวลุกขึ้นมานั่ง รับชามน้ำหวานมา “ได้ ข้าดื่ม” นางจิบน้ำหวานที่แทบจะไม่มีความหวานอยู่ไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “หยวนเอ๋อร์ พี่ดื่มไม่ลงแล้ว เจ้าช่วยดื่มแทนพี่ให้หมดที”

“ตอนนี้พี่สาวดื่มไม่ลง เอาวางไว้ก่อนค่อยๆ ดื่มก็ได้”

“วางไว้จะมีมดมากิน หยวนเอ๋อร์จะเอาน้ำหวานรสอร่อยให้มดกินหรือ” นางหลอกล่อเขา เห็นเขาสั่นศีรษะ จึงยื่นน้ำหวานไปถึงข้างปากเขา “เช่นนั้นก็ช่วยพี่ดื่มน้ำหวานให้หมด”

เหมยชิงหยวนพยักหน้าแรงๆ “อืม ได้ ข้าดื่ม ไม่ให้มดกิน”

มองเหมยชิงหยวนดื่มน้ำหวานที่แทบไม่อาจเรียกว่าน้ำหวานได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งยังร้องว่าอร่อย นางก็อดเศร้าใจไม่ได้

สามวันก่อนนางถูกลงโทษให้ลงมาสู่แดนมนุษย์ ตอนเพิ่งมาถึงยังมีอาคมเซียนหลงเหลืออยู่บ้าง นางจึงกวาดตามองไปสี่ทิศ เงี่ยหูฟังไปแปดทาง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่ามีคนคิดจะขายนางให้คนตายแต่งเป็นภรรยา กล้าขายนางเซียนน้อย ก็ต้องให้พวกเขาได้น่าดูชม จึงได้มีละครฉากแสร้งตายเกิดขึ้น

หลังจากผ่านการทำความเข้าใจมาสามวัน บวกกับความทรงจำที่มีอยู่เดิมของเหมยหรูเซียน นางจึงรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมปีนี้อายุสิบสี่ หนึ่งปีก่อนเพิ่งฝังศพบิดาเหมยฉางซาน จากนั้นคนในสกุลเหมยก็ลบชื่อพวกนางออกจากวงศ์สกุล

มารดาที่อ่อนแอพานางกับน้องชายกลับมาบ้านแม่ ใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้น พวกนางอยู่ที่นี่อย่างไม่ได้รับการต้อนรับ นอกจากท่านยาย ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่ที่ค่อนข้างดีต่อพวกนาง คนสกุลจย่าที่เหลือต่างเห็นพวกนางขวางหูขวางตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านตาจย่าเซ่อ* คนไม่ต่างกับชื่อ ตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่สุด ไม่ยอมควักแม้แต่อีแปะเดียว เห็นว่าบุตรสาวเมื่อแต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้าน ไม่ใช่คนสกุลจย่าอีกต่อไป จึงรังเกียจที่พวกนางกลับมากินมาใช้ทรัพย์สินของเขา ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้พวกนางสองพี่น้องดู

เพื่อไม่ให้คนสกุลจย่าเห็นว่าพวกนางมากินอยู่ด้วยเปล่าๆ มารดากับนางจึงทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่หยุด ทำงานในนาเสร็จก็หันมาทำงานบ้าน ซักเสื้อผ้า หุงข้าว กวาดถู ให้อาหารสัตว์ แม้แต่หยวนเอ๋อร์ที่ตอนนั้นเพิ่งอายุสี่ขวบก็ต้องช่วยเก็บผักให้หมู เก็บเศษไม้มาทำฟืน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นงานที่พวกนางสามแม่ลูกต้องทำ

ราวหกวันก่อนหน้านี้ ท่านป้ารองเข้าใจว่านางแอบขี้เกียจไม่ทำงาน ขว้างจอบในมือมาที่นาง เดิมทีควรจะกระทบถูกแผ่นหลัง แต่นางทั้งข้าวเช้าและข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน หิวจนหน้ามืดตาลาย เท้าลอยๆ กำลังจะล้มลง พอดีจอบนั่นก็ลอยมากระแทกถูกศีรษะของนาง เหมยหรูเซียนเจ้าของร่างเดิมจึงดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง

เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าคนในครอบครัวลุงรองจะสูญสิ้นจิตใจที่รู้ดีชั่ว ถึงกับคิดจะอาศัยศพของเหมยหรูเซียนมาคว้าโชคลาภที่ได้มาโดยไม่คาดคิด ขายนางให้ผู้อื่นนำไปแต่งงานกับคนตาย น่าโมโหยิ่งนัก รอนางหายจากอาการบาดเจ็บ กำลังกายฟื้นคืนมาแล้ว มาดูว่านางเทพน้อยแห่งหายนะจะจัดการกับคนในครอบครัวลุงรองอย่างไร

เห็นเหมยชิงหยวนดื่มแล้วเหมือนยังไม่สาสมใจ เลียชามทั้งใบเสียจนเกลี้ยงเกลา นางก็ลูบศีรษะเขาด้วยความปวดใจ เอาชามในมือเขาวางลง “พี่จะให้ของสิ่งหนึ่งแก่เจ้า”

“ของอะไรหรือ”

ก่อนหน้านี้นางได้ใช้วิชาเวทที่ใกล้จะสูญสลายควบคุมอีกาบนต้นไม้ตัวนั้น ให้มันไปหาของกินมาให้ อีกาตัวนั้นก็ไปคาบผลไม้จำนวนหนึ่งมาให้จริงๆ ยังมีของกินเล่น ขนมหวานจำนวนมาก นางเอาของกินเหล่านี้ซุกไว้ในกองฟาง

เหมยหรูเซียนยื่นมือไปคลำหาในกองฟาง ได้ผลผิงกั่ว* หอมหวานสีแดงสดใสออกมาลูกหนึ่ง นางวางมันไว้ในฝ่ามือของเขา “ให้”

เหมยชิงหยวนเบิกตาโตมองผิงกั่วในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “พี่สาว เหตุใดจึงมีผิงกั่ว”

นางชี้ไปนอกหน้าต่าง พูดไปเรื่อยเปื่อย “เห็นอีกาตัวนั้นหรือไม่ มันคาบมาให้พี่ เอามาวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง เจ้ารีบกินเถอะ หาไม่ถูกจย่าตัวฝูเห็นเข้า เขาก็จะมาแย่งเจ้าอีก”

“ตีให้ตายข้าก็ไม่ให้จย่าตัวฝู!” พอนึกถึงจย่าตัวฝูบุตรชายคนเล็กสุดของจย่าเอ้อร์หลาง เหมยชิงหยวนก็มีสีหน้าโกรธแค้น

“เช่นนั้นยังไม่รีบกิน”

“แต่ว่าพี่สาว ข้าอยากเก็บไว้ให้ท่านแม่กิน…ท่านแม่ไม่มีของดีกินเลย…”

“เจ้าวางใจกินเถิด ส่วนของท่านแม่ข้าเก็บไว้แล้ว รอท่านแม่กลับมาข้าก็จะเอาให้นาง”

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เหมยชิงหยวนจึงวางใจกัดผิงกั่วคำใหญ่ด้วยความเบิกบานใจ “พี่สาว ผิงกั่วนี่หอมยิ่งนัก อร่อยมาก” เขายื่นผิงกั่วมาถึงปากนาง “พี่สาว ท่านก็กัดคำหนึ่ง เรากินด้วยกัน”

นางทำท่ากัดผิงกั่วไปคำหนึ่งก่อนลูบศีรษะเขาแผ่วเบา “หยวนเอ๋อร์ของเราช่างว่านอนสอนง่าย พี่กัดคำหนึ่งก็พอแล้ว ที่เหลือหยวนเอ๋อร์กินเถอะ ตอนอีกาคาบมาพี่กินไปแล้ว”

“พี่สาว ต่อไปอีกายังจะคาบของมาให้เรากินอีกหรือไม่”

“คาบกระมัง…” นางก็ไม่รู้พลังอาคมจะสูญสลายไปเมื่อไร ได้แต่พยายามสั่งอีกาก่อนอาคมจะสูญสลาย

“ดียิ่งนัก” พอได้ยินเช่นนั้น เหมยชิงหยวนก็ดีใจแทบกระโดดขึ้นมา “เช่นนี้ต่อไปข้ากับท่านแม่และพี่สาวก็ไม่ต้องทนหิวแล้ว พี่สาว ท่านเรียกอีกาเข้ามาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

“เจ้ารอก่อน พี่จะลองดูว่าเรียกอีกามาได้หรือไม่” นางขมวดคิ้วหลุบตาเรียกหาอีกา ครู่เดียว อีกาก็บินมาที่ข้างหน้าต่างจริงๆ นางใช้พลังอาคมกับอีกาอีก สั่งให้มันไปหาอาหารมา

อีกาคล้ายเข้าใจคำสั่งของนาง มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากบินวนอยู่สองรอบก็บินไปทางทิศตะวันออก

นางมองท้องฟ้าสีครามเข้มแวบหนึ่ง ก่อนจะหอบหายใจหนักๆ ด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง รู้สึกอย่างชัดเจนว่าพลังอาคมในร่างของตนแทบจะสูญสิ้นหมดแล้ว

ไม่มีพลังอาคมให้พึ่งพา ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา เพียงใช้สมองเล็กน้อยก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและรู้สึกหิวโหย

นางโอบร่างเหมยชิงหยวนที่กินผิงกั่วแทบจะหมดลูกแล้วเข้ามา เกลี้ยกล่อมเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หยวนเอ๋อร์ พี่จะบอกกับเจ้า ไม่ว่าต่อไปอีกายังจะคาบของมาให้เราหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าไม่อาจพูดออกไป รู้หรือไม่ เจ้าคงไม่อยากให้ต่อไปสิ่งของที่อีกาคาบมาให้ถูกคนแย่งเอาไป หรืออีกาถูกจับตัวไปกระมัง”

“ไม่อยาก”

“ดังนั้นเจ้าต้องจำไว้ เรื่องนี้ไม่อาจพูดออกไปเด็ดขาด และไม่อาจบอกคนอื่นว่าเรากินอะไรไปบ้าง ดีหรือไม่”

“พี่สาววางใจ ข้าไม่พูดแน่นอน ข้าไม่อยากท้องหิว”

“ดี นี่เป็นความลับของเจ้ากับพี่”

“ตกลง เราเกี่ยวก้อยกัน” เหมยชิงหยวนงอนิ้วก้อยขึ้น

เหมยหรูเซียนก็ยื่นนิ้วก้อยออกไป “ตกลง เกี่ยวก้อยกัน นี่เป็นความลับของเราสองคน ใครก็ห้ามพูดออกไป ใครพูดออกไปเป็นลูกหมา”

“ข้าไม่เป็นลูกหมา” เหมยชิงหยวนเอ่ยคำพูดแบบเด็กๆ

“ได้ หยวนเอ๋อร์ไม่เป็นลูกหมา เช่นนั้นก็ต้องรักษาความลับไว้ให้ดี” นางอุ้มน้องชายเข้ามาในอ้อมอกของตน มองดวงตาใสกระจ่างระยิบระยับของเขา อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเขาไปทีหนึ่ง “หยวนเอ๋อร์วางใจ รอร่างกายพี่แข็งแรงดีก่อน พี่จะต้องให้หยวนเอ๋อร์กับท่านแม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย”

ในเมื่อนางมีชีวิตอยู่ต่อมาแทนเหมยหรูเซียน นางก็มีภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติต้องดูแลมารดาและน้องชายของเหมยหรูเซียนให้ดี คนที่เคยข่มเหงรังแกพวกเขา นางเทพน้อยแห่งหายนะผู้นี้จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!

 

จย่าเอ้อร์หลางได้แต่มองเงินหนึ่งร้อยตำลึงปลิวหายไปต่อหน้าต่อตา ทั้งตนเองยังถูกทำให้ตกใจจนสามวิญญาณเจ็ดจิต* หายไปครึ่งหนึ่ง ได้แต่นอนอยู่บนเตียงมาสามวัน หลังจากกินอาหารเช้าแล้วก็ยังคงใช้ข้ออ้างเดิม บอกตนถูกทำให้ตกใจขวัญกระเจิง กระทั่งตอนนี้มือเท้าก็ยังอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถทำงานได้ มาเป็นข้ออ้างในการหนีงาน

ผู้เฒ่าจย่าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ยอมทำลายกฎเกณฑ์ควักเงินยี่สิบอีแปะ* ให้เขาไปหาแม่หมอที่ตำบลเพื่อทำพิธีเรียกขวัญ

จย่าเอ้อร์หลางกลับเข้าห้องพักด้วยความชื่นมื่น เพิ่งจะเอนกายลงคิดจะหลับต่ออีกสักพัก ก็ได้ยินเสียงมารดาเอะอะเอ็ดตะโรใส่ภรรยาของตน น่ารำคาญยิ่งนัก เพราะเรื่องจะขายนางเด็กต่ำช้าเหมยหรูเซียนให้บ้านสกุลซุน ทำให้มารดาโกรธภรรยาของเขาอย่างถึงที่สุด จะต้องดุด่าและส่งเสียงดังใส่เฮ่อซื่อทุกวัน

เขาโมโหฮึดฮัดขึ้นมาจึงสะบัดผ้าห่มออก เอาเงินยี่สิบอีแปะใส่ไว้ในกระเป๋าและหมุนตัวเดินออกประตู คิดจะไปเดินเที่ยวเตร่ที่ตำบล ถือโอกาสซื้อสุราสักไหมาปลอบบำรุงขวัญ หาไม่ขืนยังอยู่ในบ้าน ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องเสียสติเป็นแน่

มาถึงตำบล จย่าเอ้อร์หลางยืนอยู่หน้าหอสุราเจินซิว วันนี้เขาเป็นคนมีเงิน หอสุราแห่งนี้เขาก็เข้าได้ เงินเหล่านั้นสร้างความมั่นใจให้กับเขาอย่างมาก

เขาเชิดหน้าเดินอาดๆ เข้าไปในหอสุราเจินซิว พอเข้าไปถึงด้านในก็โก่งคอร้องขึ้น “เสี่ยวเอ้อร์ เอาสุรามาให้ข้านายท่านหนึ่งไห ยังมีถั่วลิสงอีกจานหนึ่ง”

“ได้ขอรับ นายท่าน เชิญท่านนั่งที่ด้านโน้น” เสี่ยวเอ้อร์ในร้านหยิบผ้าที่พาดอยู่บนไหล่ลงมาปัดฝุ่นละอองบนโต๊ะที่มองไม่เห็นว่ามีออกด้วยมือไม้คล่องแคล่วว่องไว

“รีบไปๆ”

ไม่นาน สิ่งที่จย่าเอ้อร์หลางต้องการก็ถูกส่งมาวางอยู่ตรงหน้าเขา เขาทางหนึ่งดื่มสุรา ทางหนึ่งก็แกะถั่วลิสงกิน ท่าทางสบายใจยิ่ง นี่จึงจะเป็นชีวิตในแบบที่เขาต้องการ

เขายกสุราขึ้นจิบด้วยความอิ่มเอมใจ ในขณะที่เตรียมจะวางจอกสุราในมือลงอยู่นั้นก็เห็นหลงจู๊เกากลับเข้ามาที่หอสุรา กำลังพลิกดูสมุดบัญชีหัวคิ้วขมวดมุ่น

วันก่อนรถม้าที่หลงจู๊เกานั่งไปล้อรถตกลงไปในหลุมโคลน ทำอย่างไรก็เอาขึ้นมาไม่ได้ เขาไปพบจึงเข้าไปช่วยเหลือ รถม้าของหลงจู๊เกาจึงหลุดพ้นความลำบากมาได้ เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรพวกเขาสองคนก็นับว่ามีมิตรภาพต่อกันอยู่บ้าง จึงเดินเข้าไปทักทาย “หลงจู๊เกาพักนี้สบายดีหรือ”

หลงจู๊เกาเหลือบตาขึ้นมองจย่าเอ้อร์หลางแวบหนึ่งพลันรู้สึกว่าคุ้นหน้า พอมองอย่างละเอียดอีกครั้งก็จำเขาได้ จึงวางสมุดบัญชีลงเดินออกจากโต๊ะบัญชียาว พูดคุยด้วยอย่างอบอุ่น “นี่ไม่ใช่จย่าเอ้อร์หลางหรอกหรือ วันนี้เหตุใดเจ้าจึงมีเวลาว่างมาที่ตำบลได้ เจ้าก็ไม่บอกผู้แซ่เกาสักคำ จะได้จัดโต๊ะเลี้ยงต้อนรับเพื่อแสดงน้ำใจเล็กน้อยตอบแทนเรื่องวันนั้น”

“เรื่องวันนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หลงจู๊เกาท่านไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”

หลงจู๊เกาเห็นสุราชั้นเลวกับถั่วลิสงบนโต๊ะของเขาก็รีบสั่งห้องครัวทันที “ไปจัดเตรียมสุราอาหารชั้นดีมาหนึ่งโต๊ะ”

จย่าเอ้อร์หลางพอได้ยินในใจเบิกบานใจยิ่ง แต่ปากก็ไม่ลืมพูดออกตัว “หลงจู๊เกา อย่าเลย วันนี้ข้าไม่ได้มาหาข้ออ้างเพื่อหาผลประโยชน์อะไรจากท่าน ท่านทำเช่นนี้กลับทำให้ข้าดู…”

ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกสุราบริสุทธิ์คุณภาพค่อนข้างดีมาหนึ่งไหพร้อมทั้งกับแกล้มอีกหลายอย่าง

“วันนั้นหากไม่ได้เจ้า ข้าคงติดอยู่กลางทางไปไหนไม่ได้” หลงจู๊เกากล่าวยิ้มๆ “เจ้าดื่มกินให้เต็มที่ มื้อนี้ข้ารับรองเจ้าเอง”

“ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะ” จย่าเอ้อร์หลางไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบได้ก็ลงมือกินทันที เขากินอย่างเอร็ดอร่อยส่งเสียงดังจุ๊บจั๊บตลอดเวลา

ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยได้กินอาหารเช่นนี้ของหอสุราเจินซิว กลิ่นหอมของสุรากับกลิ่นหอมของอาหารทำเอาน้ำลายของเขาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว ไม่ฉวยโอกาสกินให้อิ่มในวันนี้ ยังจะรอถึงเมื่อไร

หลงจู๊เกาแม้จะนั่งรับรองเขาอยู่ข้างๆ แต่สีหน้าก็ยังคงไม่ค่อยดี

จย่าเอ้อร์หลางที่เคยชินต่อการดูสีหน้าคนเอ่ยถามด้วยความใส่ใจ “หลงจู๊เกา ไม่ได้พบกันหลายวัน สีหน้าของท่านเหตุใดจึงดูแย่ลง หน้าตาไม่เบิกบาน หรือว่ามีเรื่องกลัดกลุ้มอะไร”

หลงจู๊เกาถอนหายใจยาว “เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย คิดถึงเรื่องนี้ข้าก็ปวดหัว”

จย่าเอ้อร์หลางรินสุราให้เขาพลางเอ่ยถาม “หลงจู๊เกา ท่านอยู่ในตำบลฝูเต๋อเราพูดได้ว่ามีเงินมีอำนาจ ยังจะมีเรื่องอะไรทำให้ท่านกลัดกลุ้มได้อีก หากท่านเจอปัญหายุ่งยากอะไรจริง ลองพูดออกมาให้ข้าฟัง ไม่แน่ข้าอาจช่วยท่านได้อีกแรง”

จย่าเอ้อร์หลางชาวนายากจนผู้นี้นับว่ารู้จักพูดจา หลงจู๊เกาจึงไม่เบื่อหน่ายรำคาญ เขายกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดจอกก่อนจะบอกด้วยเสียงไม่ดังนัก “เรื่องนี้เจ้าช่วยไม่ได้หรอก เจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว”

“หลงจู๊เกา ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ท่านลำบากใจเช่นนี้” จย่าเอ้อร์หลางรีบเติมสุราให้เขา “ถ้าท่านไว้ใจข้าก็ลองเล่าให้ข้าฟังเถิด ไม่แน่ข้าอาจช่วยได้จริงๆ”

หลงจู๊เกานึกถึงเรื่องนั้นก็ทอดถอนใจอีก “เฮ้อ เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านผู้เฒ่าของเราแต่ไรมาร่างกายแข็งแรง ทว่าไม่กี่วันก่อนจู่ๆ ก็ล้มป่วยลง การล้มป่วยครั้งนี้เกือบจะเอาชีวิตของเขาไปครึ่งหนึ่ง กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่หาย ยังคงนอนอยู่บนเตียง บุตรสาวของนายท่านผู้เฒ่าไปถามเทพที่อารามเต๋า ได้ความว่าบุญวาสนาของนายน้อยรุ่งเรืองเฟื่องฟูเกินไป ปะทะถึงนายท่านผู้เฒ่า จึงต้องจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวง

ความจริงจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่ยากก็คือจะให้นายน้อยแต่งภรรยาที่ดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อย จะดีที่สุดถ้าดวงชะตาเป็นภัยต่อบิดา เป็นภัยต่อมารดาอีกด้วย เพื่อจะได้ลดทอนบุญวาสนาของนายน้อย เช่นนี้นายท่านผู้เฒ่าจึงจะหายเป็นปกติได้”

“อา แต่งภรรยาที่ดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อย ทั้งยังเป็นภัยต่อบิดา เป็นภัยต่อมารดา ไม่ว่าใครก็อยากแต่งภรรยาที่วาสนาดี ครอบครัวนายท่านผู้เฒ่าของท่านกลับจะแต่งกับคนที่ไม่มีใครต้องการ” จย่าเอ้อร์หลางย่นหัวคิ้ว

“นั่นสิ เรื่องนี้ก็จนปัญญา นายน้อยบุญวาสนาสูงเทียมฟ้าต้านไม่ไหวย่อมส่งผลกระทบถึงคนในครอบครัว ถึงได้คิดจะใช้วิธีนี้มาลดทอน” หลงจู๊เกาส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา “หญิงสาวบ้านใดยินดียอมรับว่าตนดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อยกันเล่า คู่แต่งงานที่จะมาแต่งด้วยย่อมหาไม่ง่าย เบื้องบนจึงมีคำสั่งลงมา ให้ทุกคนช่วยกัน”

“เรื่องนี้หายากจริง…”

“หรือมิใช่เล่า มีหรือจะง่ายดายเช่นนั้น บุตรสาวของนายท่านผู้เฒ่านั่งอยู่ข้างเตียงนายท่านผู้เฒ่าใช้น้ำตาล้างหน้าทุกวัน ร้อนใจจนแทบกินข้าวไม่ลงแล้ว” หลงจู๊เกาทอดถอนใจด้วยความเศร้าอาดูร “วันนี้ข้าพาหมอดูไปที่ว่าการอำเภอด้วยกัน ใช้เงินขอให้นายอำเภอเอาสมุดทะเบียนราษฎร์ให้พวกเราดู หมอดูตรวจสอบไปทีละคน คำนวณไปทีละคน ลำบากไม่น้อยกว่าจะพบหญิงสาวที่ดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อยคนหนึ่ง จึงรีบไปที่บ้านนางทันที”

“เป็นอย่างไร อีกฝ่ายตกลงหรือไม่”

หลงจู๊เกาบอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ตกลงหรือ ข้ากับหมอดูแทบจะถูกคนบ้านนั้นตีตาย ต้องหนีออกมาอย่างทุลักทุเล”

“เรื่องนี้ลำบากแล้ว”

“นั่นสิ การแต่งงานครั้งนี้ถ้าสามารถเจรจาให้สำเร็จได้ เบื้องบนย่อมมีรางวัลแน่นอน เห็นเงินลอยไปมาอยู่ตรงหน้า กลับไม่อาจคว้าไว้ได้”

พอได้ยินคำว่า ‘เงิน’ จย่าเอ้อร์หลางนัยน์ตาสาดประกายวาวขึ้นมาทันที “หลงจู๊เกา ท่านบอกมา หญิงสาวผู้นี้ต้องมีชะตาแปดอักษร* เช่นไร”

“ดีที่สุดต้องเกิดวันเดียวกันกับนายน้อยของเรา คนละปีไม่เป็นไร หรือไม่ก็ต้องเป็นวันกับเวลาตามนี้…”

“ท่านไม่ใช่บอกว่านายน้อยของพวกท่านบุญวาสนาเทียมฟ้า เหตุใดคนเกิดวันเดียวกันกลับดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อยเล่า”

“การประกอบกันของวันและเวลาที่นายน้อยของเราถือกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะพานพบในรอบร้อยปี หากเป็นชายก็จะมีบุญวาสนาเทียมฟ้า หากเป็นหญิงก็จะกลับตาลปัตรตรงข้ามกัน”

จย่าเอ้อร์หลางพยักหน้าอย่างตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน “เรื่องนี้ช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ”

“หรือมิใช่เล่า ดวงแข็ง ดวงชะตาต่ำต้อย ยังเป็นภัยต่อบิดามารดา จะไปหาที่ใดได้ หญิงสาวที่มีดวงชะตาเช่นนี้พอเกิดมาก็ถูกโยนลงถังปัสสาวะจมน้ำตายไปแล้วกระมัง”

นัยน์ตาของจย่าเอ้อร์หลางกลอกไปมาหลายครั้ง ดื่มสุราไปอีกหลายจอก ก่อนจะพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ จึงโน้มตัวลงไปชิดร่างหลงจู๊เกาพลางกระซิบเบาๆ “หลงจู๊เกา ข้าพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ เป็นหลานสาวของข้าเอง เวลาเกิดของนางข้าจำได้ไม่แน่ชัด ทว่าข้าจำได้ว่าวันที่นางเกิดเป็นวันเทศกาลตวนอู่* ช่วงบ่ายของวันเทศกาลตวนอู่ พ่อของนางมาแจ้งข่าวดี บอกว่าน้องสาวของข้าคลอดลูกสาว ตอนนั้นมีหมอดูเซียนเดินผ่านมาได้ยินเวลาตกฟากของนางก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง ดวงชะตาต่ำต้อยก็แล้วไปเถิด ยังเป็นภัยต่อบิดาเป็นภัยต่อมารดา ตอนนั้นทุกคนต่างไม่ใส่ใจ ปรากฏว่าเพียงไม่กี่ปีพ่อของนางก็ถูกดวงชะตาของนางส่งผลกระทบตายไปแล้ว”

“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”

จย่าเอ้อร์หลางมองแววตาคมกริบของหลงจู๊เกาอย่างใจฝ่อแวบหนึ่ง คิดจะหาคำพูดอะไรมากลบเกลื่อน แต่พอนึกถึงเงินจิตใจที่รู้บาปบุญคุณโทษก็ถูกเงินกลบฝังไปหมด ฝืนทำจิตใจให้สงบแล้วพยักหน้า พูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เรื่องก็เป็นเช่นนั้น หลานสาวของข้าคนนั้นปีที่แล้วทำให้พ่อของนางตาย และได้ตามแม่ของนางกลับมาอยู่บ้านตายาย แต่นับแต่ครอบครัวของนางสามคนกลับมา ไก่ที่บ้านข้าเลี้ยงไว้ก็เหมือนติดโรคห่าไก่พากันล้มตาย ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อหลายวันก่อนศีรษะของนางถูกทุบ นอนหายใจรวยรินอยู่สามวัน ไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ แต่ท่านรู้หรือไม่ มหัศจรรย์ยิ่ง!”

“มหัศจรรย์อย่างไรกัน”

“เห็นอยู่ว่านางไม่มีลมหายใจแล้ว กำลังจะหามออกไปฝัง ในเวลานั้นเองจู่ๆ นางก็ลืมตาโตขึ้นมามองพวกเราอย่างน่าสะพรึงกลัว ทำเอาพวกเราขวัญกระเจิงกันไปทั้งบ้าน”

หลงจู๊เกานัยน์ตาเบิกกว้าง “มีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ!”

จย่าเอ้อร์หลางกระตุกชายแขนเสื้อหลงจู๊เกาทีหนึ่งพลางลดเสียงลงต่ำแล้วว่า “ท่านดูเถิด หากไม่ใช่นางดวงแข็ง ยมบาลมีหรือจะไม่กล้ารับนางไป ทั้งยังส่งนางกลับมาอีก”

“คำพูดของเจ้าออกจะมีเหตุผล ดวงแข็งทั้งยังเป็นภัยต่อบิดานับเป็นตัวเลือกที่ดี” หลงจู๊เกาพยักหน้าเห็นด้วย “เพียงแต่อาศัยเพียงสองเรื่องนี้ยังไม่พอ ยังต้องรู้วันเดือนปีเกิด…”

“หลงจู๊เกา เมื่อครู่ท่านไม่ใช่บอกว่ามีอักษรแปดตัวอันหนึ่งเป็นวันเทศกาลตวนอู่หรอกหรือ” จย่าเอ้อร์หลางเอ่ยเตือนเขา

“จริงด้วย พอร้อนใจขึ้นมา ข้าถึงกับลืมไปเสียได้ เจ้าแน่ใจหรือว่าหลานสาวของเจ้าคนนั้นเกิดในวันเทศกาลตวนอู่ ข้าขอเตือนเจ้าอย่างจริงจัง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเจ้าพูดจาหลอกลวงเพียงเพราะอยากได้เงินรางวัล นายท่านของเราหาใช่พวกถือศีลกินเจ”

“หลงจู๊เกา ท่านดีต่อข้าเพียงนี้ ข้าจย่าเอ้อร์หลางหลอกลวงใครก็ไม่อาจหลอกลวงท่าน ท่านว่าใช่หรือไม่ อีกทั้งคนที่เราเอ่ยถึงนี้ ทางนายท่านของพวกท่านก็ต้องตรวจวันเดือนปีเกิดให้แน่ชัดก่อนจึงจะเห็นชอบ ไม่ผิดกระมัง”

“ไม่ผิด”

“หลงจู๊เกา ไว้กลับไปแล้วข้าจะส่งอักษรแปดตัวที่ถูกต้องของนางหนูนั่นมาให้ ถ้าเหมาะสม เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของข้าเอง รับรองไม่ทำให้งานใหญ่ของนายท่านของท่านต้องล่าช้าแน่นอน”

“เรื่องนี้ถ้าทำสำเร็จ นายท่านของเราต้องตอบแทนอย่างงามแน่นอน ส่วนหลานสาวผู้นั้นของเจ้าก็จะไม่ทำให้นางต้องเสียเปรียบ”

หลงจู๊เกามองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเขาแล้วไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่พอนึกถึงภารกิจที่นายท่านมอบหมาย ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงให้นายท่านรู้ว่าเขาพยายามทำงานให้นายท่านเต็มที่แล้วก็พอ

“เอ้า เงินสามสิบตำลึงนี่เจ้าเอาไปใช้จ่ายก่อน เรื่องนี้ก็ขอมอบให้เจ้า หลังจากเรื่องสำเร็จแล้วย่อมต้องตอบแทนให้อย่างงาม ผลประโยชน์ส่วนของเจ้าไม่ขาดหายแน่นอน” หลงจู๊เกาผลักตั๋วเงินสามสิบตำลึงใบหนึ่งมาตรงหน้าเขา

พอเห็นตั๋วเงิน จย่าเอ้อร์หลางก็ดีใจยิ้มแย้มหน้าบาน ผงกศีรษะติดๆ กัน “หลงจู๊เกา ท่านวางใจ ขอเพียงอักษรแปดตัวเหมาะสมกัน ข้าจะต้องทำให้น้องสาวของข้าเห็นดีเห็นงามให้หลานสาวแต่งกับนายน้อยบ้านท่าน”

“อืม ข้าจะรอเจ้าส่งอักษรแปดตัวมา”

“จริงสิ หลงจู๊เกา ก่อนที่เรื่องนี้จะสำเร็จ ท่านไม่อาจแพร่งพรายออกไป ถ้าให้ท่านแม่ข้ารู้เรื่องนี้เข้า นางจะต้องเอามีดหั่นผักฟันข้าแน่”

“เจ้าวางใจเถิด การจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงเดิมก็เป็นเรื่องที่ถูกคนตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีอักษรแปดตัวแบบนั้น พูดออกไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อหญิงสาวผู้นั้น ไม่ว่าเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็จะปิดเป็นความลับอย่างแน่นหนา”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ข้าจะกลับไปเอาอักษรแปดตัวเดี๋ยวนี้” จย่าเอ้อร์หลางหลังจากค้อมเอวก้มคำนับก็รีบคว้าตั๋วเงินสามสิบตำลึงกลับไปหมู่บ้านต้าเคิง

ทุกวันผู้เฒ่าจย่าจะต้องมายืนที่หน้าประตูแผดเสียงด่าว่าต่างๆ นานาว่าตนเลี้ยงคนเสียข้าวสุก นางเด็กต่ำช้ารู้จักแต่กินไม่ทำงาน มีดวงชะตาสาวใช้แต่ทำตัวเป็นคุณหนู ด้วยเหตุนี้เมื่อแผลบนศีรษะของเหมยหรูเซียนเพิ่งจะดีขึ้น แม้จย่าอิ๋งชุนจะไม่อาจตัดใจเพียงใดก็ไม่กล้าให้นางนอนรักษาตัวอยู่ในห้องต่อไป และให้นางจูงน้องชายไปข้างนอกช่วยหาผักให้หมู จะได้ไม่ต้องอยู่บ้านถูกผู้เป็นตาอ้างเหตุหาเรื่องยุ่งยากมาให้

เหมยหรูเซียนจูงมือเหมยชิงหยวนไปพลางสำรวจสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านต้าเคิงไปด้วย ที่นี่เป็นหลุมใหญ่จริงด้วย* นางทำให้ตนเองติดหล่มอยู่ในหลุมแล้ว จึงตกลงมาสิงร่างคนในสถานที่เช่นนี้

ตอนนั้นนางน่าจะเล็งให้แม่นยำหน่อย พุ่งไปยังเมืองใหญ่ที่เจริญคึกคัก ถึงไม่อาจเป็นบุตรสาวคนร่ำรวยมีฐานะสูงส่ง อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้พอมีอันจะกินกระมัง

แต่ปรากฏว่ากลับมาอยู่ที่ชนบทกันดารจนไม่อาจจะกันดารมากไปกว่านี้ได้อีก คิดจะหาที่ทำงานสักแห่งก็ยังหาไม่ได้

หมู่บ้านต้าเคิงแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบในหุบเขาหนิวปี๋ ประชากรในหมู่บ้านไม่น้อย ราวร้อยกว่าครัวเรือนได้ นอกจากคนพื้นเพที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในละแวกใกล้เคียงกระจัดกระจายมานานนับสิบชั่วคนจำนวนสี่สิบกว่าหลังแล้ว คนในหมู่บ้านที่เหลือส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่หนีภัยและความวุ่นวายอันเกิดจากสงครามเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนเข้ามาที่นี่ สุดท้ายก็พักอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ และหุบเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นหมู่บ้านขึ้นมา

ที่นี่แม้จะมีคนไม่น้อย แต่สถานที่กว้างใหญ่มาก ครัวเรือนส่วนใหญ่ตั้งกระจัดกระจายไปทั่ว บ้านแต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันมาก ตามที่นางคาดเดาด้วยสายตาระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อยต้องมีหลายร้อยฉื่อ* ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำอาชีพปลูกข้าวโพด

เวลานี้ไม่ใช่ช่วงยุ่งกับการเพาะปลูก ด้วยเหตุนี้จึงมักเห็นคนแก่จับกลุ่มกันสามคนห้าคนอยู่ใต้ต้นไม้พูดคุยเล่นกัน

มองชาวบ้านเหล่านั้นที่เอาแต่จับกลุ่มกันซุบซิบนินทา นางก็อดแค่นเสียงดูถูกอยู่ในใจไม่ได้ ไม่ขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ มิน่าหมู่บ้านต้าเคิงจึงเป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในเมืองโยวโจว

ที่นี่บ้านทุกหลังล้วนเป็นกระท่อมมุงหญ้าคา น่าจะใช้เวลาที่ว่างจากงานในไร่นามาซ่อมแซมหลังคาบ้าน เปลี่ยนหญ้าที่มุงหลังคาเสียใหม่ ทว่าตลอดทางที่เดินผ่านมาสิ่งที่นางเห็นก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านสกุลจย่าหลังคาบ้านมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด ขอเพียงฝนตกลงมาแรงหน่อย น้ำก็จะรั่วเข้าไปในบ้านได้

จากจุดนี้ก็พอจะมองเห็นแล้วว่าคนในหมู่บ้านนี้เกียจคร้าน ยอมปล่อยให้น้ำฝนรั่วเข้าบ้าน แล้วจับกลุ่มพูดคุยเล่นกันอยู่ข้างนอก เช่นนี้จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร

คนบ้านสกุลจย่าเองก็เป็นเช่นนี้ ตอนพวกนางสามคนกลับมาถึงบ้านสกุลจย่า นอกจากท่านยายกับท่านลุงใหญ่แล้ว คนอื่นที่เหลือต่างแทบรอไม่ไหวที่จะโยนงานทั้งนอกบ้านในบ้านให้พวกนางสามแม่ลูก ตนเองจะได้ไปเที่ยวเล่น

ถ้านางกับแม่และน้องชายอยู่ที่นี่ต่อไป สักวันไม่ช้าก็เร็วต้องถูกพวกเขาทรมานจนตาย ไม่ได้ นางจะต้องคิดหาหนทางพาแม่กับน้องชายไปจากที่นี่

“พี่สาว ท่านกำลังโกรธอะไรอยู่หรือ”

“ไม่มี พี่ไม่ได้โกรธ”

“แต่สีหน้าของท่านเหมือนกำลังโกรธอยู่” เหมยชิงหยวนมองนางด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย

“ไม่มี พี่ไม่ได้โกรธ พี่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่” นางจูงเหมยชิงหยวนเดินขึ้นเขาไปตามทางเดินเล็กๆ

เมื่อนึกถึงว่าตอนเช้าพี่สาวไม่ได้เอาของให้เขากิน เหมยชิงหยวนก็อดถามขึ้นไม่ได้ “พี่สาว อีกายังไม่ได้คาบของมาให้ท่านหรือ”

นางจูงเขาเดินมาถึงหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลง จุดนี้ค่อนข้างสูง สามารถมองลงไปเห็นทัศนียภาพในหมู่บ้าน “มา เรามานั่งตรงนี้กัน”

รอเขานั่งลงเรียบร้อย นางก็หยิบลูกกวาดสีสันสดใสแวววาวห่อเล็กห่อหนึ่งออกมาจากหลัวไม้ไผ่ที่แบกอยู่ข้างหลัง “เอ้า ให้”

เหมยชิงหยวนร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ลูกกวาด!”

“หยวนเอ๋อร์กินเถิด นี่เป็นลูกกวาดใส ช่วงก่อนหน้านี้อีกาคาบกลับมา” นางหยิบลูกกวาดใสรสส้มเม็ดหนึ่งยัดใส่ปากเขา

“พักนี้ไม่เห็นอีกาเลย นี่อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่อีกาคาบกลับมาให้ แต่หยวนเอ๋อร์วางใจ พี่ไม่ให้หยวนเอ๋อร์กับท่านแม่ต้องทนหิวแน่” นางไม่มีวิชาเวทแล้ว ไม่อาจควบคุมอีกาได้ เมื่อนึกถึงอนาคตข้างหน้า แม้นางจะพูดอย่างมั่นเหมาะ ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกหวั่นหวาดกับอนาคตอันเลือนรางยิ่ง

“เช่นนั้นข้าจะกินทีละน้อย หาไม่อีกไม่นานก็จะไม่มีแล้ว”

“ไม่ เจ้ากินให้หมดเถิด หาไม่กลับไปถูกคนอื่นเห็นเข้าก็จะยุ่งยากแล้ว”

“ได้ เช่นนั้นข้าจะกินลูกกวาดให้หมด ไม่เหลือให้พวกเขากินแม้แต่เม็ดเดียว”

“หยวนเอ๋อร์ เจ้านั่งกินลูกกวาดอยู่ที่นี่ พี่จะไปหาผักหาหญ้าให้หมูกิน”

เหมยหรูเซียนหยิบเคียวขึ้นมา ตัดหญ้าหมูที่ขึ้นอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ด้วยมือไม้ที่คล่องแคล่ว “หยวนเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปจากหินใหญ่ก้อนนั้น ถ้ามีเรื่องอะไรก็ตะโกนเรียกพี่ดังๆ รู้หรือไม่”

“ได้”

เหมยหรูเซียนตัดหญ้าหมูไป ฉับพลันนั้นเองก็เห็นบนเนินเบื้องหน้ามีศาลเจ้าที่ผุพังอยู่แห่งหนึ่ง นางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วมองไปที่ศาลเจ้าที่แวบหนึ่ง จึงได้พบว่าผู้เฒ่าเจ้าที่ถึงกับปรากฏตัวออกมาแล้ว และกำลังกวักมือให้นางอยู่

“เทพน้อยแห่งหายนะ เทพน้อยแห่งหายนะ!”

นางหันไปมองเหมยชิงหยวนที่กำลังกินลูกกวาดใสอย่างมีความสุขแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินไปหาผู้เฒ่าเจ้าที่ “ผู้เฒ่าเจ้าที่ เจ้าเรียกหาข้าหรือ”

“คารวะเทพน้อยแห่งหายนะ” ผู้เฒ่าเจ้าที่ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม

“ผู้เฒ่าเจ้าที่ เวลานี้ข้ามีความผิดติดตัวอยู่ ไม่ต้องทำความเคารพข้า ข้ารับไม่ไหว” นางไม่วางใจเหมยชิงหยวน คอยหันไปมองเขาอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเอ่ยปากเร่งรัดอีกฝ่าย “มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด”

“เทพน้อยแห่งหายนะ เมื่อวันก่อนข้าโชคดีได้ไปร่วมงานเลี้ยงของเทพประจำเมือง บังเอิญได้พบเทพน้อยแห่งเคราะห์ที่มาทำธุระเข้าพอดี ข้าได้รับการไหว้วานจากเทพน้อยแห่งเคราะห์ให้แอบมาบอกท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ท่านต้องจำไว้ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”

“พูดมา”

“เรื่องนี้” ผู้เฒ่าเจ้าที่หยิบเหอเปาที่เปล่งประกายวิบวับด้านบนปักตัวอักษรคำว่า ‘ซวย’* อยู่ตัวหนึ่ง เป็นงานปักที่ฝีมือประณีตงดงามยิ่งยื่นส่งให้นาง “เทพน้อยแห่งเคราะห์ต้องใช้เวลาไปไม่น้อยกว่าจะช่วยท่านเอาคืนมาได้ ครั้งนี้ตั้งใจเอาติดมา ทั้งยังบอกข้าว่าถ้าพบท่านให้มอบให้ท่าน และยังบอกให้กำชับท่านไม่อาจสาปแช่งผู้อื่นให้พบความหายนะส่งเดช เดือนหนึ่งอย่างมากทำได้เพียงสองครั้งเท่านั้น”

ได้เห็นเหอเปาแห่งหายนะที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา จิตใจที่อึดอัดกลัดกลุ้มของเหมยหรูเซียนก็เปลี่ยนเป็นคึกคักสดใส ทว่าพอได้ยินคำสั่งกำชับของผู้เฒ่าเจ้าที่ นางก็หุบรอยยิ้มมุมปาก ถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดกัน”

“เทพน้อยแห่งเคราะห์บอกว่าเซียนเทพสูงสุดไม่ได้เรียกคืนอาคมสาปแช่งของท่าน ก็เพราะตั้งใจให้ท่านกระทำความผิด ถ้าคำสาปแช่งให้หายนะใช้ออกมามากย่อมผิดกฎเซียน ถึงเวลานั้นแม้จะใช้ชีวิตหมดไปชาติหนึ่งแล้ว ท่านก็ไม่อาจกลับแดนเซียนได้ทันที ยังมีอีกยามนี้เทพน้อยแห่งเคราะห์ถูกจับตามองแล้ว นอกจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็ไม่อาจลอบลงมาแดนมนุษย์ได้ชั่วคราว ขอให้ท่านรักษาตัวให้ดี จำไว้ว่าเพื่อจะกลับสวรรค์ จะต้องอดทนต่อความอัปยศและภาระที่หนักหนา”

ได้ยินผู้เฒ่าเจ้าที่กล่าวเช่นนี้ในใจของเหมยหรูเซียนก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ เทพน้อยแห่งเคราะห์ช่างสมกับเป็นสหายที่ดีที่สุดในแดนเซียนของนาง เสี่ยงต่ออันตรายที่จะถูกจับได้มาช่วยนาง

น้ำใจของเทพน้อยแห่งเคราะห์นางจดจำไว้แล้ว รอนางกลับไปแดนเซียนเมื่อไร จะต้องตอบแทนเทพน้อยแห่งเคราะห์ให้เต็มที่เป็นแน่

เหมยหรูเซียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายความรู้สึกซาบซึ้งในใจลง ก่อนจะพยักหน้าบอก “ข้ารู้แล้ว”

“เทพน้อยแห่งหายนะ ท่านเข้าใจความตั้งใจดีของเทพน้อยแห่งเคราะห์ก็ไม่เสียแรงที่นางเสี่ยงภัยเอาเหอเปาของท่านออกมา ถ้าไม่มีเรื่องอื่นใด ข้าก็ขออำลาแล้ว”

“อ้อ ช้าก่อน ผู้เฒ่าเจ้าที่ ละแวกใกล้เคียงมีของป่าอะไรที่มีค่าพอจะขายเอาเงินได้หรือไม่ อย่างเช่นโสมอะไรพวกนั้น”

“ของพวกนี้ต้องเข้าไปในป่าลึกจึงจะมี ละแวกใกล้เคียงไม่มี เทพน้อยแห่งหายนะ ท่านจะเอาโสมไปทำอะไรหรือ” ผู้เฒ่าเจ้าที่ถาม

“ขายเอาเงินสิ เจ้าน่าจะรู้สถานการณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้กับเรื่องท่านแม่ของข้า ข้าจะต้องหาเงินพาท่านแม่กับน้องชายย้ายออกมา”

ผู้เฒ่าเจ้าที่ลูบๆ เคราขาวโพลนของตนพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เทพน้อยแห่งหายนะ ที่นี่แม้จะไม่มีโสม ทว่าเดินจากตรงนี้ขึ้นไปมีศาลเทพแห่งขุนเขาที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปีแห่งหนึ่ง เพิ่งถูกทิ้งร้างมาได้สิบกว่าปี ด้านหลังรูปปั้นเทพมีเห็ดหลิงจือร้อยปีอยู่ดอกหนึ่ง”

“ศาลเทพแห่งขุนเขา”

“ใช่ รูปปั้นเทพผุพังแล้ว ตรงด้านหลังศีรษะมีเห็ดหลิงจือใหญ่อยู่ดอกหนึ่ง ท่านไปเด็ดเอามาได้ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่…” ดวงตาชราที่เฉียบแหลมของผู้เฒ่าเจ้าที่มองไปยังข้อมือนาง “แต่เทพน้อยแห่งหายนะ ท่านมีสิ่งล้ำค่าอยู่กับตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเรื่องการดำรงชีวิตแม้แต่น้อย”

“ข้ามีสิ่งล้ำค่าอยู่กับตัว?” สิ่งล้ำค่าของนางเหลือเพียงเหอเปาแห่งหายนะ และเหอเปาใบนี้ก็มีผลต่อการเรียกคืนคำสาปเท่านั้น

“เทพน้อยแห่งเคราะห์บอกว่ากำไลไม้ที่นางมอบให้ก่อนหน้านี้ก็คือสิ่งล้ำค่า ตอนท่านเข้ามาอยู่ในร่างนี้ กำไลไม้ได้เข้ามาซุกซ่อนอยู่ในดวงวิญญาณของท่าน ท่านลองนึกถึงรูปร่างลักษณะของกำไลไม้ เรียกกำไลไม้ออกมา ข้างในนั้นมีพื้นที่อยู่แห่งหนึ่ง ท่านเพียงหลับตานึกถึงอย่างจดจ่อ ก็จะเข้าไปได้”

เหมยหรูเซียนหวนนึกอยู่ครู่หนึ่ง กำไลไม้ก็ปรากฏขึ้นมาบนข้อมือจริงๆ นางมองกำไลไม้ที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรแปลกประหลาด นึกไม่ถึงว่าจะมีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่ วันที่นางจะลงมาสู่แดนมนุษย์ ตอนเทพน้อยแห่งเคราะห์ไล่ตามมาดูเหมือนจะเคยบอก แต่ช่วงที่ผ่านมานางใจคออึดอัดกลัดกลุ้มสับสนวุ่นวาย ลืมเรื่องกำไลไม้ไปเสียสนิท เมื่อผู้เฒ่าเจ้าที่เอ่ยเตือน นางจึงนึกขึ้นได้

“ข้าจะลองดู” นางหลับตานึกถึงอย่างจดจ่อครู่หนึ่ง แล้วพูดในใจ ข้าจะเข้าไป

จากนั้นร่างพลันไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบเขียวชอุ่มต้นหนึ่ง ไม่ไกลจากที่นั่นยังมีต้นไม้ที่ติดผลส่งกลิ่นหอมหวานโชยมาอยู่หลายต้นทำให้นางอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้

ทว่าข้างนอกยังมีเหมยชิงหยวนอยู่ ถ้าจู่ๆ นางเกิดหายตัวไป จะต้องทำให้เขาตกใจมาก นางรีบเด็ดผลไม้ไปหลายลูก แล้วร้องว่า “ออกไป” ร่างก็ออกมาอยู่ข้างศาลเจ้าที่แล้ว

ผู้เฒ่าเจ้าที่ยิ้มพลางผงกศีรษะด้วยความพอใจ “ดูเหมือนท่านจะได้พบสิ่งมหัศจรรย์ในพื้นที่แห่งนั้น”

“มีหรือไม่ข้าไม่รู้ ข้าเป็นห่วงว่าน้องชายไม่เห็นข้าจะร้องไห้ จึงเพียงเด็ดผลไม้ไม่กี่ลูกก็รีบออกมา” นางยัดผลไม้สามลูกที่ต่างชนิดกันใส่มือผู้เฒ่าเจ้าที่ “ผลไม้นี่ท่านเอาไปกินเถิด ได้กลิ่นหอมมาก รสชาติเป็นอย่างไรก็ไม่รู้”

ผู้เฒ่าเจ้าที่มองผลไม้เซียนสามลูกด้วยสีหน้าดีอกดีใจยิ่ง รีบเอาเก็บไว้ในแขนเสื้อพลางกล่าวยิ้มๆ “ขอบคุณเทพน้อยแห่งหายนะ”

“เอาล่ะ ข้าไปก่อนล่ะ จริงสิ เห็ดหลิงจือต้นนั้นเจ้าช่วยเฝ้าไว้ให้ข้าให้ดี อย่าให้คนอื่นมาเด็ดเอาไปก่อน ข้าจะหาเวลาสักวันมาเด็ด”

“เทพน้อยแห่งหายนะท่านวางใจเถิด ข้าจะดูแลอย่างดี”

“ดี ข้าไปล่ะ”

บทที่สาม

 หลังจากทำงานทุกอย่างเสร็จ พอกลับมาถึงกระท่อมที่พักชั่วคราวของพวกนาง เหมยหรูเซียนก็แทบอดใจรอไม่ไหวอยากจะเข้าไปในพื้นที่ลับที่อยู่ในกำไลไม้ ดูว่าข้างในมีของล้ำค่าอะไรบ้าง

เพียงแต่ก่อนจะเข้าไปในพื้นที่ลับในกำไลไม้ นางฉุกคิดอยู่ชั่วขณะ ทุกคนต่างรู้ว่านางกลับมาที่กระท่อม ถ้าตอนนี้นางเข้าไปในพื้นที่ลับ จู่ๆ หายตัวไปเช่นนี้ พวกเขากลับมาไม่เห็นนางอยู่จะไม่เที่ยวหานางไปทั่วหรือ

ไม่รู้ว่าเข้าไปแต่ดวงจิตได้หรือไม่… นางเพิ่งคิดเช่นนี้ ร่างทั้งร่างก็คล้ายไร้กระดูกอ่อนระทวยลงไปกับพื้น และดวงวิญญาณของนางได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ลับในกำไลไม้แล้ว

นางมองดูตนเองที่อยู่ในพื้นที่ลับด้วยความตื่นเต้นดีใจ คิดไม่ถึงว่ากำไลวงนี้ถึงกับใช้ดวงวิญญาณเข้ามาได้ ร่างกายอยู่ข้างนอก คนอื่นย่อมเข้าใจว่านางนอนหลับไป เว้นก็แต่จะมีคนมาตรวจดูลมหายใจของนาง หาไม่ย่อมไม่พบสิ่งผิดปกติ ทว่านางยังอยากจะหาวิธีพลิกแพลงใช้เพียงดวงจิตเข้ามา เช่นนั้นก็จะสะดวกทั้งไม่ถูกคนสงสัยอีกด้วย

ไม่รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีอะไรลี้ลับมหัศจรรย์ ถึงได้ทำให้เทพแห่งความสุขที่สมควรถูกสับเป็นพันชิ้นนำมาขอโทษนาง

นางเดินวนไปรอบหนึ่ง พบว่าพื้นที่ไม่กว้างนัก แต่สิ่งที่เพาะปลูกอยู่ข้างในกลับมีมากพอ นอกจากต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าต้นนั้นแล้ว ยังมีไม้ผลที่ให้ผลต่างๆ อีกหลายต้น มีต้นหม่อนหลายสิบต้นกับตาน้ำพุแห่งหนึ่ง บนต้นไม้ใหญ่นั่นยังมีรังผึ้งห้อยติดอยู่รังหนึ่ง

เทพแห่งความสุขผู้นี้ช่างประหลาดเสียจริง ปลูกต้นหม่อน เลี้ยงผึ้งไว้ในพื้นที่แห่งนี้ หรือว่าต่อไปภายหน้าเขาไม่อยากเป็นเทพเซียนแล้ว คิดจะเปลี่ยนมาเป็นชาวไร่ชาวนา…

ขณะที่นางกำลังหัวเราะเยาะเทพแห่งความสุขอยู่ในใจ หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่มีหีบสมบัติสีแดงอยู่หีบหนึ่ง

เทพแห่งความสุขคงไม่ใช่เอาเงินทองเพชรนิลจินดาที่รีดนาทาเร้นมาได้ในช่วงหลายปีนี้เก็บไว้ในหีบสีแดงใบนี้กระมัง

นางเปิดหีบสมบัติออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ข้างในเต็มไปด้วยข้าวของวางระเกะระกะ ไม่ว่าอะไรก็มี แต่ไม่มีเงินทองเพชรนิลจินดาเลยแม้แต่น้อย

เหมยหรูเซียนดูไปทีละอย่าง คิดว่าสิ่งของเหล่านี้คงเป็นของที่เซียนคนอื่นๆ มอบให้เทพแห่งความสุข เขาได้รับมาแล้วก็โยนไว้ในหีบใบนี้

นางหยิบได้หูกทอผ้ากระจุ๋มกระจิ๋มเครื่องหนึ่ง อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ คนที่มอบหูกทอผ้าให้เทพแห่งความสุขจะต้องเป็นเทพธิดาทอผ้าแน่นอน มิน่าจนแล้วจนรอดเทพธิดาทอผ้าก็ไม่ได้รับการให้ความสำคัญเป็นพิเศษจากเทพแห่งความสุข นางมอบของให้ผิดไปแล้ว เทพธิดาทอผ้าน่าจะมอบวัวให้เทพแห่งความสุขสักตัวหนึ่ง ให้เขาไปเลี้ยงวัว เป็นหนุ่มเลี้ยงวัวของแดนเซียน

นางวางหูกทอผ้าเล็กๆ นั่นลงบนพื้น นึกไม่ถึงว่าพอแตะถูกพื้นดิน หูกทอผ้าเล็กพลันเปลี่ยนเป็นใหญ่เท่าของจริง ทำให้นางตื่นเต้นดีใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าหีบสมบัติสีแดงใบนี้จะสามารถทำให้สิ่งของที่ใส่เข้าไปหดเล็กลงได้

นางรีบค้นสิ่งของในหีบสมบัติต่อไป ก่อนจะหยิบได้ตลับหยกเล็กๆ ใบหนึ่ง ในนั้นมีตัวไหมอยู่เต็มไปหมด ก็ใช่ ในนี้มีใบหม่อน มีหูกทอผ้า ย่อมไม่อาจขาดตัวไหม

นางค้นได้หนังสือสองเล่มจากก้นหีบ เล่มหนึ่งเป็นวิธีทอผ้าที่เทพธิดาทอผ้ามอบให้ ‘วิธีทอผ้าฉบับสมบูรณ์’ อีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือแนะนำประโยชน์ของพื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้

พื้นที่แห่งนี้โดยหลักๆ แล้วใช้ผลิตน้ำผึ้งกับเลี้ยงตัวไหม ตัวไหมเหล่านั้นเป็นตัวไหมเซียน สร้างใยไหมเซียนโดยเฉพาะ และน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งเหล่านั้นสามารถรักษาโรคได้ร้อยแปด ถอนพิษนานาชนิด ที่สำคัญที่สุดก็คือนางยังหาวิธีใช้ดวงจิตเข้ามาได้แล้ว ครานี้ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วจริงๆ

คิดไม่ถึงเลยว่าเทพแห่งความสุขจะมีของล้ำค่าเช่นนี้ ของเหล่านี้แม้อยู่ในแดนเซียนจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่อยู่ในแดนมนุษย์กลับมีประโยชน์อย่างมาก มีพื้นที่ลับแห่งนี้อยู่ คิดว่าวันเวลาในภายภาคหน้าของนางคงไม่ลำบากเท่าไรแล้ว

ในขณะที่นางกำลังค้นต่อไปว่าพื้นที่แห่งนี้ยังมีเรื่องอะไรให้นางตื่นเต้นดีใจอีกหรือไม่ หน้าประตูใหญ่บ้านสกุลจย่าก็กำลังทะเลาะกันวุ่นวาย เสียงคำรามหนึ่งสูงหนึ่งต่ำดังขึ้นไม่หยุด แม้แต่เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปห้าร้อยฉื่อเหล่านั้นต่างก็ได้ยินเสียงโก่งคอแผดคำรามแว่วๆ

เสียงนี้ดึงดูดคนในหมู่บ้านให้แห่กันมา ที่ข้างกำแพงหน้าประตูใหญ่มีคนในหมู่บ้านมาห้อมล้อมมุงดูอยู่เต็มไปหมด

“ข้าไปรับปากจะให้หลานสาวแต่งไปบ้านนายท่านของพวกเจ้าเพื่อช่วยแก้ดวงตั้งแต่เมื่อไร!” ผู้เฒ่าจย่าแผดเสียงคำรามใส่หลงจู๊เกาที่ยืนอยู่หน้าประตู

สกุลจย่าของเขาแม้จะยากจน แต่ยังนับว่ามีข้าวกินอิ่มท้อง ถ้าขายหลานสาวให้คนไปแต่งงานแก้ดวง เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เขาผู้เป็นเสาหลักของบ้านไม่อาจปล่อยให้คนในหมู่บ้านด่าว่าประณามได้! อย่าว่าแต่เขามีเป่าเหลียนหลานสาวที่เกิดจากลูกชายคนรองอยู่เพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตัดใจให้นางแต่งไปเพื่อแก้ดวงให้ผู้อื่นได้

“หลงจู๊เกาจะมาซื้อนางหนูจย่าเป่าเหลียนนั่นไปแต่งงานเพื่อแก้ดวงหรือ”

“โธ่เอ๊ย น่าขายหน้ายิ่งนัก”

“เพื่อเงินที่สุกใสแวววาวแล้วถึงกับขายหลานสาวไปแก้ดวงให้คนอื่น สูญสิ้นจิตใจที่รู้ชั่วดี น่าอับอาย!”

ผู้เฒ่าจย่าเห็นสายตาดูถูกดูแคลนของคนในหมู่บ้านก็พลันอับอายจนหน้าแดง มือใหญ่ยกขึ้นโบกแรงๆ “ท่านเอาเงินกับของเต็มคันรถนี้กลับไปเสียเถิด บ้านสกุลจย่าของข้าต่อให้อดตาย ยากจนตาย ก็ไม่มีวันขายเป่าเหลียนให้พวกท่านไปล้างเสนียดจัญไร ท่านเลิกล้มความคิดนี้เสียเถิด”

“ใช่แล้ว เป่าเหลียนของเราเป็นลูกรักของบ้าน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ขายให้พวกท่านเด็ดขาด” เฮ่อซื่อคว้าจอบพุ่งออกมาเอ่ยเสียงแหลมด้วยโทสะที่พุ่งสูงเทียมฟ้า “ถ้าพวกท่านยังกล้าคิดจะเอาตัวเป่าเหลียนของเราไป ข้าก็จะยอมทุ่มชีวิต สู้ตายกับพวกท่าน!”

หลงจู๊เกาย่นหัวคิ้ว มองผู้เฒ่าจย่าและคนสกุลจย่าที่อยู่ข้างหลังเขา กระแอมเสียงหนักออกมาคำหนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าเป่าเหลียนที่พวกเจ้าพูดคือใคร ทว่าแม่นางที่ข้าจะมาพาตัวไปวันนี้หาได้ชื่อเป่าเหลียนไม่”

“ไม่ใช่เป่าเหลียน เช่นนั้นท่านมาทำอะไรที่บ้านข้า” ผู้เฒ่าจย่าถามขึ้น

“ข้ามารับตัวแม่นางเหมยหรูเซียน มารดาของนางลงชื่อแล้ว ขายนางในราคาห้าสิบตำลึงให้นายท่านของเราไปแต่งงานแก้ดวง วันนี้ข้ามารับตัวไปจากนั้นก็จ่ายเงินห้าสิบตำลึงให้พวกเจ้า” หลงจู๊เกาหยิบสัญญาที่มีลายนิ้วมือประทับเป็นหลักฐานออกมา กวัดแกว่งตรงหน้าคนทั้งบ้าน

พอได้ยินว่าคนที่เขาจะมาเอาตัวไปคือเหมยหรูเซียน ผู้เฒ่าจย่ากับเฮ่อซื่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จย่าอิ๋งชุนที่หลบอยู่ด้านหลังสุดมาโดยตลอดพอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็พุ่งออกมาลนลานโต้แย้งทันที “ไม่มีๆ ข้าไม่เคยบอกจะขายหรูเซียนของเรา ยิ่งไม่เคยลงชื่อหรือประทับลายนิ้วมือในสัญญาขายตัวอะไรด้วย”

“ไม่มี? ในสัญญาฉบับนี้ที่ประทับอยู่คือลายนิ้วมือของเจ้า!”

“ไม่มีจริงๆ ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน” จย่าอิ๋งชุนสั่นศีรษะเอาเป็นเอาตายพลางร้องขึ้นมาด้วยความร้อนใจ “เรื่องขายลูกสาวเช่นนี้ ตีให้ตายข้าก็ไม่มีทางทำ!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร จย่าเอ้อร์หลางบอกว่าเจ้าเป็นคนประทับลายนิ้วมือด้วยตนเอง ไม่ผิดแน่” ทางนายท่านได้มีคำสั่งลงมาแล้ว ให้เขารีบเอาคนส่งไปเมืองหลวง หลงจู๊เกาไม่อยากทำให้เรื่องที่ได้รับมอบหมายมาต้องล้มเหลว ตอนนี้เขาคิดเพียงหาตัวคนให้พบแล้วคุมตัวไป

“พี่รองของข้า…ไม่มี…ข้าไม่เคย…” จย่าอิ๋งชุนมองสัญญาขายตัวในมือหลงจู๊เกาใบนั้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทันใดนั้นนางก็เบิกตาโพลง หันไปมองเฮ่อซื่อ ยกมือชี้หน้าอีกฝ่าย กล่าวประณามด้วยความโกรธแค้น “พี่สะใภ้รอง เป็นเจ้า วันนั้นเจ้าโกหกข้าบอกผู้ใหญ่บ้านจะแจกข้าว คนที่รับต้องประทับลายนิ้วมือ เป็นเจ้าที่หลอกข้าขายหรูเซียนให้ผู้อื่นไปแก้ดวง!”

พอรู้ว่าคนที่จะแต่งงานเพื่อแก้ดวงให้ผู้อื่นไม่ใช่บุตรสาวของตน เฮ่อซื่อก็ไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ยืนในท่าสามเจ็ด* สองมือกอดอก หยักยกมุมปากดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่น “เสี่ยวกู ที่ข้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อเจ้า เจ้าแม่ม่ายตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกสาวที่ดวงชะตาต่ำต้อยเป็นภัยต่อผู้เป็นพ่อ คิดจะแต่งออกไปก็ยาก ข้าตั้งใจดีช่วยเจ้าขจัดอุปสรรคปัญหา เจ้าดูของหมั้นหนึ่งคันรถยังมีเงินอีกห้าสิบตำลึง ในหมู่บ้านมีบ้านใดให้ได้ สำหรับลูกสาวของเจ้าแล้วเรียกได้ว่าเป็นโชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า เจ้าน่ะรีบรับไว้เสียจะดีกว่า”

“เจ้าเป็นป้าสะใภ้นางเหตุใดจึงใจดำอำมหิตเช่นนี้! ยังมีจิตสำนึกรู้ดีชั่วหรือไม่ หากไม่ใช่ขายหรูเซียนให้คนตายไปเข้าพิธีแต่งงานระหว่างคนตาย ก็จะขายให้คนไปแต่งงานแก้ดวง หรูเซียนของเราไปล่วงเกินอะไรเจ้าหรือ” เพื่อลูกแล้วแม่ย่อมเข้มแข็ง จย่าอิ๋งชุนที่แต่ไรมาอ่อนแอไม่อาจสะกดกลั้นโทสะได้อีกต่อไป นางแผดเสียงคำรามใส่เฮ่อซื่อ “นางไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษสกุลเหอของเจ้า หรือเอาลูกของเจ้าโยนลงบ่อน้ำ เจ้าถึงได้ทำร้ายนางเช่นนี้ ข้าขอบอกกับเจ้า ต่อให้ข้าต้องสู้ตาย ก็จะไม่ให้หรูเซียนไปแต่งงานเพื่อแก้ดวงให้ผู้อื่น!”

เฮ่อซื่อเบิกตากว้าง “เจ้าพูดอะไร ข้ากำลังช่วยครอบครัวของเจ้า เจ้าถึงกับเห็นความหวังดีของผู้อื่นเป็นดั่งตับปอดลา* ถ้าเจ้าอยู่ไม่ได้ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ กินข้าวของพวกเราเปล่าๆ แล้วยังกล้าเสียงดังตำหนิข้า”

“เจ้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมาก็ไม่กลัวลิ้นจะเคล็ด เจ้าแน่จริงก็เอามือชี้ฟ้าพูดอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อว่าฟ้าจะไม่ผ่าเจ้าตาย”

“จย่าอิ๋งชุน เจ้าแน่มาก ถึงกับกล้าแช่งข้า!”

จย่าอิ๋งชุนกระโจนเข้าไปขยุ้มผมเฮ่อซื่อและตบหูนางไปฉาดหนึ่งด้วยความโมโห “แช่งเจ้าแล้วอย่างไร สตรีที่ดีแต่คิดร้ายต่อผู้อื่นอย่างเจ้า ต้องไม่ได้ตายดีแน่นอน”

“ดี เจ้าถึงกับกล้าตีข้า เบื่อหน่ายชีวิตแล้วสิ!” เฮ่อซื่อก็ดึงทึ้งเส้นผมนางอย่างไม่ยอมแพ้ และข่วนใบหน้าของนาง

ต่อหน้าธารกำนัล สตรีสองคนทะเลาะตบตีกันวุ่นวาย ผู้เฒ่าจย่าเห็นแล้วหางตากระตุกไม่หยุด หันไปตวาดลูกสะใภ้คนโตที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ “สะใภ้ใหญ่ เจ้ายังจะมองอะไร ยังไม่รีบแยกพวกนางออกจากกันอีก”

วังซื่อเดินเข้าไปจะแยกคนทั้งสองออกจากกัน คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกเฮ่อซื่อข่วนหน้าเอาเสียก่อนแล้ว โทสะจึงพวยพุ่งขึ้นมาทันที ถือโอกาสนี้เอาแค้นเก่าบวกแค้นใหม่มาคิดบัญชีกับเฮ่อซื่อไปพร้อมกันเสียเลย

มองเผินๆ เหมือนวังซื่อจะเข้าไปแยกคนทั้งสอง แต่กลับร่วมมือกับจย่าอิ๋งชุนคอยหยิกตรงจุดที่ไม่มีใครเห็น เฮ่อซื่อจะอย่างไรก็สู้พวกนางไม่ไหว ถูกหยิกถูกตีจนร้องโอดโอย

หลงจู๊เกาเห็นแล้วมุมปากกระตุกไม่หยุด อยากจะหมุนตัวเดินจากไปยิ่งนัก แต่คำสั่งของนายท่านยังดำเนินการไม่ลุล่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไปไม่ได้ จำต้องชมละครฉากใหญ่นี้ต่อไป

ในเวลานั้นจย่าต้าหลางที่ทำงานอยู่ในไร่นาได้รับการแจ้งข่าวจากคนในหมู่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปแล้ว ก็ถือจอบเร่งรุดกลับมาถึง

เขาไม่เห็นสตรีสามคนที่ตบตีกันนัวเนียอยู่ที่พื้น เพียงเงื้อจอบในมือจะฟาดหลงจู๊เกาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “เจ้าโจรสุนัขที่จิตใจไม่รู้ดีชั่ว อย่าคิดว่าเจ้ามีเงินเน่าเหม็นไม่กี่ก้อนก็จะมาบังคับซื้อคนที่หมู่บ้านของเราได้ ข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย!”

จย่าซานหลางที่ได้พักงานและเพิ่งกลับมาจากตำบลรีบเข้าไปกอดตัวเขาไว้แน่น “พี่ใหญ่ หยุดก่อน คนที่เขาจะมาพาไปไม่ใช่เป่าเหลียน ท่านอย่าบุ่มบ่าม”

“ไม่ใช่เป่าเหลียน?”

“ใช่ คนที่หลงจู๊เกาจะมาพาไปคือหรูเซียน” จย่าซานหลางพูดพลางพยักหน้า

“ไม่ว่าจะมาเอาตัวเป่าเหลียนหรือหรูเซียน ข้าก็ไม่รับปากทั้งนั้น วันนี้ข้าจะต้องเล่นงานคนผู้นี้ให้ได้!” จย่าต้าหลางจะพุ่งเข้าไปอีกครา

“ต้าหลาง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ คนที่หลงจู๊เกาจะมาเอาตัวไปคือหรูเซียน นางไม่ใช่คนสกุลจย่าเรา เจ้าจะร้อนรนอะไร ก็ให้หลงจู๊เกาเอาตัวไปเถิด ทิ้งเงินไว้ก็พอ”

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไร!” จย่าต้าหลางกับจย่าอิ๋งชุนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจ มองผู้เฒ่าจย่าที่เลือดเย็นไร้ความเมตตา แบ่งหลานนอกหลานใน* ออกจากกันอย่างชัดเจน ในดวงตาเต็มไปด้วยความคาดคิดไม่ถึง

“อะไร ข้าพูดผิดหรือ หรูเซียนนางเด็กต่ำช้านั่นแซ่เหมยไม่ได้แซ่จย่า” ผู้เฒ่าจย่าถลึงตาใส่พวกเขาสองพี่น้องแวบหนึ่ง

จย่าต้าหลางฟังแล้วเพลิงโทสะก็พวยพุ่งขึ้นมาทันที อดที่จะตวาดใส่ผู้เฒ่าจย่าด้วยความโมโหไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ดีชั่วหรูเซียนก็เป็นหลานตาของท่าน!”

“หลานตาแล้วอย่างไร ไม่ใช่คนสกุลเดียวกันย่อมไม่เหมือนกัน เจ้าหุบปากไป!” ผู้เฒ่าจย่าหันไปเรียกจย่าฝูเป่าบุตรชายคนโตของเฮ่อซื่อ “ไปเรียกหรูเซียนออกมาตามหลงจู๊เกาไป”

จย่าฝูเป่าได้ยินดังนั้นก็ราวกับมีลมอยู่ใต้ฝ่าเท้า วิ่งไปที่ลานด้านหลังอย่างรวดเร็ว

เมื่อวานท่านแม่บอกแล้ว ขอเพียงขายเหมยหรูเซียนไปเสีย พวกเขาก็จะได้กินเนื้อสัตว์ทุกวัน ยังจะแต่งภรรยาให้เขาได้อีกด้วย ดังนั้นนับตั้งแต่เมื่อวาน เขาก็ตั้งตารอให้คนที่จะซื้อนางเด็กต่ำช้ารีบปรากฏตัวขึ้น

เมื่อครู่มีเรื่องเอะอะเอ็ดตะโรกันเช่นนั้น เขาก็เป็นห่วงว่าเรื่องแต่งภรรยาจะไม่มีหวังแล้ว ตอนนี้เขาเพียงคิดว่าขายนางเด็กต่ำช้าเหมยหรูเซียนออกไปได้เร็วหน่อยก็ย่อมได้เงินมาเก็บอยู่ข้างกายเร็วหน่อย

จย่าอิ๋งชุนที่อยู่ด้านข้างไม่มีเวลาจะมาทะเลาะตบตีกับเฮ่อซื่ออีก นางคุกเข่าลงข้างเท้าผู้เฒ่าจย่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางร้องเรียก “ท่านพ่อ ท่านเองก็พูดแล้ว หรูเซียนนางแซ่เหมยไม่ได้แซ่จย่า ท่านไม่มีสิทธิ์ขายนาง”

“ข้าเป็นคนขายนางหรือ เป็นเจ้าที่เป็นแม่เป็นคนขายนางเอง เจ้าเป็นคนประทับลายนิ้วมือเองแล้วยังไม่ยอมรับ ถ้านางเด็กต่ำช้านั่นจะโทษก็ต้องโทษตนเองที่มีแม่ไม่มีตาอย่างเจ้า ถ้าเจ้ายังเอะอะโวยวายอีก ก็พาลูกชายของเจ้าไสหัวไปให้พ้น!” ผู้เฒ่าจย่าถีบจย่าอิ๋งชุนกระเด็นไป ก่อนจะตวัดชายแขนเสื้อไปนั่งสูบยาฝิ่นอยู่ด้านหนึ่ง

“ท่านแม่…” จย่าอิ๋งชุนหันไปมองมารดาที่มีสีหน้าอับจนปัญญาอยู่ด้านข้างด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เพียงเห็นมารดาสั่นศีรษะให้นางอดทนอดกลั้น ความไม่เป็นธรรมและความเจ็บแค้นเศร้าโศกเสียใจที่ได้รับได้หลอมรวมเป็นหยาดน้ำตา นางร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้

จย่าฝูเป่ามาเรียกเหมยหรูเซียนที่ลานด้านหลังด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่เพิ่งจะมาถึงลานด้านหลัง ประตูกระท่อมยังไม่ได้ถูกเขาถีบให้เปิดออกก็ได้ยินเสียงร้องไห้ราวหัวใจแตกสลายของเหมยชิงหยวนดังมาจากข้างใน…

“พี่สาว ท่านอย่าตายนะ…”

จย่าฝูเป่าในใจร้องแย่แล้ว รีบพุ่งเข้าไปในกระท่อม เพียงเห็นเหมยหรูเซียนนอนอยู่บนพื้นแน่นิ่งไม่ขยับ เขาลองเอานิ้วมือแหย่ไปที่ใต้จมูกนางด้วยความหวาดผวา พลันพบว่านางไม่มีลมหายใจแล้ว จึงรีบพุ่งออกนอกกระท่อมไปร้องตะโกนขึ้น “แย่แล้ว! เหมยหรูเซียนตายแล้ว นางเด็กต่ำช้านั่นตายอีกแล้ว!”

คำว่า ‘ตายอีกแล้ว’ ประหนึ่งฟ้าผ่าลงมาบนที่ราบ ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงลานด้านหน้าหัวหมุนทำอะไรไม่ถูก

“เจ้าว่าอะไรนะ! นางเด็กต่ำช้านั่นตายอีกแล้ว?!” ผู้เฒ่าจย่าคว้าตัวจย่าฝูเป่ามาถามด้วยความตื่นตระหนก

จย่าฝูเป่าสีหน้าซีดเผือด พยักหน้าอย่างแข็งทื่อ “ใช่ นางตายอีกแล้ว ข้าเพิ่งจะเอามือจ่อที่ใต้จมูกนาง ไม่มีลมหายใจเลย นอนอยู่กับพื้น น่ากลัวยิ่งนัก…”

เฮ่อซื่อที่ถูกทุบตีจนนอนฟุบอยู่กับพื้นคล้ายอยากไปดูกับตาตนเองว่าข่าวนี้จริงหรือไม่ พลันกระโดดขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งไปที่ลานด้านหลังทันที

จย่าอิ๋งชุนที่คุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้นก็รีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าแล้ววิ่งไปที่ลานด้านหลัง ในเวลานี้นางคิดว่าบุตรสาวตายไปเสียยังจะดีกว่า แต่งงานเพื่อแก้ดวงให้ผู้อื่นเกิดปะทะถูกดีร้ายอะไรขึ้นมา อนาคตของบุตรสาวย่อมมีชีวิตดั่งอยู่ในนรก บุตรสาวของนางเพิ่งอายุสิบสี่ ชีวิตยังอีกยาวไกล!

หลงจู๊เกาที่อยู่ด้านนอกก็ตระหนักว่าเหตุการณ์ไม่ดีแล้ว จึงรีบตามเข้าไปดูให้รู้แน่ เห็นอยู่ว่ากำลังจะดำเนินการตามคำสั่งนายท่านลุล่วงอยู่แล้ว เหตุใดคนจู่ๆ ก็มาตายลงได้ แล้วจะให้เขากลับไปชี้แจงอย่างไร

คนสกุลจย่าที่เหลือก็รีบวิ่งไปดูให้แน่ชัด มีทั้งคนที่รู้สึกว่าเรื่องเกี่ยวพันกับเงินห้าสิบตำลึงกับของหมั้นหนึ่งคันรถ และมีทั้งคนที่เป็นห่วงด้วยความบริสุทธิ์ใจ

คนทั้งกลุ่มเบียดเสียดเข้าไปในกระท่อม สิ่งที่เห็นก็คือร่างของเหมยหรูเซียนนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ไม่มีลมหายใจแล้วจริงๆ

จย่าอิ๋งชุนผลักทุกคนออกแล้วพุ่งเข้าไปกอดบุตรสาว ร้องไห้คร่ำครวญราวหัวใจจะแตกสลาย “หรูเซียน ลูกสาวที่ว่านอนสอนง่ายของแม่…”

เฮ่อซื่อกลับโกรธจนชี้หน้าเหมยหรูเซียนด่าว่าเสียงดัง “นางเด็กสมควรตาย! ดาวหายนะชัดๆ ไม่ตายช้าไม่ตายเร็ว คุณชายซุนฝังไปแล้วเจ้าถึงตาย จงใจกลั่นแกล้งพวกเราสกุลจย่า เจ้าคงไม่ต้องการเห็นสกุลจย่าเราสุขสบายกระมัง”

ผู้เฒ่าจย่าที่เดิมทีก็หงุดหงิดโมโหว่าเหมยหรูเซียนมาเพิ่มความยุ่งยากให้ที่บ้านอยู่แล้ว พอได้ยินคำด่าว่าของเฮ่อซื่อก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที เห็นว่าหลานสาวคนนี้จงใจทำให้พวกเขาไม่ได้เงินมา ทำให้เงินหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ว่าจะเป็นสิบตำลึงหรือห้าสิบตำลึงก็ล้วนเป็นเงินจำนวนมาก เหมยหรูเซียนนางเด็กต่ำช้าผู้นี้ถึงกับทำให้พวกเขาไม่อาจรับเงินมาได้แม้แต่ครั้งเดียว เจตนาทำให้ตาแก่อย่างเขาโมโหชัดๆ

“สะใภ้รอง เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร!” จย่าต้าหลางเอ่ยปากตำหนิเฮ่อซื่อ

ทว่าผู้เฒ่าจย่าก็ตวาดขึ้นทันที “หุบปาก! หรือว่าสะใภ้รองพูดผิด คนสกุลเหมยจงใจมาสร้างภัยพิบัติให้สกุลจย่าเรา”

“ท่านพ่อ!”

หลงจู๊เกาที่มองพวกเขาอย่างเย็นชามาโดยตลอดส่งเสียงกระแอมขึ้นก่อนจะกล่าว “ข้าไม่สนใจว่าในบ้านของพวกเจ้ามีบุญคุณความแค้นหรือข้อพิพาทอะไรกัน เวลานี้คนตายแล้ว ย่อมต้องให้คำอธิบายกับข้า”

“คำอธิบาย? คำอธิบายอะไร เราไม่ได้รับของหมั้นของท่าน ยังจะมีอะไรต้องอธิบาย” จย่าต้าหลางพูดเสียงดัง

“พวกเจ้าไม่ได้รับของหมั้นที่ข้านำมา แต่จย่าเอ้อร์หลางรับเงินข้าไปสามสิบตำลึงทั้งรับรองว่าเรื่องนี้จะต้องสำเร็จ ในเมื่อเรื่องล้มเหลวแล้ว เงินสามสิบตำลึงไม่ใช่สมควรคืนให้ข้าหรอกหรือ” หลงจู๊เกาปั้นหน้าเคร่งขรึมมองผู้เฒ่าจย่าด้วยแววตาเยียบเย็น

เมื่อหลงจู๊เกาพูดออกมาเช่นนี้ คนสกุลจย่าที่อยู่ในกระท่อมทั้งหมดต่างตะลึงงัน

สามสิบตำลึง! จย่าเอ้อร์หลางถึงกับรับเงินสามสิบตำลึงเป็นค่าวิ่งเต้นทำงานให้ผู้อื่น พวกเขาไม่มีใครรู้เรื่องนี้!

ผู้เฒ่าจย่าเหลือบมองไปทางซ้ายขวาหาเงาร่างของจย่าเอ้อร์หลาง ทว่ากลับไม่เห็นตัวเขา ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ในบ้าน เวลานี้ถึงกับหายตัวไปแล้ว!

ผู้เฒ่าจย่านึกขึ้นมาได้ว่านับตั้งแต่หลงจู๊เกาหยิบสัญญาซื้อขายออกมา จย่าเอ้อร์หลางก็หายตัวไป ปล่อยให้ภรรยาทะเลาะตบตีกับผู้อื่นอย่างไม่สนใจไยดี

“เอ้อร์หลาง เอ้อร์หลางเล่า ท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องที่เอ้อร์หลางก่อขึ้น ท่านรีบเรียกเขาออกมา เอาเงินสามสิบตำลึงคืนให้หลงจู๊เกา” จย่าต้าหลางกวาดตามองหาจย่าเอ้อร์หลางไปทั่ว

จย่าซานหลางไปตรวจดูที่ห้องของพี่รองของเขา “ท่านพ่อ พี่รองไม่อยู่ในห้องของพวกเขา”

หลงจู๊เกาหัวเราะเสียงเย็นออกมาสองคำ “ดูท่าจย่าเอ้อร์หลางคงอมเงินของข้าไปแล้ว ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นคนคืนเงินข้าหรือไม่ พวกเจ้าคนสกุลจย่ารับเงินของข้าไปแล้วก็ต้องยอมรับทราบบัญชี ถ้าไม่ยอมรับก็มอบตัวจย่าเอ้อร์หลางมาให้ข้า เงินของข้าผู้แซ่เกาหาใช่จะอมได้ง่ายๆ”

พอได้ยินว่าต้องชดใช้เงินสามสิบตำลึง ผู้เฒ่าจย่าก็มีเหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่าง เงินสามสิบตำลึงแทบจะเป็นทรัพย์สินที่สะสมมาทั้งหมดของบ้านสกุลจย่า จะควักออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร

คนในหมู่บ้านที่พากันมาชมเรื่องสนุกที่ข้างกำแพงบ้านด้านหลังเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ก่อนหน้านี้พวกเขายังแปลกใจว่าเหตุใดหลงจู๊เกาจะต้องให้เหมยหรูเซียนไปแต่งงานเพื่อแก้ดวงให้ผู้อื่น

นี่ก็เพราะจย่าเอ้อร์หลางไปหลอกลวงผู้อื่น ขายหลานสาวของตนเพื่อความร่ำรวยมีหน้ามีตา เรื่องยังไม่สำเร็จก็ไปเรียกร้องผลประโยชน์จากผู้อื่น รับเงินของเขามาแล้ว ทว่าตอนนี้เรื่องล้มเหลวและไม่มีเงินใช้คืน จึงรีบทาน้ำมันที่ใต้ฝ่าเท้าหนีไปแล้ว

หลงจู๊เกาสังเกตสีหน้าเขียวคล้ำและไม่อาจตัดใจของผู้เฒ่าจย่าอยู่ชั่วขณะ จึงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ข้างนอกยิ้มข้างในไม่ยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าจย่าท่านคิดได้แล้วหรือยัง จะชดใช้เงินหรือจะมอบคน” พร้อมกับคำเตือน เขาก็กระดิกนิ้วชี้ องครักษ์สามคนรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันที่ยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเย็นชามาโดยตลอดก็เดินเข้ามา

“ข้าขอเตือนพวกเจ้าก่อน ถ้าไม่อยากให้จย่าเอ้อร์หลางเหลือเพียงลมหายใจรวยริน นอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิตก็จงคายเงินออกมาให้ข้าเสีย”

“ท่านผายลมแล้ว ข้ายังว่าท่านมาเพื่อจะขู่เข็ญ ท่านบอกเอ้อร์หลางของเรารับเงินท่านมาสามสิบตำลึงก็สามสิบตำลึงหรือ” เฮ่อซื่อตะโกนใส่หน้าหลงจู๊เการาวกับแม่เสือ “แต่ข้าไม่เคยได้เห็นเงินแม้แต่อีแปะเดียว ท่านมีปัญญาก็ไปหาเอ้อร์หลางเอาเอง ใครติดค้างเงินท่านก็ไปทวงเอาเอง บ้านสกุลจย่าเราอีแปะเดียวก็ไม่ให้ หาไม่ท่านก็เอาศพนางเด็กต่ำช้าที่พื้นนั่นกลับไป”

หลงจู๊เกาคิดไม่ถึงว่าเฮ่อซื่อจะเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ กับเขา จึงแค่นเสียงหัวเราะออกมาสองคำ “ดีมาก ในเมื่อให้หน้าพวกเจ้าแต่พวกเจ้าไม่รับ เช่นนั้นก็อย่าว่าข้าเหี้ยมโหด ไม่ชดใช้เงินเช่นนั้นข้าก็จะเอาคนแทน” เขาสั่งการองครักษ์ “พวกเจ้าสามคนฟังให้ดี กลับไปแล้วปล่อยข่าวออกไปทันทีให้ตามตัวจย่าเอ้อร์หลางให้พบ ไม่ว่าเป็นหรือตาย ข้าต้องการมือสองข้างของเขา”

ผู้เฒ่าจย่าฟังจบก็รีบเข้าไปวิงวอนขอร้องด้วยความตื่นตระหนกตกใจและเคร่งเครียด “หลงจู๊เกา หากท่านเอามือของเอ้อร์หลางไปแล้ว ต่อไปเขาจะทำงานในไร่นาได้อย่างไร…”

“นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้า ลูกชายคนรองของเจ้ารับเงินข้าไปแล้วยังคิดจะบิดพลิ้ว เห็นเงินของข้ามีลมพัดพามาหรืออย่างไร”

“ไม่ใช่เราไม่ใช้คืน…แต่เพราะเวลานี้ในบ้านไม่มีเงินมากเช่นนั้น…”

“ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ถ้าหลังจากสามวันข้ายังไม่ได้เงินสามสิบตำลึงคืนมา เจ้าก็จงวิงวอนเทพเทวาให้คุ้มครองลูกชายคนรองของเจ้าให้หลบซ่อนตัวมิดชิดพอ แน่นหนาพอก็แล้วกัน” พูดจบหลงจู๊เกาก็ตวัดชายแขนเสื้อเดินจากไป

พอคิดว่าต้องรวบรวมเงินสามสิบตำลึงให้ได้ภายในสามวัน ผู้เฒ่าจย่าก็ใบหน้ายับย่นราวกับลูกมะระ ทันใดนั้นความคิดก็มาตกอยู่ที่ร่างของเหมยหรูเซียนที่กลายเป็นคนตายไปแล้ว

“เจ้าสาม เจ้าค่อนข้างรู้จักพูดจา จงไปที่ตำบล ไปลองถามที่บ้านคหบดีซุนดูว่าพวกเขายังต้องการซื้อหญิงสาวที่เพิ่งตายไปแต่งงานกับศพลูกชายเขาหรือไม่”

เห็นบิดาจะรีดเค้นหาผลประโยชน์จากร่างบุตรสาวจนหยดสุดท้าย จย่าอิ๋งชุนก็ไม่อาจทนต่อไปได้อีก กล่าวขู่ขวัญขึ้น “ท่านพ่อ หรูเซียนเป็นลูกสาวของข้า ท่านที่เป็นตาไม่มีสิทธิ์และอำนาจที่จะจัดการศพของนาง หากท่านดึงดันจะทำเช่นนั้น ก็อย่าตำหนิว่าลูกอกตัญญู ไปฟ้องร้องท่านที่ศาล”

“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไป พาลูกสาวลูกชายแซ่เหมยของเจ้าไสหัวไปให้หมด บ้านสกุลจย่าข้าไม่รับลูกสาวที่ไม่คิดเพื่อคนในครอบครัวเช่นเจ้า!” ผู้เฒ่าจย่าชี้นิ้วออกไปข้างนอก

“ได้ ข้าจะพาหยวนเอ๋อร์กับหรูเซียนไปเดี๋ยวนี้” จย่าอิ๋งชุนเช็ดน้ำตาบนใบหน้า นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาเสื้อผ้าสะอาดไม่กี่ตัวในกระท่อมวางลงบนผ้าแล้วมัดเป็นห่อสัมภาระ ห้อยไว้บนหลังเหมยชิงหยวน แล้วแบกบุตรสาวที่ไร้ลมหายใจไปแล้วขึ้นมา

“ท่านพ่อ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าท่านพ่อ ต่อให้ข้าต้องเป็นขอทานอยู่ข้างนอกก็จะไม่มีวันมาขอร้องท่านให้ข้าวข้ากินสักคำอย่างเด็ดขาด ต่อไปท่านก็คิดเสียว่าไม่มีข้าลูกสาวคนนี้”

ในเวลาเดียวกับที่คำพูดหลุดจากปาก นางก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะไปจากบ้านสกุลจย่าที่ที่นางเคยคิดว่าจะเป็นแหล่งพักพิงสุดท้าย

บทที่สี่

 เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงรู้สึกคล้ายนอนคว่ำอยู่บนอะไรสักอย่าง ทั้งยังโคลงเคลงไปมา

ดวงวิญญาณของเหมยหรูเซียนเพิ่งออกจากพื้นที่ลับในกำไล ในเวลาอันสั้นยังไม่อาจปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันกะทันหันได้ นางย่นหัวคิ้วลืมตามองไปข้างหน้า เหตุใดจึงเป็นมวยผมของอิสตรี ด้านข้างมีเสียงร้องไห้ของหยวนเอ๋อร์ อีกทั้งพวกนางก็อยู่นอกกระท่อมและกำลังเดินไปข้างหน้า…

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

นางอดใจไม่ไหวสะกิดไปที่หัวไหล่ของจย่าอิ๋งชุนพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง “ท่านแม่ ท่านจะแบกข้าไปที่ใดหรือ”

เสียงที่ดังขึ้นมาข้างหูทำให้จย่าอิ๋งชุนชะงักเท้า นางเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกตกใจ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

เหมยหรูเซียนที่ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านสกุลจย่าเมื่อครู่ก่อน ถามด้วยความงงงวยขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป”

“ท่านแม่ พี่สาวยังไม่ตาย ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว!” เหมยชิงหยวนที่อยู่ด้านข้างหันกลับมามองนางแล้วเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ

จย่าอิ๋งชุนรีบหยุดฝีเท้า ก่อนจะค่อยๆ วางร่างบุตรสาวลงที่ใต้ต้นไม้ข้างทาง ลูบไล้ใบหน้าของเหมยหรูเซียนด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางพูดสะอึกสะอื้น “หรูเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ตาย เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ดียิ่งนัก!” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอามือโอบรอบคอนางแล้วส่งเสียงร้องไห้ออกมาดังๆ

“ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอะไรท่านจึงแบกข้ามาถึงที่นี่”

ตอนอยู่ในพื้นที่ลับในกำไล นางได้อ่าน ‘วิธีทอผ้าฉบับสมบูรณ์’ แล้ว พบว่าวิธีทำผ้าไหมและผ้าห่มใยไหมง่ายมาก และตัดสินใจเริ่มลงมือทำในทันที คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะเอาใยไหมใส่เข้าไปในหูกทอผ้า หูกทอผ้าเครื่องนั้นก็เริ่มทอผ้าเอง ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ

ผ้าไหมทอเสร็จในเวลาไม่นาน นางตรวจสอบดูแล้ว รู้สึกว่าคุณภาพดีเยี่ยมก็อดดีใจไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมาทำผ้าห่มใยไหม

พี่สาวเทพธิดาทอผ้าถึงกับมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้เทพแห่งความสุข นางเลื่อมใสศรัทธาเทพแห่งความสุข หรือมีเรื่องขอร้องเทพแห่งความสุขก็ไม่รู้ได้ แต่พี่สาวเทพธิดาทอผ้ามอบให้ผิดคนแล้ว ของสิ่งนี้อยู่ในมือเทพแห่งความสุขย่อมกลายเป็นของไร้ประโยชน์ แต่เมื่ออยู่ในมือนางก็นับเป็นของล้ำค่ายิ่ง

ทว่านางเพิ่งเข้าไปในพื้นที่ลับได้ไม่นาน เหตุใดจึงเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว

“พี่สาว เมื่อครู่ตอนที่ท่านตายไปอีก ป้าสะใภ้รองทะเลาะตบตีกับท่านแม่ คิดจะขายท่านให้คนอื่น…ท่านตาก็จะขายท่านให้ไปแต่งงานกับคนตาย พี่สาว อะไรคือแต่งงานกับคนตาย” เหมยชิงหยวนที่เพิ่งอายุห้าขวบยังไม่รู้ประสา ไม่อาจบอกเล่าได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

เหมยหรูเซียนหัวคิ้วขมวดมุ่น “ท่านแม่ เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านอย่าร้องไห้ ค่อยๆ บอกข้ามาทีละเรื่อง”

“เรื่องเป็นเช่นนี้…” จย่าอิ๋งชุนใช้แขนเสื้อที่เต็มไปด้วยรอยเย็บปะเช็ดน้ำตาจนแห้งพลางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้บุตรสาวฟัง

เหมยหรูเซียนฟังจบก็โกรธจนแทบอยากจะพุ่งกลับไปบ้านสกุลจย่าเดี๋ยวนั้น สับร่างเฮ่อซื่อและจย่าเอ้อร์หลางให้เป็นแปดชิ้น สามีภรรยาคู่นี้น่าชิงชังเกินไปแล้ว นึกถึงว่าดีชั่วนางก็เป็นเซียนน้อยผู้หนึ่ง ถึงกับถูกมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวข่มเหงรังแกเช่นนี้ ความแค้นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจกล้ำกลืนไว้ได้

จย่าเอ้อร์หลางผู้นี้ทางที่ดีอย่ากลับมา หากกลับมาเมื่อใด นางจะให้เขารู้ว่านางเทพน้อยแห่งหายนะผู้นี้ไม่ใช่จะตอแยได้ง่ายๆ!

ยังมีเฮ่อซื่อ รอให้นางจัดหาที่พักอาศัยให้มารดากับน้องชายเรียบร้อยก่อนก็จะไปคิดบัญชีกับอีกฝ่ายให้จงได้

ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านสกุลจย่า นอกจากครอบครัวท่านลุงใหญ่กับท่านยายแล้ว นางจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!

“หรูเอ๋อร์ เป็นเพราะแม่ไร้ความสามารถ ไม่อาจดูแลพวกเจ้าสองพี่น้องให้ดีได้…” เมื่อนึกถึงความไร้เมตตาของคนในบ้านแม่ จย่าอิ๋งชุนก็ชอกช้ำใจ อดไม่ได้ที่จะน้ำตาร่วงพรูลงมาอีก

เหมยหรูเซียนระงับเพลิงโทสะในอกขุมนั้นไว้ เอ่ยปลอบโยนมารดา “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลใจ วันหน้าข้าจะดูแลท่านกับหยวนเอ๋อร์ให้ดีเอง ข้าจะให้คนสกุลจย่าต้องนึกเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะพวกท่านลุงรอง!”

“เพียงแต่…หรูเอ๋อร์ เวลานี้พวกเราไม่มีที่ไปแล้ว…”

เหมยหรูเซียนยืนขึ้นพลางหันหน้าชี้ไปบนภูเขา “ท่านแม่ พวกเราไปอยู่ที่ศาลเทพแห่งขุนเขาที่ถูกทิ้งร้างบนเขาแห่งนั้นก่อนเถิด” เวลานี้พวกนางไม่มีบ้านให้กลับ คนในหมู่บ้านก็ไม่มีทางรับตัวพวกนางไว้ นอกจากศาลเทพแห่งขุนเขาที่พอพักอาศัยชั่วคราวได้แล้ว ก็ไม่มีที่อื่นให้ไปได้อีก

“ศาลเทพแห่งขุนเขา หรูเอ๋อร์ ได้ยินมาว่าที่ศาลเทพแห่งขุนเขามีผี…” จย่าอิ๋งชุนเอามือลูบๆ แขน น้ำเสียงออกจะหวาดกลัวเล็กน้อย

“ท่านแม่ พวกเราสามคนแม่ลูกยากจนเสียจนแม้แต่ผีก็ดูถูก ดังนั้นเวลานี้ผีต้องกลัวพวกเรา ท่านไม่ต้องกังวล”

จย่าอิ๋งชุนกล่าวอย่างลังเล “เอ้อ ที่เจ้าพูด…ก็ถูก ศาลเทพแห่งขุนเขาอย่างน้อยก็ยังบังลมบังฝนได้ พวกเราไม่ต้องนอนตากแดดตากฝน”

เหมยชิงหยวนผงกศีรษะเล็กๆ ของตน พูดอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “อืม พี่สาวไปไหน ข้าก็ตามพี่สาวไปที่นั่น” ตอนนี้เขาสนิทกับพี่สาวยิ่งกว่าแม่

“อืม เราไปกันเถิด” เหมยหรูเซียนลูบเส้นผมบนศีรษะที่แห้งราวกับต้นหญ้าที่เหี่ยวเฉาของเขาด้วยความรักและเอ็นดู ก่อนจะยอบตัวลงมา “หยวนเอ๋อร์ จากที่นี่ไปถึงศาลเทพแห่งขุนเขาไกลพอสมควร ขาสั้นๆ ของเจ้าเดินไม่เร็ว ขึ้นมา พี่สาวจะแบกเจ้า เราต้องรีบไปให้ถึงศาลเทพแห่งขุนเขาก่อนฟ้ามืด ไปถึงที่นั่นยังต้องจัดเก็บให้เป็นระเบียบ ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า”

เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างเล็กๆ ของเหมยชิงหยวนขึ้นมาเกาะอยู่บนหลัง นางก็ยื่นแขนไปดันร่างเล็กๆ ของเขาขึ้นมา แล้วมุ่งหน้าไปยังศาลเทพแห่งขุนเขา

ไปอยู่ศาลเทพแห่งขุนเขา ไม่มีคนบ้านสกุลจย่าที่เรียกใช้นางราวกับวัวควาย นางก็เริ่มงานสร้างความร่ำรวยให้กับครอบครัวได้แล้ว นางจะต้องทำหน้าที่แทนเหมยหรูเซียนกตัญญูต่อจย่าอิ๋งชุน ดูแลเหมยชิงหยวนให้ดี ให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ตอบแทนน้ำใจที่เหมยหรูเซียนให้นางยืมร่าง พร้อมกันนั้นก็ให้เซียนเทพสูงสุดได้ตกตะลึงพรึงเพริด ให้เขาได้เห็นว่าแม้เขาจะมีคำสั่งเช่นนั้นลงมา นางก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยม!

 

ศาลเทพแห่งขุนเขาตั้งอยู่บนไหล่เขา อยู่ค่อนข้างไกลจากหมู่บ้าน

เหมยหรูเซียนสามคนใช้เวลาเดินไปราวครึ่งชั่วยาม* จึงเดินถึง นางกวาดตามองไป เพียงรู้สึกว่าศาลแห่งนี้ไม่ใช่เสื่อมโทรมธรรมดา เมื่อผลักประตูที่โอนเอนจะหลุดมิหลุดแหล่ให้เปิดออก กลิ่นเชื้อราขุมหนึ่งก็พุ่งมาปะทะจมูก ในศาลมีใยแมงมุมน้อยใหญ่เกาะอยู่เต็มไปหมด ในห้องมีใบไม้เน่าเปื่อยและต้นหญ้าขึ้นไปทั่วทุกแห่ง

รูปปั้นเทพมีสง่าน่าเกรงขามที่แกะสลักจากไม้สามองค์ เพราะถูกปลวกกินและขึ้นราจากความอับชื้น จึงทำให้มองดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยง กำแพงด้านตะวันออกพังทลายลงมาทั้งหมด ในศาลมีแมลงที่ไม่รู้จักชื่อเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วอยู่ทั่วพื้น

“พี่สาว คืนนี้พวกเราจะอยู่ที่นี่กันหรือ” เหมยชิงหยวนถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น หดๆ คอพลางขยับเข้ามาจนชิดตัวเหมยหรูเซียน

นางใช้มือข้างหนึ่งลูบหลังเขาเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบ “หยวนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ที่นี่ขอเพียงเก็บกวาดให้เรียบร้อยก็อยู่อาศัยได้แล้ว เชื่อพี่ อีกไม่นานพี่จะให้เจ้ากับท่านแม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่”

“หยวนเอ๋อร์ไม่กลัว ขอเพียงมีท่านแม่กับพี่สาวอยู่ก็พอ”

เหมยหรูเซียนดึงหญ้าหมาง* มากำหนึ่งเพื่อทำเป็นไม้กวาด กวาดหยากไย่ที่ข้างประตูใหญ่ลงมา “ท่านแม่ เราทำความสะอาดมุมหนึ่งมาเป็นที่หลับนอนคืนนี้ก่อน ข้าว่าที่ใต้แท่นบูชาหินแกะสลักนั่นดูจะเหมาะ”

“อืม ได้ เราช่วยกันเก็บกวาดออกมา หยวนเอ๋อร์ก็มาช่วยด้วย” จย่าอิ๋งชุนพับแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะออกไปข้างนอกหักกิ่งไม้กลับมาจำนวนหนึ่งและเริ่มลงมือเก็บกวาดในศาล

“ได้ ข้าจะช่วยท่านแม่กับพี่สาว” เหมยชิงหยวนไปช่วยมารดากวาดพื้น

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม สามคนแม่ลูกปัดหยากไย่ เก็บผงฝุ่นยังมีพวกเศษขยะเน่าเปื่อยออกมาจนหมด เก็บกวาดคร่าวๆ จนสะอาด ศาลเทพแห่งขุนเขาทั้งหลังมองดูแล้วก็นับว่าพออยู่อาศัยได้

ระหว่างทางมา เหมยหรูเซียนเห็นที่ละแวกใกล้เคียงมีกองหญ้าแห้งอยู่ นางขนหญ้าแห้งกองนั้นเข้ามาในศาล นำมาปูแผ่ไว้ใต้แท่นบูชาหิน นับเป็นเตียงนอนอย่างเรียบง่าย โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ตอนกลางคืนไม่ต้องห่มผ้านอนก็ไม่เป็นไร

หลังจากออกแรงทำงานก็ทำให้พวกนางที่เดิมทีก็ไม่ได้กินข้าวอิ่มมาท้องร้องอย่างหนัก สามแม่ลูกมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

“หรูเอ๋อร์ เจ้ากับหยวนเอ๋อร์อยู่ที่นี่นอนพักไปก่อน แม่จะขึ้นเขาไปหาของกิน”

“ไม่ ท่านแม่ เมื่อครู่ก่อนท่านแบกข้าเดินมาตั้งไกล ทั้งยังมาเก็บกวาดอีก คงเหนื่อยมากแล้ว ท่านกับหยวนเอ๋อร์อยู่พักผ่อนที่นี่ ข้าจะไปหาเอง” เหมยหรูเซียนพูดจบ คนก็เดินออกจากศาลเทพแห่งขุนเขาไปแล้ว

นางเพียงหลบสายตามารดาเอาผลไม้ออกมาจากในพื้นที่ลับก็พอแล้ว ไยต้องยุ่งยากเที่ยวเสาะหาของกินไปทั่ว ย่อมต้องให้มารดากับน้องชายนั่งพักผ่อน ทว่ามีแต่ผลไม้กินไม่อิ่ม ยังต้องมีอาหารอื่นจึงจะยับยั้งความหิวโหยได้…

นางกลอกนัยน์ตาไปมา ตัดสินใจเรียกผู้เฒ่าเจ้าที่ออกมา “ผู้เฒ่าเจ้าที่ เจ้าอยู่ที่ใด รีบออกมา”

หากผู้เฒ่าเจ้าที่รู้ว่านางมาถึงอาณาเขตในการควบคุมดูแลของเขา จะต้องคอยใส่ใจนางอยู่ตลอดเวลาแน่นอน ถือโอกาสนี้เชิญเขาออกมาช่วยทำงานให้นางพอดี

ไม่ผิดจากที่คาด ครู่เดียวผู้เฒ่าเจ้าที่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้านาง ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ทราบเทพน้อยแห่งหายนะเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด”

“ผู้เฒ่าเจ้าที่ ข้ากับแม่และน้องชายจะมาอาศัยอยู่ในศาลแห่งนี้ชั่วคราว ประเดี๋ยวเจ้าประกาศคำสั่งออกไป ห้ามสัตว์ที่มีอันตรายพวกงู แมลง หมูป่า มาปรากฏตัวรอบบริเวณนี้ เรื่องนี้เจ้าทำได้กระมัง”

“เทพน้อยแห่งหายนะท่านวางใจเถิด ความสามารถเท่านี้ข้ายังพอมี ไม่ทราบท่านยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”

“เสกไก่ออกมาสักสองตัวเถิด หาไม่คืนนี้คงต้องทนหิวแล้ว” นางกล่าวขึ้นอย่างไม่มัวเกรงใจผู้เฒ่าเจ้าที่แล้วเช่นกัน

“เทพน้อยแห่งหายนะ เสกไก่ออกมาสองตัวสำหรับข้าแล้วค่อนข้างลำบาก แต่ข้าสามารถชี้แนะท่านได้ว่าจะจับได้จากที่ไหน”

“อ้อ ก็ดี รีบบอกมา” ดวงจิตของนางเข้าไปสำรวจดูในพื้นที่ลับ เคลื่อนย้ายผลไม้สองผลออกมายัดใส่มือผู้เฒ่าเจ้าที่ “ให้เจ้ากิน หวานดี”

“ขอบคุณมากเทพน้อยแห่งหายนะ ข้าชอบผลไม้นี้” เห็นผลไม้สองผลในมือ ผู้เฒ่าเจ้าที่ก็ยิ้มหน้าบาน ปากแทบหุบไม่ลง

“ไม่ต้องเกรงใจ ระยะนี้ข้ากับแม่และน้องชายต้องพักอาศัยอยู่ในศาลเทพแห่งขุนเขาชั่วคราว เจ้าดูแลบริเวณนี้ให้ดี อย่าให้สัตว์และแมลงที่กัดคนเข้ามาก็พอ วันหน้าข้าย่อมตอบแทนเจ้าแน่”

“แน่นอนๆ”

“จริงสิ ที่ที่เจ้าบอกว่าสามารถจับไก่ป่าได้อยู่ที่ใด”

“เดินไปทางนั้นข้ามไปก็จะเห็น ที่นั่นมีหลุมดักสัตว์อยู่หลุมหนึ่ง พรานคนหนึ่งขุดไว้ พรานผู้นั้นสองวันก่อนถูกหมูป่าขวิดตาย ดังนั้นเหยื่อที่ดักได้จึงไม่มีคนเก็บ ท่านเอาไปก็ไม่มีคนมาต่อว่าต่อขานท่าน” ผู้เฒ่าเจ้าที่รีบชี้บอกสถานที่แก่นาง

“ดี เช่นนั้นข้าไปล่ะ”

เหมยหรูเซียนเดินไปตามทางที่ผู้เฒ่าเจ้าที่ชี้บอก ไม่ผิดจากที่คาด ครู่เดียวก็พบไก่ป่าสองตัวที่ตกอยู่ในหลุมดักสัตว์ ในนั้นยังมีกระต่ายน้อยสีเทาอีกตัวหนึ่ง

นางจับไก่ป่าขึ้นมาและใช้เชือกที่ฟั่นจากหญ้ามัดให้ดี กระต่ายน้อยสีเทาเอาไว้ในพื้นที่ลับพากลับไปให้เหมยชิงหยวนเล่น จากนั้นก็ปิดคลุมหลุมดักสัตว์ใหม่ แล้วจึงหิ้วไก่ป่าเดินกลับไปที่ศาลเทพแห่งขุนเขา

ระหว่างทางเดินกลับ นางเห็นบนลำต้นไม้ที่เน่าเปื่อยมีเห็ดป่าขึ้นอยู่ จึงเด็ดติดมือไปด้วย ตอนใกล้ถึงก็เด็ดผลไม้จากในพื้นที่ลับในกำไลออกมาหลายลูก ทั้งใช้กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำพุจากข้างในไปอีกสองกระบอก

“ท่านแม่ หยวนเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”

สองแม่ลูกนอนอยู่บนกองหญ้าแห้งพริ้มตาหลับไปครู่หนึ่ง พอนางร้องเรียกก็ตื่นขึ้นทันที

เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นไก่ป่ากับผลไม้อยู่ตรงหน้า ต่างก็ประหลาดใจจนแทบพูดไม่ออก

“หรูเอ๋อร์…เหตุใดจึงมีไก่ป่าได้” จย่าอิ๋งชุนอดกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ไม่ได้

“ข้าเพิ่งจะออกไปหาอาหาร ก็เจอเข้าที่หลุมดักสัตว์” เหมยหรูเซียนเอาไก่ป่ายื่นให้มารดา

“หลุมดักสัตว์? หรูเอ๋อร์ หลุมดักสัตว์ต้องมีคนวางไว้ เจ้าไปเอามาส่งเดชได้อย่างไร”

“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ข้าดูแล้ว ในหลุมดักสัตว์นั่นมีสัตว์ที่ตายแล้วอยู่ไม่น้อย ไม่มีคนมาเก็บ ไม่รู้เพราะสาเหตุใด ดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่ต้องการหลุมดักสัตว์นี้แล้วกระมัง”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี” จย่าอิ๋งชุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางไม่อยากให้เพราะไก่ป่าสองตัวก็ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวอะไรขึ้นมาอีก

“หยวนเอ๋อร์ มา เจ้าดูพี่เอาอะไรกลับมาให้เจ้า” นางเอากระต่ายน้อยตัวนั้นออกมาจากอกเสื้อ

เหมยชิงหยวนเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ มองกระต่ายน้อยสีเทาที่นางประคองอยู่ในอุ้งมือ “ให้ข้าหรือ พี่สาว เราอย่ากินกระต่ายน้อยได้หรือไม่”

“อืม ไม่กิน ให้หยวนอ๋อร์จะได้เป็นสหายที่ดีของหยวนเอ๋อร์”

จย่าอิ๋งชุนมองไก่ป่าสองตัวในมืออย่างกลัดกลุ้ม “หรูเอ๋อร์ มีไก่ให้กินดีมาก แต่เราไม่มีอะไรฆ่าไก่ ที่นี่ก็ไม่มีหม้อให้ต้ม…”

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะจัดการเอง ท่านไปเอาดินมาคลุกทำเป็นโคลนสักหน่อย จากนั้นก็ก่อกองไฟ เราทำไก่ขอทาน* กัน ไม่ต้องใช้หม้อและไม่ต้องถอนขน” เหมยหรูเซียนหาหินที่เรียบแบนและมีความคมมาก้อนหนึ่ง ก่อนจะจัดการเชือดคอไก่ป่า

“ไก่ขอทาน?”

“ใช่แล้ว กล่าวกันว่าไก่ขอทานรสชาติดียิ่ง ขอทานผู้หนึ่งเป็นคนคิดทำขึ้น ครั้งหนึ่งข้าไปหาผักหญ้าให้หมูบังเอิญไปได้ยินคนพูดถึงวิธีทำ วันนี้เรามาลองทำกันดู” นางบอกวิธีทำคร่าวๆ กับมารดา

เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวจย่าอิ๋งชุนก็ก่อกองไฟขึ้นมา นางกล่าวยิ้มๆ “เอาดินโคลนพอกก็เสร็จแล้ว สะดวกยิ่งนัก”

ตอนนี้ในมือพวกนางไม่มีเครื่องมือหุงต้ม กระทั่งหม้อสักใบก็ไม่มี จำต้องทำเช่นที่บุตรสาวบอก ไม่ว่าอร่อยหรือไม่ ขอเพียงทำให้เนื้อไก่สุกเป็นใช้ได้ สภาพของพวกนางในเวลานี้ได้กินอิ่มก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“ท่านแม่ ข้าเด็ดผลไม้จากในป่ามาหลายผล ท่านกับหยวนเอ๋อร์ไปกินก่อน ไก่นี่ข้าจะจัดการเอง” เหมยหรูเซียนเริ่มเอาดินโคลนพอกตัวไก่ป่า และวางไว้ในกองไฟ

นางถือโอกาสนี้เอาเห็ดสดที่เก็บกลับมาและล้างสะอาดแล้วใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำจากน้ำพุในพื้นที่ลับ วางพิงกับกองไฟเป็นการต้มน้ำแกง

ผลไม้รสชาติดีจนจย่าอิ๋งชุนแทบจะกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วย นางเอาเมล็ดที่กินเหลือมาถาม “หรูเอ๋อร์ ผลไม้นี่เจ้าเด็ดมาจากที่ใดหรือ หวานมากอร่อยมาก ชั่วชีวิตของแม่ยังไม่เคยกินผลไม้อร่อยเช่นนี้มาก่อน”

“เด็ดมาจากที่ใด…ข้าก็จำไม่ค่อยได้ เดินไปเด็ดไป หากท่านแม่ชอบกินคราวหน้าข้าจะตั้งใจจดจำไว้” เหมยหรูเซียนหาคำพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างพอขอไปที กลัวจย่าอิ๋งชุนจะถามมาก จึงแสร้งทำเป็นว่าตนเหนื่อยแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปในศาลเทพแห่งขุนเขา “ท่านแม่ ข้ารู้สึกเหนื่อย อยากจะไปนอนพักสักประเดี๋ยว ไก่ขอทานนั่นท่านไม่ต้องสนใจ ต้องอบอีกระยะหนึ่ง ท่านกับหยวนเอ๋อร์หิวแล้วก็กินผลไม้รองท้องไปก่อน”

นางทิ้งตัวลงบนกองหญ้าพลางถอนหายใจแรงๆ ความรู้สึกของการได้นอนช่างดียิ่งนัก ทว่ากองหญ้าแห้งมีหนามแข็ง ไม่ค่อยสบายตัว ถ้ามีผ้าปูทับข้างบนสักผืนคงดี นางพลันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง ถ้าปูผ้าห่มใยไหมสักผืน…คงจะโดนฟ้าผ่ากระมัง หรูหราฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว

ไม่รู้ว่าผ้าห่มใยไหมของนางทำออกมาเป็นอย่างไร กรรมวิธีแตกต่างจากวิธีที่ตกทอดมาแต่โบราณที่หลังจากเอารังไหมลงไปต้มในน้ำร้อนก็ยืดออกเป็นตาข่ายใยไหมเป็นผืนๆ จากนั้นก็เอาไปทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทำเป็นผ้าห่มใยไหมผืนหนึ่ง นางทราบจาก ‘วิธีทอผ้าฉบับสมบูรณ์’ ว่าเพียงวางตัวไหมเซียนไว้ในกรอบไม้แบน ใช้ประโยชน์จากลักษณะพิเศษจำเพาะในการพ่นไหมของพวกมันก็สามารถทอเป็นตาข่ายใยไหมทั้งผืนได้ ทอเสร็จค่อยนำไปต้มในน้ำร้อน หลังจากตากแห้งก็วางไว้บนแผ่นกระดานแล้วดึงออกไปทั้งสี่ด้านโดยตรงก็จะได้ผ้าห่มใยไหมผืนหนึ่งแล้ว

กรรมวิธีการทำเช่นนี้ง่ายและรวดเร็ว ทำเป็นผ้าห่มใยไหมผืนใหญ่ได้โดยตรง เมื่อเปรียบกับผ้าห่มใยไหมอีกแบบหนึ่งแล้วทั้งน้ำหนักเบา อบอุ่น ขาวสะอาด และไม่มีกลิ่นตัวดักแด้

นางหลับตาใช้ดวงจิตเข้าไปในพื้นที่ดูสักหน่อย พบว่าผ้าห่มใยไหมทำเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว

รวดเร็วยิ่งนัก ช่างสมกับเป็นตัวไหมเซียนที่พี่สาวเทพธิดาทอผ้าเลี้ยงไว้ หากคำนวณตามความเร็วนี้ พรุ่งนี้ก็น่าจะทำเสร็จสองผืน หลังจากทำผ้าห่มใยไหมเสร็จแล้ว ต้องรีบเอาไปขายที่ตำบล เปลี่ยนเป็นเงินกลับมาสักจำนวนหนึ่ง

เพียงแต่นางไปตำบลมือเปล่า จู่ๆ ก็เอาสิ่งของกลับมาจำนวนมาก จะไม่ทำให้ท่านแม่ตกอกตกใจก็แปลกแล้ว นางต้องคิดหาวิธี…

นางกัดหญ้าแห้งต้นหนึ่งไว้ที่มุมปาก มองไปข้างบนอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าเจ้าที่เคยบอกนางว่าในศาลเทพแห่งขุนเขาแห่งนี้ที่หลังรูปปั้นเทพมีเห็ดหลิงจือร้อยปีอยู่ดอกหนึ่งซึ่งไม่มีใครพบเห็น…

นางพ่นหญ้าแห้งในปากทิ้ง รีบออกมาจากใต้แท่นหิน ปีนขึ้นไปบนแท่นที่ตั้งรูปปั้นเทพ

“พี่สาว ท่านกำลังทำอะไร เหตุใดจึงปีนขึ้นไปบนแท่น” เหมยชิงหยวนที่กำลังเล่นกับกระต่ายน้อยสีเทาอยู่ที่ด้านข้างเบิกดวงตากลมโตมองเหมยหรูเซียนที่กำลังยืดคอยาวคล้ายกำลังหาอะไรด้วยความฉงน

“พี่กำลังหาของ…” นางพูดยังไม่ทันจบก็เห็นตรงบริเวณด้านหลังศีรษะเทพองค์กลางมีเห็ดหลิงจือดอกใหญ่อยู่ดอกหนึ่ง ดูจากรูปร่างลักษณะใหญ่เล็กแล้ว น่าจะมีอายุร้อยปีอย่างที่ผู้เฒ่าเจ้าที่บอกจริงๆ ด้านข้างดูเหมือนยังมีเห็ดหลิงจือดอกเล็กกว่าอีกหลายดอกด้วย

จย่าอิ๋งชุนเดินเข้ามาจากข้างนอกก็ถูกการกระทำที่ไม่เคารพของเหมยหรูเซียนทำเอาตื่นตระหนกตกใจ แม้ศาลเทพแห่งขุนเขาจะถูกทิ้งร้างมานาน แต่รูปปั้นเทพยังอยู่ บุตรสาวปีนขึ้นไปบนนั้นได้อย่างไร นางจึงรีบตะโกนห้าม “หรูเอ๋อร์ เจ้ารีบลงมา ทำเช่นนี้ไม่เคารพเทพเจ้าเกินไปแล้ว”

“ท่านแม่ ข้าเห็นเห็ดหลิงจือแล้ว ท่านรอก่อน ข้าจะเก็บเห็ดหลิงจือลงมา” เหมยหรูเซียนเอียงหน้าที่ถูกเบียดจนบิดเบี้ยวพูดไม่ค่อยชัด

“อะไรนะ! เห็ดหลิงจือหรือ”

“ใช่แล้ว ท่านแม่ รอข้าเก็บเห็ดหลิงจือลงมา เอาไปขายที่ตำบล เราก็มีเงินแล้ว”

รูปปั้นเทพกับกำแพงด้านหลังอยู่ชิดกันมาก คนทั่วไปไม่มีทางเบียดเข้าไปได้ ดีที่เหมยหรูเซียนกินไม่อิ่มมาเป็นเวลายาวนาน ร่างจึงผอมบางมาก พอจะยัดร่างตนเองเข้าไปในช่องระหว่างรูปปั้นเทพกับกำแพงได้

“เช่นนั้น…เจ้าระวังหน่อย” เปรียบกับรูปปั้นเทพแล้ว เงินสำคัญกว่ามาก ครานี้จย่าอิ๋งชุนไม่บอกว่าเหมยหรูเซียนไม่เคารพเทพเจ้าอีกต่อไป

เหมยหรูเซียนลำบากไม่น้อยกว่าจะเบียดเข้าไปถึงเทพองค์กลางได้ นางเล็งตำแหน่งที่จะลงมือแล้วยื่นแขนออกไป เด็ดเห็ดหลิงจือใหญ่อายุร้อยปีดอกนั้นออกมาในคราเดียว แล้วใช้ความเร็วอย่างที่สุดเอาเห็ดหลิงจือดอกนั้นส่งไปไว้ในพื้นที่ลับในกำไลไม้

ด้านข้างยังมีเห็ดหลิงจือดอกเล็กว่าอีกหลายดอก ดอกหนึ่งอายุราวสิบกว่าปี อีกดอกหนึ่งอายุราวห้าสิบปี นางเด็ดออกมาทั้งหมด

“ท่านแม่ ข้าเด็ดออกมาแล้ว ท่านกับหยวนเอ๋อร์หลบไป ข้าจะกระโดดลงไปแล้ว” นางเบียดตัวออกมาจากด้านหลังรูปปั้นเทพด้วยเนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมม จากนั้นเอาเห็ดหลิงจือมอบให้จย่าอิ๋งชุน หลังจากหอบหายใจแรงแล้วก็กระโดดลงมาจากแท่นวางรูปปั้น

จย่าอิ๋งชุนมองเห็ดหลิงจือสองดอกนั้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกนางจะโชคดีเช่นนี้ได้

เหมยหรูเซียนบิดผ้าเช็ดหน้าเปียกผืนหนึ่งมาเช็ดฝุ่นผงบนใบหน้าจนสะอาด “ท่านแม่ ข้าจะปรึกษาอะไรกับท่านหน่อย พรุ่งนี้เช้าข้าจะเอาเห็ดหลิงจือดอกเล็กไปขายที่ตำบล มีเงินติดตัวแล้ว ข้าก็จะนั่งรถไปที่อำเภอ เอาเห็ดหลิงจือดอกใหญ่ไปขาย ท่านเห็นอย่างไร”

“ไม่อาจขายให้ร้านยาในตำบลไปทีเดียวหรือ เพราะเหตุใดต้องไปถึงอำเภอด้วย เจ้าเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว แม่ไม่วางใจให้เจ้าไปถึงอำเภอ” จย่าอิ๋งชุนย่นหัวคิ้วมองนาง

“ท่านแม่ ในตำบลได้ราคาต่ำ เห็ดหลิงจือต้นนี้ขายที่ตำบลอาจได้เงินเพียงสามสิบตำลึง แต่ถ้าไปขายที่อำเภอไม่แน่อาจได้ถึงห้าสิบตำลึงหรือร้อยตำลึงก็ได้ ไปไกลหน่อยแม้จะสิ้นเปลืองเวลา แต่ขายได้ราคาดีกว่ามาก”

“แต่ว่า…”

“ท่านแม่ หรือว่าท่านไม่อยากรีบหาเงินซื้อที่ปลูกบ้าน หรือท่านเพียงคิดจะพาข้ากับน้องชายอาศัยอยู่ที่ศาลเทพแห่งขุนเขา”

”ซื้อที่ปลูกบ้านย่อมต้องคิด…” ได้ยินนางพูดจูงใจเช่นนี้ จย่าอิ๋งชุนจิตใจเริ่มหวั่นไหวแล้ว “เพียงแต่…เห็ดหลิงจือสองดอกนี้จะขายได้เงินมากเช่นนั้นจริงหรือ”

“ขายไม่ได้เงินมากเช่นนั้น แต่ก็พอให้เราเช่าบ้านอยู่ไปก่อน ท่านแม่ ราคาที่อำเภอจะต้องดีกว่าราคาที่ตำบลแน่นอน ท่านก็ให้ข้าลองไปดูเถิด ท่านวางใจ พอขายเห็ดหลิงจือได้แล้วข้าก็กลับมา”

ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้นางจะต้องไปที่อำเภอสักครั้ง ผ้าไหมขอเพียงเอาไปที่ร้านผ้าย่อมต้องขายได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือนางจะไปสำรวจราคาซื้อขายผ้าห่มใยไหม ถ้าดี นางคิดว่าต่อไปจะอาศัยการขายผ้าห่มใยไหมมาสร้างความร่ำรวยให้กับครอบครัว

จย่าอิ๋งชุนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง อยากจะปฏิเสธยิ่งนัก แต่ปัญหาปากท้องที่เร่งด่วนคับขันทำให้นางจำต้องยอมก้มหัว “แต่เจ้าต้องรับปากแม่ หลังจากขายเห็ดหลิงจือได้แล้วต้องกลับมาทันที ไม่อาจพูดคุยกับคนแปลกหน้าส่งเดชหรือสนใจคนที่เข้ามาตีสนิท”

เหมยหรูเซียนตบหน้าอกอย่างมั่นอกมั่นใจ “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด รอพรุ่งนี้พอข้ากลับมา เราก็เตรียมซื้อที่ปลูกบ้าน!”

บทที่ห้า

 วันรุ่งขึ้นเหมยหรูเซียนไปตำบลแต่เช้าตรู่ หาร้านยาเก่าแก่ที่มีความน่าเชื่อถือ เอาเห็ดหลิงจือดอกเล็กขายให้ท่านหมอสูงวัยในราคาห้าสิบตำลึง จากนั้นก็ไปที่ร้านขายผ้าซื้อเสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้แล้วชุดหนึ่ง แล้วไปหาสถานที่มิดชิดแห่งหนึ่ง ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนหลบเข้าไปในพื้นที่ลับในกำไลใช้น้ำที่น้ำพุอาบน้ำ แล้วผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่าที่เต็มไปด้วยรอยปะออก สวมชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมา

ความจริงแล้วไม่ใช่นางเจตนาแสร้งทำตัวเหนือผู้อื่น หรือต้องตั้งใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ถ้านางสวมเสื้อผ้าเก่าคร่ำ คนทั่วไปก็จะเห็นว่านางยากจนเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผ้าไหมและผ้าห่มใยไหม กลัวก็แต่พอหยิบสิ่งของออกมาก็จะถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นขโมย

ก่อนจะออกมาจากพื้นที่ลับ นางตั้งใจตรวจดูเห็ดหลิงจือร้อยปีดอกนั้น พบว่ามันเจริญเติบโตได้ดีมาก ถ้าผ้าห่มใยไหมกับผ้าไหมที่ทอเสร็จขายได้ราคาดี นางก็จะไม่ขายเห็ดหลิงจือ เห็ดหลิงจือลักษณะนี้ในแดนมนุษย์ยากจะพบพานต้องแล้วแต่บุญวาสนา เก็บไว้ไม่แน่วันหน้าอาจมีประโยชน์มากกว่า

หลังจากนั้นนางก็โดยสารรถเทียมวัวที่ไปอำเภอคังติ้งโดยเฉพาะ เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง จ่ายค่ารถให้คนขับรถแล้ว นางก็กระโดดลงจากรถเทียมวัว มองภาพผู้คนคึกคักเบียดเสียดยัดเยียดที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ

แม้จะเลยยามเที่ยงมาแล้ว ที่นี่ก็ยังคงมีผู้คนมาก มิน่าอำเภอคังติ้งถึงได้เป็นหนึ่งในไม่กี่อำเภอที่มั่งคั่งของเมืองโยวโจว เรื่องเหล่านี้ล้วนได้ยินคนบนรถเทียมวัวพูดคุยกันเมื่อครู่ หวังว่านางจะสามารถหาคนซื้อที่ดีได้จากที่นี่

นางแบกผ้าห่มใยไหมสองผืนกับผ้าไหมพับหนึ่งมาถึงร้านผ้าจือจิ่นที่เมื่อครู่สอบถามคนบนรถมา ร้านผ้าจือจิ่นเป็นร้านผ้าที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอคังติ้ง ว่ากันว่าร้านผ้าจือจิ่นเป็นหนึ่งในกิจการของสกุลฝู ในแคว้นหนานเฉาทุกเมืองล้วนมีกิจการของสกุลฝูอยู่ ร้านผ้าที่ใหญ่โตเช่นนี้ ราคารับซื้อน่าจะไม่ต่ำจนเกินไป

นางเพิ่งก้าวขึ้นบันไดไปได้ก้าวเดียว คนงานในร้านก็ออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น…

“ยินดีต้อนรับๆ แม่นาง เชิญด้านในก่อน ร้านผ้าจือจิ่นของเราสินค้าครบถ้วนที่สุด เครื่องแต่งกายตั้งแต่ด้านในถึงด้านนอก ตั้งแต่ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย จนถึงผ้าต่วนแพรไหม งานปักทุกรูปแบบ ลวดลายสีสันรับประกันว่าต้องทำให้ท่านพึงพอใจ”

เห็นคนงานแนะนำอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ก็ทำให้เหมยหรูเซียนที่จะมาทำการค้าออกจะเก้อเขิน “ขออภัย ข้าไม่ได้มาซื้อผ้า ข้าจะมาหาหลงจู๊ของพวกเจ้าเพื่อทำการค้า”

“หลงจู๊ของเรา”

“ใช่ ข้าอยากจะถามว่าเขารับซื้อผ้าห่มใยไหมกับผ้าไหมหรือไม่ ผ้าห่มใยไหมของข้าวิธีทำไม่เหมือนกับของคนอื่น ข้าคิดว่าหลงจู๊ของพวกเจ้าน่าจะสนใจ”

พอได้ยินคำว่า ‘ผ้าห่มใยไหม’ คนงานก็เบิกตากว้างทันที ก่อนจะรีบถามขึ้น “แม่นาง ท่านแซ่อะไร”

หลังจากนางบอกแซ่ คนงานก็ยังคงกุลีกุจอต้อนรับขับสู้นาง “แม่นางเหมยหรอกหรือ เชิญตามข้ามา”

เขาพานางไปยังห้องรับรองที่ใช้สำหรับรับแขก รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง “แม่นางเหมย ท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปเชิญหลงจู๊มาเดี๋ยวนี้”

นางพยักหน้าพลางปลดของที่แบกอยู่บนหลังลงมา จากนั้นเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือ* ซึ่งอยู่ด้านหนึ่ง ค่อยๆ ดื่มน้ำชาที่คนงานในร้านยื่นมาให้

ระหว่างรอนางก็กวาดตามองม้วนภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังในห้องรับรอง บนโต๊ะมีผ้าปักลายหลายชนิดวางเรียงอยู่เต็มโต๊ะ ในใจอดไม่ได้ที่จะชื่นชมลวดลายประณีตงดงามและหลากหลาย ไม่คลาดเคลื่อนจากที่นางได้ยินได้ฟังมาจริงๆ

ครู่เดียวบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินสดใส ไว้หนวดสองเส้นเหนือริมฝีปาก หน้าตามีสง่าราศีก็สาวเท้าเร็วๆ เดินเข้ามา เขาเห็นเหมยหรูเซียนลุกขึ้นก็รีบเอ่ย “แม่นางเหมยใช่หรือไม่ ให้เจ้ารอนานแล้ว เชิญนั่งทางด้านนี้ ไม่ต้องมากมารยาท ข้าคือหลงจู๊ของร้านผ้าจือจิ่น ไล่ฉางโจว”

แม้เขาจะเกรงใจมาก แต่นางยังคงยอบตัวทำความเคารพเขา “คารวะหลงจู๊ไล่”

“แม่นางเหมย ข้าได้ยินคนงานบอกว่าเจ้ามีผ้าห่มใยไหมกับผ้าไหมอยู่ในมือจะขายให้ร้านเรา”

“ใช่ วันนี้ข้าเอาผ้าห่มใยไหมมาสองผืนกับผ้าไหมพับหนึ่งมาให้ท่านดู” นางเปิดห่อผ้าฝ้ายผืนใหญ่ที่ห่อผ้าห่มใยไหมกับผ้าไหมออก “เชิญดู”

ตอนผ้าห่มใยไหมปรากฏออกมาต่อหน้าหลงจู๊ไล่ เขาพลันเลิกคิ้วน้อยๆ ด้วยรู้สึกว่าดูแตกต่างจากผ้าห่มใยไหมที่เขาเคยเห็นมา ก่อนจะหันไปทางด้านนอกแล้วร้องเรียก “ใครอยู่ข้างนอก ไปเอาผ้าห่มใยไหมที่ซื้อไว้เมื่อเช้าผืนนั้นมาซิ”

จากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ผ้าห่มใยไหม ทั้งยังคลี่ผืนหนึ่งออกมาดมกลิ่น กล่าวด้วยความประหลาดใจ “แม่นางเหมย ผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้ของเจ้าทำขึ้นมาอย่างไร เหตุใดจึงไม่มีกลิ่นแม้แต่น้อย…อีกทั้งปริมาณน้ำหนักก็เท่ากัน แต่ผิวสัมผัสกลับนุ่มเบากว่า”

“นี่ย่อมเป็นความลับ” นางไม่โง่ถึงกับเอาความลับบอกคนอื่น อย่าว่าแต่ตอนนี้การค้ายังไม่ได้เจรจาตกลงกันด้วยซ้ำ

หลงจู๊ไล่ชะงักนิ่งไปชั่วขณะแล้วนึกขำในสิ่งที่ตนเองถาม “ดูเถิดข้าพูดจาเหลวไหลอะไรออกไป นี่เป็นงานฝีมือของแม่นางเหมย ย่อมไม่อาจบอกให้คนอื่นรู้ง่ายๆ”

“ดูเหมือนหลงจู๊ไล่จะพอใจผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้มาก”

“หึๆ ย่อมต้องพอใจ” สายตาของหลงจู๊ไล่จับนิ่งไปยังผ้าไหมที่สาดประกายสีทองระยิบระยับพับนั้น เขาคลี่ผ้าไหมออกมาทั้งพับ ทาบลงบนร่างของตน ลูบไปบนเนื้อผ้าดูผิวสัมผัส พลันรู้สึกตื่นตะลึงอย่างมาก “นี่…ผ้าพับนี้เนื้อผ้าเบานุ่มดุจเมฆหมอก บางราวปีกจักจั่น ผิวสัมผัสเนียนละเอียด แวววาวเกลี้ยงเกลา คุณภาพเหนือกว่าสิ่งทอไหมทั่วไปมาก…ผ้าไหมพับนี้มีชื่อเรียกหรือไม่”

“ข้าตั้งชื่อผ้าไหมพับนี้ว่าหลิงอวิ๋นซา*”

“เครื่องบรรณาการที่ส่งเข้าวังหลวงคุณภาพยังดีสู้ผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับนี้ไม่ได้” เขาอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้ “แม่นางเหมย ผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาของเจ้าสั่งทำจำนวนมากได้หรือไม่”

ถ้าตอนคัดเลือกวาณิชหลวงปีที่แล้วเอาผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับนี้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วย ตำแหน่งวาณิชหลวงคงเป็นของนายท่านของพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ของสกุลหลู่ เสียดายมาไม่ถูกจังหวะ

“ทำไม่ได้”

นางตอบอย่างไม่ลังเล ทำเอาความคิดกับความหวังที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาของหลงจู๊ไล่ต้องมอดดับลงทันที เขากลืนน้ำลายทีหนึ่ง “ไม่ได้หรือ”

“ใช่ ตอนนี้มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถผลิตออกมาจำนวนมากได้”

หลงจู๊ไล่มองนางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย

เหมยหรูเซียนเห็นเขาขมวดหัวคิ้วก็ลุกขึ้นเก็บของที่นางเอามา แล้วว่า “ถ้าหลงจู๊ไล่ไม่สนใจผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้ข้าก็ไม่รบกวนเวลาของหลงจู๊ไล่แล้ว ข้าคิดว่าร้านผ้าฟู่หวาของสกุลหลู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคงจะสนใจ”

“ไม่ แม่นางเหมย เจ้าอย่าเพิ่งรีบเก็บ นอกจากที่นี่ เจ้าหาคนซื้อราคาสูงกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทั้งสองอย่างนี้ข้าจะซื้อไว้ทั้งหมด” ของสิ่งนี้ถ้าถูกศัตรูหมายเลขหนึ่งสกุลหลู่ซื้อไปล่ะก็ หลงจู๊อย่างเขาก็ทำงานมาถึงสุดทางแล้ว

เหมยหรูเซียนยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ไม่ทราบหลงจู๊ไล่คิดจะซื้อในราคาเท่าไร”

“ผืนละสองร้อยตำลึง ผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับนี้พับละสามร้อยตำลึง” ราคานี้สูงไปสักหน่อย แต่ถ้าเอาผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้กับผ้าไหมพับนี้ส่งกลับไปเมืองหลวงให้ถึงมือนายน้อย จะต้องสามารถผลิตสินค้าลักษณะเดียวกันได้มากขึ้นราคาสูงขึ้นออกมาได้อย่างแน่นอน

ใช้เงินเจ็ดร้อยตำลึงซื้อตัวอย่างสินค้าที่ไม่มีใครทำได้ในตอนนี้ เปรียบกับการลงทุนกำลังคนกำลังทรัพย์ไปศึกษาค้นคว้าแล้วย่อมคุ้มค่ากว่ามาก

“ผ้าห่มใยไหมผืนละสามร้อยห้าสิบตำลึง ผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับละห้าร้อยตำลึง ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้” สีหน้านางบ่งบอกว่าไม่มีการเจรจาต่อรอง

หลงจู๊ไล่ลังเลอยู่ชั่วขณะ “ห้า…ห้าร้อยตำลึงหรือ…ได้ แต่ว่า…”

“มีเงื่อนไขอะไรท่านพูดมาเถิด”

“คราวหน้าถ้ายังมีผ้าห่มใยไหมชนิดนี้กับผ้าไหมหลิงอวิ๋นซา หรือมีผ้าแพรไหมอื่นที่คุณภาพดี จะต้องเอามาขายให้ร้านผ้าจือจิ่นของเราก่อน นอกจากคนในบ้านของเจ้าสวมใส่เองแล้ว ไม่อาจขายให้ร้านผ้าฟู่หวาของสกุลหลู่หรือร้านผ้าแห่งอื่น”

“หลงจู๊ไล่ เพียงแค่ผ้าห่มใยไหมสองผืนกับผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับหนึ่ง ท่านก็คิดจะผูกมัดข้าแล้ว ไม่รู้สึกโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ”

หลงจู๊ไล่ถูกนางว่าให้เช่นนี้ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที “แค่กๆ นั่นเพราะข้าเป็นห่วงกลัวเจ้าจะเร่ขายไปทั่ว ทำให้เสียราคาในท้องตลาด”

“หลงจู๊ไล่ คนทำการค้าล้วนต้องยึดมั่นเรื่องความน่าเชื่อถือ ขอเพียงท่านให้ราคาสวยงามก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเอาของไปขายให้คนอื่น คราวหน้าข้ายังคงต้องมาหาท่าน เว้นเสียแต่ท่านไม่คิดจะทำการค้ากับข้าอีก ข้าจึงจะไปหาร้านอื่น ข้ารู้อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสินค้ามีน้อยย่อมราคาแพง”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ข้าก็เชื่อว่าร้านผ้าร้านอื่นไม่มีทางให้ราคาเช่นนี้ได้ หวังว่าต่อไปภายหน้าเราจะทำการค้าร่วมกันด้วยดี” หลงจู๊ไล่หมุนตัวไปตะโกนบอกข้างนอก “ใครอยู่ข้างนอก ไปเอาตั๋วเงินหนึ่งพันสองร้อยตำลึงมา”

ก่อนออกจากร้านผ้าจือจิ่น เหมยหรูเซียนซื้อผ้าจากร้านของพวกเขาไปไม่น้อย

เพื่อจะมัดใจนางเศรษฐีในอนาคตผู้นี้ หลงจู๊ไล่จึงคิดราคาให้นางตามความเป็นจริง กึ่งซื้อกึ่งให้ด้วยหวังจะผูกไมตรีกับนาง ให้ครั้งหน้านางยังคงเอาสินค้ามาขายให้เขาทั้งหมดอีก

หลังจากเหมยหรูเซียนจากไปแล้ว หลงจู๊ไล่ได้นำผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้กับผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาส่งไปเมืองหลวงให้ถึงมือฝูจิ่งเซิงนายน้อยของเขาให้เร็วที่สุด

เหมยหรูเซียนมาถึงตรอกที่ไม่มีผู้คน ก็รีบเอาผ้าที่ซื้อมาทั้งหมดเก็บไว้ในพื้นที่ลับ จากนั้นก็ไปที่ตลาดซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตอื่นๆ ขอเพียงออกจากร้านค้ามา ก็จะรีบหาสถานที่เอาสิ่งของเข้าไปเก็บ กระทั่งนางเห็นว่าซื้อหาสิ่งของได้พอสมควรแล้ว จึงได้หอบหิ้วข้าวของพอเป็นพิธีไปเช่ารถม้ากลับหมู่บ้านต้าเคิง

ตอนนางกลับมาถึงศาลเทพแห่งขุนเขา เป็นเวลาในราวช่วงต้นยามเซิน* จย่าอิ๋งชุนกับเหมยชิงหยวนมายืนรออยู่หน้าประตูคอยชะเง้อมองไปที่ตีนเขารอนางอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นนางแบกสิ่งของจำนวนมากกลับมาก็พากันตกอกตกใจ

เหมยหรูเซียนเอาของวางเรียงบนโต๊ะเซ่นไหว้ทีละอย่างๆ

จย่าอิ๋งชุนเบิกตากว้างมองสิ่งของกองโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในนั้นมีผ้า เสื้อผ้า หม้อ กระทะ เครื่องปรุงรส เนื้อหมู ข้าวสาร ขนมอบต่างๆ นางเอามือปิดปากแล้วเอ่ยถาม “หรูเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมามากมายเช่นนี้ เห็ดหลิงจือสองดอกนั้นขายได้ราคาไม่น้อยใช่หรือไม่”

เหมยชิงหยวนเขย่งปลายเท้าจ้องมองข้าวของกองโตบนโต๊ะเซ่นไหว้ “พี่สาว มีของข้าหรือไม่ มีของของข้าหรือไม่”

“มี พี่ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่กับรองเท้าใหม่จากอำเภอมาให้ท่านแม่กับหยวนเอ๋อร์ ยังมีขนมหวาน”

“ขนมหวาน! ขนมหวานหรือ” พอได้ยินว่ามีขนมหวาน เหมยชิงหยวนนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า เพียงรู้สึกว่าขนมหวานเปรียบกับเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วยังดึงดูดใจยิ่งกว่า เขาดึงแขนเสื้อของนาง “พี่สาว ขนมหวานอยู่ที่ใด รีบเอาให้ข้าเถิด”

“อย่าใจร้อน พี่หาดูก่อน” เหมยหรูเซียนรีบพลิกรื้อข้าวของกองโต ครู่หนึ่งจึงหาขนมหวานสองถุงออกมาได้ นางส่งถุงหนึ่งให้เหมยชิงหยวน เอามือจิ้มปลายจมูกเขาพลางสั่งกำชับ “เอ้า พี่ซื้อขนมดอกกุ้ย ถั่วตัด งาตัด ขนมหยางเหมย*…หลายอย่าง เจ้าเก็บไว้ค่อยๆ กิน วันหนึ่งไม่อาจกินเยอะเกินไป หาไม่จะปวดฟัน”

“หรูเอ๋อร์ ที่แม่ถามเจ้า เจ้าได้ยินหรือไม่”

“ได้ยินแล้ว ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด เงินที่ขายเห็ดหลิงจือสองดอกนั่นยังพอให้เราซื้อที่ดินกับปลูกบ้านอีกด้วย”

“อะไรนะ! ที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือว่าเท็จ” จย่าอิ๋งชุนร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“จริง ท่านแม่ เห็ดหลิงจือสองดอกนั่นขายได้สามร้อยห้าสิบตำลึง ข้าวของที่ซื้อมาวันนี้ข้าใช้เงินไปราวสิบห้าตำลึง” นางหยิบตั๋วแลกเงินสามร้อยตำลึงกับเศษเงินอีกจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

นางไม่คิดจะบอกมารดาว่าวันนี้ตนออกไปหาเงินได้มาทั้งหมดเท่าไร เพราะนางต้องระแวดระวังคนบ้านสกุลจย่า ถ้าพวกเขารู้ว่ามารดาของนางมีเงินมากเช่นนี้ จะต้องคิดมิดีมิชอบอย่างแน่นอน เงินสามร้อยตำลึงนี้หลังจากซื้อที่ดินปลูกบ้านแล้วก็เหลืออีกไม่เท่าไร

จย่าอิ๋งชุนเกิดมาชั่วชีวิตยังไม่เคยเห็นตั๋วแลกเงินและไม่รู้หนังสือ แต่แม้จะดูตั๋วแลกเงินไม่ออก นางก็ยังคงตื่นเต้นยินดียิ่ง

“ท่านแม่ ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ยังพอมีเวลา เราไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน ปรึกษาเขาเรื่องจะซื้อที่ดินปลูกบ้าน ท่านว่าเป็นอย่างไร”

“ปลูกบ้านก็ไม่ต้องกระมัง หรูเอ๋อร์ ไปดูว่าในหมู่บ้านมีบ้านเก่าที่ไหนจะขาย เราก็ซื้อมาเลยก็แล้วกัน”

“ท่านแม่ บ้านในหมู่บ้านเหล่านั้นข้าเคยดูมาแล้ว ข้าบอกได้เพียงว่าคนในหมู่บ้านนี้แต่ละคนล้วนเกียจคร้าน ทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านที่ผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่เป็นบ้านก่อด้วยอิฐดินเผา คนอื่นๆ ล้วนอยู่กระท่อมมุงหญ้าคา อีกทั้งหญ้าบนหลังคาอย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาสองสามปีแล้ว พอข้างนอกฝนตกหนัก ข้างในก็มีฝนตกน้อยๆ ไปด้วย สภาพการณ์เช่นนี้ใช่ว่าเราไม่เคยเห็น ซื้อบ้านที่ปลูกไว้แล้วยังต้องลงมือบูรณะซ่อมแซม แทนที่จะทำเช่นนั้นไม่สู้ปลูกใหม่ ใช้เวลาต่างกันก็ไม่เกินครึ่งเดือน”

“ท่านแม่ ปลูกบ้านใหม่ บ้านใหม่ ข้าอยากอยู่บ้านใหม่ เช่นนี้จะได้ไม่ถูกพวกญาติผู้พี่ทั้งหลายหัวเราะเยาะ ข้าบอกข้าเป็นเด็กที่กระทั่งรังสุนัขก็ยังไม่มี…” เหมยชิงหยวนดึงๆ แขนเสื้อมารดาพลางกล่าว

จย่าอิ๋งชุนไม่อาจตัดใจให้ลูกถูกคนเย้ยหยันอีกต่อไป คิดว่ามีบ้านก็มีความมั่นคงและความปลอดภัยมากขึ้น ขอเพียงปลูกบ้านขึ้นมาได้ ส่วนเงินที่เหลือก็ใช้ประหยัดหน่อย วันหน้ายังสามารถแต่งสะใภ้ให้หยวนเอ๋อร์สักคน จัดหาสมบัติติดตัวเจ้าสาวให้หรูเอ๋อร์สักส่วน ครั้นแล้วจึงรับปาก “อืม ได้ เช่นนั้นก็ปลูกบ้านใหม่กัน” นางเอาตั๋วแลกเงินสามร้อยตำลึงส่งให้เหมยหรูเซียน “เงินนี่หรูเอ๋อร์เป็นคนหามาได้ เจ้าก็เก็บไว้กับตัว เรื่องที่เราจะซื้อที่ปลูกบ้านจะต้องมีคนเล่าลือออกไป ถึงตอนนั้นคนที่บ้านท่านตาของเจ้า…เงินนี่ไว้ที่เจ้าปลอดภัยกว่า”

เหมยหรูเซียนหัวเราะออกมาเบาๆ พลางมองจย่าอิ๋งชุนแวบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามารดาก็จะรู้และเข้าใจดี

ไม่เลว! นางยิ้มกริ่ม “ได้ท่านแม่ ข้าจะไปหาผู้ใหญ่บ้านเดี๋ยวนี้เลย วันนี้ข้าซื้ออาหารกลับมาด้วย ท่านเพียงหุงข้าวกับผัดผักก็พอแล้ว”

พูดจบนางก็หยิบขนมอบกล่องหนึ่ง ขนมหวานถุงหนึ่ง อาหารที่สุกแล้วชุดหนึ่งกับสุราไหหนึ่งที่ซื้อจากตำบลออกมา ใส่ลงไปในตะกร้าไม้ไผ่ ตั้งใจจะเอาไปมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน

“ได้ เจ้ารีบไปรีบกลับ”

“เช่นนั้นข้าไปล่ะ” เหมยหรูเซียนชำเลืองมองเหมยชิงหยวนที่กินขนมหวานอย่างเพลิดเพลินแวบหนึ่ง “หยวนเอ๋อร์ ไม่อาจกินขนมหวานอีกแล้ว หาไม่อีกประเดี๋ยวจะกินข้าวเย็นไม่ลง ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง คราวหน้าพี่จะไม่ซื้อขนมหวานให้เจ้ากินอีก”

“อา ข้ากินอีกชิ้นก็พอแล้ว” เหมยชิงหยวนรีบยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว

นางออกจะอับจนปัญญา หันไปกล่าวกับมารดา “ท่านแม่ ท่านจับตาดูเขาไว้ อย่าให้เขากินมาก มิเช่นนั้นฟันจะผุได้ ข้าไปล่ะนะ”

 

เหมยหรูเซียนฝีเท้าเร็วยิ่ง ด้วยเวลาไม่ถึงสองเค่อ* ก็มาถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังไม่ได้เริ่มจัดเตรียมอาหารเย็น โดยทั่วไปจะนั่งเลือกผักอยู่ในลานบ้าน หรือไม่ก็จับกลุ่มสามคนห้าคนพูดคุยเล่นกัน

นางหิ้วของขวัญเพิ่งจะเดินเข้ามาในลานบ้านผู้ใหญ่บ้านก็เห็นภรรยาผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่ในที่ร่มใต้ชายคากำลังเลือกผักที่จะทำอาหารเย็นนี้

นางทักทายอย่างกระตือรือร้น “ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านสบายดีหรือ”

ภรรยาผู้ใหญ่บ้านหรี่ตามองสำรวจนาง เพ่งดูอยู่ครู่ใหญ่จึงนึกออก “เจ้า…ไม่ใช่หรูเซียนหลานสาวของจย่าเซ่อผู้นั้นหรอกหรือ” นางหนูนี่ได้ยินว่าประหลาดยิ่ง ตายไปสองครั้งแล้วกลับฟื้นขึ้นมา ทำให้คนบ้านสกุลจย่าตกอกตกใจแทบตาย ด้วยเหตุนี้นางกับแม่ของนางและยังมีน้องชาย ทั้งสามคนจึงถูกตาเฒ่าจย่าเซ่อไล่ออกจากบ้านสกุลจย่า

“ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาวันนี้ด้วยมีธุระจะมาพบท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบท่านลุงอยู่หรือไม่” เหมยหรูเซียนเดินเข้าไปยื่นตะกร้าไม้ไผ่ให้อีกฝ่าย “นี่เป็นของที่ข้าเพิ่งซื้อกลับมาจากอำเภอวันนี้ เป็นน้ำใจเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การแสดงความเคารพ ฮูหยินผู้ใหญ่บ้านโปรดรับไว้ด้วย”

ภรรยาผู้ใหญ่บ้านนัยน์ตาเป็นประกาย มองของขวัญติดไม้ติดมือที่ใส่มาเต็มตะกร้า ดวงตาเบิกกว้างพลางร้องอุทานอยู่ในใจ

ข้าวของตั้งมากมาย ทั้งยังซื้อมาจากอำเภอ ราคาต้องไม่ถูกแน่ นางหนูผู้นี้กับแม่ของนางไม่ใช่ยากจนกระทั่งนรกยังไม่รับตัวไว้หรอกหรือ เหตุใดจึงมีเงินไปซื้อของเหล่านี้ได้!

จะสนใจไปไยว่านางเอาเงินมาจากที่ใด ของเหล่านี้รับไว้ย่อมไม่ผิดแน่…

ภรรยาผู้ใหญ่บ้านระงับความคิดทั้งหมดไว้ ยิ้มหน้าบานพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “นางหนูหรู คนมาก็พอแล้ว ไยต้องมากมารยาทเอาของเหล่านี้มาด้วย เจ้าเอากลับไปให้แม่ของเจ้ากับน้องชายกินเถิด พวกเจ้าสามแม่ลูกมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก” แม้ปากนางจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าสองมือกลับคว้าตะกร้าไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ส่วนของท่านแม่กับน้องชายข้าจัดเตรียมไว้ให้ต่างหากอีกห่อหนึ่ง อีกทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจะไม่ลำบากเช่นนั้นอีกแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“ไม่ลำบากแล้ว เช่นนั้นก็ดี สิ่งของเหล่านี้ของเจ้าข้าก็จะรับไว้แล้วกัน” ได้ยินเหมยหรูเซียนกล่าวเช่นนี้ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็ยิ้มจนหุบปากไม่ลง ก่อนจะเลิกม่านมุกเอาของไปเก็บที่เรือนด้านหลัง “นางหนูหรู เข้ามานั่งเถิด ข้าจะไปเรียกท่านลุงผู้ใหญ่บ้านของเจ้า”

“เจ้าค่ะ” เหมยหรูเซียนตามภรรยาผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในด้านใน

นางยิ้มพลางมองภรรยาผู้ใหญ่บ้านเอาของที่นางเอามาให้เข้าไปที่เรือนด้านหลังด้วยท่าทางดีอกดีใจ ตอนแรกนางกังวลว่าภรรยาผู้ใหญ่บ้านจะไม่รับของของนาง เวลานี้รับไว้แล้ว เชื่อว่าคงจะต้องเป่าลมข้างหมอน* ข้างหูผู้ใหญ่บ้าน เลือกที่ดินที่ดีให้นางเป็นแน่

ภรรยาผู้ใหญ่บ้านมาถึงห้องกินข้าวก็หยิบของในตะกร้าออกมาแล้วผงกศีรษะด้วยความพอใจอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงสุราที่อย่างน้อยๆ มีสามชั่ง* ขาหมูตุ๋นหอมฉุยมันวาวกับอาหารตุ๋นสุกอย่างอื่น ของเหล่านี้ในหมู่บ้านหาซื้อไม่ได้ ดูจากสิ่งของก็มองออกถึงน้ำใจของนางแล้ว ยังมีขนมอบกล่องนี้กับขนมหวาน นางหนูนี่คงรู้ว่านางมีลูกที่อยู่ในวัยไม่เล็กไม่โตกำลังชอบกินขนมหวานอยู่หลายคน ถึงได้เอาใจเตรียมขนมอบขนมหวานมาให้เป็นพิเศษ

ไม่เลวเลย! ต้องบอกให้ตาแก่ช่วยจัดการธุระของนางหนูนี่ให้เรียบร้อย ไม่แน่วันหน้าอาจมีของขวัญขอบคุณที่ดียิ่งกว่านี้

คิดมาถึงตรงนี้ภรรยาผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าไปในห้องด้วยท่าทางพออกพอใจและปลุกผู้ใหญ่บ้านที่ยังงีบช่วงบ่ายอยู่

พักใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านที่ยังมีท่าทางงัวเงียเล็กน้อยก็เดินออกมาจากด้านใน “นางหนูเหมย ได้ยินว่าเจ้าเรียกหาข้า”

“ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ต้องขออภัยด้วยที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” เหมยหรูเซียนรีบลุกขึ้นยืน โค้งคำนับขออภัย

ผู้ใหญ่บ้านโบกๆ มือ “ไม่เป็นไร เดิมเวลานี้ข้าก็ควรลุกขึ้นมาอยู่แล้ว ตั้งใจมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยท่านแม่กับพวกเราพี่น้องไปที่ว่าการตำบลยื่นขอขึ้นทะเบียนราษฎร์เป็นเอกเทศให้พวกเรา”

“พวกเจ้าจะยื่นขอขึ้นทะเบียนราษฎร์เป็นเอกเทศหรือ แต่ว่า…นางหนูสกุลเหมย จะยื่นขอขึ้นทะเบียนราษฎร์ต้องมีบ้านเป็นของตนเอง”

“ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน เรื่องนี้ข้ารู้ดีและก็เป็นสาเหตุหลักที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ ข้ากับท่านแม่คิดจะซื้อที่ดินในหมู่บ้านต้าเคิงและปลูกบ้าน อยากจะขอคำชี้แนะจากท่านว่าในหมู่บ้านเรามีที่ว่างเปล่าจะขายหรือไม่”

พอนางเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา ผู้ใหญ่บ้านถึงกับตะลึงงันไปทั้งร่าง “นางหนูสกุลเหมย เจ้าบอกจะซื้อที่ดินปลูกบ้าน นี่…ในตัวเจ้ามีเงินหรือไม่”

เหมยหรูเซียนพยักหน้าหนักๆ หลังจากปรับเปลี่ยนเรื่องที่พบเห็ดหลิงจือเล็กน้อย ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมารวดเดียว “มีเจ้าค่ะ ขอบอกท่านอย่างไม่ปิดบัง เมื่อวานข้ากับท่านแม่ยังมีน้องชายอีกคน หลังจากเราสามคนถูกไล่ออกมาจากบ้านท่านตาก็ไม่มีที่ไป จำต้องไปอาศัยอยู่ที่ศาลเทพแห่งขุนเขา ตอนข้าไปหาผลไม้ในป่า บังเอิญไปเจอเห็ดหลิงจือสองดอกหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก วันนี้พอเช้าขึ้นมาก็เอาเห็ดหลิงจือดอกเล็กไปขายให้ร้านยาที่ตำบล จากนั้นก็เอาเห็ดหลิงจือดอกใหญ่ไปขายที่อำเภอคังติ้ง จึงได้มีเงินมาซื้อที่ปลูกบ้าน”

“เห็ดหลิงจือ?!”

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าไปที่อำเภอเอาเห็ดหลิงจือใหญ่ดอกนั้นไปขาย ได้เงินมาไม่น้อย” นางชูนิ้วมือขึ้นมาสามนิ้ว

“สามร้อย…”

ผู้ใหญ่บ้านเบิกตากว้างทันที แม้แต่ที่ด้านหลังม่านมุกที่แกว่งไกวก็มีเสียงอุทานดังขึ้น

เหมยหรูเซียนหยักยกมุมปากเงียบๆ นางจงใจให้ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ยิน ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเป็นหญิงปากยาวประจำหมู่บ้านต้าเคิง เรื่องที่นางรู้ ไม่ถึงครึ่งวันทุกคนในหมู่บ้านก็จะได้รู้โดยทั่วกัน เช่นนี้ทั้งหมู่บ้านก็จะได้รู้ว่าเงินของพวกนางไม่ใช่มีที่มาไม่ชัดเจน และตัดขาดความคิดที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลของบ้านสกุลจย่าไปด้วยเลย

หลังจากผู้ใหญ่บ้านพอจะสงบความตื่นตระหนกตกใจลงได้บ้างแล้ว ก็ระบายลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้าติดๆ กัน “เช่นนั้นก็ดีๆ ไม่รู้ว่าเจ้าอยากได้ที่แถวไหน” เขาหมุนตัวไปทางช่องประตูที่ทะลุไปเรือนด้านหลังพลางร้องเรียก “ยายแก่ เอาแผนผังแสดงที่ดินในหมู่บ้านของเรากับกองกระดาษที่ข้าวางอยู่บนโต๊ะมาให้หน่อย”

ครู่เดียวภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็ถือของหอบใหญ่ออกมา ทั้งยังรินน้ำหวานชามหนึ่งมาให้เหมยหรูเซียนอย่างเอื้ออารี “นางหนูหรู น้ำหวานนี่ดื่มแล้วชื่นใจ ข้าแช่เย็นไว้ในบ่อเพิ่งเอาขึ้นมา”

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางกำลังรู้สึกกระหายน้ำพอดีจึงไม่เกรงใจ ยกชามขึ้นดื่มคำโต

ผู้ใหญ่บ้านคลี่แผนผังแสดงที่ดินของหมู่บ้านต้าเคิง ชี้ที่ดินให้ดูหลายแห่ง “นางหนูหรู ที่ดินที่มีจุดสีแดงเหล่านี้เป็นที่ดินไม่มีเจ้าของ และเหมาะที่จะสร้างบ้าน เจ้าดู ข้าจะบอกราคาให้เจ้ารู้ก่อน ไร่นาที่นี่เราคิดคำนวณเช่นนี้ ไม่ว่าจะใช้เพาะปลูกหรือสร้างบ้านก็จะคิดคำนวณโดยดูว่าเป็นที่นาชั้นหนึ่ง* ที่นาชั้นรอง ที่นาชั้นเลว แยกเป็นหมู่ละสิบตำลึง แปดตำลึง ห้าตำลึงตามลำดับ”

“ไม่มีปัญหา ขอข้าดูก่อน” สายตาของเหมยหรูเซียนจับนิ่งไปที่ที่ดินเหล่านั้น แล้วชี้ไปยังที่ว่างเปล่าผืนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศาลเทพแห่งขุนเขา “ผู้ใหญ่ ข้าอยากได้ที่นี่ ที่ดินผืนนี้ราคาเท่าไร”

ตอนไปหาผักหญ้าให้หมู นางเคยเห็นตาน้ำพุที่อยู่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นก็ต่อน้ำมาใช้โดยตรงได้เลยไม่ต้องไปหิ้วน้ำจากลำธาร

ผู้ใหญ่บ้านขมวดหัวคิ้วมองอยู่ครู่หนึ่ง “นางหนูหรู เจ้าอยากจะสร้างบ้านอยู่ที่ตีนเขาหรือ นี่…”

“ไม่ได้หรือ”

“ก็ไม่ใช่ไม่ได้ หมู่บ้านต้าเคิงเราแม้จะอยู่ในหุบเขา แต่ตรงจุดที่เจ้าชี้อยู่ใกล้ภูเขามาก มักมีสัตว์ป่าลงจากเขาอยู่เสมอ อันตรายมาก” ผู้ใหญ่บ้านบอกถึงภยันตรายให้นางรู้

“ไม่เป็นไร ก่อกำแพงล้อมรอบให้หนาหน่อยสูงหน่อย น่าจะไม่เป็นไร”

“ที่นี่จัดอยู่ในขั้นที่นาชั้นเลว หมู่ละห้าตำลึง ที่ผืนนี้มีเนื้อที่ราวสิบสองหมู่กว่า ถ้าเจ้าจะเอาก็คิดเจ้าสิบสองหมู่”

เหมยหรูเซียนหยิบแผนผังขึ้นมาพิจารณาดูที่ดินที่ติดเครื่องหมายผืนอื่นในละแวกใกล้เคียงกับที่ดินที่นางพอใจผืนนั้นอย่างละเอียด แล้วชี้ไปที่ที่ดินผืนหนึ่งพลางเอ่ยถาม “ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ที่ตรงนี้เป็นที่ดินไม่มีเจ้าของใช่หรือไม่”

“ใช่ ที่ผืนนี้มีแต่ก้อนหิน หักร้างถางพงลำบาก จัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีใครต้องการ”

“เช่นนั้นขายให้ข้าพร้อมกันเลยได้หรือไม่”

“เจ้าจะซื้อที่ผืนนี้หรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าถึงตอนนั้นจะหาคนขุดหินออกมา เอามาก่อกำแพงล้อมรอบ เช่นนี้ก็จะประหยัดเงินซื้ออิฐไปได้ ที่เหลือก็รอข้ากับท่านแม่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำค่อยๆ ไปหักร้างถางพง”

ความจริงแล้วเหตุผลสำคัญที่นางซื้อที่ผืนนี้ก็เพื่อจะนำมาปลูกต้นหม่อน ขุดหินในที่รกร้างออกมาก่อกำแพงก่อน ค่อยนำดินที่ขุดขึ้นมาเพื่อทำฐานรากของบ้านซึ่งเหลืออยู่มากมาถมในที่รกร้าง เช่นนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าดินที่จะปลูกต้นหม่อนไม่พอ

“เจ้าจะสร้างบ้านก่ออิฐมุงกระเบื้องหรือ” ผู้ใหญ่บ้านประหลาดใจอย่างมาก

“เจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นยังต้องรบกวนท่านลุงผู้ใหญ่บ้านช่วยข้าจัดการ ไม่ทราบท่านลุงเห็นเช่นไร” พวกนางหญิงม่ายลูกกำพร้า ไม่มีคนหนุนหลัง คิดจะปักหลักมั่นคงในหมู่บ้านต้าเคิงก็จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่บ้านจึงจะได้

“ข้าหรือ นางหนูหรูเจ้าให้เกียรติข้าเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ” พอนึกถึงว่านางหนูสกุลเหมยมอบงานก่อสร้างบ้านทั้งหมดให้กับเขา เขาก็ยิ้มจนหุบปากไม่ลง ดูท่าช่วงฉลองปีใหม่ปีนี้ครอบครัวของพวกเขาคงไม่ลำบากแล้ว

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านลุงผู้ใหญ่บ้านไว้ตรงนี้ก่อนเลย จริงสิ ถึงตอนนั้นเรื่องอาหารการกินของคนงานก็ต้องรบกวนฮูหยินผู้ใหญ่บ้านช่วยข้าจัดการ ถามดูในหมู่บ้านท่านป้าท่านน้าคนไหนมีเวลาว่างมาช่วยได้บ้าง”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็พุ่งออกมาจากหลังม่านทันที “เรื่องนี้ไม่ต้องหาคนอื่น พี่สะใภ้สองคนของข้าก็เป็นคนหุงข้าวทำกับข้าวหม้อใหญ่ตามสถานที่ก่อสร้างไม่ก็งานที่อารามให้คนอื่นอยู่แล้ว พวกนางสองคนรับหน้าที่นี้ได้”

“เช่นนั้นถึงเวลาก็รบกวนฮูหยินผู้ใหญ่บ้านด้วย”

“ไม่สู้ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด เราไปดูที่ดินที่เจ้าพอใจผืนนั้นกัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้ข้าก็จะไปที่ว่าการอำเภอแต่เช้าเชิญคนมากำหนดเขตที่ดิน ทั้งช่วยเจ้าทำเรื่องซื้อขาย ยังมีเรื่องขอขึ้นทะเบียนราษฎร์ให้เรียบร้อย” ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก

“ได้ ตกลงตามนี้” เหมยหรูเซียนก็ลุกขึ้นตาม นางทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งจะพูดแล้วก็ไม่พูด “จริงสิ ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ฮูหยินผู้ใหญ่บ้าน เรื่องที่ครอบครัวของข้าจะซื้อที่ปลูกบ้าน ขอให้พวกท่านช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อน พวกท่านก็รู้…พวกเรากับบ้านท่านตา…”

ผู้ใหญ่บ้านเข้าใจในทันที พยักหน้าแล้วว่า “วางใจ ฐานรากยังไม่ทันขุด อิฐยังไม่ทันก่อขึ้นมา ข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” เกิดบ้านสกุลจย่ารู้เข้าและมาโวยวายถึงบ้าน เขาคงจะขาดรายได้ไปหลายตำลึง

เขานึกถึงภรรยาปากมากผู้นั้นของตนก็หันไปจ้องนางด้วยสายตาเฉียบขาด “ลี่จู เจ้าได้ยินหรือไม่ ปิดปากให้สนิท”

ล้อเล่นอะไร เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงครอบครัวของพวกตนจะได้ฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุขหรือไม่ นางจะให้คนอื่นมาทำลายได้อย่างไร ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรีบบอก “รู้แล้ว เรื่องอะไรพูดได้เรื่องอะไรพูดไม่ได้ ข้ารู้ดี เย็นมากแล้ว ท่านรีบพานางหนูหรูไปดูที่ดินเหล่านั้นเถิด”

บทที่หก

 เมืองหลวง ห้องหนังสือบ้านสกุลฝู

ฝูจิ่งเซิงลูบผ้าห่มใยไหมสองผืนกับผ้าไหมที่ส่งด่วนมาจากตำบลคังติ้ง ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกตื่นตะลึงก็โกหกแล้ว มิน่าหลงจู๊ไล่ถึงได้ส่งของสองอย่างนี้มาถึงมือเขาด้วยวิธีที่เร็วที่สุด

อวิ๋นโหยวบ่าวที่อยู่ด้านข้างอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “นายน้อย ผ้าไหมพับนี้กับผ้าห่มใยไหมสองผืนนี้มีปัญหาหรือขอรับ” นายน้อยดูของสองอย่างนี้มาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว ทั้งพลิกไปพลิกมาดูแล้วดูอีก แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่เคยเห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้มาก่อน

คำถามของบ่าวรับใช้ปลุกฝูจิ่งเซิงให้ตื่นจากการครุ่นคิด เขาได้สติกลับคืนมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ “มีปัญหา มีปัญหาอย่างมาก ของสองสิ่งนี้ไม่รู้ยอดฝีมือท่านใดเป็นคนทำ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจคาดเดาถึงความลี้ลับที่อยู่ภายในได้”

“แม้แต่นายน้อยก็มองไม่ออกหรือ” อวิ๋นโหยวออกจะประหลาดใจ สิ่งที่นายน้อยของพวกเขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือสิ่งทอ ที่ผ่านมาสิ่งทอที่ไม่เคยเห็นเมื่อมาถึงมือนายน้อย เพียงเวลาไม่นานอีกฝ่ายก็จะรู้แจ้งถึงวิธีการทออย่างละเอียดแล้ว

ฝูจิ่งเซิงรู้สึกอับจนปัญญา ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ใช่…ขบคิดไม่ออก…”

ในเวลานี้เองประตูห้องหนังสือที่ปิดแน่นก็มีเสียงเคาะดังกังวานขึ้น ซื่อไห่บ่าวอีกคนของเขาส่งเสียงมา

“นายน้อย มีจดหมายด่วนฉบับหนึ่งมาจากตำบลฝูเต๋อ อีกทั้งมีเทียบเชิญส่งมาจากในวังขอรับ”

“เอาเข้ามา” ฝูจิ่งเซิงเกิดความฉงนสนเท่ห์ขึ้นมาในใจ การคัดเลือกวาณิชหลวงสี่ปีครั้ง ปีที่แล้วเพิ่งดำเนินการเสร็จสิ้นไป เหตุใดวังหลวงจึงส่งเทียบเชิญมาอีก

หรือจะเกี่ยวกับเรื่องนั้น

ซื่อไห่เอาจดหมายสองฉบับที่เพิ่งได้รับเข้ามามอบให้ในห้องหนังสือ

เปิดเทียบเชิญจากวังหลวงออกมา คิ้วเข้มชวนมองคู่นั้นของฝูจิ่งเซิงพลันขยับเข้าหากัน “ดูเหมือน…ข่าวที่พวกเราได้รับมาจะไม่ผิด”

สีหน้าของอวิ๋นโหยวกับซื่อไห่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองเขาแล้วพูดออกมาพร้อมกัน “ถ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าฮองเฮาจะทรงลงมือต่อหลู่กุ้ยเฟย* แล้ว!”

ฝูจิ่งเซิงพยักหน้า “น่าจะใกล้แล้วล่ะ ข่าวที่เราได้รับมาก่อนหน้านี้ ฮองเฮาทรงคิดจะสั่งสอนหลู่กุ้ยเฟยมานานแล้ว แต่ติดที่ไม่มีโอกาส ช่วงหลายวันก่อนหลังจากฮองเฮาทรงสวมผ้าแพรอวิ๋นจิ่น* ที่สกุลหลู่เชิญหญิงปักผ้าปักทอขึ้นเป็นพิเศษพับนั้นก็เริ่มคันขึ้นมาทั้งตัว เป็นเหตุให้ทรงกริ้วหนัก”

“ที่ผ่านมาฮองเฮาทรงหาโอกาสลงโทษหลู่กุ้ยเฟยไม่ได้ ครั้งนี้สกุลหลู่พาตนเองมาส่งให้ถึงประตู ฮองเฮามีหรือจะทรงปล่อยไปโดยง่าย” อวิ๋นโหยวพูดอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น “ไม่ตัดเงินของหลู่กุ้ยเฟย ฮองเฮามีหรือจะทรงยินยอม”

ฝูจิ่งเซิงพยักหน้า “ใช่ แม้ปีที่แล้วจะตัดสินไปแล้วว่าวาณิชหลวงที่รับผิดชอบการทอผ้ายังคงเป็นสกุลหลู่รับตำแหน่ง แต่เพราะเรื่องนี้ ฝ่าบาทได้ทรงมีบัญชาให้ทำการคัดเลือกวาณิชหลวงใหม่”

ซื่อไห่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฮองเฮาทรงมีฝีมือเฉียบขาดยิ่ง ฉวยโอกาสตัดถุงเงินของหลู่กุ้ยเฟย ดูซิต่อไปนางจะโอ้อวดอำนาจในตำหนักฝ่ายใน ไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตาได้อย่างไร”

“นายน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นโอกาสดีของพวกเราสกุลฝู เราไม่อาจปล่อยโอกาสให้ผ่านไป” อวิ๋นโหยวเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ

เพียงแต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือสีหน้าเฉยเมยของฝูจิ่งเซิง

“นายน้อย โอกาสที่ดีเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงเหมือนไม่ดีใจ”

“การดีใจที่เปล่าประโยชน์ มีอะไรต้องดีใจ”

“การดีใจที่เปล่าประโยชน์?” ทั้งสองคนต่างไม่เข้าใจ

“แม้ข้าจะจดจ่อสนใจเรื่องสิ่งทออย่างมาก แต่พวกเจ้าก็รู้ดี กำลังความสามารถของข้ายังคงห่างไกลจากสกุลหลู่ที่ก่อร่างสร้างตัวจากสิ่งทอและสืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปีแล้ว ด้วยเหตุนี้การคัดเลือกวาณิชหลวงสี่ปีครั้ง สกุลฝูจึงพ่ายแพ้ในเรื่องสิ่งทอเสมอ สูญเสียสิทธิ์ที่จะช่วงชิงตำแหน่งวาณิชหลวง กิจการการค้าของทั้งสองสกุลคล้ายคลึงกันเกินไป ขอเพียงมีบ้านสกุลหลู่อยู่ เราก็ไม่มีทางคว้าตำแหน่งวาณิชหลวงมาได้” ฝูจิ่งเซิงสาดน้ำเย็น* ใส่พวกเขาถังหนึ่งอย่างเยียบเย็น “ถึงแม้ปีนี้จะทำการคัดเลือกใหม่ เว้นเสียแต่สกุลหลู่จะไม่เข้าร่วม หาไม่สุดท้ายแล้วผู้ชนะยังคงเป็นพวกเขา การคัดเลือกในปีนี้ก็แค่ทำเป็นพิธีให้ฮองเฮาทรงคลายโทสะเท่านั้น”

อวิ๋นโหยวกับซื่อไห่ฟังแล้วต่างก็เงียบงันไป ใช่แล้ว ถ้าพูดตามประวัติครอบครัว สกุลฝูของพวกเขาเป็นวงศ์สกุลผู้มีอันจะกินใหม่ แต่สกุลหลู่กลับเป็นวงศ์สกุลที่มีฐานะมานับร้อยปี ประสบการณ์ที่สั่งสมมาไม่ว่าอย่างไรสกุลฝูของพวกเขาก็เทียบไม่ได้

“ดูแล้ว…ปีนี้เรายังคงไปช่วยสร้างความครึกครื้นให้กับสกุลหลู่…”

“การคัดเลือกในปีนี้ ข้าว่า…” ฝูจิ่งเซิงพูดพลางเปิดจดหมายอีกฉบับที่ส่งด่วนมาจากตำบลฝูเต๋อ พอเพ่งสายตาอ่านก็อุทานเสียงต่ำออกมาด้วยความประหลาดใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่ชวนมองมากขึ้น “อะไรกัน ถึงกับยังมีเรื่องเช่นนี้!”

“นายน้อย ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือไม่” ซื่อไห่ถามด้วยความเป็นห่วง

เรื่องเช่นนี้จะให้เขาพูดออกมาอย่างไร ฝูจิ่งเซิงจึงยื่นจดหมายฉบับนั้นให้พวกเขาอ่านเอาเอง

พออ่านเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของอวิ๋นโหยวกับซื่อไห่ก็เปลี่ยนแล้ว รู้สึกว่าเหนือศีรษะพวกเขามีก้อนเมฆดำทะมึนที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบก้อนหนึ่งกำลังลอยมาช้าๆ

เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้เขียนมาบอกนายน้อยของพวกเขาว่าหญิงสาวที่จะส่งมาเมืองหลวงผู้นั้น ระหว่างที่หลงจู๊เกานำเงินและของหมั้นหมายไปมอบให้เพื่อจะรับตัวมาอยู่นั้นจู่ๆ ก็ตายลง

“นายน้อย…แล้วตอนนี้จะจัดการอย่างไร” อวิ๋นโหยวพับจดหมายฉบับนั้นแล้วใส่ไว้ในซองจดหมายอย่างเบามือ

“คิดไม่ถึงว่าระยะทางห่างไกลกันเพียงนี้แล้ว แม่นางผู้นั้นยังยากจะหลีกพ้นโชคร้ายจากดวงชะตาของข้า ล้มเลิกเถิด อย่าทำร้ายหญิงสาวบริสุทธิ์มากกว่านี้อีกเลย” ฝูจิ่งเซิงหัวคิ้วขมวดมุ่น

ท่านป้ากับมารดาที่แต่ไรมาชอบวิงวอนเทพดูดวงเสี่ยงทาย เพราะหมอดูบอกว่าเขาบุญวาสนาสูงเทียมฟ้า ส่งผลกระทบต่อท่านปู่ ขอเพียงแต่งหญิงสาวที่ดวงแข็งและดวงชะตาต่ำต้อย และจะดีที่สุดถ้าดวงชะตาเป็นภัยต่อบิดาเป็นภัยต่อมารดามาเป็นภรรยาลดทอนบุญวาสนาของเขา เช่นนี้อาการป่วยของท่านปู่จึงจะดีขึ้นได้

ครั้นแล้วโดยไม่ได้ถามความเห็นชอบจากเขา ท่านป้ากับมารดาก็ให้คนไปสืบหาหญิงสาวที่มีดวงชะตาเช่นนี้โดยพลการ คิดจะซื้อตัวมาแต่งงานเพื่อแก้ดวง ระหว่างนี้ไม่ใช่หาหญิงสาวที่มีดวงชะตาเหมาะสมไม่ได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่จะไปหมั้นหมายหรือซื้อตัว ฝ่ายตรงข้ามก็จะมีเหตุให้ล้มตายโดยไม่คาดคิด

หลังจากได้รับทราบเรื่องเหล่านี้ เขาก็ปฏิเสธการแต่งงานเพื่อแก้ดวงอย่างเฉียบขาด ขอให้ท่านป้ากับมารดาล้มเลิกแต่เพียงเท่านี้ นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะยิ่งหนักข้อ ไปหาคนยังแถบชนบทเมืองชายแดน กระทั่งยังอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ มากมายกับเขา บอกหญิงสาวผู้นั้นดวงชะตาไม่แข็งพอถึงได้ต้านทานบุญวาสนาสูงเทียมฟ้าของเขาไม่ไหว หาต่อไปย่อมหาพบจนได้ ถ้าเขาไม่เห็นด้วยก็คือไม่กตัญญู

ถูกสวมหมวกใบใหญ่ว่าไม่กตัญญู เขาคิดจะไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้ จำต้องปล่อยให้มารดากับท่านป้าเที่ยวก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว พวกนางทำเช่นนี้หาใช่ช่วยสร้างบุญกุศลให้ท่านปู่ หากแต่กำลังสร้างบาปกรรมให้กับเขามากยิ่งขึ้น จนปัญญาที่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร มารดากับท่านป้าก็ไม่ฟัง ยังคงทำตามที่พวกนางต้องการ

“แต่สุขภาพของนายท่านผู้เฒ่า…”

ฝูจิ่งเซิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจ “เป็นตายแล้วแต่โชคชะตา สูงส่งร่ำรวยอยู่ที่ฟ้ากำหนด ทุกอย่างแล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต ข้าจะไม่ยอมให้มารดากับท่านป้าทำตามอำเภอใจต่อไปอีก ซื่อไห่ ส่งข่าวไปยังร้านสาขาทุกแห่งให้ยกเลิกเรื่องแต่งงานเพื่อแก้ดวง ไม่ต้องหาคนอีก”

“ขอรับ ผู้น้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ซื่อไห่รีบหมุนตัวออกจากห้องหนังสือ ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกไป อู่หูสหายร่วมงานอีกคนหนึ่งก็กำลังจะเคาะประตูพอดี เขาจึงเอ่ยถาม “อู่หู เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนถึงเพียงนี้”

“สารด่วน!” อู่หูชี้สารที่ส่งมาทางนกพิราบสื่อสาร “นายน้อย มีข่าวมาจากอำเภอหย่งซิงขอรับ ข่าวนี้อาจเกี่ยวพันกับนายท่านที่หายสาบสูญไปหลายปี!”

ฝูจิ่งเซิงคลี่จดหมายออกอ่าน ในจดหมายเขียนไว้สั้นๆ ย่อๆ บอกว่าคนของเขาพบบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกับฝูชางหมิงบิดาของเขาเป็นพิมพ์เดียวกันที่อำเภอหย่งซิง เมืองโยวโจว ยังมีคนเห็นที่ข้อมือขวาของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมีปานรูปจันทร์เสี้ยวอยู่ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นบิดาที่หายสาบสูญไปหลายปีของเขา ข่าวนี้ทำให้เขาจมอยู่ในความครุ่นคิดเป็นเวลานาน

ปีนั้นตอนที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ร่างของทุกคนในขบวนพ่อค้าล้วนหาพบ มีเพียงบิดาของเขาที่หาเท่าใดก็ไม่พบร่องรอย คนผู้นี้จะใช่บิดาที่ถูกลงความเห็นว่าตายไปแล้วหลายปีผู้นั้นหรือไม่

แววตานิ่งขรึมของเขาพุ่งจับไปที่ผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาบนโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาพลิกดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ผ้าไหมที่โปร่งใสดุจปีกจักจั่นพับนี้ ไม่ว่าคุณภาพหรือวิธีการทอล้วนเหนือกว่าผ้าไหมสกุลหลู่มาก ขอเพียงหาตัวนางพบและร่วมมือกับนาง ส่งผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาพับนี้เข้าร่วมการคัดเลือก จะต้องคว้าตำแหน่งวาณิชหลวงในปีนี้ได้อย่างแน่นอน

คนที่สงสัยว่าเป็นบิดาปรากฏตัวขึ้นในละแวกใกล้เคียงโยวโจว และแม่นางที่ทอผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาก็อยู่ที่โยวโจว…

“นายน้อย จะส่งคนไปตรวจสอบหรือไม่ขอรับ”

เขาถอนสายตากลับพลางกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่ ข้าจะไปโยวโจวด้วยตนเอง”

 

เรื่องซื้อที่ดินของเหมยหรูเซียนไม่นานก็จัดการเสร็จเรียบร้อย โฉนดที่ดินนางก็เก็บไว้อย่างดี

เมื่อที่ดินเป็นสิทธิ์ของเหมยหรูเซียนเรียบร้อย ผู้ใหญ่บ้านก็พาคนในหมู่บ้านกับคนงานกลุ่มใหญ่มาเริ่มลงมือปรับที่ดินกัน แต่ไม่ว่าใครจะถามอย่างไร ปากของคนในครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ปิดสนิทดุจฝาหอยเคาะอย่างไรก็ไม่อ้า ด้วยเหตุนี้กระทั่งเริ่มก่อกำแพงสร้างบ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของที่ผืนนี้คือใคร

แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เงินค่าแรงไม่เคยล่าช้าแม้แต่วันเดียว ทั้งอาหารที่จัดเลี้ยงในแต่ละวันน้ำแกงหนึ่งผักสองเนื้อหนึ่ง ยังมีข้าวกับหมั่นโถว คนงานแต่ละคนกินจนปากมันย่อง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็ไม่มีใครสนใจจะสืบถามว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อีก

ในระหว่างนี้หลงจู๊เกาแห่งหอสุราเจินซิวเคยมาหาจย่าเอ้อร์หลางหนหนึ่ง และมีปากเสียงกับคนบ้านสกุลจย่า กระทั่งบอกว่าจะฟ้องร้อง

เฮ่อซื่อทิ้งคำพูดเฉียบขาดไว้ จะเอาเงินไม่มี จะเอาคนไปจับตัวเอาเองที่ศาลเทพแห่งขุนเขา เหมยหรูเซียนนางฟื้นคืนชีวิตมาอีกแล้ว

คำพูดนี้ทำให้หลงจู๊เกาประหลาดใจมาก มีที่ไหนคนตายแล้วกลับฟื้นคืนชีวิตมาได้ถึงสองครั้งสองหน เขาตัดสินใจไปที่ศาลเทพแห่งขุนเขาไปพบเหมยหรูเซียนคนมหัศจรรย์ผู้นี้

เพียงแต่หลังจากหลงจู๊เกาขึ้นไปบนเขาแล้ว ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันไม่มีใครรู้ และหลงจู๊เกาก็ไม่ได้มาที่หมู่บ้านต้าเคิงอีก

เรื่องใหญ่ในหมู่บ้านนอกจากบ้านที่กำลังก่อสร้างหลังนั้น กับการไปตลาดนัดทุกสิบวันครั้งแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่หรือเรื่องมโนสาเร่อะไรให้คุยกันอีก วันเวลาจึงผ่านไปอย่างสงบเงียบเช่นนี้

เพียงแต่คนในหมู่บ้านที่ตาแหลมหลายคนเริ่มมองคนในครอบครัวเหมยหรูเซียนด้วยแววตาที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกนางไม่ใช่เพิ่งถูกไล่ออกมาจากบ้านสกุลจย่าหรอกหรือ แม่ม่ายคนหนึ่งพาลูกสองคนไปอาศัยอยู่ในศาลเทพแห่งขุนเขา จะมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายได้อย่างไร แต่เหตุใดจึงดูเหมือนพวกนางนับวันยิ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

ต่อให้ไม่ใช่วันไปตลาดนัด ก็มักเห็นพวกนางทั้งบ้านสามคนเรียกรถเทียมวัวไปซื้อของที่ตำบล ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือในหลัวที่พวกนางแบกอยู่บนหลังมีเนื้อหมู เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวเป็นเสื้อผ้าใหม่ ทั้งมีข้าวสารกิน มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าทุกครอบครัวในหมู่บ้าน และยังเห็นเหมยชิงหยวนมีขนมหวาน ขนมอบใส่อยู่ในกระเป๋า นั่งดูคนปลูกบ้านอยู่ในสถานที่ก่อสร้างอยู่เสมอ ข้างกายเขามีเด็กในหมู่บ้านหลายคนชอบมาห้อมล้อมขอขนมกิน โดยเฉพาะหลานๆ หลายคนของผู้ใหญ่บ้านจะสนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ

ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเหมยทำให้คนบางคนลอบวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา กระวนกระวายอยากจะซักถามเรื่องราวจากปากของพวกนาง

บ้านใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว เครื่องเรือนยังไม่ได้จัดหา ครั้นแล้วพวกนางสามคนแม่ลูกก็ฉวยโอกาสที่วันนี้มีตลาดนัด ไปที่ตำบลดูรูปแบบเครื่องเรือนและสืบถามราคากัน

เนื่องจากจุดประสงค์การมาครั้งนี้เพียงเพื่อมาดูราคาก่อน ทั้งไม่ได้รีบร้อน และไม่มีสิ่งของให้ซื้อมากมายเช่นก่อนหน้านี้ ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้เหมารถต่างหาก เห็นในรถเทียมวัวยังมีที่ว่าง จึงโดยสารกลับมาพร้อมกับคนในหมู่บ้าน

แม่ลูกสามคนนั่งเบียดอยู่ข้างหญิงแม่บ้านหลายคน

แม่บ้านที่นั่งอยู่ข้างเหมยหรูเซียนก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดขึ้นมาอย่างอิจฉา “อิ๋งชุน พวกเจ้าแม่ลูกสามคนซื้อของดีอะไรมาอีกหรือ ข้าเห็นพักนี้พวกเจ้ามาตำบลอยู่บ่อยๆ” นางเปิดผ้าคลุมหลัวไม้ไผ่ที่เหมยหรูเซียนแบกอยู่ข้างหลังออกทันที ก่อนจะรื้อดูข้าวของที่อยู่ข้างใน

เหมยหรูเซียนไม่ทันได้ป้องกัน กว่าจะรู้ตัวแม่บ้านผู้นั้นก็ร้องอุทานออกมาแล้ว…

“อิ๋งชุน บ้านเจ้าเก็บถุงเงินได้หรืออย่างไร ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าไปซื้อเนื้อสัตว์ ซื้อข้าวสารที่ตำบลอยู่เสมอ ดูเหมือนคำเล่าลือจะไม่ผิดจากความจริง ดูเนื้อหมูที่อยู่ข้างบนชิ้นนี้สิ อย่างน้อยต้องมีห้าชั่ง ยังมีซาลาเปานี่เป็นซาลาเปาไส้หมูกระมัง…”

พอพูดคำว่า ‘เนื้อหมูห้าชั่ง’ ออกมา ทุกคนบนรถเทียมวัวก็ต่างเบิกตาโต มองจ้องหลัวไม้ไผ่ของเหมยหรูเซียนราวกับสุนัขเห็นกระดูกเช่นนั้น

เหมยหรูเซียนปัดมือหญิงแม่บ้านผู้นั้นออกไปด้วยความโกรธ พลิกมือไปเปิดสิ่งของที่หญิงผู้นั้นแบกอยู่ด้านหลัง โก่งเสียงสูงเอ่ยขึ้น “เจ้าก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกข้า ฐานะทางบ้านไม่เลว มันหมูชิ้นใหญ่เช่นนี้ ที่บ้านเจ้าผัดผักคงมีแต่น้ำมันกระมัง!”

นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตนแอบซื้อมันหมูมาชิ้นหนึ่งในวันนี้จะถูกแฉโพยออกมา แม่บ้านอายจนพานโกรธ ตวาดขึ้น “เอ๊ะ นางหนูนี่มารื้อของข้าส่งเดชได้อย่างไร!”

“ก็แล้วเจ้าเล่า ยังมีหน้ามาว่าข้า เจ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากข้าก็มาแตะต้องสิ่งของของข้าโดยพลการ เจ้าไม่รู้จักละอายใจ ข้าเพียงแต่ใช้วิธีของเจ้ามาตอบโต้เจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกข้าซื้อของอะไรมา ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้ากระมัง”

“เจ้า!” แม่บ้านผู้นี้อับอายจนหน้าแดง จากนั้นก็เอาโทสะมาลงที่จย่าอิ๋งชุน “แม่ม่ายจย่า เจ้าสั่งสอนบุตรสาวของเจ้าเช่นนี้เองหรือ”

“หลินซื่อ เจ้า…” ถูกคนตะคอกใส่เช่นนี้ จย่าอิ๋งชุนที่แต่ไรมาก็อ่อนแอไม่รู้ควรตอบเช่นไร โต้ตอบไป ชื่อเสียงไม่ดีของบุตรสาวก็จะตามมา ไม่โต้ตอบก็จะถูกมองว่าอ่อนแอ ได้แต่ปล่อยให้คนข่มเหงรังแก

เหมยหรูเซียนอยู่ในแดนเซียนแม้จะเป็นเพียงเทพน้อย แต่จะอย่างไรก็เป็นเทพ ไหนเลยจะยอมให้มนุษย์ข่มเหงขึ้นมาถึงศีรษะนางได้ นางโจมตีกลับอย่างไม่เกรงใจ “ท่านป้าแซ่หลินผู้นี้ เจ้าพาลพาโลไม่มีเหตุผลเช่นนี้ แม่ของเจ้ารู้หรือไม่ คิดว่าแม่ของเจ้าก็คงเป็นแบบเดียวกันกระมัง”

หลังผ่านเรื่องราวมาระยะหนึ่ง นางก็ตระหนักรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับคำพูดที่ว่า ‘แม่น้ำภูเขาที่รกร้างห่างไกลความเจริญสร้างคนที่ป่าเถื่อน’ กล่าวได้ไม่ผิด พูดเหตุผลกับพวกแม่บ้านที่อยู่ในหุบเขาเหล่านี้ไม่ได้ นางดุร้ายเจ้าก็ต้องดุร้ายยิ่งกว่านาง หากพูดจานุ่มนวลละมุนละไมกลับจะถูกเห็นว่าข่มเหงง่าย พูดให้ถึงแก่นก็คือใช้กำปั้นตัดสินทุกอย่าง เสียงดังก็คือมีเหตุผล

“เจ้า นางหนูหน้าเหม็นเจ้าถึงกับกล้าด่าแม่ของข้า!” หลินซื่อยื่นมือมาจะบิดเนื้อที่เอวเหมยหรูเซียน

“คำพูดประโยคนี้มอบคืนให้เจ้า ไม่ต้องขอบคุณ!” เหมยหรูเซียนคว้าข้อมือนางไว้แล้วออกแรงบิดอย่างไม่รั้งรอ

“ปล่อยมือ! เจ้า นางเด็กหน้าเหม็น…รีบปล่อยมือ…” หลินซื่อใบหน้าซีดขาว เจ็บจนร้องโอดโอย “เจ้าโหดเหี้ยมดุร้ายเช่นนี้ ไม่กลัวชื่อเสียงของเจ้า…”

“หึๆ ชื่อเสียงหรือ ข้าขอบอกกับเจ้า ข้าเหมยหรูเซียนไม่กลัว อย่าคิดว่าสตรีทุกคนจะคิดเหมือนเจ้า เพื่อชื่อเสียงของตนเองจึงไม่กล้าปริปากสักคำ ได้แต่ปล่อยให้เจ้าเที่ยวด่าคนตามอำเภอใจ” นางหัวเราะเสียงเย็น “เจ็บมากกระมัง”

“เจ็บ รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้…”

แม่บ้านหลายคนที่อยู่ด้านข้างออกจะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว พากันกระตุกแขนเสื้อจย่าอิ๋งชุน ให้นางออกหน้าห้ามปรามเหมยหรูเซียน จะอย่างไรทุกคนก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน

จย่าอิ๋งชุนพูดขึ้นช้าๆ “หรูเอ๋อร์…หลินซื่อนางไม่ได้มีเจตนาร้าย…”

“ไม่มีเจตนาร้ายก็ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น เที่ยวรื้อค้นสิ่งของผู้อื่น ลงไม้ลงมือกับผู้อื่นตามอำเภอใจได้เช่นนั้นหรือ แค่ไม่มีเจตนาร้ายคำเดียว คนจิตใจดีงามก็ต้องยอมถูกนางข่มเหงรังแกหรือ ยกชื่อเสียงสองคำมาขู่ขวัญ ทุกคนที่ถูกข่มเหงก็ต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเช่นนั้นหรือ”

หลินซื่อวิงวอนขอร้อง “นางหนูสกุลเหมย…ต่อไป…ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว…” สวรรค์ มือของนางเจ็บยิ่งนัก ความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงใจทำให้นางรู้สึกเหมือนข้อมือจะขาดอยู่แล้ว เหมยหรูเซียนนางเด็กหน้าเหม็นผู้นี้แลดูแบบบางไม่อาจต้านลม ถึงกับมีเรี่ยวแรงมากเช่นนี้ พละกำลังมากกว่าบุรุษผู้หนึ่งเสียอีกกระมัง

“ไม่กล้าจริงๆ หรือโกหก”

“ไม่กล้าแล้วจริงๆ…”

“เมื่อครู่เจ้าด่าท่านแม่ของข้า ขอขมาท่านแม่ของข้าก่อน หาไม่เจ้าอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยเจ้า ถ้าเจ้าไม่ขอขมา ประเดี๋ยวร่วงตกจากรถก็อย่ามาโทษข้า!” หากไม่ทำตัวอย่างให้แม่บ้านในหมู่บ้านเหล่านี้ได้เห็นเสียบ้าง ก็จะคิดว่าพวกนางหญิงม่ายลูกกำพร้าข่มเหงรังแกได้ง่าย

“จย่าซื่อ เมื่อครู่ข้าทำไม่ถูก วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้แปรงฟัน ข้าปากเหม็น ถึงได้พูดจาล่วงเกินเจ้า เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างอย่าถือสาผู้น้อยเลย” หลินซื่อแม้จะโกรธแค้นอยู่เต็มอก แต่มือของตนยังอยู่ในมือบุตรสาวผู้อื่น ไม่อาจไม่ก้มหัวยอมรับผิด

“ไม่เป็นไร คนบ้านเดียวกันย่อมกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อย พูดคุยกันเข้าใจก็ดีแล้ว” จย่าอิ๋งชุนหากล้าล่วงเกินคนในหมู่บ้านไม่ รีบโบกไม้โบกมือตอบ

ก่อนปล่อยมือหลินซื่อ เหมยหรูเซียนเอ่ยเตือนเสียงหนักอีกครั้ง “ข้าชิงชังคนที่พูดเหตุผลสู้ไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือเป็นที่สุด คราวหน้าก่อนเจ้าจะลงมือ ทางที่ดีดูก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ไม่ใช่ทุกคนจะรังแกง่ายเช่นนั้น”

“รู้แล้ว…ข้ารู้แล้ว…” หลินซื่อมีเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด พยักหน้าด้วยความเจ็บปวด

“จะให้ดีจดจำคำของข้าไว้” เหมยหรูเซียนออกแรงบีบหนักๆ อีกครั้งแล้วจึงปล่อยหลินซื่อ จากนั้นก็หยิบผ้ามาเช็ดมือตนเอง คล้ายจับถูกอะไรที่น่าขยะแขยงเช่นนั้น “เจ้าลบหลู่แม่ของข้าเช่นไร ข้าก็มอบคืนให้เจ้าเช่นนั้น เจ้าข่มเหงข้าเช่นไร ข้าก็ตอบโต้เจ้าคืนเช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดู”

“ไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว”

พร้อมกันนั้นเหมยหรูเซียนก็กวาดสายตาเยียบเย็นมองทุกคนบนรถเทียมวัว กล่าวเตือนแม่บ้านหลายคนที่แต่ไรมาชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลังด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าขอฝากคำพูดไว้ตรงนี้ ใครกล้าข่มเหงรังแกแม่กับน้องชายของข้า ข้าอาจถือมีดไปฟันคนผู้นั้นถึงบ้าน ดังนั้นข้าขอเตือนทุกท่าน อย่าคิดว่าท่านแม่ข้าเป็นหญิงม่ายก็จะข่มเหงได้ง่ายๆ”

แม้แต่ถือมีดไปฟันคนคำพูดเช่นนี้ก็กล้าพูดออกมา ไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงของตนโดยสิ้นเชิง แล้วยังจะมีเรื่องอะไรไม่กล้าทำอีก แม่บ้านเหล่านั้นพากันปิดปากเงียบไม่กล้าส่งเสียง

“ถ้าทุกท่านไม่เชื่อก็ลองดูได้ ข้าคนที่ยมบาลยังปฏิเสธมาถึงสองครั้ง ไม่รังเกียจที่จะพาพวกท่านลงนรกไปสนทนากับยมบาลด้วยกัน ดูว่าถึงตอนนั้นยมบาลจะปล่อยใครกลับมา”

พอเอ่ยถึงยมบาล คนทั้งรถต่างขนลุกชัน พากันสั่นศีรษะแรงๆ ใครกล้าสร้างความยุ่งยากให้คนสกุลเหมย ไยมิใช่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ

ตลอดทางหลังจากนั้น แม่บ้านทุกคนในรถเทียมวัวต่างไม่กล้าส่งเสียงสักคำ

คนที่เบิกบานใจที่สุด พูดมากที่สุดไม่มีใครเกินเหมยชิงหยวนที่นั่งอยู่ตรงกลาง เขาถือห่อขนมหวานกินอย่างสบายใจ ทั้งยังแบ่งขนมให้พี่สาวน้องชายคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ อายุไล่เลี่ยกันกับเขา

ทำให้แม่บ้านหลายคนเห็นแล้วอยากจะได้บ้าง ขนมหวานเชียวนา ถ้าแบ่งให้พวกนางสักชิ้นเอากลับไปล่อหลอกลูกที่บ้านจะดีเพียงใด ต้องโทษหลินซื่อ ไม่มีเรื่องหาเรื่อง ทำให้พวกนางถูกนางหนูสกุลเหมยผูกใจเจ็บแค้นไปด้วย ไปหายมบาลหรือ น่ากลัวยิ่งนัก!

พอรถเทียมวัวมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รถยังไม่ทันจอดดีคนทั้งรถก็ตะลีตะลานคว้าข้าวของของตนกระโดดลงจากรถทันที แต่ละคนแยกย้ายกันไปด้วยความรวดเร็ว ราวกับวัวที่ลากจูงรถมาติดโรคห่าเช่นนั้น

จย่าอิ๋งชุนย่นหัวคิ้วมองคนในหมู่บ้านที่พากันหนีเตลิดเปิดเปิง แต่ละคนทำท่าราวกับเจอภูตผีปีศาจ ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิบุตรสาวเสียงต่ำ “หรูเอ๋อร์ เจ้าถึงวัยที่จะต้องเจรจาเรื่องหมั้นหมายแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ไยมิใช่ทำลายชื่อเสียงตนเอง ต่อไปจะมีใครกล้ามาเจรจาสู่ขอ”

“ไม่มีใครกล้ามาดีที่สุด ข้าหาได้คิดจะออกเรือนกับใคร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เหมยหรูเซียนยกหลัวไม้ไผ่ขึ้นมาแบกให้ดี หน้าตาไม่แยแสสนใจ บีบๆ แก้มนุ่มนิ่มน่ารักของเหมยชิงหยวนที่มีเนื้อมีหนังขึ้นมาจากการบำรุงด้วยผลไม้และน้ำผึ้งเซียนที่นางเอามาจากในพื้นที่ลับ “ข้าเพียงต้องการดูแลท่านกับหยวนเอ๋อร์ให้ดี ได้เห็นหยวนเอ๋อร์แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรก็พอแล้ว”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า บุรุษเติบใหญ่ต้องแต่งภรรยา สตรีเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือน…” จย่าอิ๋งชุนยังอยากจะพูดอะไรอีกเล็กน้อย กลับเห็นจย่าเอ้อร์หลางเดินออกมาจากในหมู่บ้านแต่ไกล นางรีบยับยั้งคำพูดที่ยังไม่ได้ออกจากปาก

“โอ นี่ไม่ใช่น้องสาวที่เป็นม่ายของข้ากับหลานสาวที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกหรอกหรือ” จย่าเอ้อร์หลางพูดจาเย้ยหยันทีเล่นทีจริง

จย่าเอ้อร์หลางผู้นี้เห็นว่าวิกฤตการณ์คลี่คลายลงแล้วก็กลับเข้าหมู่บ้านมาอย่างสง่าผ่าเผย ทุกวันฉวยโอกาสช่วงว่างจากงานในไร่นาเที่ยวเล่นไปทั่วหมู่บ้าน ยังถือโอกาสไปประสมโรงกินข้าวกับคนงานที่กำลังสร้างบ้านอยู่หลายครั้งหลายหน

เหมยหรูเซียนไม่คิดจะใส่ใจเขา นางจูงแม่กับน้องชายจะเดินจากไป คิดไม่ถึงว่าจย่าเอ้อร์หลางถึงกับขวางทางไปของพวกนางไว้…

“อย่างไร ถูกไล่ออกจากบ้านสกุลจย่าก็ไม่รู้จักข้าลุงรองคนนี้แล้วหรือ”

ได้ยินเช่นนั้น เหมยหรูเซียนจึงพูดอย่างปากคมคารมกล้าทันที “ท่านลุงผู้นี้ ขออภัยด้วย คนในวงศ์สกุลเราห้าชั่วคนล้วนตายหมดแล้ว ไม่มีญาติเช่นท่าน”

จย่าเอ้อร์หลางตวาดด้วยความโมโห “เจ้าเด็กหน้าเหม็นถึงกับกล้าแช่งครอบครัวท่านตาของเจ้า!”

“ข้ามีท่านตาด้วยหรือ ข้ายังเข้าใจว่าท่านแม่ของข้าโผล่ออกมาจากก้อนหินเสียอีก”

คนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาได้ยินแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้

คำพูดนี้ทำเอาจย่าเอ้อร์หลางอึกอักพูดอะไรไม่ออก มุมปากกระตุกค้างไปสองทีแล้วจึงว่า “นางหนูหรูยังโกรธเรื่องนั้นอยู่หรือ ภายหลังไม่ใช่ไม่มีอะไรแล้วหรือ”

เหมยหรูเซียนเหลือกตาขึ้น “ข้าไม่รังเกียจที่จะไปตำบลอีกครั้ง บอกหลงจู๊เกาแห่งหอสุราเจินซิวว่าท่านกลับมาแล้ว ให้เขามาตามทวงเงินสามสิบตำลึงนั่นจากท่าน”

“ที่ข้าทำไปไม่ใช่เพราะหวังดีกับเจ้าและแม่ของเจ้าหรือไร อย่ามองไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเช่นนั้น หากเจ้าไตร่ตรองให้ดีก็จะรู้ว่าขอเพียงเจ้าแต่งไป แม่ของเจ้าก็จะได้เสพสุข”

เหมยหรูเซียนไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน นางพูดเหน็บแนมขึ้น “ข้าถูกท่านขายแล้ว ท่านแม่ของข้านอกจากไม่ได้เงินแม้แต่อีแปะเดียว ยังต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าให้ที่บ้านท่าน เสพสุขเกรงว่าคงมีแต่พวกท่านทั้งบ้านกระมัง”

ปากทางเข้าหมู่บ้านมีคนเดินผ่านไปผ่านมา คำสนทนาที่ไม่ใช่เรื่องดีระหว่างพวกเขาก็ดังไปถึงหูคนในหมู่บ้านบางคน เหมยหรูเซียนไม่ใส่ใจว่าชื่อเสียงของตนจะยิ่งแย่ลง จึงเปิดโปงเรื่องสกปรกที่บ้านสกุลจย่าอยากจะปกปิดออกมาต่อหน้าคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาอย่างไม่เกรงใจ

“นางหนูหรู เจ้าพูดอะไรออกมา ข้าลุงรองของเจ้าเป็นคนแบบนั้นหรือ ข้าจะอมเงินขายตัวของเจ้าหรือ” แม้จะเป็นเรื่องจริง จย่าเอ้อร์หลางกลับยังคงพยายามปฏิเสธ

นางแค่นหัวเราะอย่างดูแคลนออกมาคำหนึ่ง “ไม่อม ยังไม่พูดถึงว่าข้ายังไม่สิ้นลม ท่านกับภรรยาของท่านก็ร่วมมือกันวางแผนจะขายข้าให้คหบดีซุนที่ตำบลเพื่อเงินหนึ่งร้อยตำลึง ให้ไปเข้าพิธีแต่งงานระหว่างคนตายกับบุตรชายที่เพิ่งตายลงของเขา มาถึงครั้งนี้ท่านจะขายข้าเข้าเมืองหลวงเพื่อไปแต่งงานแก้ดวงให้ผู้อื่น หลงจู๊เกาให้เงินมัดจำท่านมาสามสิบตำลึง เหตุใดท่านจึงไม่ได้เอาให้ท่านแม่ข้าแม้แต่อีแปะเดียว กลับยึดไว้เอง และไม่เห็นท่านเคยปรึกษากับท่านแม่ของข้า ตอนหลงจู๊เกามาถึงบ้านท่านก็หลบหน้าไม่เห็นแม้เงา จย่าเอ้อร์หลาง ท่านมีเจตนาเช่นไรพวกเรากระจ่างแก่ใจดี อย่าเห็นข้ากับท่านแม่เป็นคนโง่อีกเลย!”

เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านสกุลจย่าในระยะนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าเคิงต่างพอรู้มาบ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก เพียงรู้ว่าจย่าอิ๋งชุนก่อเรื่องทำให้ตาเฒ่าจย่าเซ่อโกรธ ถูกขับไล่ต้องแบกลูกสาวพาลูกชายออกจากบ้านแม่ ที่แท้เบื้องหลังเป็นเช่นนี้เอง!

จย่าเอ้อร์หลางทั้งบ้านล้วนไม่ใช่คน ก่อนหน้านี้ก็จะขายครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จ เหมยหรูเซียนตายไปครั้งหนึ่งแล้วลำบากไม่น้อยกว่าจะฟื้นคืนชีวิตมาได้ ทว่าถึงกับคิดจะขายนางเป็นครั้งที่สอง คนบ้านนั้นสูญสิ้นจิตสำนึกรู้ชั่วดีกันแล้วหรือไร เสียแรงที่นางหนูสกุลเหมยนั่นยังเรียกตาเฒ่าจย่าว่าท่านตา เรียกจย่าเอ้อร์หลางสองผัวเมียว่าท่านลุงรอง ท่านป้าสะใภ้รอง

จย่าเอ้อร์หลางเห็นคนในหมู่บ้านเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เขาก็รู้สึกอับอายและพานโกรธ หันไปตวาดใส่ชาวบ้านที่ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ “มองอะไร สตรีเดิมก็เป็นสินค้าขาดทุนอยู่แล้ว อิ๋งชุนพาเด็กสมควรตายสองคนนี้กลับมา กินข้าวบ้านจย่าเราไปเท่าไร ในเมื่อตายก็คือตาย มีโอกาสดีเช่นนี้ หรือนางไม่ควรใช้ลมหายใจสุดท้ายของนางมาตอบแทนเล่า”

เหมยหรูเซียนได้ยินคำพูดนี้เพลิงโทสะก็พวยพุ่งขึ้นมาทันที นางลอบท่องอาคมคำสาปแช่งให้โชคร้ายอยู่ในใจ นิ้วมือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้องอขึ้นมาประกบกัน รวบรวมพลังวิเศษเป็นประกายแสงสีเทากลุ่มหนึ่ง ฉวยจังหวะที่ทุกคนไม่สนใจดีดใส่จย่าเอ้อร์หลาง

จย่าเอ้อร์หลางพลันรู้สึกคล้ายมีกระแสไฟซัดมาถูกร่างสั่นสะท้านไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าจู่ๆ ก็ใจคอหดหู่กลัดกลุ้มขึ้นมา

เหมยหรูเซียนมองจย่าเอ้อร์หลางที่ถูกหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งแผ่คลุมร่างด้วยความพอใจ แต่ไรมานางก็ยึดมั่นในหลักการที่ว่าคนอื่นไม่รุกรานข้าก่อน ข้าก็ไม่รุกรานใคร ถ้าคนอื่นข่มเหงข้า ข้าย่อมชดใช้คืนสิบเท่า ดังนั้นการเผชิญหน้ากับจย่าเอ้อร์หลางในครั้งนี้ นางจึงไม่ยั้งมือไว้ไมตรีแม้แต่น้อย สาปแช่งชนิดเต็มสิบส่วน ให้เขาถูกความโชคร้ายรุมเร้าร่างกายไปหนึ่งปี

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ คนสกุลจย่าที่เคยข่มเหงมารดาและน้องชายของนาง นางจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว ความโชคร้ายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น…

บทที่เจ็ด

 แม้จะเพิ่งย่างเข้าฤดูร้อน แต่ความร้อนแผดเผาของดวงอาทิตย์ไม่อาจดูเบาได้ ขอเพียงก้าวเท้าออกจากบ้าน ร่างทั้งร่างก็คล้ายจะหลอมละลายเช่นนั้น ทำให้คนแทบอยากจะซุกตัวอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา

พวกเหมยหรูเซียนอาศัยอยู่ในศาลเทพแห่งขุนเขาที่ผุพัง เนื่องจากมีช่องมีรูอยู่ทั่วทุกแห่ง ทุกครั้งที่มีลมพวกนางก็จะรู้สึกได้ แต่อากาศวันนี้ออกจะแปลก ทั่วทั้งป่าถึงกับไม่มีลมสักนิดเดียว

นางยืนอยู่หน้าประตูมองป่าที่อยู่เบื้องหน้าผืนนั้น ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาดบอกไม่ถูก อยากจะเข้าไปที่ในป่า

จย่าอิ๋งชุนทางหนึ่งพัดวีให้บุตรชายที่นอนกลางวัน ทางหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้น “หรูเอ๋อร์ อากาศร้อน เจ้าก็อย่าออกไปเลย ประเดี๋ยวหยวนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาเราก็ผ่าแตงโมมากินคลายร้อนกัน”

“ท่านแม่ ช่วงนี้อากาศแปลกเสียจริง บนภูเขาไม่มีลมแม้แต่น้อย ตามเหตุผลไม่ควรเป็นเช่นนี้…” อากาศเช่นนี้ทำให้เหมยหรูเซียนรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก

“น่ากลัวจะเป็นอากาศช่วงก่อนฝนจะตกหนัก” จย่าอิ๋งชุนพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ

“ฝนตกหนัก?”

“ใช่ แม่จำได้ดี สมัยเด็กมีอยู่ปีหนึ่งอากาศก็เป็นเช่นนี้ติดต่อกันอยู่เดือนหนึ่ง พื้นดินแห้งแตกแล้ว แต่ในค่ำคืนที่แปลกประหลาดมากคืนหนึ่ง จู่ๆ ก็มีฝนเทลงมาอย่างหนัก ตกติดต่อกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน น้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขา ปีนั้นมีคนตายไปไม่น้อย…” จย่าอิ๋งชุนเอ่ยด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก

เหมยหรูเซียนย่นหัวคิ้ว “น้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขาหรือ ท่านแม่ แล้วหมู่บ้านต้าเคิงเราไม่เป็นไรกระมัง” ดูท่าหน่ออ่อนต้นหม่อนที่นางเตรียมไว้สำหรับปลูก ในระยะอันใกล้นี้คงยังปลูกไม่ได้ เกิดเจอฝนตกหนักหรือดินหินไหลลงมาคงแย่แน่

“ดีที่สวรรค์คุ้มครอง หมู่บ้านต้าเคิงเรานอกจากมีบ้านหลายหลังพังเพราะถูกน้ำท่วมแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เป็นไร”

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” บ้านใหม่ของพวกนางแม้จะอยู่ตีนเขา แต่ที่นั่นชัยภูมิดี ต่อให้มีน้ำไหลบ่าลงมาจากภูเขาก็ไม่ไหลทะลักไปถึงหน้าประตูบ้าน

“หรูเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นหรอก” จย่าอิ๋งชุนเห็นสีหน้าบุตรสาวไม่ค่อยดีนัก จึงรีบกล่าวปลอบใจ

“ข้ารู้” เหมยหรูเซียนเดินมาถึงมุมกำแพงหยิบหลัวไม้ไผ่ขึ้นมา เพราะรู้สึกกระสับกระส่ายใจคอไม่สงบอยู่ตลอดเวลาจึงตัดสินใจจะออกไปดูๆ สักหน่อย “ท่านแม่ ข้าจะเข้าไปในป่าขุดหาผักป่า อยู่บ้านอึดอัดบอกไม่ถูก หยวนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาพวกท่านก็กินแตงโมก่อนเถิด ไม่ต้องรอข้า”

“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อย ถ้าขุดไม่ได้ก็ไม่ต้องขุด มื้อค่ำเราเอาเปลือกแตงโมหมักเกลือใช้แทนผักก็เหมือนกัน”

“ได้ ข้ารู้แล้ว” เหมยหรูเซียนพยักหน้ารับคำแล้วออกประตูไป

นางสาวเท้าเร็วๆ เดินลึกเข้าไปไม่หยุดโดยอาศัยสัญชาตญาณ ระหว่างทางเห็นผักป่าไม่น้อย นางอยากจะหยุดลงมาเก็บ ทว่าความรู้สึกกระสับกระส่ายขุมนั้นเร่งเร้านางให้เดินไปข้างหน้าอยู่ตลอด

เหมยหรูเซียนเดินตามสัญชาตญาณมาถึงป่าอีกแถบหนึ่ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แหงนหน้าขึ้นหอบหายใจ หยิบถุงหนังใส่น้ำที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมา พบว่าน้ำที่อยู่ในถุงหนังถูกนางดื่มหมดแล้ว กำลังคิดจะเข้าไปเอาน้ำในพื้นที่ลับ หูกลับได้ยินเสียงสายน้ำไหล นางเลิกคิ้วน้อยๆ เดินตามเสียงไป หลังจากแหวกพุ่มไม้เตี้ยพุ่มหนึ่งออกก็เห็นที่ใต้เนินด้านล่างมีลำธารใสสะอาดอยู่สายหนึ่ง

ทั้งที่นางเข้าไปเอาน้ำในพื้นที่ลับได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร วันนี้นางไม่คิดจะเข้าไปในพื้นที่ลับ เท้าขยับก้าวไปที่ลำธารเล็กสายนั้นอย่างไม่อยู่ในการควบคุม

มาถึงข้างลำธาร นางวักน้ำในลำธารที่เย็นชื่นใจขึ้นมาล้างหน้าก่อนแล้ววักดื่มไปอึกหนึ่ง ทั้งร่างรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จากนั้นก็หมุนตัวไปนั่งบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลางลำธาร ถอดรองเท้าเอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำ

ขณะที่นางกวาดสายตามองป่าแห่งนี้ไปรอบๆ อยู่นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นในที่ไม่ไกลออกไปมีสีสันบางอย่างที่ไม่ควรปรากฏอยู่ในลำธารสายนี้

หัวใจของนางพลันบีบรัดขึ้นวาบหนึ่ง รีบสวมรองเท้า หัวคิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ ค่อยๆ ย่องทวนน้ำขึ้นไป คิดจะไปดูให้รู้แน่ชัด

เหมยหรูเซียนแหวกพุ่มไม้เตี้ยออกเป็นชั้นๆ แล้วก็พบบุรุษสวมชุดดำผู้หนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ริมลำธาร ร่างครึ่งหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ

นางตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปจับร่างเขาพลิกขึ้นมา ตบๆ แก้มเขาแล้วร้องเรียก “นี่ ท่านไม่เป็นไรกระมัง ท่านรีบตื่นขึ้นมา!”

ประหลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงมีบุรุษมานอนหมดสติอยู่ที่นี่ได้ การแต่งตัวของเขาไม่คล้ายเป็นนายพราน อีกทั้งใบหน้าของเขาเหตุใดจึงดูดำคล้ำ

เหมยหรูเซียนมองสำรวจไปทั่วร่างบุรุษผู้นี้ พบว่าที่ข้อเท้าของเขามีรอยโลหิตอยู่รอยหนึ่ง โลหิตไหลซึมออกมาจากบาดแผลไม่หยุด นางยื่นมือไปแตะดู พบว่าโลหิตของบุรุษที่หมดสติอยู่ถึงกับเป็นสีดำ

หรือจะถูกพิษ!

นางไม่คิดอะไรมาก จึงพยายามจะดึงรองเท้าที่ฉีกขาดข้างนั้นออก แต่ทำอย่างไรก็ดึงไม่ออก นางต้องใช้เรี่ยวแรงที่ได้จากการกินออกมาจนหมดจึงถอดรองเท้าของเขาออกมาได้

พอมองดูมุมปากของนางก็ถึงกับแข็งค้าง

สวรรค์ นี่ไม่อาจเรียกข้อเท้า ควรจะเรียกกีบเท้าหมูมากกว่า!

บาดแผลที่ข้อเท้าของเขาน่าจะเกิดจากการไปเหยียบถูกกับดักสัตว์เข้า แต่เหตุใดขาทั้งขาจึงบวมมากเช่นนี้ ต่อให้ถูกเหล็กของกับดักหนีบได้รับบาดเจ็บก็ไม่เป็นเช่นนี้ ทั้งบริเวณรอบปากแผลยังมีสีดำคล้ำ นี่คงไม่ใช่เหยียบถูกกับดักอย่างเดียวแล้ว น่าจะถูกพิษด้วย แม้แต่ริมฝีปากของเขายังมีสีม่วง หากไม่รีบรักษาให้รอดพ้นอันตรายจะต้องมีคนตายแน่นอน

เหมยหรูเซียนพาบุรุษคนนั้นเข้าไปในพื้นที่ลับทันที นางใช้น้ำจากน้ำพุช่วยล้างแผลให้เขา ลำบากไม่น้อยกว่าจะห้ามเลือดให้หยุดได้ จากนั้นจึงใส่ยาพันแผลให้เรียบร้อย นางอดดีใจไม่ได้ที่เทพแห่งความสุขเอาหีบยาใบหนึ่งของท่านเซียนใหญ่เสินหนง* ใส่ไว้ในหีบสีแดง ไม่ว่าสมุนไพรอะไรก็มี ถึงได้ช่วยห้ามโลหิตให้คนผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว

บาดแผลนี่ดูเหมือนจัดการง่าย แต่พอลงมือทำขึ้นมากลับแทบเอาชีวิตคน สิ้นเปลืองพลังไปเท่ากับวัวเก้าตัวเสือสองตัวนางจึงจัดการบาดแผลดำคล้ำตรงข้อเท้าได้เรียบร้อย

เมื่อนึกถึงว่านางเทพน้อยแห่งหายนะชั่วชีวิตไม่เคยต้องยกเท้าให้ใครมาก่อน ช่วยคนเป็นครั้งแรกก็ถึงกับเจอสถานการณ์เช่นนี้ แต่ช่างเถอะ ทำก็ทำไปแล้ว นึกเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์

หลังจากใช้น้ำจากน้ำพุล้างมือแล้ว เหมยหรูเซียนก็เด็ดผลไม้จากต้นไม้ผลมากินลูกหนึ่งเพื่อชดเชยพลังที่สูญเสียไป

นางมองบุรุษที่นางพาเข้ามาในพื้นที่ลับเพื่อช่วยชีวิต ตามประสบการณ์ที่นางเป็นเทพน้อยแห่งหายนะมาหลายปี บุรุษผู้นี้จะต้องถูกคนหลอกล่อวางหลุมพราง พลาดเหยียบกับดักที่มีคนทายาพิษรอเขามาติดกับอยู่ก่อนแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้

ไม่รู้บุรุษผู้นี้ไปผูกความแค้นกับใครไว้ อีกฝ่ายถึงได้ใช้วิธีนี้มาลอบแก้แค้น

เพียงแต่…ไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งมองบุรุษผู้นี้นางก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เห็นอยู่ว่าวันนี้นางเพิ่งเคยพบเขาเป็นครั้งแรก แปลกเสียจริง

ช่างเถิดๆ ไม่คิดแล้ว ในเมื่อเข้ามาในพื้นที่ลับแล้ว ไปดูตัวไหมเซียนทั้งหลายว่าทำงานไปถึงไหนแล้วดีกว่า ไม่รู้ว่าทำผ้าห่มใยไหมกับผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาออกมาได้กี่ผืนแล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางตรวจสอบสภาพการณ์ทุกอย่างเสร็จแล้วกลับมาที่ข้างน้ำพุก็เห็นบุรุษที่นางช่วยไว้ผู้นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น นางจึงปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพัก ตนเองกลับไปที่ศาลเทพแห่งขุนเขาก่อน หาไม่ออกมานานเกินไปท่านแม่จะเป็นห่วง

เหมยหรูเซียนออกจากพื้นที่ลับ สาวเท้าเร็วๆ เดินไปทางศาลเทพแห่งขุนเขา เร่งรีบเดินมาราวสองเค่อจึงมาถึงละแวกศาลเทพแห่งขุนเขา

นางมองดวงอาทิตย์ที่สุดขอบฟ้าแวบหนึ่ง ตอนนี้บุรุษผู้นั้นคงใกล้ฟื้นคืนสติแล้วกระมัง นางจึงหาที่ลับตาแห่งหนึ่ง หลบเข้าไปในพื้นที่ลับตรวจสอบดูบุรุษผู้นั้น ตั้งใจว่าจะฉวยโอกาสตอนที่สติของเขายังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ย้ายตัวเขาออกมา เพียงแต่พอนางเข้าไปในพื้นที่ลับก็ต้องงงงันไปทันที

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ป้อนน้ำพุในพื้นที่ลับให้เขาดื่มไปแล้ว ทั้งให้เขาพักผ่อนอยู่ในนี้ ซึมซับพลังเซียนมาพักหนึ่งแล้ว นางเดินมาจนใกล้จะถึงศาลเทพแห่งขุนเขา แต่เขาถึงกับยังไม่ตื่นขึ้นมา!

หรือเป็นเพราะพิษนั่นรุนแรงเกินไป หาไม่ด้วยสรรพคุณของน้ำพุในพื้นที่ลับ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ฟื้นคืนสติ

อีกไม่นานฟ้าก็จะมืดแล้ว นางไม่อาจทิ้งเขาไว้ในพื้นที่ลับตลอดไปได้ ถ้าถูกพบความลับ นางจะพูดจากลบเกลื่อนอย่างไร แต่เขายังไม่ฟื้นแล้วย้ายเขาออกจากพื้นที่ลับ เกิดถูกสัตว์ป่ากัดเข้า ที่นางเสียเวลาช่วยเขาไว้ก็เท่ากับสูญเปล่า

ช่างเถิด ช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ใครใช้ให้นางเป็นเทพน้อยแห่งหายนะที่น่ารักและจิตใจดีเล่า วันนี้นางจะถือเสียว่ากำลังสร้างกุศลสร้างบุญให้ตนเองก็แล้วกัน

เหมยหรูเซียนเอาน้ำผึ้งเซียนที่หนึ่งวันจะไหลออกมาเพียงหนึ่งหยดป้อนใส่ปากเขาด้วยความเสียดายอย่างที่สุด แล้วก็รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผิดจากที่คิด บุรุษผู้นี้เริ่มขยับตัวแล้ว

นางเคลื่อนไหวดวงจิตพาบุรุษผู้นี้ออกจากพื้นที่ลับ ประคองเขานอนลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพิ่งจะจับเขานอนลง บุรุษผู้นั้นก็ฟื้นขึ้นมา

ฝูจิ่งเซิงกะพริบตาที่หนักอึ้งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง มองภาพร่มไม้เลือนรางที่อยู่เบื้องหน้าพลางส่งเสียงครางออกมาอย่างยากลำบาก

“ท่านฟื้นแล้วหรือ ดียิ่งนัก ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”

จู่ๆ ก็มีดวงหน้าเฉิดฉายงามพริ้มเพราปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทำให้เขารู้สึกฉงน “เจ้า…”

“ท่านได้รับบาดเจ็บหมดสติ ข้าพบท่านที่ริมลำธารจึงช่วยท่านเอาไว้ ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”

“ข้า…” ฝูจิ่งเซิงมองหญิงสาวหน้าตาหมดจดงดงามในชุดกระโปรงสีขาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง เพียงรู้สึกว่าดวงตาสดใสแวววาวมีชีวิตชีวาคู่นั้นคล้ายพูดได้

เมื่อครู่ขณะสติยังเลือนรางเขาได้กลิ่นหอมจรุงใจอ่อนๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนขุมหนึ่ง กลิ่นหอมขุมนี้บางเบามาก ไม่ตั้งใจสูดดมอย่างละเอียดก็จะไม่ได้กลิ่นหอมจางๆ นั่น แต่ก็คล้ายอ้อยอิ่งอยู่รอบจมูก ได้กลิ่นแล้วสบายใจ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก

เขาอยากจะลืมตา แต่หนังตาที่หนักอึ้งทำให้เขาทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น พอขยับแขนขาเล็กน้อย ความเจ็บปวดราวเนื้อหนังจะฉีกขาดก็พุ่งขึ้นมาจากข้อเท้า เจ็บจนเขาต้องสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ สมองพลันนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับตนขึ้นมาได้

หมูป่า กับดักสัตว์…

มีเสียงคนเดินดังขึ้นมาที่ข้างเท้า ขัดจังหวะกระบวนความคิดของเขา รับรู้ได้ว่ามีคนพยุงเขาขึ้นมา ป้อนของเหลวกลิ่นหอมกรุ่นคล้ายน้ำหวานและก็คล้ายน้ำผึ้งให้เขาดื่มลงไปคำหนึ่ง ของสิ่งนั้นพอลงคอ สติของเขาก็ฟื้นคืนมาทั้งร่าง

พริบตาที่เขาลืมตาขึ้นมา กลิ่นหอมจรุงใจแปลกประหลาดที่อ้อยอิ่งอยู่รอบจมูกขุมนั้นก็หายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือกลิ่นหอมของป่า

เปล่งเสียงออกมาได้แล้วคงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง

เหมยหรูเซียนถือถุงหนังที่ใส่น้ำจากน้ำพุอยู่ในมือพลางกล่าว “มา ดื่มน้ำคำหนึ่ง ท่านจะได้สบายขึ้น”

น้ำพุเย็นชื่นใจจากในพื้นที่ลับพอดื่มลงคอ สติของฝูจิ่งเซิงก็แจ่มกระจ่างขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้ว แม่นาง…”

“จริงสิ เหตุใดท่านจึงไปเหยียบกับดักเข้าได้”

“ข้ากับญาติผู้พี่เดินทางจากหมู่บ้านที่ชื่อว่าหนานเคิงมาภูเขาลูกนี้เพื่อจะหาคน” พวกเขาได้รับข่าวว่าหญิงทอผ้าที่ทอผ้าไหมหลิงอวิ๋นซาอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ ครั้นแล้วเขากับไจ๋หนานเซิงญาติผู้พี่จึงมาตามหาหญิงทอผ้าผู้นั้นด้วยกัน แต่หลังจากมาถึงป่าแถบนี้ กลับหาอย่างไรก็หาไม่พบ จึงแยกกันหากับญาติผู้พี่

ทั้งสองคนแยกย้ายกันได้ไม่นาน หมูป่าตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในป่าลึก เพราะจะหลบหมูป่าตัวนั้น เขาไม่ทันระวังเหยียบพลาดไปถูกกับดักเข้า จากนั้นก็ล้มลงไปที่ข้างลำธารทั้งร่าง…

นัยน์ตาที่หรี่เล็กน้อยของนางพลันเบิกกว้าง อุทานเสียงต่ำ “หนานเคิง ที่นั่นอยู่ห่างจากหมู่บ้านต้าเคิงเราไกลโขทีเดียว!”

“เราเดินอยู่บนเขาเป็นระยะเวลานานทีเดียว” ฝูจิ่งเซิงรู้สึกว่าพละกำลังฟื้นคืนมาไม่น้อยแล้ว จึงประคองตัวลุกขึ้นมานั่ง

เขาลอบมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเหมยหรูเซียน ส่วนลึกในใจอดรู้สึกฉงนสนเท่ห์และงงงวยไม่ได้ ดวงตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นของหญิงสาวผู้นี้ เหตุใดจึงคล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน

“จริงสิ ท่านรู้หรือไม่กับดักที่ท่านเหยียบถูกนั่นมีพิษ” เหมยหรูเซียนพยุงเขาให้พิงต้นไม้ แล้วยื่นถุงหนังใส่น้ำให้เขา “ดื่มน้ำอีกสักหน่อย ดีต่อร่างกายท่าน”

“พิษหรือ” เขาเพิ่งเอาถุงหนังขึ้นจ่อปากก็พลันชะงักค้าง กับดักสัตว์ทั่วไปเหตุใดจึงฉาบพิษไว้ เช่นนี้สัตว์ที่ล่าได้จะนำมากินได้อย่างไร

ฉับพลันนั้นภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา เร็วจนเขาแทบจับภาพไม่ทัน เขาหรี่นัยน์ตาลง แววตาเปลี่ยนเป็นดุดันอย่างที่สุด ดูเหมือน…ข้างกายเขาจะมีคนที่นิสัยโฉดชั่วเหมือนหมาป่าอยู่…

นางพยักหน้า “ใช่ ตอนที่ข้าพบท่าน เท้าของท่านบวมราวกับกีบเท้าหมู ทั้งยังดำคล้ำอีกด้วย ยังดีที่ท่านมาเจอข้า บนภูเขาแห่งนี้มีงูพิษอยู่มาก ข้าพกยาเม็ดถอนพิษร้อยแปดติดตัว สามารถถอนพิษได้ทุกอย่าง หาไม่ชีวิตของท่านคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว” นางปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อจะให้เรื่องที่ช่วยเขาถอนพิษฟังดูน่าเชื่อถือ

เขาเก็บงำประกายตาที่คมกริบพลางประสานมือคารวะ “บุญคุณที่ช่วยชีวิตของแม่นาง วันหน้าผู้แซ่ฝูจะต้องตอบแทนแน่นอน”

“ตอบแทน? ได้สิ มอบกายถวายตัวแบบนั้นไม่ต้อง แต่ท่านสามารถตอบแทนข้าด้วยเงินหรือทองคำสักจำนวน ของเหล่านี้สำหรับข้าแล้วดูเป็นจริงมากกว่า” นางก็ไม่เกรงใจ พูดออกมาตรงๆ อย่างเปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม

ฝูจิ่งเซิงชะงักอึ้งไปชั่วขณะ

แม่นางผู้นี้…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรใช้คำบรรยายว่าอย่างไร แต่ก็เพราะคำพูดประโยคนี้ของนาง พายุที่ก่อตัวขึ้นมาในใจของเขาจึงสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยในทันที

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ส่วนลึกในดวงตามีประกายสนุกสนานผุดขึ้นจางๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มอบอุ่นดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “รอข้ากลับไปแล้ว จะให้บ่าวนำของขวัญขอบคุณมามอบให้ถึงมือแม่นางอย่างแน่นอน”

มองรอยยิ้มบางที่นุ่มนวลละมุนละไมดุจสายน้ำของเขา ยังมีแววตาของเขาที่มองนาง ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงกับรู้สึกว่าคุ้นเคย เพราะเหตุใดนางจึงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งคล้ายเขากับนางรู้จักกันมาเป็นเวลานาน…

นางสะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดเหล่านั้น

ไม่ถูก นางแน่ใจว่าไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับเขาขึ้นมาได้ คงจะเป็นไข้เพราะตากแดดมากเกินไปเป็นแน่

เหมยหรูเซียนดึงสติที่ออกจะลอยไปไกลกลับมา สายตาจับนิ่งไปยังเท้าเปล่าเปลือยที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ข้างนั้นของเขา นี่จึงจะเป็นจุดสำคัญที่นางควรใส่ใจ “ได้ ข้าจะรอ แต่…ตอนนี้ท่านจะลงจากเขากลับไปได้อย่างไร”

“พี่สาว! ท่านอยู่ที่ใด”

เสียงร้องตะโกนเรียกนางของเหมยชิงหยวนดังมาไม่ไกล นางรีบหมุนตัวไป ขานรับไปทางที่มาของเสียง “หยวนเอ๋อร์! พี่อยู่นี่”

ครู่เดียว เหมยชิงหยวนที่ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อก็วิ่งเข้ามาหานาง คนยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็โก่งคอร้องขึ้น “พี่สาว ท่านเข้าไปในเขานานเพียงนี้ยังไม่กลับมา ท่านแม่เป็นห่วงท่านมาก ข้าจึงแอบออกมาหาท่าน เอ๋…” เขายังพูดไม่ทันจบก็มีสีหน้าประหลาดใจ จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “พี่สาว คนผู้นี้เป็นใคร”

“คนผู้นี้คือคนที่พี่เพิ่งจะช่วยมาจากริมลำธาร เท้าของเขาถูกกับดักสัตว์หนีบได้รับบาดเจ็บ เวลานี้เดินไม่ได้”

ดวงหน้าน้อยๆ นุ่มนิ่มของเหมยชิงหยวนมองเท้าที่ยังคงบวมโตข้างนั้นของฝูจิ่งเซิงด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “พี่ชาย เจ็บมากกระมัง…”

ไม่เคยมีใครเห็นอกเห็นใจเขาเช่นนี้มาก่อน คำพูดนี้ฝูจิ่งเซิงฟังแล้วคล้ายมีแสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องมา ทำให้ห้องหัวใจที่มืดสลัวของเขาพลันสว่างไสว เขาหยักยกมุมปากน้อยๆ ตอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “โชคดีมีพี่สาวเจ้าอยู่ ตอนนี้จึงไม่เจ็บมากแล้ว พี่สาวของเจ้าช่วยข้าไว้…”

ได้ยินว่าพี่สาวช่วยเขาไว้ เหมยชิงหยวนก็นัยน์ตาเปล่งประกายวาวพลางพูดอย่างดีใจ “พี่สาวข้าร้ายกาจยิ่งใช่หรือไม่” เขาบอกด้วยความภูมิใจ “ข้าขอบอกท่าน พี่สาวของข้ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด”

“ใช่แล้ว ร้ายกาจยิ่ง นางช่วยข้าออกมาจากประตูนรก”

เหมยชิงหยวนย่นหัวคิ้วมองเท้าที่ได้รับบาดเจ็บของฝูจิ่งเซิง แล้วเงยหน้าขึ้นมองตะวันที่คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก ถามขึ้นมาอย่างใสซื่อตามประสาเด็ก “พี่ชาย ตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้ว ท่านได้รับบาดเจ็บเช่นนี้จะเดินกลับไปไหวหรือ”

ฝูจิ่งเซิงมีท่าทีอับจนปัญญา “นี่เป็นปัญหาจริงๆ…” กำหนดการของวันนี้เพียงมาหาคนอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้พาพวกซื่อไห่ออกมาด้วย นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น ท้องฟ้ามืดค่ำแล้ว กอปรกับเขาก็ได้รับบาดเจ็บ วันนี้คงลงจากภูเขาไม่ได้เป็นแน่

ปัญหานี้เหมยหรูเซียนก็รำคาญใจอยู่เช่นกัน นางย่อมไม่อาจพาเขาไปที่ศาลเทพแห่งขุนเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไว้ที่นี่ ช่างน่าปวดหัวเสียจริง…

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

 

หน้าที่แล้ว1 of 47

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: