X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทนำ

ค่ำคืนยามจื่อ ดวงดาราที่แต่งแต้มม่านฟ้าดำสนิทดั่งหยาดฝนอันพร่างพราย จันทร์กระจ่างวงหนึ่งแขวนอยู่กลางท้องนภา

มหาคีรีอันดับหนึ่งแห่งต้าตง…เขาชังหมัง (เวิ้งว้าง) ภายใต้การสาดส่องของดวงดาวและดวงเดือน เขาชังหมังประหนึ่งภูผาหยกสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือที่ราบฉีอวิ๋น แสงจันทร์ดุจแพรสีเงินโปร่งบางที่คลุมลงมา ขับให้เขาชังหมังดูสูงศักดิ์เลิศลอยสมกับสมัญญา ‘ราชันแห่งขุนเขา’

ณ ยอดเขาสูงล้ำ บัดนี้มีผู้เฒ่าสองคนกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ คนหนึ่งสวมอาภรณ์ขาว คนหนึ่งสวมอาภรณ์ดำ ล้วนแต่อายุราวห้าสิบ ใบหน้าซูบตอบ ตรงกลางระหว่างทั้งสองคือศิลาสัณฐานสี่เหลี่ยมขนาดเขื่องก้อนหนึ่ง ด้านบนถูกเจียนจนเรียบเสมอกัน จารสลักเป็นกระดานหมาก บนกระดานฝังก้อนศิลาขนาดเล็กไว้แน่นขนัด ข้างกายคนทั้งสองมีศิลาก้อนใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งละสามสี่ก้อน เมื่อใดต้องการวางหมากก็บิออกจากศิลาก้อนใหญ่ ฉวยจังหวะที่ศิลาอยู่ในมือถูคลึงสักหน่อย ศิลานั้นก็จะกลายเป็นตัวหมากกลมแบน หากถึงคราลงหมาก ตัวหมากก็จะฝังลงในกระดานศิลาหนึ่งชุ่น โผล่ขึ้นมาหนึ่งชุ่น ไม่ผิดเพี้ยนสักกระเบียด

บนกระดาน หมากได้เดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งสองฝ่ายก้ำกึ่งสูสี กวางจักสิ้นในมือผู้ใด ยังไม่ประจักษ์

“ดาวเดือนที่สุกสกาวถึงเพียงนี้ไม่ได้พบมานานนักหนาแล้ว” ดวงตาแฝงรอยครุ่นคิดของผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวพลันละจากกระดาน เขาเงยหน้าแหงนมองดวงจันทร์และดวงดาวดาษฟ้าอย่างสะทกสะท้อนใจ

“กลียุคเสื่อมทรามก็ยากที่จะสุกสกาว” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำเคลื่อนสายตาไปยังห้วงฟ้ายามราตรี “พ้นยามจื่อแล้ว ควรมาได้แล้วกระมัง” ในน้ำเสียงแฝงเศษเสี้ยวแห่งการเฝ้ารอวาดหวัง

สิ้นเสียงท่านผู้เฒ่า บนม่านฟ้าก็พลันบังเกิดแสงโชติช่วง ดาวอันเจิดจ้าดวงหนึ่งเคลื่อนผ่านเวหา วินาทีนั้นแสงดาวสาดทะลวงเก้าชั้นฟ้า ถึงกับกลบรัศมีแห่งเดือนเด่นดวงนั้น ส่องให้ฟ้าดินสว่างไสวในพริบตา

“ปรากฏแล้ว…ในที่สุดก็ปรากฏแล้ว!” ดวงตาสงบนิ่งของผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวมีแววตื่นเต้นโถมทะลักออกมาทันใด

ทว่าในเวลานี้เอง บนม่านฟ้าก็มีดาวอีกดวงหนึ่งเคลื่อนผ่าน มันส่องแสงเรืองโรจน์จับตา สว่างอย่างอหังการราวกับทั่วทั้งฟ้าดินมีที่ให้มันเป็นดาวได้เพียงดวงเดียว

“ดูนั่น! ดังคาด…ปรากฏเช่นกันดังคาด!” ใบหน้าซูบตอบของผู้เฒ่าอาภรณ์ดำฉายแววกระชุ่มกระชวยอันมิอาจระงับ

“พวกมัน…มาแล้วในที่สุด” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวยืดกายขึ้น มองดวงดาราทั้งสองที่สุกสว่างประชันกับดวงเดือน

“ฉะนั้น…ในที่สุดกลียุคนี้ก็จะปิดฉากแล้ว” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำหยัดกายขึ้นยืนเคียงไหล่กับผู้เฒ่าอาภรณ์ขาว ร่วมมองดาวทั้งสองที่ประชันรัศมีบนม่านฟ้าโดยเผชิญหน้ากันอยู่ไกลๆ

“กลียุคจักสิ้นสุดด้วยมือของพวกเขา ทว่าเก้าชั้นฟ้าเบื้องบนกลับลิขิตให้เหลือดาวราชันเพียงดวงเดียว เมื่อดารามาบรรจบ ผู้ใดอยู่ผู้ใดม้วย?” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวชูมือขึ้นสูงประหนึ่งจะลูบไล้ดวงดาวบนขอบฟ้า ในน้ำเสียงทั้งตื่นเต้นทั้งเคลือบแคลงกังวลในอนาคตซึ่งไม่อาจจับต้อง

ดวงดาวเรืองรองทั้งสองกลางเวหาค่อยๆ ลดแสงชัชวาลลง ไม่เจิดจ้าดึงดูดสายตาเช่นเมื่อครู่ แต่ยังคงสุกสกาวเหนือหมู่ดาวที่รายรอบมากมายนัก

“ดาราบรรจบ ผู้ใดอยู่ผู้ใดม้วย…นั่นอาจขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง หรืออาจถูกกำหนดโดยโชคชะตา” เสียงผู้เฒ่าอาภรณ์ดำทอดยาว แผ่วเบาวังเวงเสมือนดังมาจากบรรพกาล

“โชคชะตากระนั้นหรือ…” ในดวงตาผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวมีแววเสียดายและอาดูรวูบผ่าน

“ใช่ ซึ่งเจ้าและข้าไม่อาจกำหนดได้” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำลดสายตากลับสู่กระดานหมากเบื้องหน้า “หมากตานี้ยังจะเดินต่อหรือไม่”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวเก็บสายตากลับมาจากม่านนภา มองหมากที่เดินไปแล้วครึ่งหนึ่งตรงหน้า จากนั้นถึงส่ายศีรษะ “ในเมื่อเจ้าและข้าหาใช่ผู้กำหนด…เช่นนั้นไยต้องให้เจ้าและข้าเดินจนจบ” เขายกมือขึ้น ชี้ไปยังท้องฟ้าที่มีดาวพร่างพราย “รอพวกเขามาเดินเถิด”

“พวกเขา?” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำมองกระดานหมาก มองนภาประดับดาว ก่อนจะยิ้มจางๆ “ก็ได้ ทิ้งไว้ให้พวกเขามาเดินต่อเถิด”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวสะบัดแขนเสื้อหมุนกายไป “เราลงจากเขากันเถิด ได้เวลาที่เจ้ากับข้าควรไปหาพวกเขาแล้ว”

“อืม” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำก็หมุนกายจากไปเช่นกัน “หมากครึ่งกระดานนี้ให้พวกเขาเป็นผู้เดินเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างเรา และตัดสินว่าผืนหล้านี้…จะตกเป็นของผู้ใด”

“หึๆ…” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวหัวเราะแผ่วเบาแทนคำตอบ

ทั้งสองพลิ้วร่างจากไป เหลือไว้เพียงหมากครึ่งกระดานนั้นบนยอดเขาชังหมัง

 

ในกาลต่อมา เมื่อผู้ปีนขึ้นเขาชังหมังพบว่าบนยอดเขามีกระดานหมากเยี่ยงนี้ก็ล้วนหลากใจ ทว่าหาได้มีผู้ใดแตะต้องมันไม่ ผู้สามารถขึ้นไปถึงยอดมหาคีรีอันดับหนึ่งแห่งต้าตงมีไม่มากนัก อีกทั้งผู้ที่ปีนขึ้นไปก็หาใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญ ในเมื่อมีผู้เดินหมากครึ่งๆ กลางๆ ไว้ ย่อมต้องมีผู้มาเดินต่อจนจบ

หลายปีให้หลัง บุคคลสองคนก็ตามรอยแห่งโชคชะตามาพบกันบนยอดเขาชังหมัง เผชิญกับหมากกระดานนี้ซึ่งโชคชะตาเก็บไว้ให้พวกเขา

และเวลาที่ผู้เฒ่าทั้งสองทิ้งกระดานหมากไว้บนยอดเขาชังหมังก็คือรัชศกจิ่งเหยียนปีที่สอง

 

นับแต่ฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้ ก่อร่างสร้างแผ่นดินต้าตงจวบจนถึงรัชสมัยแห่งฮ่องเต้จิ่งเหยียนตี้ก็รวมเวลาได้หกร้อยกว่าปีแล้ว

แรกเริ่มเดิมทีฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้มีพื้นเพเป็นสามัญชน มีชีวิตอยู่ในช่วงกลียุค ทว่าในอกเปี่ยมปณิธาน นำพี่น้องจำนวนหนึ่งเริ่มฝึกจากมือเปล่าหมัดเปลือยพัฒนาไปจนมีอาวุธเสื้อเกราะนับร้อยนับหมื่น ท้ายที่สุดก็รวบรวมเหล่าวีรบุรุษสถาปนาแผ่นดินสำเร็จ ตั้งชื่อสกุล ‘ตง’ เป็นนามแห่งอาณาจักร ต่อมาก็ปูนบำเหน็จตามผลงาน อวยยศขุนพลเจ็ดนายผู้มีความดีความชอบเป็นที่ประจักษ์มากที่สุดให้กินตำแหน่งอ๋อง นั่นก็คืออ๋องทั้งเจ็ดแห่งแคว้นทั้งเจ็ด…อ๋องแห่งจี้โจว หวงที่ อ๋องแห่งหมิ่นโจว นิ่งจิ้งหย่วน อ๋องแห่งยงโจว เฟิงจี๋ อ๋องแห่งเป่ยโจว ไป๋อี้หม่า อ๋องแห่งโยวโจว ฮว่าจิงไถ อ๋องแห่งชิงโจว เฟิงตู๋อิ่ง อ๋องแห่งซังโจว หนานเพี่ยนเยวี่ย พร้อมทั้งนำโลหะสีหมึกที่ได้จากก้นทะเลเหนือมาหลอมเป็นป้ายคำสั่งสีกาฬแปดชิ้น ในแปดชิ้นนั้นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ‘ป้ายขั้วกาฬ’ ฮ่องเต้เป็นผู้ครอบครอง เจ็ดชิ้นเล็กคือ ‘ป้ายแกนกาฬ’ ที่พระราชทานให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งเจ็ด เมื่อครั้งอวยยศพระราชทานป้ายคำสั่ง ฮ่องเต้และอ๋องทั้งเจ็ดก็ได้ใช้เลือดชโลมปากกล่าวสัตย์ปฏิญญา สาบานว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยป้ายขั้วกาฬคือเจ้าเหนือหัว ป้ายแกนกาฬคือถวายความภักดีสูงสุด!

ต่อจากรัชสมัยฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้ ฮ่องเต้ไท่ซิงตี้ ฮ่องเต้ซีหนิงตี้ ฮ่องเต้เฉิงคังตี้ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์เหนือหัวผู้ปรีชาชาญ เปิดรับผู้มีความสามารถอย่างกว้างขวาง ใส่ใจความเป็นอยู่ของทวยราษฎร์ เกณฑ์แรงงานน้อย เก็บภาษีต่ำ ปกครองอย่างเป็นระบบระเบียบ ด้านเจ้าครองแคว้นก็ดำรงตนในหน้าที่ ภักดีต่อฮ่องเต้ บ้านเมืองจึงเข้มแข็งรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับในมือฮ่องเต้ผู้ปรีชาและขุนนางผู้มีธรรม

ครั้นถึงยุคกลางแห่งราชวงศ์ ฮ่องเต้หย่งอันตี้ ฮ่องเต้เหยียนผิงตี้ ฮ่องเต้หงเหอตี้ และฮ่องเต้อื่นอีกหลายพระองค์ แม้จะมิได้ปรีชาสามารถเปี่ยมล้น แต่ยังนับว่าเป็นเจ้าเหนือหัวที่รักษาความมั่งคั่งแต่กาลก่อนให้สืบเนื่องต่อไปได้อย่างดี ครั้นถึงรัชสมัยแห่งฮ่องเต้เจินกวงตี้ ฮ่องเต้เทียนถ่งตี้ ฮ่องเต้เซิ่งลี่ตี้ กลับเป็นเจ้าเหนือหัวผู้เขลาอับปัญญาทั้งสิ้น ประสงค์เพียงแต่เสพสุขหาความสำราญ ละเลยการปกครอง ปล่อยให้เหล่าขุนนางใจคดสับปลับกุมบังเหียนบริหารบ้านเมือง ราชสำนักอันยิ่งใหญ่จึงค่อยๆ เสื่อมทรามลง

ครั้นถึงรัชสมัยฮ่องเต้เป่าชิ่งตี้ก็พิสมัยความหรูหรา ลุ่มหลงอิสตรี สั่งให้บูรณะตำหนักวิจิตรและวังเลิศหรูเป็นการใหญ่ รับหญิงงามจากทั่วหล้า อีกทั้งกระหายจะสำแดงแสนยานุภาพ จึงส่งกองทัพไปทำศึกกับอาณาจักรเหมิงเฉิงสองครา และก็ล้วนแต่ปราชัยย่อยยับกลับมา พอกระทำจนพระคลังร่อยหรอ แสนยานุภาพสูญสิ้น ราษฎรหมดทางทำกิน เสียงครวญดังระงมทั้งสี่ทิศ เจ้าครองแคว้นจึงเริ่มมีใจออกห่าง เริ่มจากอ๋องแห่งหมิ่นโจวนำทัพขึ้นลุกฮือ ประสงค์จะชิงอำนาจ ทว่าฮ่องเต้เป่าชิ่งตี้มิทันรอให้กองทัพของผู้แซ่นิ่งบุกถึงนครหลวง ร่างกายซึ่งผุกร่อนด้วยสุรานารีก็มีอันเสื่อมเสียไปก่อนเพราะหวาดกลัวเกินขนาด ณ ตำหนักหลีฉือ (อาชานิลทะยาน) อันเพริศแพร้ว

ไท่จื่อ** ขึ้นสืบราชสมบัติ ใช้นามรัชศก ‘เซิ่งโย่ว’ ฮ่องเต้เซิ่งโย่วตี้อัญเชิญป้ายขั้วกาฬออกจากตำหนักหลิงเซียว (ควบเวหา) เพื่อบัญชาให้เจ้าแคว้นทั่วหล้ายกทัพรับใช้ฮ่องเต้ สุดท้ายทัพใหญ่จากหกแคว้นก็ตีทัพหมิ่นโจวแตกพ่าย หมิ่นอ๋องจนตรอกไร้หนทาง จึงเชือดคอทำอัตวินิบาตกรรม ดินแดนศักดินาในครอบครองถูกสกุลเฟิงแห่งยงโจว สกุลหวงแห่งจี้โจว และสกุลเฟิงแห่งชิงโจวผนวกรวม

หลังสยบกบฏหมิ่นอ๋อง เจ้าครองแคว้นทั้งหลายก็ลำพองในอิทธิพล แม้นฮ่องเต้เซิ่งโย่วตี้จะมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ก็อับจนด้วยต้าตงกลายเป็นสรรพางค์ที่ร้อยโรครุมเร้าไปเสียแล้ว อีกทั้งยังต้องเกาทัณฑ์ในการปราบจลาจลหมิ่นอ๋อง จึงป่วยเรื้อรังอยู่บนพระแท่น ไม่ถึงสามปีก็สวรรคต เพราะยังไม่มีหน่อเนื้อเชื้อไข ดังนั้นลี่อ๋องพระอนุชาจึงขึ้นสืบราชบัลลังก์ ใช้ชื่อรัชศก ‘ฉุนซี’

ฮ่องเต้ฉุนซีตี้นิสัยเหี้ยมโหด ไม่โปรดทรัพย์ศฤงคาร ทว่าชมชอบการล่าในที่ปิดล้อม และสิ่งที่ล้อมล่าหาใช่สัตว์ป่า หากแต่เป็นมนุษย์ ฮ่องเต้ฉุนซีตี้จึงให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในสนามล่า จากนั้นก็นำมหาดเล็กและขุนนางเข้าป่ารกชัฏ ล่าสังหารมนุษย์เยี่ยงเดียวกับสัตว์ป่า ผู้ใดได้ศีรษะมากเป็นผู้มีชัย แม้นล่าได้มนุษย์เป็นๆ ก็จะแหวกอกผ่าท้อง ร่ำเมรัยหาความสำราญ แรกเริ่มมนุษย์ที่ถูกล้อมล่านี้เป็นเพียงนักโทษประหาร เรียกว่า ‘เหยื่อเป็น’ ภายหลังนักโทษประหารไม่เพียงพอ จึงนำนักโทษทั้งปวงในเรือนจำไม่ว่าต้องทัณฑ์สถานใดไปยังสนามล่า สุดท้ายเมื่อกระทั่งนักโทษก็ยังไม่พอ จึงจับประชาชนสามัญไปเติมให้ครบจำนวน

พฤติกรรมโหดเหี้ยมลักษณะนี้กระตุ้นความเดือดดาลไปทุกหัวระแหง แต่ละท้องที่เกิดกองกำลังผดุงคุณธรรมขึ้นเนืองๆ แต่หลังจากศึกเหมิงเฉิงสองครา ตามด้วยจลาจลหมิ่นอ๋อง ทัพหลวงใต้อาณัติของฮ่องเต้ก็จวนจะสิ้นสลายอยู่รอมร่อ ฮ่องเต้ฉุนซีตี้จึงมีแต่ต้องเชิญบรรดาเจ้าแคว้นให้ยกทัพมาปราบปราม ดังนั้นเหล่าอ๋องผู้ครองแคว้นจึงอาศัยโอกาสนี้รวบรวมทหารซื้ออาชาอย่างเปิดเผย รบพุ่งประหัตประหารเพื่อขยายเขตแดนและความมั่งคั่งของตน นอกจากนี้บางคราก็ยังทำศึกบีฑากันเอง ส่วนฮ่องเต้ก็ไร้ซึ่งกำลังจะควบคุมแต่ละแคว้นเสียแล้ว

รัชศกฉุนซีที่สิบเอ็ด ขณะฮ่องเต้ออกล่า ณ สนามล่าชิวจี๋ซึ่งอยู่ชานเมือง ในที่สุดเหล่าเหยื่อเป็นที่ทนถูกทารุณกรรมไม่ไหวก็รวมตัวกันลุกฮือขึ้นสังหารฮ่องเต้สำเร็จ ภายหลังพวกเขามุ่งหน้าต่อไปยังนครหลวงอันเป็นสถานพำนักแห่งเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง ตลอดทางมีประชาชนแห่เข้ามาร่วมล้นหลาม ในเวลาอันสั้นก็รวมตัวกันเป็นกองกำลังผดุงคุณธรรมจำนวนหลายพัน บุกสู่นครหลวงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ทะลวงเข้าวังหลวงอันหรูหราวิจิตร…แม้ท้ายที่สุดจะถูกสมุหราชองครักษ์นามตงซูฟั่งปราบปราม ทว่าเหตุเคลื่อนไหวต่อต้านครั้งนี้ก็ได้รับการจารึกอย่างแจ่มชัดลงสู่บันทึกประวัติศาสตร์ โดยเรียกขานว่า ‘กบฏสนามล่าชิวจี๋’

เมื่อฮ่องเต้ฉุนซีตี้เสด็จสวรรคต องค์ไท่จื่อก็เสด็จขึ้นสืบราชบัลลังก์ ใช้ชื่อรัชศก ‘จิ่งเหยียน’

หลังฮ่องเต้จิ่งเหยียนตี้เถลิงราชย์ก็พบว่าท่ามกลางเหตุจลาจล ป้ายขั้วกาฬได้หายไปจากตำหนักหลิงเซียว จึงมีบัญชาฉับพลันให้ค้นหาทั่วแผ่นดิน ทว่าก็เป็นเช่นการงมเข็มในมหาสมุทร ไร้ร่องรอยแม้เพียงน้อยนิด บรรดาเจ้าแคว้นจึงฉวยโอกาสยกเป็นข้ออ้างว่า ‘เชื้อพระวงศ์สูญคุณธรรม ขั้วกาฬทอดทิ้ง’ ไม่เคารพยกย่องเชื้อสายแห่งฮ่องเต้อีกต่อไป นับแต่นั้นมาจักรวรรดิต้าตงก็เริ่มแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า เข้าสู่ยุคที่แคว้นทั้งหกปกครองตัวเอง บ่อนทำลายกันและกัน

หลังจากป้ายขั้วกาฬสาบสูญ ผู้กล้าในใต้หล้าก็มิมีผู้ใดไม่ปรารถนาจะครอบครองมันเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด

บทที่ 1 อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน

รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบห้า เดือนเจ็ด

เพิ่งล่วงเข้าสู่ฤดูสารท อากาศยังคงร้อนระอุถึงสิบส่วน ยามเที่ยงยิ่งเป็นเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน แสงอาทิตย์แรงกล้าดั่งอัคคีแผดเผาผืนดิน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหลบร้อนอยู่ในเคหสถานหรือใต้ร่มไม้

ทว่า ณ เชิงเขาเซวียนซานซึ่งตั้งอยู่ทางปัจฉิมทิศของเป่ยโจวกลับมีคนมากมายไล่ล่ากันภายใต้แสงตะวันร้อนแรง ผู้ที่วิ่งตะบึงอยู่ด้านหน้าคือบุรุษสวมชุดสีดำ

“เยียนอิ๋งโจว เจ้าไร้ทางหนีแล้ว!”

หลังจากบีบให้บุรุษชุดดำเข้าสู่ป่าทึบในเขา คนทั้งกลุ่มก็เข้าโอบล้อมไว้อย่างแน่นหนา ในบรรดานั้นบ้างเป็นทหารสวมเครื่องแบบ บ้างแต่งกายเยี่ยงบัณฑิต บ้างสวมชุดอย่างวาณิช ยังมีผู้ที่ดูเหมือนชาวนา…อาภรณ์หลากหลาย ท่วงท่ากิริยาแตกต่าง ทว่าที่พ้องต้องกันก็คือดาบและกระบี่ในมือซึ่งล้วนแต่ชี้ไปยังผู้ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง

บุรุษที่ถูกล้อมอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด มือถือกระบี่ยาว บนร่างกายมีบาดแผลหลายแห่ง โลหิตสดๆ ไหลไม่หยุด ย้อมให้พื้นหญ้าใต้เท้าแดงฉาน แต่เขายังคงยืนเหยียดร่างตรง มองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่คล้ายกับผู้หนีตายที่จนตรอกสิ้นหนทางสักนิดเดียว กลับเหมือนขุนพลที่ใคร่สู้แลกชีวิตกับศัตรู

คนกลุ่มนั้นแม้จะล้อมเขาไว้ได้ ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ห่อผ้าซึ่งบุรุษผู้นั้นสะพายอยู่

“เยียนอิ๋งโจว ทิ้งของเอาไว้ แล้วพวกเราจะเหลือทางรอดให้เจ้า!” ผู้แต่งเครื่องแบบอย่างทหารคนหนึ่งชูดาบเล่มเขื่องในมือ ชี้ใส่บุรุษชุดดำ…เยียนอิ๋งโจว

บุรุษผู้ถูกขานนามว่าเยียนอิ๋งโจวผุดรอยยิ้มจางๆ แฝงท่าทางเสียดสีอันเย็นชา “เคยสดับว่าขุนพลเจิงฝู่แห่งเป่ยโจว ทุกครั้งที่ตีเมืองแตกจะต้องสังหารล้างเมืองสามวัน ใต้ดาบมีวิญญาณคับแค้นเหลือคณานับ แต่วันนี้ถึงกับการุณย์แก่ข้าผู้แซ่เยียนอย่างน่าอัศจรรย์ใจนัก”

วาจานี้กระทบกระเทียบว่าคำกล่าวของเจิงฝู่เชื่อไม่ได้ อีกทั้งยังบ่งสันดานอำมหิตของเขา ใบหน้าเจิงฝู่ฉายโทสะดังคาด ขณะคิดจะส่งเสียง บุรุษในชุดบัณฑิตข้างกายก็โบกพัดพับหนึ่งครา เอ่ยอย่างสุภาพมีมารยาทว่า “เยียนอิ๋งโจว วันนี้ท่านยากจะหนีเอาชีวิตรอดเป็นแน่ หากรู้สถานการณ์ก็ทิ้งของไว้ พวกเราสามารถให้ท่านตายอย่างฉับไวตรงไปตรงมาได้บ้าง”

“ข้าผู้แซ่เยียนย่อมรู้ว่าวันนี้ยากจะหนีพ้นความตาย” เยียนอิ๋งโจวเอ่ยอย่างเยือกเย็น พร้อมกับใช้มือข้างที่มิได้กุมกระบี่ดึงห่อผ้าบนหลังให้กระชับ “เพียงแต่ว่า…กงอู๋ตู้ พิษในพัดของเจ้าทำร้ายลูกน้องข้าไปยี่สิบคน ข้าย่อมต้องเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้าก่อน จึงจะไปอย่างวางใจได้” สิ้นคำกระบี่ยาวก็ชี้ไปยังกงอู๋ตู้ แววตาคมกริบเย็นเยียบยิ่งกว่ากระบี่ล้ำค่าในมือ

พัดของกงอู๋ตู้คร่าชีวิตมานับไม่ถ้วน ทว่าบัดนี้พอเผชิญแววตาเช่นนี้ก็ถึงกับหนาวสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้คนโดยรอบพากันกระชับอาวุธในมือแน่นโดยมิรู้ตัว พร้อมระวังด้วยสมาธิทั้งหมด

สี่ขุนพล ‘วายุ น้ำค้าง หิมะ พิรุณ’ แห่งจี้โจวนามกระเดื่องทั่วแผ่นดิน และบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งกาลก่อนทำศึกที่ฉาเฉิงจนชื่อเสียงลือเลื่องคือ ‘ขุนพลวายุกล้า’ เยียนอิ๋งโจว ผู้นำแห่งสี่ขุนพล…ตลอดทางมานี้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นความดุดันกล้าหาญชนิดหนึ่งสู้ร้อยของอีกฝ่ายมาแล้ว

“เยียนอิ๋งโจว วันนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ใดชนะผู้ใดแพ้ก็ชัดเจนนานแล้ว” บุรุษฉกรรจ์ผู้แต่งกายคล้ายชาวนาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว สายตาจับจ้องเยียนอิ๋งโจวพร้อมเงื้อดาบตวาดร้อง “ทุกท่าน ไยต้องกริ่งเกรงมันด้วย เราเคียงไหล่กันลงมือ หั่นร่างมันแล้วแบ่งไปคนละชิ้น กลับไปรับความชอบโดยสะดวก!”

“ประเสริฐ! ท่านจอมยุทธ์หลินไหวกล่าวมีเหตุผล สังหารเยียนอิ๋งโจวเสีย ของย่อมตกเป็นของเรา!” ผู้สวมชุดอย่างวาณิชปลดแส้อ่อนลงจากเอว ไม่ทันสิ้นกระแสความแขนของเขาก็สะบัด แส้ยาวเหินออกไปเร็วรี่ พุ่งเข้าจะชิงห่อผ้าบนหลังเยียนอิ๋งโจว

“ลุยพร้อมกัน!”

ไม่รู้ว่าผู้ใดตวาดออกมาประโยคหนึ่ง คนทั้งหมดลงมือ ศาสตราวุธล้วนแต่พุ่งใส่ร่างเยียนอิ๋งโจว

เยียนอิ๋งโจวแม้จะบาดเจ็บ ทว่าการเคลื่อนไหวยังคงปราดเปรียว เพียงเบี่ยงร่างเล็กน้อย ยกแขนซ้ายขึ้นก็คว้าแส้ยาวที่พุ่งเข้ามาพัวพันจากด้านหลังไว้ในมือได้ จากนั้นเขาก็หมุนร่างอย่างรวดเร็ว กวาดมือหนึ่งครา บุรุษท่าทางเหมือนวาณิชก็ถูกกระชากเข้ามารับดาบที่เจิงฝู่ฟันเข้าใส่ ต่อมามือขวาก็ไหวโบก กระบี่ยาวขวางรับอาวุธทั้งหลายที่ฟันเข้าด้านข้าง เขาเกร็งกำลังที่แขน ตวาด “ไป” เสียงเย็นชา สรรพาวุธที่ปะทะอยู่บนกระบี่ก็สั่นสะท้านอย่างพร้อมเพรียง สามสี่คนที่ถืออาวุธรู้สึกเพียงง่ามมือปวดสาหัส แทบจะกุมอาวุธไม่อยู่ จึงจำต้องชักมือกลับ ถอยร่างไปหนึ่งก้าวถึงหลีกเลี่ยงความอัปยศอันเกิดจากอาวุธหลุดมือไปได้

ในเวลาเพียงชั่วครู่ เยียนอิ๋งโจวก็คุกคามจนคนกลุ่มนั้นล่าถอยไปหลายคน ท่าร่างของเขาหมดจดว่องไวจนผู้ที่ชมดูอยู่ด้านข้างอดละล้าละลังมิได้ว่าควรรั้งเป็นผู้เฒ่าหาปลาได้ผลประโยชน์ หรือจะร่วมลงมือเข้าประจันให้เรื่องจบโดยไว

“พวกเรา ลุยเข้าไป!” กงอู๋ตู้โบกพัดหนึ่งครา โผนร่างเข้าห้ำหั่น คนที่เหลือก็พากันลงมือตาม ชั่วขณะนั้นเห็นเพียงประกายดาบเงากระบี่ ยินเพียงเสียงโลหะดังเกรื่องกร่าง

ขณะที่กลุ่มคนกำลังล้อมสังหารเยียนอิ๋งโจว กลับมีทหารหนุ่มสวมเสื้อคลุมขาวถือทวนชมดูอยู่ด้านข้าง เบื้องหลังเขามีผู้ติดตามอยู่สี่คน

แม้จะถูกสิบกว่าคนโอบล้อม เยียนอิ๋งโจวกลับไร้ซึ่งอาการหวั่นเกรงแม้เศษเสี้ยว เมื่อกระบี่ล้ำค่าพลิกเหินก็ก่อให้เกิดประกายสีครามเสียดแทงนัยน์ตา ตำแหน่งที่กระบี่ยาวไปถึงจะบังเกิดเสียงครวญคราง จะมองเห็นเลือดหยาดหยด

ฝีมือฉกาจนัก! ทหารหนุ่มผู้เสื้อคลุมขาวลอบพยักศีรษะ ดวงตาสุกใสเปี่ยมด้วยความชื่นชม

ทางเยียนอิ๋งโจวที่อยู่กลางวงล้อมย่อมประจักษ์ว่าวันนี้ยากจะรอดชีวิต จึงรุกอย่างเดียว ไม่ตั้งรับ สู้ด้วยวิธีแลกชีวิตโดยสมบูรณ์ ทว่าผู้ที่ล้อมสังหารเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ทั้งยังมีจำนวนมาก ดังนั้นไม่นานนักบนร่างเขาก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง โลหิตฉีดพุ่ง ทุกที่ที่เท้าเหยียบย่างล้วนถูกย้อมจนแดงฉาน

“เฮ้อ!” ทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาวส่ายศีรษะเบาๆ ครั้นเห็นว่าท่าร่างของเยียนอิ๋งโจวช้าลงเพราะอาการบาดเจ็บทบทวีก็เผยสีหน้าเสียดาย

“เยียนอิ๋งโจว มอบชีวิตมา!” เสียงตวาดอันเย็นชาดังขึ้น กงอู๋ตู้เห็นโอกาสจึงใช้พัดเหล็กต่างดาบ เสือกแทงเข้าใส่หน้าอกเยียนอิ๋งโจว

พัดเหล็กจู่โจมถึงตรงหน้า เยียนอิ๋งโจวเบี่ยงร่างเล็กน้อย มีเจตนาจะหลบหลีก ทว่ายังช้าไป ทำให้พัดเหล็กแทงเข้าที่ชายโครง

ขณะกงอู๋ตู้เห็นว่าลงมือเป็นผลและกำลังลำพองใจอยู่นั้น อาการปวดสาหัสก็แล่นมาจากอก เมื่อก้มลงมองก็พบว่ากระบี่เหล็กครามของเยียนอิ๋งโจวฝังอยู่ตรงหน้าอกเขาจนถึงด้ามเสียแล้ว

“ข้าบอกแล้วว่าต้องเอาชีวิตสุนัขของเจ้าให้จงได้!” เยียนอิ๋งโจวขบฟันเอ่ย เขาถึงกับยอมให้พัดของกงอู๋ตู้ทำร้ายก็จะสังหารอีกฝ่ายให้ได้

“เจ้า…” กงอู๋ตู้เพิ่งปริปากเอ่ยได้คำเดียว เยียนอิ๋งโจวก็ชักกระบี่กลับอย่างรวดเร็ว โลหิตพุ่งทะลักปานสายฝน สาดชโลมทั่วร่างเขา กงอู๋ตู้ตาเหลือก ทรุดฮวบไป

เยียนอิ๋งโจวดึงกระบี่ได้ก็วาดไปต้านรับการจู่โจมจากด้านหลัง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว หัวไหล่ซ้ายเขาเจ็บแปลบ ดาบของเจิงฝู่เสียบจากข้างหลัง โลหิตพุ่งทะลักดั่งน้ำพุในทันที อาบทั้งร่างให้กลายเป็นมนุษย์โลหิต

“ถึงขั้นลอบโจมตีข้างหลัง…เสียทีที่เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น!” เยียนอิ๋งโจวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง จ้องมองด้วยแววตาโกรธแค้น

“ฮึ ยามนี้ใครบ้างเล่าจะเป็นวิญญูชน” เจิงฝู่แค่นเสียงเย็นชาอย่างไร้ความละอายแม้แต่น้อยนิด ดาบยังฝังอยู่ในร่างเยียนอิ๋งโจว เมื่อเห็นใต้คมดาบคือคนที่มีแผลฉกรรจ์รอถูกเชือดก็อดพึงพอใจมิได้ มือซ้ายเขายื่นตรงเข้าฉวยห่อผ้าบนหัวไหล่เยียนอิ๋งโจว “ทางที่ดีเจ้า…อ๊าก!”

เห็นเพียงประกายกระบี่สาดวูบ จากนั้นเจิงฝู่ก็โหยหวนอย่างอนาถ ล้มลงกับพื้นสิ้นชีพ มือทั้งสองของเขาถึงกับถูกตัดขาดเสมอข้อ!

ครั้นลงมือเป็นผลแล้ว เยียนอิ๋งโจวก็ถอยหลังหนึ่งก้าว พลิกมือไปดึงดาบที่ปักอยู่บนหลังออกโยนลงพื้น บนด้ามดาบยังมีมือที่ขาดของเจิงฝู่ติดอยู่ กลุ่มคนที่ล้อมโจมตีเห็นเข้าก็สั่นสะท้านทั้งที่อากาศไม่หนาว พากันถอยหนีไปหนึ่งก้าว

ทางด้านเยียนอิ๋งโจวผู้ถูกทำร้ายสาหัสสองครั้งสองคราก็สิ้นกำลังทรงกาย ร่างโงนเงนจวนจะทรุดฮวบอยู่รอมร่อ เขาใช้กระบี่ยาวยันพื้น คุกเข่าข้างหนึ่ง เงยหน้ากวาดตามองอริที่รายล้อม ดวงตาทั้งคู่คมดุกระหายเลือด ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและคลุ้มคลั่ง ผู้คนโดยรอบล้วนถูกรัศมีอันเหี้ยมหาญข่มทับ ไม่กล้าบุ่มบ่าม

เยียนอิ๋งโจวผ่อนลมหายใจชั่วครู่ จากนั้นถึงหยัดกายขึ้นช้าๆ บรรดาผู้ที่ล้อมอยู่ผงะถอยอย่างควบคุมตัวเองมิได้

“มาเถิด! วันนี้ข้าเยียนอิ๋งโจวได้พบกับวีรบุรุษมากหน้าหลายตาจากแว่นแคว้นต่างๆ นับเป็นกุศลอันสั่งสมมาสามชาติ…บนหนทางสู่สัมปรายภพมีทุกท่านร่วมทางก็ไม่เดียวดายอีกต่อไป!”

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเยียนอิ๋งโจวคือหลินไหว เสี้ยวขณะนี้ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลง มอง ‘ขุนพลวายุกล้า’ ผู้เหมือนอสูรอาบโลหิตเบื้องหน้าด้วยใบหน้าเปี่ยมความพรั่นพรึง เขาอดถอยเท้าหนีมิได้…

แปะๆๆ!

ขณะที่หลินไหวกริ่งเกรงไม่กล้าบุกเข้าไป ในป่าก็พลันเกิดเสียงปรบมือที่แปลกแยกอย่างยิ่งในบรรยากาศยะเยือกอึมครึมนี้ คนทั้งหลายตะลึงลาน หันหน้าไปมองผู้ปรบมือ แล้วก็พบว่าเป็นทหารหนุ่มในเสื้อคลุมขาวซึ่งเอาแต่ชมดูอยู่ด้านข้าง

ทหารหนุ่มผู้นั้นก้าวมาด้านหน้าอย่างแช่มช้า สายตาจ้องตรงไปยังเยียนอิ๋งโจวที่ถือกระบี่ต้านรับศัตรู เขาเอ่ยเสียงใสกังวานว่า “เยียนอิ๋งโจว เจ้าเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้าโดยแท้! แทนที่จะตายใต้เงื้อมมือชนชั้นมุสิกไร้สามารถเหล่านี้ มิสู้ให้ข้าช่วยเสริมส่งนามเกริกเกียรติของเจ้า!”

สิ้นวาจาร่างของเขาก็เหินขึ้น ทวนเงินในมือประหนึ่งลำแสงสีขาวทะลวงเมฆหมื่นลี้ รวดเร็วและงดงาม มันม้วนตลบมากับความเกรี้ยวกราดไร้ใดเปรียบ แทงเข้าใส่เยียนอิ๋งโจว

เยียนอิ๋งโจวนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ มือขวากระชับด้ามกระบี่แน่น รอคอยทวนแหวกอากาศแยกวายุนี้ เขาไม่อาจหลบและก็หลบไม่พ้น ได้แต่ยืนรออย่างเดียว รอให้ทวนเงินเสียบเข้าสู่แผ่นอก…จากนั้นกระบี่ของเขาก็จะเสียบเข้าสู่แผ่นอกของศัตรูอย่างแน่แท้เช่นกัน!

ทวนเงินระยับจับตาจวนจะแทงเข้าสู่ร่างของเยียนอิ๋งโจวในอึดใจ ทว่าฉับพลันนั้นมีอสนีบาตสีขาววูบผ่านกลางเวหา เร็วจนไม่ทันได้เห็นชัดถนัดตาก็หายไป ทว่าที่สาบสูญไปพร้อมกับอสนีบาตคือเยียนอิ๋งโจวที่บาดเจ็บสาหัส

ความพลิกผันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่ง ไม่เพียงคนทั้งหลายที่นิ่งอึ้ง กระทั่งทหารอาภรณ์ขาวคนนั้นก็ดำรงท่าร่างเดิม พุ่งทวนเงินราวกับจะแทงเข้าสู่ร่างศัตรู…ทว่าแท้ที่จริงเขาแทงไม่ถูกสิ่งใดเลย ดวงตาเขาจ้องคมทวนเขม็งราวกับมิกล้าเชื่อว่าภายใต้การแทงด้วยกำลังทั้งหมดของตนจะถึงกับพลาดเป้า มิหนำซ้ำอีกฝ่ายคือผู้ใดอยู่หนไหนก็ยังไม่รู้

“ฮ่าๆๆๆ…”

ขณะที่ผู้คนกำลังพรึงเพริดอยู่นั้น กลางป่าอันร้อนอ้าวและคาวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดก็พลันมีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น เพียงพริบตากลางป่าก็เสมือนมีสายลมเย็นชื่นพัดผ่าน ทั้งเหมือนตาน้ำใสพิสุทธิ์สายหนึ่งที่ผุดทะลัก ทำให้กลิ่นคาวเบาบางลง ไอร้อนอบอ้าวเจือจางลง กระแสเย็นชื่นใจสายหนึ่งซึมขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ

“น่าสนุกนัก หลับไปหนึ่งงีบ ตื่นมายังได้ชมละครหนึ่งฉากอีกด้วย”

เสียงกังวานใสดังขึ้นอีกหน ผู้คนมองตามเสียง บนไม้สูงที่ห่างออกไปสามจั้ง* มีดรุณีน้อยในชุดขาวนั่งพิงกิ่งไม้อยู่ เส้นผมดำขลับยาวสลวยปล่อยลงตรงๆ ดวงหน้าหมดจดงดงามเหนือสามัญ มุมปากแฝงรอยยั่วยิ้มขี้เล่น ดวงตาครึ่งลืมครึ่งหลับ ก้มมองคนทั้งหลายด้วยอาการเกียจคร้านเช่นคนเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน

ครั้นกลุ่มคนใต้ต้นไม้พบดรุณีผู้ใสบริสุทธิ์เพียงนี้ก็อดอึ้งไปมิได้

ล่วงไปครู่หนึ่ง หลินไหวถึงส่งเสียงถามไถ่เป็นคนแรก “ไม่ทราบว่าแม่นางคือผู้ใด”

ดรุณีน้อยชุดขาวไม่ตอบคำ กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “อ้าว ท่านจอมยุทธ์หลิน ยามนี้ท่านยืดอกออกมาได้แล้วหรือ เมื่อครู่เผชิญกับกระบี่ยาวสามเชียะ ของผู้อื่น เหตุใดถึงได้ล่าถอยเสียเล่า” ขณะกล่าวก็โบกมือ แล้ววัตถุอย่างหนึ่งก็ลอยและร่วงลงสู่มือ

ยามนี้ผู้คนถึงเพิ่งเห็นอย่างแจ่มชัดว่าสิ่งที่นางหิ้วอยู่ในมือก็คือเยียนอิ๋งโจวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้หมดสติไปแล้ว เอวเขายังพันไว้ด้วยภูษาขาวผืนยาว คิดว่าเมื่อครู่ก็คือดรุณีนางนี้ที่ใช้ภูษาขาวช่วยเขาไป

“เจ้า!” หลินไหวโดนดรุณีชุดขาวกระทบกระเทียบ ใบหน้าด้านหนาก็อดร้อนผ่าวมิได้

“จุ๊ๆ เยียนอิ๋งโจวผู้นี้แม้จะเป็นวีรบุรุษผู้สามารถ แต่บัดนี้ถูกพวกเจ้าจัดการจนเหลือเพียงครึ่งชีวิตแล้ว ช่างน่าเสียดายโดยแท้!” ดรุณีชุดขาวหิ้วเยียนอิ๋งโจวด้วยมือข้างเดียว พินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียด อีกทางหนึ่งยังส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ บุรุษหนักร้อยกว่าชั่ง ผู้หนึ่งกลับถูกนางหิ้วไว้ในมืออย่างผ่อนคลายประหนึ่งอุ้มทารก

“นางหญิงน่ารังเกียจนี่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ!” น้ำเสียงแหบกระด้างดังขึ้น บุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่หยาบกร้านผู้หนึ่งแหวกฝ่าผู้คนออกมา ชี้ไปยังดรุณีชุดขาวพร้อมกับเอ็ดตะโรว่า “หากรู้สถานการณ์ก็รีบวางเยียนอิ๋งโจวลงแล้วไสหัวไปให้ห่าง! นาง…อ๊อก…”

เขายังกล่าวไม่ทันสิ้นคำ คนทั้งหมดก็เห็นแสงสีเขียวสาดวาบ ตามด้วยเสียงเพียะดังก้อง ปากของเขาถึงกับโดนใบไม้ใบหนึ่งอุดไว้อย่างแน่นหนา

“เสียงของเจ้าฟังแล้วฝืดหูเหลือเกิน ข้าไม่ชมชอบฟังเจ้าพูด” ดรุณีชุดขาวทางหนึ่งถือโอกาสพาดเยียนอิ๋งโจวไว้บนกิ่งไม้ ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “อีกอย่างลมปากเจ้าก็เหม็นนัก ยังคงหุบปากไว้เป็นการดี”

“พรืด!” มีผู้กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ทว่าติดขัดที่บุรุษร่างใหญ่ทำหน้าถมึงทึง จึงรีบเก็บอาการ

บุรุษร่างใหญ่ข่มกลั้นจนใบหน้าแดงดั่งตับสุกร เขายกมือขึ้นกระชากใบไม้บนปากที่ยังเจ็บชาไม่หายออก ในใจทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล แต่กลับไม่กล้าปริปากอีก จากการกระทำเมื่อครู่ของดรุณีชุดขาวก็เห็นได้แล้วว่าวรยุทธ์ของนางเข้าขั้นเด็ดใบซัดดอกทำร้ายคนถึงชีวิตได้ทันที และที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือเขามองไม่ออกเลยว่านางลงมือเช่นไร พอตาเห็นใบไม้ลอยมาก็ไม่อาจหลบหลีก แพ้ชนะเป็นที่ประจักษ์แล้ว หากมิใช่ผู้อื่นยั้งมือไว้ไมตรี เวลานี้เขาอาจได้ร่วมมรรคาไปกับกงอู๋ตู้แล้ว

ระหว่างคุมเชิงกันนั้น บุรุษท่าทางเยี่ยงวาณิชก็สืบเท้าออกมา เอ่ยเสียงละมุนละม่อมว่า “แม่นางท่านนี้ วันนี้ผู้ที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มิใช่ชนชั้นไร้นาม แม้ว่าแม่นางจะมีวรยุทธ์เลิศล้ำ ทว่าสองหมัดยากต้านรับสี่มือ ฉะนั้นแม่นางมิสู้เดินไปตามทางของตน คิดเสียว่าซื้อน้ำใจพวกข้า วันข้างหน้าหากพบกันยังขุนเขาเขียวธารน้ำใสก็จะได้สะดวกใจ”

“อ้า เถ้าแก่เหอสุภาพอ่อนโยนจริงทีเดียว มิน่าเล่าสำนักคุ้มภัยของท่านถึงกิจการรุ่งเรืองเพียงนั้น” ดรุณีชุดขาวพยักหน้าให้ผู้ท่าทางเหมือนวาณิช แสดงชัดว่ารู้ฐานะคนผู้นี้ “วาจาของท่านชอบด้วยเหตุผลยิ่ง กล่าวได้จับใจข้านัก”

เดิมทีเหอซวินอยู่ในยุทธภพก็ชื่อเสียงระบือไกล จึงไม่รู้สึกหลากใจที่ดรุณีชุดขาวรู้ฐานะของเขา เขาประสงค์เพียงแต่ให้ดรุณีนางนี้จากไปโดยไวก็พอ ต้องทราบว่าเขาผาดโผนในยุทธภพมาทั้งชีวิต ผู้ใดมีฝีมือกี่ชั่งกี่ตำลึง ย่อมมองออกแปดเก้าส่วน ดรุณีชุดขาวนางนี้ยังคงพูดจายิ้มหัวต่อหน้าพวกเขาซึ่งมีคนมากมายได้ คาดว่าคงมั่นใจในวรยุทธ์ของตนเป็นพื้นฐาน ทั้งดูจากการลงมือ นางก็หาใช่ชนชั้นธรรมดา ด้วยเหตุนี้เรื่องมากขึ้นอีกหนึ่งมิสู้เรื่องน้อยลงอีกหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นแก่นสารสำคัญคือห่อผ้าที่เยียนอิ๋งโจวแบกไว้เท่านั้น

“เพียงแต่…” ขณะที่ผู้คนกำลังจะผ่อนลมหายใจนั้นเอง ดรุณีชุดขาวก็โพล่งออกมาอีกสองคำ

“เพียงแต่อันใดรึ” เหอซวินยังคงถามอย่างละมุนละม่อม

“ขอเพียงพวกเจ้าชดใช้ความสูญเสียของข้าได้ ข้าย่อมจากไป” ดรุณีชุดขาวยิ้มกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“เรื่องนี้ง่าย ไม่ทราบแม่นางต้องการเท่าไร” เหอซวินสดับคำนางจบก็ผ่อนลมหายใจ ที่แท้ก็เป็นผู้นิยมในโภคทรัพย์

“ข้าต้องการไม่มากไม่มาย” นางชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว

“หนึ่งร้อยแผ่นเงิน?” เหอซวินถามหยั่งเชิง

ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะ

“หนึ่งพันแผ่นเงิน?” เหอซวินเลิกคิ้วถามอีกครา

ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะอีกคำรบ

“หรือแม่นางต้องการหนึ่งหมื่นแผ่นเงิน?” เหอซวินสูดลมหายใจ นี่ไยมิใช่สิงโตอ้าปาก เรียกราคาสูงเทียมฟ้า?

“มิได้ๆ” ดรุณีชุดขาวถอนใจส่ายศีรษะ

“เช่นนั้นแม่นาง…” นางต้องการเท่าใดกันแน่เหอซวินก็สุดรู้ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเรียกหนึ่งล้านแผ่นเงินได้กระมัง

“เถ้าแก่เหอเป็นผู้ค้าขายเสียจริง ทว่านอกจากวัตถุเช่นเงินทอง ท่านจะเอ่ยถึงอย่างอื่นบ้างมิได้หรือ” ดรุณีชุดขาวเอ่ยพลางม้วนภูษาขาวในมือเล่นไปมา

“ขอแม่นางโปรดแถลงไข” เหอซวินคร้านจะคาดเดาต่อแล้ว

“เฮ้อ!” ดรุณีชุดขาวถอนใจยาวราวกับนึกเสียดายที่เหอซวินไม่อาจเข้าใจเจตนาของนาง “เดิมทีข้ากำลังนอนกลางวันและฝันหวานอยู่ทีเดียว แต่ก็ถูกพวกท่านก่อกวนจนตื่น”

เหอซวินมองนาง ไม่รู้นางต้องการอะไรกันแน่ ส่วนคนอื่นๆ ด้านข้างเริ่มขมวดคิ้วอย่างรำคาญแล้ว

“เดิมทีความฝันถูกขัดจังหวะยังไม่เป็นอันใด แต่ติดอยู่ที่เจ้าความฝันในครั้งนี้…เป็นฝันที่พันปียากจะพานพบ!” ดรุณีชุดขาวพลันเก็บรอยยิ้ม กล่าวจริงจังเป็นนักหนาว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ ข้ากำลังฝันเห็นตัวเองได้รับเชิญจากเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ให้ขึ้นเขาคุนหลุนขุนเขาแห่งเทพเซียนเพื่อลิ้มชิมเมรัยหยกอันเป็นทิพย์ ชมนางอัปสรขับร้องร่ายระบำ อภิรมย์ใจยิ่ง สุดท้ายพระนางยังประทานท้อเซียนจากสระทิพย์ ให้อีกด้วย แต่เมื่อข้ากำลังจะรับท้อเซียน พวกท่านก็บุกเข้ามาขัดจังหวะฝันหวานของข้า ขัดขวางจนข้าไม่ได้รับมา เถ้าแก่เหอ ท่านว่านี่ร้ายแรงหรือไม่เล่า”

“อะไรนะ นางหญิงเหม็นโฉ่น่ารังเกียจ เจ้าแกล้งพวกเราชัดๆ!” หลินไหวได้ยินวาจานี้ก็อดด่าเสียงเกรี้ยวกราดมิได้

“จุ๊ๆ” ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะมองหลินไหว ใบหน้าผุดแววขบขันอีกครา “ข้าแกล้งพวกท่านที่ใดกัน ข้าจริงจังมากเชียวนะ ต้องทราบว่าท้อเซียนสระทิพย์นี้ไม่ใช่ธรรมดา กินแล้วเป็นอมตะไม่แก่ไม่เฒ่า ได้เข้าสู่ทำเนียบเซียน ท่านว่านี่เป็นสิ่งที่คนมากน้อยเพียงไรเฝ้าปรารถนาแม้ในยามนิทรา แต่เพราะพวกท่านกระทำจนข้ามิได้กิน ความสูญเสียนี้ใหญ่หลวงตั้งเท่าใด! ฉะนั้นย่อมต้องชดใช้ให้ข้า!”

“หรือแม่นางต้องการให้เราชดใช้ท้อเซียนจากสระทิพย์ให้?” เหอซวินสีหน้าแปรเปลี่ยน เผยแววคดโกงโหดเหี้ยมออกมาหลายส่วน

“แน่นอน!” ดรุณีชุดขาวสะบัดมือหนึ่งครา ภูษาขาวก็พลิ้วไหวในอากาศเป็นรูปท้อผลหนึ่ง “ขอเพียงพวกท่านชดใช้ท้อเซียนจากสระทิพย์ให้ข้า ข้าจะจากไปทันที ส่วนเยียนอิ๋งโจวผู้นี้…” ลูกตานางกลอกกลิ้ง มองเยียนอิ๋งโจวที่หมดสติแวบหนึ่ง “หรือป้ายขั้วกาฬอะไรนั่น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”

เมื่อสดับวาจาสุดท้ายของนางแล้ว ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นก็พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องดรุณีชุดขาวอย่างพร้อมเพรียง ในแววตามีเจตนาสังหารเร้นอยู่

“เห็นทีแม่นางหมายใจจะยุ่งเรื่องผู้อื่นไว้แล้ว” เหอซวินสีหน้าเย็นเยียบ มือขวาลอบกุมอาวุธลับชิ้นหนึ่งไว้อย่างเงียบเชียบ “ทว่าข้าผู้แซ่เหอขอเกลี้ยกล่อมแม่นางสักคำ วันนี้ ณ ที่แห่งนี้รวมวีรบุรุษจากแคว้นต่างๆ ไว้แทบจะพร้อมหน้า ทันทีที่แม่นางข้องเกี่ยวก็จะล่วงเกินหกแคว้นจนครบถ้วน ใต้หล้าแม้ไพศาล แต่เกรงว่ากาลข้างหน้าแม่นางก็จะไร้ซึ่งสถานซ่อนกายแล้ว!”

“วีรบุรุษจากนานาแคว้นมาอยู่อย่างพร้อมหน้า ช่างเป็นเกียรติโดยแท้” ดรุณีชุดขาวฟังแล้วกลับยังยิ้มระรื่น “ทว่าข้าผู้นี้แต่ไรมาก็แยกแยะไข่มุกกับตาปลาได้ไม่ใคร่จะชัด ดังนั้นจึงมองไม่ออกจริงๆ ว่าท่านทั้งหลายเหมือนวีรบุรุษตรงไหน ด้วยวิธีการของพวกท่าน เรียกว่าตาขาวกลับเหมาะเจาะเหมาะสมแก่ตัวกว่าเป็นไหนๆ”

“เจ้า!” ถึงเหอซวินจะอารมณ์เย็นเพียงไรแต่ก็กลั้นแรงโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว เดิมทีเขาหลงนึกว่าหว่านล้อมสักคำรบหนึ่ง ไม่ว่าดรุณีผู้นั้นจะมีวรยุทธ์สูงล้ำแข็งกล้าปานใดก็ควรจะเกิดความหวั่นเกรงสักสองสามส่วน ผู้ใดจะรู้ว่านางจะเห็นวีรบุรุษทั้งหกแคว้นอยู่ในสายตาสักนิดก็หาไม่ กลับออกปากถากถาง เมื่อเหอซวินเห็นผู้คน ณ ที่นั้นโทสะพลุ่งพล่านก็ไม่เอ่ยมากความอีก ฝ่ามือซ้ายทาบอาวุธ คิดรวมแรงคนหมู่มากเข้าทำร้ายคนผู้นี้ให้ถึงตายในครั้งเดียว

บนเส้นแบ่งแห่งความคับขันนั้น ทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาวที่นิ่งเงียบอยู่นานนับแต่ดรุณีชุดขาวปรากฏกายขึ้นก็พลันส่งเสียง “ไม่ทราบว่าคือจอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิงใช่หรือไม่”

ดรุณีชุดขาวยินดังนั้นก็กะพริบตา มองไปทางทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาว “เจ้ารู้จักข้า?” ถือเป็นการยอมรับว่าตนคือ ‘จอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิง’ ที่เขากล่าว

ทหารเสื้อคลุมขาวจ้องกลางหน้าผากนางเขม็ง ตำแหน่งนั้นมีหยกหิมะทรงเดือนเสี้ยวร้อยไว้ด้วยมุกดำขนาดเท่าเมล็ดข้าวห้อยอยู่ เขาลดทวนเงินลง แสดงคารวะอย่างนบนอบ “ ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ’ ไป๋เฟิงซี ใต้หล้าต่างรู้ดี มิพักต้องเอ่ยถึงข้าน้อย”

ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมาผู้คนล้วนสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเหอซวิน เขาอดยินดีมิได้ที่เมื่อครู่อาวุธลับในมือตนยังมิได้ซัดออก หาไม่แล้ว…แร่สารหนูจำนวนนั้นได้มีอันหวนคืนสู่ร่างเขาทั้งหมดแน่

ต้องทราบว่าบัดนี้ผู้ที่มีนามกระเดื่องที่สุดในยุทธภพก็คือเฟิงซีและเฟิงซี เนื่องจากชื่อของทั้งสองพ้องเสียงกัน สับสนได้ง่าย ชาวยุทธ์จึงเรียกขานตามการแต่งกายของพวกเขา โดยเรียก เฟิงซี ผู้นี้ว่า ‘ไป๋เฟิงซี’ (เฟิงซีขาว) เรียกอีกเฟิงซี ว่า ‘เฮยเฟิงซี’ (เฟิงซีดำ) และเรียกรวมกันเป็น ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ พวกเขามีชื่อเสียงมาเกือบสิบปีแล้ว ต่างก็เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในปัจจุบัน เดิมทีหลงนึกว่าต่อให้ไม่สูงวัยนัก อย่างน้อยก็ต้องราวสามสิบสี่สิบ กลับไม่เคยคาดคิดเลยว่าไป๋เฟิงซีจะถึงกับเป็นหญิงสาวอ่อนวัยรูปโฉมหมดจดงามตาเพียงนี้ ยิ่งไม่คาดคิดว่านางจะมาปรากฏตัวที่นี่

“ฮิๆ เจ้าไม่ต้องมีมารยาทเช่นนี้หรอก หากพวกเจ้าชดใช้ให้ข้าพอใจมิได้ ไม่แน่ว่าภูษาขาวผืนนี้ของข้าอาจพันอยู่รอบคอเจ้าก็ได้” ไป๋เฟิงซีนั่งบนกิ่งไม้ ขาทั้งสองแกว่งซ้ายทีขวาที เส้นผมยาวสลวยด้านหลังก็ไหวน้อยๆ ตามแรงโยกของนาง “เห็นเจ้าถือทวนเงิน คงเป็น ‘ขุนพลทะลวงเมฆา’ เหรินชวนอวิ๋นแห่งยงโจวผู้นั้นกระมัง”

“เป็นชวนอวิ๋นมิผิด” เหรินชวนอวิ๋นยังคงตอบอย่างนอบน้อม จากนั้นถึงถามว่า “จอมยุทธ์เฟิงก็สนใจป้ายขั้วกาฬเช่นกันหรือ”

“ข้าไม่สนป้ายขั้วกาฬ” ไป๋เฟิงซีส่ายศีรษะ “แค่ว่าเยียนอิ๋งโจวผู้นี้ต้องอัธยาศัยข้าเป็นที่สุด จะให้เขาจบชีวิต ณ ที่นี้ก็น่าเสียดาย ฉะนั้นข้าจึงคิดจะพาเขาไป” น้ำเสียงนางไม่อินังขังขอบ ราวกับการนำตัวเยียนอิ๋งโจวไปไม่ผิดอะไรกับฉวยก้อนกรวดข้างทาง วีรบุรุษหกแคว้นเสมือนหนึ่งไร้ตัวตนในสายตานาง

“ผายลม! เจ้ากล่าวว่าเพื่อเยียนอิ๋งโจว แต่ที่แท้ยังมิใช่เพื่อป้ายขั้วกาฬชิ้นนั้นบนร่างมันหรอกหรือ! ข้ออ้างพรรค์นี้หลอกเด็กสามขวบยังพอทำเนา ทว่าต่อหน้าข้าก็เก็บเอาไว้เถิด!” บุรุษฉกรรจ์หนวดเคราเฟิ้มผู้หนึ่งได้สดับแล้วก็อดออกปากผรุสวาทมิได้

ต้องทราบว่าทุกผู้ทุกนามที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนแล้วแต่มาเพื่อป้ายขั้วกาฬทั้งสิ้น บ้างประสงค์ครอบครองเอง บ้างถูกซื้อด้วยทองมหาศาลให้มา บ้างทำตามบัญชาอ๋องแคว้นต่างๆ ป้ายขั้วกาฬคือวัตถุสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า ประโยคเดียวที่ว่า ‘ผู้ได้ครองป้ายได้ครองแผ่นดิน’ ชักนำให้คนเหลือคณานับปรารถนานำมาเป็นของตน แก่งแย่งกันอย่างเกรงว่าจะถูกทิ้งให้รั้งอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ตนไม่อาจบัญชาทั่วหล้า ทว่าอ๋องแห่งแคว้นทั้งหกผู้ใดบ้างไม่ประสงค์จะเป็นนายแห่งสายน้ำและขุนเขาหมื่นลี้ผืนนี้ ขอเพียงถวายหรือขายป้ายขั้วกาฬให้เจ้าแคว้นคนใดก็ตาม ยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์ศฤงคารย่อมติดตามมา

“ปากเหม็นยิ่งนัก!”

ไป๋เฟิงซีกล่าวเรียบๆ จากนั้นประกายสีเขียวก็วูบผ่าน พุ่งตรงไปยังบุรุษฉกรรจ์หนวดเคราเฟิ้ม บุรุษผู้นั้นเห็นใบไม้ลอยมาก็คิดจะหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ทว่ายังไม่ทันขยับ ใบไม้ก็ปิดเพียะลงบนปากแล้ว ฉับพลันนั้นอาการเจ็บปวดรุนแรงก็เข้าจู่โจมจนเขานึกอยากร้องหาบิดาเรียกหามารดร แต่กลับทำได้เพียงส่งเสียงอือๆ ในลำคอ

“กงจื่อ ของข้าใคร่อยากได้ป้ายขั้วกาฬ ไม่ทราบจอมยุทธ์เฟิงจะอนุญาตให้ข้าหยิบเอาจากร่างเยียนอิ๋งโจวได้หรือไม่” เหรินชวนอวิ๋นประหนึ่งไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่เอ่ยถามไป๋เฟิงซีเท่านั้น

“อันใดกันนี่ หลันซีกงจื่อก็ประสงค์เป็นนายแห่งใต้หล้าด้วย?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ มองเขาด้วยอาการคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวต่อโดยไม่รอเขาตอบว่า “แต่ป้ายขั้วกาฬนี้คือวัตถุซึ่งเยียนอิ๋งโจวยอมตายก็จะรักษาไว้ให้ได้ ข้าว่ายังคงให้เขาเก็บเอาไว้เถิด”

“หากเอ่ยเช่นนี้ จอมยุทธ์เฟิงไม่เห็นด้วยให้ข้านำไป?” เหรินชวนอวิ๋นหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย เผลอกระชับมือที่กุมทวนเงินโดยมิรู้ตัว

“อันใดกันนี่ เจ้าคิดฉวยเอาด้วยกำลังรึ” ไป๋เฟิงซีกวาดตามองเหรินชวนอวิ๋นเรียบๆ ไม่เห็นนางเคลื่อนไหว ทว่าภูษาขาวในมือพลันร่ายระบำราวกับมีชีวิต ดูคล้ายมังกรขาวตัวหนึ่งที่ส่ายไหวร่างกายกลางเวหาอย่างลำพอง พริบตานั้นคนทั้งปวงก็สัมผัสได้ถึงรังสีคมปลาบและอหังการประหนึ่งจะพลิกภูผาคว่ำสมุทรกดทับลงมาและโอบล้อมพวกเขาไว้ ทำให้ผู้คนไร้หนทางขยับเขยื้อน พวกเขาจำต้องเดินลมปราณต้านทาน ทว่าเมื่อ ‘มังกรขาว’ นั้นส่ายไหวหนึ่งครา รังสีก็รุนแรงขึ้นหนึ่งส่วน ไม่มีผู้ใดไม่ขบฟันแน่น ฝืนต้านรับสุดชีวิต ในใจล้วนกระจ่างแจ้งว่าหากปล่อยให้รังสีนี้กดทับ ถึงไม่อาสัญก็เหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว!

เหรินชวนอวิ๋นใช้ทวนเงินยันเบื้องหน้าไว้มั่น คมทวนเล็งสูงเข้าใส่ภูษาขาว ดวงตาจับนิ่งไม่กะพริบอยู่ที่ผืนผ้าซึ่งร่ายระบำกลางอากาศ เขารวบรวมพละกำลังทั่วร่างมาไว้ที่แขนทั้งสอง ทว่าแรงกดยิ่งมาก็ยิ่งหนักหน่วง ปลายทวนไหวริกๆ อย่างต้านไม่อยู่ มือทั้งสองที่จับทวนก็ปวดจนแทบชา ขาทั้งสองสั่นเล็กน้อย จวนเจียนจะต้านไม่ไหว ใกล้ล้มพับลงไปกับพื้นอยู่รอมร่อ…

ทันใดนั้นภูษาขาวก็ม้วนเกลียวแล้วร่วงลงอย่างแผ่วเบา คนทั้งหมดรู้สึกว่าทั่วร่างผ่อนคลาย ลมหายใจที่กลั้นไว้ในอกก็พ่นออกมาได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ตามมาคือทั้งกายไร้เรี่ยวแรง อ่อนเปลี้ยจนคิดเพียงแต่จะล้มตัวลงกับพื้นแล้วหลับไป

ทางด้านเหรินชวนอวิ๋น เมื่อแรงกดผ่อนลงก็รู้สึกลำคอหวานเฝื่อน จึงรีบกลืนลงไป ใจรู้ว่าตนบาดเจ็บภายในเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิงซีเยาว์วัยแต่กลับมีกำลังภายในสูงส่งล้ำลึกขั้นนี้ ยังมิทันลงมือจริงก็กำราบทุกคนในที่นี้ได้ เคราะห์ดีเพียงอย่างเดียวก็คือที่สุดแล้วนางยังยั้งมือไว้ไมตรี หาได้เอาชีวิตไม่

“ข้าคิดจะพาเยียนอิ๋งโจวไป พวกท่านเห็นด้วยหรือไม่” ข้างหูมีเสียงราบเรียบของไป๋เฟิงซีดังขึ้นอีกครา

ในใจผู้คนย่อมไม่ยินยอม แต่กลับหวั่นเกรงวรยุทธ์ของนางจึงไม่กล้าอ้าปาก

“จอมยุทธ์เฟิง ตามสะดวก” เหรินชวนอวิ๋นปรับลมหายใจ ลดทวนเงินลงแล้วนำผู้ติดตามกระโดดออกนอกวงไป

“อันใดกันนี่ ไม่ชิงป้ายขั้วกาฬแล้วหรือ” ไป๋เฟิงซีมองเขาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่แจ่มใสกระจ่างจ้าประหนึ่งสามารถทะลวงผ่านจิตวิญญาณและอ่านความคิดทั้งหมดของเขาทะลุได้

เหรินชวนอวิ๋นกลับยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “กงจื่อเคยรับสั่งว่าหากพบไป๋เฟิงเฮยซี อวี้อู๋หยวนกงจื่อ หวงเฉากงจื่อแห่งจี้โจว และซีอวิ๋นกงจู่* แห่งชิงโจว ไม่เอ่ยเรื่องแพ้ชนะ ขอแค่ถอนตัวออกมาได้อย่างครบสมบูรณ์ก็นับเป็นความชอบ”

“กระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีโบกมือ ภูษาขาวยาวผืนนั้นก็ลอยกลับสู่แขนเสื้อทันควัน “หลันซีกงจื่อให้เกียรติพวกเราถึงขนาดนั้นเชียว”

“กงจื่อเคยตรัสว่าห้าคนนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรเป็นสหายหรือศัตรูของพระองค์” เหรินชวนอวิ๋นเหลือบมองไป๋เฟิงซีคราหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้มราวกับมีความนัยลึกล้ำอย่างอื่นอยู่ “หากในภายภาคหน้าจอมยุทธ์เฟิงมีวาสนาเยือนยงโจว กงจื่อจะต้องทรงลาดแพรไหมสิบลี้มาต้อนรับเป็นแน่”

ในต้าตง การปูลาดแพรไหมยาวสิบลี้เป็นพิธีการอันเอิกเกริกที่สุดที่บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นใช้ต้อนรับซึ่งกันและกัน ต่อให้ไป๋เฟิงซีมีวรยุทธ์ฉกาจฉกรรจ์กว่านี้ ระบือนามกว่านี้ กล่าวกันถึงที่สุดก็เป็นเพียงสามัญชนผู้หนึ่ง อย่างไรเสียก็ไม่พอให้ซื่อจื่อ แห่งแคว้นหนึ่งๆ รับรองด้วยพิธีการนี้ ตริตรองดูแล้ววาจานี้ของเหรินชวนอวิ๋นก็เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาทเท่านั้น

“แพรไหมสิบลี้อย่างนั้นหรือ เกรงว่าจะกลายเป็นค่ายกระบี่สิบลี้เสียมากกว่า” ไป๋เฟิงซีสดับคำเช่นนี้ก็ไม่หวั่นไหว สีหน้ายังคงสงบราบเรียบ “ส่วนเจ้า ถ้าเมื่อครู่ไม่ทดสอบสักคราบัดนี้ก็ไม่คิด ‘ถอนตัวอย่างครบสมบูรณ์’ กระมัง”

เหรินชวนอวิ๋นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ชวนอวิ๋นได้ยินกงจื่อตรัสอยู่ประจำว่าทั้งห้าท่านคือยอดฝีมือแห่งยุค แต่ไร้วาสนาพบพานมาตลอด วันนี้มีโชคได้พบจอมยุทธ์เฟิง ย่อมประสงค์ให้ท่านจอมยุทธ์ชี้แนะสักเล็กน้อยเป็นธรรมดา หากล่วงเกินไปต้องขออภัย”

“กระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยเสียงราบเรียบ ต่อมาก็ถีบร่างอย่างแผ่วเบาขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ ผู้คนที่เบื้องล่างล้วนมีท่าทีระแวดระวัง

ไป๋เฟิงซีกวาดตามองคนทั้งกลุ่ม มุมปากผุดยิ้มบาง จากนั้นถึงมองไปทางเหรินชวนอวิ๋น “หากมิใช่เพราะเจ้ายังเกิดเสียดายวีรบุรุษ เห็นค่าวีรบุรุษอย่างเยียนอิ๋งโจวอยู่บ้าง ด้วยเจตนานั่งรอเก็บผลประโยชน์เป็นชาวประมงเมื่อครู่ของเจ้า ข้าก็จะไม่ชี้แนะแค่ ‘เล็กน้อย’ แล้ว”

“ชวนอวิ๋นขอขอบคุณที่จอมยุทธ์เฟิงยั้งมือไว้ไมตรี” เหรินชวนอวิ๋นค้อมศีรษะกล่าว มืออดกุมทวนเงินแน่นมิได้

“ฮ่าๆ…มีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นเจ้า ก็พอเห็นได้ว่าหลันซีกงจื่อร้ายกาจระดับใด วันหน้าหากมีวาสนาข้าต้องขอคำชี้แนะจากหลันซีกงจื่อด้วยตัวเองแน่” ทันใดนั้นไป๋เฟิงซีก็หิ้วเยียนอิ๋งโจวเหินร่างจากไป ชั่วพริบตาก็หายลับไม่เหลือร่องรอย มีเพียงเสียงซึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ว่า “วันนี้ขอตัวก่อน หากผู้ใดต้องการชิงป้ายขั้วกาฬก็ตามมาเถิด!”

เมื่อเห็นไป๋เฟิงซีไปไกลแล้ว ผู้ติดตามสี่ห้าคนด้านหลังเหรินชวนอวิ๋นก็ถามว่า “ท่านขุนพล จะหยุดเพียงเท่านี้หรือขอรับ”

เหรินชวนอวิ๋นโบกมือห้ามพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ไป๋เฟิงซีมิใช่ผู้ที่ข้าและเจ้าจะสามารถต่อกรได้ กลับไปขอบัญชาจากกงจื่อแล้วค่อยว่ากัน”

“ขอรับ”

“พวกเราไปกันเถิด” เหรินชวนอวิ๋นไม่อำลาผู้อื่นก็นำผู้ใต้บังคับบัญชาหมุนร่างจากไป

รอจนเขาจากไปแล้ว คนทั้งหลายในป่าก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าจะแยกย้ายหรือจะไล่ตามไปอย่างกะทันหัน

สุดท้ายเหอซวินก็ประสานหมัด เอ่ยว่า “ทุกท่าน ผู้แซ่เหอขอตัวก่อน ป้ายขั้วกาฬจะชิงจากมือไป๋เฟิงซีได้หรือไม่ ให้ขึ้นกับโชคของพวกเราเถิด”

สิ้นคำก็หมุนกายจากไป ส่วนคนที่เหลือเห็นเขาไปแล้ว ครู่เดียวก็แยกย้ายดั่งนกแตกรัง เหลือไว้แค่เจิงฝู่ซึ่งมือทั้งสองข้างขาดสะบั้น ล้มสิ้นใจอยู่ในป่ากับร่างไร้วิญญาณอีกร่างสองร่าง

 

อาทิตย์ไขแสง จันทร์ลาลับ วันใหม่เริ่มขึ้นอีกครา

ทิวากาลเริ่มถักทอ บนม่านฟ้าเหลือเดือนเสี้ยวเว้าแหว่งอยู่รำไร มันลดรัศมีอันเรืองรองลงแล้ว ท่ามกลางแสงอรุโณทัยอ่อนจาง หมอกบางเบาปกคลุมยอดคีรีอันแหลมชันดุจปลายพู่กันของภูเขาเซวียนซาน ขับให้ทิวทัศน์แห่งขุนเขาสง่างามปานภาพวาด

ณ ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาทางทิศเหนือของเขาเซวียนซาน เสียงครางทุ้มต่ำที่เบาเป็นที่สุดดังขึ้น นั่นคือเสียงของบุรุษผู้ฟุบอยู่ในถ้ำเปล่งออกมา หลังจากส่งเสียงครางเบาๆ แล้ว บุรุษผู้นั้นก็ลืมตาเหลือบมองรอบกายก่อน ต่อมาจึงหยัดกายขึ้น ทว่าเพิ่งยันแขนทั้งสองก็มีอันต้องเปล่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงสตรีใสกังวานหากเจือแววเกียจคร้านดังขึ้น

บุรุษมองตามต้นเสียง เห็นปากถ้ำมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งหันออกนอกถ้ำ หวีจัดแต่งผมยาวอันดำขลับ แม้แสงจะสลัว ทว่ายามหวีสางผ่าน ผมดำสลวยนั้นก็ทอประกายเป็นสีน้ำเงินเข้ม

“เจ้าคือผู้ใด” บุรุษออกปากถาม ทันทีที่ส่งเสียงก็พบว่าคอทั้งแหบทั้งเฝื่อน

“เยียนอิ๋งโจว กับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไยทำกิริยาเยี่ยงนี้เล่า” สตรีที่ปากถ้ำลุกขึ้นพร้อมกับผินกายก้าวมาหาเขา ในมือถือหวีไม้ นางยังคงประคองผมปอยหนึ่งไว้ที่อก หวีๆ หยุดๆ

“เจ้าช่วยข้าไว้?” เยียนอิ๋งโจวย้อนถาม จากนั้นก็นึกถึงทวนเงินที่แหวกอากาศก่อนหมดสตินั่น ฉับพลันนั้นก็กระหวัดจิตถึงสิ่งสำคัญยิ่งกว่า จึงลนลานวาดมือไปด้านหลัง ทว่าจะคลำพบสิ่งใดก็หามิได้ กลับกลายเป็นสัมผัสถูกปากแผลเข้า สร้างความร้าวระบมขึ้นระลอกหนึ่ง และบัดนี้เองถึงพบว่าร่างครึ่งบนของตนเปลือยเปล่า ไม่มีเครื่องสวมใส่ใดๆ ท่อนล่างก็เหลือเพียงกางเกงชั้นในชิ้นเดียว

“เจ้าหาสิ่งนั้นอยู่หรือ” มือของสตรีชี้ไปยังเบื้องซ้ายของเขา ตำแหน่งนั้นมีเศษผ้ากองอยู่ บนผ้ายังย้อมด้วยคราบเลือดซึ่งแห้งกรังแล้ว ข้างกองผ้ามีห่อผ้าวางอยู่ “วางใจเถิด ข้ามิได้ทำมันตกหล่นและมิได้แตะต้องมันด้วย” สตรีผู้นั้นเสริมอีกประโยคประหนึ่ง อ่านความคิดของเขาออก

เยียนอิ๋งโจวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองนาง ตอนนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่าสตรีผู้นี้มีดวงหน้าใสกระจ่างหมดจดอย่างวิเศษ กลางหน้าผากห้อยไว้ด้วยหยกหิมะทรงจันทร์เสี้ยวชิ้นหนึ่ง บนร่างสวมอาภรณ์หลวมๆ สีขาว ผมดำยาวปล่อยสยายมิได้รวบเก็บ ทั่วทั้งร่างปลอดโปร่งผ่อนคลายเป็นธรรมชาติอย่างพรรณนาไม่ถูก

“ไป๋เฟิงซี?” เยียนอิ๋งโจวมองเครื่องตกแต่งอันเป็นหยกหิมะทรงจันทร์เสี้ยวกลางหน้าผากนาง

“มิใช่เฮยเฟิงซี” ไป๋เฟิงซีพยักหน้ายิ้มแย้ม “สี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณแห่งจี้โจวล้วนแต่ไม่กริ่งเกรงความตายเช่นเจ้าหรือไม่ เมื่อคืนข้านับดูแล้ว เว้นเสียจากแผลเป็นเก่าเหล่านั้น บนร่างเจ้ามีบาดแผลทั้งสิ้นสามสิบแปดแห่ง ถ้าเป็นคนธรรมดาถึงไม่ตายอย่างน้อยก็ต้องสลบสักสามวันห้าวันกระมัง แต่เจ้าไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังสลบแค่คืนเดียวก็คืนสติ ดูไปแล้วอาการก็ไม่เลวอีกด้วย”

“เจ้า…นับรอยแผล?” เยียนอิ๋งโจวถามด้วยสีหน้าชอบกล พร้อมกับนึกถึงสภาพการแต่งกายของตนในขณะนี้

“ใช่น่ะสิ ร่างของเจ้าข้านับโดยตลอดถ้วนทั่วทั้งสรรพางค์แล้วรอบหนึ่ง” ไป๋เฟิงซีก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เก็บหวีในมือแล้วตรวจตราสีหน้าเขาอย่างนึกสนุก “ต้องรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บภายนอกมากมายถึงเพียงนั้น ข้าต้องห้ามเลือดและใส่ยาให้ ย่อมได้เห็นบรรดาแผลเหล่านั้นแน่นอน ดังนั้นจึงถือโอกาสนับเสียหน่อย อีกอย่างเสื้อผ้าของเจ้าก็กลายเป็นผ้าขาดกองหนึ่งไปแล้ว ข้าจึงถือวิสาสะปลดออกเสียเลย จะได้ไม่เกะกะเวลาข้าใส่ยาให้เจ้า”

วาจานางยังกล่าวไม่ทันจบ เยียนอิ๋งโจวก็โลหิตสูบฉีด ใบหน้าร้อนผะผ่าว

“อา เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงแดงเช่นนี้ หรือจับไข้เข้าแล้ว” ไป๋เฟิงซีมองเยียนอิ๋งโจว แสร้งร้องทักอย่างประหลาดใจ ซ้ำร้ายยังยื่นมือมาทาบหน้าผากเขาอีกด้วย

มือเย็นเยียบนั้นเพิ่งแตะถูกหน้าผาก เยียนอิ๋งโจวก็สะดุ้งถอยกรูดทันควันด้วยความแตกตื่น “เจ้าอย่าแตะต้องตัวข้า!”

“หือ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองดูเขา “หรือว่าเจ้ามิได้จับไข้ แต่หน้าแดงเพราะขวยเขิน? อายเพราะข้าเอาร่างของเจ้ามาจ้องมาสัมผัสโดยตลอดถ้วนทั่วทั้งสรรพางค์?”

เยียนอิ๋งโจวสดับคำก็รู้สึกว่าโลหิตทั้งหมดในร่างล้วนแต่ฉีดทะลักมาบนใบหน้า ทว่าพอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าไป๋เฟิงซีแล้วก็กลับไร้ซึ่งคำโต้แย้ง ครึ่งค่อนวันให้หลังจึงออกปากอย่างติดจะหัวเสียว่า “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง…ไฉนจึง…จึง…เพียงนี้…” คำพูดหลังอึกอักอ้ำอึ้ง เอ่ยไม่ออก

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินแล้วก็ระเบิดหัวเราะลั่น ไร้เศษเสี้ยวความนุ่มนวลและสำรวมซึ่งสตรีพึงมี นางหัวเราะอย่างผ่อนคลายเป็นธรรมชาติยิ่ง “ข้าเป็นอันใด ฮ่าๆ…ก่อนหน้านี้เจ้าต้องไม่เคยพบสตรีเช่นข้ามาก่อนเป็นแน่”

ครั้นถูกเสียงหัวร่อดังลั่นของไป๋เฟิงซีทิ่มแทงเข้า เยียนอิ๋งโจวก็อดไม่ได้ที่จะออกปากว่า “หากสตรีในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นเจ้า คง…” วาจาตอนท้ายกลับกลืนลงไป เดิมทีเขาก็พูดไม่เก่ง ทั้งเนื้อแท้เปิดเผยซื่อตรง จึงไม่อาจหักใจกล่าวคำล่วงเกินผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตรงหน้าได้

“หากล้วนเป็นอันใดเหมือนข้าหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เฟิงซีแฝงแววขบขันรุนแรง ใบหน้าฉายแววสนุกสนานออกมาสามสี่ส่วน “ที่จริงบุรุษเช่นเจ้าข้าก็เคยพบมาบ้าง ถูกข้าเห็นถูกข้าลูบคลำเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ยิ่งกว่านั้นข้าเองก็หาได้จงใจมองเจ้าลูบคลำเจ้าเสียเมื่อไร รู้ไว้ด้วยว่าข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่”

เมื่อโดนไป๋เฟิงซีทิ่มแทงด้วยคำก็มองสองคำก็ลูบคลำ ใบหน้าของเยียนอิ๋งโจวที่โลหิตทำท่าจะจางลงก็สูบฉีดกลับมาอีกครา

“อ้าว เจ้าหน้าแดงอีกแล้ว!” ไป๋เฟิงซีร้องเอะอะคล้ายพบเรื่องสนุก “หรือว่า…” นัยน์ตานางกลอกกลิ้ง ยิ้มอย่างมีเลศนัยถึงสิบส่วน “หรือว่าเจ้าไม่เคยถูกสตรีมองถูกสตรีลูบคลำมาก่อนเลย อ้า หน้าแดงหนักกว่าเก่าแล้ว! หรือข้าพูดแทงใจดำจริงๆ? โถๆ ไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ขุนพลวายุกล้าอย่างเจ้าเป็นวีรบุรุษนามระบือ ดูอายุก็ควรจะใกล้สามสิบแล้วกระมัง แต่ถึงกับไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน? จิ๊ๆ ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์แห่งใต้หล้าโดยแท้!”

ใบหน้าเยียนอิ๋งโจวแดงก่ำจนแข่งได้กับแสงเงินแสงทองยามเช้า หลังจากนิ่งอั้นอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายจึงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคว่า “ไป๋เฟิงซีเป็นเช่นนี้หรอกหรือ” จอมยุทธ์หญิงผู้มีชื่อเสียงระบือลือเลื่องทั่วยุทธภพ เหตุใดพฤติกรรมและวาจาถึงไร้กรอบเกณฑ์เช่นนี้

“ใช่แล้ว ข้าก็เป็นเยี่ยงนี้” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะแล้วขยับเข้าใกล้เขา “ทำให้ท่านขุนพลผิดหวังใช่หรือไม่”

เยียนอิ๋งโจวเห็นนางเข้ามาใกล้ก็สะดุ้งเฮือก ถอยหลังโดยพลัน ผู้ใดจะรู้ว่าการขยับครั้งนี้จะกระเทือนถึงบาดแผลทั่วร่าง “โอย!” เขาสูดปากเป็นการใหญ่อย่างห้ามมิได้

“เจ้าอย่าขยับสิ!” ไป๋เฟิงซีเร่งกดร่างเขาไว้ “ข้าใช้ยาสมานแผลที่มีติดตัวจนหมดเกลี้ยงกว่าจะห้ามเลือดเจ้าได้ แต่ตอนนี้แผลปริอีกแล้ว” สายตานางกวาดทั่วกายเขา แล้วก็พลันหยุดอยู่ที่ชายโครง ตำแหน่งนั้นถูกพัดเหล็กของกงอู๋ตู้ทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้ ยามนี้โลหิตที่ไหลออกมาถึงกับเป็นสีดำ

“บนพัดของกงอู๋ตู้มีพิษ แม้ว่าเมื่อวานข้าจะช่วยดูดโลหิตพิษออกมาไม่น้อย แต่เห็นทีพิษยังออกไม่หมด บนร่างเจ้ากับข้าก็ล้วนไม่มียาแก้พิษ คราวนี้จะทำเช่นไรดี” ไป๋เฟิงซีขมวดหัวคิ้วมุ่นขณะเอ่ยคำ

“เจ้าช่วยดูดโลหิตพิษให้ข้า?” เยียนอิ๋งโจวได้ยินก็อึ้งไป สายตามองไปยังริมฝีปากนาง พลันรู้สึกว่าบาดแผลที่ชายโครงร้อนดังเพลิงแผดเผา

“หากไม่ช่วยดูดพิษให้เจ้า เกรงว่าเมื่อคืนเจ้าก็คงตายไปแล้ว” ไป๋เฟิงซีกลับไม่ทันสังเกตอาการของเขา นางหมุนร่างก้าวไปยังปากถ้ำ หิ้วถุงหนังบรรจุน้ำและผลไม้ป่าสองสามผลกลับมา “เจ้าหิวแล้วกระมัง กินผลไม้รองท้องสักหน่อยก่อน ข้าจะลงเขาไปหายาให้ จะได้ถือโอกาสหาเสื้อผ้ามาให้เจ้าด้วย” นางยื่นถุงน้ำกับผลไม้ให้เขาแล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อวานคนเหล่านั้นต้องยังไม่ถอดใจกับป้ายขั้วกาฬเป็นแน่ อาจจะยังค้นหาอยู่บนเขานี้ เจ้าอย่าเที่ยวเพ่นพ่านไปไหน หากพวกเขามาก็ซ่อนตัวก่อน แล้วข้าจะมาหาเจ้าเอง” สิ้นคำนางก็หมุนร่างจากไป

พอเงาร่างของไป๋เฟิงซีจวนจะหายลับไปจากปากถ้ำ เยียนอิ๋งโจวก็อดร้องมิได้ว่า “ช้าก่อน!”

ไป๋เฟิงซีชะงักแล้วผินร่างมา “ยังมีอันใดอีก”

“เจ้า…เจ้า…ข้า…เอ่อ…” เยียนอิ๋งโจว ‘เอ่อ’ อยู่เป็นนาน กลับไม่อาจปริปากออกมาได้ อัดอั้นจนใบหน้าแดงก่ำไปด้วยสีโลหิต

“เจ้าคิดขอบคุณข้า? อยากบอกให้ข้าระวังตัวให้มาก?” ไป๋เฟิงซีคาดเดา ครั้นเห็นท่าทางของเขาก็นึกขัน “เยียนอิ๋งโจว ตำแหน่งขุนพลวายุกล้าของเจ้านี้ได้มาด้วยหนทางใดกัน ไฉนอึกอักนัก นี่ ข้าช่วยเจ้าไว้ ทั้งเห็นร่างกายเจ้าจนทั่ว เจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบความบริสุทธิ์เจ้าหรืออย่างไร จะใช้ร่างกายตอบแทนพระคุณที่ข้าช่วยชีวิตกระนั้นหรือ”

“เจ้า…” เยียนอิ๋งโจวถลึงตาใส่ไป๋เฟิงซี เอ่ยวาจาใดไม่ออก

ชื่อเสียงเขาลือเลื่องตั้งแต่อายุยังน้อย นิสัยเงียบขรึมเข้มงวดจริงจัง ในจี้โจวมีฐานะเป็นผู้นำแห่งสี่ขุนพล ซื่อจื่อเห็นค่าความสามารถของเขาอย่างยิ่ง สหายในการงานเคารพเขาสิบส่วน ผู้ใต้บังคับบัญชาน้อมฟังคำสั่งเป็นเด็ดขาด ยามใดเล่าจะเคยพบสตรีผู้มีวาจาและพฤติกรรมไร้กรอบเกณฑ์เฉกเช่นไป๋เฟิงซีมาก่อน

“ฮ่าๆ…ท่านขุนพลวายุกล้าผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย…น่าสนุกเป็นที่สุดแล้ว” ไป๋เฟิงซีระเบิดหัวเราะอีกคำรบอย่างกลั้นไม่อยู่ “พวกเจ้าสี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณล้วนแต่น่าสนุกเยี่ยงนี้หรือไม่ เช่นนั้นวันหน้าข้าจะต้องไปเที่ยวจี้โจวให้จงได้” นางหัวเราะไปพลางเดินออกนอกถ้ำไปพลาง เมื่อถึงปากถ้ำก็พลันผินหน้ากลับมามองเขา รอยยิ้มบนดวงหน้าเจิดจ้ายวนตาเหนือกว่าตะวันที่เพิ่งไขแสงนอกถ้ำ แสงเงินแสงทองที่เบื้องหลังนางก็ทำให้เยียนอิ๋งโจวดวงตาพร่าลายจิตใจสั่นไหวในพริบตา “เยียนอิ๋งโจว สุดท้ายนี้ขอบอกอะไรเจ้าสักหน่อย นั่นก็คือ…บนร่างเจ้าแม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เรือนร่างก็ยังชวนมองนัก! ฮ่าๆๆ…”

ว่าแล้วนางก็หัวเราะร่าจากไป ทิ้งท่านขุนพลเยียนผู้ยิ่งใหญ่ที่หน้าแดงฉานไปถึงใบหูไว้ในถ้ำ ผู้แค้นที่ไม่อาจขุดรูบนพื้นให้มุดเข้าไปได้

บทที่ 2 อาภรณ์ดำ จันทร์หมึก กรายมาเหนือเมฆา

ณ เป่ยโจว ทางปัจฉิมทิศแห่งหร่วนเฉิงมีคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของสกุลหาน สกุลชาวยุทธ์อันลือนามแห่งเป่ยโจว

แม้สกุลหานจะจัดอยู่ในทำเนียบสกุลชาวยุทธ์ ทว่ามิได้เลื่องชื่อด้วยวิทยายุทธ์อันเลิศล้ำ หากแต่อาศัยโอสถวิเศษ ‘ผงตำหนักม่วง’ และ ‘เม็ดพุทธจิต’ อันมีชื่อเสียงระบือลือเลื่องทั่วยุทธภพ

ผงตำหนักม่วงคือโอสถชั้นเลิศสำหรับบาดแผลภายนอก เม็ดพุทธจิตคือเครื่องแก้พิษอันวิเศษ เหล่าชาวยุทธ์ต่างใช้ชีวิตกลางคมดาบคาวเลือด เรื่องบาดเจ็บถูกพิษย่อมเกิดได้ทุกขณะ ด้วยเหตุนี้โอสถวิเศษของสกุลหานจึงเป็นยอดปรารถนาสำหรับชาวยุทธ์ ทว่าโอสถเหล่านี้ล้วนปรุงผสมด้วยวิธีอันลับเฉพาะ ไม่มอบให้คนนอกอย่างสะดวกง่ายดายเป็นอันขาด ดังนั้นแม้สกุลหานจะมินับว่ามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ชาวยุทธ์ทั้งปวงพากันยอมอ่อนข้อให้สามส่วน เผื่อปะเหมาะเคราะห์สอดแทรก เกิดบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์เจียนตายอาจจะต้องการให้สกุลหานมอบโอสถช่วยชีวิตก็เป็นได้

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดรอบสำคัญหกสิบปีของหานเสวียนหลิงประมุขสกุลหาน หน้าคฤหาสน์มีรถม้าวิ่งเข้ามาไม่ขาดสาย ทางเข้าออกคลาคล่ำปานท้องตลาด กลางสวนจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อนับร้อยโต๊ะ สุราอาหารบริบูรณ์ ครึกครื้นถึงสิบส่วน ไม่เพียงวีรบุรุษจากสายต่างๆ ในเป่ยโจวและผู้มีชื่อเสียงมีคุณธรรมความรู้เป็นที่นับหน้าถือตาในหร่วนเฉิงเท่านั้นที่มากันพร้อมหน้า กระทั่งยอดคนจากต่างแคว้นก็ทยอยเดินทางมาจากแดนไกลเพื่ออวยพรให้แก่นายท่านสกุลหาน

“อ้า ครึกครื้นยิ่งนัก” ขณะที่เจ้าภาพและแขกเหรื่อกำลังรื่นเริงอย่างที่สุดนั้น เสียงใสกังวานก็พลันดังขึ้น กลบเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งหลายกลางสวนจนสิ้น บรรดาแขกเหรื่อมองไปตามต้นเสียงอย่างแตกตื่นระคนประหลาดใจ เห็นบนหลังคามีดรุณีน้อยนางหนึ่งนั่งเอนกายพิงชายคาอยู่ เสื้อตัวยาวขาวพิสุทธิ์พลิ้วไหวน้อยๆ ภายใต้แสงทิวากร ดูประหนึ่งเมฆาซึ่งเคลื่อนคล้อยอยู่กลางนภากาศ นางมองเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่ด้านล่างด้วยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้า

“เจ้าอีกแล้ว!” หานเสวียนหลิงเจ้าภาพซึ่งนั่งหน้าแดงอิ่มเอิบบนที่นั่งประมุขผุดลุกขึ้นทันควัน ถลึงตามองสตรีบนหลังคาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ใช่ เป็นข้าอีกแล้ว” สตรีชุดขาวเอ่ยด้วยยิ้มละไม “นายท่านหาน วันนี้ท่านครบรอบมงคลหกสิบปี ข้าขอร่วมอวยพรให้ท่านสุขล้นดั่งทะเลตะวันออก อายุยืนยาวดั่งขุนเขาจงหนัน”

“อย่าเลย ขอเพียงเทพโรคระบาดอย่างเจ้าไม่ปรากฏตัวอีก ข้าผู้เฒ่าย่อมอายุยืนร้อยปี!” หานเสวียนหลิงผละจากที่นั่ง เดินไปยังกลางสวน แหงนศีรษะวางสีหน้าเย็นชาพร้อมเอ่ยกับดรุณีชุดขาวว่า “ไป๋เฟิงซี เจ้าใช้กำลังแย่งชิงโอสถวิเศษสกุลหานของข้าหลายครั้งหลายครา ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างจึงไม่เค้นเอาเหตุผลกับเจ้า วันนี้ฤกษ์งามยามดียิ่งไม่ประสงค์จะถือสาหาความ หากเจ้ารู้สถานการณ์ก็เร่งจากไปโดยไวเถิด”

แขกเหรื่อทั้งหลายที่กลางสวนสดับคำก็ตระหนกระคนหลากใจในทันที

แม้นามไป๋เฟิงซีจะสะท้านสะเทือนทั่วยุทธภพ ทว่าแต่ไรมาเป็นดั่งมังกรศักดิ์สิทธิ์เห็นหัวไม่เห็นหาง ไปมาลึกลับไม่ทิ้งร่องรอย ในยุทธภพมีผู้รู้จักจดจำนางได้น้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่นึกฝันว่าวันนี้จะได้พบพาน และไม่เคยนึกฝันว่านางจะอ่อนอาวุโสถึงเพียงนี้ ที่ยิ่งหลากใจก็คือวาจา ‘ใช้กำลังแย่งชิงโอสถวิเศษ’ ของนายท่านหาน ชื่อเสียงด้านคุณธรรมของนางแผ่ไพศาลนัก เหตุใดจึงทำเรื่องพรรค์นี้ได้

ครั้นแล้วผู้คนทั้งหลายในสวนจึงอดทยอยลุกจากที่นั่งมาล้อมอยู่ด้านล่างชายคามิได้

“นายท่านหาน อย่าโมโหเป็นฟืนไฟเช่นนี้ซี ต้องทราบว่าโอสถเหล่านั้นแม้ข้าจะฉวยไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน ทว่าล้วนแต่นำไปช่วยเหลือผู้อื่น นับว่าช่วยสกุลหานของท่านสร้างชื่อเสียง สั่งสมกุศลกรรม จะว่าไปแล้วท่านควรขอบคุณข้าถึงจะถูก” ไป๋เฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น

“เจ้า…ยังจะเถียงข้างๆ คูๆ!” หานเสวียนหลิงเอ็ดเสียงเดือดดาล

ประมุขคนปัจจุบันของสกุลหานพื้นฐานนิสัยเป็นผู้นิยมในทรัพย์ ส่วนไป๋เฟิงซีผู้นี้กลับมาลักโอสถวิเศษซึ่งทองพันชั่งก็ยากจะแลกได้อยู่เนืองๆ โดยไม่จ่ายแม้อีแปะเดียว ซ้ำร้ายนางวรยุทธ์สูงส่ง ไปมาคฤหาสน์สกุลหานอย่างเสรี สหายชาวยุทธ์หลายคนที่หานเสวียนหลิงเชิญมาก็ล้วนแต่ปราชัยใต้เงื้อมมือนาง ด้วยเหตุนี้เมื่อหานเสวียนหลิงเห็นผู้ที่ยิ้มเผล่อยู่บนชายคา ก็มีแต่อยากจับเจ้าคนหน้าเป็นที่เบื้องหน้าลงมาซ้อมอย่างทารุณสักคราใจจะขาดถึงจะคลายความคับแค้นในใจลงได้

“นายท่านหาน ผู้ใดให้โอสถบ้านท่านเป็นที่ต้องใจผู้อื่นถึงเพียงนี้เล่า แต่ราคาโอสถของท่านสูงเกินไป ข้าหรือก็จนแสนจน จึงจำต้องใช้วิธีหยิบเอาเองโดยไม่ไถ่ถาม หรือมิฉะนั้นท่านก็ลอกสูตรโอสถให้ข้าสักฉบับซี ข้าไปปรุงผสมเอาเองก็ได้ เช่นนี้ท่านก็จะไม่ต้องเจอข้าอีก ย่อมไม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเยี่ยงนี้ทุกคราไป โทสะพลุ่งพล่านไม่ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ” ไป๋เฟิงซีพูดเองเออเอง มองข้ามหานเสวียนหลิงที่โมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปโดยสนิท

“ข้าอยู่มาจนบัดนี้ยังมิเคยพบเคยเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นเจ้ามาก่อนเลย!” หานเสวียนหลิงตวาดเสียงเย็นอย่างดูแคลน “ไป๋เฟิงซี ข้าผู้เฒ่าขอเตือนเจ้า รีบไปเสียให้ไว และอย่าได้มาปรากฏตัวในบ้านสกุลหานของข้าอีก มิฉะนั้นอย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ!”

“จะได้อย่างไรกัน” ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้าเหินลงจากหลังคา ทิ้งร่างลงตรงหน้าหานเสวียนหลิงอย่างชดช้อยนุ่มนวลดั่งผีเสื้อโบยบิน

หานเสวียนหลิงเห็นนางเหินร่างลงมาก็อดผงะถอยหลังไปหลายก้าวมิได้

ไป๋เฟิงซีไม่ถือสาแม้แต่น้อย ถูมือไปมา มองหานเสวียนหลิงด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อขอโอสถจากท่านอีกสักเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าท่านกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ข้าเองก็ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะร่วมอวยพรให้ท่านด้วยคน ถือโอกาสกินอาหารสักมื้อแล้วค่อยไป”

ว่าแล้วนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียง ตลอดทางยังพยักหน้าส่งรอยยิ้มให้แขกเหรื่อคนอื่นๆ ประหนึ่งเป็นเพียงอาคันตุกะรับเชิญคนหนึ่งที่มาช้าเท่านั้น ส่วนแขกเหรื่อเหล่านั้นเห็นดรุณีคิ้วตางามสะคราญหมดจด รอยยิ้มสดชื่นดั่งสายลมเช่นนี้ก็ถึงกับเผลอถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้นาง

อีกด้านหานเสวียนหลิงกลับโกรธาจนใบหน้าแดงเปลี่ยนเป็นเขียว “เด็กๆ! ไล่นางออกไป!”

ทันทีที่สิ้นคำบุรุษฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แขนขาหนากำยำสองคนก็กระโดดออกมา ก้าวเข้าหาไป๋เฟิงซีอย่างห้าวหาญและเหี้ยมเกรียม แขนเหล็กยื่นออก ตรงเข้าคว้าเหนือศีรษะไป๋เฟิงซีปานอินทรีโฉบลูกไก่

ไป๋เฟิงซีที่เพิ่งนั่งประจำที่ประหนึ่งไม่รับรู้เลยสักนิด มือหนึ่งฉวยเมรัยเลิศรส มือหนึ่งโบกแขนเสื้ออย่างผ่อนคลาย ต่อมาคนทั้งหลายก็ได้แต่เบิกตามองบุรุษฉกรรจ์ผู้เหี้ยมหาญเปี่ยมพละกำลังสองคนนั้นถูกกวาดกระเด็นไปไกลลิบราวกับแท่งไม้สองแท่ง

“อา สุราชั้นเลิศ!”

โครม! โครม!

เสียงชื่นชมของไป๋เฟิงซีคละเคล้าด้วยเสียงบุรุษฉกรรจ์สองคนหล่นกระแทกพื้นดังเลื่อนลั่น

ผู้คนที่มองดูอยู่ยังไม่ทันได้สติ ไป๋เฟิงซีก็ยื่นมือขวาคว้าขาหมูข้างหนึ่งมาไว้ในมือ อ้าปากกัดคำใหญ่ ทางหนึ่งเคี้ยวทางหนึ่งพยักศีรษะ “อืม…อืม…ขาหมูห้ารสนี้หอมยิ่ง…พ่อครัวคนนี้ฝีมือไม่เลว”

ผู้คนเห็นแล้วอดกลืนน้ำลายมิได้ ลอบคิดว่าปากน้อยๆ เยี่ยงนั้นไฉนถึงกัดเนื้อชิ้นเขื่องขนาดนั้นได้ในคำเดียว คนผู้นี้คือไป๋เฟิงซีผู้มีนามคุณธรรมขจรขจายทั่วหล้าจริงหรือ

ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งกินทางหนึ่งร้องเรียกผู้คน “ทุกท่าน ดื่มสุรากินอาหารกันต่อเถอะ งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดอันบริบูรณ์เช่นนี้ของนายท่านหาน กินครั้งนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีครั้งหน้าหรือไม่”

“เหตุใดท่านต้องแช่งท่านพ่อข้าด้วย” ฉับพลันนั้นเด็กชายสวมชุดงามหรูอายุประมาณไม่ถึงสิบขวบก็กระโดดออกมาส่งเสียงร้องพร้อมกับชี้นิ้วใส่ไป๋เฟิงซี

“หืม?” ไป๋เฟิงซีมือขวาถือขาหมู มือซ้ายถือน่องไก่ ปากก็มีเนื้อเต็มแน่น พยายามจะออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ ทว่าจนใจที่เสียงยังคงอู้อี้อยู่ดี “น้อง…ชาย…ข้า…แช่ง…บิดา…เจ้าด้วยรึ ไฉน…ข้า…ไม่รู้เลยเล่า”

“ก็ท่านแช่งท่านพ่อข้าว่าจะไม่มีวันคล้ายวันเกิดครั้งหน้าแล้ว!” เด็กชายกล่าวด้วยโทสะพลุ่งพล่าน

ไป๋เฟิงซีพยายามกลืนเนื้อในปาก จากนั้นถึงก้าวไปตรงหน้าเด็กน้อย ย่อร่างลงเอ่ยว่า “น้องชาย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้แช่งว่าบิดาเจ้าไม่อาจมีงานวันคล้ายวันเกิดครั้งหน้า แต่หมายความว่าด้วยนิสัยขี้ตืดขี้เหนียวพรรค์นี้ของบิดาเจ้า คราวหน้าต้องหักใจออกเงินเลี้ยงอาหารคนมากมายเพียงนี้ไม่ลงเป็นแน่” ว่าแล้วมือมันเยิ้มทั้งคู่ของนางก็ถือโอกาสตบศีรษะเด็กชายอย่างเบามือ

เด็กชายหลบซ้ายเบี่ยงขวา ทว่าอย่างไรก็หลบมือมันเยิ้มคู่นั้นไม่พ้น สุดท้ายก็ถูกตบเข้าตรงๆ ด้วยความอับจน รู้สึกเพียงกลางหน้าผากมันไปทั้งแถบ เขาร้องว่า “มือท่านสกปรกแทบตายแล้ว!”

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าถอยมา” หานเสวียนหลิงสืบเท้ายาวๆ เข้ามาดึงเด็กชายไปคุ้มกันไว้เบื้องหลัง

“ท่านพ่อ สตรีผู้นี้น่าชังนัก ทำหน้าของลูกเปื้อนหมดแล้ว” บุตรคนเล็กของหานเสวียนหลิงนามหานผู่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าผาก

“เจ้าไปล้างหน้า” หานเสวียนหลิงส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้มานำตัวกงจื่อน้อยไป จากนั้นถึงหันศีรษะมาจ้องไป๋เฟิงซี “ไป๋เฟิงซี หากว่ากันเรื่องวรยุทธ์ ข้าหานเสวียนหลิงหาใช่คู่มือของเจ้าไม่ ทว่าวันนี้เจ้าอย่าหวังจะได้ทำตามอำเภอใจอีก!”

“หืม?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะกวาดตามองแขกเหรื่อในสวน “คำกล่าวนี้ไม่ผิด วันนี้คฤหาสน์ของท่านมีผู้เก่งกล้ามากันมากหน้าหลายตานี่นะ”

“เจ้ารู้ก็ดี” หานเสวียนหลิงแค่นเสียง

ไป๋เฟิงซีมองหนึ่งรอบแล้วหันศีรษะกลับมา นางยิ้มระรื่นดังเดิม จะมีแววหวาดหวั่นสักนิดก็หาไม่ “ตาเฒ่าหาน ข้ามีสหายผู้หนึ่งเจ็บหนักเกินกำลังอยู่ จำต้องได้โอสถผงตำหนักม่วงและโอสถเม็ดพุทธจิตของสกุลท่านไปช่วยชีวิตโดยเร็ว ท่านยกให้ข้าอีกสักสองขวดเถิด ไหนๆ บ้านท่านก็มีตั้งมาก ข้าเองจะได้ไม่ต้องลงมือแย่งชิง ทำลายความสำราญของทุกคน” น้ำเสียงนางปลอดโปร่งราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนขอยืมเกลือหนึ่งช้อนจากสหายเก่า

หานเสวียนหลิงยังไม่ทันปริปากก็มีผู้ลุกขึ้นทวงความยุติธรรมให้เขาแล้ว “ไป๋เฟิงซี ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าแซ่หานใจกว้างอดกลั้นกับเจ้าถึงสิบส่วน ถ้ารู้ความก็รีบไปเสีย หาไม่แล้วที่นี่มีผู้กล้ามากมาย หนึ่งคนหนึ่งหมัดเจ้าก็เหลือรับแล้ว!” คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาตวาด รูปร่างห้าสั้น ผอมแห้ง ทว่าแลดูคล่องแคล่วเหี้ยมหาญ ดวงตาทรงสามเหลี่ยมทั้งคู่กลอกไปมา

“ข้าก็อยากไป แต่ตาเฒ่าหานต้องมอบโอสถให้ก่อน” ไป๋เฟิงซีกล่าวพร้อมกับทำท่าจนใจ

“ฮึ! สุราคารวะไม่กิน จะกินสุราปรับ!” คนผู้นั้นแค่นเสียงอย่างดูเบา จากนั้นจึงหันไปหาหานเสวียนหลิง “ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน เชิญพักที่ด้านข้างก่อน รอข้าเว่ยอันสั่งสอนนางให้เอง!” ขณะกล่าวก็หมุนร่าง ก้าวเข้าหาไป๋เฟิงซีอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองงอเป็นกรงเล็บ พุ่งตรงเข้าจู่โจมดวงตาทั้งคู่ของนาง

เว่ยอันผู้นี้เห็นไป๋เฟิงซีอ่อนอาวุโสนัก คาดว่าวรยุทธ์คงไม่สูงล้ำ เหตุที่ชื่อเสียงระบือลือเลื่องขนาดนั้นไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเหล่าชาวยุทธ์กล่าวเกินจริงไปเอง ด้วยเหตุนี้จึงคิดอาศัยวรยุทธ์ที่ฝึกฝนได้แปดส่วนแล้วของตนลงมือกำราบนาง หากเอาชนะไป๋เฟิงซีได้ในที่นี้เขาก็จะโด่งดังไปทั่วหล้า ทั้งสามารถกระทำให้หานเสวียนหลิงพึงใจ สะดวกต่อการขอโอสถวิเศษ นี่เป็นผลดีสองสถานในคราวเดียว

“อ้า! ที่แท้คือยอดฝีมือจากพรรคอิงเจ่า (กรงเล็บอินทรี) ร้ายกาจแท้” ไป๋เฟิงซีปากร้องเอะอะ ทว่าอากัปกิริยาหามีแววเคร่งเครียดสักนิดไม่ นางหมุนร่างอย่างผ่อนคลายหนึ่งครา ชั่วพริบตาก็หลบกรงเล็บเหล็กที่โจมตีใส่ดวงตาทั้งคู่ได้ จากนั้นแขนเสื้อขวาก็โบกสะบัด พุ่งไปพัวพันข้อมือทั้งสองของเว่ยอัน

เว่ยอันหดมือหลบ คิดว่าหากสามารถลงมือสำเร็จในกระบวนท่าเดียวจะยิ่งน่าเกรงขาม ทันใดนั้นมือขวาของเขาก็แปลงกระบวนท่า รวบรวมกำลังเต็มที่แล้วตะปบใส่หัวไหล่ซ้ายของไป๋เฟิงซี หมายใจว่าการตะปบครานี้จะต้องกระชากแขนนางให้หลุดออกมาหนึ่งข้าง

“ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน ลงมือเช่นนี้ออกจะโหดเหี้ยมไปหน่อยกระมัง” ไป๋เฟิงซีฟังเสียงลมก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ถอยร่างแต่กลับพุ่งเข้าหา กรงเล็บอินทรีจึงตะปบลงบนไหล่ซ้ายของนาง เว่ยอันเห็นว่าลงมือได้ผลในใจก็ยินดีวูบหนึ่ง ทว่าอึดใจต่อมาก็ต้องตระหนก เพราะมือเสมือนตบใส่กองฝ้าย ส่วนไป๋เฟิงซีมือซ้ายทาบลงบนมือขวาของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ ทันใดนั้นมือขวาของเขาก็ออกแรงไม่ได้อีกต่อไป

เสียงกรอบคราหนึ่งดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงโหยหวนของเว่ยอัน “อ๊าก!” จากนั้นคนทั้งหลายก็เห็นเพียงไป๋เฟิงซีพลิ้วร่างถอยออก เว่ยอันทรุดลงคุกเข่ากับพื้น มือซ้ายประคองข้อมือขวาที่ห้อยไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเจ็บปวด

ด้วยกระบวนท่าเดียว กระดูกข้อมือของเว่ยอันก็ถูกไป๋เฟิงซีหักเอาตรงๆ!

แขกเหรื่อที่กลางสวนบ้างขลาดกลัวพรั่นพรึง บ้างก็คับแค้น

“นางสตรีผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นก็มีหลายคนพุ่งเข้าโจมตีไป๋เฟิงซีโดยมิได้นัดหมาย อาวุธในมือทอประกายเย็นวูบ ตรงเข้าทิ่มแทงจุดอันตราย คนเหล่านี้บ้างคิดทวงความยุติธรรม บ้างเป็นสหายของเว่ยอัน ครั้นเห็นเขาถูกหักข้อมืออย่างน่าอนาถก็ย่อมต้องลงมือล้างแค้นให้ บ้างเห็นพฤติกรรมอันธพาลของไป๋เฟิงซีแล้วขัดตา ยิ่งกว่านั้นบ้างก็ประสงค์จะทดสอบว่าไป๋เฟิงซีผู้นี้ร้ายกาจสมคำเล่าลือจริงหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ขาดผู้ที่อาศัยคนหมู่มากผสมโรงขอมีส่วนร่วม ชั่วขณะนั้นกลางสวนก็มีเงาคนวูบวาบ โต๊ะเก้าอี้ดังโครมคราม ดาบฟันกระบี่แทง สู้กันครึกครื้นยิ่ง

ทางด้านไป๋เฟิงซียังมีรอยยิ้มทั่วใบหน้า ท่วงท่าผ่อนคลายดังเดิม นางโบกมือซ้ายคราหนึ่ง ก็ฟาดลงบนใบหน้าของบางคน มือขวาตบคราหนึ่ง ก็จู่โจมใส่หัวไหล่ของบางคน ยืดขาคราหนึ่ง ก็มีผู้ปลิวออกนอกวง เกี่ยวเท้าคราหนึ่ง ก็มีผู้ล้มลงกับพื้น ยังได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนอันใสแจ๋วของนางเป็นระยะ

“อ๊ะ หมัดนี้ของเจ้าช้าเกินไปแล้ว!…ทึ่มจริง ฝ่ามือนี้ของเจ้าหากซัดมาจากทางซ้าย ไม่แน่ว่าข้าอาจถูกฟาดไปแล้ว…เขลานัก! ข้าว่ากระไรเจ้าก็ทำตามจริงๆ เสียด้วย…พี่ชายท่านนี้ เท้าของท่านเหม็นยิ่ง ได้โปรดอย่ายื่นมา!…อ้า น้องชาย ขนบนแขนเจ้ารุงรังเกินไป น่าตกใจนัก ข้าช่วยถอนให้เจ้าสักหน่อย!…”

ท่ามกลางการยั่วเย้า เสียงร้องเจ็บปวดของบางคนคละเคล้ากับเสียงจานชามร่วงแตก เสียงโต๊ะเก้าอี้หัก…ไม่ถึงชั่วครู่ในสวนก็กลายเป็นซากปรักหักพัง และผู้ที่มีสภาพทุลักทุเลที่สุดกลับเป็นวีรบุรุษยอดคนทั้งหลายที่ล้อมโจมตีไป๋เฟิงซี ทั้งๆ ที่จำนวนมาก ทั้งๆ ที่ล้วนเป็นยอดฝีมือจากทุกสารทิศ ทว่าบัดนี้ไป๋เฟิงซีกลับเดินแทรกไปมาท่ามกลางฝูงชนอย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ประเดี๋ยวตบผู้นี้หนึ่งฝ่ามือ คว้าผู้นั้นสักหน บ้างก็ดึงคอเสื้อผู้นี้สักหน่อย ตบท้ายทอยผู้นั้นสักนิด…ภายใต้เงื้อมมือนาง ยอดฝีมือแห่งยุทธภพเหล่านั้นหาผิดอันใดกับวานรที่ถูกหยอกเย้า ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนเพียงไหนก็ไม่อาจพลิกร่างออกจากฝ่ามือ* นางได้

“เอาล่ะ น้ำมันบนมือข้าเช็ดสะอาดดีแล้ว ไม่เล่นกับพวกท่านแล้ว”

เพิ่งจะสิ้นวาจา ภูษาขาวสายหนึ่งก็เหินออกดุจมังกรทะยานร่างสู่เวหา ได้ยินเพียงเสียงผัวะผะ จากนั้นแต่ละคนก็ถูกกวาดร่วงอยู่บนพื้น

หลังจากทุกคนล้มลงแล้ว ภูษาขาวของไป๋เฟิงซีถึงคืนสู่แขนเสื้อ นางปรบมืออย่างผ่อนคลาย “ตาเฒ่าหาน วีรบุรุษเหล่านี้ที่ท่านเชิญมาก็เพียงแค่นี้ พอแค่ให้ข้าเช็ดมือเองนี่”

“ไป๋เฟิงซี เจ้า…เจ้า…” หานเสวียนหลิงชี้ไป๋เฟิงซี เอ่ยคำใดไม่ออก ยอดคนจากทั่วทิศานุทิศที่มาอวยพรวันเกิดให้ตนยามนี้ทรุดอยู่บนพื้น จมูกเขียวหน้าบวม ไม่เหลือความน่าเกรงขาม เพียงเพราะไป๋เฟิงซีต้องการจะเช็ดคราบมันบนมือกับร่างพวกเขาเท่านั้น ครั้นคิดถึงตรงนี้เขาก็โกรธจนปวดหนึบในอก

“ตาเฒ่าหาน อย่าโมโหไปเลย ข้าลงมือไม่หนักหรอก” ไป๋เฟิงซียังมีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยิ้มหน้าตาชื่นบานดังเดิม “ผู้ใดให้พวกเขาคิดใช้คนมากเอาชนะเล่า กล่าวไปแล้วยังนับว่าข้ายั้งมือไว้ไมตรี พวกเขาล้วนแต่บาดเจ็บภายนอกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น พักสักสามวันห้าวันก็หายดีแล้ว”

“ไป๋เฟิงซี!” หานเสวียนหลิงตวาดแหวโดยไม่สนใจหน้าตา จ้องไป๋เฟิงซีอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “งานเลี้ยงดีๆ ของข้าผู้เฒ่าถูกเจ้าก่อกวนจนหมดสิ้น เจ้าให้ข้าไม่โมโห? มือของเว่ยอันถูกเจ้าหัก นี่เรียกว่าลงมือไม่หนัก? แขกเหรื่อของข้าล้วนถูกเจ้าทำร้ายบาดเจ็บ นี่ยังเรียกยั้งมือไว้ไมตรี?”

“ตาเฒ่าหาน นี่ก็หาโทษข้าได้ไม่” ไป๋เฟิงซีแบะมือ “จะโทษก็ต้องโทษระเบียบที่ท่านกำหนด ‘ไม่ว่ายากดีมีจน หากขอยาต้องจ่ายทองพันตำลึง’ ข้าฐานะยากจน ไหนเลยจะมีเงินให้ท่านได้ ถ้าท่านมอบยาให้ข้าไปช่วยคนตั้งแต่แรก ข้าก็ไม่ก่อเรื่องแล้ว ดังนั้นถ้าสืบสาหาความถึงที่สุด ก็เป็นที่ท่านตระหนี่ถี่เหนียวเกินไป”

“เจ้า!” หานเสวียนหลิงเดือดดาลจนลูกตาจวนเจียนจะหลุดออกนอกเบ้า

ไป๋เฟิงซีกลับเหมือนมองไม่ออกถึงเพลิงโทสะของเขา ยังคงกล่าวเสียงเรียบเรื่อยว่า “ส่วนเว่ยอันผู้นี้…” สายตานางเคลื่อนไปยังเว่ยอันผู้ยังครวญครางอยู่ด้านข้าง เว่ยอันถูกสายตานางกวาดผ่านก็หนาวสะท้านอย่างเฉียบพลัน เสียงครางชะงักไป “ที่ร้านน้ำชาสมุนไพรนอกหร่วนเฉิง ท่านลุงผู้นั้นก็เพียงแต่มือเท้าเชื่องช้าไปบ้าง รินชาให้ ‘วีรบุรุษเว่ยอันผู้ยิ่งใหญ่’ ดื่มไม่ทันใจ ไม่ถึงขั้นต้องทำร้ายจนผู้อื่นกระอักเลือดในกำปั้นเดียวกระมัง อาศัยวรยุทธ์เที่ยวข่มเหงผู้อื่น ยังคู่ควรเรียกขานว่าวีรบุรุษอีกหรือ ข้าก็แค่ให้ท่านลิ้มรสชาติแห่งการถูกผู้อื่นทำร้ายเอาตามใจบ้างเท่านั้น”

ยามนี้หานเสวียนหลิงโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง โลหิตสูบฉีด ดวงตาพร่าเลือน เขาชี้ไป๋เฟิงซีแล้วกล่าวว่า “ดี! ดี! ดี! ล้วนแต่เป็นเจ้าที่มีเหตุผล! ชิงโอสถมีเหตุผล! ก่อความวุ่นวายมีเหตุผล! ทำร้ายคนบาดเจ็บก็มีเหตุผล! เจ้านึกว่าใต้หล้านี้ไร้ผู้สามารถกำราบเจ้าไป๋เฟิงซีได้จริงๆ สินะ เจ้าไป๋เฟิงซีไร้คู่ต่อกรในใต้หล้าจริงๆ? วันนี้ข้าผู้เฒ่าจะเชิญผู้ที่สามารถกำราบเจ้าได้มา!”

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซียินวาจานี้มิเพียงไม่ลนลาน ดวงตาทั้งคู่กลับเปล่งประกายอย่างนึกสนอกสนใจ “ผู้ใดหรือ ท่านเชิญวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดมา”

“ไป รีบไปเรือนหลังเชิญเฟิงกงจื่อออกมา!” หานเสวียนหลิงสั่งบ่าวคนหนึ่ง

“เฟิงกงจื่อ? ท่านเชิญเฮยเฟิงซีมาจัดการไป๋เฟิงซี?” นางฟังแล้วมองหานเสวียนหลิงด้วยสีหน้าชอบกล

“หึ เป็นอย่างไรเล่า กลัวแล้วสินะ” หานเสวียนหลิงเห็นอาการนางก็ตีความว่านางหวาดกลัวแล้ว

“มิใช่” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า สายตาที่มองเขาคล้ายเจือแววเห็นใจขึ้นมาสองสามส่วน “ตาเฒ่าหาน ท่านเชิญเฮยเฟิงซีมาได้อย่างไร”

“วันก่อนเฟิงซีกงจื่อมายังหร่วนเฉิง เขาไม่รังเกียจถึงกับมาคารวะข้าผู้แซ่หาน ผู้เฒ่าอย่างข้าย่อมยกให้เป็นอาคันตุกะผู้สูงเกียรติ” หานเสวียนหลิงจ้องนาง “ไป๋เฟิงซี หากเจ้ามีความกล้าก็อย่าได้หนีเสียล่ะ!”

“ฮ่าๆๆ…ข้าจะหนีได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีระเบิดหัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องชวนหัวที่สุด ครั้นหัวเราะจบก็มองทางหานเสวียนหลิง รำพันประหนึ่งเอ่ยกับตัวเองว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘อัญเชิญเทพสะดวกดาย ส่งเทพยากเข็ญ’ ตาเฒ่าหาน ท่านรู้จักหรือไม่”

“ฮึ เทพโรคระบาดเฉกเจ้า ข้าถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าส่งได้ไม่ยากเข็ญ!” หานเสวียนหลิงจ้องไป๋เฟิงซีอย่างเคืองแค้น หากเพลิงโทสะในดวงตาสามารถสังหารคนได้ บัดนี้ไป๋เฟิงซีต้องถูกสลายกระดูกเป็นผุยผงปลิวว่อนแน่แท้!

“เฮ้อ กระทั่งผู้ใดคือเทพโรคระบาดยังแยกแยะมิชัดเจน ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านมีชีวิตจนบัดนี้ได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าถอนหายใจ

ขณะสนทนาก็มีเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีครามสองคนเดินเข้ามาจากประตูสวน พวกเขาอายุราวสิบสี่สิบห้า รูปโฉมสะอาดสะอ้านหมดจดคมคาย ซ้ำยังหน้าตาเหมือนกันราวกับลอกจากพิมพ์เดียว ในมือของทั้งสองถือห่อสัมภาระคนละห่อ

เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวมาถึงกลางสวนก็คำนับหนึ่งครา

“ทั้งสองท่านมิต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าเฟิงกงจื่อเล่า” หานเสวียนหลิงรีบเข้าไปถามไถ่

ใครจะรู้ว่าหนุ่มน้อยทั้งสองกลับมิเหลียวแลเขา หันไปกล่าวกับไป๋เฟิงซีว่า “กงจื่อล้างหน้าอยู่ กำลังใช้น้ำที่สาม โปรดรอสักครู่” ว่าแล้วทั้งสองก็ตวาดไล่บรรดายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่นอนอยู่บนพื้นว่า “พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเสีย อย่าขวางทาง กงจื่อบ้านข้ากำลังจะมาแล้ว”

ระหว่างกล่าวคำ ทั้งสองยังลงมือลงไม้ด้วย วีรบุรุษเหล่านั้นบ้างตะเกียกตะกายขึ้นเอง บ้างถูกพวกเขาผลักเข้าด้านข้าง ส่วนโต๊ะเก้าอี้จานชามล้วนถูกพวกเขาใช้ขาเตะมือเก็บจนหมด พริบตาเดียวก็ทำความสะอาดกลางสวนให้เกิดเป็นที่ว่างอันกว้างขวางขึ้น

หลังจากเก็บกวาดพื้นที่แล้ว ทั้งสองก็หมุนกายกลับไป ทว่าอึดใจเดียวก็กลับมาใหม่ คนหนึ่งยกเก้าอี้ไม้แดงตัวเขื่องมา คนหนึ่งยกโต๊ะน้ำชา ต่อมาก็เปิดห่อสัมภาระติดตัว ล้วงไม้ปัดฝุ่นมาปัดเก้าอี้และโต๊ะน้ำชา ปูผ้าแพรลงบนเก้าอี้ จากนั้นถึงประคองถ้วยหยกเขียวมรกตออกมา เปิดฝาถ้วยและรินน้ำชา ชานั้นถึงกับยังมีไอร้อนลอยเป็นสาย

การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองคล่องแคล่วปราดเปรียวถึงสิบส่วน ครู่เดียวก็เสร็จสิ้น หลังจัดการสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ถอยออกไป เวลาล่วงไปอีกครู่หนึ่ง บนพื้นก็ลาดด้วยพรมสีชาดมาจนจรดใต้เก้าอี้ไม้แดง พอพวกเขาทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นก็ยืนอย่างสงบอยู่หน้าเก้าอี้ทางซ้ายและขวาด้านละคน

ขณะที่ทั้งสองจัดการสิ่งเหล่านี้ บรรดายอดคนทั้งหลายรวมทั้งหานเสวียนหลิงก็ล้วนแน่นิ่งไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ส่วนไป๋เฟิงซีกลับหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง หลับตาสัปหงกไปนานแล้ว

ทุกคนรอต่ออีกครู่หนึ่ง กลับไม่เห็นเฮยเฟิงซีปรากฏกาย หานเสวียนหลิงปรารถนาจะไถ่ถามสักคำ ทว่าเมื่อเห็นอากัปกิริยาของเด็กหนุ่มคนรับใช้ทั้งสอง วาจาที่มาถึงลำคอก็ต้องกลืนกลับไปอีกคำรบ

“ฮ้าว…” ไป๋เฟิงซีที่หลับตาโดยตลอดหาวหวอดยกใหญ่ จากนั้นก็พลันแผดเสียงร้องว่า “จิ้งจอกดำ ถ้าเจ้ายังไม่ไสหัวออกมาอีก ข้าจะไปถลกหนังเจ้าแล้วนะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียงนางก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งลอยมา “สตรี เจ้าหยาบกระด้างเช่นนี้เสมอเลยนะ” เสียงนั้นดั่งลมบางเบาโชยผะแผ่ว เนิบนาบสุขุม ทั้งละม้ายเสียงประจงเคาะแผ่นหยก สูงค่าสง่างาม

ขณะที่เสียงนี้ดังกังวานขึ้น ประตูสวนก็ปรากฏกงจื่อเยาว์วัยผู้หนึ่ง ผมรวบไว้ด้วยเกี้ยวหยกขาว หน้าผากประดับด้วยหยกสัณฐานจันทร์เสี้ยวสีหมึก สวมเสื้อคลุมแพรสีดำตัวหลวม เอวคาดเข็มขัดหยกขาวประณีต ใบหน้าคมคายดุจสลักจากหยกงามประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อันเยือกเย็นและผ่อนคลาย ราวกับกรายเท้าผ่านเมฆาสีชาดมาด้วยอาการเสรีเป็นธรรมชาติเช่นนี้เอง

ผู้คนเห็นกงจื่อท่านนี้ก็คิดโดยพร้อมเพรียงว่าคนเช่นนี้ควรจะก้าวออกจากตำหนักหรุ่ยจู (เกสรมุก)* อันมีหยกขาวเป็นบันได มรกตปูแทนกระเบื้อง ปะการังเป็นผนัง ผลึกแก้วทำเป็นม่านจึงจะถูก และมีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นเฮยเฟิงซีผู้ระบือนามทั่วแผ่นดิน ไม่เหมือนกับ…คนผู้นั้น ทุกคนผินหน้าไปมองไป๋เฟิงซีโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าเห็นนางสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ผมสลวยดำขลับ ใบหน้าหมดจด ดวงตาสุกสกาว ดูอิสรเสรีไร้กรอบเกณฑ์ดังเมฆาเคลื่อนคล้อยบนท้องนภาสีคราม ก็พลันรู้สึกว่าไป๋เฟิงซีเช่นนี้ก็เป็นหนึ่งมิมีสองเช่นกัน

เฮยเฟิงซีทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ปูผ้าแพรนั้น มือซ้ายยกน้อยๆ เด็กหนุ่มทางซ้ายก็ประคองถ้วยชามาส่งให้ที่มือเขา เขาเปิดฝาถ้วย เป่าเบาๆ หนึ่งครา จิบชิมหนึ่งคำ จากนั้นถึงส่ายหน้ากล่าวว่า “แก่ไป จงหลี คราวหน้าลดใบชาลงสามใบ”

“ขอรับ กงจื่อ” จงหลีรีบก้มศีรษะรับคำ

เฮยเฟิงซีปิดฝาถ้วย เด็กหนุ่มทางขวาก็รับถ้วยจากมือเขาไปวางบนโต๊ะ

ในสวนมีผู้คนนับร้อย แต่กลับพากันเงียบกริบมองเขา มิมีผู้ใดกล้ารบกวน

สุดท้ายเฮยเฟิงซีก็กวาดสายตามองคนทั้งหลาย ทุกคนรู้สึกเพียงหัวใจเต้นตึกตัก กงจื่อผู้นี้มีแววตาเจิดจ้าเหลือเกิน ราวกับส่วนที่ดำมืดที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจตนก็ถูกสายตานี้ของเขาสาดจนสว่างแจ้งชัดตา

“สตรี พวกเราไม่พบกันนานแล้วนะ” เฮยเฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สีหน้าปรีดา สายตาจ้องตรงไปยังเบื้องหน้า

ทุกคนมองตามสายตาของเขา พอเห็นก็อดถอนใจอีกครามิได้

หากเทียบกับบุคลิกสูงศักดิ์สง่างามของเฮยเฟิงซี ไป๋เฟิงซีก็ไม่มีมาดใดๆ ให้เอ่ยถึงทั้งสิ้น ร่างนางเอียงเค้เก้พิงพนักเก้าอี้ ผมยาวระถึงพื้นดิน ขาทั้งสองยืดตรงพาดไว้บนเก้าอี้อีกตัว ดวงตาหรี่ปรือครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายง่วงเหงาหาวนอนสิบส่วน

ครั้นได้ยินเสียงเรียกของเฮยเฟิงซี นางก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็หาวยาวๆ อีกหนึ่งครา อ้าแขนทั้งสอง บิดขี้เกียจอีกหนึ่งครั้งกว่าจะปริปาก “จิ้งจอกดำ ทุกครั้งที่เจ้าทำเรื่องพิรี้พิไรนี้ล้วนเพียงพอให้ข้านอนหนึ่งตื่น” แม้นางจะเอ่ยคำทำตัวตามใจตน ทว่ากลับไม่หยาบคาย เห็นแล้วชวนให้สบายใจ

“สตรี ไม่พบกันหนึ่งปี เจ้าไม่พัฒนาขึ้นบ้างเลย” เฮยเฟิงซีส่ายศีรษะ ท่าทางติดจะเสียดายอยู่บ้าง

ไป๋เฟิงซียืดกายยืนขึ้น อาการเกียจคร้านบนดวงหน้าหมดสิ้นไป นางยืดเท้าแล้วสะกิดคราหนึ่ง เก้าอี้ที่พาดอยู่ใต้เท้าก็ลอยเข้าใส่เฮยเฟิงซีอย่างรุนแรงถึงขีดสุด ปากก็พร่ำโวยวายว่า “สตรีอย่างข้ามีชื่อมีแซ่ อย่ามาคำก็สตรีสองคำก็สตรี คนไม่รู้จะหลงนึกว่าเจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์อันใดไม่บริสุทธิ์ ถูกขนานนามร่วมกับเจ้าข้าก็เคราะห์ร้ายเหลือประมาณแล้ว หากมีเรื่องอื่นโยงเข้าด้วยกันอีก ข้ามิสู้หาแม่น้ำสักสายแล้วกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด”

กับเก้าอี้ที่ปลิวมาอย่างกะทันหัน ท่วงท่าของเฮยเฟิงซียังคงเนิบนาบดังเดิม มือขวายื่นออกอย่างผ่อนคลายคราหนึ่ง เก้าอี้ที่พุ่งมาอย่างเร็วแรงก็หยุดลงในมือเขาอย่างมั่นคง พอเขาโบกมืออีกครา เก้าอี้ก็ลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา มิเกิดเสียงใดแม้แต่น้อย

“ข้าเพียงประสงค์จะเตือนเจ้าสักคำเท่านั้น เกรงว่าหากเจ้าประพฤติเยี่ยงนี้สืบไป วันหน้ากระทั่งตัวเองเป็นสตรีก็อาจลืมเลือนไปแล้ว” เฮยเฟิงซีกล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยน เขาชายตามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “จะเป็นผู้หญิงของข้า จุ๊ๆ…สภาพเจ้าเช่นนี้…เฮ้อ” วาจาแม้จะไม่ระบุชัดแจ้ง ทว่าเสียงถอนใจนั้นแสดงถึงความนัยจนสิ้น ดังนั้นในสวนจึงมีบางคนลอบหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

“เฟิงกงจื่อ” หานเสวียนหลิงสืบเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว ขัดจังหวะการกระทบกระเทียบระหว่างทั้งสอง

“ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน” เฮยเฟิงซีหันหน้าไปมองหานเสวียนหลิง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มชิดเชื้อนุ่มนวล “ท่านเรียกข้ามา จะให้ข้าทำความรู้จักกับผู้กล้าทั้งหลายหรือ”

“นี่เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง” เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเฮยเฟิงซี หานเสวียนหลิงก็เผลอยิ้มตามโดยมิรู้ตัว “ส่วนอีกเรื่องนั้นเล่า…” สายตาเขาเหล่มองไป๋เฟิงซี จากนั้นถึงกลับมามองเฮยเฟิงซี “เฟิงกงจื่อ ธุระที่ข้าเอ่ยให้ท่านฟังเมื่อวันก่อน มิทราบกงจื่อ…”

“อ้อ เข้าใจแล้ว” เฮยเฟิงซีพยักหน้าอย่างพลันกระจ่างแจ้ง “ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานขอให้ข้าลงมือช่วยเรื่องที่ไป๋เฟิงซีใช้กำลังหยิบฉวยโอสถวิเศษ” ว่าแล้วเขาก็หันไปมองสตรีที่อยู่อีกด้าน “ได้ยินว่าหลายปีมานี้เจ้าฉวยเอาโอสถจากบ้านสกุลหานไปไม่น้อย ความหมายของท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานคือให้เจ้ามอบยาคืนมาให้หมด หากไม่มีคืนก็ให้หักเป็นเงิน” แน่นอนว่าวาจาที่หานเสวียนหลิงให้ลงมือสั่งสอนไป๋เฟิงซี เขามิได้ถ่ายทอดออกมา ด้วยรู้นิสัยของนางดี

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ยานั้นข้าใช้หมดแล้ว ส่วนเงิน…” นัยน์ตานางกลอกกลิ้ง “นาทีนี้บนตัวข้าไม่มีเงินสักอีแปะเดียว”

เฮยเฟิงซีฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ราวกับรู้คำตอบของนางตั้งแต่แรกแล้ว เขาหันไปทางหานเสวียนหลิง ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางลำบากใจพอสมควร “นี่…ท่านเห็นควรว่าอย่างไร”

หานเสวียนหลิงมองไป๋เฟิงซี หวนนึกถึงโอสถเหล่านั้น หวนนึกถึงที่นางอาละวาดใหญ่โตเมื่อครู่ เขาก็แค้นขึ้นมาอย่างฉับพลันที่มิอาจจับนางมาถลกหนังเลาะกระดูกได้ จึงกล่าวว่า “นั่นก็เรียบง่ายนัก ให้นางขออภัยต่อหน้าข้าและทิ้งมือทั้งสองข้างไว้เป็นใช้ได้”

“โอ๊ย อำมหิตยิ่ง!” ไป๋เฟิงซีแผดเสียงเอะอะทันควัน นางชูมือทั้งสองขึ้นมองหนึ่งรอบ จากนั้นก็สะกิดปลายเท้า พลิ้วร่างมาอยู่ตรงหน้าเฮยเฟิงซีอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยื่นมือทั้งคู่ไปตรงหน้าแล้วถามเขาว่า “เจ้าจะตัดมือของข้าจริงๆ หรือ”

เฮยเฟิงซีมองนาง ต่อมาก็มองมือขาวผ่องเรียวยาวคู่นั้น เขากุมหน้าผากถอนใจยาวคล้ายกับจนใจสุดประมาณ “ชาตินี้ข้ามีเคราะห์ที่ต้องมารู้จักกับเจ้า” จากนั้นเขาก็หยัดกายขึ้นประสานมือคารวะหานเสวียนหลิง

“มิกล้า! เฟิงกงจื่อไฉนทำเช่นนี้” หานเสวียนหลิงลนลานคารวะตอบ

“ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน ข้าขออภัยท่านแทนนาง ณ ที่นี้ด้วย” เฮยเฟิงซีตอบนอบน้อมมีมารยาท นัยน์ตาสีดำขลับสุกใส สีหน้าจริงใจ “แม้นางจะใช้กำลังหยิบฉวยโอสถวิเศษของบ้านท่าน แต่ล้วนใช้เพื่อช่วยคน หาใช่หวังประโยชน์ส่วนตน นับว่าช่วยสกุลหานสั่งสมกุศลกรรม มิสู้ขอให้ท่านใจกว้างให้อภัยที่นางเยาว์วัยไม่รู้ความ”

“นี่…” หานเสวียนหลิงเกิดลังเล หากให้จัดการตามเจตนาของเฮยเฟิงซี ไหนเลยเขาจะยอมรามือได้ง่ายดายเพียงเท่านี้ ครั้นจะปฏิเสธเฮยเฟิงซีซึ่งหน้าก็ไม่สู้สะดวกนัก

“ส่วนโอสถที่นางฉวยไป ขอท่านโปรดคิดดูว่าเป็นเงินเท่าใด แล้วข้าจะช่วยชดใช้ให้แทนนางเอง เช่นนี้เป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีว่าต่อ

ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมาหานเสวียนหลิงก็หวั่นไหวทันที ลอบคิดว่าเห็นทีเฟิงกงจื่อกับไป๋เฟิงซีผู้นี้คงมีมิตรภาพไม่ใช่เพียงผิวเผิน ทั้งเขารวมถึงยอดฝีมือผู้กล้าเหล่านี้ต่างมิใช่คู่มือของไป๋เฟิงซี หากแข็งขืนสร้างความลำบากใจ เกรงว่าผู้ที่ต้องประดักประเดิดจะกลายเป็นเขา วันนี้เมื่อเฮยเฟิงซียอมชดใช้แทนนาง ไยมิรับน้ำใจอันง่ายดายนี้ไว้เล่า

เฮยเฟิงซีเห็นสีหน้าเขาก็รู้ถึงเจตนาในใจ จึงหันไปทางทุกคนในสวน “เมื่อครู่นางล่วงเกินวีรบุรุษทุกท่านไม่น้อย ทว่านั่นเป็นเพียงธาตุแท้อันชมชอบสร้างความวุ่นวายของนาง นางล้อทุกท่านเล่นเท่านั้น ขอทุกท่านได้โปรดใจกว้างอย่าถือสาหาความเอากับนาง ข้าขออภัยทุกท่านแทนนางด้วย” ว่าแล้วก็ประสานหมัดคารวะ

พฤติกรรมนี้ของเขาเหนือความคาดหมายของทุกคน ต้องทราบว่าเดิมทีคนทั้งหลายนึกว่าจะได้ชมไป๋เฟิงเฮยซีประมือกันสักตั้ง บัดนี้เมื่อเห็นเขาน้อมกายคารวะ ผู้คนในสวนก็รีบพากันคารวะตอบ เมื่อครู่พวกเขาถูกไป๋เฟิงซีก่อกวนคำรบหนึ่ง แม้ในใจจะขุ่นเคือง แต่มิอาจไม่ยอมรับว่าฝีมือเป็นรองผู้อื่น ดังนั้นนอกเหนือจากความอับอายโกรธแค้นก็คือความละอายใจ การกระทำนี้ของเฮยเฟิงซีเป็นการมอบทางออกให้ทุกคน ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ได้รับการคารวะจากเฟิงซีกงจื่อผู้เป็นหนึ่งในสี่กงจื่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าก็มีไม่มาก ทำให้มีหน้ามีตาขึ้นเป็นทบทวี โทสะของพวกเขาจึงพลันสลาย พากันเอ่ยว่า “เฟิงกงจื่อเอ่ยคำ พวกข้ามีหรือจะไม่ปฏิบัติตาม” ในทางลับก็คาดเดาโดยมิได้นัดหมายว่าไป๋เฟิงเฮยซีมีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่

กับพฤติกรรมนี้ของเฮยเฟิงซี ไป๋เฟิงซีก็เห็นเป็นเรื่องปกติ แค่ยืนมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้าง มุมปากนางยกเล็กน้อยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ในเมื่อวีรบุรุษทุกท่านล้วนแต่ใจกว้างไม่ถือสาเอาความ เพื่อเป็นการขอบคุณ วันนี้ยามเซิน ข้าจะเตรียมสุราหมักเลิศรสร้อยไหไว้ที่หอจุ้ยเซียน (เซียนเมามาย) ในตัวเมือง หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติมาร่วมเมามายกันสักครา” เฮยเฟิงซีเอ่ยต่อ

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมา คนทั้งหลายก็ส่งเสียงฮือฮา ล้วนแต่ตื่นเต้นยินดีถึงสิบส่วน

บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งแหวกผู้คนออกมา ประสานหมัดคารวะเฮยเฟิงซีพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าน้อยจั่นจือหมิง ชาวหร่วนเฉิง วันนี้ได้พบกงจื่อถือเป็นบุญกุศลอันสั่งสมมาสามชาติ ด้วยเหตุนี้สุราที่หอจุ้ยเซียนนั้นขอท่านโปรดให้หน้าบางๆ ของข้าน้อย ให้ข้าน้อยแสดงมิตรภาพของเจ้าถิ่น เมามายไปกับท่านและผู้กล้าทั้งหลาย” กล่าวจบก็ประสานมือมองผู้คนในสวนรอบหนึ่ง “มิทราบทุกท่านจะยอมให้หน้าหรือไม่”

“ประเสริฐ!” ทุกคนพากันตอบรับ จากนั้นสายตาก็มองไปทางเฮยเฟิงซีอย่างพร้อมเพรียง

“เฟิงซีนับถือมิสู้น้อมปฏิบัติตาม” เฮยเฟิงซีตอบรับด้วยรอยยิ้ม ระหว่างหันหน้ากลับก็เหลือบเห็นแววขบขันบนใบหน้าไป๋เฟิงซี ดวงตาทั้งสี่ข้างสอดประสาน แลกเปลี่ยนสายตาอันมีเพียงทั้งสองที่ประจักษ์แก่ใจ

ไป๋เฟิงซีหมุนร่างฉับพลัน กวาดสายตามองเด็กหนุ่มทั้งสองข้างกายเฮยเฟิงซี “อยู่กับผู้ใดในพวกเจ้า”

เด็กหนุ่มทั้งสองถูกสายตาไป๋เฟิงซีจับจ้องก็อดมองไปทางเฮยเฟิงซีมิได้

เฮยเฟิงซียิ้มบางพร้อมกับพยักหน้า “จงหยวน”

จากนั้นเด็กหนุ่มทางขวาก็ล้วงกล่องไม้แดงที่ยาวหนึ่งเชียะสูงสามชุ่นออกมาจากห่อสัมภาระบนหลัง ยื่นให้ไป๋เฟิงซี

นางรับมาเปิดฝาออก พริบตานั้นผู้คนทั้งหลายในสวนก็รู้สึกถึงแสงอัญมณีอันล่อตา จึงพากันจับจ้องไปยังกล่องไม้ เห็นในกล่องมีไข่มุกเม็ดเท่านิ้วโป้ง มีต้นหลิวอันทำจากทองคำ มีภูเขาซึ่งสลักจากโมรา มีหัตถ์พระพุทธรูปที่ทำจากปะการังแดง มีหยกก้อนเท่าฝ่ามือ…ทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่าอันประณีตถึงที่สุด

ทุกคนยังไม่ทันมองให้ชัดกว่านี้ ไป๋เฟิงซีก็ปิดกล่องดังปึง เดินไปยังเบื้องหน้าหานเสวียนหลิง แล้วส่งกล่องไม้ไปตรงหน้าเขา “ตาเฒ่าหาน ของในกล่องมีค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนแผ่นทอง ซื้อโอสถที่แต่กาลก่อนข้าหยิบไปจากที่นี่ได้อย่างเหลือเฟือ ฉะนั้นวันนี้ท่านต้องมอบผงตำหนักม่วงและเม็ดพุทธจิตให้ข้าอีกอย่างละขวด”

“หะ…ให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ” หานเสวียนหลิงเบิกตามองกล่องไม้แล้วมองไป๋เฟิงซี และเลยต่อไปมองเฮยเฟิงซี รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันไปชั่วขณะ บ้านสกุลหานแม้จะมั่งมี ทว่าสิ่งล้ำค่าหายากตรงหน้าเหล่านี้เขาเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมิค่อยกล้าเชื่อว่าในเวลาอันสั้นเขาจะสามารถครอบครองยอดอัญมณีทั้งหลายนี้ได้

“สิ่งเหล่านี้ตีเสียว่าข้าจ่ายค่าโอสถในกาลก่อน ขอท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานโปรดรับไว้และมอบโอสถให้นางอีกสองขวดเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซียิ้มพลางพยักหน้า

“ได้…ย่อมได้แน่นอน!” หานเสวียนหลิงพยักหน้าไม่หยุด พร้อมทั้งรีบรับกล่องจากมือไป๋เฟิงซีด้วยมือที่สั่นสะท้านเล็กน้อย

“เช่นนั้นข้าไปหยิบโอสถก่อนล่ะ” ไป๋เฟิงซีส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา พอเงาร่างไหววูบร่างของนางก็หายไปจากสวนแล้ว

“อืม” หานเสวียนหลิงยังมัวพยักหน้ารับคำ ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็สะดุ้ง “ช้าก่อน! ไป๋เฟิงซี เจ้ารอประเดี๋ยว! สวรรค์…โอสถของข้า…ต้องถูกนางกวาดเกลี้ยงอีกคราแน่แล้ว!”

ผู้คนในสวนเห็นเขาเหินร่างตามไป๋เฟิงซีไป ทั้งยังได้ยินเสียงร้องด้วยความปวดใจของเขาดังมาแต่ไกล

บทที่ 3 หนึ่งราตรีบนเขาเซวียนซานดั่งความฝัน

ณ ยอดเขาทางทิศเหนือแห่งเทือกเขาเซวียนซาน

ครั้นมองถ้ำอันว่างเปล่าแล้วไป๋เฟิงซีก็ถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง พอมือห้อยตก เสื้อผ้าบุรุษที่ประคองอยู่ในมือก็ร่วงสู่พื้น คนผู้นั้นไม่รอนาง เขาได้รับบาดเจ็บฉกรรจ์ปานนั้นแต่กลับออกไปด้วยตัวเอง

“โง่เง่าโดยแท้” นางบริภาษงึมงำ หมุนกายออกจากถ้ำ แต่กลับพบว่ายามนี้นอกถ้ำมีคนไม่น้อยโอบล้อมอยู่ จึงลอบตำหนิในความประมาทของตน เมื่อครู่นางถึงกับไม่สังเกตเห็นคนที่ซุ่มอยู่เหล่านี้

“ไป๋เฟิงซี มอบป้ายขั้วกาฬออกมา!”

วาจาเดียวกัน แต่เป้าหมายเปลี่ยนมาเป็นตัวนาง พริบตานั้นไป๋เฟิงซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้

“ข้าไม่มีป้ายขั้วกาฬอะไรทั้งนั้น พวกเจ้ารีบไปเสีย อย่ายั่วให้ข้าต้องโมโห” นางกวาดตามองหนึ่งรอบด้วยแววตาเรียบเฉย ผู้ที่โอบล้อมอยู่บ้างก็ไม่เคยพบหน้า บ้างก็เคยเจอที่เชิงเขา นับดูแล้วมีถึงสามสิบสี่สิบคน ช่างไม่ยอมถอดใจเลยจริงๆ หรือว่าคนเหล่านี้หลงนึกเป็นจริงเป็นจังว่าหากครอบครองป้ายขั้วกาฬแล้วจะทำให้สามารถบัญชาทั่วหล้า กลายเป็นนายแห่งสายน้ำและขุนเขาหมื่นลี้ได้? เหลวไหล!

“ผายลม! เยียนอิ๋งโจวเจ้าเป็นผู้ช่วยไป ตอนนั้นเขาสลบไม่ได้สติ เจ้าจะชิงป้ายขั้วกาฬก็ง่ายดายนัก เจ้าไม่มีแล้วผู้ใดจะมี” บุรุษร่างใหญ่แต่งกายด้วยชุดที่ทำจากผ้าปอตะคอก

เพิ่งสิ้นเสียง เงาสีขาวตรงหน้าก็ไหววูบ ฉับพลันนั้นเขาก็หายใจติดขัด เป็นภูษาขาวผืนหนึ่งที่พันอยู่รอบลำคออย่างแน่นหนา

“เจ้า…เจ้า…แค่กๆ…ปล่อย…ปล่อย…ข้า…แค่กๆ…” เขาออกแรงกระชากภูษาขาว แต่กลับจนใจด้วยยิ่งดึงยิ่งแน่น ทำให้บัดนี้หายใจลำบาก ภาพเบื้องหน้าดำมืด

“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้เอาไปก็คือไม่ได้เอาไป! ข้าไป๋เฟิงซีไหนเลยจะเป็นผู้ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ได้กระทำ!” นางกล่าวอย่างเย็นชา พองัดมือคราหนึ่งภูษาขาวก็คืนสู่แขนเสื้อ

คนผู้นั้นรีบสูดหายใจเฮือกเป็นการใหญ่ รู้สึกราวกับว่าตนไปทัศนาจรรอบตำหนักยมบาลมาหนึ่งรอบ

“จอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิง ในเมื่อป้ายขั้วกาฬไม่อยู่ในมือท่าน เช่นนั้นโปรดบอกร่องรอยของเยียนอิ๋งโจวแก่พวกเราเถอะ” บุรุษอายุราวสามสิบผู้หนึ่งประสานมือกล่าว

“เจ้าคือผู้ใด” ไป๋เฟิงซีปากถามไปตามเรื่อง แต่แววตากลับยังตรึงอยู่ที่บุรุษร่างใหญ่ที่คุกเข่าหอบหายใจอยู่บนพื้น

“ข้าน้อยลิ่งหูจวีจากซังโจว รับบัญชาจากซังอ๋องให้นำป้ายขั้วกาฬกลับนครหลวง เพื่อสงบสถานการณ์ระส่ำระสายในใต้หล้า” ลิ่งหูจวีประสานหมัดตอบ

“สงบสถานการณ์ระส่ำระสายในใต้หล้า? ช่างเป็นถ้อยคำที่น่าฟังนัก!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะอย่างเย็นชา

“ไม่ว่าท่านจอมยุทธ์หญิงจะเชื่อหรือไม่ ข้าน้อยก็เชื่อว่าท่านมิได้นำป้ายขั้วกาฬไป” ลิ่งหูจวีเอ่ย

นางได้ยินคำก็อดเบนสายตาไปมองเขาไม่ได้ เห็นเครื่องหน้าเขาฉายแววซื่อตรง หว่างคิ้วแฝงความห้าวหาญ ท่าทางเป็นวิญญูชนผู้สัตย์ซื่อ

“ฉะนั้นจอมยุทธ์หญิงโปรดแจ้งทิศทางของเยียนอิ๋งโจวด้วย” ลิ่งหูจวีเอ่ยซ้ำ

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาไปทางใดแล้ว” ไป๋เฟิงซีส่ายศีรษะ “หากเจ้าหาเขาพบก็อย่าลืมบอกข้าสักคำ ข้าประสงค์จะคิดบัญชีกับเขาเช่นกัน”

ลิ่งหูจวีได้ยินก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ท่านจอมยุทธ์ลิ่งหูจวี ท่านอย่าได้ถูกนางหลอก!” ท่ามกลางกลุ่มคน บุรุษผู้สมบูรณ์ไปด้วยก้อนเนื้อก้าวออกมา ร่างที่นับว่าสูงใหญ่ของลิ่งหูจวีเมื่อเทียบกับคนผู้นี้ดูผอมเล็กไปถนัดตา

“ใช่แล้ว อย่าให้นางมาหลอกได้ ป้ายขั้วกาฬต้องตกอยู่ในมือนางนานแล้วเป็นแน่ หากเยียนอิ๋งโจวไม่ถูกนางสังหารทิ้งก็คงถูกซ่อนตัวไว้”

“ป้ายขั้วกาฬที่เพียงพลิกมือก็ได้ครอบครอง นางไหนเลยจะไม่ชิงไป” คนทั้งหลายพากันคาดเดา

“หุบปาก!” ลิ่งหูจวีพลันตวาดลั่น “ไป๋เฟิงซีนับแต่เข้าสู่ยุทธภพ เรื่องที่กระทำล้วนไม่ขัดต่อคุณธรรมความถูกต้อง มีหรือให้พวกเจ้าลบหลู่ดูแคลนเยี่ยงนี้ได้!”

“หือ?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ เหล่ตามองลิ่งหูจวี “จอมยุทธ์ลิ่งหูจวีเหตุใดถึงมั่นใจเพียงนี้ว่าข้าหาใช่คนถ่อย”

“ข้าน้อยรู้” ลิ่งหูจวีกลับมิเอ่ยให้มากความ “ในเมื่อจอมยุทธ์เฟิงไม่ทราบร่องรอยของเยียนอิ๋งโจว ข้าน้อยก็ขอลาตรงนี้” กล่าวจบเขาก็หมุนร่างไปพูดกับคนทั้งหลายว่า “ผู้กล้าสายต่างๆ จากซังโจว หากยังนับถือผู้นำอย่างข้าก็เชิญติดตามข้าไป” สิ้นเสียงก็หันไปประสานมือให้ไป๋เฟิงซีแล้วสืบเท้ายาวๆ จากไป ในกลุ่มคนมีสิบกว่าคนติดตามเขาไป

ไป๋เฟิงซีหันมาทางบรรดายอดฝีมือที่ยังอยู่ที่เดิม ใบหน้าผุดรอยยิ้มจางๆ “แล้วพวกเจ้าจะเอาอย่างไร ข้าไป๋เฟิงซีหาใช่โพธิสัตว์ที่มือไม่เปื้อนโลหิต!” ทันทีที่เอ่ยคำภูษาขาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ วนอยู่รอบร่างนาง พริบตานั้นจิตสังหารอันคมกริบดุดันสายหนึ่งก็เข้าจู่โจมทุกคน

ไอเย็นเยือกซึมขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของผู้คน พวกเขาพากันเดินลมปราณไว้รอบกายโดยไม่รู้ตัว ดวงตาจับจ้องไป๋เฟิงซีเขม็ง กริ่งเกรงว่านางจะลงมือกะทันหัน

ขณะนั้นลิ่งหูจวีที่เดินห่างออกไปสามจั้งแล้วก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารสายนี้ มือทาบลงไปยังด้ามกระบี่ที่เอวตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ได้สติเกือบจะในทันที เขาลดมือลงแล้วทอดถอนใจหนึ่งครา สาวเท้ายาวๆ จากไป

ภูษาขาวซึ่งวนอยู่รอบกายไป๋เฟิงซีพลันร่วงลงอย่างแผ่วเบา นิ้วมือของนางม้วนภูษาขาวกลับมาอย่างแช่มช้า หว่างคิ้วทอแววอ่อนล้า “พวกเจ้าไปเสียเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่อยากเห็นโลหิต”

คนทั้งมวลเผลอกลืนน้ำลายโดยมิรู้ตัว ครั้นกระหวัดจิตถึงรัศมีดุดันเมื่อครู่ก็อดพรั่นพรึงไม่ได้ ทว่าเมื่อนึกถึงป้ายขั้วกาฬก็ไม่ยินยอมพร้อมใจเลิกราเพียงเท่านี้

ระหว่างคุมเชิงกันนั้น หัวคิ้วของไป๋เฟิงซีพลันขมวดเล็กน้อย นางเอียงหูสดับฟัง แววตาสั่นไหว จากนั้นก็เหินร่างขึ้นกะทันหัน โฉบผ่านหน้าทุกคนไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด

กว่าผู้คนจะได้สติก็ไม่เห็นร่างของนางแล้ว

 

ณ ยอดเขาทางทิศเหนือของภูเขา พอก้มศีรษะก็จะเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจนโดยตลอด

ฟากตะวันตกแห่งเขาเซวียนซาน ทหารสวมเกราะเกล็ดปลามากมายราวกับฝูงมดปีนขึ้นเขา ดูเครื่องแต่งกายก็รู้ว่าคือทหารรักษาเมืองแห่งเป่ยโจว ฝั่งใต้แห่งเขาเซวียนซานมีเงาดำสามสี่สายวูบไหวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าเป็นระยะ ท่วงท่าแข็งแรงปราดเปรียว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นมือดีที่มีวรยุทธ์สูงล้ำ ด้านเหนือแห่งเขาเซวียนซานก็คือบรรดาผู้กล้าในยุทธภพที่สวมใส่เครื่องแต่งกายหลากหลายเหล่านั้น ส่วนทางตะวันออกมองไม่เห็นสิ่งใด เงียบสงบเป็นพิเศษ ทว่าไป๋เฟิงซีรู้ว่านั่นต่างหากคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด

“ป้ายขั้วกาฬชิ้นเดียวดึงดูดผู้คนมากมายถึงเพียงนี้…” นางถอนใจแผ่วเบาพลางแหงนศีรษะ ดวงอาทิตย์ลับลงทางปัจฉิมทิศแล้ว แสงอัสดงแดงเรื่อเรืองทาบทาให้ท้องนภาระยิบระยับจับตา เขาเซวียนซานสีครามสลับแดงเข้มก็ย้อมด้วยแสงแวววามบางเบา ช่วงเวลานี้ฟ้าดินงดงามไร้ใดเปรียบ ทว่ากลับแฝงความอาดูรอันไม่อาจละวาง ชวนให้จิตใจหนักอึ้ง

อัสดงวิลาสเหลือคณา เพียงว่าสายัณห์มาพาสิ้นแสง

ลมพัดชายเสื้อ ผมยาวพลิ้วไหวในอากาศ ดวงหน้าไป๋เฟิงซีฉายแววโศกเศร้าจางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง

เยียนอิ๋งโจว เจ้าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่?

นางมองตะวันที่กำลังจะลับฟ้าไปทางปัจฉิมทิศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกรายเท้าลงเขาไป

 

ขณะเดียวกัน ณ หอจุ้ยเซียนในหร่วนเฉิงกลับครึกครื้นเป็นพิเศษ ผู้คนที่เดิมอวยพรวันเกิดอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหานล้วนย้ายมายังที่แห่งนี้ ร่วมเมามายไปกับเฟิงซีกงจื่อผู้ลือนามไปทั่วหล้า

เจ้าคารวะข้าหนึ่งจอก ข้าคารวะเจ้าหนึ่งป้าน แต่ละคนล้วนเปิดอกดื่มเต็มคราบ อีกทั้งบนโต๊ะยังบริบูรณ์ด้วยอาหารเลิศรสหายาก ทุกคนจึงพากันดื่มกินจนปากมัน

ดื่มจนฟ้ามืดก็เมามาย บ้างฟุบลงบนโต๊ะ บ้างฟุบลงใต้โต๊ะ ไร้ผู้มีสติแจ่มใส

“มาๆๆ…แพะโคเชือดล้มลง ตรงหน้าจงสุขสราญ รื่นเริงเมรัยบาน สามร้อยป้านให้เหือดไป! ยังไม่ถึงสามร้อยป้านเลย ทุกท่านมาดื่มกันต่อ!” เฮยเฟิงซีที่กลางหอเปล่งเสียงขับขาน ทว่าไร้เสียงตอบรับ กลับมีเพียงเสียงกรนที่ดังขึ้นไม่น้อย

“เฮ้อ เหตุใดถึงเมากันหมดเสียเล่า” เขาสะบัดแขนเสื้อหยัดกายขึ้น ดวงหน้าคมคายถูกฤทธิ์สุราย้อมจนแดงก่ำ ทว่าตาทั้งคู่กลับแจ่มชัดเจิดจ้าประหนึ่งดาราในคืนหนาว

จงหลีก้าวเข้ามาในหอ ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา “กงจื่อขอรับ”

เฮยเฟิงซีรับมา เปิดออกกวาดตาหนึ่งรอบ มุมปากคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็มองผู้คนที่เมาจนล้มพับในหอแล้วเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อวีรบุรุษทุกท่านเมามายหมดสิ้นแล้ว เฟิงซีก็ขอลา”

ครั้นก้าวออกจากหอจุ้ยเซียน สายลมเย็นก็พัดมาปะทะใบหน้า เขาแหงนหน้ามองท้องนภา จันทร์อ่อนแสง ดาวบางตา

“ดวงดาวและดวงเดือนในคืนนี้คล้ายกับงามสู้คืนก่อนมิได้” เขาเอ่ยราบเรียบเพียงประโยคเดียว แล้วก็เอามือไพล่หลังเดินจากไป เบื้องหลังติดตามมาด้วยจงหลีและจงหยวน

 

ทางทิศใต้ของเขาเซวียนซาน ไป๋เฟิงซีโลดแล่นไปท่ามกลางแมกไม้อย่างไร้สุ้มเสียงดุจสายฟ้าสีขาว เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไป

ทันใดนั้นเสียงหอบคล้ายสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บอันเบายิ่งก็ลอดเข้าสู่โสตประสาท ไป๋เฟิงซีชะงักฝีเท้า เอียงหูสดับฟังอย่างถี่ถ้วน ทว่ามีเพียงความเงียบสงัด แสงดาวอ่อนจางส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ ยามลมโชยผ่าน ใบไม้ก็ส่งเสียงซู่ซ่า นอกจากนี้ก็มีเพียงความมืดมิด

ไป๋เฟิงซียืนนิ่ง รอคอยอย่างเงียบเชียบ

ในที่สุดเสียงสูดลมหายใจแผ่วเบาอย่างที่สุดก็ดังขึ้นอีกครา นางโผนกายไปยังต้นเสียงอย่างเร่งร้อน ประกายกระบี่สายหนึ่งวูบไหว พุ่งตรงเข้าหานาง ทว่านางระวังไว้นานแล้ว ภูษาขาวลอยออก พริบตาเดียวก็พัวพันด้ามกระบี่ไว้ จากนั้นปลายจมูกของนางก็ได้กลิ่นคาวโลหิต

“เยียนอิ๋งโจว?” ไป๋เฟิงซีร้องเรียกเบาๆ ภูษาขาวคลายลง ลอยกลับสู่แขนเสื้อ

“จอมยุทธ์หญิงเฟิง?” เสียงแหบพร่าดังขึ้น กระบี่ยาวหวนคืนฝัก

อาศัยแสงดาราอ่อนจาง ด้วยสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ ไป๋เฟิงซีก็เห็นเยียนอิ๋งโจวกำลังคุกเข่าข้างหนึ่งห่างออกไปหนึ่งจั้ง ใบหน้าผุดเหงื่อกาฬเม็ดเท่าเม็ดถั่ว สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงดำ

“อาการบาดเจ็บทรุดลงอีกแล้ว” นางถอนหายใจเบาๆ

นางสืบเท้าเข้าไปหา ล้วงขวดยาออกจากอกเสื้อ ให้เขากินโอสถเม็ดพุทธจิตลงไปสองเม็ด จากนั้นจึงยื่นมือไปยังชายโครงของเขา แล้วก็สัมผัสได้เพียงความชื้นแฉะ มิต้องมองก็รู้ว่าทั้งมือเปียกไปด้วยโลหิตสีดำคล้ำ หัวใจนางกระตุกคราหนึ่ง แล้วก็ไม่คำนึงถึงอันใดให้มากความ ฉีกเสื้อบริเวณชายโครงของเขาออก เทโอสถเม็ดพุทธจิตออกมาอีกเม็ด ขยี้ละเอียดแล้วพอกลงไปบนปากแผล ต่อมาก็โรยด้วยผงตำหนักม่วง ฉีกสายคาดเอวออกมัดบาดแผลไว้อย่างแน่นหนา ทว่าทั่วทั้งร่างเขาไหนเลยจะมีแผลที่ชายโครงเพียงแห่งเดียว

“ถอดเสื้อผ้าออก ข้าจะใส่ยาให้เจ้า” ไป๋เฟิงซีสั่งประโยคหนึ่ง

ครั้งนี้เยียนอิ๋งโจวไม่ขวยเขินอิดออดอีก ปลดเสื้อผ้าออกอย่างให้ความร่วมมือ

“หึๆ…” ไป๋เฟิงซีกระหวัดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหัวเราะเบาๆ “เดิมทีข้ายังนึกว่าเจ้าจะหนีไปทั้งล่อนจ้อนเปลือยเปล่าเสียอีก ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ายังอุตส่าห์มีเสื้อผ้าสวมใส่ เอามาจากที่ใดกัน”

“สังหารไปคนหนึ่ง แย่งมา” เยียนอิ๋งโจวเอ่ยเสียงเบา เขาสูดอากาศเย็นเฉียบเป็นครั้งคราว เนื่องจากบาดแผลและเสื้อผ้าติดกันอยู่ เมื่อฝืนถอดออก เนื้อหนังย่อมปริแยก เจ็บปวดยากจะทานทน

“สมน้ำหน้า” ไป๋เฟิงซีตำหนิเบาๆ หนึ่งคำ แต่มือกลับผ่อนแรงลง ประจงช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้กระเทือนถูกแผลใต้ชายโครงซึ่งพันไว้ดีแล้ว “เหตุใดเจ้าจึงไม่รอข้ากลับมา”

เยียนอิ๋งโจวไม่ตอบคำ แค่เหลือบตาขึ้นมองนาง ตาคู่นั้นลึกล้ำดั่งห้วงน้ำ

“ข้าไป๋เฟิงซีคือคนจำพวกกลัวถูกพัวพันให้เดือดร้อนกระนั้นหรือ” นางแค่นเสียงเย็นอย่างแผ่วเบา มือโรยผงตำหนักม่วงเร็วรี่

เยียนอิ๋งโจวยังคงไม่ปริปาก ทั้งสองมิสนทนากันอีก คนหนึ่งตั้งใจใส่ยา คนหนึ่งนิ่งเงียบร่วมมือ

แค่ว่า…ขณะใส่ยาครั้งแรก คนหนึ่งสลบไม่ได้สติ คนหนึ่งหมายช่วยชีวิต ใจจึงไร้สิ่งรบกวน จะนึกสักนิดว่านี่คือการใกล้ชิดสนิทสนมอย่างหนึ่งก็หาไม่ แต่มาบัดนี้ทั้งสองคนต่างมีสติดี ท่ามกลางความมืด ทั้งสองใกล้กันเหลือเกิน ใกล้จนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย

คนหนึ่งรู้สึกได้ถึงมือเย็นๆ เนียนนุ่มสองข้างที่เลื่อนไหลอยู่บนกาย กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งเขม็ง หวังเพียงให้ชั่วขณะนี้ผ่านพ้นไปโดยไว แต่ลึกลงข้างในก็คล้ายจะปรารถนาให้การใส่ยานี้ทำไม่เสร็จไม่สิ้นไปตลอดกาล

ใต้มือที่สัมผัสถูกคือกล้ามเนื้ออันแข็งแรง ร่างกายอันกำยำ แม้จะมีบาดแผลมากมายแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอัปลักษณ์น่าพรั่นพรึง กลับชวนให้หัวใจอ่อนยวบ

ใจของทั้งคู่พลันเกิดความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ทั้งสองประจักษ์ชัดเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายคือบุรุษและสตรีผู้แตกต่างจากตนโดยสิ้นเชิง ลมหายใจอุ่นชื้นและคลุมเครือแผ่ขจายไปในความมืด กระตุ้นให้คนทั้งคู่หน้าแดงจนร้อนผ่าว ใจเต้นรัวแรงดั่งลั่นกลอง ความรู้สึกยามนี้เป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน

หลังจากใส่ยาเสร็จ คนหนึ่งก็สวมเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ คนหนึ่งก็นั่งนิ่งอย่างหายากอยู่ด้านข้าง ต่างคนต่างไม่เอ่ยวาจาแม้สักคำ คล้ายประสงค์จะตริตรองบางสิ่งให้ชัดแจ้งแก่ใจ รู้สึกอย่างเลือนรางว่าในหัวใจมีบางอย่างซึ่งผิดจากสามัญกำลังแผ่ลาม

แม้ห้วงคำนึงจะพร่าเลือน แต่ทั้งสองก็เคยผ่านศึกมานับร้อย จึงพลันรู้ถึงภยันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ พวกเขายื่นมือไปดึงอีกฝ่ายโดยมิต้องนัด แล้วสองมือก็กุมไว้ด้วยกัน

ประกายดาบผืนหนึ่งครอบมายังคนทั้งสอง พวกเขาผละไปข้างหลังเพื่อหลบการโจมตีพร้อมกัน จากนั้นคนหนึ่งภูษาขาวลอยออก คนหนึ่งกระบี่ยาวเสือกแทง เข้ารับมือกับกลุ่มคนชุดดำที่ลงมาจากกลางเวหา

คนชุดดำล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ไม่เหมือนเหล่าชาวยุทธ์ผู้กล้าที่พบเมื่อกลางวันซึ่งดีเลวปะปนกันไป คนกลุ่มนี้ทั้งสิ้นสิบคน สี่คนในจำนวนนั้นโอบล้อมเยียนอิ๋งโจว ส่วนอีกหกคนเข้าพัวพันไป๋เฟิงซี ดาบยาวในมือเยือกเย็นดั่งหิมะ วิชาดาบเลิศล้ำ รุกรับมีจังหวะ เห็นได้ว่ามาจากสำนักเดียวกัน ยามปกติพากเพียรฝึกฝนจึงร่วมมือเข้าขากันเต็มที่

ไป๋เฟิงซีรับมือหกคนก็มิกินแรง ยังคงมีรุกมีรับ ทว่าเยียนอิ๋งโจวกลับอันตรายติดพันอยู่เนืองๆ วรยุทธ์คนชุดดำเหล่านี้หากสู้กันตัวต่อตัวหาใช่คู่มือของเขาไม่ ทว่าก็ทิ้งกันไม่ห่างนัก บัดนี้เมื่อสี่คนร่วมโจมตี เขาจึงตึงมือยิ่ง นอกจากนั้นก็บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว กำลังวรยุทธ์และกำลังกายผิดจากปกติลิบลับ ด้วยเหตุนี้ไม่ถึงชั่วครู่บนร่างก็มีแผลเพิ่มขึ้นอีกสองแห่ง

ไป๋เฟิงซีเหลือบเห็นก็ขมวดคิ้ว พลันใช้พละกำลังทั้งหมด ภูษาขาวเหินบิน บางคราเป็นเช่นกระบี่แหลมคมเกินต้านทาน บางคราเป็นดั่งแส้ยาวดุดันไร้ไมตรี บางคราเหมือนดาบใหญ่กวาดทหารนับพัน…จู่โจมคนทั้งหกประหนึ่งวายุแข็งกล้าสายฝนหนาแน่น

กระบวนรุกของหกคนนั้นสับสนทันควัน ได้แต่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว ทางไป๋เฟิงซีก็มิให้พวกเขามีโอกาสพักหายใจสักนิด พลิกข้อมือคราหนึ่ง ภูษาขาวก็ดั่งอสรพิษเงินเข้าเกี่ยวกระหวัดสามคนทางซ้าย ทั้งสามกระโดดถอยหนีอันตราย ส่วนนางเหินร่างขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตาที่พวกเขาถอยออก ฝ่ามือซ้ายฟาดไปทางสามคนทางขวา พลานุภาพฝ่ามืออันแข็งกล้าโหมซัดดั่งพายุ สามคนทางขวาตะลีตะลานขวางดาบขึ้นต้าน ทว่าผู้ใดจะคาดว่านางกลับพลิกจากฟาดมาเป็นสับ ทะลวงผ่านช่องว่างระหว่างดาบของทั้งสามอย่างรวดเร็วปานอสนีบาตฟาด แล้วทั้งสามก็ถูกสับไหล่ขวา ได้ยินเพียงเสียงผัวะสามครั้ง พร้อมกับดาบในมือหล่นลงพื้นเพราะทนความเจ็บปวดอย่างสาหัสไม่ไหว

ไป๋เฟิงซีลงมือสัมฤทธิผลในคำรบเดียวก็หาได้รั้งรอไม่ ร่างที่ลอยอยู่กลางเวหาม้วนกลับ โผนเข้าใส่สามคนทางซ้าย ทั้งสามเห็นดังนั้นก็กวัดแกว่งดาบเล่มเขื่อง ประกายดาบจ้าตาถักทอเป็นกำแพงดาบ ทว่าภูษาขาวของไป๋เฟิงซีโบกสะบัดเป็นสายรุ้งขาวตรงเข้าทะลวงกำแพงดาบ เสียงเคร้งดังสามครา ดาบเหล็กกล้าเล่มโตก็หักกลางอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสามยังมิทันตั้งตัว นางก็มาถึงตรงหน้าแล้ว มือซ้ายสะบัดออก นิ้วเรียวดุจกล้วยไม้โบกอย่างชดช้อย แล้วอกของทั้งสามก็ด้านชา ล้วนแต่ล้มลงกับพื้น

ด้านไป๋เฟิงซีได้ชัย ทว่าเยียนอิ๋งโจวอีกทางกลับคับขันหนัก สี่คนนั้นเห็นท่ากระบี่ของเขายิ่งมายิ่งอ่อนแรงจึงลงมืออย่างดุดันขึ้นเป็นทบทวี ดาบเล่มโตทั้งสี่กวัดแกว่งออกเป็นตาข่ายดาบผืนหนึ่งครอบเข้าใส่เขา ส่งให้ไร้หนทางหลบ พริบตาเดียวแผ่นหลังของเขาก็โดนฟันอีกหนึ่งดาบ ห่อผ้าที่อยู่บนหลังถูกฟันขาดร่วงลงสู่พื้น กล่องซึ่งอยู่ในห่อกลิ้งออกมา ทำให้วัตถุสีดำมะเมื่อมหล่นออกจากกล่อง

ทันทีที่ทั้งสี่เห็นวัตถุซึ่งหล่นออกมาจากกล่องก็ผละทิ้งเยียนอิ๋งโจวโดยมิต้องนัดแนะ พุ่งเข้าหาวัตถุนั้นอย่างพร้อมเพรียง เยียนอิ๋งโจวร้อนรนใจอย่างใหญ่หลวง ตวาดเสียงเกรี้ยว เหินร่างตามไป

ไป๋เฟิงซีเพิ่งรุกหกคนนั้นจนล่าถอยก็ได้ยินเสียงตวาดของเยียนอิ๋งโจว จึงผินหน้าไปมอง นางสะบัดมือ ภูษาขาวก็ลอยออกไปม้วนวัตถุนั้นขึ้น ครั้นมือซ้ายแบออก วัตถุเย็นเยียบก็ร่วงลงสู่มือนาง

เยียนอิ๋งโจวเห็นนางรับไว้ก็ตะโกนฉับพลันว่า “อย่า!”

ไป๋เฟิงซีเห็นอาการเขาเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาพะวักพะวนถึงของชิ้นนี้อย่างยิ่ง จึงพลิ้วกายไปยังเบื้องหน้าเขาแล้วปลอบโยนว่า “วางใจเถิด ไม่ทำของเจ้าหายหรอก”

เยียนอิ๋งโจวเร่งเก็บเศษผ้าที่เคยเป็นห่อสัมภาระบนพื้นขึ้น คว้ามือไป๋เฟิงซีไว้แล้วตวาดอย่างแผ่วเบาว่า “ปล่อยมือ!”

นางเห็นเขาถือสาถึงเพียงนี้ ในใจก็ผิดหวังอยู่พอควร เมื่อคลายมือออก วัตถุนั้นก็ร่วงลงสู่ผ้า นางเอ่ยปากเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ชิงของของเจ้าหรอก” ระหว่างเอ่ยคำหางตาก็เห็นคนชุดดำเหล่านั้นตีวงล้อมเข้ามาอีกครา มือขวาจึงสะบัดขวับ ภูษาขาวอันแฝงกำลังถึงสิบส่วนจู่โจมเข้าใส่ทั้งสี่ คนเหล่านั้นหลบไม่ทันจึงถูกภูษาขาวกวาดล้มกันถ้วนหน้า

เยียนอิ๋งโจวคว้าข้อมือซ้ายของนางไว้ นิ้วมือเคลื่อนไปสกัดจุดบนข้อมือซ้ายของนาง จากนั้นก็กล่าวกับนางด้วยความร้อนรน “เจ้ารีบกลืนโอสถลงไปสักสามสี่เม็ด!”

ไป๋เฟิงซีถูกสีหน้าลนลานของเขาทำให้อึ้งไป พอหลุบตาลงมองถึงพบว่าฝ่ามือซ้ายของตนกลายเป็นสีม่วงเสียแล้ว ซ้ำร้ายสีม่วงนั้นยังกำลังแผ่ลุกลามขึ้นไปยังแขน แม้เยียนอิ๋งโจวจะสกัดจุดไว้แล้ว ทว่าก็ได้แต่เพียงประวิงเวลาเล็กน้อย นางรู้โดยทันทีว่าวัตถุนั้นฉาบพิษร้ายแรงเอาไว้ และเมื่อนางสัมผัสเข้า พิษก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างแล้ว จึงรีบล้วงโอสถเม็ดพุทธจิตออกจากอกเสื้อ กลืนลงท้องต่อกันสองเม็ด

ชั่วอึดใจนี้ เหล่าคนชุดดำซึ่งนับว่าได้หายใจหายคอแล้วก็เข้าโอบล้อมเข้ามาอีกคำรบ

ทั้งสองสบสายตากันหนึ่งครา จากนั้นก็เหินร่างถอยไปด้านหลัง หนีเข้าสู่ป่าทึบพร้อมกัน ยามนี้คนหนึ่งบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ คนหนึ่งถูกพิษร้ายแรง มิอาจโรมรันกับสิบคนนั้นได้อีก และนอกจากทั้งสิบแล้วจะมีตามมาอีกเท่าใดก็สุดรู้!

เยียนอิ๋งโจวลากไป๋เฟิงซีวิ่งตะบึง เริ่มแรกนางยังสามารถตามเขาทัน ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั่วร่างราวกับถูกสูบออกไปทีละน้อยๆ ร่างกายยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแรง ศีรษะยิ่งมาก็ยิ่งหนัก หน้าอกเสมือนถูกบางสิ่งบีบรัด หายใจติดขัด ฝีเท้าจึงเชื่องช้าลง

ส่วนเยียนอิ๋งโจวบาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก แรงฮึกเหิมและกำลังกายหมดสิ้นไปนานแล้ว ประกอบกับโหมวิ่ง ชั่วครู่เดียวหัวสมองก็อ่อนล้าเรี่ยวแรงเหือดหาย เขาโซเซ แล้วทั้งสองก็ล้มลงพร้อมกัน

“เจ้าไปเถิด” ไป๋เฟิงซีกล่าวปนหอบ น้ำเสียงอ่อนแรงสุดทน ดวงตาเริ่มพร่าเลือน นางอดเย้ยหยันตัวเองมิได้ ยามปกตินางจะแย้มยิ้มสังหารผู้คน กลับไม่นึกไม่ฝันว่าจะถึงกับมีวันเวลาที่อับจนหนทาง ต้องนั่งรอความตายอย่างวันนี้เช่นกัน

เยียนอิ๋งโจวมองนางแวบหนึ่ง สายตานั้นลึกซึ้งอย่างยิ่ง ราวกับบางสิ่งถูกทิ่มแทงให้เจ็บปวด ส่งผลให้นางคืนสติได้สองสามส่วน ไป๋เฟิงซีสะบัดศีรษะกะพริบตา ต่อมาจึงค้นพบว่าใบหน้าอันมีเหงื่อกาฬไหลชุ่มโชกนั้นหล่อเหลาคมคายนัก ซ้ำสีหน้าก็ยังมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น

เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้น อุ้มนางไว้อย่างยากลำบากแล้ววิ่งตะบึงไปข้างหน้าต่อ ทว่าก็ไปได้อย่างเชื่องช้าเต็มที ส่วนทางด้านหลังก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนชุดดำไล่ตามมา

“คนโง่ รอดได้สักคนถึงอย่างไรก็ดีกว่า” ไป๋เฟิงซีพึมพำตำหนิ แต่กลับรู้ว่าเยียนอิ๋งโจวหมายใจจะร่วมเป็นร่วมตายแน่แล้ว บุรุษเยี่ยงนี้…นางปลงอนิจจังมิทันจบก็พลันรู้สึกว่าร่างของเยียนอิ๋งโจวชะงัก ฝีเท้าหยุดลง

นางเอียงศีรษะมอง ที่แท้เบื้องหน้าไร้หนทางแล้ว พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขาอันสูงชัน

“เราเดิมพันกันสักตั้ง หากชนะก็รอดชีวิต หากแพ้ก็ตายเสียด้วยกัน เจ้ายินดีหรือไม่” เยียนอิ๋งโจวก้มหน้าถาม แขนที่อุ้มนางไว้กระชับแน่น

“เอาสิ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยกล่าวอย่างอ่อนเปลี้ย จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ตายทั้งทีมีท่านขุนพลวายุกล้าร่วมฝังไปด้วยกัน อันที่จริงก็นับว่าคุ้มค่า”

เยียนอิ๋งโจวมองนาง ใกล้กันถึงขนาดที่ลมหายใจรินรดใบหน้า ริมฝีปากได้รูปห่างเพียงกระเบียดเดียว พริบตานั้นไป๋เฟิงซีนึกสงสัยว่าบุรุษผู้เป็นดั่งก้อนศิลาผู้นี้จะจุมพิตข้าใช่หรือไม่

ทว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดวงตาของเยียนอิ๋งโจวดำขลับทว่าเจิดจ้าเป็นพิเศษ เขาจ้องนางโดยไม่วางตา ต่อมาเมื่อเสียงฝีเท้าที่ด้านหลังกระชั้นชิดเข้ามา เขาก็กระซิบเสียงแผ่วเบาเหมือนถอนใจว่า “ได้ตายร่วมกับไป๋เฟิงซี ข้าเยียนอิ๋งโจวแม้ตายก็มิเสียดาย!”

กล่าวจบเขาก็กอดนางแน่นแล้วกลิ้งลงเนินเขาไป ระหว่างนั้นไป๋เฟิงซีสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนและความปวดร้าวอันเกิดจากร่างกายกระแทกพื้น ทว่าไม่รุนแรง เพราะทั้งร่างของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนถูกเยียนอิ๋งโจวรวบป้องกันไว้ในอ้อมอก แรงกระแทกและความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกเขาสลายไปหนึ่งชั้น ที่เหลือมาถึงนางก็มิสาหัสเท่าใดแล้ว หากกลับทะลวงเข้าสู่ส่วนลึกในหัวใจของนางแทน

นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษผู้หนึ่งปกป้องนาง…

ชื่อเสียงของนางเลื่องลือตั้งแต่เยาว์วัย นับแต่ออกสู่ยุทธภพ เว้นจากเฮยเฟิงซีแล้วก็ไร้ผู้ต่อกร แต่ไรมามิจำเป็นต้องให้ใครปกป้อง และแต่ไรมาก็หามีผู้ใดคิดปกป้องไป๋เฟิงซีผู้มีวรยุทธ์เลิศล้ำไม่ แต่บัดนี้พฤติกรรมของเยียนอิ๋งโจวเกี่ยวถูกความรู้สึกสายหนึ่งในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวอย่างไร้สุ้มเสียงโดยมิทราบสาเหตุ

นางนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมอกเขา สัมผัสถึงแผ่นอกกว้างของบุรุษ ซึมซาบความอบอุ่นที่ได้รับการปกป้อง จากนั้นประสาทรับรู้ทั้งหมดก็ละจากนางไปทีละน้อย…ทีละน้อย…

ใกล้ตายแล้วกระนั้นหรือ ความตายให้ความรู้สึกเช่นนี้เอง แท้จริงแล้วก็หาได้น่ากลัวไม่…

 

เขาเซวียนซานท่ามกลางราตรีดำมืดแลดูเงียบสงัดถึงสิบส่วน ทว่าเมื่อเลิกความวิเวกอันมืดมนชั้นนั้นขึ้น กลางป่ารกชัฏก็มีเงาร่างสีดำหลายสายวูบผ่านเป็นระยะ แสงไฟและประกายดาบหลายสายวาววาม คละเคล้าด้วยเสียงโหยหวนซึ่งดังขึ้นกะทันหัน บางคราเป็นเสียงครางอย่างอนาถสองสามที

ณ เชิงเขาเซวียนซาน ในคืนเดียวกลับมีกระโจมหลังน้อยอันทำจากผ้าเพิ่มมาหนึ่งหลัง ยามนี้มีคนในกระโจมสามคน คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็คือเฟิงกงจื่อผู้หล่อเหลางามสง่าเป็นที่หนึ่งนั่นเอง ข้างกายมีจงหลีและจงหยวนยืนคอยปรนนิบัติ

ครู่หนึ่งเขาก็แหงนหน้ามองไปยังท้องนภายามราตรีที่นอกกระโจม ตอนนี้เป็นยามที่ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางเวหาพอดิบพอดี “จงหลี ได้เวลาแล้ว” เขาสั่งเสียงเรียบ

“ขอรับ กงจื่อ” จงหลีก้าวออกนอกกระโจม โบกมือหนึ่งครา วัตถุชิ้นหนึ่งก็ลอยขึ้น เปล่งแสงเจิดจ้ากลางท้องฟ้า ชั่วพริบตาก็ดับลง

เพียงอึดใจเดียวกลางท้องฟ้าก็เกิดแสงจ้าขึ้นสี่แห่ง ล้วนแต่สว่างวูบเดียวแล้วดับไป ทว่าก็เพียงพอให้ผู้มีใจมองเห็นได้ชัดถนัดตา

เฮยเฟิงซีรอให้แสงเจิดจ้าสี่แห่งนั้นมอดดับลงแล้วถึงยกถ้วยชาขึ้น เขาแย้มฝาถ้วยออก ก้มศีรษะดมกลิ่นหอมของชา จิบน้อยๆ หนึ่งคำ จากนั้นก็พยักหน้า “ใบชาไม่มากไม่น้อย เวลาที่ชงก็เหมาะเจาะพอดี หอมจางบางเบา รสชาติขมแล้วค่อยหวาน ไม่เข้มไม่ฝาด เช่นนี้จึงเป็นชาดี”

“กงจื่อ แม่นางซียังอยู่บนเขาขอรับ” จงหยวนพลันเอ่ยขึ้น

“ด้วยฝีมือของสตรีผู้นั้น ย่อมสามารถลงเขาได้อย่างปลอดภัย” เขามิอนาทรร้อนใจ เมื่อมือยกขึ้น จงหยวนก็ปรี่เข้ามารับถ้วยชาไปจากมือ “หากนางไม่อาจทะลวงออกมา…เช่นนั้นก็มิคู่ควรเป็นไป๋เฟิงซีผู้ถูกขานนามคู่กับข้า!” เขาแหงนหน้ามองไปยังหมู่ดาราพร่างพรายกลางนภา บางคราจะมีสามสี่ดวงที่เจิดจ้าเป็นพิเศษ

 

ยามนี้ ทางอุดรทิศแห่งเขาเซวียนซาน คบเพลิงหลายอันถูกจุดขึ้น

ยอดฝีมือจากทั่วทุกทิศในยุทธภพเสาะหามาแล้วเป็นเวลาหนึ่งวันกับอีกครึ่งคืน ยามนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่ละคนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม สีหน้าอ่อนล้า

“มารดามันเถอะ เจ้าเยียนอิ๋งโจวผู้นี้ซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่” มีผู้บริภาษขึ้นอย่างหงุดหงิดเดือดดาล

“นั่นซี ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม ล้วนแต่เป็นเพราะเยียนอิ๋งโจวสมควรตายผู้นี้!” มีผู้ผสมโรง

“ยังมีไป๋เฟิงซีนั่นอีกคน! หากมิใช่นาง ป้ายขั้วกาฬคงอยู่ในมือพวกเรานานแล้ว!” มีผู้พาลโกรธถึงผู้อื่น

“ใช่แล้ว! นางหญิงน่ารังเกียจ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน! หากวันใดตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ข้าจะต้องจับนางมาแล่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นจึงจะคลายความแค้นในใจลงได้!” มีผู้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“จอมยุทธ์เหอ ข้าว่าวันนี้พวกเราลงเขากันก่อนเถิด ฟ้ามืดเช่นนี้แล้ว หาคนหาไม่เจอหรอก มิสู้กลับไปพักเอาแรง รอจนกำลังวังชาคืนมาแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” มีผู้เสนอ

“กล่าวได้ถูกต้อง” มีผู้เห็นพ้อง “หลังจากลงเขา เราก็ส่งคนมาเฝ้าตามทางออกแต่ละแห่ง ขอเพียงเยียนอิ๋งโจวลงเขา เราก็ย่อมจับตัวมันได้”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘จอมยุทธ์เหอ’ ก็คือเหอซวินนั่นเอง ‘สำนักคุ้มภัยเทียนซวิน (คุณธรรมฟ้า)’ ของสกุลเขามีสาขาอยู่ในแคว้นทั้งหก อิทธิพลแข็งกล้า กอปรกับมีดวงมิตรบริวารไม่เลว จึงกลายเป็นหัวหอกของคนกลุ่มนี้อย่างกลายๆ

เหอซวินมองอาการอ่อนล้าของคนทั้งมวลแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดี วันนี้พวกเราลงเขากันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เชื่อว่าเจ้าเยียนอิ๋งโจวนั่นคงหนีไม่พ้น”

ครั้นแล้วคนทั้งกลุ่มก็บ่ายหน้าลงเขา

ลงเขาย่อมเร็วกว่าขึ้นเขา อีกทั้งคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มือเท้าปราดเปรียว ประกอบกับแรงดึงดูดจากสุราเลิศรสอาหารโอชะที่ด้านล่าง ฝีเท้าของแต่ละคนจึงดั่งเหาะเหิน ลงมายังเชิงเขาในเวลาอันรวดเร็ว เบื้องหน้าสามารถแลเห็นแสงไฟได้แล้ว อีกไม่นานก็จะคืนสู่โลกปกติ

ทว่าเดินแล้วเดินเล่ากลับพบว่าอย่างไรก็ออกไปไม่ได้เสียที ไปๆ มาๆ อยู่หลายเที่ยวก็วนกลับมาที่เดิม และแสงไฟเบื้องหน้าก็ถูกคั่นด้วยระยะทางช่วงหนึ่งอยู่ร่ำไป แลดูใกล้เพียงนั้น ทว่ากลับห่างเกินไปถึง

“วิชามารแล้ว! ไฉนพวกเราถึงวนกลับมาที่เดิมอยู่เรื่อย” มีผู้โวยวาย

“คงมิใช่ผีบังตากระมัง” มีผู้ร้องอย่างตื่นกลัว

เมื่อวาจานี้หลุดออก ทุกคนก็พากันรู้สึกว่าทั้งสี่ทิศรอบด้านดำทะมึนชวนประหวั่น ลมภูเขาพัดมาหนึ่งหอบ เป่าให้คบเพลิงในมือผู้คนมอดดับลง แล้วทั้งสี่ด้านก็จมสู่ความมืดมิด

“แม่จ๋า! ผีหลอก!” ทันใดนั้นมีผู้เอะอะด้วยความตื่นกลัว

“สวรรค์! มีผี! ช่วยด้วย!”

“อย่ามาดึงข้านะ! ไสหัวไป!”

“ช่วยชีวิตด้วย! ช่วยด้วย…”

“ไปให้พ้น! เจ้าพวกผีร้าย! ข้าจะฟันเจ้าให้ม้วย!”

“อ้า…ผีสังหารคนแล้ว!”

ในช่วงกะทันหัน คนที่ปกติเรียกตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าเหล่านี้แต่ละคนหากมิใช่กุมศีรษะหลบหัวซุกหัวซุน ก็เหวี่ยงดาบห้ำหั่นเงาผีพวกนั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

ท่ามกลางความมืด มีเพียงเดือนดาวอ่อนแสงซึ่งแขวนอยู่บนฟ้าเท่านั้นที่เห็นว่าพวกเขากำลังประหัตประหารกันเอง หยาดฝนโลหิตแดงฉานย้อมผืนดินที่อยู่ใต้เท้าผืนนั้นจนสิ้น องคาพยพขาดด้วนและซากสรรพางค์กองรวมกัน…

ในที่สุดเมื่อเวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนาน เสียงร้องด้วยความพรั่นพรึงและเสียงตะโกนเข่นฆ่าอันโหดเหี้ยมก็ยุติลง เชิงเขาทางทิศเหนือคืนสู่ความสงัด

ห่างไปหนึ่งลี้ มีแสงไฟสองสามดวงกะพริบแสงอ่อนจางกลางราตรีมืดมิด ประหนึ่งรอคอยผู้เร่งเดินทางฝ่ารัตติกาล

 

ไป๋เฟิงซีตื่นขึ้นในความเจ็บปวด ลืมตาก็พบว่าตนอยู่ในถ้ำกลางภูเขาแห่งหนึ่ง กองไฟกองน้อยส่องแสงอ่อนๆ

ความเจ็บปวดส่งผ่านมาทางมือ เมื่อก้มมองก็เห็นว่ามือซ้ายถูกกรีดเป็นรอย มีมือซ้ายเยียนอิ๋งโจวทาบทับไว้แน่น กำลังใช้พลังภายในดูดพิษของนางออก โลหิตที่หยดลงพื้นเป็นสีม่วง

“อย่า…” นางส่งเสียง จึงพบว่าเสียงของตนฟังดูอ่อนเปลี้ยเหลือทน แผ่วเบายิ่งกว่าแมวร้อง นางคิดจะยับยั้งเขาแต่กลับมิอาจขยับเขยื้อนได้ นั่นเป็นพิษชนิดใดกันนะ ร้ายกาจถึงเพียงนี้! นางแตกตื่นอยู่ในใจ

เวลาล่วงไปเป็นนานกว่าเยียนอิ๋งโจวจะหยุดดูดพิษ เขาล้วงโอสถเม็ดพุทธจิตออกจากเสื้อนาง เทเม็ดหนึ่งมาขยี้จนละเอียดแล้วพอกลงบนรอยกรีด จากนั้นถึงฉีกแขนเสื้อท่อนหนึ่งมาพันอย่างแน่นหนา

ขณะที่เขาทำทั้งหมดนี้ ด้วยแสงสว่างอันน้อยนิด ไป๋เฟิงซีก็เห็นมือของเขาและมือของตนได้ชัดเจน สีม่วงบนมือนางไม่ค่อยจางลง ทว่าเขา…แขนซ้ายทั้งท่อนกลายเป็นสีม่วงจนหมดสิ้น

พริบตานั้นความหวาดหวั่นบางอย่างก็จู่โจมเข้าเกาะกุมหัวใจ

นางนึกได้ว่าตนกลืนโอสถเม็ดพุทธจิตไปสองเม็ดแล้วชัดๆ เหตุใดตอนนี้พิษในร่างถึงยังไม่หมดไป ความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่งวาบขึ้นในสมอง ก่อกวนให้นางสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว

“นี่คือพิษอันใด” นางถามเสียงแหบพร่า

“หญ้าเหว่ยมั่น” เยียนอิ๋งโจวตอบอย่างสงบ

หญ้าเหว่ยมั่น…เจ้าแห่งพิษในใต้หล้า!

“เจ้า…เจ้า…” นางมองใบหน้าเยือกเย็นนั้น อยากจะฟาดเขาสักฉาดให้ได้สติ ทว่าก็ถูกความปวดใจขัดขวางไว้ ครึ่งค่อนวันกว่านางจะส่งเสียงแหบแห้งว่า “สี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณแห่งจี้โจวล้วนแต่โง่เง่าเยี่ยงเดียวกับเจ้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าก็ตะขิดตะขวงแล้วว่า ‘กองทัพชิงฟ้า’ แห่งจี้โจวจะเป็นเพียงชื่อเสียงกลวงเปล่า อาศัยคนเฉกเช่นเจ้า ไหนเลยจะชิงเอาใต้หล้ามาได้!”

“ข้าเยียนอิ๋งโจวไม่เคยติดค้างน้ำใจผู้อื่น เจ้าเคยดูดพิษให้ข้า บัดนี้ข้าดูดพิษให้เจ้า วันหน้ามิมีอันใดติดค้างกัน ยิ่งกว่านั้นการที่เจ้าถูกพิษก็เพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ” เยียนอิ๋งโจวยังคงสีหน้าสงบนิ่ง

เขาก้มมองมือนางที่อยู่ในมือของเขา มือข้างนั้นเรียวยาวบอบบาง เนียนนุ่มดั่งหยก อมสีม่วงจางๆ งดงามอย่างวิเศษ มือคู่นี้เองที่ปล่อยภูษาขาวตามใจนึก คร่าชีวิตและช่วยชีวิตได้ในพริบตา ที่จริงมือเช่นนี้ คนเช่นนี้ ควรจะยืนอย่างชดช้อยอยู่ใต้หน้าต่างคลุมม่านเขียวโปร่งบาง คีบดอกกล้วยไม้ ก้มศีรษะดอมดม ดวงตาแฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ

“โลกนี้มีคนเช่นเจ้าได้อย่างไรกันนะ…รู้ทั้งรู้ว่าเป็นพิษร้ายไร้ทางแก้ยังจะดูดเข้าร่างตน? เจ้าอยากตายถึงเพียงนี้เชียวรึ” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าอึดใจต่อมานางก็พลันหวนนึกถึงบางเรื่อง ทั้งร่างดุจดำดิ่งลงสู่ถ้ำน้ำแข็งในทันใด

ไม่มีโอสถเม็ดพุทธจิตเหลือแล้ว!

โอสถเม็ดพุทธจิตขวดหนึ่งมีแค่หกเม็ดเท่านั้น แต่เม็ดสุดท้ายเพิ่งพอกลงบนมือของนาง ส่วนเขา…โอกาสยืดชีวิตมิเหลือเสียแล้ว!

“ถึงจะกล่าวกันว่าพิษนี้ไร้ทางแก้ แต่เจ้าต้องฝืนต้านให้ได้เท่าที่จะไหว” เยียนอิ๋งโจวปล่อยมือ เงยหน้ามองนางอย่างเงียบงัน “ไป๋เฟิงซีไม่ควรเป็นผู้ที่ตายอย่างง่ายดายขนาดนี้”

“เจ้าเล่า? เจ้าไม่เห็นค่าชีวิตตนถึงเพียงนี้เชียว?” นางจ้องคาดคั้นเขา ภายใต้แสงไฟใบหน้าคมคายนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับแฝงไว้ด้วยบางสิ่งซึ่งถาโถมรุนแรง

เยียนอิ๋งโจวลุกขึ้นดับกองไฟอย่างกะทันหัน จากนั้นถึงเดินไปยังข้างถ้ำ ตรวจตราครู่หนึ่งแล้วย้อนกลับมาหาไป๋เฟิงซี เขาเคลื่อนย้ายนางไปซ่อนไว้ยังส่วนลึกของถ้ำอย่างเรียบร้อย

“คนชุดดำพวกนั้นไล่มาถึงแล้วหรือ เจ้า…” นางจะถาม ทว่าถูกเขาสกัดจุดใบ้ในทันใด

ฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านไล้ผ่านแก้มของนาง คล้ายกับไม่กล้าสัมผัสนาน เพียงไล้แผ่วเบาประหนึ่งแมลงปอแตะผ่านผิวน้ำแล้วหดกลับไปอย่างรวดเร็ว เขากุมด้ามกระบี่ที่เอวแน่น หมุนกายบ่ายหน้าออกจากถ้ำในฉับพลัน

อย่าไป! อย่าไป!

ไป๋เฟิงซีกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งในใจ มองแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไปด้วยความร้อนรน

อย่าไปนะ หากไป…ก็มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น!

เยียนอิ๋งโจวชะงักฝีเท้าราวกับได้ยินเสียงร่ำร้องของนาง เขาผินศีรษะกลับมามอง นิ่งอั้นไปครู่หนึ่ง เหตุผลและอารมณ์ขัดแย้งกันในสมอง ท้ายที่สุดก็เคลื่อนเท้ากลับมาข้างกายนาง

ท่ามกลางถ้ำอันมืดมิดยังคงสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนในสายตาเขา และแล้วเขาก็ก้มศีรษะลง กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูนางว่า “ข้าจะกลับมา! ชาติภพหน้าข้าจะกลับมาหาเจ้า! ชาติภพหน้าข้าจะไม่อายุสั้นแน่นอน! เฟิงซี จดจำข้าเอาไว้!”

ริมฝีปากเขาสัมผัสอย่างแผ่วเบา ไล้ผ่านนุ่มนวลดุจขนนกแล้วพลันบดลงอย่างหนักหน่วง เขากัดรุนแรงหนึ่งครา ไป๋เฟิงซีรู้สึกเพียงว่าริมฝีปากปวดแปลบ จากนั้นปากก็ได้ลิ้มรสคาวสายหนึ่ง ของเหลวร้อนผ่าวหยดลงบนใบหน้า ไหลผ่านไปสู่ริมฝีปาก ท่ามกลางรสคาวผสมด้วยความเค็มอันขมขื่น สิ่งสุดท้ายที่เข้าสู่สายตาก็คือดวงตาคู่ที่แม้จะอยู่ในความมืดก็ยังเจิดจ้าเหมือนดวงดาว ในตาคู่นั้นมีแสงใสกระจ่างและแววอาวรณ์ไม่สิ้นสุด

หยาดน้ำตาหลั่งเป็นสาย

จะเป็นของนางหรือของเขา? ก็ไม่อาจรู้ได้

รู้เพียงแต่ว่าเงาร่างสีดำนั้นก้าวออกนอกถ้ำไปในที่สุด รู้เพียงว่าเบื้องนอกมีเสียงดาบและกระบี่ รู้เพียงแต่ว่ากาลข้างหน้าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว…

บทที่ 4 ฝันสลายในห้วงเลอะเลือน

ดวงตะวันสีแดงลอยขึ้นทางบูรพาทิศ ปักษากลางนภาก็ขับขาน บุปผชาติคลี่กลีบคายเกสร วันใหม่เริ่มขึ้นอีกครา

เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุก็คือผ้าสีขาวราวหิมะประดับด้วยลายกล้วยไม้ป่าสามสี่ดอก งามผุดผาด

“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทักทายราบเรียบดังขึ้น

ครั้นหันศีรษะมองไปก็พบว่าบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างมีร่างเฮยเฟิงซีเอนพิงอยู่ เขากำลังลิ้มรสชาหอมกรุ่น ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มน้อยๆ ดูสดชื่นเบิกบาน

พอยกมือซ้ายขึ้นก็เห็นว่าสีม่วงชวนพรั่นพรึงนั้นหายไปแล้ว พิษสลายสิ้น นางได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกหน…ส่วนเขาเล่า?

“เยียนอิ๋งโจวเล่า” ทันทีที่เอ่ยปากริมฝีปากก็เจ็บแปลบขึ้นเป็นระลอก

“ตายแล้ว” เสียงเขาราบเรียบไร้ความรู้สึก

นางหลับตาลง หัวใจปวดร้าว เขาเอาชีวิตของตนแลกกับชีวิตของนางจนได้!

“ป้ายขั้วกาฬเล่า”

“ไม่มี” ยังคงเป็นคำตอบอันราบเรียบ

เช่นนั้นกลุ่มคนชุดดำคงชิงไปแล้ว! คนเหล่านั้น…ดูจากกระบวนท่าวิชาดาบต้องเป็นคนของพรรคต้วนหุน (คร่าวิญญาณ) เป็นแน่แท้!

“เจ้าไปถูกพิษได้อย่างไร ช่างเหนือคาดของข้านัก” น้ำเสียงเจือแววล้อเลียนอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ทั้งคล้ายกับซ่อนเร้นความโล่งใจบางประการไว้ด้วย

“ป้ายขั้วกาฬมีพิษ เผลอไปแตะเข้า” นางตอบอย่างอ่อนล้า

“ถ้าเจ้ายอมส่งสารถึงข้า บางทีข้าอาจจะช่วยเยียนอิ๋งโจวได้” เฮยเฟิงซีหยัดกายขึ้น ย่างเท้ามาถึงข้างเตียง โน้มร่างสังเกตสังกาสีหน้าของนาง

“ส่งสารถึงเจ้า?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วยิ้มอย่างเย็นชา ผู้ใดจะรู้ว่ามุมปากจะขยับมากเกินไป ทำให้เสียวแปลบขึ้นอีกคำรบ นางทาบมือลงบนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ตรงนั้นมีรอยแผลเล็กๆ อยู่

เฮยเฟิงซีมองตามการเคลื่อนไหวของนาง เห็นบาดแผลบนริมฝีปาก รอยยิ้มคงเดิม ทว่าในดวงตามีความอึมครึมเจืออยู่

“ส่งสารถึงเจ้า ให้เจ้าเร่งตามมาถึงก่อนหนึ่งก้าว ป้ายขั้วกาฬก็เป็นของเจ้าแล้ว มิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีจ้องเขาตรงๆ แววตาแฝงความถากถาง “น่าเสียดาย ข้าทำร้ายให้เจ้าพลาดโอกาสที่งดงามครั้งนี้แล้ว”

“เจ้า!” เฮยเฟิงซีเสียงขรึม แต่เพียงชั่วพริบตาก็ยิ้มผ่อนคลายอีกครั้ง “อย่างน้อยเขาก็จะไม่ตาย กับคนอย่างเขา เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่ลงมือ”

“เจ้าไม่สังหารเขา แต่หากเสียป้ายขั้วกาฬไป เขาก็ไม่รอดอยู่ดี คนเยี่ยงนั้นย่อมต้องป้ายอยู่คนอยู่ ป้ายหายคนม้วย” นางเห็นกล้วยไม้ป่าสามสี่ดอกที่เหนือกระโจม ชั่วขณะนั้นสติก็เลอะเลือน ถึงกับเห็นเป็นเงาหลังสีดำอันมุ่งมั่นไร้เสียดายที่ก้าวไปยังนอกถ้ำ

“ป้ายอยู่คนอยู่ ป้ายหายคนม้วย? หึ ในใจเจ้าเขาถึงกับเป็นวีรบุรุษผู้ศีรษะค้ำฟ้าเท้าเหยียบดิน” เฮยเฟิงซีนั่งลงข้างเตียง มองสีหน้านาง ใบหน้าประดับด้วยยิ้มบางๆ สุขุมคมคายงามสง่าดังเดิม แค่ว่าวาจาที่เอ่ยจากปากมีแววเย็นยะเยือกและโลหิตชุ่มโชกเท่านั้น “แต่วีรบุรุษผู้นี้ของเจ้าก็เพียงกระนั้นๆ แค่คนพรรคต้วนหุนสิบคนก็รับมือไม่อยู่ ทิ้งชีวิตลงสู่น้ำพุเหลือง”

ขณะเอ่ยคำสายตาไม่ละจากไป๋เฟิงซีแม้แต่น้อย ราวกับคิดจะค้นหาบางสิ่ง ทว่านางจ้องมองเพดานกระโจม สีหน้าไร้อารมณ์

“จุ๊ๆ เจ้าไม่รู้สินะ วีรบุรุษผู้นั้นของเจ้ารับดาบไปทั้งสิ้นสามสิบสองแผล บาดแผลที่ทำให้ถึงชีวิตก็คือสามแผลบนหน้าอก แต่เขาก็ใช้ได้ หาส่งเสียงร้องสักคำไม่ ก่อนตายยังลากคนพรรคต้วนหุนลงหลุมไปด้วยอีกเจ็ดคน แม้แต่ข้าก็ยังนับถือในความห้าวหาญไร้เกรงกลัวของเขา เพียงแต่วรยุทธ์อ่อนด้อยไปเล็กน้อย” ว่าแล้วยังยกนิ้วสองนิ้วขึ้นแสดงระยะห่างสั้นๆ อีกด้วย

ในที่สุดสายตาของไป๋เฟิงซีก็ละจากกระโจมผ้ามาหยุดที่ใบหน้าเขา กล่าวอย่างทั้งเยือกเย็นทั้งราบเรียบว่า “จิ้งจอกดำ เจ้ากำลังละอายที่กล้าหาญสู้เขามิได้อย่างนั้นหรือ”

“ฮ่าๆๆ…” เฮยเฟิงซีหัวเราะลั่นราวกับได้ฟังเรื่องเล่าที่ชวนหัวที่สุด ทว่าแม้จะระเบิดเสียงหัวเราะเช่นนี้ ท่วงท่าก็ยังคงสง่างามชวนให้จิตใจชื่นบาน “สตรี ข้าหลงนึกว่าเจ้าอยากรู้วีรกรรมอันกล้าหาญของเขาเสียอีก”

ไป๋เฟิงซีคลี่ยิ้มบาง “ความกล้าหาญของขุนพลวายุกล้าเป็นที่ประจักษ์ทั่วหล้า หาใช่เป็นคุณธรรมจอมปลอมเช่นจิ้งจอกบางตัว มีแต่ชื่อเสียงอันกลวงเปล่า”

“เคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งหรือไม่ คนดีอยู่ไม่ยืด ตัวร้ายอยู่พันปี ท่านวีรบุรุษเยียนผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าอายุสั้น ส่วนผู้ที่ปากเจ้าว่ามีคุณธรรมจอมปลอมกลับยังอยู่ดีมีสุข มิแน่ว่าจะอยู่ได้นานกว่าเจ้าอีกด้วย” เฮยเฟิงซีไม่ถือสาสักนิด

“นั่นเพราะสวรรค์ไม่มีตา” ไป๋เฟิงซีหลับตาลงไม่เหลียวแลเขาอีก

เฮยเฟิงซียิ้มอย่างไม่เก็บมาคิด เหยียดกายขึ้นหมายจะจากไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง

“เจ้ารู้หรือไม่ ตอนข้าพบเขา เขายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่มิอาจส่งเสียงพูดได้แล้ว แค่มองข้าแวบหนึ่ง จากนั้นตาทั้งสองก็จ้องเขม็งอยู่ที่ปากถ้ำ จนกระทั่ง…สิ้นใจ”

เสียงของเฮยเฟิงซีทุ้มและเบา คล้ายแฝงไว้ด้วยบางสิ่ง พอสิ้นกระแสความก็หมุนร่างจากไป แต่เมื่อเดินถึงข้างประตูก็ผินหน้ากลับมามองคราหนึ่ง และก็ได้เห็นหยาดน้ำตาใสบริสุทธิ์หยดหนึ่งค่อยๆ ไหลลงข้างหมอน ซึมหายไปในพริบตา ไร้ร่องรอยใด

“เจ้าชอบเขาเข้าแล้ว?”

เมื่อวาจานี้หลุดออกไป ทั้งสองล้วนตกตะลึง

คนหนึ่งเยาะหยันตัวเอง ถามเพื่ออันใดกัน นี่เกี่ยวอะไรกับตนด้วย

คนหนึ่งใจเต้น ความปวดร้าวอึดอัดในอกนั่นเป็นเพราะชอบหรอกหรือ ผู้ที่รู้จักเพียงสองวัน?

เฮยเฟิงซีผลักประตูออก ทิ้งไป๋เฟิงซีให้เอนกายอยู่เงียบๆ คนเดียว

ชอบ? ไม่กระมัง

ไม่ชอบ? ก็มิใช่ไร้ความรู้สึกไปเสียทั้งหมด

หากมิได้มารู้จักกันในสถานการณ์เยี่ยงนั้น แล้วขุนพลวายุกล้าแห่งจี้โจวกับไป๋เฟิงซีผู้เป็นชาวยุทธ์คงมิได้มีโอกาสมาพบหน้ากันนัก หากมาอยู่ตรงหน้า บางทีอาจเดินเฉียดไหล่ผ่านไป บางทีอาจแค่พยักหน้ายิ้มให้ หรือหลังจากช่วยเขาครั้งแรกก็อาจแยกย้ายไปคนละทาง เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป เขาและนางก็จะค่อยๆ ลืมเลือนอีกฝ่าย บางทีคราใดย้อนคิดถึงอดีตนางก็จะนึกถึงขุนพลวายุกล้าผู้ผึ่งผายร่างสูงเจ็ดเชียะ ทว่าหน้าแดงได้ง่ายๆ ผู้นั้น

แต่โชคชะตากลับกำหนดให้พวกเขาร่วมเผชิญอุปสรรค ร่วมเป็นร่วมตาย

เยียนอิ๋งโจว เงาร่างที่หันหลังก้าวออกจากถ้ำอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นจะประทับมั่นคงอยู่ในใจนางตลอดกาล

ไม่ว่าเวลาจะล่วงผ่านไปนานเพียงใด เขา…จะเป็นผู้ที่นางไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดกาล

 

เมื่อตะวันอยู่กลางศีรษะ เฮยเฟิงซีก็ก้าวเข้ามาในห้องอีกครั้ง และพบว่าไป๋เฟิงซีลุกจากที่นอนแล้ว นางกำลังเอนกายอยู่บนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองไปด้านนอก เป็นอาการเงียบสงบที่พบได้น้อยครั้ง

นอกหน้าต่างมีต้นอู๋ถง ต้นหนึ่ง ใบเหลืองสี่ห้าใบปลิวร่วงเป็นครั้งครา ในห้องเงียบถึงสิบส่วน เงียบจนได้ยินเสียงแผ่วเบาอันเกิดจากใบไม้ร่วง

“จงหยวนบอกว่าเจ้ากินน้อยมาก” เสียงเบาๆ ของเฮยเฟิงซีทำลายความวิเวกในห้อง

“ไม่อยาก” ไป๋เฟิงซียังคงมองนอกหน้าต่าง ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย

“ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แห่งใต้หล้าโดยแท้ ผู้ที่เห็นแก่กินมาแต่ไหนแต่ไรอย่างเจ้าถึงกับไม่อยากกินอาหาร ข้าฟังผิดไปใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง

เมื่อสดับวาจานี้ ไป๋เฟิงซีก็หันหน้ามาถลึงตาใส่เขา “เจ้าถึงขั้นให้ข้ากินแต่โจ๊กเปล่า!” ของชืดจืดไร้รสชาติพรรค์อย่างกับน้ำเปล่ากับข้าวเปล่า ใครเล่าจะพิสมัยได้ลง!

“คนป่วยก็ควรกินอาหารรสจืด” เฮยเฟิงซีกล่าวอย่างชอบด้วยเหตุผล

“กงจื่อ โอสถต้มเสร็จแล้วขอรับ” จงหลียกโอสถชามหนึ่งเดินเข้ามา

“ให้ข้าเถอะ” เฮยเฟิงซีรับชามโอสถไว้แล้วก้มศีรษะดม ใบหน้ามีแววขบขันวูบผ่าน “เดิมทีข้ายังนึกว่าผู้ถูกพิษหญ้าเหว่ยมั่นอาจจะช่วยไม่ได้แล้ว เช่นนี้ในโลกก็จะเหลือ ‘เฟิงซี’ อย่างข้าคนนี้แต่ผู้เดียว”

“แล้วเจ้าช่วยด้วยเหตุใดเล่า ถ้าเจ้าไม่ช่วย ข้าก็ไม่โทษเจ้า ถึงเจ้าช่วย ข้าก็ไม่ซาบซึ้ง เพราะอย่างไรจิ้งจอกดำเยี่ยงเจ้าก็หาเคยกระทำสิ่งใดด้วยเจตนาดีไม่” ไป๋เฟิงซีมองโอสถชามนั้น ในตามีเค้าหวาดหวั่นละล้าละลัง

“หากโลกนี้ขาดไป๋เฟิงซีอย่างเจ้าสักคน ข้าจะมิเงียบเหงาเบื่อหน่ายเกินไปละหรือ” เฮยเฟิงซีเดินเข้ามาใกล้นางด้วยรอยยิ้มละไม

“หึ ถ้าข้าตายไป โลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้ว เจ้าคงจะต้องเหงามากจริงๆ ” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ถามอีกว่า “โลกนี้มีโอสถใดที่สามารถแก้พิษหญ้าเหว่ยมั่นได้หรือ”

“เฮ้อ กล่าวไปแล้วก็ปวดใจ” เฮยเฟิงซีถอนใจยาวคราหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยแววเสียดาย “เสียบัวหิมะหยกพันปีของข้าไปหนึ่งดอก นี่สูงค่ากว่าโอสถเม็ดพุทธจิตนับร้อยเท่าเชียวนะ นำมาช่วยคนที่ไม่รู้จักซาบซึ้งเช่นเจ้า มิคุ้มค่าเลยแท้ๆ”

“บัวหิมะหยก?” ไป๋เฟิงซีตาเป็นประกาย “ได้ยินว่าบัวหิมะหยกปรุงเป็นโอสถแล้วจะหอมละมุน รสชาติออกหวานน้อยๆ?”

“แน่นอน” เฮยเฟิงซีดุจรู้ถึงความในใจนาง รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงเล่ห์กระเท่ไว้หนึ่งส่วน “แค่ว่าบัวหิมะหยกตอนนั้นก็ให้เจ้ากินไปแล้ว ส่วนโอสถชามนี้เป็นโอสถบำรุงสลายพิษชั้นเลิศที่หมอเทวดาอย่างข้าผู้นี้ปรุงขึ้น”

“เจ้าปรุงเอง?” ไป๋เฟิงซีหัวคิ้วขมวดมุ่น มองโอสถชามนั้นประหนึ่งเห็นสิ่งที่ชวนขนพองสยองเกล้าที่สุดในโลกา

“ใช่แล้ว ข้าปรุงเอง” เฮยเฟิงซีเห็นรอยในแววตานางอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งแช่มชื่นยินดี

“ข้าไม่ดื่มแล้ว ข้ากลัวว่าโอสถนี้จะเป็นพิษรุนแรงยิ่งกว่าหญ้าเหว่ยมั่น” ไป๋เฟิงซีออกอาการเคลือบแคลง

“แม่นางซี กงจื่อของข้าพลิกเขาเซวียนซานทั้งลูกเพื่อตามหาท่าน” จงหลีเห็นไป๋เฟิงซีทำท่าไม่เห็นค่าในน้ำใจก็รู้สึกว่าควรช่วยพูดให้กงจื่อของตนบ้าง “หนำซ้ำตอนใช้บัวหิมะหยกแก้พิษให้ท่าน โอสถเพิ่งเข้าปากท่านก็อาเจียนออกมา ดีที่กงจื่อ…”

“จงหลี เจ้าพูดมากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยากตัดเล็มลิ้นสักหน่อยหรือไม่” เฮยเฟิงซีชายตามองจงหลี

“ข้าขอตัวขอรับ กงจื่อ” จงหลีเงียบเสียงทันควัน ตะลีตะลานถอยออกไป

“สตรี มา กินโอสถได้แล้ว” เฮยเฟิงซีทรุดตัวลงบนตั่งนุ่ม ใช้ช้อนน้ำแกงตักโอสถยื่นไปถึงปากไป๋เฟิงซี

นางขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี โอสถนี้ต้องขมเป็นที่สุดและฝาดเป็นที่สุดอย่างแน่นอน เพียงดมกลิ่นก็ชวนคลื่นเหียน “ข้ามีมือ ไม่ต้องรบกวนเจ้า”

“สตรี ข้าเป็นห่วงเจ้าหรอกนะ ต้องรู้ไว้ด้วยว่าผู้ที่ข้าป้อนโอสถให้ด้วยตัวเองมีไม่มาก” เฮยเฟิงซียิ้มน้อยๆ ช้อนในมือยังคงอยู่ตรงหน้าหญิงสาว

ไป๋เฟิงซีหาได้หวั่นไหวไม่ เบือนศีรษะหนีสุดกำลัง ประสงค์แต่จะหลบให้พ้นเท่านั้น โอสถนี้กลิ่นไม่ดีเอาเสียเลย นางจวนจะอาเจียนอยู่แล้ว

“หรือไป๋เฟิงซีผู้มีนามระบือทั่วยุทธภพถึงกับกลัวขม?” เขามองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน “พิษในร่างเจ้ายังสลายไม่สิ้น โอสถนี้ต้องกินอีกสามวัน”

“สามวัน?” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็เบิกตากว้าง สวรรค์ กินอีกสามวัน! แค่กินคำเดียวก็เอาชีวิตนางไปครึ่งหนึ่งแล้ว!

“สตรี เจ้ากลายเป็นทารกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงขั้นกลัวกินโอสถราวกับเด็กสามขวบ” ในดวงตาหงส์ของเฮยเฟิงซีเจือแววเสียดสี

“หึ!” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็กลั้นหายใจ อ้าปาก อมช้อนไว้แล้วกลืนโอสถลงท้อง คิ้วนางขมวดเป็นปมทันใด จากนั้นปากก็อ้าออก พอส่งเสียงแหวะหนึ่งครา โอสถที่กลืนลงท้องไปแล้วก็ถูกขย้อนออกมา เคราะห์ดีที่เฮยเฟิงซีเคลื่อนไหวรวดเร็ว หลบได้ทันท่วงที หาไม่แล้วอาเจียนคงราดรดลงบนร่างเขาเป็นแน่

“ไม่เป็นไร เจ้าค่อยๆ อาเจียนไป ข้าให้จงหลีต้มเผื่อไว้อีกหม้อแต่แรกแล้ว” เฮยเฟิงซีกล่าวเรียบๆ

ไป๋เฟิงซีได้ฟังดังนั้น หัวใจก็เย็นเฉียบไปกว่าครึ่ง นางแหงนหน้ามองเขา สายตามีแววคับแค้น ทว่านางเก็บกลับลงไปทันใด ต่อมาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยากว่า “จิ้งจอกดำ เจ้ามีโอสถเม็ดหรือไม่ โอสถน้ำเช่นนี้ข้ากินแล้วเป็นต้องอาเจียน”

“ไม่มี” เขาตอบอย่างหมดจดยิ่ง จากนั้นก็ตักโอสถอีกช้อนไปจ่อที่ริมฝีปากนาง “หากเจ้าอาเจียนชามนี้หมดเมื่อไร ข้าจะให้จงหลีส่งมาอีกชาม ตอนต้มโอสถครั้งที่สองข้าจะเพิ่มหวงเหลียน ลงไปอีกสักหน่อย”

ไป๋เฟิงซีได้ฟังดังนั้น มือก็ยื่นเข้าสู่แขนเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง ทว่ากลับได้ยินเฮยเฟิงซีกล่าวขึ้นว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ภูษาขาวของเจ้าอยู่ที่ห้องข้า”

มือนางชะงักทันใด มองเขาอย่างเคืองแค้น จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ อ้าปากกินโอสถแล้วปิดริมฝีปากอย่างแน่นหนา กลืนโอสถลงท้อง ส่วนมือทั้งสองกุมเสื้อผ้าแน่น ใบหน้าย่นจนคล้ายมะระ

เฮยเฟิงซีมองอาการของนางด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อสายตากวาดผ่านรอยแผลบนริมฝีปากนาง แววตาก็ขรึมลง ช้อนในมือกดลงยังตำแหน่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

“อ๊า!” เฟิงซีร้องเสียงหลง “จิ้งจอกดำ เจ้าซ้ำเติมคนมีภัย! วันหน้าเจ้าอย่าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าบ้างก็แล้วกัน ถึงตอนนั้น…อือ…อือ…แค่กๆ…แค่ก…จิ้งจอกดำ เจ้า…”

“เวลากินโอสถอย่าพูดจาเหลวไหลไร้สาระพวกนั้น” น้ำเสียงยังคงราบเรียบ ทว่าแยกแยะได้ไม่ยากถึงอารมณ์สาแก่ใจ

จงหลีและจงหยวนที่อยู่ด้านนอกส่ายหน้าให้แก่กัน ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุไฉนกงจื่อผู้สุภาพอ่อนโยนกับใครต่อใครทั้งหมดกลับเป็นเยี่ยงนี้กับแค่แม่นางซี หรือเป็นเพราะฉายาของแม่นางซีอยู่ก่อนหน้าเขา?

สุดท้ายโอสถก็หมดชาม สภาพไป๋เฟิงซีเหมือนหนีพ้นหัตถ์มัจจุราช

“ชา!” นางอ้าปาก ออกแรงพ่นลม ปรารถนาจะปัดเป่ารสชาติในปากให้หมด

“หลังกินโอสถห้ามดื่มชา เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ?” เฮยเฟิงซีวางชามโอสถในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นถึงหยิบของกล่องหนึ่งมาจากถาดบนโต๊ะ “นี่บ๊วยแห้ง เจ้าเอาไว้แก้ขมเถอะ”

ไป๋เฟิงซีรับมาจากมือเขาอย่างรอไม่ไหว หยิบโยนเข้าปากทันทีหนึ่งชิ้น “เปรี้ยว!” นางอดยื่นมือขึ้นตบแก้มทั้งสองข้างไม่ได้

เขาเห็นนางเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกขันนัก “พูดออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อเป็นแน่ว่าไป๋เฟิงซีผู้โด่งดังกลัวการกินโอสถ”

“นี่ไม่เรียกว่ากลัว แต่เรียกว่าไม่ชมชอบ พ่อข้าพี่ชายข้าล้วนไม่ชอบทั้งนั้น นิสัยนี้สืบทอดมาจากบรรพชนของพวกเรา!” นางแก้ไขให้เขาเต็มปากเต็มคำอย่างชอบด้วยเหตุผล

“อ้อ?” แววตาเฮยเฟิงซีไหววูบ “ส่วนบรรพชนสกุลข้ามีวิธีการอันหนึ่งสืบทอดกันมา กล่าวไว้ว่าเมื่อพบผู้ที่กลัวขมไม่ยอมกินโอสถ ให้ขืนกรอกลงไปเสีย ภายหลังหาของรสเปรี้ยวให้กินสักหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว”

“วิธีการอันใดกัน!” ไป๋เฟิงซีย่นจมูกแค่นเสียง รอจนรสเปรี้ยวอมหวานกลบรสขมแล้วนางถึงเหลือบมองเฮยเฟิงซี “จิ้งจอกดำ เจ้าพลิกเขาทั้งลูกจริงหรือ” เชื่อมิได้จริงๆ ว่าผู้ที่ชอบแสร้งทำเป็นมีคุณธรรมผู้นี้จะค้นเขาเซวียนซานเพื่อนาง

“ยินว่าจี้โจวมีประเพณีโบราณอย่างหนึ่ง เมื่อบุรุษสตรีลอบพบกันในยามราตรีจะใช้จุมพิตแทนคำมั่นสัญญา และขณะมอบคำมั่นสัญญา หากกัดริมฝีปากอีกฝ่ายเป็นแผล ก็แสดงว่าผิดจากคนผู้นี้จะไม่แต่ง เป็นตายมิเสียใจ” เฮยเฟิงซีจะสนใจคำถามของนางก็หาไม่ได้ กลับเอ่ยเรื่องสัพเพเหระขึ้นมาแทน

“ผิดจากคนผู้นี้จะไม่แต่ง…เป็นตายมิเสียใจ…” ไป๋เฟิงซีลูบข้างริมฝีปาก ลมหายใจร้อนผะผ่าวในความมืดนั่น น้ำเสียงแผ่วทุ้มเด็ดเดี่ยวนั่น…

‘ชาติภพหน้าข้าจะกลับมาหาเจ้า! ชาติภพหน้าข้าจะไม่อายุสั้นแน่นอน! เฟิงซี จดจำข้าเอาไว้!’ …เป็นเช่นนี้หรอกหรือ มอบสัตย์สาบานสำหรับชาติภพหน้า? แต่มนุษย์เรามีชาติภพหน้าด้วยหรือ

เยียนอิ๋งโจว…

ชั่วอึดใจนั้นบ๊วยแห้งรสหวานอมเปรี้ยวในปากกลายเป็นฝาดขมไม่ผิดกับโอสถ ยากจะกลืนลงคอ ในอกมีบางสิ่งดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง…ดิ่งลึกลงไปสู่มุมอันเร้นลับที่สุดที่ยังคงถูกซุกซ่อนไว้ยังห้วงลึก ชาตินี้อาจมิมีวันผุดขึ้นมาอีกเลย

“สตรี เจ้าไปสาบานรักกับผู้อื่นเสียแล้วหรือ” เฮยเฟิงซีคีบบ๊วยแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นคล้ายจะป้อนให้นาง ทว่าเมื่อมาถึงมุมปากกลับกดเข้าใส่บาดแผลนั้นอย่างกะทันหัน

“โอ๊ย!” ไป๋เฟิงซีเจ็บจนได้สติ มองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผินหน้าออกนอกหน้าต่าง “จะเป็นไปได้อย่างไร นั่นคือประเพณีของจี้โจว หาเกี่ยวอันใดกับข้าไม่!”

“อย่างนั้นหรือ” บนหน้าเฮยเฟิงซีผุดรอยยิ้มชวนคิด สายตาหยุดนิ่งอยู่บนดวงหน้านางประหนึ่งจะพิเคราะห์บางสิ่ง

ไป๋เฟิงซีได้ยินก็หันหน้ากลับมามองเขา สีหน้าราบเรียบถึงที่สุด “จิ้งจอกดำ เจ้าไปฟังเรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด หรือเจ้าปรารถนาจะหาใครสักคนมาลองประเพณีของจี้โจว อาศัยรูปโฉมนี้ของเจ้าก็คงมีสตรีเบาปัญญาไม่น้อยที่จะถูกลวงมาถึงมือเจ้าได้”

“หึ ไหนเลยข้าต้องมอบสัตย์สาบาน” เฮยเฟิงซีหัวเราะ แต่พอเห็นสีหน้าเยือกเย็น แววตาอึมครึมของนาง นัยน์ตาสีดำขลับก็สาดประกายจ้าวูบหนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวก็หลุบตาเก็บซ่อนเอาไว้

ทั้งสองหมดอารมณ์จะปะทะฝีปากกันอย่างกะทันหัน ในห้องเงียบลงทันใด

ครู่ต่อมาเฮยเฟิงซีก็ลุกออกไป “พิษของเจ้ายังสลายไม่หมด พักให้มาก อย่าคิดฟุ้งซ่าน”

ไป๋เฟิงซีมองเงาหลังที่จากไปของเขา แววตานิ่งลึก

 

ยามสายัณห์ของวันถัดมา ไป๋เฟิงซีมายังเชิงเขาทางทิศเหนือของเขาเซวียนซาน นางแหงนมองเขาเซวียนซานท่ามกลางแสงอัสดง ทิวทัศน์ยังคงงดงามดั่งภาพวาด หาได้เปลี่ยนแปลงไปสักเศษเสี้ยวเพราะมีวิญญาณวีรบุรุษผู้หนึ่งนิทราชั่วนิรันดร์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่

นางก้าวเท้าเดินขึ้นเขา หมายจะไปเยี่ยมคนผู้นั้นสักหน่อย แม้จะเป็นแค่หลุมศพก็ตาม

ทันใดนั้นปลายจมูกก็คล้ายกับได้กลิ่นบางอย่าง เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าบนพื้นหญ้าเหมือนเพิ่งถูกเก็บกวาด ทว่ายังเหลือคราบโลหิตจางๆ สองสามแห่ง ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้น แล้วสายตาก็ถูกศิลาหลายก้อนดึงดูดไว้ ศิลาใหญ่เหล่านั้นมีผิวเรียบเสมอกัน ผิดจากศิลาตามธรรมชาติในที่แห่งนี้ เพราะเหตุใดถึงมาปรากฏที่นี่ได้ นางเดินเข้าไปมองให้ถ้วนถี่ บนนั้นยังมีรอยดาบและกระบี่กรีดผ่านอีกด้วย

นางเหินร่างขึ้น ทิ้งกายลงบนต้นไม้สูงต้นหนึ่งแล้วมองไปรอบด้าน

ดังคาด ห่างไปไม่ไกลนักก็มีก้อนศิลาลักษณะนี้กระจายอยู่เช่นกัน บางก้อนถูกเคลื่อนย้ายมาแล้ว บางก้อนก็ยังอยู่ในตำแหน่งอันลึกลับ นางพินิจพิเคราะห์ทิศทางที่ศิลาเหล่านี้วางอยู่ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมอง ส่งผลให้นางขาอ่อนยวบเจียนจะร่วงจากต้นไม้ จึงรีบประคองร่างกายและจิตใจให้มั่นคง นับจำนวนศิลาเหล่านั้นโดยละเอียด หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ไม่มากไม่น้อย หนึ่งร้อยสามสิบหกก้อนพอดี

มิผิดเลย…เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!

ทั้งที่อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ทว่านางกลับรู้สึกถึงความเย็นเยียบสายหนึ่งซึ่งแผ่คลุมมาจากทั้งสี่ด้าน มันซึมตรงลงไปยังส่วนลึกของหัวใจ กิ่งไม้ที่มือคว้าอยู่ส่งเสียงใสกังวาน

ไป๋เฟิงซีเหินร่างลงสู่พื้นดิน บ่ายหน้าขึ้นเขาต่อไป ทว่าหัวใจกลับดำดิ่งลงสู่ก้นหุบเขา

 

กลางยอดเขาทางทิศใต้ หลุมศพใหม่แห่งหนึ่งเพิ่งถูกก่อขึ้น บนป้ายวิญญาณมีอักษรเรียบง่ายห้าคำ…’หลุมศพเยียนอิ๋งโจว’

ไป๋เฟิงซียืนอยู่หน้าหลุมศพนิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งกลายเป็นก้อนศิลา

เวลาล่วงผ่านไปนานถึงยื่นนิ้วออก แตะอักษรบนป้ายอย่างแผ่วเบา ในใจมีแต่ความโศกศัลย์

บุรุษเฉกเช่นนี้ต้องมานิทราชั่วนิรันดร์ยังที่แห่งนี้เสียแล้ว เมื่อสามวันก่อนยังเป็นคนที่มีชีวิต คล่องแคล่วมีเลือดมีเนื้อ เขายังเคยตระกองนางไว้แน่น ใช้ร่างกายปกป้องนาง

น้ำตาหยดหนึ่งรดลงบนป้ายศิลา ไป๋เฟิงซีย่อกายลงมองป้ายวิญญาณ

เยียนอิ๋งโจว สุดท้าย…สุดท้ายแล้วเจ้าตายด้วยมือผู้ใดกัน หากเป็นพรรคต้วนหุน ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าแน่! หากเป็นเขา…หากเป็นเขา…

เวลาเคลื่อนคล้อย แสงสายัณห์เก็บความอาวรณ์สุดท้ายที่มีต่อแผ่นดินอันไพศาลลง โถมสู่อ้อมกอดกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของปัจฉิมทิศ ม่านนภาสีดำทิ้งตัวลงอย่างอ้อยอิ่ง ครอบคลุมผืนฟ้าและแผ่นดิน อำพรางขุนเขาสีคราม ธาราเขียว บุปผชาติแดง และหญ้าชอุ่มไว้

“เจ้าจะก่อกระท่อมไว้ทุกข์ตรงนี้เลยหรือไม่” ท่ามกลางอนธกาลแห่งสายัณห์ เงาร่างสง่าของเฮยเฟิงซีก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า

ทันใดนั้นภูษาขาวก็ลอยออก พันรอบคอเขาในพริบตา

ไป๋เฟิงซีหมุนร่าง มือกุมภูษาขาวแน่น ดวงตาทั้งคู่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง

เฮยเฟิงซีไม่ขยับเขยื้อน ยืนนิ่งอย่างผ่าเผย ปล่อยให้ภูษาขาวพันรอบลำคออย่างกระชับแน่น และแน่นขึ้นไปอีก

“ทำไม ทำไมต้องโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้” นางเค้นเสียงลอดไรฟัน คมกริบดั่งคมดาบ

“เจ้ารู้แล้ว?” น้ำเสียงเฮยเฟิงซียังคงสุขุม

“ทางขึ้นเขาทั้งเหนือใต้ออกตก ถึงเจ้าจะเก็บกวาดแล้ว แต่ก้อนศิลาและคราบเลือดที่เหลืออยู่พวกนั้นก็มากพอให้ข้ามองออก ที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ตั้งของค่ายกลอสูร! เจ้าถึงกับตั้งค่ายกลอสูร! คืนนั้นเห็นทีว่าคนทั้งพันกว่าคนบนเขาลูกนี้หาได้มีผู้ใดเดินกลับออกไปไม่ ล้วนแต่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ทั้งสิ้น!” มือที่กระชับภูษาขาวไว้สั่นสะท้าน ไม่ทราบว่าเกิดจากแรงแค้นหรือความเศร้า “เพื่อป้ายขั้วกาฬชิ้นเดียวเจ้าถึงกับอำมหิตเช่นนี้ เจ้าก็ต้องการครอบครองป้ายขั้วกาฬโดยไม่เกี่ยงวิธีเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น? หลงคิดไปว่าหากครองป้ายแล้วก็จะสามารถบัญชาทั่วหล้าได้?”

“ไม่ว่าข้าทำเรื่องใด อาจอำพรางจากคนทั่วหล้า แต่อำพรางจากเจ้าไม่ได้อยู่ผู้เดียวจริงๆ เสียด้วย” เฮยเฟิงซีถอนใจแผ่วเบา “มิผิด ค่ายกลอสูรข้าเป็นคนตั้ง คนทั้งหมดบนเขาเซวียนซานในคืนนั้นนอกจากเจ้าแล้วก็ล้วนแต่ฝังร่างไว้ที่นี่”

เขากล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ราวกับการคร่าชีวิตคนนับพันไม่ผิดอันใดกับขยี้เศษธุลีบนนิ้ว เมื่อสิ้นวาจา ภูษาขาวที่พันอยู่รอบลำคอก็แน่นขึ้นอีกหลายส่วน

“สุดท้ายป้ายขั้วกาฬก็ตกอยู่ในมือเจ้า? เพื่อมิให้ผู้ใดรู้เจ้าจึงสังหารคนที่อยู่บนเขาเซวียนซานในคืนนั้นจนสิ้น?” ไป๋เฟิงซีจ้องเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้แปลกหน้าเหลือเกิน นี่คือเฮยเฟิงซีผู้ที่รู้จักกันนับสิบปี ยอมให้นางหยอกล้อด่าว่าตามใจผู้นั้นจริงๆ หรือ เขาไม่เคยอำมหิตเฉียบขาดถึงเพียงนี้มาก่อน!

“ใช่” เฮยเฟิงซีตอบอย่างหมดจด “คืนนั้นเรื่องแทบจะทุกประการล้วนแต่อยู่ใต้การควบคุมของข้า ทว่าป้ายขั้วกาฬเป็นของปลอมกลับอยู่เหนือความคาดหมาย”

“ปลอม?” ภูษาขาวในมือไป๋เฟิงซีคลายลง

“คาดว่าเยียนอิ๋งโจวก็หาได้บอกเจ้าไม่ ป้ายขั้วกาฬในมือเขาเป็นของปลอม หลังจากพวกเขาได้ป้ายมาครอง ในที่แจ้งก็บอกว่าให้ขุนพลวายุกล้าอารักขาป้ายกลับแคว้น ดึงให้คนทั่วหล้าตามแย่งชิง ในที่ลับกลับให้ผู้อื่นนำป้ายจริงไปส่ง” เฮยเฟิงซีถอนหายใจยาว

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหยัน “มิน่าเล่า เมื่อข้าถามถึงป้ายขั้วกาฬเจ้าถึงตอบว่า ‘ไม่มี’ สิ่งที่ล่อให้คนมากมายต้องเอาชีวิตไปทิ้งคือป้ายปลอมชิ้นหนึ่ง ช่างน่าหัวเราะจริง!” สายตาของนางเปลี่ยนไปจับที่ป้ายวิญญาณ “ส่วนเขาก็ถึงขั้นยอมแลกชีวิตเพื่ออารักขาป้ายปลอมนั่น”

“ได้ยินว่าสี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณล้วนแต่จงรักภักดีต่อซื่อจื่อแห่งจี้โจว บุกน้ำลุยไฟไม่เกี่ยงงอน เห็นทีวาจานี้คงไม่ปลอมแปลง” เฮยเฟิงซีมองไปทางหลุมศพ ในดวงตาฉายแววชื่นชม “เพื่อให้ป้ายจริงถูกส่งกลับแคว้นอย่างปลอดภัย เยียนอิ๋งโจวก็นำป้ายปลอมมาล่อให้คนทั่วหล้าไล่สังหาร จนกระทั่งตายก็ไม่คายความจริง ใจภักดีเยี่ยงนี้หาได้ยากยิ่ง”

“ไม่ว่าป้ายจะเป็นของจริงหรือปลอม ผู้คนมากมายต้องตายตกด้วยมือเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซี ประกายในดวงตาซับซ้อน “แม้เจ้าจะขึ้นชื่อเรื่องคุณธรรม ทว่าข้ารู้มาโดยตลอดว่าเจ้าไม่ทำเรื่องที่ตนไม่ได้ผลประโยชน์ ข้าแค่ไม่นึกฝันว่าเจ้าจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้ ทหารเป่ยโจวเหล่านั้นก็แค่ทำตามบัญชา ชาวยุทธ์เหล่านั้นหลายคนถูกหลอกใช้ ความผิดพวกเขาเดิมทีไม่ถึงตาย แต่เจ้า…”

“ข้าทำสิ่งใดก็ย่อมมีเหตุผลของข้า” เฮยเฟิงซีกลับกล่าวเพียงเรียบๆ

“เจ้าก็ประสงค์จะครอบครองป้าย ครอบครองใต้หล้าเช่นกัน?” ไป๋เฟิงซียิ้มเย็นชา “ผู้ที่สังหารผู้บริสุทธิ์เป็นผักปลา มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นเจ้าจะคู่ควรนั่งครองสายน้ำและขุนเขาอันไพศาลได้อย่างไร!”

“ฮ่าๆๆ…” เฮยเฟิงซีพลันระเบิดเสียงหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงแววเสียดสีอย่างหาได้น้อยครั้ง “สตรี ผู้ที่มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดไม่คู่ควรครองใต้หล้าอย่างนั้นหรือ มีปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกแผ่นดินพระองค์ใดได้แผ่นดินมาโดยไม่มีโลหิตไหลเป็นสายน้ำ ซากศพกองเป็นภูเขา!”

“อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ทึบเขลาเชื่อว่าป้ายคำสั่งกระจ้อยร่อยชิ้นหนึ่งจะสามารถช่วยให้ได้ครองแผ่นดิน พวกเขาสังหารคนในสนามรบ สู้เพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน มิใช่สังหารคนนับพันเพื่อป้ายคำสั่งชิ้นเดียว!” นางเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด

“ฮึ!” เฮยเฟิงซีแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าพูดให้คนเหล่านั้นสูงส่งขึ้นมาหน่อยเลย ในสถานซึ่งอยู่ระหว่างฟ้าและดินแห่งนี้ ผู้ใดก็ตามที่กลายเป็นราชัน มันผู้นั้นหาใช่วีรบุรุษอย่างที่ใจเจ้าหลงนึกเป็นอันขาด”

คำกล่าวนี้ประหนึ่งค้อนอันหนักอึ้งซึ่งทุบใส่ไป๋เฟิงซี สีหน้านางฉายแววหม่นหมอง กำลังมือผ่อนลง ภูษาขาวคลายออกช้าๆ แต่ทันใดนั้นนางก็รวบภูษาขาวแน่นอีกครา สายตาจับจ้องเฮยเฟิงซีเขม็ง “เขาถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่”

เฮยเฟิงซีฟังแล้วบนหน้าก็สาดแววขุ่นเคืองวูบหนึ่ง ทว่าสลายไปในพริบตา เขาเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “นับแต่เจ้ากับข้ารู้จักกันมา ข้าเคยโป้ปดเจ้าหรือไม่ ข้าเฟิงซีเป็นผู้ทำสิ่งใดแล้วไม่กล้ายอมรับกระนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นข้าก็บอกแต่แรกแล้วว่าบุรุษเฉกเช่นเขา ข้าจะไม่ลงมือ”

ไป๋เฟิงซีก้มหน้าลง ยกมือขึ้น ภูษาขาวพลันคืนสู่แขนเสื้อ “หากมิใช่เพราะรู้จักเจ้าดี เมื่อครู่ข้าคงสังหารเจ้าไปแล้ว!” สิ้นเสียงก็หมุนร่างลงเขา เดินไปไม่ถึงสองจั้งก็ได้ยินเสียงติ๊งแว่วขึ้น คล้ายเป็นเสียงอาวุธคืนฝัก ฝีเท้านางชะงัก ยิ้มอย่างฝาดขม จากนั้นก็พลิ้วร่างจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

เฮยเฟิงซีมองป้ายวิญญาณของเยียนอิ๋งโจว ครู่หนึ่งใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มอันขมขื่น “คิดว่าเจ้าเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้ก็น่าจะปลาบปลื้มเต็มหัวอกเลยกระมัง นางถึงขั้นจะสังหารข้าเพื่อเจ้า รู้จักกันนับสิบปี ถึงกับเทียบผู้ที่รู้จักไม่กี่วันอย่างเจ้าไม่ได้” กล่าวจบเขาก็ลงเขาไปเช่นกัน

ท่ามกลางแสงสลัวของยามเย็น เหลือเพียงหลุมศพใหม่อันเดียวดาย เสียงนกกาดังกังวานขึ้นเป็นครั้งคราว ลมภูเขาหนาวเย็นโชยผ่านเขาเซวียนซาน รอยเปียกชื้นสองสามหยดบนป้ายวิญญาณแห้งไปกับสายลมในเวลาอันรวดเร็ว

สองคนลงเขา คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ห่างกันประมาณห้าจั้ง เมื่อถึงเชิงเขาสีรัตติกาลก็เข้มจัดแล้ว สรรพสิ่งไร้สำเนียง เมื่อเดินไปถึงหร่วนเฉิง ตามถนนก็มีแสงโคมประปราย เป็นเวลาที่แต่ละบ้านแต่ละเรือนจมลงสู่ห้วงความฝันแล้ว

ขณะนั้นเอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งสู่เวหาจากทางปัจฉิมทิศ ย้อมม่านราตรีให้เป็นสีแดงเข้มในพริบตา

คนทั้งสองหนาวเยือก ใช้วิชาตัวเบาโผนร่างไปทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าคฤหาสน์สกุลหานทั้งหลังตกอยู่ในทะเลเพลิง

หน้าคฤหาสน์แน่นขนัดไปด้วยเพื่อนบ้านที่แตกตื่นเพราะเพลิงกาฬ พวกเขากำลังราดน้ำดับไฟเป็นพัลวัน เสียงกู่เรียก เสียงตวาด และเสียงร่ำไห้ปนเปเซ็งแซ่ โกลาหลไปทุกที่

“สกุลหานเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”

“ผู้ใดจะรู้เล่า นานขนาดนี้แล้ว แต่ไม่เห็นคนสกุลหานหนีออกมาแม้แต่คนเดียว”

“ประหลาดแท้ คงมิใช่ถูกเผาตายอยู่ด้านในหมดแล้วหรอกนะ”

“เฮ้อ น่าอนาถ”

เบื้องหน้าเปลวเพลิง ผู้คนมิวายวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา

ทันใดนั้นเงาร่างสีขาวสายหนึ่งก็วูบเข้าสู่ทะเลเพลิง จากนั้นเงาร่างสีดำก็เหินตามเข้าไปติดๆ

คนทั้งหลายพากันขยี้ตา หมายจะมองให้ชัด ทว่าเงาทั้งสองสายหายไปเสียแล้ว จึงอดตะขิดตะขวงระคนแตกตื่นมิได้ว่าเมื่อครู่ตาฝาดมองพลาดไปหรือไม่ หาไม่แล้วเพลิงกำลังโหมกระหน่ำเช่นนี้ ใครเล่าจะพุ่งเข้าใส่ นี่มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ

ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ขัดดาลจากด้านใน ตลอดทางที่ผ่านมีผู้คนล้มอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ล้วนแต่ถูกดาบฟันตรงหน้าอก สิ้นชีพในดาบเดียว บ้างก็โลหิตไหลจนหมดกายแล้ว บ้างก็ยังมีโลหิตอุ่นๆ ไหลจากอก บ้างเบิกตาทั้งคู่กว้าง ตายตาไม่หลับ บ้างก็กุมศาสตราวุธประหนึ่งจะลุกขึ้นแลกชีวิตกับศัตรู…

บนธรณีประตู บนพื้นศิลา บนบันได ล้วนแล้วแต่เป็นโลหิตสีแดงฉาน แม้จะก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ตำแหน่งที่ลงเท้าก็ยังเป็นพื้นเปื้อนโลหิต

“มีคนหรือไม่ ยังมีผู้ใดอีกหรือไม่” ไป๋เฟิงซีตะโกน ทว่ามิมีผู้ใดขานรับ มีเพียงควันหนาที่ม้วนตลบอย่างเกรี้ยวกราดและเพลิงแรงกล้าที่คำรามอย่างบ้าคลั่ง

“ตาเฒ่าหาน ท่านตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ขานรับสักคำ!”

“ตายสิ้นแล้ว ถึงกับไม่เหลือรอดแม้สักผู้เดียว” เสียงปลดปลงของเฮยเฟิงซีดังขึ้นจากเบื้องหลัง

ไป๋เฟิงซีหมุนร่างขวับ หันหน้ามองไปทางเขา สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง คมดุจกระบี่ “เพื่อสูตรโอสถใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่ข้า” เฮยเฟิงซีเอ่ยคำ เมื่อสิ้นเสียงเพลิงโทสะก็พลันท่วมทะลักอก ไยต้องอธิบาย จะอธิบายไปเพื่ออันใด หึ!

“เจ้าพำนักที่คฤหาสน์สกุลหานมิใช่เพื่อสูตรโอสถผงตำหนักม่วงและโอสถเม็ดพุทธจิตหรอกหรือ ตาเฒ่าหานบูชาเจ้าเหมือนเป็นโพธิสัตว์ แต่อย่านึกว่าข้ารู้ไม่เท่าทันว่าเจ้าคิดการใดไว้” สีหน้าไป๋เฟิงซีอ่อนลง ทว่าน้ำเสียงยังคงเย็นชา

“สูตรโอสถข้าลอกไว้นานแล้ว” เป็นครั้งแรกที่เฮยเฟิงซีหุบรอยยิ้มไม่อนาทรร้อนใจลง แทนที่ด้วยอาการเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง

“ตามคาด” ไป๋เฟิงซียิ้มเย็น ทันใดนั้นก็เอียงหูสดับฟัง แล้วพลันโผนร่างไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเฮยเฟิงซีตามติดอยู่ด้านหลัง

เมื่อทะลวงผ่านทะเลเพลิง ตรงหน้าก็คือสวนดอกไม้ด้านหลังของสกุลหาน เสียงร่ำไห้อันแผ่วเบาดังแว่วมาเป็นระยะ ทั้งสองเหินร่างไปตามเสียงก็พบว่าข้างภูเขาจำลองมีเงาร่างกระจ้อยร่อยคุกเข่าอยู่

“ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ท่านลุกขึ้นซี ลุกขึ้นมา! ฮือๆๆ…ท่านพ่อ ท่านลุกขึ้นซี ผู่เอ๋อร์จะพาท่านออกไป!” ร่างเล็กจ้อยกอดซากศพบนพื้นไม่ยอมปล่อยพร้อมกับร่ำไห้เรียกหา

“หานผู่?” ไป๋เฟิงซีเห็นร่างน้อยๆ นั่นก็หลุดปากเรียก

ร่างเล็กได้ยินเสียงคนเรียกก็หันมามอง จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่นาง

“ท่านมันสตรีนิสัยไม่ดี จะมาชิงโอสถบ้านข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ ท่านชิงเอาไปเลย! เอาเลย! ท่านพ่อข้าตายเสียแล้ว! ท่านเอาไปอีกซี! ฮือๆ…ดูว่าท่านยังจะเอาสิ่งใดไปได้อีก!” ทางหนึ่งร่ำไห้โวยวาย ทางหนึ่งก็ทุบตีไป๋เฟิงซี ดวงหน้าเต็มไปด้วยโลหิตและน้ำตา

“หานผู่!” ไป๋เฟิงซีคว้าเขาไว้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

“สตรีนิสัยไม่ดี! เพราะท่านผู้เดียว! เหตุใดต้องแช่งท่านพ่อด้วย ฮือๆๆ…ท่านพ่อจัดงานฉลองวันเกิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! สตรีนิสัยไม่ดี! สตรีบ้า! ข้าชังท่านแทบตายแล้ว! คืนท่านพ่อข้ามา!” หานผู่ดิ้นสุดฤทธิ์ เมื่อสู้ไม่ได้ก็อ้าปากกัดมือไป๋เฟิงซี

“โอ๊ย!” นางร้องอย่างเจ็บปวด ขณะสะบัดออก เฮยเฟิงซีก็โบกมือสกัดจุดหานผู่ เขาพลันสิ้นสติไปในอ้อมกอดไป๋เฟิงซีทันที

“พาเขาออกจากที่นี่ก่อนเถอะ หาไม่พวกเราก็จะทิ้งร่างอยู่กลางทะเลเพลิงเช่นกัน” เฮยเฟิงซีกล่าว

“ได้” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะ อุ้มหานผู่ขึ้น เมื่อกลอกตาเห็นหานเสวียนหลิงบนพื้นก็ทอดถอนใจ “จิ้งจอกดำ เจ้าพาเขาออกไปด้วยเถิด”

ว่าแล้วนางก็อุ้มหานผู่ขึ้นเหินร่างจากไป ทิ้งให้เฮยเฟิงซีถลึงตามองศพหานเสวียนหลิงบนพื้น ครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจยาว ก้มกายลงอุ้มหานเสวียนหลิง “ข้าเฮยเฟิงซีถึงกับตกต่ำจนต้องมาอุ้มคนตาย ไม่ผิดคาดเลย รู้จักสตรีนางนี้เป็นการเริ่มต้นเคราะห์กรรมชั่วชีวิต”

 

เนินรกร้างทางชานเมืองตะวันตกของหร่วนเฉิงมีหลุมศพใหม่ก่อขึ้นอีกแห่ง

“ท่านพ่อ ท่านพักให้สบายเถิด ผู่เอ๋อร์จะล้างแค้นให้ท่านเอง” หานผู่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาว คุกเข่าอยู่หน้าหลุม ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซียืนอยู่ด้านหลัง

“ท่านพ่อ ท่านวางใจได้ วันหน้าผู่เอ๋อร์จะดูแลตัวเอง ฮือๆ…” หยาดน้ำตาที่ฝืนกลั้นไว้ร่วงลงมา ในกาลข้างหน้าบิดาผู้รักและเมตตาเขาไม่อาจกางแขนทั้งสองออกปกป้องเขาได้อีกต่อไป บนโลกใบนี้สกุลหานเหลือเพียงเขาผู้เดียวแล้ว

ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีมองหานผู่ด้วยความเวทนา ทว่าในใจกลับไม่เกิดความโศกเศร้าอันล้ำลึกอีก พวกเขาผาดโผนในยุทธภพมานับสิบปี พบเจอการพลัดพรากทั้งเป็นและลาจากด้วยความตายจนชาชินนานแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคำอวยพรสุดท้ายแก่ผู้วายชนม์ ขอให้พักผ่อนอย่างสงบในโลกหน้าเท่านั้น

“เจ้าว่าเขาจะร้องจนถึงเมื่อใด” เฮยเฟิงซีถาม

“ไหนเลยข้าจะรู้ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษก็ขี้แยได้ถึงเพียงนี้” ไป๋เฟิงซีตอบอย่างไม่อินังขังขอบ

“เจ้าผิดแล้ว เขายังมิอาจนับเป็นบุรุษ เป็นแต่เพียงทารกน้อยเท่านั้น” เฮยเฟิงซีแก้ไขให้นาง

เสียงของทั้งสองไม่ดังไม่เบา พอเพียงให้หานผู่ได้ยินพอดิบพอดี

ดังคาด ครั้นได้ยินเสียงราวกับเสียงนกเสียงกาของทั้งสองแล้ว หานผู่ก็หันหน้าไปถลึงตาใส่พวกเขา แค่ว่าในตาทั้งคู่ยังเอ่อด้วยหยาดน้ำ บนหน้ามีทั้งคราบน้ำตาทั้งน้ำมูก หาความน่าเกรงขามสักนิดก็ไม่มี

หานผู่เช็ดหน้าหนึ่งครา โขกศีรษะหนักๆ อีกหนึ่งที จากนั้นถึงหยัดกายขึ้น ก้าวไปตรงหน้าไป๋เฟิงซี ล้วงถุงแพรออกจากอกยื่นให้นาง “ก่อนท่านพ่อจะเอาตัวข้าไปซ่อนได้กำชับว่าให้มอบสิ่งนี้ให้ท่าน”

“คืออะไรหรือ หรือท่านพ่อเจ้าชังข้าเข้ากระดูก ก่อนตายจึงนึกวิธีล้างแค้นอะไรออก?” ไป๋เฟิงซีรับมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดออก ท่าทางขลาดเขลาหวาดกลัว

นางเปิดถุงแพร ล้วงผ้าไหมที่เก่าจนเหลืองแล้วออกมาสองผืน บนนั้นมีอักษรเขียนไว้แน่นขนัด เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของไป๋เฟิงซีก็เต็มไปด้วยความแตกตื่นตกใจ “ถึงกับเป็นสูตรโอสถผงตำหนักม่วง โอสถเม็ดพุทธจิต!”

เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อดประหลาดใจอยู่บ้างมิได้ จึงเขยิบเข้าไปดู เป็นสูตรโอสถสองอย่างที่เขาแอบลอกไว้เมื่อครั้งลอบเยี่ยมชมห้องลับในบ้านสกุลหานจริงๆ “สตรี ไม่นึกฝันว่าหานเสวียนหลิงปากบอกว่าชังเจ้าเข้ากระดูก ในทางลับกลับปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพิเศษ ก่อนตายยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วย”

“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ตาเฒ่าหานอยากจับข้ามาขยี้กระดูกให้เป็นผุยผงจนแทบคลั่งมิใช่หรือ ไฉนกลับมอบสูตรโอสถล้ำค่าที่เขาเห็นว่าสำคัญยิ่งชีพให้ข้าเล่า” ไป๋เฟิงซีพึมพำ ประหลาดใจเป็นที่สุด

“ท่านพ่อบอกว่าเฮยเฟิงซีแม้คล้ายจะมีเมตตาธรรมและคุณธรรมล้ำเลิศ แต่น้ำใจไม่แน่นอน ยากจะคาดเดา หากมอบสูตรโอสถแก่เขา มิรู้จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ ส่วนไป๋เฟิงซีแม้จะนอกรีตนอกรอย บ้าระห่ำไม่เห็นหัวผู้ใด แต่สิ่งที่ทำล้วนไม่ขัดต่อคุณธรรมของชาวยุทธ์ ซ้ำวรยุทธ์สูงส่ง หากมอบให้นางก็มิต้องห่วงว่าจะถูกคนชั่วชิงไป ด้วยอัธยาศัยของนางจะสร้างความผาสุกให้ใต้หล้า” หานผู่ทวนคำของหานเสวียนหลิงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีฟังวาจานี้แล้วก็มองหน้ากันอยู่เป็นนาน จากนั้นไป๋เฟิงซีก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาและแช่มช้าว่า “ผู่เอ๋อร์น้อย แน่ใจหรือว่านั่นคือคำพูดของพ่อเจ้า”

“ฮึ!” หานผู่แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง “ท่านไม่เอาใช่หรือไม่ เช่นนั้นคืนให้ข้า!”

“เอาซี! จะไม่เอาได้อย่างไร!” เฟิงซีรีบเก็บผืนผ้าไหมใส่ถุงแพร จากนั้นก็ยัดใส่อกเสื้อ “ผู่เอ๋อร์น้อย ขอบใจมากนะ”

“อย่ามาเรียกข้าผู่เอ๋อร์น้อย คลื่นไส้แทบตายแล้ว!” หานผู่จ้องนางด้วยสายตาเคืองแค้น

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าผู่เอ๋อร์เป็นอย่างไร หรือจะเป็นน้องผู่ หรือว่า…” นัยน์ตานางกลอกไปมา ปากร่ายคำเรียกขานออกมาเป็นชุด

“ข้ามีชื่อมีแซ่ อย่าเรียกเสียชวนขนลุกเช่นนั้น ข้ากับท่านก็หามีความสัมพันธ์อันใดไม่! สตรี!” หานผู่ตะโกนลั่น ทว่าไม่ทันขาดคำก็รู้สึกตึงวูบที่ลำคอ ขาลอยจากพื้น เบื้องหน้าคือใบหน้าไป๋เฟิงซีที่ใหญ่ขึ้นเท่าตัว

“ผู่เอ๋อร์ ข้าขอเตือนเจ้า ‘สตรี’ นี้มิใช่คำเรียกที่เจ้าจะสามารถเรียกได้ จำเอาไว้ว่าวันหน้าให้เรียกพี่สาว! ได้ยินหรือยัง” ไป๋เฟิงซีหิ้วหานผู่ขึ้นมาจ้องตาในระดับเดียวกัน

“แค่กๆ…ท่าน…แค่กๆ…ปล่อยข้าลง!” หานผู่กุมคอเสื้อ ไออย่างหนัก ขาทั้งสองปัดป่ายไปมากลางอากาศ

“เรียกพี่สาว!” ไป๋เฟิงซีมิเหลียวแลแม้แต่น้อย ยังคว้าเขาไว้ หรี่ตาลงจนเป็นเส้น

“พี่สาว…พี่ซี…พี่สาวคนดี…” ด้วยเรื่องวรยุทธ์ หานผู่จึงจำต้องก้มศีรษะอันสูงส่งลง

“นี่จึงจะเรียกว่าว่าง่าย ผู่เอ๋อร์” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะเขาเบาๆ แล้วจึงปล่อยมือ แล้วหานผู่ก็มีอันต้องร่วงลงมากองที่พื้น

“สตรี เพิ่งจะรู้ว่าตาเฒ่าหานชื่นชมเจ้า เจ้าก็รังแกบุตรชายเขาแล้ว หากเขารู้เข้าจะต้องคลานขึ้นมาจากหลุมเป็นแน่” เฮยเฟิงซีส่ายศีรษะถอนใจ

“นี่ จิ้งจอกดำ เรามาหารือกันสักเรื่อง” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซีด้วยอาการหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม

“ไม่หารือด้วย” เฮยเฟิงซีปฏิเสธเฉียบขาด ไม่ไว้หน้าแม้น้อยนิด “ไม่เกี่ยวกับข้า”

“ไม่เกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร! เจ้าก็แอบลอกสูตรโอสถผู้อื่นเช่นกัน จะอย่างไรก็ได้ผลประโยชน์แล้ว ฉะนั้นกับบุตรกำพร้าสูงสามเชียะของผู้อื่น ตามเหตุผลเจ้าควรต้องดูแลสักหน่อย” ไป๋เฟิงซีหาแยแสคำปฏิเสธของเขาไม่

“สูตรโอสถนั้นข้าได้มาด้วยความสามารถของตน ไม่นับว่าเขาอำนวยให้ กลับเป็นเจ้า ผู้อื่นมอบให้ด้วยตัวเอง กับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ เจ้าควรต้องตอบแทนให้มากเป็นน้ำพุจึงจะถู” เฮยเฟิงซีทำท่าดั่งไม่ใช่เรื่องของตน

“จิ้งจอกดำ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องดูแลเองนี่ เจ้าไปไหนก็มีคนตามเป็นพรวนอยู่แล้วมิใช่หรือ ให้จงหลีหรือจงหยวนดูแลก็เรียบร้อยแล้ว” ไป๋เฟิงซีเกลี้ยกล่อมเต็มกำลัง

“เจ้าเป็นสตรี ดูแลเด็กเป็นเรื่องของสตรี” เฮยเฟิงซีไม่หวั่นไหว

“ผู้ใดกำหนดว่าสตรีมีหน้าที่ดูแลเด็ก!?” ไป๋เฟิงซีโวยวาย

“มิสู้ให้เขาเลือกเองเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีเอ่ยขณะมองหานผู่ที่ยังนั่งคลำบั้นท้ายน้อยๆ อยู่บนพื้น

“ได้ ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเลือกไปกับเจ้า” ไป๋เฟิงซีตอบด้วยความมั่นใจล้นปรี่

“หานผู่ เจ้ามานี่” เฮยเฟิงซีกวักมือเรียกหานผู่ให้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา “ต่อไปเจ้าจะไปกับข้าหรือจะไปกับสตรีผู้นั้น”

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไปกับจิ้งจอกดำตัวนี้หรือไม่ ขอบอกให้รู้ว่าหากติดตามเขา ทุกวันจะได้กินของหายากอาหารเลิศรส ระหว่างทางยังมีหญิงงามมากหน้าหลายตาโถมกายเข้าสู่อ้อมอก มิพักต้องเอ่ยถึงเสื้อผ้าแพรไหมซึ่งตัดเย็บด้วยมือหยกเรียวบางเหล่านั้นที่มีมาให้ใส่ไม่หวาดไม่ไหว ขนมถูกปากเยอะจนกินไม่หมด…แค่คิดข้าก็น้ำลายไหลแล้ว” ไป๋เฟิงซีล่อลวงเขา

หานผู่มองเฮยเฟิงซี แล้วก็หันไปมองไป๋เฟิงซีต่อ จากนั้นก็หันหน้าไปหาเฮยเฟิงซี จ้องนิ่งอยู่ที่เขา ไป๋เฟิงซีเห็นก็อดยินดีมิได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคำที่หลุดจากปากหานผู่จะเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่ไปกับท่าน ข้าจะไปกับนาง” ว่าแล้วก็เดินมาอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี แหงนหน้ามองนาง ท่าทางประหนึ่งมีบุญคุณต่อผู้อื่น “ต่อไปท่านดูแลข้าก็แล้วกัน”

“อะไรนะ” ไป๋เฟิงซีกรีดร้อง “เหตุใดเจ้าถึงจะอยู่กับข้าเล่า ต้องรู้นะว่าอยู่กับข้าไม่มีของดีๆ ให้กิน ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ให้ใส่ ไม่แน่ว่าแต่ละวันยังต้องนอนกลางป่าด้วย แต่หากอยู่กับเขา…”

“ข้ารู้” ไม่รอให้ไป๋เฟิงซีกล่าวจบหานผู่ก็พยักหน้าประหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ข้ารู้ว่าอยู่กับเขาจะมีของดีๆ กิน มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่ข้าห่วงว่าวันดีคืนดีนอนหลับฝันอยู่ก็อาจโดนขายทิ้งไปแล้ว อยู่กับท่านถึงแม้จะลำบากไปบ้าง แต่อย่างน้อยทุกวันก็ยังสามารถนอนหลับอย่างวางใจ”

“หา?” ไป๋เฟิงซีคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ นางพลันอึ้งไปกะทันหัน ครู่ต่อมาก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ…จิ้งจอกดำ!” นางหัวเราะจนตัวงอ มือข้างหนึ่งกุมท้อง มืออีกข้างชี้เฮยเฟิงซี “นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าถึงกับมีวันนี้ด้วย ถูกเด็กน้อยคนหนึ่งรังเกียจ! ฮ่าๆๆๆ…ฮ่าๆๆๆ…ข้าขันจะตายอยู่แล้ว”

ส่วนเฮยเฟิงซี พริบตาที่ได้ยินคำตอบก็ฉายสีหน้าประหลาดใจ แต่อึดใจเดียวก็คืนสู่สภาพกงจื่อผู้สูงศักดิ์สง่างาม ใบหน้าฉายรอยยิ้มผ่อนคลายอันเป็นเอกลักษณ์ “สตรี ตกลงตามนี้ เจ้าผีน้อยนี้มอบให้เจ้าเป็นผู้ดูแล เพียงแต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตาเฒ่าหานจะถึงกับให้กำเนิดบุตรเฉลียวฉลาดออกมาได้” ประโยคสุดท้ายเบายิ่งกว่าเบา ราวกับในใจไม่ยินยอม

บทที่ 5 ประกายกระบี่ดุจหิมะ คนดุจบุปผา

“ผู่เอ๋อร์ คืนนั้นเจ้าเห็นคนร้ายเหล่านั้นหรือไม่”

นอกหร่วนเฉิง อาชาขาวตัวหนึ่งเหยาะย่างอย่างแช่มช้า บนหลังม้ามีคนสองคนนั่งอยู่ หานผู่อยู่ด้านหน้า ไป๋เฟิงซีอยู่ด้านหลัง

หานผู่ส่ายหน้า “ข้าเห็นคนเหล่านั้น แต่พวกมันล้วนปิดหน้า ทำให้มองไม่เห็นหน้า”

“มองไม่เห็นหน้า…” ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้นพวกมันใช้ศาสตราวุธใด”

“ดาบ เป็นดาบที่กว้างมากและใหญ่มากทั้งสิ้น” หานผู่เอ่ย

“ดาบรึ…” นางขมวดคิ้วอีกครา “แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าพวกมันใช้กระบวนท่าใดบ้าง”

หานผู่ส่ายหน้าอีกคำรบ “ทันทีที่คนชุดดำเหล่านั้นมา ท่านพ่อก็ซ่อนข้าเอาไว้ บอกว่าหากท่านพ่อไม่เรียกก็ห้ามออกมาเป็นอันขาด ฉะนั้นเรื่องในเวลาต่อมาข้าก็ไม่รู้เลย”

“เฮ้อ เจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง เช่นนี้จะให้ข้าไปตามหาคนชุดดำเหล่านั้นได้ที่ใดเล่า” ไป๋เฟิงซียกมือขึ้นเคาะศีรษะหานผู่ “ชาตินี้เจ้ายังต้องการล้างแค้นอยู่หรือไม่”

หานผู่ถูกนางพูดใส่เช่นนี้ก็อดสูยิ่งนัก “ย่อมต้องการอยู่แล้ว! แม้ข้าจะไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพวกนั้น แต่ข้ารู้ว่าพวกมันมาเพื่อสูตรโอสถของบ้านข้า เพราะข้าได้ยินพวกมันบอกให้ท่านพ่อมอบสูตรโอสถออกมา”

“มิน่าเล่าโอสถบ้านเจ้าถึงได้ถูกกวาดจนเรียบ ส่วนสูตรโอสถนั้นหรือ ตอนนี้ก็อยู่ในมือข้า…” ไป๋เฟิงซีจับคาง ดวงตาสาดประกายเจ้าเล่ห์ “หากพวกเราปล่อยข่าวออกไปว่าสูตรโอสถแห่งสกุลหานอยู่ในมือข้า เช่นนั้นแล้วผู้ที่ละโมบอยากครอบครองสูตรโอสถวิเศษทั้งหมดก็จะแห่ตามมา คนชุดดำเหล่านั้นก็ต้องตามมาด้วยอย่างแน่นอน”

“ท่าน…หากท่านทำเช่นนี้ ถึงเวลานั้นคนทั่วหล้าก็จะพากันมาไล่สังหารท่าน!” ทันทีที่หานผู่ได้ยินดังนั้นก็อดร้องขึ้นไม่ได้ “ท่านไม่ต้องการชีวิตแล้ว!” แม้เขาจะเยาว์วัย ทว่าเรื่องเช่นนี้ก็แจ่มแจ้งดี

“พูดอะไรอย่างนั้น!” ไป๋เฟิงซียกมือขึ้นเขกอีกครั้ง

“โอ๊ย อย่ามาเขกข้า” หานผู่กุมศีรษะร้องโอดโอย

“เด็กน้อย เจ้ากลัวคนเหล่านั้นใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซียิ้มยั่วเย้า

“ข้ามิได้กลัวสักหน่อย!” หานผู่ยืดอก ดวงหน้าน้อยๆ อันคมคายเชิดสูงไม่หยอก “ท่านยังไม่กลัว ข้าเป็นชายชาตรีแท้ๆ จะกลัวอันใด! ยิ่งกว่านั้นข้าจะสังหารพวกมันเพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อ!”

“อืม ค่อยสมกับเป็นลูกผู้ชายหน่อย” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า พอเห็นหานผู่พยายามวางท่าเป็นผู้ใหญ่ เชิดดวงหน้าเล็กจ้อยที่หมดจดคมคายขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะเขกศีรษะเขาอีกครา

“อย่าเขกหัวข้าสิ เจ็บนะ!” หานผู่ลูบศีรษะป้อยๆ

“โบราณว่าไว้ว่าไม่เขกไม่บรรลุแจ้ง ฉะนั้นเขกสักหน่อยเจ้าจะได้ฉลาดขึ้นบ้าง” ไป๋เฟิงซียิ้มกล่าว ทว่าก็หยุดมือ

“ข้าฉลาดมากอยู่แล้ว ท่านพ่อกับท่านอาจารย์ต่างก็เคยชมข้าทั้งนั้น” หานผู่ลูบศีรษะพึมพำ สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า

เส้นทางเบื้องหน้ายาวไกล มิรู้จะไปยังทิศทางใด ในหัวสมองน้อยๆ ของเขาเคว้งคว้างไร้แผนการ รู้เพียงว่าหนทางในกาลข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิมแล้ว อาภรณ์แพรไหม อาหารชั้นเลิศ ไออุ่นอันรายล้อม ความไร้เดียงสา และความสุขในอดีตล้วนแต่ถูกสะบั้นลงในคืนนั้น บางทีตลอดหนทางข้างหน้าอาจเป็นลมฝน ควันไฟ และฝุ่นผง

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หานผู่ก็หันหน้ากลับมาเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ ขอบใจนะ”

แม้เขาจะยังเล็กนัก ทว่าก็เกิดในสกุลชาวยุทธ์ ยามปกติมักจะได้ยินบรรดาผู้อาวุโสพร่ำบอกว่ายุทธภพมากเภทภัยมีสารพัดเล่ห์ กระทั่งอาจต้องเอาชีวิตไปทิ้ง พอกระหวัดถึงตรงนี้ใจก็นึกซาบซึ้ง

“มา ‘นี่’ อันใดกัน เรียกพี่สาวสิ!” ศีรษะเขาถูกเขกอีกครา

“ถ้าท่านรับปากว่าจะไม่เขกอีก ข้าก็จะเรียก” หานผู่กุมศีรษะไว้ ป้องกันมิให้โดนเขกอีก

“ได้ แต่ลองเรียกให้ฟังสักคำก่อน” ไป๋เฟิงซีรับปากด้วยรอยยิ้มละไม

“เออ…พี่…พี่สาว” ในที่สุดหานผู่ก็กระมิดกระเมี้ยนเรียกออกมาคำหนึ่งด้วยเสียงเบาอย่างยิ่ง

“อืม ผู่เอ๋อร์เด็กดี” ไป๋เฟิงซียื่นมือ จากเดิมที่คิดจะเขกซ้ำ สุดท้ายก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งตกปากรับคำขึ้นได้ จึงเปลี่ยนจากเขกเป็นลูบในทันใด

“พี่สาว พวกเราจะไปไหน” เรียกไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อหานผู่เรียกซ้ำอีกครั้งก็คล่องปากขึ้นเป็นกอง

“ไม่รู้” นางกลับตอบส่งเดช

“อะไรนะ” หานผู่ฟังแล้วแทบกระโดด ทว่าตอนนี้นั่งอยู่บนหลังอาชาจึงไม่อาจกระโดดได้

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ไฉนจึงขวัญอ่อนเกินเหตุอยู่เรื่อย เจ้าต้องโตให้เร็ว ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น หากพบเหตุพลิกผันต้องไม่แตกตื่น เข้าใจหรือไม่” ไป๋เฟิงซีไม่ลืมอบรมน้องชายคนใหม่ผู้นี้เมื่อมีโอกาส

“ถึงเทศกาลฉงหยาง ก็ครบสิบขวบแล้ว” หานผู่ตอบตามตรง

“อ้อ ตอนข้าโตเท่าเจ้าก็กล้าออกไปเที่ยวคนเดียวแล้ว” นางกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ

“หือ?” หานผู่นึกสนใจขึ้นมาทันใด “ท่านออกจากบ้านคนเดียวหรือ ท่านพ่อท่านแม่ไม่เป็นห่วงหรือ”

ผู้ใดจะรู้ว่าไป๋เฟิงซีหาเหลียวแลคำถามของเขาไม่ นางขมวดคิ้วราวกับกำลังใคร่ครวญบางสิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งตาก็เป็นประกาย ปรบมือแล้วร้องว่า “ผู่เอ๋อร์ ข้านึกได้แล้ว”

“นึกอันใดได้หรือ”

“ถ้าปล่อยข่าวไปว่าสูตรโอสถอยู่ที่ข้า ถึงเวลาทั้งคนและม้าจากทั่วสารทิศจะต้องตามมาล่าสังหารเป็นแน่ ข้านั้นไม่กลัว แต่ว่าเจ้า…” นางเหล่มองเขา “ด้วยวรยุทธ์ปลายแถวของเจ้าจะต้องรักษาชีวิตไม่อยู่แน่นอน ดังนั้นข้าจึงคิดหนทางชั้นเยี่ยมทางหนึ่งขึ้นมาได้”

“หนทางชั้นเยี่ยมอันใดหรือ” หานผู่ถาม คิดดูแล้วคำพูดของนางก็มีเหตุผล วรยุทธ์เท่านี้ของเขาอย่าว่าแต่ล้างแค้นเลย กระทั่งรักษาตัวให้รอดก็ยังมิได้ ถึงเวลาไม่แน่ว่าจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย

“สูตรโอสถนั่นจิ้งจอกดำก็ลอกไว้ฉบับหนึ่งเช่นกัน วรยุทธ์ของเขาสูงล้ำกว่าเจ้ามิรู้กี่เท่า มิหนำซ้ำข้างกายยังมียอดฝีมือมากมาย ฉะนั้นเรามิสู้ปล่อยข่าวไปว่าสูตรโอสถอยู่ในมือเขา ให้คนไปไล่ล่าเขาแทน แล้วพวกเราก็ตามอยู่ด้านหลัง รอให้คนชุดดำเหล่านั้นปรากฏตัวก็ได้แล้ว” ไป๋เฟิงซียิ้มหน้าชื่นตาบาน ประหนึ่งภาคภูมิใจกับความคิดนี้เป็นนักหนา “หนทางของพี่สาวผู้นี้วิเศษยิ่งใช่หรือไม่”

หานผู่ฟังแล้วก็นิ่งงันไป ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ท่าน…ทำแบบนี้มิใช่ให้ร้ายเขาหรอกหรือ”

“พูดอะไรอย่างนั้น!” ฝ่ามือไป๋เฟิงซีตบลงบนศีรษะเขา ถึงจะรับปากว่าไม่เขก แต่หาได้รับปากว่าจะไม่ตบ “จิ้งจอกดำตัวนั้นมากเล่ห์ รู้พลิกแพลง ชั่วร้าย เลือดเย็น ไร้น้ำใจ…วรยุทธ์ก็ยากจะมีผู้ต่อกร เจ้ามิสู้เป็นห่วงว่าบรรดาผู้ที่ตามไล่ล่าจะสิ้นชีพลงด้วยมือเขาหรือไม่จะดีกว่า!”

“ลอบกัดลับหลัง สาดโคลนใส่ผู้อื่นกลับยังพูดเต็มปากได้เป็นฉากๆ เยี่ยงนี้นับว่าพบได้น้อยนัก”

ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเยือกเย็นผ่าเผยดังขึ้น ทั้งสองหันหน้ามองไปก็พบอาชาพ่วงพีสีดำตัวหนึ่งซึ่งบรรทุกเฮยเฟิงซีเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ เบื้องหลังมีพลอาชาตามมาสองคน คือฝาแฝดจงหลีและจงหยวนผู้มีหน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ถัดไปอีกคือรถม้าคันหนึ่ง สารถีคือผู้เฒ่าอายุราวห้าสิบ สีหน้าอมเหลือง ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสาดประกายคมปลาบ

“จิ้งจอกดำ เจ้าก็ใช้เส้นทางนี้เหมือนกันหรือ” ไป๋เฟิงซีทักทายด้วยรอยยิ้มระรื่น ไม่มีอาการละอายใจสักนิดเดียว “ในเมื่อทางเดียวกัน เช่นนั้นก็ขอยืมรถม้าเจ้าใช้หลับสักงีบ ข้าง่วงแล้ว” สิ้นคำนางก็เหินร่างขึ้นจากหลังอาชา ทิ้งร่างลงบนรถม้า โบกมือให้สารถีหนึ่งครา “ท่านลุงจง ไม่พบกันนานเชียวนะ” จากนั้นเอ่ยกับจงหลีและจงหยวนว่า “ขนมบนรถข้ากินล่ะนะ หากจิ้งจอกดำหิว พวกเจ้าค่อยคิดหาทางอุดปากของเขาเสีย ถึงที่แล้วค่อยปลุกข้า” ว่าแล้วก็มุดเข้ารถม้า

“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใดกัน” หานผู่ผู้ถูกทิ้งไว้บนหลังอาชาถามอย่างร้อนรน

ผ้าม่านรถม้าเลิกขึ้น ไป๋เฟิงซีเยี่ยมหน้าออกมา ชี้ไปยังเฮยเฟิงซี “ตามเขาไปก็แล้วกัน” แล้วก็หดกลับเข้าไป ไม่โผล่ออกมาอีก

หานผู่มองเฮยเฟิงซีเป็นเชิงถามโดยไร้สุ้มเสียง

“พวกเราไปอูเฉิงก่อน” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงราบเรียบ ดึงเชือกกระตุ้นอาชาขึ้นนำหน้าไป

หานผู่เหลียวกลับมามองรถม้าที่เงียบกริบ เริ่มสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าตนเลือกติดตามคนผิดหรือไม่

 

ในอาณาเขตเป่ยโจวมีภูเขาสูงมากมาย ทางทิศใต้มีภูเขานามว่าอูซาน เชิงเขามีเมืองนามว่าอูเฉิง เป็นเมืองชายแดนที่เชื่อมต่อกับราชอาณาเขตของฮ่องเต้ มีแม่น้ำอันมีต้นกำเนิดจากบนเขาอูซานอ้อมผ่านเมือง ไหลเข้าสู่ที่ราบฉีอวิ๋น พาดผ่านราชอาณาเขตทั้งผืน เรื่อยต่อไปยังโยวโจว นี่ก็คือแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสามของต้าตง…แม่น้ำอูอวิ๋น (เมฆนิล)

ยามนี้ริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋นมีเรือลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ เรือนี้ลักษณะภายนอกไม่ผิดอะไรกับเรือทั่วไป ความพิเศษเพียงอย่างเดียวก็คงจะเป็นตัวเรือซึ่งทาเป็นสีดำสนิท

บัดนี้หัวเรือมีคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็ก นั่นก็คือเฮยเฟิงซีและหานผู่นั่นเอง

ส่วนไป๋เฟิงซี เดิมทีนั่งเอียงร่างพิงระเบียงเรือ ทว่ายามนี้กลับไหลลงไปหลับฝันหวานบนพื้นเรือเสียแล้ว

เวลาพลบค่ำ อาทิตย์อัสดงทอแสงสีทองอ่อนจางมาจากเส้นขอบฟ้า สะท้อนกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำอูอวิ๋นเป็นประกายระยิบระยับ ท้องน้ำผืนฟ้าเป็นสีเดียว บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน กระทั่งกกอ้อสี่ห้าพุ่มที่ริมแม่น้ำก็ยังถูกฉาบด้วยสีทองอ่อนๆ ไว้หนึ่งชั้น มันไหวลู่ท่ามกลางสายลม ดุจจะอวดเสน่ห์เสี้ยวสุดท้าย

ดวงตาหงส์เรียวยาวของเฮยเฟิงซีหรี่ลง เขาเชิดศีรษะมองไกลไปยังดวงตะวันสีแดงที่ห้อยอยู่ทางทิศตะวันตกดวงนั้น รัศมีทองอร่ามนับหมื่นสายครอบคลุมอยู่บนร่าง เขาในขณะนี้เงียบงันไร้ซึ่งวาจาใด เสมือนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่นี้มาแต่บรรพกาล มิคล้ายกงจื่อสูงศักดิ์ผู้นุ่มนวลงามสง่าชวนเบิกบานในยามปกติสักนิดเดียว เงาร่างดำทะมึนสูงโปร่งกลางแสงสายัณห์แลดูสูงใหญ่ถึงเพียงนั้น สุขุมยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา แฝงความอ้างว้างอันเป็นลักษณะเฉพาะของภูผาสูงกลางแสงอัสดง ราวกับทั่วทั้งฟ้าดินเหลือเพียงเงาของเขาแต่เพียงผู้เดียว

ทว่าสายตาหานผู่กลับจับจ้องอยู่ที่ไป๋เฟิงซีผู้หลับอุตุอยู่บนพื้นเรือ เพียงแต่จ้องอยู่เป็นครึ่งวันก็ยังคงขบคิดไม่แตกว่าไฉนคนเฉกเช่นนี้ถึงเป็นไป๋เฟิงซีผู้มีนามลือเลื่องทั่วหล้าไปได้

ตลอดทางจากหร่วนเฉิงถึงอูเฉิง หลักๆ แล้วไป๋เฟิงซีกระทำเพียงสองเรื่อง นั่นก็คือกินข้าวและนอนหลับ ดูเหมือนนางจะนอนไม่พออยู่ร่ำไป เว้นเสียแต่เวลายืน ขอแค่นั่งลงหรือเอนร่างสักหน่อยนางก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้ทันที วิชาหลับอันฉกาจฉกรรจ์นี้ทำให้หานผู่นับถือยิ่งนัก

ส่วนเรื่องกินน่ะหรือ เฮ้อ! นึกถึงวันแรก นางเอาข้าวปลาอาหารที่พี่น้องสกุลจงเตรียมไว้พอให้เฮยเฟิงซีกินสองวันมาเทลงท้องจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็หลับไป สุดท้ายพวกเขาจึงมีแต่ต้องกินอาหารที่ร้านเล็กๆ ข้างทาง พออาหารมาพวกเขาสามสี่คนที่กำลังหิวจนหน้ามืดก็ตะกรุมตะกรามเป็นการใหญ่ แต่เฟิงกงจื่อกลับมองเพียงแวบหนึ่ง ไม่ขยับตะเกียบสักคราก็ลุกขึ้นเดินกลับรถม้าไป

อึดใจต่อมาก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากในรถ ผสมกับเสียงบริภาษที่ฝืนข่มความเจ็บปวด ‘จิ้งจอกดำ ข้าจะฆ่าเจ้า!’

เมื่อได้ยินเสียงโอดโอยในรถม้า จงหลี จงหยวน และท่านลุงจงผู้นั้นก็ยังคงก้มหน้าก้มตากินดังเดิม มีแค่เขาที่เหลือบมองรถม้าอย่างหวาดวิตก ห่วงว่าจะรถทลายคนม้วย กระทั่งอาหารก็ลืมกินเสียแล้ว ท้ายที่สุดท่านลุงจงก็ตบเขาเบาๆ เป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล และแน่นอนว่าสุดท้ายทั้งสองก็มิได้ก่อเรื่องจนมีผู้ใดถึงแก่ชีวิต แม้แต่รอยแผลก็ยังมิเห็นสักครึ่งแห่ง

นางในยามนี้…สตรีผู้หนึ่ง กำลังนอนหงายร่างหลับบนพื้นเรืออย่างผ่าเผย มิแยแสแสงสว่างจ้าสักนิดเดียว มิแยแสว่ารอบข้างมีบุรุษอยู่ด้วย ประหนึ่งว่าฟ้าดินก็คือที่นอนและม่านมุ้งของนาง หลับสบายฝันหวานได้ถึงเพียงนั้น

หานผู่มองอย่างเงียบงัน พอมองนานเข้าจิตใจก็เริ่มเหม่อลอย

ไป๋เฟิงซีตะแคงร่างบนพื้นเรือ แขนข้างหนึ่งซ้อนอยู่ใต้ศีรษะ แขนอีกข้างพาดเฉียงๆ บนหน้าท้อง เส้นผมยาวเหยียดสยายบนพื้นเรือราวกับดาดไว้ด้วยที่นอนแพรไหมสีดำ พอลมแม่น้ำพัดผ่าน แพรสีดำขลับก็พลิ้วขึ้นเป็นสาย บางปอยร่วงลงบนชุดสีขาวดุจควันบางเบาตลบม้วนเมฆา บางปอยก็ลอยละล่องพลิ้วไหวในอากาศสองสามคราก่อนจะร่วงลงบนพวงแก้มของนาง เส้นผมนุ่มเงางามค่อยๆ ระผ่านดวงหน้าขาวราวหิมะอย่างอาลัยอาวรณ์…

เมื่อเฮยเฟิงซีหันกลับมาก็พบว่าหานผู่กำลังจับจ้องไป๋เฟิงซีนิ่ง ในดวงตาฉายแววงุนงง สงสัย ชื่นชม อัศจรรย์ใจ…บนใบหน้าเล็กจ้อย ในดวงตาน้อยๆ เปี่ยมไปด้วยความครุ่นคิดอันลึกซึ้งอย่างไม่สอดคล้องกับอายุ เขายื่นมือตบศีรษะเล็กๆ ของหานผู่ เด็กชายเหลียวศีรษะกลับมามองเขา กึ่งขุ่นเคืองกึ่งจนใจ

ทันใดนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้น ทั้งสองหันหน้าไปมองพร้อมเพรียง แต่กลับหาไป๋เฟิงซีไม่พบเสียแล้ว เห็นเพียงที่หัวเรือมีสายน้ำกระเซ็นออกเป็นวง สาดลงบนพื้นเรือ ครู่ต่อมาทั้งสองได้สติแล้วถึงกระจ่างแจ้งว่าไป๋เฟิงซีร่วงตกลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว!

“อ้า นางว่ายน้ำเป็นหรือไม่”

หานผู่ร้องด้วยความตระหนก พุ่งไปยังกราบเรือ แต่เฮยเฟิงซีกลับดึงตัวเขาเอาไว้ ปากนับเบาๆ ว่า “หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบ!”

พรวด! ผิวน้ำแตกกระจาย จากนั้นก็เห็นไป๋เฟิงซีลอยขึ้นมา

“แค่กๆ…เจ้า…เห็นคนจะตายก็ไม่ช่วย…แค่กๆ…เจ้ามัน…จิ้งจอก!” นางทางหนึ่งก็สำลัก ทางหนึ่งก็ว่ายเข้ามา

“สตรี วิชาหลับของเจ้าทำให้ข้านับถือยิ่งนัก กระทั่งอยู่ในน้ำก็ยังอุตส่าห์หลับได้” ปากส่งเสียงชื่นชม ทว่าฟังออกไม่ยากถึงเจตนากระทบกระเทียบ

ไป๋เฟิงซีพุ่งจากน้ำขึ้นสู่เวหา ม้วนกายกลางอากาศหนึ่งรอบ ทำให้หยดน้ำสาดพรมลงบนเรือจนร่างของสองคนที่อยู่บนเรือชุ่มโชกไปด้วยน้ำ

“สำราญเพียงลำพังมิสู้สำราญร่วมกัน น้ำเย็นชื่นใจเยี่ยงนี้ข้าขอแบ่งปันให้พวกเจ้าร่วมสำราญด้วย” ไป๋เฟิงซีทิ้งร่างลงบนหัวเรือ พอเห็นคนทั้งสองที่ถูกน้ำสาดใส่จนเปียกชุ่มแล้วก็อดหัวเราะอย่างเริงร่ามิได้

“จุ๊ๆ!” เฮยเฟิงซีเอียงศีรษะ ดวงตาดำจับจ้องไป๋เฟิงซี “แม้เจ้าจะเกียจคร้านจนน่าทึ่ง แต่เจ้าก็หาได้เกียจคร้านจนเนื้อพอกพูนไม่” สายตาเขาเคลื่อนสำรวจขึ้นๆ ลงๆ พินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ “ส่วนที่ควรมีก็มี ส่วนที่ไม่ควรมีก็ไม่มี อื้ม หากว่ากันด้วยจุดนี้ เจ้าก็ยังมีดีอยู่”

ยามนี้ไป๋เฟิงซีเปียกโชกไปทั้งร่าง ชุดสีขาวหลวมๆ นั้นแนบชิดกับผิวกาย ส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นได้ชัดตา เส้นผมดำยาวเหยียดแนบอยู่บนร่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หยาดน้ำหยดแล้วหยดเล่าร่วงจากเรือนร่างและเส้นผม ดวงหน้าดั่งหยกขาวสัมผัสน้ำ ชุ่มชื้นบริสุทธิ์ยวนใจ ประหนึ่งภูตน้ำที่ผุดขึ้นจากสายธาร เปี่ยมเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลง

หานผู่เห็นสภาพไป๋เฟิงซีในยามนี้ แม้อายุยังน้อยแต่ก็หมุนกายไปอีกทาง เขาหลับตาลง ในสมองนึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยสั่งสอนว่า ‘ผิดจริยาอย่ามอง’ แต่ก็นึกสงสัยในใจว่าสำหรับคนเยี่ยงไป๋เฟิงซี ในสมองของนางจะมีคำว่า ‘จริยา’ หรือไม่

ไป๋เฟิงซีก้มศีรษะ ย่อมรู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น ทว่าไป๋เฟิงซีก็คือไป๋เฟิงซี หาได้มีทีท่าประดักประเดิดสักนิด นางสะบัดศีรษะ แล้วเส้นผมยาวเหยียดเปียกชื้นก็ถูกเหวี่ยงมาอยู่ด้านหน้า อำพรางทัศนียภาพแห่งฤดูใบไม้ผลิบนเรือนกายไว้บางส่วน ต่อมาก็กล่าวพร้อมกับยิ้มหน้าระรื่น “สามารถได้รับคำชมเช่นนี้จากเฟิงกงจื่อผู้เผื่อแผ่น้ำใจไปทั่วหล้า ช่างเป็นเกียรติสูงสุด” เสียงหัวเราะยังมิทันขาดคำ ร่างก็โผนมาหยุดตรงหน้าเฮยเฟิงซี นางยื่นแขนทั้งสอง หมุนร่างอ้อนแอ้นดุจดั่งภูตน้ำเริงระบำ “สภาพนี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้างเมื่อเทียบกับบรรดาแม่นางในหอบุปผาเหล่านั้น” ระหว่างเอ่ยคำ หยดน้ำกระเซ็นวนเป็นเกลียว ถักทอเป็นม่านน้ำสลัวเลือนครอบคลุมเรือนกาย ทำให้เห็นได้ไม่ชัด และม่านน้ำนั้นก็ครอบลงบนร่างเฮยเฟิงซีเช่นกัน

“แม่นางในหอบุปผาแต่ละคนล้วนอ่อนโยนช่างเอาใจ ฉอเลาะเย้ายวน ไม่มีทางสาดน้ำใส่ข้าจนเปียกไปทั้งร่างเป็นอันขาด” เฮยเฟิงซีหรี่ตายิ้มอย่างขมขื่น

“อ้อ เช่นนี้เองหรือ” นางหยุดร่าง เอียงศีรษะถามสั้นๆ อาจเพราะดวงตาทั้งคู่ถูกน้ำ มันจึงทอประกายใสบริสุทธิ์วาววับ

“ถึงแม้เจ้าจะทั้งไม่อ่อนโยนและไม่ฉอเลาะเย้ายวน แต่แม่นางในหอบุปผาคนใดก็ไม่มีความสามารถที่จะสาดน้ำใส่จนข้าเปียกไปทั้งร่างได้” เฮยเฟิงซีปาดน้ำที่พร่างพรมเต็มหน้าออก ถอนใจอย่างอับจนปัญญา

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะร่า หางตาเหลือบเห็นดวงหน้าน้อยๆ ที่แดงเป็นตำลึงสุกของหานผู่ จึงดีดนิ้วคราหนึ่ง แล้วหยดน้ำหยดหนึ่งก็กระทบกลางหน้าผากเขาอย่างจัง

“โอ๊ย!” หานผู่ร้องอย่างเจ็บปวด คลำหน้าผากป้อยๆ เบิกตาถลึงใส่ไป๋เฟิงซีอย่างเคืองแค้น ในที่สุดเขาก็แน่ใจว่ากับคนเฉกเช่นนี้ไม่ควรกล่าวถึง ‘จริยา’

“ผีน้อยอย่างเจ้ายืนทึ่มทำอันใด ยังไม่เร่งไปหาเสื้อผ้ามาให้พี่สาวเปลี่ยนอีก” ไป๋เฟิงซีกล่าวพร้อมกับชายตามองเขา

เมื่อสิ้นกระแสเสียง จงหยวนก็ประคองเสื้อผ้าชุดหนึ่งมายื่นให้นางอย่างนอบน้อม “แม่นางซี โปรดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือเถิด”

“จงหลี ยังเป็นเจ้าที่ว่าง่าย!” ไป๋เฟิงซีรับเสื้อผ้าไว้ ตบศีรษะเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มละไม

“แม่นางซี ข้าคือจงหยวน” ดวงหน้าหมดจดของจงหยวนแดงราวกับอาทิตย์ยามเย็นทางปัจฉิมทิศ

“อ๋อ” คิ้วยาวเรียวของไป๋เฟิงซีเลิกขึ้น จากนั้นก็พูดเองเออเองว่า “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรจงหลีจงหยวนก็ล้วนแต่หมายถึงพวกเจ้าทั้งนั้น” ว่าแล้วก็หมุนร่างเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือ

รอจนนางเปลี่ยนชุดเสร็จถึงก้าวออกมา แล้วก็เห็นที่หัวเรือมีคนกำลังชักใบเรือ

“เจ้าจะไปที่ใด” เฮยเฟิงซีเอามือไพล่หลัง เหยียดร่างอยู่ที่หัวเรือ ถามเสียงราบเรียบโดยไม่หันกลับมามอง

“แล้วแต่” นางก็ตอบอย่างเรียบง่าย เงยหน้ามองไปยังมวลเมฆที่พลิกผันหมื่นพันบนท้องนภาฝั่งตะวันตก “ขึ้นฝั่งแล้วเดินไปถึงที่ไหนก็คือที่นั่น”

หานผู่ได้ยินดังนั้นก็คว้าแขนเสื้อไป๋เฟิงซีไว้ตามสัญชาตญาณ

หางตาเฮยเฟิงซีเหลือบเห็นทุกสิ่ง มุมปากจึงโค้งขึ้น ผุดรอยยิ้มบางๆ “หานผู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปกับนาง”

“แน่นอน!” หานผู่กุมแขนเสื้อไป๋เฟิงซีแน่น ตอบโดยไม่ลังเลแม้เศษเสี้ยว ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทุกคราวที่ถูกสายตาของเฮยเฟิงซีผู้นี้กวาดผ่าน หัวใจก็จะเย็นวาบ รู้สึกเสมอว่าตาคู่นั้นเจิดจ้าเกินไป ลึกล้ำเกินไป จะหมื่นเรื่องหมื่นสิ่งก็ล้วนแต่ถูกสายตาเขามองทะลุประหนึ่งเป็นของโปร่งใส นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่หานผู่ไม่ไปกับเขา

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีหัวเราะอย่างลึกล้ำยากคาดเดา จากนั้นก็ก้มลงเอ่ยอย่างปลดปลงด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินว่า “เดิมคิดจะช่วยฉุดเจ้าขึ้นมาสักหน ทว่า…ภายหน้าเจ้าก็จะได้รู้จักความยากลำบากแล้ว”

“ท่านพูดอะไรน่ะ” หานผู่ได้ยินไม่ชัดและก็ฟังไม่เข้าใจ

“ไม่มีอะไร” เฮยเฟิงซีหันหน้าไปมองไป๋เฟิงซี “เรื่องสืบหาตัวคนร้ายที่สังหารล้างบ้านสกุลหาน เจ้าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจริงหรือ”

“ใช้สิ่งใดเป็นเหยื่อล่อก็ขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ของข้า ส่วนคนเหล่านั้น…” ไป๋เฟิงซียกมือเสยผมยาวสลวยที่ยังมีน้ำหยดอยู่ ดวงตาทอแววคมกริบเจิดจ้าดั่งประกายกระบี่ ทว่าเลือนหายในพริบตา ท่วงท่ายังคงเอื่อยเฉื่อย “สิ่งที่เจ้ากับข้าคาดเดา คิดว่าความจริงคงผิดไปไม่มาก ห้าปีก่อนแม้เจ้ากับข้าจะเหยียบพรรคต้วนหุนจนราบคาบไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจตัดรากถอนโคนได้ ห้าปีให้หลังพวกเขาปรากฏตัวอีกครั้งที่เขาเซวียนซานในเป่ยโจวเพื่อล้อมสังหารเยียนอิ๋งโจว ส่วนคดีโศกนาฏกรรมล้างสกุลหาน คิดดูแล้วคงสลัดความเกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่หลุด แต่ไหนแต่ไรมาคนเหล่านั้นก็รู้จักแต่รับเงินทำงาน ผู้ที่สามารถจ้างพวกเขาได้อย่างน้อยจะต้องเป็นพ่อค้าคหบดี”

เฮยเฟิงซีเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบเรือกางออกแล้ว “ข้าจะตรงเข้าฉีอวิ๋นจากทางแม่น้ำอูอวิ๋น เจ้ามิสู้ใช้เส้นทางที่ผ่านซังโจว ระหว่างทางข้าจะช่วยเจ้าสืบหาร่องรอยของมือสังหาร ส่วนเจ้าช่วยข้าตามหาร่องรอยของป้ายขั้วกาฬ แล้วมาพบกันอีกทีที่จี้โจว เช่นนี้เป็นอย่างไร”

ไป๋เฟิงซีมองเขา นางจับประกายที่วาบขึ้นแล้วหายไปในดวงตาเขาได้จึงกล่าวยิ้มๆ “เหตุใดเจ้าต้องยึดติดอยู่กับป้ายขั้วกาฬด้วยเล่า หรือเจ้าเฮยเฟิงซีประสงค์จะสร้างจักรวรรดิแซ่เฟิงจริงๆ”

“จักรวรรดิแซ่เฟิงรึ…” เฮยเฟิงซีผุดยิ้มบางที่ชวนให้ขบไม่ออก เขามองตรงไปจนสุดสายตา “ข้าก็แค่ได้รับการไหว้วานจากผู้อื่นเท่านั้น”

“ใครกันที่มีเกียรติสูงเพียงนี้ ถึงกับสามารถบอกให้เจ้าทำงานให้เขาได้” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้ว “เขาผู้นั้นมิกลัวไหว้วานผิดคนหรือ”

“หลันซีกงจื่อแห่งยงโจว” เฮยเฟิงซีตอบเสียงราบเรียบ เบนสายตากลับมาอยู่บนร่างไป๋เฟิงซี “อัญมณีที่ใช้หนี้แทนเจ้าวันนั้นก็เป็นสิ่งที่เขามอบให้ กล่าวเช่นนี้เจ้าก็ติดค้างน้ำใจเขาอยู่เหมือนกัน ในเมื่อป้ายขั้วกาฬคือสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าช่วยเขาสืบข่าวคราวสักหน่อยก็เป็นการสมควร”

“หลันซีกงจื่อ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ จากนั้นมุมปากก็คลี่ยิ้มเหน็บแนม “ได้ยินว่าหลันซีกงจื่อผู้เป็นหนึ่งในกงจื่อทั้งสี่แห่งต้าตงเป็นผู้หมดจดงามสง่าดุจกล้วยไม้ในหุบเขาลึก คิดดูแล้วคงเป็นผู้อยู่เหนือโลกียวิสัย หลุดพ้นจากความหยาบยุ่ง แต่ไฉนเขาจึงยึดติดกับป้ายขั้วกาฬซึ่งมือโสมมนับพันหมื่นเคยจับ คราบโลหิตสกปรกนับไม่ถ้วนเคยแปดเปื้อน มิเพียงส่งขุนพลมาแย่งชิง ยังใช้ทรัพย์สินจ้างชาวยุทธ์ เห็นทีเมื่อเอ่ยถึงบัลลังก์ฮ่องเต้ ตำแหน่งเจ้าแห่งขุนเขาลำเนาหลวง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงส่งเพียงไรก็ไม่อาจสามารถหนีโลกียวิสัยอันสามัญนี้พ้น”

กับคำกระทบกระเทียบเสียดสีของไป๋เฟิงซี เฮยเฟิงซีคุ้นเคยจนเป็นสิ่งปกติไปเสียแล้ว รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าจึงมิแปรเปลี่ยน เพียงมองท่าน้ำแล้วเอ่ยว่า “เรือออกแล้ว เจ้าจะร่วมทางไปฉีอวิ๋นกับข้าหรือ”

“ข้าไม่ไปกับจิ้งจอกดำอย่างเจ้าหรอก” ไป๋เฟิงซียื่นมือคว้าคอเสื้อหานผู่ สะกิดปลายเท้าเหินร่างขึ้นแล้วทิ้งตัวลงบนฝั่งอย่างนุ่มนวล

“สตรี อย่าลืมที่นัดกันเสียเล่า พบกันที่จี้โจว” เสียงเฮยเฟิงซีลอยล่องมาประโยคหนึ่ง

“ฮ่า…จิ้งจอกดำ ให้ข้าพบป้ายขั้วกาฬก็ไม่บอกเจ้า ข้าจะยกให้ซื่อจื่อแห่งจี้โจว” ไป๋เฟิงซีกลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ทำไม” เฮยเฟิงซีถาม

เรือยิ่งลอยยิ่งห่าง ทว่าคำตอบของไป๋เฟิงซียังคงถ่ายทอดมาอย่างชัดเจน

“เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา คือสิ่งที่เขาเอาชีวิตเข้าแลก” นางมองใบเรือขาวที่ลอยห่าง นั่นคือสิ่งเดียวที่เป็นสีขาวบนเรือลำนั้น ไป๋เฟิงซีพึมพำว่า “ยิ่งกว่านั้นนัดของเจ้า ข้าก็มิได้รับปากเสียหน่อย”

สุดท้ายใบเรือสีขาวผืนนั้นก็ลับหายไปในเส้นขอบฟ้า ผู้ที่อยู่บนฝั่งยังคงยืนเหม่อ มองดูขุนเขาครามสายธารเขียวกลางแสงสายัณห์ หัวใจกลับหนักอึ้งโดยไร้ที่มาที่ไป

“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ” หานผู่เรียกไป๋เฟิงซีที่ยังทอดสายตาไปไกล

“ที่ไหนก็ได้” คำตอบของนางเท่ากับมิได้ตอบ

“ข้าไม่ต้องการไป ‘ที่ไหนก็ได้’ ” หานผู่ข้องใจในการเลือกของตัวเองอีกครั้ง

“อ้อ” ไป๋เฟิงซีก้มมองเขา จากนั้นถึงเอียงศีรษะตริตรอง “เช่นนั้นเราก็เดินไปตามเส้นทางนี้ ซังโจว จี้โจว โยวโจว ชิงโจว ยงโจว จากนั้นค่อยไปราชอาณาเขตฉีอวิ๋น…ไปตามนี้เถิด ต้องมีสักวันที่ได้พบคนเหล่านั้นแน่”

ฟังไป๋เฟิงซีร่ายเส้นทาง หานผู่ก็หัวสมองอุดตัน เบิกตามองนาง “จะเดินเช่นนี้เรื่อยไป?” คำที่ยุทธภพกล่าวไว้ว่านางห้าวหาญร้ายกาจไม่ธรรมดา เฉลียวฉลาดสติปัญญาล้ำเลิศ จะต้องเป็นคำที่เล่าลือกันอย่างผิดพลาดเป็นแน่!

“ไป เจ้าผีน้อย ชักสีหน้าอันใดใส่ข้า” นิ้วเรียวบางของไป๋เฟิงซียื่นออก ดีดลงบนหน้าผากหานผู่ จากนั้นก็เดินนำหน้าไป “เคยได้ยินคำกล่าวประโยคหนึ่งหรือไม่ สวมใส่อยู่เป่ยโจว กินอยู่ซังโจว ยุทธ์อยู่จี้โจว ความรู้อยู่ชิงโจว เที่ยวอยู่โยวโจว ศิลป์อยู่ยงโจว พี่สาวจะพาเจ้าไปหาประสบการณ์กินดื่มเที่ยวหาความสำราญสักตั้ง!”

“ท่านเดินช้าๆ หน่อยซี” หานผู่รีบตามไป ก้าวเข้าสู่การเดินทางครั้งแรกในชีวิตของเขา

 

ครึ่งเดือนให้หลัง ณ ซังโจว เส้นทางบนภูเขาทางชายแดนตะวันตก

หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กกำลังเร่งเดินทาง ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าคือสตรีอาภรณ์ขาว เสื้อคลุมหลวมแขนเสื้อใหญ่ เส้นผมดำยาวทิ้งตัวดุจสายน้ำ ฝีเท้าแผ่วเบา สีหน้าแช่มชื่น ผู้ที่เดินอยู่ด้านหลังคือเด็กชายอาภรณ์ขาว บนหลังแบกห่อสัมภาระขนาดย่อม เครื่องแต่งกายสีขาวบนร่างจวนจะกลายเป็นสีเทา ใบหน้าคมคายสูญสิ้นความกระปรี้กระเปร่า ดวงตาทั้งสองหมองหม่น ปากยังมิวายรำพึงรำพันอย่างอ่อนแรง… “ข้ามากับท่านได้อย่างไรกันนะ อยู่กับท่านมีกินมื้อนี้ไม่มีมื้อหน้า บางครายังกินแล้วชักดาบ หากหนีไม่พ้นก็เอาข้าจำนำไว้ที่นั่น มิอย่างนั้นก็กินผลไม้ป่าผักป่าถ่วงท้อง น้ำยังดื่มเอาจากลำธารร่องเขา! ยามนอนหากมิใช่นอนใต้ชายคาบ้านผู้อื่นก็ห้อยอยู่ตามต้นไม้ หาไม่ก็อาศัยเสื่อหญ้าตามวัดผุพังมาห่อกาย ตากลม กรำแดด เปียกฝน ไม่ได้สุขสบายเลยสักวัน!

เหตุใดไป๋เฟิงซียอดฝีมืออันดับต้นๆ ในยุทธภพถึงไม่มีเงินเล่า จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมิใช่ล้วนแต่มีบารมีน่าเกรงขาม เอวพันด้วยพวงเงินนับหมื่นหรอกหรือ ข้าน่าจะไปกับเฮยเฟิงซี ต่อให้โดนขายทิ้งไปขณะหลับฝัน อย่างน้อยก็ได้กินอิ่มสักหลายมื้อ และได้หลับอย่างสบาย”

ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าผู้ที่กำลังบ่นคือหานผู่ที่ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าจะไปกับไป๋เฟิงซี ทว่ายามนี้เขาสำนึกเสียใจภายหลังอย่างรุนแรง

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าสิบขวบหรือแปดสิบกันแน่ อย่าเดินกระต้วมกระเตี้ยมเป็นตาแก่สิ” ไป๋เฟิงซีที่ด้านหน้าหันกลับมาเรียกหานผู่ผู้ล้าหลังไปสี่ห้าจั้ง

ทันทีที่ได้ยินหานผู่ก็นั่งแปะลงบนพื้น ไม่ยอมขยับแล้ว เขาใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายถลึงตาใส่ไป๋เฟิงซีอย่างดุดัน

ไป๋เฟิงซีย้อนกลับมาตรงหน้าเขา มองหานผู่ที่อ่อนล้าแวบหนึ่ง ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “ผู้ใดอ้างตนว่าเป็นชายชาตรีหนอ เหตุใดเดินนิดเดินหน่อยเท่านี้ก็ไม่ไหวแล้ว”

“ข้ากระหาย…ข้าหิว…ข้าไม่มีแรง…” หานผู่โต้แย้งอย่างกะปลกกะเปลี้ย

“เฮ้อ ก็ได้ ข้าจะไปหาดูว่ามีกระต่ายป่าหรือไก่ภูเขามาให้เจ้ากินรองท้องสักตัวหรือไม่”

ไป๋เฟิงซีจนปัญญา ดูแลเด็กนั้นไม่ดีเลย โดยเฉพาะพวกที่โตมาด้วยอาภรณ์แพรไหม อาหารชั้นเลิศดั่งหยก ร่างกายถูกประคบประหงมเต็มที่ ซ้ำยังเลือกกินเลือกดื่ม ทว่า…นิสัยเสียชอบเลือกกินของเขาถูกนางรักษาไปมากแล้วระหว่างทางที่ผ่านมา ฮ่าๆ อย่างน้อยยามที่เขาหิว ขอแค่เป็นสิ่งที่กินได้ เขาก็ล้วนแต่กลืนลงท้องประหนึ่งหมาป่าฮุบเสือเขมือบ

“ส่วนอาการกระหายของเจ้า…ละแวกนี้คล้ายจะไม่มีน้ำบาดาล” นางกลอกตา กดเสียงกระซิบข้างหูเขาว่า “มิสู้ดื่มโลหิตกระต่ายป่าหรือไก่ภูเขาเถิด ทั้งแก้กระหายทั้งได้บำรุง”

“แหวะ! แหวะ!” หานผู่ผลักนางให้พ้นตัวแล้วพุ่งไปอาเจียน แต่กลับอาเจียนแห้งๆ สามสี่ครั้ง หาได้อาเจียนเอาสิ่งใดออกมาไม่ เพราะของทั้งหมดในกระเพาะย่อยหมดสิ้นไปนานแล้ว

“ฮ่าๆๆๆ…ผู่เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสนุกนัก” ไป๋เฟิงซีจากไปด้วยเสียงหัวเราะร่า “จำไว้ เก็บฟืนมาสักหน่อย ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ลงแรง”

“รู้แล้ว” หานผู่รับคำงึมงำ จากนั้นก็โซซัดโซเซไปเก็บฟืนจำนวนหนึ่งกลับมา หาพื้นราบแห่งหนึ่ง แล้วใช้มีดพกสั้นถางเป็นที่ว่างขนาดเล็ก นำฟืนมาก่อแล้วรอเพียงไป๋เฟิงซีกลับมา

“ผู่เอ๋อร์เด็กดี ก่อไฟได้” เสียงไป๋เฟิงซีดังมาแต่ไกล หานผู่รู้ว่านี่หมายถึงนางล่าสัตว์ได้แล้ว จึงรีบหาหินไฟมาจุด เมื่อฟืนติดไฟ ไป๋เฟิงซีก็มือข้างหนึ่งหิ้วไก่ภูเขา มือข้างหนึ่งถือสาลี่ป่าผลค่อนข้างใหญ่สองผลเดินกลับมาถึงที่แล้ว

“แก้กระหายก่อนเถิด” นางโยนสาลี่ป่าให้หานผู่

หานผู่รับได้ก็กัดคำหนึ่ง ออกแรงดูดน้ำในเนื้อสาลี่ทันที จากนั้นก็ผ่อนหายใจยาวอย่างมีความสุข ยามนี้สำหรับเขา น้ำสาลี่เปรี้ยวอมหวานเทียบได้กับน้ำทิพย์ก็ไม่ปาน

“ผู่เอ๋อร์ จะกินไก่ย่างหรือไก่ขอทาน” ไป๋เฟิงซีถอนขนไก่ภูเขาอย่างคล่องแคล่ว แหวกอกผ่าท้อง ท่วงท่าชำนิชำนาญเช่นนั้น หากไม่ฝึกฝนมาสามปีห้าปีไม่มีทางทำได้

“ย่าง…” ในปากหานผู่มีเนื้อสาลี่อยู่ หวังแค่ให้มีของกินโดยเร็วเท่านั้น

“เช่นนั้นก็ไก่ย่างสกุลเฟิงแล้วกัน” ไป๋เฟิงซีเสียบไก่ไว้เหนือกองไฟ “ผู่เอ๋อร์ ไฟน้อยไปหน่อย เจ้าเป่าให้ลุกกว่านี้อีกนิด”

หานผู่กินสาลี่ป่าไปหนึ่งผล จึงเริ่มมีกำลังขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเขี่ยๆ กองไฟแล้วเป่าฟู่

“ไม่ได้ แรงอีกหน่อย!” ไป๋เฟิงซีพูดพลางพลิกไก่ไปพลาง “ถ้าไฟยังไม่แรงอีก ประเดี๋ยวจะให้เจ้าแทะกระดูกไก่”

ประจักษ์ดีว่านางพูดได้ทำได้ หานผู่จึงรีบสูดหายใจเข้าลึกๆ รวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน จากนั้นก็ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเป่าออกไป

ฟืนไฟและฝุ่นตลบขึ้นในอากาศ ขี้เถ้าดำปลิวว่อนแล้วร่วงลงสู่ศีรษะ ใบหน้า และทั่วร่างของทั้งสอง

ไป๋เฟิงซีปาดขี้เถ้าออกจากใบหน้า ดวงหน้าขาวผ่องกลายเป็นหน้าลายดำสลับขาว นางเบิกตา เค้นคำสองคำผ่านไรฟันด้วยเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง “หานผู่!”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย!” หานผู่ถดร่างหนีเข้าไปในพุ่มไม้ทันที บัดนี้การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวยิ่งกว่ากระต่ายป่าอย่างแน่แท้

“หยุดนะ!” ไป๋เฟิงซีเหินร่างไล่ตาม ในพุ่มไม้หนาทึบ ไหนเลยจะยังเห็นเงาร่างของเขาได้

หานผู่ที่เร้นกายในพุ่มไม้กระถดร่างอย่างช้าๆ เกรงว่าทันทีที่ไม่ระวังก็จะถูกไป๋เฟิงซีพบเข้า เขานึกเสียใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยว่าควรตามเฮยเฟิงซีไป อย่างน้อยก่อนตายอีกฝ่ายคงให้ตนได้กินอิ่มสักมื้อ

สวบสาบ! ด้านหลังมีเสียงแว่วขึ้น นางไล่มาแล้ว! เขากระโดดโหยง รีดพลังทั้งหมดทั้งมวลที่ได้จากนมแม่สำแดงวิชาตัวเบาที่อยู่ในระดับแมวสามขาพุ่งหนีไปข้างหน้า

ฟุบ! เสียงลมด้านหลังคล้ายกับเสียงศาสตราวุธแหวกอากาศ คมเกินต้านรับ!

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ครั้งหน้าข้าจะระวัง!” หานผู่ร้องเอะอะอย่างน่าเวทนา

ทว่าเสียงลมจากด้านหลังกลับยิ่งกระชั้น ความเย็นเยียบสายหนึ่งจ่อมาถึงท้ายทอยเขาแล้ว

นางไม่ใจเหี้ยมถึงขั้นนี้กระมัง? ท่ามกลางความชุลมุนเขาหันหน้ามองกลับไปแวบหนึ่ง การมองครานี้ทำเอาเขาตระหนกจนขวัญแทบจะหลุดออกจากร่าง!

บางสิ่งราวกับผลึกหิมะแซมด้วยประกายเข็มดาดทั่วฟ้า ม้วนตลบเข้าใส่เขาอย่างแน่นหนาดั่งสายฝน หานผู่ยังมิทันส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกกับลีลาอันวิจิตร ปลายคมก็ใกล้จะถึงผิวเนื้อแล้ว กระแสเย็นแผ่ลามมาทะลวงกระดูก เขาหลับตาลง ปากได้แต่ร้องตะโกนว่า “พี่สาวช่วยข้าด้วย!”

ผ่านไปเป็นนาน ความเจ็บปวดจากคมอาวุธทะลวงร่างก็ยังไม่มาถึง กระทั่งกระแสเย็นสายนั้นก็ทอนลงไปไม่น้อย รอบด้านคล้ายกับจะเงียบสงัดยิ่ง หานผู่ลอบเปิดตาขึ้นเป็นร่องเล็กๆ ทันใดนั้นลมหายใจเฮือกหนึ่งก็จุกอยู่ที่ลำคอ

ปลายกระบี่คมกริบเจิดจ้าดุจหิมะจ่ออยู่ห่างจากลำคอเขาไปชุ่นเดียว เมื่อมองตามกระบี่ยาวขึ้นไป บริเวณสองชุ่นก่อนถึงปลายกระบี่คือนิ้วเปื้อนขี้เถ้าดำสองนิ้ว นิ้วกลางและนิ้วชี้เรียวยาวคีบใบกระบี่ไว้โดยสะดวกดาย ครั้นมองผ่านนิ้วต่อขึ้นไป ด้านบนก็คือมือข้างหนึ่งที่กุมด้ามกระบี่ มือนั้นขาวผ่องหมดจด เรียวยาว ต่างกันราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับนิ้วเปื้อนขี้เถ้า ถ้ามองต่อไปตามมือข้างนั้นก็คือแขนเสื้อขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ต่อจากแขนเสื้อขึ้นไปเหนือหัวไหล่คือดวงหน้าประหนึ่งหิมะ

ผุดผ่องดั่งผลึกหิมะ งดงามดั่งผลึกหิมะ เย็นเยียบดั่งหิมะ และเปราะบางดั่งผลึกหิมะ ราวกับเพียงแตะอย่างแผ่วเบา ดวงหน้านี้ก็จะปลิวลอยและละลายไป

“ตกใจจนเขลาไปแล้วหรือ” ข้างหูมีเสียงเหน็บแนมของไป๋เฟิงซีดังขึ้น

“พี่สาว!” หานผู่ได้สติ ตื่นเต้นจนกอดนางไว้ กระแสเย็นทั้งหมดจึงสลายไป หัวใจที่สะท้อนขึ้นลงก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม

“อืม” นางขานรับเบาๆ ดวงตาจับจ้องคนตรงหน้าเขม็ง

คนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี? เว้นเสียจากดวงหน้านั้น ส่วนอื่นดูแล้วน่าจะเป็นบุรุษ…ดูเหมือนมนุษย์หิมะ!

ผมยาวขาวดุจหิมะ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ผิวกายขาวดุจหิมะ ยังมีดวงตาเย็นชาเจิดจ้าที่สุกใสดุจหิมะ ทั้งบุคลิกยังเฉยชาเย็นเยียบดุจหิมะ สิ่งเดียวที่มีสีดำก็คือคิ้วรูปกระบี่นั่น

ผู้ที่งดงามประหนึ่งหิมะเช่นนี้ มิรู้ว่าจะเปราะบางไม่อาจทานแรงกระเทือนแม้สักคราเช่นเดียวกับหิมะหรือไม่

ความคิดในใจเพิ่งแล่น มือซ้ายก็ยกขึ้น งอนิ้วดีดบนใบกระบี่ เสียงติ๊งดังเกรื่องกร่าง มือที่บุรุษชุดขาวหิมะกุมกระบี่สั่นสะท้าน ทว่ายังคงกุมไว้ได้อย่างมั่นคง ดวงตาเย็นเยียบดั่งหิมะจ้องนางไม่วางตา นัยน์ตาถึงขนาดฉายสีฟ้าขึ้นเล็กน้อยอย่างน่าพิศวง

“เอ๋?” ไป๋เฟิงซีตระหนกระคนประหลาดใจ ดีดครั้งนี้นางใช้แรงถึงห้าส่วน เดิมคิดว่าบุรุษชุดขาวหิมะจะต้องกระบี่หลุดจากมือเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่าเขายังกุมไว้ได้ เห็นทีวรยุทธ์คงมิใช่ชั่ว

บุรุษชุดขาวหิมะพรั่นพรึงยิ่งกว่า สตรีบ้านนอกผู้เปรอะฝุ่นดินไปทั่วร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้าดำเป็นปื้น มอมแมมเหมือนโผล่ออกมาจากบ่อดินตรงหน้าถึงกับสามารถใช้สองนิ้วคีบกระบี่ซึ่งเขาแทงออกไปด้วยแรงทั้งหมดไว้ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ และแรงดีดเพียงคราเดียวก็ทำให้นิ้วเขาชาด้าน หากมิใช่เพราะเดินกำลังภายในทั้งหมดคุ้มกันอยู่ เกรงว่ากระบี่ล้ำค่าคงปลิวหลุดมือไปแล้ว

นางคือผู้ใด ยุทธภพมีสตรีที่วรยุทธ์ร้ายกาจเพียงนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน

“ข้าปล่อยมือเจ้าเก็บกระบี่ หรือเอาเป็น…” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองบุรุษชุดขาวหิมะตรงหน้า มุมปากหยักน้อยๆ เป็นรอยยิ้มจางๆ แค่ว่าดวงหน้าที่ดำเมี่ยมพอคลี่ยิ้มแล้วก็ดูน่าขันยิ่ง “หรือเอาเป็น…ข้าหักมันทิ้ง?”

ดังคาด ทันทีที่สิ้นเสียงดวงตางดงามคู่นั้นก็ทอจิตสังหาร ทางด้านบุรุษชุดขาวหิมะ สีฟ้าอ่อนในดวงตาก็เข้มขึ้นประหนึ่งท้องฟ้าครามเหนือทุ่งหิมะ และทั้งร่างของเขาก็แผ่รัศมีคมกล้าออกมาคุกคามนาง ราวกับนักรบในสนามศึกที่จิตฮึกเหิมพลุ่งพล่าน

ช่างหยิ่งทะนงนัก! นางอดนึกทอดถอนใจมิได้

บทที่ 6 คำมั่นชั่วครู่ยามฤๅมีวัน

“เก็บกระบี่”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ในน้ำเสียงราบเรียบมีความน่าเกรงขาม ฟังราวกับฮ่องเต้บัญชาขุนนาง

บุรุษชุดสีหิมะได้ยินดังนั้น รัศมีคุกคามทั่วร่างก็พลันปลาสนาการ เขาขยับข้อมือ หมายจะชักกระบี่แล้วถอย ทว่าไม่อาจชักกลับได้

ปลายกระบี่ถูกคีบไว้ในมือไป๋เฟิงซี เขาขมวดคิ้วออกแรงดึงกระบี่อีกคำรบ แต่ก็ไม่อาจดึงให้ขยับได้สักกระเบียด สีฟ้าในตาของเขาซึ่งเพิ่งจางลงมิทันใดเข้มขึ้นฉับพลัน จับจ้องนางนิ่งไม่ยอมละ ราวกับคิดจะตวัดกระบี่เข้าห้ำหั่นเป็นที่สุด แต่กลับต้องอดทนถึงสิบส่วน

“แม่นางก็ปล่อยมือเป็นอย่างไร” เสียงนั้นกังวานขึ้นอีกครา น้ำเสียงยังราบเรียบดังเดิม ทว่ามีแววแห่งคำสั่งอันไม่อาจมองข้ามอยู่ด้วย แต่กลับไม่ชวนให้รู้สึกต่อต้าน คนผู้นี้คล้ายกับเกิดมาก็เป็นเยี่ยงนี้

“ไม่ปล่อยแล้วจะอย่างไร” ไป๋เฟิงซีกล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง

“ถ้าเช่นนั้นแม่นางต้องการอย่างไรจึงจะยอมปล่อยมือ” เสียงจากด้านหลังดังขึ้นอีก แฝงแววข่มกลั้นอันน่าพิศวง

“ขอขมา” ไป๋เฟิงซีเอ่ยเบาๆ มองบุรุษชุดขาวเขม็ง

“หืม?” เสียงจากเบื้องหลังคล้ายกับนึกขันอยู่บ้าง

“คนผู้นี้ชักกระบี่แทงน้องชายข้าโดยไร้สาเหตุ หากมิใช่ข้าติดตามมาทัน น้องชายตัวน้อยก็คงจะสิ้นชีพด้วยกระบี่ของเขาแล้ว” ไป๋เฟิงซียังคงไม่หันไปมอง เอาแต่จับจ้องบุรุษชุดขาวหิมะเท่านั้น แววเกียจคร้านในดวงตาบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นประกายเย็นเยียบ “บางทีในสายตาพวกท่านชีวิตอาจเป็นดั่งต้นหญ้า ทว่าในสายตาข้า น้องชายข้าล้ำค่าเกินกว่าอัญมณีใดบนแผ่นดิน”

“อ้อ?” ผู้อยู่ด้านหลังเหลือบสายตามองหานผู่แวบหนึ่ง “น้องชายของท่านยังมิได้รับบาดเจ็บสักเศษเสี้ยว”

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีหรี่ตาเล็กน้อย “เพียงเพราะยังไม่บาดเจ็บหรือสิ้นชีพ เช่นนั้นที่เขาต้องเสียขวัญก็ได้แต่โทษที่เขาโชคไม่ดีหรือฝีมือสู้ผู้อื่นมิได้?” นางเอียงศีรษะยิ้ม ยิ้มอย่างสดใสเป็นที่สุด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าเองก็สังหารผู้คนมาไม่น้อย แต่ถามใจตนแล้วว่าหาเคยสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่ ทว่าบัดนี้จะลองสังหารคนแปลกหน้าดูบ้าง!”

บุรุษชุดขาวหิมะยังมิทันคืนสติจากรอยยิ้มของนางก็รู้สึกข้อมือปวดร้าว นิ้วทั้งห้าชา กระบี่หลุดจากมือไปแล้ว

“เจ้าก็ลิ้มรสชาตินี้ดูบ้าง!” ไป๋เฟิงซีตวาดเบาๆ ชิงกระบี่แล้วหมุนกาย นางพลิกข้อมือหนึ่งครา กระบี่ก็กลายเป็นสายรุ้งยาวแทงเข้าใส่ผู้อยู่ด้านหลัง

“กงจื่อ ระวัง!” บุรุษชุดขาวหิมะร้องลั่น

ประกายกระบี่วิจิตร รวดเร็วดั่งสายลม ชั่วพริบตาก็จ่อถึงลำคอคนผู้นั้น

คนผู้นั้นก็หาใช่ชนชั้นสามัญไม่ พลิ้วร่างไปทางซ้ายอย่างว่องไว กระบี่นี้จึงเฉียดผ่านร่างไป ทว่าไม่รอให้เขาได้หายใจกระบี่ที่สองก็ตามติดดุจเงา แทงตรงเข้ายังดวงตา

“หือ?” คนผู้นั้นหลากใจอยู่บ้าง มิคาดฝันว่าท่าร่างของอีกฝ่ายจะเร็วปานนี้ เมื่อหลบจนเหลือหลบก็พลิกข้อมือ ในแขนเสื้อมีประกายสีฟ้าสาดวูบ ต้านรับกระบี่ยาวไว้พอดี ปลายกระบี่อยู่ห่างจากดวงตาไม่ถึงครึ่งชุ่น

“กงจื่อ!” บุรุษชุดขาวหิมะเห็นเหตุการณ์ก็แตกตื่นลนลาน ทว่าก็มิกล้าวู่วาม

“ไม่เลว” ไป๋เฟิงซีออกปากชมเบาๆ ขณะเดียวกันข้อมือก็ขยับ ปลายกระบี่เคาะลงบนแสงสีฟ้า…นั่นคือดาบโค้งที่ยาวไม่ถึงหนึ่งเชียะ ตัวดาบทอประกายสีฟ้าอ่อน ภายใต้แสงอาทิตย์ดูประหนึ่งจันทร์เสี้ยวสีฟ้าอันเคลื่อนคล้อย

คนผู้นั้นเห็นนางขยับข้อมือก็โคจรกำลังไว้ที่แขนโดยพลัน

ติ๊ง! พละกำลังที่ทั้งสองโคจรไว้เคลื่อนมาปะทะกัน ดาบและกระบี่ที่กระทบกันก่อให้เกิดเสียงโลหะใสกังวาน ขณะเดียวกันทั้งสองก็ห้านิ้วชาวาบ

“วรยุทธ์เยี่ยมยอด!” ครั้งนี้เป็นคนผู้นั้นออกปากชื่นชม ยังมิทันสิ้นเสียงเขาก็งอนิ้วดีดกระบี่ พร้อมกับวาดดาบสั้น พาประกายสีฟ้าลึกล้ำพุ่งเข้าพัวพันลำคอไป๋เฟิงซี

ไป๋เฟิงซีเห็นดังนั้นก็หนาวเยือก กระบี่ยาวในมือโบกอย่างดุดัน ถักทอเป็นกำแพงกระบี่อันแน่นหนาจนลมมิอาจผ่าน

ได้ยินเพียงเสียงดาบและกระบี่ปะทะกันดังเกรื่องกร่างต่อเนื่อง คนทั้งสองเข้าต่อสู้ระยะประชิด ชั่วพริบตาก็แลกกันสิบกว่ากระบวน ฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“รับกระบวนท่านี้ของข้า” ไป๋เฟิงซีตวาดเบาๆ ข้อมือขวาพลิกหนึ่งครา ทันใดนั้นกระบี่ยาวก็วาดกลับ กระแทกดาบอีกฝ่ายออก จากนั้นก็หมุนเร็วรี่แล้วแทงตรงใส่หน้าอกอีกฝ่าย ขณะเดียวกันแขนเสื้อซ้ายก็สะบัดดุจเมฆขาวลอยขึ้นกลางเวหา พุ่งเข้าใส่หน้าคนผู้นั้น แขนเสื้อยังไม่ถึง กระแสลมเกรี้ยวกราดก็กรีดจนผิวกายแสบเล็กน้อย

คนผู้นั้นเห็นแล้วอดชื่นชมมิได้ที่นางวรยุทธ์ล้ำเลิศ กระบวนท่าพลิกแพลงฉับไว ทว่าเขายังไม่ลนลาน พลิกมือขวา ดาบสั้นขวางหน้าอก กั้นกระบี่ยาวที่แทงเข้ามาเอาไว้ พร้อมกับมือซ้ายโบกออก แปลงเป็นฝ่ามือดาบ แฝงกำลังแปดส่วน ฟันตรงเข้าใส่แขนเสื้อซ้ายของไป๋เฟิงซี

“ฮิ…รับกระบวนท่านี้ต่อ” ครั้นเห็นกระบวนท่ากำลังจะถูกคลี่คลาย ไป๋เฟิงซีก็พลันหัวเราะเบาๆ นางชูมือซ้ายขึ้น ทำให้แขนเสื้อใหญ่หลวมพลิ้วไปก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะมาถึง ฝ่ามือคนผู้นั้นจึงพบกับอากาศธาตุ ขณะคิดจะแปลงกระบวนท่า แขนเสื้อของไป๋เฟิงซีก็ม้วนเข้าหาอีกคำรบ หมายจะพันฝ่ามือซ้ายของเขาไว้ กระบวนท่านี้หากเป็นผล ฝ่ามือซ้ายของเขาก็จะหลุดออกจากข้อมือ!

คนผู้นั้นประสบอันตรายก็มิแตกตื่น วรยุทธ์ของเขาก็สูงล้ำเช่นกัน พริบตาที่แขนเสื้อยาวเริ่มพัวพันฝ่ามือซ้าย เขาก็แปลงฝ่ามือเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วคว้าลง ยินเพียงเสียงแควก แล้วทั้งสองก็แยกออก แขนเสื้อครึ่งท่อนลอยละล่องอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

“พี่สาว!” หานผู่เห็นคนทั้งสองแยกออกจากกันก็รีบบึ่งไปอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี

“กงจื่อ!” บุรุษชุดขาวหิมะก็เร่งเดินไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้นเช่นกัน ทว่าดวงตากลับถลึงใส่ไป๋เฟิงซี ในสีหน้าทั้งอายทั้งโกรธ อายที่ลำพองตนว่าวิชากระบี่ไร้ผู้เทียมทาน แต่วันนี้กลับถูกชิงกระบี่ โกรธที่สตรีบ้านนอกผู้นี้ลงมือกับกงจื่อ!

“พี่สาว ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง” หานผู่มองไป๋เฟิงซีด้วยความห่วงใย

“ไม่” นางก้มศีรษะ ยิ้มตอบหานผู่เป็นเชิงให้เขาไม่ต้องกังวล ต่อมาถึงยกมือซ้ายขึ้น พบว่าแขนเสื้อถูกฉีกไปครึ่งท่อน เผยให้เห็นลำแขนขาวผุดผาดดั่งหิมะ เพียงแค่ว่าฝ่ามือยังดำสกปรก “อื้ม ถูกฉีกแขนเสื้อเชียวรึ ไม่ได้พบคู่มือเช่นนี้มาหลายปีแล้ว”

“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ” บุรุษชุดขาวหิมะไถ่ถามนายของตนด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นไร” คนผู้นั้นส่ายศีรษะ ยกมือซ้ายของตนขึ้น บนแขนมีรอยโลหิตตื้นๆ ยาวราวสามชุ่น “นึกไม่ถึงว่ากลางป่าเขากันดารจะได้พบกับยอดฝีมือเช่นนี้”

ไป๋เฟิงซีเบนสายตาไปทางเขา พริบตานั้นก็อดตกตะลึงไปมิได้

นั่นคือบุรุษหนุ่มที่ต่อให้มองเพียงปราดเดียวก็ยากจะลืมเลือน รูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์แพรไหมสีม่วงอ่อน เส้นผมดำยาวรวบอยู่ที่ท้ายทอยด้วยสายคาดแพรสีม่วง ดวงหน้าประหนึ่งสวรรค์เบื้องบนเลือกเฟ้นหยกงามที่สุดมาบรรจงสลักเสลาเป็นผลงานชิ้นเอก นัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลทองอย่างหาได้ยาก ยามกะพริบดั่งมีประกายทองระยิบระยับ เขายืนเอามือไพล่หลังอย่างผ่อนคลาย กลางภูเขากันดารนี้กลับคล้ายราชันท่องหล้า มีความสูงศักดิ์และหยิ่งทะนงบางอย่าง

นางและเฮยเฟิงซีรู้จักกันสิบกว่าปี รู้สึกมาตลอดว่าบุรุษในแผ่นดินนี้หากกล่าวถึงรูปโฉมแล้วก็ยากจะหาผู้ใดทัดเทียม นางรู้ว่าต่อให้เป็นผู้มีรูปโฉมโดดเด่นเพียงใด นางก็ล้วนสามารถมองด้วยจิตใจสงบนิ่งได้ ทว่าขณะนี้กลับอดตะลึงในความงามมิได้

“อืม เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้พบกับผู้ที่สูสีกับจิ้งจอกดำตัวนั้น” นางพึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่อยู่

“พี่สาว ท่านพูดว่ากระไรหรือ” หานผู่ถาม เพราะเสียงของไป๋เฟิงซีเบาเกินไป เขาจึงได้ยินไม่ชัดเจน

“ข้ากำลังพูดว่า…เมื่อไรเจ้าจะโตเสียที” ไป๋เฟิงซีก้มหน้าเหลือบตามองหานผู่ มองดวงหน้าน้อยๆ อันหมดจดคมคายนั่น ลอบคิดในใจว่าหากหานผู่เติบใหญ่เมื่อใดก็อาจจะทัดเทียมกับเขาก็เป็นได้

“วรยุทธ์อันล้ำเลิศของแม่นางพบได้ยากยิ่ง มิทราบว่าแม่นางมีแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ว่าอันใด” ขณะที่ไป๋เฟิงซีกำลังประเมินบุรุษชุดม่วง คนผู้นั้นก็กำลังสำรวจตรวจตรานางเช่นกัน

สตรีตรงหน้านี้ เสื้อผ้าอาภรณ์แยกไม่ออกแล้วว่าเดิมเป็นสีใด ดวงหน้าขาวหย่อมหนึ่งดำหย่อมหนึ่ง แยกแยะรูปโฉมไม่ออกเช่นกัน มองปราดแรกหาดีใดๆ มิได้เลย ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสุกใสผิดจากสามัญ ราวกับดวงดาวโดดเดี่ยวที่เหลืออยู่เพียงสองดวงกลางไพรเถื่อนอันมืดดำโกลาหล มันทอประกายสุกใสจับตา ชวนให้อดมองเป็นหนที่สองมิได้ และเมื่อมองดูอีกคราก็พบว่าสตรีมอมแมมเหลือทนผู้นี้มีท่วงท่าปลอดโปร่งเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งสายลมเย็นอันอิสรเสรี ไร้ผูกมัดท่ามกลางความพลุกพล่านสับสน อาจพัดจากไปได้ทุกเมื่อ

“หึ! นามสูงส่งของพี่สาวข้าไหนเลยจะเที่ยวแจ้งแก่ผู้อื่นอย่างส่งเดชได้” หานผู่ฟังคำก็แค่นเสียง คางเชิดสูง “อย่างน้อยพวกท่านต้องขออภัยข้าก่อนถึงจะได้”

“อ้อ?” บุรุษชุดม่วงกวาดสายตามองหานผู่อย่างเฉื่อยชา

ถูกบุรุษชุดม่วงมอง หานผู่ก็หัวใจกระตุกวูบโดยไม่ทราบสาเหตุ เพลิงโทสะก็อ่อนลง “พวก…พวกท่านทำให้ข้าเสียขวัญโดยใช่เหตุ ย่อมต้องขอขมาต่อข้า”

“อ้อ” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว “เช่นนั้นไม่ทราบว่าน้องชายมีนามว่าอันใด”

หานผู่ได้ยินผู้อื่นถามถึงชื่อก็ประกาศเหล่ากอของตนด้วยความฮึกเหิมที่พุ่งสูงหมื่นจั้งในทันใด “ข้ามีนามว่าหานผู่ แม้ว่าตอนนี้วรยุทธ์ยังอยู่ในขั้นธรรมดา ทว่าอนาคตจะต้องเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจเหนือกว่าไป๋เฟิงเฮยซีอย่างแน่นอน!”

“ฮ่าๆๆ!” ยินดังนั้นบุรุษชุดม่วงก็อดแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะไม่ได้ ขณะหัวเราะเสียงดัง ทั้งร่างก็แผ่รัศมีระห่ำลำพองออกมา ชวนให้มิกล้าดูแคลน

บุรุษชุดขาวหิมะกลับขมวดคิ้วมองหานผู่ สายตานั้นบอกอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เชื่อว่าหานผู่จะมีความสามารถนั้น

หานผู่ผู้โดนเสียงหัวเราะของบุรุษชุดม่วงและแววตาของบุรุษชุดขาวหิมะทิ่มแทงกำหมัดร้องขึ้นทันใด “ท่าน…ท่านขันอันใด ท่านไม่เชื่อหรือ ฮึ รู้ไว้เสียด้วยว่าพี่สาวของข้า…” ทว่ายังเอ่ยไม่ทันจบ หน้าผากก็โดนตบเข้าไปหนึ่งฝ่ามือ ตบเอาครึ่งประโยคหลังกลับลงท้องไป

“เจ้าเอาหน้าตัวเองไปขายผู้เดียวไม่พอ ยังจะเอาหน้าข้าไปด้วยอีกคนหรือ” ไป๋เฟิงซีตบหานผู่เบาๆ เหล่ตามองบุรุษชุดม่วงพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “อันระลอกคลื่นในแม่น้ำและมหาสมุทรก็ล้วนแต่ลูกหลังดันลูกหน้า เรื่องราวในโลกหล้าก็มักจะมีคนใหม่แทนคนเก่า ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งในกาลข้างหน้า ชื่อเสียงทางวรยุทธ์ของเขาอาจเหนือกว่าคนเหล่านั้นได้จริงๆ เหตุใดท่านต้องหัวเราะเขาด้วย”

“แม่นางหาน ข้าหาใช่เยาะที่เขาพูดจาลำพอง ทว่าชื่นชมที่เขายังเล็กแต่กลับมีปณิธานเช่นนี้” บุรุษชุดม่วงหุบยิ้ม สายตามองหานผู่ “เพียงแต่บุคคลเยี่ยงไป๋เฟิงเฮยซีในรอบสิบปีก็หาปรากฏไม่ จะเหนือกว่าพวกเขานั้นมิใช่พูดแต่ปากก็จะบรรลุได้”

“พี่สาวข้าไม่…โอ๊ย!” หานผู่เห็นคนผู้นี้เรียกไป๋เฟิงซีผิดเป็น ‘แม่นางหาน’ ก็คิดจะแก้ไข ทว่าหน้าผากก็โดนเข้าอีกหนึ่งฝ่ามือ ตบเอาครึ่งประโยคหลังกลับเข้าไปอีกครั้ง

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ล้างตารอชมเถิด” ไป๋เฟิงซีกล่าวเรียบๆ จากนั้นก็ซัดกระบี่ยาวในมือไปปักอยู่ตรงหน้าบุรุษชุดขาวหิมะอย่างเหมาะเจาะแล้วกุมมือหานผู่ไว้ “ผู่เอ๋อร์ ในเมื่อกำปั้นเจ้าแข็งสู้ผู้อื่นมิได้ พวกเราก็ไปกันเถิด”

“ช้าก่อน” บุรุษชุดขาวหิมะพลันส่งเสียงรั้งพวกเขาไว้

“ทำไม เจ้าจะสู้อีกคราให้ได้? แม้เอาชนะกงจื่อของเจ้าจะตึงมือไม่น้อย แต่เอาชนะเจ้านั้นมิใช่เรื่องยากเป็นอันขาด” ไป๋เฟิงซีชะงักเท้า หันหน้าไปมองบุรุษชุดขาวหิมะ

“ขออภัย” บุรุษชุดขาวหิมะพลันเอ่ยขึ้น

“หา?” ไป๋เฟิงซีได้ยินก็แปลกใจ

“ข้าเซียวเจี้ยนมิใช่ผู้ที่เที่ยวสังหารคนบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด” บุรุษชุดขาวหิมะกล่าว แต่ก็หลุดมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ยังคงหยิ่งทะนงไม่ยอมอธิบายสาเหตุที่ชักกระบี่แทงคน

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินวาจานี้ก็อดผินร่างกลับมาพิจารณาเขาอย่างถ้วนถี่คำรบหนึ่งมิได้ ครู่เดียวนางก็ยิ้มอย่างสดใส “เซียวเจี้ยนหรือ ทราบแล้ว”

เซียวเจี้ยนถูกรอยยิ้มนี้ของนางกระทำจนงงงวย ทั่วทั้งใบหน้าดำสกปรกแท้ๆ ไม่เอ่ยว่านางอัปลักษณ์ก็นับว่าไว้ไมตรีถึงสิบส่วนแล้ว ทว่าเมื่อแย้มยิ้มกลับเป็นดั่งไข่มุก ถึงแม้จะคลุกฝุ่นแต่ก็ยังฉายประกายอันวิจิตร ชวนให้เผลอชำเลืองมองมิได้ พอหวนนึกว่าเมื่อครู่ก็เพราะนางคลี่ยิ้มเขาถึงได้เหม่อลอยจนกระบี่พลาดเป้า ใจจึงนึกคับข้องกับรอยยิ้มเช่นนี้ขึ้นมาสามสี่ส่วน

บุรุษชุดม่วงพลันถามขึ้น “ไม่ทราบเหตุใดแม่นางถึงได้มาปรากฏกายอยู่กลางเขาร้างป่ารกแห่งนี้”

ไป๋เฟิงซีหันหน้าไปเผชิญสายตาค้นหาของเขา “บุคคลเช่นท่านต่างหากที่ไม่ควรมาปรากฏกายอยู่กลางเขาร้างป่ารกพรรค์นี้”

ดวงตาสีน้ำตาลทองของบุรุษชุดม่วงจ้องไป๋เฟิงซีไม่วางตา คมกริบราวจะมองนางให้ทะลุ “ฝีมือของแม่นาง จนถึงบัดนี้เป็นผู้ที่สองที่ข้าไม่มีความมั่นใจสิบส่วนว่าจะสามารถเอาชนะได้”

“หืม? ผู้ที่สอง?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ “เช่นนั้นคนผู้แรกคือใครกัน”

“อวี้อู๋หยวน” ขณะชายชุดม่วงผู้ทระนงกล่าวถึงนามนี้ น้ำเสียงก็ฉายความเคารพยกย่อง

“อวี้อู๋หยวน?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนี้ ดวงตาเกียจคร้านก็เป็นประกายสุกใสเจิดจ้า ใบหน้าผุดรอยยิ้มปีติยินดี “กงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า อวี้อู๋หยวน? ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ท่านไม่อาจเอาชนะได้ร่วมกันกับเขา ช่างเป็นเกียรติแก่ข้าโดยแท้”

บุรุษชุดม่วงเห็นว่านามอวี้อู๋หยวนทำให้นางถึงกับปลาบปลื้มชื่นชมยิ่งก็อดถามมิได้ว่า “แม่นางก็รู้จักอวี้อู๋หยวน”

“ลมฝนพันสิงขร อวี้สัญจรเดียวดาย ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา อวี้กงจื่อผู้มีบุคลิกโดดเด่นไม่เป็นสอง ใต้หล้านี้ผู้ใดเล่าจะไม่อยากทำความรู้จัก แต่เสียดายที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน ทว่าไร้วาสนาพานพบ” ไป๋เฟิงซีทอดถอนใจอย่างเสียดาย แหงนหน้ามองท้องฟ้า อาทิตย์แผดแสงกล้า มิทราบบุรุษในคำกล่าวขานผู้นั้นจะโชติช่วงเช่นตะวันหรือไม่ “ในแผ่นดินนี้ผู้ที่ข้าอยากรู้จักมากที่สุดก็คืออวี้กงจื่อนี่แล”

“อ้อ?” บุรุษชุดม่วงเผยรอยยิ้มชวนขบคิด “ทั้งแผ่นดินมีเพียงอวี้กงจื่อผู้เดียวเองหรือที่เข้าตาแม่นาง”

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหันกลับมาหัวเราะ มองบุรุษชุดม่วง “แน่นอน การได้พบหวงเฉากงจื่อผู้เป็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวและเป็นหนึ่งในสี่กงจื่อก็เป็นเกียรติอย่างสูง แค่ว่า…” ดวงตานางกลอกกลิ้ง แฝงแววแกมโกง “แต่หากที่ได้พบคืออวี้กงจื่อ ข้าก็จะยินดีกว่าไม่น้อย”

“อย่างนั้นหรือ” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ…นิสัยเปิดเผยของแม่นางหาได้น้อยนัก” เสียงหัวเราะอันปรีดาสะท้อนทั่วทั้งขุนเขา

“ระห่ำ ไร้มารยาท” เซียวเจี้ยนมองไป๋เฟิงซีแล้วหลุดปากออกมาสองคำ

ครู่ต่อมาบุรุษชุดม่วงก็เก็บเสียงหัวเราะ ทว่าแววขันในดวงตายังไม่ลดไป “เกิดมาจนถึงบัดนี้ยังมิเคยมีผู้ใดพูดกับข้าเช่นนี้เลย แต่ข้าฟังแล้วกลับยินดีนัก”

“หวงซื่อจื่อฐานะสูงส่ง ย่อมยากจะได้ยินวาจาอัน ‘ระห่ำไร้มารยาท’ ” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วมองเซียวเจี้ยนคราหนึ่ง กลับคล้ายจะยอมรับว่าตนระห่ำไร้มารยาท

“เหตุใดแม่นางจึงมั่นใจว่าข้าคือหวงเฉา” บุรุษชุดม่วง…หวงเฉามิใคร่จะใส่ใจนักที่ฐานะถูกมองออก

“จี้โจวเทิดทูนสีม่วง” สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่านอาภรณ์ของหวงเฉา “ยิ่งกว่านั้น…” นางก้มกายเก็บแขนเสื้อครึ่งท่อนบนพื้น “หาใช่ข้าทะนงตน ทว่าท่องยุทธภพมาหลายปี ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถประมือกับข้าได้อย่างสูสีมีไม่มาก” นางปัดขี้เถ้าและดินบนแขนเสื้อแล้วเก็บไว้ จากนั้นถึงหันหน้าไปทางเซียวเจี้ยน “อีกอย่าง ผู้ที่วิชากระบี่งดงามอัศจรรย์ซ้ำมีนามว่า ‘เซียวเจี้ยน’ นึกดูแล้วคงไม่มีผู้ที่สอง…ขุนพลกวาดหิมะแห่งจี้โจว ข้าพูดผิดหรือไม่”

เซียวเจี้ยนหัวคิ้วขมวดน้อยๆ มองนาง ผ่านไปอึดใจก็ประสานมือเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เมื่อครู่น้องชายท่านลับๆ ล่อๆ ข้าจึงนึกว่าเป็นมือสังหาร ล่วงเกินไปมาก โปรดอภัย”

กับเรื่องนี้ไป๋เฟิงซีกลับแค่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “เด็กบ้านี่ทำจนข้าเลอะขี้เถ้าไปทั้งตัว เดิมทีหมายใจจะซ้อมเขาสักยก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาหนีไวเสียยิ่งกว่ากระต่าย ให้ท่านทำเขาขวัญหายสักครั้งก็สมน้ำหน้าแล้ว”

“แม่นางมองฐานะของเราสองคนออกแล้ว แต่พวกเรายังมิรู้เลยว่าแม่นางคือผู้ใด เห็นทีกล่าวถึงสายตาในการแยกแยะผู้คน พวกเราก็แพ้เสียแล้ว” หวงเฉากล่าว

ไป๋เฟิงซียิ้มเย้ย “ฐานะหวงซื่อจื่อข้ามองออกด้วยตัวเอง ฐานะของข้าก็ควรให้ซื่อจื่อแยกแยะด้วยตัวเองเช่นกัน แบบนี้ถึงจะยุติธรรมมิใช่หรือ”

หวงเฉาสดับดังนั้นก็ยิ้มเช่นกัน พินิจพิเคราะห์นางด้วยแววตาคมกริบ สมองใคร่ครวญถึงบุคคลทั้งหมดที่เคยได้ยินนาม

“ใต้หล้านี้สตรีที่วรยุทธ์เลิศล้ำอันดับแรกก็คือไป๋เฟิงซี ต่อมาก็คือซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจว จากนั้นก็คือชิวจิ่วซวงขุนพลปีกน้ำค้างแห่งแคว้นของข้า”

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้ว นิ่งฟังวาจาต่อมาของเขา

“จิ่วซวงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า ข้าย่อมรู้จัก ส่วนไป๋เฟิงซีแม้จะไม่เคยพบ ทว่าปกติยินว่านาง ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ แม่นาง…” หวงเฉาชะงัก มองสตรีตรงหน้าที่สกปรกมอมแมม เครื่องหน้าเห็นได้ไม่ชัด ไหนเลยจะนับได้ว่า ‘เฉิดโฉม’

“ฮิ ตัวอัปลักษณ์อย่างข้าย่อมมิใช่ไป๋เฟิงซีผู้ ‘เฉิดโฉม’ ที่ท่านว่ามิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็หัวเราะเบาๆ หาได้ขุ่นเคืองไม่

“ในเมื่อแม่นางมิใช่ไป๋เฟิงซี ก็ย่อมไม่มีทางเป็นซีอวิ๋นกงจู่ไปได้เช่นกัน ซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจวก่อตั้งกองทัพวายุเมฆา นามเกริกเกียรติ ทว่าไม่เคยได้ยินว่านางก้าวมายุ่งเกี่ยวกับยุทธภพ อีกทั้งกงจู่เกิดในสกุลอ๋อง ความเป็นอยู่สมบูรณ์พูนสุข แวดล้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ไหนเลยจะมาปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ” หวงเฉาว่าต่อ

“อื้ม” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วก็พยักหน้าประหนึ่งเห็นพ้องกับการคาดเดาของเขา

“ส่วนสตรีอื่นในยุทธภพที่มีวรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง…” หวงเฉางอนิ้วนับอีกครั้ง “ซั่นเฟยเสวี่ยแห่งอารามเสวี่ยเฟย (หิมะเหิน) ได้สมัญญา ‘อสูรหน้าเย็น’ แต่แม่นางมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์ อีกอย่างซั่นเฟยเสวี่ยออกบวชเป็นนักพรตแล้ว แม่นางย่อมไม่ใช่นาง เหมยซินอวี่แห่งเทือกเขาเหมยฮวา (ดอกเหมย) ชื่อเสียงก้องหล้าด้วยวิชา ‘พิรุณดอกเหมย’ แต่สามปีก่อนนางแต่งเป็นภรรยา ‘จอมยุทธ์ดอกท้อร่วง’ หนานเจา สองสามีภรรยารักใคร่ลึกซึ้ง ไม่คลาดคลาดั่งเป็นเงาของกันและกัน ย่อมไม่ปรากฏตัวเพียงลำพังที่นี่ ส่วนจวินผิ่นอวี้แห่งศาลาผิ่นอวี้เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ได้ยินว่าแต่ละวันมีผู้เดินทางไปขอรับการรักษาเนืองแน่นไม่ขาดสาย ย่อมไม่มีเวลาว่างมาเตร็ดเตร่ในภูเขารกร้างนี้เป็นแน่”

“อื้ม” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะต่อ

หวงเฉาไล่เรียงสตรีผู้มีวรยุทธ์สูงล้ำทั้งหมดที่รู้ออกมาทีละคน ทว่ากลับไม่พบผู้ใดที่มีลักษณะพ้องกับสตรีเบื้องหน้าสักคนเดียว “แม่นางแซ่หาน โปรดอภัยที่ข้าความรู้ตื้นเขินประสบการณ์อ่อนด้อย มิเคยได้ยินว่าในยุทธภพมีผู้ใดนามนี้เลย”

“ฮิๆ…หวงซื่อจื่อแม้จะพำนักอยู่ในวัง ทว่าแจ่มแจ้งถึงบุคคลและเรื่องราวในใต้หล้าประหนึ่งชี้เส้นลายมือตัวเอง แต่ในโลกนี้ผู้ที่ท่านและข้าไม่รู้จักมีมากมายเทียวนะ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหรี่เป็นเส้น

“หรือแม่นางเพิ่งจะเข้าสู่ยุทธภพไม่นาน?” หวงเฉาเอ่ย จ้องใบหน้าไป๋เฟิงซีตาไม่กะพริบ “หรือไม่แม่นางก็ล้างหน้าสักหน่อย ให้ข้าได้ยลโฉมที่แท้จริง ไม่แน่อาจจะแยกแยะได้ว่าแม่นางคือผู้ใด”

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซียกมือทาบใบหน้า มือและหน้าล้วนมีแต่ขี้เถ้าดำเต็มไปหมด จากนั้นก็ก้มลงมองตัวเองแล้วอดยิ้มเยาะตนมิได้ “ไม่ใช่แค่ต้องล้างหน้ากระมัง ยังต้องอาบน้ำด้วย” นางกล่าว นัยน์ตากลอกกลิ้งคราหนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มแฝงเล่ห์กระเท่ มองหวงเฉาแล้วเอ่ยต่อว่า “หวงซื่อจื่อประสงค์จะยลโฉมที่แท้จริงของข้า หรือคิดจะตามไปด้วยให้ได้”

“หือ?” หวงเฉาอึ้งไปเป็นครู่

เขาชาติกำเนิดสูงส่ง ยามปกติสตรีที่ได้พบล้วนแต่เป็นธิดาสกุลใหญ่ที่นุ่มนวลเรียบร้อย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพที่ค่อนข้างห้าวหาญ พวกนางที่ไม่เคร่งครัดธรรมเนียมปานใดก็ไม่มีทางเป็นเช่นสตรีตรงหน้านี้ที่ถามบุรุษว่านางจะไปอาบน้ำ ท่านจะตามไปดูด้วยหรือไม่

หวงเฉาเงียบกริบ พิจารณาไป๋เฟิงซีด้วยสายตาเอาจริงเอาจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน เบื้องหน้านี้คือผู้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมั่วโลกีย์? ไม่เหมือน! ดวงตาคู่นั้นบริสุทธิ์ใสกระจ่าง ไร้คาวโลกีย์แม้เศษเสี้ยว รอยยิ้มบนใบหน้าก็เปิดเผยใจกว้าง แม้จะเปรอะเปื้อนไปทั้งกาย ทั่วร่างก็ยังคงมีกลิ่นอายปลอดโปร่งแจ่มใส

ครั้นแล้วดวงหน้าคมคายอันสูงส่งจริงจังและเคร่งขรึมของหวงเฉาก็ผุดอารมณ์นึกสนุกขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า “หากแม่นางเชื้อเชิญ หวงเฉายินดีเสนอตัวช่วยตักน้ำถือผ้าซับกาย”

“หา?” หนนี้ถึงคราวไป๋เฟิงซีตะลึงบ้าง

นับแต่ออกสู่ยุทธภพมาจนบัดนี้ นอกจากจิ้งจอกดำตัวนั้น น้อยคนนักที่จะสามารถโต้ตอบวาจาและพฤติกรรมอันจารีตสังคมยากจะยอมรับของนางได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเยียนอิ๋งโจว ตอนนี้จะต้องหน้าแดงก่ำ พูดตะกุกตะกักเป็นแน่ และหากเปลี่ยนเป็นมนุษย์หิมะผู้งดงามคนนั้น ดวงหน้าเย็นเป็นน้ำแข็งนั่นจะต้องไว้ทีเย็นชา หางตาไม่ชายมาแลนางสักนิดแน่นอน ทว่าหวงเฉาผู้นี้…หึ ผู้ที่สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในสี่กงจื่อได้ไม่สามัญเลยจริงๆ

“อะไรกัน แม่นางมิกล้าเสียแล้วหรือ” หวงเฉาเห็นอาการแตกตื่นแปลกใจของไป๋เฟิงซีก็อดยิ้มสัพยอกมิได้

“เอ่อ…มิใช่ไม่กล้า” ไป๋เฟิงซีถูมือ เกาศีรษะ “ทว่าให้ซื่อจื่อแห่งจี้โจวมาปรนนิบัติ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ผู้ประทับ ณ ตำหนักทองในนครหลวงก็ยังมิมีบุญญาถึงขั้นนี้ ประสาอะไรกับประชาชนตัวเล็กๆ อย่างข้า ข้าเกรงว่าจะอายุสั้นน่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะเสียงกังวานอย่างชื่นบาน จากนั้นถึงชูแขนทั้งสอง “วันหน้าข้าจะถางภูเขารกร้างลูกนี้ทำเป็นทะเลสาบใส ถึงเวลานั้นค่อยเชิญแม่นางมาล้างหน้าชำระฝุ่นที่นี่เป็นอย่างไร”

“หืม?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วอดจ้องไปทางหวงเฉามิได้ และก็ไม่พบแววล้อเล่นแม้สักเศษเสี้ยวจากใบหน้าระห่ำลำพองนั้น ในความมึนงง สัญชาตญาณก็บอกนางว่าคนผู้นี้พูดได้ทำได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า “หากท่านขุดทะเลสาบที่นี่จริง เช่นนั้นแม้ข้าจะอยู่ถึงสุดขอบฟ้ามหาสมุทรก็จะกลับมาล้างหน้าสักคราอย่างแน่นอน”

“ดี คำไหนคำนั้น!”

“คำไหนคำนั้น!”

ทั้งสองถึงขั้นตบมือเป็นการสาบาน หลังตบมือกันแล้วก็มองอีกฝ่าย ครั้นแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะลั่นพร้อมกัน

เสียงหัวเราะชื่นบานแจ่มใสส่งผ่านไปถึงชั้นเมฆ

เซียวเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างมองสองคนหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสุกใสดั่งหิมะก็มีแววแช่มชื่นวูบผ่าน จากนั้นเขาก็พินิจไป๋เฟิงซีโดยละเอียดถี่ถ้วน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามิให้มีส่วนใดหลุดรอดไปสักกระเบียด สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่หน้าผากของนาง ตรงนั้นคล้ายกับมีเครื่องประดับชิ้นหนึ่งห้อยอยู่

“นี่ ข้าหิวแล้ว ท่านเลี้ยงข้าวข้าสักมื้อซี” ทันทีที่เสียงหัวเราะหยุดลงไป๋เฟิงซีก็เรียกร้องอย่างไม่เกรงใจ

“หืม?” หวงเฉาเลิกคิ้ว

“ทำไม ท่านไม่ยินดีเลี้ยงอาหารชาวป่าชาวเขาต่ำต้อยอย่างข้ารึ” นางเบิกตากว้าง

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หวงเฉาส่ายหน้ายิ้ม ก่อนจะตกปากรับคำอย่างฉับไวใจกว้าง “ข้าจะเลี้ยงอาหารท่าน”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วไป๋เฟิงซีก็ตบหานผู่ที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้างเบาๆ “ผู่เอ๋อร์ ครานี้มื้อเที่ยงของเราหาที่ลงได้แล้ว”

“พี่สาว นี่คือหวงเฉาเชียวนะ! ซื่อจื่อแห่งจี้โจว! หนึ่งในสี่กงจื่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้ถูกขานนามร่วมกับเฮยเฟิงซีเชียวนะ!” เมื่อถูกไป๋เฟิงซีตบ หานผู่ก็พลันได้สติ ส่งเสียงเอะอะอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างเป็นประกาย มองหวงเฉาอย่างเลื่อมใสเหลือคณา

“แล้วอย่างไรเล่า กลืนน้ำลายของเจ้ากลับลงไป!” นางเคาะศีรษะหานผู่แรงๆ คราหนึ่ง

“น้องชาย เจ้ามีพี่สาวเยี่ยงนี้ อนาคตย่อมไม่อาจธรรมดาไปได้” หวงเฉามองหานผู่พร้อมกับยิ้มบาง

หานผู่คลำศีรษะที่ถูกไป๋เฟิงซีเคาะป้อยๆ แต่เมื่อได้ฟังวาจาหวงเฉา ก็ได้แต่หัวเราะอย่างโง่งม “เฮ่อๆๆ…นั่นสิ”

“นี่ จัดการปัญหาปากท้องก่อนดีกว่ากระมัง” ไป๋เฟิงซีนวดหนังท้อง

หวงเฉายิ้มแล้วพยักหน้า

 

ไป๋เฟิงซีจูงหานผู่เดินตามอยู่ด้านหลังหวงเฉาและเซียวเจี้ยน ทั้งสี่ลดเลี้ยวอยู่ในป่าชัฏ เดินเพียงครู่เดียวก็เห็นเนินหญ้าที่ค่อนข้างราบเรียบ เบื้องหน้ามีคนสี่คนยืนอยู่

“กงจื่อ” เมื่อทั้งสี่เห็นหวงเฉากลับมาก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ อีกทางก็ประเมินไป๋เฟิงซีและหานผู่ไปด้วย

“โอ้ ของอร่อยมากมายเหลือเกิน!” หานผู่ร้องขึ้นก่อนเป็นผู้แรก

บนเนินหญ้ามีพรมอันวิจิตรรูปจัตุรัสขนาดหนึ่งจั้งลาดไว้ บนพรมมีอาหารนานาชนิดวางอยู่

“ข้าจะกินเป็ดย่างตัวนี้!” หานผู่พุ่งเข้าใส่เป็ดที่ย่างจนเหลืองอร่ามซึ่งวางอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็วราวกับบิน

“หยิบก่อนได้ก่อน” ไป๋เฟิงซีเอ่ยบ้าง

เงาร่างสองสาย หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กถลาเข้าหาเป็ดย่างเช่นเดียวกัน เป็ดนั้นจวนจะรักษาตนไม่รอดอยู่แล้ว ทว่าทั้งสองก็พลันชะงักโดยพร้อมเพรียงกัน มือสี่ข้างค้างกลางอากาศห่างจากเป็ดย่างออกไปเพียงชุ่นเดียว

หาใช่พวกเขาเสียสละ แต่เพราะมือสี่ข้างนั้น…สกปรกเหลือทน!

“ยืมชุดท่านหน่อย!”

เซียวเจี้ยนยังไม่ทันตั้งตัว ตายังพร่าอยู่ไป๋เฟิงซีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว จากนั้นแขนเสื้อเขาก็ตึงวูบ เมื่อก้มมอง ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่…นางถึงกับเช็ดมือบนแขนเสื้อเขา! แขนเสื้อขาวราวหิมะโดนประทับรอยเป็นสีขี้เถ้า!

“ท่าน…ท่าน…” เซียวเจี้ยนถลึงตาใส่นาง เอ่ยคำอื่นใดมิออก

“นี่ อย่าได้ตระหนี่ไปหน่อยเลย ถ้าเสื้อผ้าของข้ายังสะอาดอยู่ ข้าก็ไม่ต้องเช็ดกับเสื้อท่านหรอก ไหนๆ ท่านก็เป็นขุนพลใหญ่เงินทองมากมาย กลับไปค่อยซื้อใหม่ทั้งชุดก็ได้แล้ว” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งส่งเสียง ทางหนึ่งเช็ดคราบเปรอะเปื้อนบนมืออย่างขมีขมัน

“ท่าน…ไปล้างมือก็ได้!” ในที่สุดเซียวเจี้ยนก็คำรามออกมา น้ำเสียงไม่สอดรับอย่างยิ่งกับรูปลักษณ์ภายนอกอันหมดจดงดงาม ส่วนนัยน์ตาคู่นั้นก็ทอสีฟ้าอ่อนอันน่าอัศจรรย์อีกครั้ง

“ว้าว! เปลี่ยนอีกแล้ว! เปลี่ยนอีกแล้ว!” ไป๋เฟิงซีเห็นเข้าก็ประหนึ่งได้เห็นของล้ำค่า ชี้ไปที่ดวงตาของเขาแล้วร้องเอะอะเหมือนเด็กๆ

“อะไรเปลี่ยนๆ” หานผู่ที่กำลังเทสุราในกามาล้างมืออยู่อีกด้านได้ยินเสียงร้องของนางก็หิ้วกาสุราวิ่งมาหา

“เจ้า…เจ้า…ถึงกับใช้สุราล้างมือ!” ทันทีที่เซียวเจี้ยนเห็นกาสุราในมือหานผู่ เส้นเลือดตรงขมับก็กระตุกริกๆ ดวงตางดงามจวนเจียนจะถลนออกนอกเบ้าอยู่รอมร่อ สีฟ้านั้นก็เข้มยิ่งขึ้น “นั่นคือ ‘ชาดเมามาย’ เชียวนะ!”

“โอ้! ตาเขากลายเป็นสีน้ำเงินแล้ว!” หานผู่ก็ร้องอย่างตื่นเต้น

“ชาดเมามาย? ชาดเมามายกาละพันตำลึงทอง?” ไป๋เฟิงซีคว้าหมับ ชิงเอากาสุราในมือหานผู่มาดม “อืม ใช่จริงๆ ด้วย”

“ท่านก็รู้เหมือนกันหรือว่ากาละพันตำลึงทอง” เซียวเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา

เดิมทีเขาหลงนึกว่านางจะเสียดายเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่า…

“เช่นนั้นให้ข้าล้างด้วย!” สิ้นคำกาก็เอียงลง สุราที่เหลือรดลงบนมือนางจนสิ้น

ยามนั้นเซียวเจี้ยนได้แต่เบิกตามองอ้าปากค้าง ส่งเสียงใดไม่ออกไปโดยสิ้นเชิง

“ยกกาให้ท่าน” ไป๋เฟิงซีโบกมือ แล้วกาสุราก็ร่วงลงในมือเซียวเจี้ยน จากนั้นมือทั้งสองก็ตบลงบนหัวไหล่เขา “ให้ข้ายืมเช็ดอีกหน่อย”

บนไหล่เซียวเจี้ยนจึงมีรอยมือเปียกชื้นสองรอยทิ้งเอาไว้

“เป็ดย่างตกเป็นของข้าแล้ว” นางสะกิดปลายเท้า ทิ้งร่างลงบนพรม พอมือยื่นออกเป็ดย่างก็จ่อถึงข้างปาก อ้าปากกัดหนึ่งครา น่องเป็ดครึ่งน่องก็เข้าไปอยู่ในปาก

“อ๊ะ!” หานผู่ที่มัวเหม่อมองดวงตาเซียวเจี้ยนได้สติในที่สุด เขารีบวิ่งกลับไป นั่งแปะลงแล้วยื่นมือ “เช่นนั้นน่องไก่น้ำผึ้งสองน่องนี้เป็นของข้า!”

“เนื้อกุ้งน้ำซีอิ๊วจานนี้เป็นของข้า”

“กลีบบงกชหยกถ้วยนี้เป็นของข้า”

“ซี่โครงเมฆาม่วงนี้เป็นของข้า”

ทั้งสองแบ่งสันปันส่วนอาหารบนพรมทีละชนิดจนครบ อีกทั้งทุกครั้งที่ชิงได้หนึ่งอย่างก็จะแหงนหน้ามองเซียวเจี้ยนหนึ่งครา ดูสีฟ้าในดวงตาอันเย็นเยียบดุจหิมะนั้นเข้มขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความพึงใจ จนสุดท้ายกลายเป็นสีน้ำเงินครามดั่งฟ้าใสหมื่นลี้

“วันนี้เหมือนอารมณ์เจ้าจะกระทบกระเทือนง่ายนะ” หวงเฉานั่งตัวตรงมองอยู่ด้านข้างโดยตลอด เห็นขุนพลคนสนิทผู้แต่ไหนแต่ไรมาเฉยชาสุขุม น้อยครั้งนักที่จะมีอารมณ์กับสิ่งต่างๆ ทว่าวันนี้กลับถูกยั่วให้มีโทสะต่อกันหลายครั้งหลายครา จึงอดสะท้อนใจมิได้

เซียวเจี้ยนได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งรู้ตัวในทันที จากนั้นก็สงบจิตสงบใจให้อารมณ์กลับสู่สภาพปกติ ดังนั้นสีน้ำเงินในดวงตาจึงจางลงช้าๆ ท้ายสุดแววตาก็นิ่งสงัดดุจวังน้ำลึก

“เฮ้อ…ไม่…มีแล้ว” หานผู่ซึ่งเคี้ยวเนื้อไก่อยู่ในปากส่งเสียงอู้อี้ด้วยความเสียดาย

“ขุนพลเซียว ท่านมีนามอื่นบ้างหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หรี่ตามองท้องนภา “ดวงตาของท่านเหมือนฟ้าครามเหนือทุ่งหิมะ ใสกระจ่างและบริสุทธิ์ สวยยิ่งนัก ควรตั้งชื่อว่า ‘เสวี่ยคง’ ถึงจะถูก”

เซียวเจี้ยนได้ยินก็ตกตะลึง จับจ้องไป๋เฟิงซีนิ่ง ผ่านไปเป็นนานเขาถึงได้เอ่ยแผ่วเบาว่า “ฉายาเสวี่ยคง”

“ประเสริฐแท้” นางแย้มยิ้มพลางพยักหน้า มองดูเขาอีกครั้ง ทางหนึ่งเคี้ยวอาหารทางหนึ่งเอ่ยว่า “ท่านไม่ควรสวมชุดสีขาวหิมะเช่นนี้ อืม…ท่านเหมาะกับอาภรณ์สีฟ้าอ่อน สีฟ้าอย่างท้องฟ้านั่นแหละ” ระหว่างง่วนกับการกินก็ยังอุตส่าห์สละนิ้วมือมันแผล็บชี้ไปยังท้องนภา

ครั้งนี้เซียวเจี้ยนไม่ตอบคำ เพียงแค่เงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้ฟ้าโปร่งสีเขียวครามสะท้อนสู่นัยน์ตาใสกระจ่าง เมฆบางเบาคล้อยผ่านเป็นครั้งคราว

หวงเฉาฟังอยู่ด้านข้าง คลี่ยิ้มบางๆ มองคนทั้งสองที่ตะกรุมตะกรามเป็นหมาป่าฮุบเสือเขมือบ

ทันใดนั้นไป๋เฟิงซีที่กำลังก้มหน้าก้มตากินเป็นการใหญ่และหวงเฉาที่นั่งตัวตรงอยู่ด้านข้างก็เบือนหน้าเหลือบไปทางซ้ายพร้อมกัน แล้วไป๋เฟิงซีก็ละสายตากลับมาก้มหน้ากินอย่างขะมักเขม้นต่อ ส่วนหวงเฉาเก็บสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ลงช้าๆ

ต่อมาเซียวเจี้ยนถึงสังเกตพบอีกคน จึงเหินร่างหายไป ชั่วพริบตาก็ไม่เหลือร่องรอย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเจี้ยนก็แบกบุรุษผู้หนึ่งกลับมา ด้านหลังยังมีบุรุษชุดครามตามมาอีกห้าคน

“กระหม่อมถวายบังคมกงจื่อ”

ทันทีที่ทั้งหกมาถึงเบื้องหน้าหวงเฉาก็ทรุดกายลงคารวะ แม้แต่บุรุษที่เซียวเจี้ยนแบกไว้ผู้นั้นก็ตะเกียกตะกายลงมาคารวะกับพื้น

“ทุกท่านลุกขึ้นเถิด” หวงเฉาสั่งเสียงเรียบ กวาดตามองแวบหนึ่ง พบว่าคนเหล่านี้ต่างได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่เซียวเจี้ยนแบกกลับมามีบาดแผลฉกรรจ์ที่สุด อาภรณ์สีครามถูกโลหิตบริเวณท้องน้อยย้อมเป็นสีแดงฉาน

“ช่วยรักษาแผลให้เขาก่อน” หวงเฉาสั่งเซียวเจี้ยน

เซียวเจี้ยนพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือเล็กน้อย บุรุษสี่คนที่เฝ้าอยู่ด้านข้างโดยตลอดก็ก้าวเข้ามาประคองทั้งหกให้นั่งลง แล้วรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขาทันที

เมื่อจัดการบาดแผลของทั้งหกเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่มีบาดแผลฉกรรจ์ที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นก็ก้าวเข้ามาหาหวงเฉา มืออันสั่นเทาทั้งสองข้างล้วงวัตถุซึ่งห่ออยู่ในผ้าแพรสีครามออกจากอกเสื้อ คุกเข่าลงหนึ่งข้าง ประคองห่อผ้าสีครามนั้นขึ้นเสมอศีรษะ มอบให้หวงเฉา

หวงเฉายื่นมือไปรับ ทว่ากลับไม่รีบร้อนเปิดดู ส่งสัญญาณให้เซียวเจี้ยนพยุงเขาขึ้น จากนั้นถึงมองของในมือ ดวงตาเขาสาดประกายชวนครั่นคร้าม แต่แล้วก็กระหวัดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้ ทันใดนั้นแววตาเจิดจ้าดั่งอสนีบาตก็กวาดตรงไปยังคนผู้นั้น “เยียนอิ๋งโจวเล่า”

มือทั้งสองที่เดิมทีก็สั่นเทาของคนผู้นั้นบัดนี้ยิ่งสะท้านรุนแรง เขาเงยหน้า ดวงตาพยัคฆ์เริ่มเปียกชื้นทว่าฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ขุน…ขุนพลเยียน…สละชีพบนเขาเซวียนซานเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“อะไรนะ” หวงเฉาร่างโงนเงน จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น ปราดมาถึงหน้าบุรุษผู้นั้นในพริบตา ยื่นมือซ้ายคว้าหัวไหล่เขาไว้ แววตาเจิดจ้าคมกริบ “พูดอีกทีซิ!”

“ทูลกงจื่อ ขุนพลเยียนสละชีพบนเขาเซวียนซานเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” คนผู้นี้ฝืนข่มความเจ็บปวดบนหัวไหล่ ตอบอีกครั้งอย่างชัดเจน หยาดน้ำในดวงตารินออกมาในที่สุด

หวงเฉาได้ยินดังนั้นก็ปล่อยเขา ก่อนจะหยัดร่างตรง ริมฝีปากเม้มสนิท สีหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลทองนั้นที่ม่านตาหรี่เล็กลงไม่หยุด

กระบี่ของเซียวเจี้ยนส่งเสียงเคร้งเบาๆ มือข้างที่กุมกระบี่มีเส้นเลือดเขียวปูดโปน เขาก้มหน้าลงน้อยๆ เส้นผมขาวราวหิมะพลิ้วระบำโดยไม่มีลม

เมื่อไป๋เฟิงซีได้ยินหวงเฉากล่าวถึงเยียนอิ๋งโจว มิรู้ด้วยเหตุใดมือถึงอ่อนแรง ทำให้เป็ดในมือร่วงลงบนพรม นางก้มศีรษะเหม่อลอย นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

หานผู่ที่ความรู้สึกช้าบัดนี้ก็รู้สึกได้แล้วเช่นกันว่าบรรยากาศมิใคร่จะถูกต้อง จึงชะงักมือ กระเถิบเข้าใกล้ไป๋เฟิงซี พอเห็นอาการของนางในตอนนี้ก็อดกระตุกแขนเสื้อเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ด้วยความเป็นห่วงมิได้ “พี่สาว?”

ไป๋เฟิงซียินเสียงก็เงยหน้ามองเขา คลี่ยิ้มบางเป็นเชิงว่านางไม่เป็นไร ขณะนั้นหานผู่กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ได้ผ่านพันขุนเขาหมื่นสายน้ำ พ้นพันคดร้อยโค้ง แฝงความเหนื่อยอ่อนและความโศกศัลย์จางๆ

“อิ๋งโจว!” หวงเฉาที่นิ่งงันอยู่เป็นนานส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาในที่สุด มือกำห่อผ้าสีครามแน่นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลทองฉายแววอาดูร เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะส่งเสียงเรียก “เซียวซี”

“พ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในสี่คนที่ช่วยคนเจ็บพันแผลมีอยู่ผู้หนึ่งยืนขึ้นก้มศีรษะขานรับ

“พวกเจ้าสี่คนอารักขาพวกเขาหกคนกลับไป” หวงเฉาสั่ง

“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวซีรับบัญชา

หวงเฉาหันหน้ามาหาเซียวเจี้ยนแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากับข้าไปเขาเซวียนซาน”

เซียวเจี้ยนได้ยินคำก็ตกตะลึง จากนั้นจึงเกลี้ยกล่อมว่า “กงจื่อ ในเมื่อของอยู่ในพระหัตถ์แล้ว พระองค์เสด็จกลับไปพร้อมกับพวกเซียวซี ให้กระหม่อมไปเขาเซวียนซานผู้เดียวพอ”

หวงเฉามองห่อผ้าในมือ ใบหน้าผุดยิ้มบางๆ ทว่ากลับหนักอึ้งและหมองหม่น “ก่อนไปเยียนอิ๋งโจวเคยกล่าวไว้ว่าจะชิงป้ายกลับมาให้จงได้ ไม่ให้ข้าผิดหวังเป็นอันขาด ในเมื่อเขาหาได้ทำให้ข้าผิดหวัง มีหรือข้าจะทอดทิ้งเขาได้”

“กงจื่อ การไปครานี้อันตรายถึงสิบส่วน…” เซียวเจี้ยนทำท่าจะเกลี้ยกล่อมซ้ำ แต่กลับถูกหวงเฉาโบกมือขัด

“ข้าตัดสินใจแน่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทัดทานอีก ระหว่างทางไปเขาเซวียนซานนี้ข้าก็อยากจะดูว่าผู้ใดสามารถชิงของไปจากมือข้าได้”

เห็นดังนั้นเซียวเจี้ยนก็ไม่ยับยั้งอีก หวงเฉาผินร่างมากำชับเซียวซีแทนว่า “พวกเจ้าอารักขาพวกเขาหกคนกลับไป ส่งข่าวให้เซียวฉือด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวซีรับคำสั่ง ต่อมาก็จากไปอย่างรวดเร็วพร้อมคนเหล่านั้น

หวงเฉาหมุนร่างเดินมาตรงหน้าไป๋เฟิงซี ชูห่อผ้าในมือขึ้นถามว่า “แม่นางรู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด”

นางลุกขึ้น ไม่มองห่อผ้าแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ริมฝีปากหยักขึ้นน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “นี่มิใช่ป้ายขั้วกาฬที่สกปรกโสมมเสียยิ่งกว่าข้าหรอกหรือ”

“สกปรก?” หวงเฉาไม่นึกฝันว่านางจะให้ค่าวัตถุอันสูงค่าที่สุดในแผ่นดินเช่นนี้

“มือผู้คนตั้งมากมายเคยสัมผัสมาก่อน ซ้ำยังย้อมด้วยโลหิตเหลือคณา ไม่สกปรกหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซีมองเขา แววตาเย็นชา

“ฮ่าๆ” หวงเฉาหัวเราะ เปิดห่อผ้าที่พันไว้อย่างแน่นหนาออก

เมื่อผ้าชั้นสุดท้ายคลี่ออกก็เผยให้เห็นป้ายคำสั่งโลหะสีดำรูปร่างยาว เขาใช้นิ้วคีบขึ้น รู้สึกเย็นเยียบถึงกระดูก ป้ายนั้นยาวราวเก้าชุ่น ด้านหน้ามีอักษร ‘ขั้วกาฬโอรสสวรรค์’ ด้านหลังคือลายมังกรดั้นเมฆา มันทอประกายดำแวววาวภายใต้แสงสุริยัน

“นี่ก็คือป้ายขั้วกาฬกระนั้นรึ” เขาใช้นิ้วลูบไล้ แววตาบ่งบอกถึงความอัศจรรย์ใจ “ป้ายขั้วกาฬโอรสสวรรค์ยาวเก้าชุ่นเก้าเฟิน หนักเก้าชั่งเก้าตำลึง”

“ก็แค่ป้ายขั้วกาฬสกปรกๆ ชิ้นเดียว แต่กลับเกี่ยววิญญาณวีรบุรุษไปนับไม่ถ้วน” ไป๋เฟิงซีมองป้ายขั้วกาฬที่ทำให้ผู้คนมากมายสุดที่จะนับต้องจบชีวิตลง ในดวงตามีเพียงความชิงชังอันเย็นชา

“ที่แม่นางว่ามาก็ชอบด้วยเหตุผล ของสิ่งนี้สกปรกจริง ทว่า…” หวงเฉาชูป้ายขั้วกาฬขึ้น มองป้ายคำสั่งที่ทอประกายสีหมึก “ในบางแง่มันกลับมีมนตร์ขลังนัก เพราะมันคือสิ่งซึ่งสูงส่งที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า”

“ฮ่า!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเสียงเย็น “อันใดกันนี่ ท่านก็เชื่อเช่นกันหรือว่าเจ้าของสิ่งนี้สามารถทำให้บัญชาทั่วหล้าได้”

“บัญชาทั่วหล้า?” หวงเฉาทวนคำหนึ่งคำรบ จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ…ของชิ้นนี้ย่อมไม่อาจบัญชาทั่วหล้าได้ ที่จะบัญชาทั่วหล้าได้คือมนุษย์ต่างหาก มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ ป้ายขั้วกาฬคือสัญลักษณ์ของฮ่องเต้แห่งต้าตง ป้ายแกนกาฬคือสัญลักษณ์แห่งอ๋องทั้งเจ็ดแคว้น ป้ายขั้วกาฬอยู่ในมือข้า สำหรับอาณาประชาราษฎร์แล้ว ข้าก็คือผู้ที่ชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นฮ่องเต้ ฉะนั้นผู้ที่สามารถบัญชาทั่วหล้าได้อย่างแท้จริงก็คือข้าผู้นี้ คือข้าหวงเฉา!”

ไป๋เฟิงซีนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง เพียงแต่มองหวงเฉาอย่างเงียบงัน

ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ ณ เบื้องหน้าหัวเราะเสียงดัง ทั่วทั้งร่างเปล่งรัศมีหยิ่งผยองอันบ้าระห่ำ ลำพองตนเสมือนอสูรที่แค่อ้าปากก็จะกลืนฟ้าทั้งผืนลงไปได้ ขยับเท้าก็จะทำให้แผ่นดินแยกขุนเขาคลอน

ด้านข้างเซียวเจี้ยนมองนายของตนด้วยอาการเคารพเลื่อมใส ส่วนหานผู่เพิ่งเคยเห็นผู้ที่บ้าระห่ำราวกับสามารถกำฟ้าดินไว้ในอุ้งมือได้เช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นนอกจากปากอ้าตาค้างแล้ว หัวใจในอกก็เต้นโครมครามดุจรัวกลอง ความร้อนสายหนึ่งแผ่ไปทั่วร่าง

“วันหน้าไม่ว่าผู้ที่ได้นั่งบัลลังก์ครองแผ่นดินจะใช่ท่านหรือไม่ ท่านก็จะได้เป็นเจ้าผู้เหี้ยมหาญที่มีนามจารึกในประวัติศาสตร์” ไป๋เฟิงซีพลันเอ่ยขึ้นช้าๆ ในน้ำเสียงมีแววยอมรับอันเกิดได้น้อยยิ่ง

“ย่อมต้องเป็นข้าอยู่แล้ว!” หวงเฉาประกาศอย่างเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม

“หึ ความมั่นใจของหวงซื่อจื่อหาใช่คนทั่วไปจะทัดเทียมได้” นางหัวเราะเบาๆ “ทว่าตามความเห็นของข้ากลับมีโอกาสเพียงห้าส่วนเท่านั้น”

“เหตุใดมีเพียงห้าส่วนเล่า” หวงเฉาได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว

“ได้ยินว่าบนยอดเขาชังหมังมีหมากอยู่กระดานหนึ่ง มิทราบซื่อจื่อเคยสดับหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเบนสายตาขึ้นมองเบื้องหน้า

หวงเฉากลอกตา พยักหน้า “เคย”

นางเอ่ยอย่างแช่มช้า “ข้างกระดานหมากมีอักษรสลักไว้ว่า ‘หมากจนบนชังหมัง เว้นอาสน์ร้างว่างรอรา ฟ้าใหม่เหล่าผู้กล้า เทียบฤทธาชิงปฐพี’ ชาวโลกล้วนแต่กล่าวขานกันว่าหมากกระดานนั้นและอักษรสองวรรคนั้นเป็นสวรรค์ที่ประทานไว้เป็นนิมิตล่วงหน้าว่าจะมีวีรบุรุษล้ำหล้าสองคนร่วมชิงปฐพี หากท่านเป็นหนึ่งในนั้น โลกนี้ก็ยังมีผู้ต่อกรอีกผู้หนึ่งซึ่งทัดเทียมกัน กล่าวเช่นนี้ก็เหลือเพียงห้าส่วนแล้วมิใช่หรือ”

“อ้อ?” แววตาหวงเฉาลึกล้ำเกินคาดเดา

“ยิ่งกว่านั้นวีรบุรุษในใต้หล้าปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่ทัดเทียมด้วยตำแหน่งกับท่านคล้ายกับหาได้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีหันกลับมามองหวงเฉา คลี่ยิ้มจางอันเกียจคร้าน ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสุกใสดุจกระจก ทอแสงแห่งปัญญาอันดึงดูดสายตา ประหนึ่งสรรพสิ่งในโลกล้วนสะท้อนอยู่ในดวงตาของนางจนหมดสิ้น “โยวโจวมี ‘กองทัพเสื้อทอง’ ยงโจวมี ‘กองทัพปีกกาฬ’ ชิงโจวมี ‘กองทัพวายุเมฆา’ สามแคว้นนี้ล้วนแต่มีทหารกล้าขุนพลแกร่ง โยวอ๋อง หลันซีกงจื่อ ซีอวิ๋นกงจู่ หรือคนเหล่านี้มิอาจเป็นคู่มือของท่าน? อีกอย่างแผ่นดินกว้างใหญ่นัก ที่ใดเล่ามิมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน วีรบุรุษที่อาจต่อกรกับท่านได้ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีอีกนับไม่ถ้วน”

“ฮ่าๆๆ…หากเป็นเช่นที่ท่านว่า แม้แต่โอกาสห้าส่วนข้าก็ไม่มีแล้ว” หวงเฉาหาได้ขุ่นเคืองหรือทดท้อไม่ เขากางแขนทั้งสองออกราวกับกำลังโอบกอดผืนฟ้าและแผ่นดิน “กระดานหมากบนยอดเขาชังหมังนั้นข้าจะต้องไปเยี่ยมชมสักครา แต่ข้าไม่เชื่อนิมิตฟ้าประทานอะไรนั่น ข้าเชื่อเพียงตัวเองเท่านั้น สิ่งที่ข้าหวงเฉาหมายใจจะทำจะต้องบรรลุผลอย่างแน่นอน ข้าจะใช้มือทั้งสองนี้กุมใต้หล้าไว้ให้จงได้”

“เช่นนั้นข้าจะล้างตารอชม ดูว่าผู้ที่จะชิงความเป็นใหญ่บนยอดเขาชังหมังคือผู้ใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีก็ยิ้มตาม ทว่าในรอยยิ้มเฉื่อยชานั้นแฝงไว้ด้วยแววคมปลาบที่บางเบาเป็นที่สุด

“ผู้ที่จะยืนอยู่บนยอดเขาชังหมังมีเพียงข้าหวงเฉาผู้เดียวเท่านั้น” หวงเฉามองอย่างลำพอง ความฮึกเหิมแผ่ไกลไปหมื่นจั้ง

“ฮ่าๆๆ…อยู่ในยุทธภพสิบปี ท่านเป็นผู้ที่มั่นใจและบ้าระห่ำที่สุดที่ข้าเคยพบ” ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส จากนั้นก็จับมือหานผู่ไว้ สะกิดปลายเท้าเหินร่างขึ้นกลางเวหา “ข้าจะรอวันที่ได้พบกับท่านบนยอดเขาชังหมังด้วยใจจดจ่อ” เมื่อสิ้นกระแสเสียง ร่างของนางก็ห่างออกไปหลายจั้งแล้ว

“เรื่องที่ข้าจะทำ โลกนี้ไม่ว่าผู้ใด เรื่องใด หรือสิ่งใดก็ไม่อาจยับยั้งขัดขวางได้ ข้าจะเหยียบทางเบื้องหน้าให้ราบคาบเพื่อเป็นหนทางใหญ่ไปสู่เขาชังหมัง” หวงเฉาเปล่งเสียงกัมปนาท

บนภูเขารกร้าง เสียงสะท้อนก้องไปมา วาจาที่ว่า ‘ข้าจะเหยียบทางเบื้องหน้าให้ราบคาบเพื่อเป็นหนทางใหญ่ไปสู่เขาชังหมัง’ ดังกังวานอยู่เป็นนาน

บทที่ 7 บนหอลั่วรื่อ (ตะวันพลบ) บุรุษผู้เป็นดั่งหยก

“พี่สาว หวงเฉากงจื่อนั่นภายหน้าจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่” หลังห่างออกมาไกลแล้ว หานผู่ถึงถามไป๋เฟิงซี

“อาจเป็นเขา และอาจไม่ใช่” นางเงยหน้า ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะแผดแสงกล้าแทงนัยน์ตา ประหนึ่งซื่อจื่อจอมอหังการแห่งจี้โจวผู้นั้น

“แต่ท่าทางที่เขาพูดชวนให้รู้สึกว่าเป็นเขานั่นแหละ” หานผู่ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าตามแบบนาง เขาหรี่ตารับรัศมีร้อนแรงแห่งดวงอาทิตย์

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเลื่อมใสเขามากหรือ” ไป๋เฟิงซีก้มมองหานผู่ ถามด้วยรอยยิ้มบางเบา “เจ้าก็อยากกลายเป็นคนเยี่ยงเดียวกับเขาด้วยกระนั้นหรือ”

“พี่สาว ข้าเลื่อมใสเขา แต่ข้าไม่อยากเป็นคนเยี่ยงเขา” ดวงหน้าเล็กจ้อยอันมอมแมมตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ทำไมเล่า” นางได้ยินเขาตอบเช่นนี้กลับหลากใจอยู่พอควร

“คนผู้นั้น…” หานผู่กัดปลายนิ้วราวกับกลัดกลุ้มว่าจะเอ่ยเช่นไรดี

ไป๋เฟิงซีก็ไม่เร่งเร้า เพียงแต่อมยิ้มมอง

“นึกออกแล้ว!” หานผู่พลันชี้นิ้วขึ้นฟ้า “พี่สาว หวงเฉากงจื่อก็เหมือนกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เจิดจ้าทิ่มแทงตาเกินไป จะบดบังคนข้างกายเขาจนสิ้น แล้วบนท้องฟ้าก็จะเหลือเพียงเขาผู้เดียว” เขามองไป๋เฟิงซี สีหน้าเอาจริงเอาจังอย่างที่สุด “เขายืนอยู่สูงถึงเพียงนั้นผู้เดียว ไยมิใช่อ้างว้างนัก”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย สายตาที่มองหานผู่ค่อยๆ อ่อนลง อึดใจต่อมานางก็ยื่นมือลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน “ผู่เอ๋อร์ ภายหน้าเจ้าจะเป็นผู้ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าไป๋เฟิงเฮยซี”

“หา? จริงหรือ” หานผู่ฉีกยิ้มอย่างปรีดา ทว่าครู่เดียวก็หุบยิ้มกะทันหัน “ข้าไม่อยากเหนือล้ำกว่าพี่สาว ข้าอยากยืนอยู่ในที่เดียวกับพี่สาว”

ไป๋เฟิงซีประหนึ่งมิได้ยิน ยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ปลิวอยู่ข้างจอนหู สายตาทอดไกลไปสู่เบื้องหน้า ลึกล้ำเกินหยั่ง ดั่งเห็นถึงจุดสิ้นสุดของฟ้าดิน

“ตำแหน่งที่สูงที่สุด แม้จะไม่มีสหาย แต่เขาได้ครอบครองอำนาจสูงสุด ปฐพีแผ่ไพศาล ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์นับหมื่นพันน้อมศีรษะ มียศถาบรรดาศักดิ์ให้เสพได้ไม่หมดสิ้น นี่เป็นสิ่งชดเชยอย่างหนึ่งกระมัง”

“แต่ของพวกนั้นหากเขาตายแล้วก็เอาไปไม่ได้นี่นา” หานผู่โต้แย้ง คิ้วก็ขมวดขึ้น “เมื่อก่อนท่านแม่ข้าเคยบอกว่าเมื่อคนเราตายไป ร้อยสิ่งจะจบสิ้นในคราวเดียว ทุกสิ่งเมื่อครั้งมีชีวิตล้วนเป็นดั่งเมฆหมอก ท่านพ่อข้าจึงบอกว่าเมื่อนางตายก็สามารถพาเขาไปด้วยได้ ข้าคิดว่าเมื่อท่านแม่ตายยังพาท่านพ่อไปด้วยได้ ทว่าเมื่อฮ่องเต้ตายกลับนำเอาบัลลังก์ อำนาจ แผ่นดิน ขุนนาง และทวยราษฎร์ไปด้วยมิได้”

“ฮ่า ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่าหานจะเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้เป็น” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตบหัวหานผู่อย่างเบามือพร้อมเอ่ยว่า “ผู้ใดบอกว่าฮ่องเต้ทรงเอาอะไรไปด้วยมิได้ ท่านแม่เจ้ามีท่านพ่อ ยามฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ มิเพียงมีเพชรนิลจินดามากมายฝังไปด้วย บางครั้งก็มีเหล่านางสนมฝังไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่พระองค์ทรงเอาไปด้วยได้มีมากมายเชียวล่ะ”

“แต่นั่นไม่ได้มาจากใจจริงนี่! หากไม่ได้มาจากใจจริง ถึงยมโลกแล้วก็จะหาไม่พบ ไยมิใช่เดียวดายเพียงลำพัง” หานผู่ยังคงยืนหยัดในความเห็นของตน

“ความจริงใจรึ…” ไป๋เฟิงซีพลันหันมองไปตามเส้นทางที่มา สายตาเลื่อนลอย หลังจากเวลาล่วงผ่านไปนานก็ถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง มิเอ่ยคำใดอีก

“เช่นนั้นภายหน้าเมื่อข้าตาย จะมีผู้ไปกับข้าหรือไม่” หานผู่นึกถึงเรื่องหลังจากตนวายชนม์ขึ้นมาแล้ว

“ก็มิอาจรู้ได้” ไป๋เฟิงซียิ้ม งอนิ้วดีดหน้าผากเขาเบาๆ “หัวสมองเล็กจ้อยร่อยของเจ้าไฉนจึงได้พิลึกเช่นนี้ อายุยังน้อยก็คิดถึงเรื่องตายเสียแล้ว”

“เช่นนั้นเมื่อพี่สาวตาย ข้าจะไปกับท่านดีหรือไม่” หานผู่กลับไม่เลิกคิด ใจนึกแต่จะหาคนอยู่ด้วย

“ไม่ดี” นางปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

“ทำไมเล่า”

“เพราะเจ้าอายุน้อยกว่าข้า ตอนข้าตายเจ้ายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานมากเป็นแน่”

“แต่ข้าอยากไปกับพี่สาวนี่ พวกเราอยู่ในยมโลกด้วยกัน ยังไปเกิดใหม่ด้วยกันได้อีกด้วย”

“อย่านะ ไม่ต้องเด็ดขาด! ชาตินี้มีกรรม ต้องแบกภาระอย่างเจ้า ชาติหน้าข้าไม่อยากแบกอีก”

“ข้าไม่ใช่ภาระนะ รอข้าเติบใหญ่เมื่อไรก็เปลี่ยนให้ข้าแบกพี่สาวแทนเถอะ”

“ข้าไม่ต้องให้ผู้ใดแบก เจ้าไปแบกคนอื่นแทนเถอะ”

“ท่านพ่อท่านแม่เสียหมดแล้ว ตอนนี้ข้าก็มีแค่พี่สาวผู้เดียวแล้วนี่”

“เช่นนั้นก็ยังมีลูกเมียอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่มีลูกเมียนี่”

“วันหน้าก็จะมี”

“ไม่มี”

คนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็ก ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

อีกด้านหนึ่งบนทางเดินในภูเขา เซียวเจี้ยนเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา “กงจื่อทรงแสดงป้ายขั้วกาฬออกมาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่กลัวว่านางจะนึกละโมบหรือ”

“แม่นางผู้นั้น…ไม่แน่ว่าเอาทั้งแผ่นดินมามอบให้ตรงหน้า นางก็ไม่ชายตาแล มิพักต้องเอ่ยถึง…ป้ายขั้วกาฬที่ในสายตานางมองว่าสกปรกโสมมเหลือทน” หวงเฉาเอ่ยอย่างปลดปลง

“อืม” เซียวเจี้ยนตรองดูแล้วก็พยักศีรษะ จากนั้นถามต่อว่า “กงจื่อมองที่มาที่ไปของนางออกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ออก” หวงเฉาถอนใจ “ตอนที่พวกเขากินอาหาร ข้าสังเกตอย่างถ้วนถี่แล้ว เด็กน้อยนามหานผู่นั่นแม้กล่าวว่าหิวยิ่ง อีกทั้งท่ากินไม่ชวนมองเท่าใด ทว่านั่งตัวตรงเป็นสง่า กินอาหารไม่หกเลอะเทอะสักนิด เห็นได้ว่าครอบครัวอบรมมาดีนัก นอกจากนั้นในบรรดาอาหาร มีอยู่หลายชนิดที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปไม่มีโอกาสได้กิน ทว่าเขาก็เรียกชื่อแต่ละจานได้ราวกับนับอัญมณีในบ้าน พอให้มองออกว่าชาติกำเนิดมั่งมี”

เมื่อเซียวเจี้ยนใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็เห็นจริงตามนั้น

“ส่วนแม่นางผู้นั้น…” หวงเฉาชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมา “เจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไร”

เซียวเจี้ยนตริตรองครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม้นางจะขี้ริ้ว ก็ขี้ริ้วได้พ้นโลกียวิสัย แม้นางจะประหลาดก็ประหลาดได้ผ่าเผยนัก”

“ฮ่าๆ เห็นทีเจ้าจะชื่นชมนางไม่น้อย” หวงเฉาหัวเราะเบาๆ พลางก้าวไปข้างหน้าต่อ

เดินอยู่เพียงอึดใจ เซียวเจี้ยนก็เรียกขึ้นกะทันหัน “กงจื่อ”

“หืม?” หวงเฉาขานรับ

เซียวเจี้ยนลังเลเล็กน้อย ทว่าก็กล่าวต่อ “ท่านสังเกตเห็นเครื่องประดับบนหน้าผากนางหรือไม่ขอรับ”

“เครื่องประดับบนหน้าผาก?” หวงเฉาหมุนร่างขวับ สายตาดุจอสนีบาต

“เพราะใบหน้านางเปรอะดำไปด้วยขี้เถ้า มองไม่ใคร่จะชัด แต่กงจื่อเคยตรัสว่าไป๋เฟิงซีอาภรณ์ขาวจันทร์หิมะ…เครื่องประดับบนหน้าผากนางแม้จะดูสามัญ ทว่าสตรีในยุทธภพกลับมีไม่มาก พอยามนี้มาขบคิดอย่างละเอียดแล้ว เครื่องประดับบนหน้าผากนางรูปร่างกลับคล้ายจันทร์เสี้ยวอยู่ไม่น้อย”

“เจ้าหมายความว่า…นางก็คือไป๋เฟิงซี?” หวงเฉาตะลึง ครั้นกระหวัดถึงการประชันเมื่อครู่ ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถประมือกับเขาได้อย่างสูสีก็มีเพียงไม่กี่คน ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าเป็นสตรี ทันใดนั้นเขาก็พลันกระจ่างแจ้ง อดยิ้มชื่นชมมิได้ “ไป๋เฟิงซีตัวดี! เฮ้อ เจ้าและข้าล้วนถูกคำกล่าว ‘เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน’ หลอกให้หลงงงงวยเสียแล้ว นึกเอาว่าต้องเป็นหญิงงามผู้มีรูปโฉมเฉิดฉาย ทว่าแม้นางจะทั้งสกปรกทั้งเหม็น แต่กลับยากจะอำพรางแววสุกใสเพริศพรายได้ เช่นนั้นมิใช่ ‘เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน’ แล้วจะเป็นอันใดได้ โลกนี้จะมีสตรีวรยุทธ์สูงล้ำปานนั้นสักกี่คน ข้าควรคิดได้แต่แรกจึงจะถูก”

เซียวเจี้ยนอดเหลียวหลังมองเส้นทางที่จากมามิได้ สตรีผู้นั้นคือไป๋เฟิงซี!

“จะต้องได้พบกันอีกแน่” หวงเฉาเก็บแววครุ่นคิด สืบเท้ายาวไปเบื้องหน้า

 

นับแต่ราชวงศ์แห่งฮ่องเต้เสื่อมลง ราชอาณาเขตฉีอวิ๋นก็เสียเกียรติภูมิแห่งวันวาน แต่ละแคว้นมักหาข้ออ้างเข้ารุกรานอยู่เนืองๆ ราชอาณาเขตจึงถูกตัดแบ่งไปทีละน้อย หากมิใช่ตงซูฟั่งผู้เป็นแม่ทัพป้องเมืองภักดีต่อราชวงศ์ ยาตราทัพทหารราชองครักษ์ใต้บังคับบัญชาจำนวนนับร้อยหมื่นคอยป้องกันฉีอวิ๋นไว้ ราชอาณาเขตก็ถูกบรรดาเจ้าครองแคว้นอื่นๆ ผนวกรวมจนสิ้นไปแล้ว

ที่ราบฉีอวิ๋นในวันนี้มีประชากรเบาบาง เศรษฐกิจซบเซา หากว่ากันด้วยความเข้มแข็งของแผ่นดินและกำลังทหารก็มิอาจเทียบยงโจวและจี้โจว หากว่าด้วยวัฒนธรรมและความมั่งคั่งก็มิอาจสู้ชิงโจวและโยวโจว กระทั่งแคว้นเล็กอ่อนแออย่างซังโจวและเป่ยโจวที่ได้บุกตีและกลืนรวมพื้นที่อื่นมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปียังมีกำลังเข้มแข็งกว่าราชอาณาเขตนานแล้ว

แม่น้ำอูอวิ๋นเป็นสายน้ำหลักที่ทอดตัวจากเหนือลงใต้ จากส่วนเหนือสุดอย่างเป่ยโจวลดเลี้ยวเคี้ยวคดลงใต้ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่หมู่บ้านและเมืองทั้งเล็กใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ในบรรดานี้ได้แก่ อวี๋เฉิง ตอนใต้ของอวี๋เฉิงเชื่อมกับหลินเฉิง ตะวันตกติดเถาลั่ว เหนือประชิดเจี่ยนเฉิง ตะวันออกเป็นแม่น้ำอูอวิ๋น อวี๋เฉิงตั้งอยู่ ณ ตอนกลางของฝั่งตะวันตกของที่ราบฉีอวิ๋น ไม่ได้รับความทุกข์ยากเพราะมีศึกมาติดบ้านติดเมืองอยู่เนืองนิตย์เฉกเช่นเมืองทางชายแดน กอปรกับการคมนาคมสะดวก เชื่อมต่อกันสี่ทิศแปดทาง แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้นอกจากนครหลวงแล้ว อวี๋เฉิงจึงเป็นเมืองที่สงบราบคาบ ร้อยอาชีพฟูเฟื่อง ประชาราษฎร์อยู่เย็นที่สุดในฉีอวิ๋น สะท้อนความรุ่งเรืองมั่งคั่งในอดีตของราชอาณาเขต

ด้านตะวันออกของอวี๋เฉิง ริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋นมีหอสูงห้าชั้นแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งติดถนน สามด้านติดน้ำ นั่นก็คือร้านสุราที่เลื่องชื่อที่สุดในอวี๋เฉิง ‘หอลั่วรื่อ’ หอลั่วรื่อลือนามด้วยอาทิตย์อัสดงริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋น และ ‘ห่านไพรพลัดฝูง’ ยอดเมรัยที่ทางร้านหมักเอง แต่ละวันมีลูกค้าที่ได้ยินกิตติศัพท์แห่แหนมาอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในยามเย็น หน้าร้านจะมีรถม้าเรียงรายดั่งสายน้ำ อาชาเรียงเป็นแถวยาวดุจมังกร

นายแห่งหอลั่วรื่อก็หาใช่ชนชั้นสามัญ หากมองเพียงชื่อเสียงและกิจการอันรุ่งเรืองในวันนี้ของหอลั่วรื่อ ผู้ไม่รู้อาจหลงนึกว่าหอแห่งนี้ทาสีชาด มุงกระเบื้องมรกต หรูหราตระการตายิ่งใหญ่โอฬาร เยี่ยงนี้จึงจะสมกับสมัญญา ‘หออันดับหนึ่งแห่งฉีอวิ๋น’

ทว่าในความเป็นจริงแล้วหอลั่วรื่อจะหรูหราเพริศแพร้วสักนิดก็หามิได้

แม้ตัวหอสร้างด้วยไม้ชั้นหนึ่ง แต่การตกแต่งภายในเรียบง่ายสมถะ ไม่มีผ้าต่วนปูโต๊ะ ไม่มีพรมแพรไหมลาดพื้น ไม่ได้แขวนโคมแปดเหลี่ยมลวดลายสดใสห้อยพู่ระย้า ทางเข้าก็หาได้มีม่านไข่มุกอันโสภิต มีเพียงโต๊ะเก้าอี้เรียบง่ายและถ้วยชามสะอาดสะอ้านที่ลูกค้าทุกคนจำเป็นต้องใช้ แค่ว่าโต๊ะ เก้าอี้ ตั่ง แคร่ ม่าน ฉาก ทุกชิ้นล้วนแต่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ จัดวางอย่างเหมาะเจาะพอดี ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็ชวนให้รู้สึกแปลกหูแปลกตา ผ่อนคลายอิสระ

 

“สหายเก่าคลาดคลา เหลียวหาอยู่แห่งใด ประจิมไซร้ไม่พบ ตะวันกลบขอบหล้า

ธาตรีแม้ไพศาล ฝันถูกผลาญสะบั้น แหงนประจันผืนฟ้า อนิจจาถอนใจ

หวนไห้การจากลา มินำพารูปตน อัสสุชลไหลเปล่า

เงานาวาแล่นคล้อย ปลิวดั่งศรงามช้อย รี่พ้น พันผา!”

 

เสียงขับขานหวานใสแฝงความเศร้าเคล้าอาดูรแว่วออกมาจากหอลั่วรื่อ กลืนเข้ากับสายลมอันแช่มชื่น จากสายลมสู่ธารน้ำ ขจายเข้าโค้งสีฟ้าแดงอันเวิ้งว้างอย่างแผ่วเบา พลิ้ววนตามทิวากรแดงฉานที่กำลังจะร่วงลงทางปัจฉิมทิศ ท่ามกลางลมเย็นน้ำใสชวนให้บังเกิดจิตอาลัยอาวรณ์บางอย่าง

ในแสงสายัณห์แดงฉาน เรือซึ่งมีใบเรือขาวผืนหนึ่งแหวกผ่านผิวน้ำใสแจ๋ว ผ่าทะลวงแสงทองพิลาส ดูประหนึ่งลูกเกาทัณฑ์ พริบตาเดียวเรือดำใบขาวก็หยุดลงตรงหน้าหอลั่วรื่อ ลูกจ้างร้านผู้ตาพิศหกทางหูสดับแปดทิศก้าวฉับๆ ขึ้นไปบนสะพานไม้ซึ่งก่อไว้หน้าหอ น้อมกายต้อนรับอาคันตุกะผู้ก้าวลงมาจากเรือ

เมื่อผู้ที่อยู่ในประทุนเรือก้าวออกมา ลูกจ้างร้านก็รู้สึกว่ากงจื่อท่านนี้ดุจดั่งเหยียบย่างแสงทองกรายมาจากฟ้าตะวันตก รอบกายปกคลุมด้วยประกายสุกใสจางๆ กะทันหันจึงมองจนปากอ้าตาค้าง ลืมหมดสิ้นว่าตนมาเพื่อการใด จนกระทั่งแขนเสื้อของเขาถูกกระตุกหลายคราถึงรู้ตัวได้สติ และกงจื่อท่านนั้นก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสามเชียะ อาภรณ์ดั่งสีหมึก ลักษณะท่าทางประหนึ่งชาวสวรรค์

“เจ้าขวางทางกงจื่อบ้านข้าแล้ว” แขนเสื้อถูกกระตุกอีกครา

ลูกจ้างร้านหันไปมองถึงได้พบว่าเด็กหนุ่มอาภรณ์ครามหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งกำลังดึงแขนเสื้อเขาอยู่ เขาพลันรู้ตัว ตะลีตะลานหลบให้พร้อมกับเอ่ยว่า “ผู้น้อยเสียมารยาท เชิญกงจื่อขอรับ”

กงจื่ออาภรณ์สีหมึกส่ายหน้าอย่างช้าๆ “รบกวนพี่ชายนำทางด้วย” น้ำเสียงดุจสายลม กังวานใสดั่งเคาะหยก รอยแย้มยิ้มประหนึ่งสายลมพัดบงกชไหว

“กงจื่อ เชิญด้านนี้ขอรับ” ลูกจ้างร้านรีบนำเขาขึ้นสู่สะพานทุ่น

จังหวะที่กงจื่ออาภรณ์สีหมึกก้าวขึ้นสะพาน ณ ด้านที่หอหันเข้าหาลำน้ำนั้นเอง ทางหน้าหอฝั่งที่ติดถนนก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลง เป็นอาชาดำร่างผอมเปรียวทั่วไป รถเป็นรถสองล้อเรียบง่าย ทว่าลูกจ้างที่หน้าร้านหาตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ไม่ ยังคงวิ่งไปยังหน้ารถอย่างกระตือรือร้น ทางหนึ่งตะโกนว่า “เชิญลงจากรถขอรับ” ทางหนึ่งก็แหวกม่านรถม้าด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

ม่านรถเลิกขึ้น คนในรถก้าวออกมา ยามนั้นเองทั้งลูกจ้างหน้าร้าน ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนก็พากันมองไปยังคนผู้นั้นอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นก็ให้ละอายในรูปลักษณ์หยาบกระด้างของตน

นั่นคือกงจื่ออ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง สวมภูษายาวสีขาว ทั้งร่างหมดจดเรียบง่ายประหนึ่งหยกขาวอันมิผ่านการสลักเสลาแม้แต่น้อยนิด ถูกสรรค์สร้างโดยธรรมชาติตลอดสรรพางค์ ดูสูงส่งบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ในดวงตาใสลึกล้ำดั่งวังน้ำลึกคู่นั้นสงบนิ่ง ไร้คลื่น ไร้ความรู้สึก ไร้ปรารถนา ไร้ความต้องการ เขาเพียงยืนอยู่หน้ารถม้า กวาดสายตาคร่าวๆ คราหนึ่ง กลับคล้ายยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า เหลือบมองสรรพชีวิตในโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยดวงตาราบเรียบเฉยชา ทว่าก็สังเวชและเมตตา

ยามนี้ผู้คนทั้งปวงที่หน้าหอพลันรู้สึกว่ารถม้าแสนสามัญนั้นเปล่งประกายโชติช่วงราวกับจะบรรทุกบุรุษผู้หมดจดจากธุลีแห่งโลกียวิสัยผู้นี้ทะยานเมฆควบหมอกขึ้นไปได้ทุกเมื่อ

“หอลั่วรื่อ” บุรุษภูษาขาวแหงนศีรษะมองป้ายหน้าหอ อ่านพึมพำ

“ขอรับ ใช่แล้วขอรับ! ที่นี่ก็คือหอลั่วรื่อ” ลูกจ้างร้านได้สติก็รีบพยักศีรษะ อีกทางก็นำคนเข้าสู่ด้านใน “กงจื่อ เชิญทางนี้ขอรับ”

“ขอบใจมาก” บุรุษภูษาขาวเอ่ยขอบคุณเรียบๆ

“กงจื่อเกรงใจไปแล้ว” ลูกจ้างได้ยินดังนั้นปากก็แทบจะฉีกไปถึงหลังใบหู

ดังนั้นกงจื่ออาภรณ์สีหมึกและกงจื่อภูษาขาวก็แทบจะย่างเท้าเข้าสู่หอลั่วรื่อพร้อมกัน ผู้หนึ่งจากด้านหน้า ผู้หนึ่งจากด้านหลัง และแทบจะในเวลาเดียวกัน คนทั้งสองก็มองเห็นอีกฝ่าย

ขณะที่ลูกค้าเต็มโถงเหลือบเห็นทั้งสองก็พากันชะงักตะเกียบจ้องมอง มิมีผู้ใดไม่ชื่นชมในบุคลิกท่วงท่าอันเลิศล้ำ

พริบตาที่สายตาปะทะกัน ทั้งสองก็ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกัน ดูประหนึ่งสหายจากภูมิลำเนาเดิมมาพบกันยังถิ่นอื่น

“อวี้กงจื่อ?” กงจื่ออาภรณ์สีหมึกมองบุรุษภูษาขาวบริสุทธิ์ไร้มลทินเบื้องหน้าแล้วประสานมือคารวะ

“เฟิงกงจื่อ?” กงจื่อภูษาขาวมองบุรุษอาภรณ์สีหมึกผู้สุขุมนุ่มนวลเบื้องหน้าแล้วประสานมือคารวะ

ในหนึ่งรอยยิ้ม หนึ่งคารวะ หนึ่งคำเรียกขานนี้ ผู้หนึ่งอบอุ่นงามสง่าผ่าเผยดุจอยู่ ณ ประตูม้าทองตำหนักหยก ผู้หนึ่งชดช้อยงามสง่าดุจเหยียบอยู่เหนือเมฆาขาว

“เฟิงซีมีวาสนา วันนี้ได้พบอวี้อู๋หยวน อวี้กงจื่อผู้ ‘ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา’ ” กงจื่ออาภรณ์สีหมึกยิ้มละไม ไว้ทีและเกรงอกเกรงใจ

“เป็นอู๋หยวนต่างหากที่โชคดี วันนี้ได้พบเฮยเฟิงซี เฟิงกงจื่อ ผู้เป็นหนึ่งใน ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ ” ใบหน้ากงจื่อภูษาขาวผุดรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนทว่าเว้นระยะห่าง

แน่นอนว่ากงจื่ออาภรณ์สีหมึกผู้นี้ก็คือเฮยเฟิงซี ส่วนกงจื่อภูษาขาวผู้นี้ก็คืออวี้อู๋หยวนผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘กงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า’

“เมื่อได้พานพบ มิทราบเฟิงซีจะมีเกียรติเชิญอวี้กงจื่อให้ร่วมดื่มห่านไพรพลัดฝูงสักกาหรือไม่” เฮยเฟิงซีเอ่ยถามอย่างละมุนละไมมีมารยาท

“สามารถร่วมดื่มด่ำอาทิตย์อัสดงที่หอลั่วรื่อกับเฟิงกงจื่อนับเป็นวาสนาของอู๋หยวน” อวี้อู๋หยวนก็ตอบอย่างสุภาพเรียบร้อยดุจเดียวกัน

เฮยเฟิงซียิ้มแล้วหันไปถามลูกจ้างร้านที่นำทางให้เขาว่า “ชั้นห้ายังมีห้องเหลือหรือไม่”

“มี! มีขอรับ!” ลูกจ้างพยักหน้าไม่หยุด ต่อให้ไม่มีก็จะทำให้ว่างเพื่อรับรองกงจื่อสองท่านนี้ให้ได้

“อวี้กงจื่อ เชิญ” เฮยเฟิงซีเบี่ยงกาย ให้เกียรติอีกฝ่ายไปก่อน

“เฟิงกงจื่อ เชิญ” อวี้อู๋หยวนก็บ่ายมือให้เกียรติอีกฝ่ายก่อนเช่นกัน

สุดท้ายทั้งสองจึงขึ้นไปพร้อมกัน

ลูกจ้างนำทั้งสองขึ้นไปยังห้องบนชั้นห้า เขาเปิดหน้าต่างออก แสงอาทิตย์อัสดงกำลังแวววามดุจทองคำที่หลอมละลาย สายน้ำและท้องฟ้าเป็นสีเดียว ลมเย็นชื่นโชยผะแผ่ว ภาพเบื้องหน้างามจับตา

เฮยเฟิงซีและอวี้อู๋หยวนนั่งตรงข้ามกันที่ริมหน้าต่าง จงหลี จงหยวนยืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน

“มิทราบกงจื่อทั้งสองจะรับอะไรบ้างขอรับ” ลูกจ้างถามขึ้น

“ที่นี่มีอาหารเลื่องชื่อใดแนะนำบ้าง” เฮยเฟิงซีถาม

“สิ่งที่ลูกค้าที่มายังร้านของเราสั่งกันมากที่สุดก็มี ‘ลมโชยวารี’ ‘ดอกแหนโรยรา’ ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ สี่อย่างนี้ขอรับ”

“ที่พี่ชายกล่าวมาคือกลอนหรือชื่ออาหาร” อวี้อู๋หยวนเห็นลูกจ้างผู้นี้เอ่ยเสียเพราะพริ้งก็อดยิ้มถามมิได้

“เรียนกงจื่อ นี่คืออาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดสี่อย่างของร้านเราขอรับ” ลูกจ้างตอบ “เหตุเพราะอาหารสี่ชนิดนี้เดิมเป็นอาหารต่างฤดูกาลกัน แต่ท่านเจ้าของหอเราสามารถหามาได้ตลอดปีสี่ฤดู ฉะนั้นลูกค้าที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหอลั่วรื่อจึงล้วนแต่สั่งอาหารสี่ชนิดนี้ ดูว่าเป็นจริงดั่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือไม่ และแน่นอนว่าที่ทั้งสี่ชนิดขึ้นชื่อถึงเพียงนี้ได้ก็เพราะรสชาติล้ำเลิศจริง”

“อ้อ” เฮยเฟิงซียิ้มน้อยๆ “เห็นทีพวกเราก็ต้องลองชิมดูสักหน่อยแล้ว” เขาเลื่อนสายตาไปทางอวี้อู๋หยวน “อวี้กงจื่อเห็นเป็นอย่างไร”

อวี้อู๋หยวนก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับเช่นกัน “ย่อมต้องลองลิ้มดู”

“เช่นนั้นก็ประเสริฐ เอาอาหารสี่ชนิดนี้และห่านไพรพลัดฝูงอีกหนึ่งกา” เฮยเฟิงซีสั่งลูกจ้าง

“ได้ขอรับ กงจื่อโปรดรอสักครู่”

หลังจากลูกจ้างไปแล้ว ในห้องก็ตกสู่ความเงียบ

กล่าวตามเหตุผล คนทั้งสองต่างก็เป็นหนึ่งในกงจื่อผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ อีกทั้งล้วนเป็นผู้มีบุคลิกท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ ครั้งนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ เดิมทีควรสนทนาปราศรัยอย่างถูกคอเพราะเป็นผู้ทัดเทียมด้วยสติปัญญา ทว่ามิทราบด้วยเหตุใดทั้งสองนั่งอยู่ตรงหน้า แต่เสมือนนั่งมองกันโดยมีสายน้ำกั้นกลาง สามารถมองเห็นความสง่างามของอีกฝ่าย ทว่ามิอาจแลกเปลี่ยนความคิดของตนได้อย่างสะดวกใจ

เฮยเฟิงซีนั่งตัวตรง นิ้วหมุนแหวนน้าว หยกสีคราม สายตาบางครามองไปทางผิวน้ำ บางครามองมาที่ร่างอวี้อู๋หยวน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงามสง่าตลอดเวลา

ส่วนอวี้อู๋หยวนก็เอียงศีรษะมองนอกหน้าต่าง สายตาทอดยาวคล้ายกำลังมองท้องฟ้า ทว่าก็คล้ายกำลังมองแม่น้ำ สีหน้าสงบนิ่ง ทั้งๆ ที่อยู่ตรงหน้า ทว่ากลับเหมือนห่างถึงสุดขอบฟ้า

ไม่นานนักสุราอาหารก็มาถึง

“ ‘ลมโชยวารี’ ‘ดอกแหนโรยรา’ ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ และ ‘ห่านไพรพลัดฝูง’ อีกหนึ่งกาขอรับ” ลูกจ้างร่ายนามอาหาร ทำลายความเงียบสงัดในห้อง “เชิญกงจื่อทั้งสองตามสะดวกขอรับ” กล่าวจบก็หมุนร่างถอยออกไป แต่เมื่อไปถึงประตูก็ย้อนกลับมากะทันหัน “มิทราบกงจื่อทั้งสองท่านประสงค์จะฟังดนตรีหรือไม่”

ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็พากันเลิกคิ้วมองไปยังเขา

“ที่นี่มีขับเพลงด้วยหรือ” อวี้อู๋หยวนถาม

“กงจื่อโปรดอย่าเข้าใจผิด หอลั่วรื่อของเรามิใช่หอคณิกา แม่นางเฟิ่งชีอู๋ซึ่งเป็นผู้ขับเพลงนั้นหาได้เป็นเช่นแม่นางในหอคณิกา เดิมทีนางเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้สุกใสดั่งน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดั่งหยก หากมิใช่เพราะ…” ลูกจ้างเอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันหยุดลง คล้ายกับรู้ตัวว่าตนปากมาก ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวเพียง “บทเพลงที่แม่นางเฟิ่งขับร้อง อย่าว่าแต่อวี๋เฉิงเลย ให้เป็นทั่วฉีอวิ๋นก็เถิด หากไม่นับเป็นที่หนึ่งก็ต้องเป็นที่สอง ถ้ากงจื่อทั้งสองไม่เชื่อ ทันทีที่ได้สดับก็จะทราบว่าผู้น้อยหาได้อวดอ้างเกินจริงสักนิด”

ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็สบตากันคราหนึ่ง รู้สึกว่าฟังดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย

ดังนั้นเฮยเฟิงซีจึงเลื่อนสายตามองไปทางลูกจ้าง “เมื่อครู่อยู่บนเรือได้ยินบทเพลง ‘พานพบภิรมย์’ แว่วมาแต่ไกลสักครึ่งเพลงเห็นจะได้ ก็คือแม่นางผู้นี้ที่เป็นคนร้อง?”

“ถูกต้องขอรับ บทเพลงเมื่อครู่แม่นางเฟิ่งเป็นผู้ขับร้อง” ลูกจ้างพยักศีรษะโดยพลัน

เฮยเฟิงซีพยักหน้า “เช่นนั้นก็เชิญแม่นางเฟิ่งขับขานสักเพลงอยู่หลังม่านกั้นเถิด”

“ได้ขอรับ” ลูกจ้างถอยออกไป

จงหลีก้าวเข้ามารินสุราให้ทั้งสอง

“มาเถิด อวี้กงจื่อ พวกเรามาลองลิ้มชิมอาหารเลื่องชื่อสุราเลิศรสแห่งหอลั่วรื่อดูสักหน่อย” เฮยเฟิงซีชูจอก

อวี้อู๋หยวนก็ชูจอกขึ้นเช่นกัน

ทั้งสองชนจอก เงยหน้าดื่มจนหมด

“เข้าปากแล้วใสเย็นนุ่มละมุน ยอดเมรัย” อวี้อู๋หยวนเอ่ยปากชมขึ้นก่อน

เฮยเฟิงซีก็พยักหน้า “ลงสู่คอแล้วหอมอบอวล ไม่เลว” เขายื่นตะเกียบคีบ ‘ลมโชยวารี’ ที่ดูประหนึ่งดอกบัวสีม่วงดอกหนึ่ง เขาบรรจงลิ้มชิมรสชาติ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นมะเขือม่วง ส่วนที่ทำให้มะเขือปรุงยากก็คือจะอมน้ำมันเป็นพิเศษ ทำให้โดยมากมักจะเลี่ยนเกินไป ทว่าอาหารจานนี้รสอ่อนชุ่มคอ เข้าปากก็ละลาย มิเพียงหอมมะเขือเต็มคำ กลืนแล้วในคอยังคล้ายมีกลิ่นหอมของดอกบัว มิรู้ว่าใส่กลิ่นหอมของดอกบัวนี้เข้าไปได้อย่างไร”

“กลางใบแหนสีเขียวนี้มีสีเหลืองอ่อนแต้มอยู่ มิน่าเล่าถึงชื่อว่า ‘ดอกแหนโรยรา’ ” อวี้อู๋หยวนมองอาหารอีกชนิด จากนั้นก็ยื่นมือใช้ตะเกียบคีบมาชิม “อืม ที่แท้ก็เป็นแตงกวา ควบคุมความสุกได้พอดีนัก หวานกรอบชื่นใจ อีกทั้งน้ำจากแตงกวาชุ่มฉ่ำ ต้องเพิ่งเก็บมาทำสดๆ เป็นแน่”

“จานนี้คาดว่าคงเป็น ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ” เฮยเฟิงซีมองอาหารจานที่แต่ละชิ้นกลมอิ่มชุ่มชื้นเหลืองใสดุจจันทร์เต็มดวง เขาคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ด้านบนยังมีหยดกลมๆ ซึ่งดูประหนึ่งน้ำค้างขาวเล็กละเอียดจับตัวแข็งอยู่ เมื่อกัดเบาๆ รสหวานกรอบก็กระจายอยู่ในปาก “เป็นรากบัว รากบัวอ่อนที่เลือกเฟ้นขนาดเล็กใหญ่ได้เหมาะเจาะ ฝานเป็นแผ่นกลมที่หนาเท่ากัน จากนั้นจึงแต้มด้วยน้ำกล้วยไม้หิมะ สีสันชวนมอง รสชาติหอมหวาน ชื่อก็น่าสนใจ”

ครั้นแล้วอวี้อู๋หยวนก็ชิมอาหารชนิดสุดท้าย แต่ละกลีบลักษณะเหมือนฝ่ามือ ใบอ่อนเหลือง สีแวววาวยวนตา “อืม ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ ที่แท้ก็คือผักกาดขาว ทั้งอ่อนและสดนัก”

เมื่อชิมอาหารทั้งสี่ชนิดเสร็จ เฮยเฟิงซีก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าอาหารขึ้นชื่อทั้งสี่ชนิดของหอลั่วรื่อไม่เพียงเป็นผักทั้งหมด ยังเป็นผักที่สามัญที่สุดด้วย”

“สามารถนำผักสามัญเช่นนี้ปรุงเป็นรูปลักษณ์และรสชาติไม่สามัญเช่นนี้ได้ ซ้ำยังตั้งชื่ออันไม่พื้นเพเยี่ยงนี้ นายแห่งหอลั่วรื่อผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย” อวี้อู๋หยวนยิ้มชื่นชม

“เมื่อดูรูปแบบของหอแห่งนี้แล้วก็จินตนาการถึงเจ้าของได้ไม่ยาก” เฮยเฟิงซีกวาดมองรอบบริเวณแล้วเอ่ยชม “ในความสมถะเรียบง่ายแฝงความสูงสง่า ในความธรรมดามีเอกลักษณ์ ทักษะเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง”

 

“สนธยาท้าศิขราคาร                                   หงส์กู่คูขาน

กาลพลัดกับเพื่อนกลางพน                       

บุรุษร่อนเร่เหหน                                             วเนจรจน

จรดเจียงหนานนครา

พิศอู๋โกวกาจศาสตรา                                 ตรอมอกอาทวา

คว้าดาบเคาะเลาะราวระเบียง

เปรื่องปร่างทางยอดตลอดเรียง                    โล่ห์สองซร้องเสียง

เหวี่ยงดาบกับรั้วรัวแรง

เออกสะทกทุกข์แทง                                      อื่นใจไป่แจ้ง

แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง

มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง                                            ใครเล่าร่วมประวิง

คระนิงสหายคล้ายสูญ”

 

อวี้อู๋หยวนขับขานอย่างแช่มช้า เคลื่อนสายตาไปนอกหน้าต่าง แสงสายัณห์ค่อยๆ อ่อนลง นาวาลำน้อยสามสี่ลำลับไปในขอบฟ้า “ไม่รู้ว่าเมื่อครั้งเจ้าของหอลั่วรื่อสร้างหอแห่งนี้ขึ้นมีความอันใดในใจ”

“หึ…” เฮยเฟิงซีหัวเราะคราหนึ่ง มองไปทางเขา ในดวงตาประหนึ่งสะท้อนแสงทองแห่งอาทิตย์อัสดง “ไม่แน่เขาอาจนำเอา ‘มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง’ ที่ ‘แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง’ หลอมรวมเข้ากับหอแห่งนี้จนสิ้นแล้ว แค่ว่า…อวี้กงจื่อคงไม่กลัดกลุ้มเรื่อง ‘แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง’ เท่านั้นเอง”

“ทว่าน่าเสียดายที่อู๋หยวนก็มิมี ‘มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง’ สักนิด” อวี้อู๋หยวนละสายตาที่มองออกนอกหน้าต่างมามองตอบเฮยเฟิงซี แววตาสุขุม นิ่งดุจผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซียิ้มบาง

บนบันไดมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น เคล้ามากับกลิ่นหอมจางสายหนึ่ง จากไกลเข้ามาใกล้ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่หลังผ้าม่าน เมื่อมองผ่านม่านบางเบาสีน้ำเงินดั่งสายน้ำก็พอจะเห็นเงาร่างชดช้อยได้อย่างรางเลือน

“มิทราบนายท่านต้องการฟังบทเพลงใด” ในเสียงใสของสตรีนอกม่านแฝงความเฉยเมย ในความเย็นชาแฝงแววทระนง

อวี้อู๋หยวนหยิบตะเกียบคีบเดือนเหน็บน้ำค้างหนาวชิ้นหนึ่งขึ้น ประหนึ่งไม่ได้ยิน

เฮยเฟิงซียกจอก ดื่มสุราในจอกจนหมดแล้วถึงกล่าวเสียงเรียบ “แม่นางอยากร้องเพลงใดก็ร้องเพลงนั้น”

นอกม่านเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นเสียงพิณผีผาก็กังวานขึ้น ดั่งมุกหยกร่วงจากถาด ดั่งสายธารจับตัวใต้ผืนน้ำแข็ง ยังมิทันส่งเสียงขับขานก็สร้างความรู้สึกได้แล้ว

เมื่อได้ยินเสียงพิณผีผาเช่นนี้ ทั้งสองคนในห้องก็พากันประหลาดใจเล็กน้อย อดเหลือบมองผ้าม่านแวบหนึ่งมิได้ นึกไม่ถึงว่าผู้คลุกอยู่ในลมฝุ่นแห่งโลกียะจะมีทักษะถึงเพียงนี้

 

“ราตรีก่อนใครเล่ายินเสียงเซียว            หริ่งหรีดเปลี่ยวเย็นเหงาเฝ้าขานขับ

ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ                 ร้องร่ำจับระบำสู่นิทรา”

 

เสียงใสสายหนึ่งทะลุผ่านม่านเข้ามา พลิ้วอวลดั่งหมอกควัน เกาะเกี่ยวพัวพันถึงกระดูก ประหนึ่งเงาร่างเดียวดายเผชิญหน้ากับดวงจันทร์อันเย็นเยียบ ทั้งห้องวิเวกมีเพียงจักจั่นในเหมันตฤดู

เมื่อได้ยินเสียงครวญอันเศร้าวังเวง และมองทิวากรแหว่งวิ่นนอกหอ พริบตานั้นคนทั้งสองแม้นั่งอยู่ตรงข้ามกันกลับบังเกิดความอ้างว้างขึ้นจางๆ คล้ายกับต่างคนต่างบรรเลงเสียงเซิง เป็นท่วงทำนองของตนอยู่ในใจ ทว่ากลับมิรู้เป่าให้ผู้ใดฟัง

เมื่อเพลงจบ ทั้งสองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และผู้ที่อยู่นอกม่านก็ยังมิได้ครวญเพลงต่อ เพียงยืนอย่างเงียบงัน

ล่วงไปพักใหญ่ อวี้อู๋หยวนก็ทอดถอนใจว่า “ซีอวิ๋นกงจู่อัจฉริยภาพลือเลื่องแต่ยังเยาว์ บทกวีที่ประพันธ์ถูกนำมาขับขานกันแพร่หลายในโรงน้ำชาและตรอกซอกซอย”

“แม่นางท่านนี้มีทักษะทางพิณผีผาวิจิตรอัศจรรย์ น้ำเสียงใสรื่น บทเพลงเปี่ยมด้วยอารมณ์ เช่นนี้ก็หาได้ยากเช่นกัน” เฮยเฟิงซีกลับชื่นชมเจ้าของเสียงขับขานที่นอกม่าน

อวี้อู๋หยวนยิ้มเยื้อน “ได้ยินว่าเฟิงกงจื่อมากความสามารถ วันนี้ได้พบ จริงแท้ไม่ปลอมปน”

“ซื่อจื่อแห่งจี้โจวเคยกล่าวว่าสติปัญญาของอวี้กงจื่อสูงล้ำจนสามารถเป็นอาจารย์แห่งราชันได้ ดังนั้นต่อหน้าอวี้กงจื่อ ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแบกรับคำว่ามากความสามารถได้” เฮยเฟิงซียิ้มเรียบเรื่อย

“อู๋หยวนละอาย” อวี้อู๋หยวนส่ายหน้า

ทั้งสองปราศรัยรอยยิ้มแย้ม ล้วนแต่เหมือนลืมไปแล้วว่านอกม่านยังมีอีกผู้หนึ่งยืนอยู่

ตุบๆๆ

จู่ๆ นอกม่านก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นเป็นจังหวะใกล้เข้ามา สุดท้ายก็หยุดอยู่นอกห้อง จากนั้นเสียงหนักแน่นของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังกังวานขึ้น “อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนได้ยินเสียงก็วางจอกสุราในมือลง เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เข้ามา”

ม่านเลิกขึ้น ทั้งสองเหลือบตามองคราหนึ่งก็เห็นบุรุษหนุ่มใบหน้าสัตย์ซื่อก้าวเข้ามา และย่อมมองเห็นสตรีอาภรณ์ครามใบหน้าไร้อารมณ์ผู้ยืนกอดพิณผีผาอยู่นอกม่านด้วย จากนั้นม่านก็ตกลงอย่างรวดเร็ว

“อวี้กงจื่อ จดหมายขอรับ” บุรุษที่เข้ามาใหม่มอบจดหมายให้ด้วยท่าทีนอบน้อม

อวี้อู๋หยวนรับจดหมาย “เจ้าไปเถิด”

“ขอรับ” บุรุษผู้นั้นถอยออกไป

เมื่อม่านเลิกขึ้นอีกครั้ง สายตาเฮยเฟิงซีก็กวาดผ่านอย่างมิใคร่จะใส่ใจ ทว่ากลับพบดวงตาคู่หนึ่งที่คล้ายกล่าวโทษ คล้ายโมโห และก็คล้ายกับเคว้งคว้างไร้หนทาง

ม่านพลิ้วลงเบาๆ อีกครา บดบังสายตานั้นไว้ ในม่านนอกม่านดั่งคนละฟ้าดิน

อวี้อู๋หยวนเปิดจดหมายออกอ่าน ครู่ต่อมาดวงตานิ่งไร้คลื่นลมก็มีระลอกบางเบาพัดผ่าน

“หากแม่นางเฟิ่งไม่รังเกียจ เข้ามาร่วมดื่มสักจอกเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีกลับมองม่านแล้วเอ่ยขึ้น

ไร้ความเคลื่อนไหวอยู่ครึ่งค่อนวัน คล้ายอากาศจับตัวเป็นผลึกแข็งราวกับสัมผัสได้ถึงความลังเลของเงาร่างสีครามที่นอกม่าน

สุดท้ายผ้าม่านก็เลิกขึ้น ร่างสีครามสายนั้นเคลื่อนเข้าสู่ด้านใน ดวงตาสุกใสเฉยเมยจับอยู่ที่ร่างอวี้อู๋หยวน ก่อนจะชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตกไปอยู่บนร่างเฮยเฟิงซีแล้วไม่เคลื่อนไปที่ใดอีก

สายตาเฮยเฟิงซีพิจารณาเฟิ่งชีอู๋แวบหนึ่ง ประหลาดใจเล็กน้อย นักร้องอันดับหนึ่งแห่งอวี๋เฉิงถึงกับแต่งตัวเรียบง่าย ปิ่นก้านไม้กระโปรงผ้าหยาบ ไม่แต่งหน้า ถึงกระนั้นก็ยังคงงดงามถึงสิบส่วน คิ้วดำเรียวโค้งดั่งกิ่งหลิว ดวงหน้าดุจดอกท้อ ทว่าหว่างคิ้วกลับมีความอ้างว้างหยิ่งทะนงคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ในสีหน้ามีแววเย็นเยียบดุจจะผลักไสผู้คนให้ห่างออกไปพันลี้

“รินสุราให้แม่นางเฟิ่ง” เฮยเฟิงซีสั่งเรียบๆ

จงหยวนที่ด้านข้างปรี่มาหยิบจอกรินสุรา จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าเฟิ่งชีอู๋

ทว่าเฟิ่งชีอู๋หาได้รับไว้ ตาทั้งสองเอาแต่จับจ้องเฮยเฟิงซี ส่วนเขาก็ปล่อยให้นางจ้องตามสะดวก เพียงดื่มสุราด้วยท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติต่อ

ทางด้านอวี้อู๋หยวน สายตายังคงอยู่ที่จดหมาย แค่ว่าความคำนึงล่องลอยไปไกลโพ้น

นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิ่งชีอู๋ก็รับจอกสุราด้วยมือข้างเดียว แหงนหน้าดื่มจนหมดจอก

เฮยเฟิงซีเห็นนางถึงกับดื่มหมดจอกในคราเดียวก็อดแย้มยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมิได้ว่า “ที่แท้แม่นางก็ตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้”

เฟิ่งชีอู๋ฟังคำก็กลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ชีอู๋ดื่มสุราของลูกค้าเป็นครั้งแรก”

“อ้อ?” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง เห็นเพียงว่าพวงแก้มเย็นชาดุจน้ำค้างและหิมะของนางถูกฉาบด้วยฤทธิ์สุรา มีสีแดงระเรื่อขึ้น ทำให้คลายความเย็นชาหยิ่งทะนงลงหนึ่งส่วน เพิ่มความยวนตาขึ้นอีกหนึ่งส่วน “ศิลปะทางพิณผีผาและขับร้องของแม่นางเลิศล้ำถึงเพียงนี้ ควรเป็นที่แย่งชิงเลี้ยงสุราของคนทั่วหล้าจึงจะถูก”

“ชีอู๋ไม่เคยดื่มสุราของลูกค้า” น้ำเสียงของเฟิ่งชีอู๋ยังคงเย็นชา ทว่าตาทั้งสองไม่ละไปจากเฮยเฟิงซีประหนึ่งห้องนี้ไม่มีบุคคลที่สาม

เฮยเฟิงซีได้ยินวาจานี้ ในที่สุดก็หันมามองนางตรงๆ เห็นในดวงตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นฉายแววอ้างว้างอาดูรแวบหนึ่ง “เห็นทีเฟิงซีคงโชคดี ได้รับเกียรติจากแม่นาง”

เฟิ่งชีอู๋มิเอ่ยเอื้อน เพียงแค่มองเฮยเฟิงซี ดวงตาทอแววโศกเศร้าออกมาช้าๆ

ยามที่เปล่งเสียงขับขานในหอลั่วรื่อเป็นคราแรก นางก็รู้ว่าชีวิตนี้จมดิ่งลงสู่โลกียะ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างในกาลก่อนกลายเป็นวันวาน ผ่านเลยไปไม่อาจหวนคืน ทว่าคุณหนูสูงศักดิ์ควรค่ากว่าพันตำลึงทองนั้นยากจะชายตามองผู้ใด มุกหยกโยนทิ้ง ขับไล่บรรดาบุรุษเสเพล ปล่อยให้จันทร์เดือนสารทและสายลมแห่งวสันต์ผ่านเลยไป นางยังคงรักษาความทระนงของวงศ์สกุลไว้ ปกป้องศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ มิปรารถนาจะจมลงสู่ฝุ่นโคลนไปตลอดกาล เพียงเพราะในใจยังมีความคิดบางอย่างเหลืออยู่น้อยนิด…ความคิดที่จะอย่างไรก็ไม่ยอมศิโรราบ

ก่อนมา ลูกจ้างร้านชื่นชมลูกค้าสองท่านในห้องประหนึ่งบนสวรรค์ก็ยังหาได้น้อย นางฟังจนเหนื่อยหน่ายชิงชัง รู้เพียงเป็นบุตรบ้านคหบดีที่มีเพียงเปลือกนอกอีกสองคนที่มาเพราะเรือนกายภายนอกของนางอีกแล้ว ทว่านางหารู้ไม่ว่าคาดคิดผิดไป พวกเขาไสส่งนางไว้นอกม่าน เย็นชาถึงสิบส่วน ทำให้นางทั้งตระหนกทั้งเขินอาย

จังหวะที่ม่านเลิกขึ้น มองเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งซึ่งดำขลับลึกล้ำดุจท้องนภายามราตรี แต่กลับมีแสงเจิดจ้าดึงดูดสายตาอย่างที่อาทิตย์สดใสเท่านั้นจะมีได้ พริบตานั้นนางราวกับร่วงลงสู่ราตรีไพศาลอันมืดมิด ทว่าไม่รู้สึกเหน็บหนาว หวาดหวั่น กลับมีความอบอุ่นจางๆ ส่งมาจากราตรีดำมืด เอ่อเข้าสู่ดวงใจที่หลายปีมานี้ไม่เคยได้อบอุ่นเลยสักครา

ความอบอุ่นนั้นยังไม่ลดลงหรือหายไป ม่านก็เลิกขึ้นอีกครั้ง ครานี้นางได้เห็นดวงตานั้นอีกหน มันประหนึ่งวังน้ำวนสีหมึก แสงเงาผสมถักทอ จังหวะที่แววตาวูบไหวก็รู้สึกได้อย่างรางเลือนว่าหากถลำลงสู่ดวงตานั้นก็จะไม่อาจหลุดพ้นได้เลยชั่วกัปชั่วกัลป์ เคราะห์ดีที่ม่านนั้นร่วงปิดลงอีกครั้ง กั้นห้วงน้ำลึกนั้นไว้ นางคิดว่าเร่งไปจากตรงนี้จะดีกว่า ทว่าขาเจ้ากรรมกลับเหมือนหนักพันชั่ง ยกไม่ขึ้น

ขณะละล้าละลัง เขาก็ส่งเสียงเรียกนาง

เมื่อเสียงดั่งสายลมโชยดุจหยกเคาะกังวานนั้นดังขึ้น ก็ประหนึ่งโชคชะตากำลังกวักมือเรียกนาง ชะตากรรมเพียงร้อยรัดเข้าเบาๆ นางก็สลัดไม่หลุดแล้ว ได้แต่ยอมจำนนอย่างไร้เรี่ยวแรง เลิกม่านขึ้นอีกครา เผชิญหน้ากับนัยน์ตาดุจท้องนภายามราตรีนั้นอีกหน ก้าวเข้าหาบุรุษอาภรณ์สีหมึก เส้นผมดำขลับ บริสุทธิ์ไร้มลทินราวหยกดำผู้อยู่ใต้แสงอัสดงสีทองอันอ่อนจาง

“ชีอู๋ร้องเพลงอยู่ที่หอลั่วรื่อมาสี่ปี ดื่มสุราของกงจื่อเป็นจอกแรก” เฟิ่งชีอู๋เอ่ยอย่างแผ่วเบาทว่าชัดเจน ถ้อยคำซึ่งแตกต่างสื่อความหมายประการเดียว หวังเพียงคนผู้นี้จะสามารถเข้าใจว่าเขาคือคนแรกของนาง

“ชีอู๋…เฟิ่งชีอู๋” เฮยเฟิงซีทวนนามนี้ มองสตรีผู้นี้ด้วยแววตาครุ่นคิด แม้สีหน้านางเฉยชา ทว่าส่วนลึกของดวงตาทอแววปรารถนา ซ่อนอยู่ลึกถึงเพียงนั้น ชวนให้เห็นแล้วเวทนา

ครั้นได้ยินเขาทวนนามของนาง หัวใจเฟิ่งชีอู๋ก็รวดร้าว ผู้ที่ตั้งชื่อให้นางได้กลายเป็นดินเหลืองกองหนึ่งนานแล้ว ส่วนนางเล่าก็มีเพียงนามเสียเปล่า สุดท้ายกลับทำลายความคาดหวังของผู้ตั้ง

“หลายปีมานี้ข้าท่องไปทั่วแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังเสียงขับขานอันไพเราะเช่นนี้ของแม่นาง” เฮยเฟิงซีชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็มองเฟิ่งชีอู๋ เอ่ยปากเรียบๆ ว่า “มิทราบแม่นางยินดีร่วมทางกับข้าหรือไม่ ไปชมดูขุนเขาและสายธารที่อยู่นอกฉีอวิ๋น” ว่าแล้วก็หยิบกาสุรามารินเอง ไม่มองเฟิ่งชีอู๋อีก ราวกับนางจะรับปากหรือไม่รับปากก็ล้วนแต่ไม่สลักสำคัญ

ชั่วขณะที่ได้ยิน ดวงตาของเฟิ่งชีอู๋ก็ทอประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง ทว่าก็สงบลงในพริบตา ยังคงเฉิดฉายดั่งดอกท้อ เย็นดุจน้ำค้างแข็ง มือบอบบางทั้งคู่ดีดสายอย่างแผ่วเบา เส้นสายซึ่งสะท้อนไหวเบาๆ เผยถึงระลอกแห่งความแตกตื่นนับพันชั้นในใจของนางยามนี้

เฮยเฟิงซีดื่มสุราหมดไปหนึ่งจอก เคลื่อนสายตามายังอวี้อู๋หยวนที่เบื้องหน้า ทว่ากลับต้องประหลาดใจที่พบว่าหว่างคิ้วของคนผู้ผุดผ่องจากฝุ่นแห่งโลกียะผู้นี้ฉายแววเศร้าสลดจางๆ

“สารจากหวงซื่อจื่อเขียนข่าวดีอันใดหรือ ถึงกับทำให้อวี้กงจื่อมีอารมณ์คล้อยตามได้เช่นนี้” เฮยเฟิงซีออกปากถาม ในใจกลับแจ่มแจ้งนานแล้ว

พริบตาที่อวี้อู๋หยวนได้ฟังก็คืนสู่ความสุขุม สายตาทอดออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นมือทั้งสองก็ถูเข้าด้วยกัน โบกแผ่วเบาคราหนึ่ง กระดาษจดหมายซึ่งกลายเป็นเศษผงก็โปรยปรายลงสู่ผิวน้ำ “มีข่าวดีและข่าวร้าย”

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีแววตาไหววูบ กล่าวต่อว่า “ข่าวดีที่ว่าคงเกี่ยวกับป้ายขั้วกาฬกระมัง”

อวี้อู๋หยวนยังคงมีอาการเยือกเย็น ยื่นมือยกจอกสุราขึ้น มองสุราใสในจอกกระเบื้องเคลือบสีขาว ก่อนจะโยกจอกเบาๆ ทำให้ผิวสุราไหวเป็นระลอก “เฟิงกงจื่อทราบได้อย่างไรว่าเป็นจดหมายที่หวงซื่อจื่อเขียนมา”

“หวงซื่อจื่อยกย่องอวี้กงจื่อเป็นอาจารย์ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า” เฮยเฟิงซียกจอกสุราขึ้น ขยับเข้าหาปลายจมูก หรี่ตาเล็กน้อย ละเมียดดมกลิ่นหอมของสุรา “ยิ่งไปกว่านั้นกระดาษหยกไหมเป็นกระดาษที่ใช้กันในวงศ์ของฮ่องเต้และสกุลอ๋อง”

“สายตาเฟิงกงจื่อเฉียบคมนัก” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า มองไปยังเฮยเฟิงซี รอยแย้มยิ้มดั่งลมวสันตฤดู ทว่าแววตากลับเย็นเยียบราวกับลมเดือนสารท “สารของหวงซื่อจื่อมีข่าวดีสองข่าว ข่าวร้ายหนึ่งข่าว”

“ข่าวดีอย่างแรกคือป้ายขั้วกาฬอยู่ในมือแล้ว ส่วนข่าวร้าย…” เฮยเฟิงซีหลุบสายตาลงเล็กน้อย บรรจงมองจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวในมือ เอ่ยคำอย่างราบเรียบว่า “ข่าวร้ายนี้…น่าจะเป็นเรื่องที่ขุนพลวายุกล้าทิ้งร่างไว้ยังเขาเซวียนซานกระมัง”

“อืม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้าอีกครา มิได้ประหลาดใจว่าเฮยเฟิงซีรู้ได้อย่างไร เขาคว่ำมือสาดสุราในจอกลงไปยังแม่น้ำอูอวิ๋น “เยียนอิ๋งโจวล่วงหน้าไปแล้ว พรุ่งนี้อาจเป็นพวกเราที่ต้องไป”

“เพียงไม่รู้ว่าข่าวดีอีกข่าวคือเรื่องใด” เฮยเฟิงซีถามขึ้น

“ไป๋เฟิงซี” อวี้อู๋หยวนเอ่ยเรียบๆ ขณะหลุดนามคนผู้นี้ออกมาแววตาไร้อารมณ์ก็วูบไหว

“ไป๋เฟิงซี?” เฮยเฟิงซีทวนคำ มือที่กุมจอกเกือบจะสั่น

“อืม เขาบอกว่าได้พบกับไป๋เฟิงซีที่ซังโจว เป็นสตรีที่บุคลิกไม่ธรรมดาเลย” รอยยิ้มที่มุมปากอวี้อู๋หยวนลึกขึ้นเล็กน้อย

“พบสตรีผู้นั้นจะจัดเป็นข่าวดีได้อย่างไร” เฮยเฟิงซีบุ้ยปากโดยไม่รู้ตัว

“ได้พบจอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิงผู้ถูกขานนามร่วมกับเฟิงกงจื่อเป็นไป๋เฟิงเฮยซี ย่อมเป็นโชคดีที่หาได้ยากในใต้หล้า” อวี้อู๋หยวนมองเขาแวบหนึ่ง ยังคงยิ้มไม่แปรเปลี่ยน

“ในความเห็นของข้า ขอเพียงพบสตรีผู้นั้นเข้าก็จะมีเคราะห์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย” เฮยเฟิงซีวางจอกในมือลง รู้สึกว่าสุรานี้สิ้นกลิ่นหอมเข้มข้นเสียแล้ว แน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้ามิได้จางลงแม้สักส่วนเดียว

“ฮ่าๆ ดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับคน” อวี้อู๋หยวนมิใคร่จะเห็นด้วย สายตาที่มองเฮยเฟิงซีเจือแววลึกซึ้งบางอย่าง

ปี๊ด! บนผิวน้ำพลันมีเสียงขลุ่ยสั้นกระชั้นดังขึ้น

เฮยเฟิงซีได้ยินแววตาก็ไหวน้อยๆ จากนั้นถึงหยัดกายขึ้น “ยากนักที่จะได้มาพบอวี้กงจื่อ เดิมทีควรจะไม่เมาไม่เลิกราจึงจะถูก ทว่าทางบ้านมีธุระด่วน จำต้องขอตัวก่อน หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสร่วมเมามายไปกับอวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนลุกขึ้น หาได้เหนี่ยวรั้งไม่ เพียงเอ่ยว่า “เมื่อเฟิงกงจื่อมีธุระต้องไปก่อน วันหน้าหากมีวาสนาย่อมได้พบกันใหม่”

“ข้าขอตัวแล้ว” เฮยเฟิงซีประสานมือ จากนั้นก็หมุนกายจะจากไป ทว่ากลับเห็นเฟิ่งชีอู๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “แม่นาง…”

“ข้าจะไปกับท่าน!” เฟิ่งชีอู๋โพล่งออกมา พริบตานั้นนางราวกับมองเห็นโชคชะตากำลังพยักหน้าแย้มยิ้มเพราะมีผู้ยอมศิโรราบให้กับสิ่งที่มันกำหนด และในขณะเดียวกันนั้นนางก็รู้สึกว่าสายตาของอวี้อู๋หยวนผู้นั้นมองกวาดผ่านนาง ทั้งยังคล้ายกับได้ยินเสียงทอดถอนใจอันแผ่วเบาของเขาอีกด้วย

ทว่านางกลับได้แต่ยิ้มอย่างสิ้นแรง

นี่คือคราวเคราะห์ของนาง เป็นเคราะห์กรรมที่นางยินดีรับไว้

คิ้วยาวของเฮยเฟิงซีเลิกขึ้นเล็กน้อย “แม่นางตัดสินใจแล้วกระนั้นหรือ”

“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” น้ำเสียงเฟิ่งชีอู๋เบาจนแทบหลงนึกไปว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยิน ทว่าคนในห้องล้วนแต่ได้ยินอย่างชัดเจน

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เฮยเฟิงซียิ้มบาง สาวเท้าจากไป

เฟิ่งชีอู๋กอดพิณผีผาในอ้อมอกแน่น นี่คือสิ่งเดียวที่นางมี จังหวะที่เลิกม่านขึ้น นางก็ผินหน้ากลับมามองอวี้อู๋หยวน พยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการอำลา นางรู้สึกขอบคุณคนผู้มองจิตใจของนางออกในปราดเดียวผู้นี้ ต่อให้ใจของนางมิเป็นที่ล่วงรู้ของคนผู้นั้นและไม่มีวันได้เอ่ยกับคนนอกไปตลอดกาล แต่อย่างน้อยก็มีเขาผู้นี้ที่ล่วงรู้

ม่านร่วงตกลง นางสาวเท้าเร็วๆ ตามไป ในหอลั่วรื่อสายตานับไม่ถ้วนมองส่ง ทว่าหามีผู้ใดหน่วงเหนี่ยวไม่

บนสะพานทุ่น ลูกจ้างผู้หนึ่งตามมาและยื่นห่อสัมภาระห่อหนึ่งให้ “แม่นางเฟิ่ง ท่านเจ้าของหอให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้ท่าน เขาว่านี่คือสิ่งที่แม่นางควรได้รับ”

เฟิ่งชีอู๋รับมา ในดวงตากระเพื่อมไหวน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงหน้างดงามก็เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งดังเดิม “ฝากขอบคุณท่านเจ้าของหอที่ดูแลข้ามาตลอดหลายปีนี้ด้วย”

ลูกจ้างพยักหน้า “แม่นางเฟิ่งดูแลตนเองให้ดี”

“อืม” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้า จากนั้นถึงก้าวไปยังเรือลำใหญ่สีดำ ก้าวไปสู่สิ่งที่โชคชะตากำหนดให้นาง ก้าวไปสู่…ที่พึ่งพิง?

ในห้องด้านบนของหอ อวี้อู๋หยวนมองส่งเรือที่ชักใบจากไปลำนั้นด้วยสายตา ก่อนจะรินสุราเลิศรสทั้งหมดลงในจอก ดื่มจนหมดในคราเดียว

“ที่แท้เฮยเฟิงซีเป็นบุคคลเช่นนี้” น้ำเสียงมิทราบว่าชื่นชมหรือถอนใจ “เดินแผนด้วยวิธีเช่นนี้ ให้เป็นหวงเฉาก็หาทำได้ไม่”

เมื่อกระหวัดถึงสายตาก่อนจากปราดนั้นของเฟิ่งชีอู๋แล้ว เขาก็ให้ถอนหายใจยาว นางมองเห็นขวากหนามที่อยู่เบื้องหน้า แต่กลับยังยืนหยัดเดินต่อไป มิรู้ควรกล่าวว่านางเขลาหรือควรกล่าวว่ากล้าหาญน่าชื่นชม อวี้อู๋หยวนก้มมองฝ่ามือของตน ปลายนิ้วแตะไปบนลายมือ พร้อมกับแย้มยิ้มฝืดขมอันเจือด้วยความอ้างว้างของผู้ที่ต้องสัญจรข้ามพันเขาอย่างเดียวดาย

“ไม่รู้ว่าไป๋เฟิงซีผู้นั้นจะเป็นบุคคลเช่นไร” เสียงรำพึงรำพันแฝงแววกำสรด

บทที่ 8 ใคร่ถามว่าข้าวในจานหนใดมี

เรือสีดำลำใหญ่แม้ภายนอกจะเรียบง่าย แต่ในประทุนกลับหรูหราถึงสิบส่วน ม่านสีม่วง โต๊ะเก้าอี้สลัก พรมสีสันวิจิตร ผนังแขวนภาพเขียนขุนเขาสายน้ำพร้อมคำกลอน และที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือผู้ซึ่งอยู่บนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง เพราะมีเขา ความหรูหราทั้งหมดถึงกลายเป็นความสูงสง่า งดงามเป็นธรรมชาติ

เฮยเฟิงซีนั่งบนตั่งนุ่ม กำลังถือชาถ้วยหนึ่งบรรจงลิ้มรส จงหลียืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง บนพื้นมีบุรุษผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ เขาก้มหน้าหลุบสายตา ในประทุนเรือมืดสลัวจึงมองเห็นใบหน้าเขาได้ไม่ถนัดตา รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้คล้ายกับเป็นเงาเลือนรางก้อนหนึ่ง มองไม่ชัดและจับต้องไม่ได้

หลังจากดื่มชาหมดไปหนึ่งถ้วย เฮยเฟิงซีถึงเอ่ยปากถามเรียบๆ ว่า “มีเรื่องอะไร”

บุรุษผู้คุกเข่าอยู่ตอบว่า “เรื่องที่กงจื่อสั่งได้ร่องรอยแล้วขอรับ อวิ๋นกงจื่อถามว่าจะให้ลงมือเลยหรือไม่”

“อ้อ” เฮยเฟิงซียื่นถ้วยชาในมือออก จงหลีก็รีบเข้ามารับไปวางไว้ด้านข้างทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“ขณะนี้สืบได้ร่องรอยของพวกเขา แต่ยังไม่ชัดแจ้งถึงเป้าหมาย” บุรุษผู้นั้นตอบ

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีใคร่ครวญเล็กน้อย “ยังไม่ต้องลงมือชั่วคราว ตามสะกดรอยเอาไว้ก็พอ”

“ขอรับ”

“อีกอย่าง เรื่องป้ายขั้วกาฬบอกให้เขาไม่ต้องสนใจอีก ข้ามีแผนการของข้า” เฮยเฟิงซีกล่าวต่อ

“ขอรับ”

“ไปเถิด” เขาโบกมือ

“ผู้น้อยขอตัว”

หลังจากบุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว ในห้องก็เงียบสงัด สายตาของเฮยเฟิงซีจับอยู่ที่บางสิ่ง ครุ่นคิดอยู่เป็นนานกว่าจะผินหน้าไปถามจงหลีว่า “จัดการดูแลเรื่องแม่นางเฟิ่งเรียบร้อยหรือยัง”

“เรียนกงจื่อ จัดให้แม่นางเฟิ่งพักในห้องประทุนด้านข้างแล้วขอรับ” จงหลีตอบ

“อืม” เฮยเฟิงซีพยักหน้า เอนพิงร่างไปบนตั่งนุ่ม เมื่อเอียงศีรษะมองออกไปนอกประทุน แสงสายัณห์ก็สลัวลงแล้ว

ประตูถูกผลักออกอย่างเบามือ จงหลีประคองกล่องหยกดำเข้ามา เมื่อเดินถึงกลางห้องเขาก็เปิดฝากล่องออก พริบตานั้นเบื้องหน้าสายตาเกิดแสงสุกใสเจิดจ้า ขับไล่ความอึมครึมในห้องให้พ้นไป สิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องคือไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นทารกก้อนหนึ่ง

จงหลีปลดโคมดวงหนึ่งลงจากผนัง วางไข่มุกเข้าไปแล้วค่อยแขวนโคมอีกครั้ง ทันใดนั้นแสงก็สาดส่องจนในห้องประทุนเสมือนหนึ่งเป็นเวลากลางวัน

“สว่างเกินไป” เฮยเฟิงซีกล่าว เขามองแสงโคมสว่างจ้าแวบหนึ่ง ก่อนจะใช้มือทาบหว่างคิ้ว กางนิ้วทั้งห้าออกเล็กน้อย บดบังดวงตาทั้งคู่ไว้ อีกทั้งยังบดบังอาการหม่นหมองอันไร้ที่มาในแววตา

จงหลีและจงหยวนได้ยินดังนั้นก็อดมองหน้ากันมิได้ นับแต่ปรนนิบัติกงจื่อมาพวกเขาก็รู้ว่ากงจื่อไม่ชอบตะเกียงน้ำมันหรือเทียนไขมืดสลัว ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่ที่อื่นก็ล้วนแต่ใช้ไข่มุกราตรีเป็นตะเกียง ไฉนวันนี้ถึงได้เอ่ยว่าสว่างไปเล่า

“เปลี่ยนเป็นดวงอื่น พวกเจ้าออกไปเถอะ” เฮยเฟิงซีลดมือลง หรี่ตาเล็กน้อยแล้วบัญชาด้วยเสียงราบเรียบ

“ขอรับ” จงหลีกับจงหยวนรับคำ

คนหนึ่งปลดโคมลง คนหนึ่งจุดตะเกียงน้ำมัน จากนั้นถึงหับประตูลงอย่างเบามือแล้วจากไป

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาห่างออกไป ในห้องมีเพียงตะเกียงที่ส่องแสงสว่างเท่าเม็ดถั่ว คลอเคล้ากับเสียงคลื่นน้ำบางเบา

บนตั่งนุ่มเฮยเฟิงซีเอนกายอย่างเงียบงัน หลับตาทั้งสองข้าง สีหน้าสงบทั้งคลับคล้ายกำลังตริตรองอย่างหนักทั้งคล้ายหลับไปแล้ว

เวลาล่วงผ่านไปโดยไร้สุ้มเสียง มีเพียงลมแม่น้ำบางเบาที่โชยต้องตะเกียงน้ำมันทอแสงเหลืองนวลเป็นครั้งคราว ก่อให้เกิดเงาเต้นริกๆ เป็นพักๆ ทว่ายังคงเงียบสงัด ประหนึ่งเกรงว่าจะทำให้ผู้แสร้งหลับบนตั่งนุ่มนั้นสะดุ้ง

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดเขาถึงลืมตาทั้งสองขึ้น สายตาเคลื่อนไปยังผิวน้ำที่ดำมืด บางคราแสงตะเกียงจากริมฝั่งก็สว่างขึ้น สะท้อนเข้าสู่ดวงตาดำสนิทจนมองมิเห็นก้นคู่นั้น ทำให้ดวงตานั้นเจิดจ้าดั่งมุก ทอประกายอึมครึมเย็นเยียบ

“ป้ายขั้วกาฬ…” เฮยเฟิงซีหลุดคำออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึม ในตาสาดประกายเย็นชาวูบหนึ่ง มือขวายกขึ้น มองฝ่ามือแล้วกำเข้าหากัน ก่อนจะถอนใจเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ไป๋เฟิงซี…”

 

เช้าตรู่เมื่อจงหลีและจงหยวนผลักประตูเข้ามาก็พบว่ากงจื่อของพวกเขายังเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม เครื่องแต่งกายยังเหมือนเดิม พอกวาดตามองเตียงที่ปูให้เมื่อคืนก็พบว่าเรียบกริบ เห็นได้ว่าไม่ได้นอน

“กงจื่อ” จงหลีเรียกเบาๆ

“อืม” เฮยเฟิงซีขานรับแล้วลุกขึ้น ยืดแขนขาที่ตึงแข็งอยู่บ้าง สีหน้าเป็นปกติไม่มีอาการอ่อนล้า

จงหยวนปราดเข้าไปดูแลให้เขาบ้วนปากล้างหน้า หวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้า รอจนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จงหลีก็ยกอาหารเช้าเข้ามาจัดเรียงบนโต๊ะทีละอย่าง

น้ำสะอาดหนึ่งถ้วย โจ๊กหนึ่งชาม เกี๊ยวแก้วหนึ่งจาน เน้นที่ประณีตหาใช่จำนวน

น้ำสะอาดถ้วยนี้คือน้ำจากบ่อน้ำพุชิงไถ (แท่นกระจ่าง) แห่งชิงโจวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ่อน้ำพุอันดับหนึ่งในใต้หล้า โจ๊กเคี่ยวจาก ‘ลูกเดือยมุกขาว’ ที่มีในยงโจวเท่านั้น ปรุงกับรังนก เห็ดหูหนูขาว และเม็ดบัว ส่วนเกี๊ยวแก้วไส้ทำจากใจผักกาดขาวอ่อนของโยวโจวซึ่งได้รับสมัญญาว่า ‘แผ่นหยกหิมะ’ เฮยเฟิงซีชมชอบอาหารที่เป็นผัก ไม่ชมชอบเนื้อสัตว์

เขาดื่มน้ำสะอาดถ้วยนั้นก่อน จากนั้นถึงกินโจ๊กหนึ่งคำ แล้วค่อยคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น ทว่าเพิ่งยื่นมาถึงริมฝีปากก็วางตะเกียบลง สุดท้ายก็แค่กินโจ๊กชามนั้นจนหมด

“นึ่งนานเกินไป ใจผักเปื่อยแล้ว คราวหน้าระวังเวลาที่นึ่งด้วย” เขามองเกี๊ยวแก้วจานนั้นแล้วเอ่ยขึ้น

“ขอรับ” จงหลีเก็บจานชาม

เฮยเฟิงซีลุกขึ้นเดินไปยังหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบพู่กัน ปูกระดาษขาว แล้วโบกสะบัดพู่กันอย่างต่อเนื่อง เขาเขียนเสร็จในรวดเดียว เพียงครู่ก็ได้จดหมายสองฉบับ

“จงหยวน นำจดหมายสองฉบับนี้ให้คนแยกกันไปส่ง” เขาผนึกซองยื่นให้จงหยวน

“ขอรับ” จงหยวนรับจดหมายไว้แล้วผลักประตูออกไป ส่วนจงหลีก็กำลังประคองชาถ้วยหนึ่งเข้ามา

เฮยเฟิงซีรับน้ำชามาดื่มคำหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยวางลง เงยหน้าสั่งว่า “จงหลี ไปตระเตรียมไว้ พรุ่งนี้เช้าให้เรือเข้าเทียบฝั่ง เปลี่ยนมาใช้เส้นทางบกตรงไปโยวโจวแทน”

“ขอรับ” จงหลีก้มศีรษะรับคำ แต่ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงเงยหน้าถาม “กงจื่อ ท่านนัดกับแม่นางซีไว้ว่าจะพบกันที่จี้โจวมิใช่หรือขอรับ”

เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจือแววอารมณ์เยาะหยัน “สตรีผู้นั้นหากตกปากรับคำเรื่องใดกับผู้อื่นแล้วจะต้องทำได้แน่นอน แต่หากเป็นข้า นางยินดีปรีดาถึงสิบส่วนที่จะทำให้ไม่บรรลุ ยิ่งกว่านั้นวันนั้นเจ้าได้ยินนางรับคำหรือไม่เล่า”

จงหลีใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วส่ายศีรษะ เขาไม่ได้ยินไป๋เฟิงซีเอ่ยรับคำกับปากจริงๆ เสียด้วย

“ดังนั้นเราจะไปโยวโจว” เฮยเฟิงซียกถ้วยชา ไอร้อนสายหนึ่งลอยอวลเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้บัดนี้ดวงตาของเขาพร่าเลือนเฉกเช่นหมอก “สตรีผู้นั้นถึงกับปล่อยให้ป้ายขั้วกาฬตกถึงมือซื่อจื่อแห่งจี้โจว! ช่าง…” วาจาตอนท้ายหาได้เอ่ยออกมา ทว่าน้ำเสียงเขาอับจนปัญญาอย่างคนขบคิดไม่แตก

“เหตุใดต้องไปโยวโจวเล่าขอรับ กงจื่อ พวกเราออกมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่กลับไป” จงหลีขมวดคิ้วถาม เขายังอายุแค่สิบห้า แม้จะติดตามเฮยเฟิงซีมาตั้งแต่เจ็ดขวบ ทำให้ถึงวันนี้คุ้นเคยกับการระหกระเหเร่ร่อนแล้ว ทว่าการจากบ้านนานเกินไปเขาก็คิดถึงท่านแม่เหลือเกิน

“ไปโยวโจวน่ะหรือ เหตุผลเยอะเชียวล่ะ” ดวงหน้าหลังไอน้ำหนาของเฮยเฟิงซีดั่งภูเขาและสายธารอันครึ้มมัวไปด้วยหมอกและฝน เขาวางถ้วยลง ยืดกายขึ้น แล้วตบศีรษะจงหลีเบาๆ “วางใจเถิด เดี๋ยวพวกเราก็กลับบ้าน ใกล้เต็มทีแล้ว”

“ขอรับ” จงหลีพยักหน้าอย่างวางใจ “กงจื่อ ข้าขอตัวก่อน”

จงหลีถอยออกไปแล้ว ในห้องเหลือเฮยเฟิงซีแต่ผู้เดียว เขาเดินไปยังข้างหน้าต่าง แหงนหน้ามองอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ หรี่ตาน้อยๆ มองวิหคร่อนโฉบผิวน้ำแล้วพึมพำเบาๆ “โยวโจว…”

และในเวลานั้นที่ห้องประทุนด้านข้าง เฟิ่งชีอู๋ตื่นขึ้นก็พบว่าปลายเตียงมีดรุณีน้อยอายุสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งยืนอยู่ ศีรษะทำผมเป็นมวยคู่* ใบหน้าสัตย์ซื่อจริงใจมีลักยิ้มน้อยๆ สองแห่ง ดวงตากลมโตทอแววแช่มชื่นอันอ่อนหวาน ชวนให้เห็นแล้วเย็นใจ

“แม่นางเฟิ่ง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวมีนามว่าเซี่ยวเอ๋อร์ ถูกสั่งว่าต่อไปให้บ่าวคอยปรนนิบัติท่านเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยเสียงใส

เฟิ่งชีอู๋พยักหน้าด้วยท่าทีราบเรียบแล้วลุกขึ้น

“ท่านจะลุกจากเตียงหรือ เซี่ยวเอ๋อร์จะช่วยปรนนิบัติท่านนะเจ้าคะ” เซี่ยวเอ๋อร์ว่าพลางช่วยประคองนางลงจากเตียง จากนั้นก็ช่วยสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา หวีผมให้

ส่วนเฟิ่งชีอู๋นั้นแต่ต้นจนจบก็ไม่ส่งเสียงเลยสักคำ แค่ให้ความร่วมมือกับเซี่ยวเอ๋อร์อย่างเฉยชาเท่านั้น

ครั้นหวีแต่งทรงผม และมองดูดวงหน้างามผุดผาดดั่งบุปผชาติในกระจกทองเหลืองแล้ว เซี่ยวเอ๋อร์ก็อดชมเปาะไม่ได้ “ท่านงดงามยิ่งนัก”

มุมปากเฟิ่งชีอู๋โค้งขึ้น ถือว่าตอบรับคำชมของนาง

“ข้าจะไปยกอาหารเช้ามาให้ท่าน” เซี่ยวเอ๋อร์เปิดประตูออกไป

เฟิ่งชีอู๋ลุกขึ้น เดินไปยังหน้าต่างและผลักหน้าต่างให้เปิดออก แสงอาทิตย์ส่องแยงตา นางหรี่ตาลงเล็กน้อย รอให้ดวงตาคุ้นกับแสงสว่างแล้วถึงหันหน้ากลับมามองประเมินห้องประทุนเรือแห่งนี้ ของทุกชิ้นในนี้ล้วนแต่มองออกว่าล้ำค่ามีราคานัก ต่อให้เป็นเมื่อครั้งครอบครัวนางยังมั่งคั่งที่สุดก็มิเคยหรูหราถึงเพียงนี้ แม้จะหรูหราทว่าไม่ฉูดฉาด แต่ละชิ้นแต่ละอย่างเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ มองไปแล้วให้ความรู้สึกสูงส่งโอ่อ่า

นางกลับมิรู้ว่าเฟิงกงจื่อผู้นั้นมีชาติกำเนิดเช่นไรแน่

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูก็ถูกผลักออก เซี่ยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว “แม่นาง ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ”

เฟิ่งชีอู๋ก้าวเท้าไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง

เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยวเอ๋อร์ก็เก็บจานชามแล้วถอยออกไป เมื่อนางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็พบว่าเฟิ่งชีอู๋กำลังดีดพิณผีผาอยู่

เสียงดังติงๆ ตังๆ สองสามครา ไม่เป็นบทเพลง เพียงแต่ดีดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น

“แม่นางเฟิ่งตื่นแล้วหรือ”

ทันใดนั้นเสียงของเฮยเฟิงซีก็ดังขึ้น เฟิ่งชีอู๋สะดุ้ง เงยหน้ามองไปรอบด้าน แต่กลับไม่พบเจ้าของเสียง

“กงจื่ออยู่ที่ห้องประทุนกลางเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยอยู่ด้านข้าง

“ขอเชิญแม่นางเฟิ่งมาสนทนากันสักครา” เสียงของเขาดังขึ้นอีกรอบ ชัดเจนประหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

ดังนั้นเฟิ่งชีอู๋จึงอุ้มพิณผีผาลุกขึ้น โดยมีเซี่ยวเอ๋อร์รีบนำทางให้

เมื่อผลักประตูออก สิ่งที่ปรากฏสู่คลองสายตาคือแผ่นหลังของคนผู้นั้นซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างเหยียดตรงสูงโปร่ง แสงอาทิตย์สดใสสาดส่องทะลุหน้าต่างทาบลงมาบนร่างเขา ส่งให้ทั่วร่างของเขาเคลือบด้วยแสงทองจางๆ ชั้นหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด เขาก็หมุนกายกลับมา ขณะยกมือสะบัดแขนเสื้อ แสงทั่วร่างก็เลื่อนไหล พร่างพรายยิ่งกว่าแสงตะวัน ทว่านัยน์ตาดุจหยกดำคู่นั้นยังคงลึกมืดไม่เห็นก้น แต่เมื่อเฟิ่งชีอู๋เห็นนัยน์ตาดำคู่นั้นแล้วมักจะรู้สึกว่าในส่วนลึกของความมืดนั้นซ่อนไว้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยนอันเปี่ยมล้น แต่นางกลับมิรู้ว่าความอบอุ่นอ่อนโยนนั้นซ่อนไว้เพื่อผู้ใด

“แม่นางเฟิ่งพอปรับตัวได้หรือไม่” เฮยเฟิงซีทรุดกายลงบนตั่ง ขณะเดียวกันก็ยกมือเป็นสัญญาณให้นางนั่งลง

“ชีอู๋คุ้นเคยกับการปรับตัวให้เข้ากับที่ใดก็ตามที่ต้องไปอยู่ได้นานแล้ว” เฟิ่งชีอู๋กล่าวเสียงราบเรียบ จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งหน้าตั่ง

“เฟิ่งชีอู๋ ชีอู๋…ชื่อนี้ตั้งได้ดีแท้” เฮยเฟิงซีมองเฟิ่งชีอู๋ด้วยแววตาอ่อนโยน สตรีผู้นี้มักจะนำเอาแววโศกเศร้าและความเย็นชามากับตัวเสมอ “บ้านของชีอู๋ยังมีผู้ใดอีกหรือไม่”

เมื่อได้ยินเขาเรียก ‘ชีอู๋’ อย่างแผ่วเบา ในดวงตาเฉยชาของเฟิ่งชีอู๋ก็ทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง อ่อนโยนและอบอุ่น ขับให้ดวงหน้าดุจหยกที่เนียนขาวราวกับจะข่มน้ำค้างเทียบหิมะเฉิดฉายเรียกสายตา เมื่อคนทั้งสี่ในห้องเห็นก็ล้วนแต่ชื่นชมจากใจจริง

“ไร้บ้านไร้ญาติ มีต้นอู๋ถงที่ใดก็เกาะพักที่นั่น” น้ำเสียงวังเวง สายตาเฟิ่งชีอู๋ตกอยู่ที่ดวงตาทั้งสองของเฮยเฟิงซี ราวกับแฝงความยึดมั่นบางประการ

สายตานั้นทำให้เขายื่นมือออกไป นิ้วเรียวยาวปัดปอยผมที่หน้าผากนางออก ปลายนิ้วไล้ผ่านดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบา

คิ้วเป็นประกายแวววาวดุจขนนกยูง นัยน์ตาดั่งดวงดาว ผิวกายขาวเกลี้ยงเกลาประหนึ่งไข ริมฝีปากดั่งชาดแต้ม

ดวงหน้านี้ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมแม้แต่นิดเดียว ที่เห็นเป็นความงามตามธรรมชาติ แม้จะมีทีท่าเฉยชา ทว่ากลับทอรัศมีบริสุทธิ์สูงส่งบางอย่าง

นี่เป็นยอดหญิงงามที่พบได้ยากยิ่ง อยู่ในยุทธภพกว่าสิบปี เขามิได้พบคนผู้หมดจดผุดผาดเช่นนี้มานานแล้ว

“ทำไม” เฮยเฟิงซีถามเบาๆ ราวกับรำพึงรำพัน ถามโดยไม่มีที่มาที่ไป ทว่าเฟิ่งชีอู๋กระจ่างแจ้งแก่ใจ

นางหลับตาทั้งคู่ลงอย่างแช่มช้า ปล่อยให้ปลายนิ้วของเขาวาดผ่านแก้ม สัมผัสถึงความอบอุ่นน้อยนิดจากปลายนิ้วนั่น “เพราะเต็มใจ”

ใช่ เพราะเต็มใจ เพราะนางยินยอมพร้อมใจ

ปลายนิ้วเฮยเฟิงซีหยุดอยู่ที่คางของนาง ก่อนจะจับให้เชิดขึ้นน้อยๆ แล้วเรียกอย่างแผ่วเบาประหนึ่งเป็นเสียงถอนหายใจ “ชีอู๋”

เฟิ่งชีอู๋ลืมตาขึ้น นัยน์ตาบริสุทธิ์ใสดั่งสายน้ำไม่มีสิ่งปลอมปนสักเศษเสี้ยว ไม่มีแววลังเลแม้น้อยนิด สะท้อนเงาของเขาผู้อยู่ตรงหน้า สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน

ราวกับได้เห็นตัวเองอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ในนัยน์ตาหมดจดนั้นสะท้อนดวงตาอันอ่อนโยนทว่าไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง วาจามาถึงข้างริมฝีปาก แต่เฮยเฟิงซีก็ลังเลเสียแล้ว เขาหดมือกลับแล้วแย้มยิ้ม ยิ้มอย่างงามสง่าเยือกเย็น “ชีอู๋ ข้าจะช่วยหาอู๋ถงต้นที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า”

หัวใจหนักอึ้ง พริบตานั้นนางก็ปวดร้าวเหลือต้านทาน เหตุใดถึงมิใช่ ‘ปลูกอู๋ถงให้เจ้าต้นหนึ่ง’ เล่า

“ชีอู๋ไม่ใคร่ชอบพูดนัก เช่นนั้นก็ร้องเพลงเถิด” เฮยเฟิงซีเอนกายพิงตั่งนุ่ม เขายังคงเป็นเฟิงกงจื่อผู้สูงศักดิ์ดั่งราชา บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายที่ไม่เคยลดเลือน “เสียงขับขานของชีอู๋เหมือนหนึ่งคีตสำเนียงจากฟ้า ชวนให้ฟังนับร้อยครั้งก็มิเบื่อหน่าย ข้าชมชอบยิ่งนัก”

ชมชอบยิ่งนักกระนั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี ให้ท่านฟังสักร้อยปีเป็นอย่างไร

“กงจื่อเคยฟัง ‘คำนึงแดนสวรรค์’ หรือไม่” เฟิ่งชีอู๋เอ่ยถามเสียงเบา

“ชีอู๋ลองร้องมาให้ฟังสักหน่อยเถิด” เฮยเฟิงซีหลับตาลง

พิณผีผากังวานขึ้น เกรื่องกร่างดั่งฝนพรำ ลึกล้ำดั่งคำพร่ำพลอด ระบายออกมาอย่างเงียบเชียบ

 

“วสันต์ทัศไนย                          ชื่นฤทัยเมื่อสัญจร

ดอกซิ่ง* ผลิกลีบอ่อน              ลมพาว่อนติดเกศา

มรรคาพามาพบ                         ด้วยมาณพสวยสง่า

หมดจดมากอัชฌา                   สำรวยท่าศักดามี

ข้าหมายฝากกายา                     เข้าวิวาห์ร่วมชีวี

พอแล้วชาตินี้มี                          ผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณ์

แม้นพี่แล้งน้ำใจ                         ท้ายทิ้งให้ว้างเอกา

ไม่อายไม่ปริว่า                         เมื่อเลือกมาไม่เสียใจ”

 

เสียงครวญบริสุทธิ์ใสกังวาน จะเจือเศษธุลีสักนิดก็หามีไม่ เสียงนั้นพลิ้วลอยออกจากหน้าต่าง ขจรขจายเหนือผิววารี

ผืนวารีกว้างใหญ่ แสงตะวันเจิดจ้า กกอ้อสามสี่กอ เรือประมงสามสี่ลำ คละเคล้ากับเพลงเรือห้าวหาญสามสี่เสียง ล้อกับเสียงนกกระเต็นขับขาน ผสานรวมเป็นภาพวาด เป็นภาพวาดอันวิจิตรที่มีควันจางสายหนึ่งม้วนตลบอยู่เลือนราง คล้ายมีคล้ายไม่มี คล้ายลอยล่องคล้ายลับหาย

 

“ข้าหมายฝากกายา                  เข้าวิวาห์ร่วมชีวี

พอแล้วชาตินี้มี                          ผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณ์

แม้นพี่แล้งน้ำใจ                         ท้ายทิ้งให้ว้างเอกา

ไม่อายไม่ปริว่า                         เมื่อเลือกมาไม่เสียใจ”

 

อารมณ์ที่แม้จะถูกทอดทิ้งอย่างแล้งน้ำใจก็ไร้ความคับแค้นไร้เสียใจ เส้นสายที่เกาะเกี่ยวพันพัวอย่างงมงายลอยม้วนอยู่กลางน้ำ แม้สายลมจะเป่าเท่าใดก็มิสลายไป

 

ณ ไท่เฉิง ซังโจว

เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของซังโจว ถัดไปก็คือเอ่อร์เฉิง เอ่อร์เฉิงเป็นเมืองชายแดนเชื่อมต่อกับจี้โจว เดิมทีต่อจากเอ่อร์เฉิงยังมีเกอเฉิงและอิ่นเฉิง ทว่าถูกจี้โจวผนวกรวมไปเมื่อห้าปีก่อน

“เอาล่ะ มาถึงไท่เฉิงเสียที” นอกประตูเมืองไท่เฉิงไป๋เฟิงซีแหงนหน้ามองอักษรขนาดเขื่องบนประตูเมือง จากนั้นถึงผินหน้ากลับมากวักมือเรียกนายท่านน้อยผู้เปราะบางที่เดินหนึ่งก้าวอิดออดสามครา “หานผู่ เจ้าเร็วหน่อย พวกเราเข้าไปกินอาหารเที่ยงในเมืองกัน”

“ท่านมีเงินหรือ” หานผู่กุมท้องว่างโหวง เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง

เวลานี้ทั้งสองเนื้อตัวสะอาดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เว้นเสียแต่หานผู่ใบหน้าเขียวคล้ำ

“ไม่มี” ไป๋เฟิงซีตบกระเป๋าเงินที่เป็นผ้าแนบติดกับผ้า ตอบอย่างแจ่มแจ้งถึงสิบส่วน

“ไม่มีเงินแล้วท่านจะมีกินได้อย่างไร หรือท่านคิดจะขโมย” หานผู่ยืดเอวขึ้น อย่าได้โทษที่เขาพูดจาเสียมารยาท เพราะหลายวันที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เขารู้สึกว่าพฤติกรรมไม่ปกติใดๆ ก็ตาม หากเอามาครอบไว้บนร่างไป๋เฟิงซีแล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียสิ้น

“ขโมย?” ไป๋เฟิงซีร้องเสียงหลง ส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมกับเอ่ยว่า “ได้อย่างไรกัน ข้าคือไป๋เฟิงซีเชียวนะ ไหนเลยจะทำเรื่องไร้ศีลธรรมเยี่ยงนั้นได้”

“ท่านทำไว้น้อยเสียเมื่อไรเล่า โอสถบ้านข้าที่ท่านแอบขโมยบ้างชิงต่อหน้าบ้างมีน้อยหรือ” หานผู่เบะปาก หวนนึกถึงตอนแรกที่เขานับถือเลื่อมใสจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างไป๋เฟิงเฮยซีตั้งปานใด ทว่าตอนนี้พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาแล้วก็รู้สึกเพียงแต่ว่าที่เรียกว่าจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้น บางคราก็ต่างจากโจรอันธพาลไม่มาก

“หึๆ ผู่เอ๋อร์ เรื่องโอสถบ้านเจ้าน่ะ เรียกว่าทำบุญกุศล” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแห้งๆ สองที “ส่วนเงินค่าอาหารสำหรับวันนี้ ข้าจะจัดการหามา”

“หามาด้วยวิธีใด” สายตากินแหนงแคลงใจของหานผู่เหล่มองนาง

“ไปกับข้าก็พอแล้ว” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองหานผู่สองครา ยิ้มอย่างมีนัยลึกซึ้ง

พอถูกสายตาของนางเหลือบมองเข้าหานผู่ก็รู้สึกท้ายทอยเย็นวาบ ขนบนหลังคอลุกซู่ สัญชาตญาณบอกว่าไม่เข้าที

“รีบเดินเข้าสิ ผู่เอ๋อร์ ยังมัวเหม่ออะไรอีก” ไป๋เฟิงซีเร่งเร้า

หานผู่อับจนหนทาง จำต้องตามหลังนางไป

ทั้งสองเข้าเมือง เดินตัดผ่านถนนสายหนึ่งแล้วอ้อมผ่านถนนอีกสองสายก็มาถึงถนนสายที่พลุกพล่านถึงสิบส่วน

“ถึงแล้ว”

ข้างหูได้ยินเสียงไป๋เฟิงซีร้องขึ้น พอหานผู่แหงนหน้ามองก็พบว่าตรงหน้ามีอักษรเขียนว่า ‘บ่อนเบี้ย’

“นี่ไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นโรงบ่อนเบี้ย” หานผู่ร้อง ถึงแม้เวลาอาจารย์สั่งสอน เขามักจะหลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี ทว่าอักษร ‘โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่’ ไม่กี่ตัวนี้เขาจำได้อ่านออก

“ข้าย่อมรู้ว่าเป็นโรงบ่อนเบี้ย” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะเขา ชี้ไปยังป้ายของโรงบ่อนเบี้ยแล้วเอ่ยว่า “โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่นี้เป็นโรงบ่อนเบี้ยที่ใหญ่ที่สุดในไท่เฉิง ชื่อเสียงที่กล่าวต่อๆ กันมาไม่เลว ไม่เคยหลอกโกงคนต่างถิ่น”

“หรือท่านหมายจะหาเงินด้วยการพนัน” หานผู่คาดเดาเจตนาของนาง ไม่ไปทุ่มเทความคิดให้รกสมองกับเรื่องที่นางเป็นสตรี อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธภพ แต่ถึงกับไปเล่นการพนันขันต่อ หลายเดือนที่อยู่ร่วมกันมาเขาเห็นเรื่องแปลกจนชาชินแล้ว

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าฉลาดจริงๆ” ไป๋เฟิงซีชมเปาะ

“ท่านไม่มีเงินจะพนันอย่างไร” หานผู่เอ่ยอย่างเคลือบแคลง หาได้ถูกกรอกยาให้สติเลอะเลือนไม่ ครั้งใดที่นางออกปากชมเขาก็แสดงว่านางกำลังวางแผนเล่นงานเขาอยู่

“ผู้ใดว่าข้าไม่มีต้นทุนเล่า” ไป๋เฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มระรื่น รอยยิ้มบนใบหน้ายามนี้คล้ายกับเฮยเฟิงซีอยู่บ้าง

หานผู่มองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เครื่องประดับบนหน้าผาก “หรือท่านคิดใช้เจ้าสิ่งนี้แทนเงิน เช่นนั้นมิสู้ไปวางเอาเงินจำนำที่โรงจำนำยังจะเชื่อได้มากกว่า”

“ของชิ้นนี้หรือ…” ปลายนิ้วไป๋เฟิงซีแตะเครื่องประดับบนหน้าผากอย่างเบามือ เอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “นี่เป็นของตกทอดในสกุล วางจำนำไม่ได้ หากทำได้ข้าก็เอาไปวางแลกของกินนานแล้ว”

“เช่นนั้นท่านจะใช้สิ่งใดแทนเงินหรือ” หานผู่ถามอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างสามเชียะกับนาง ตลอดทางมานี้ของบนร่างเขาที่จำนำได้ก็จำนำจนสิ้นแล้ว สุดท้ายเหลือเพียงมีดพกสั้นเลี่ยมอัญมณีที่ท่านพ่อให้มา จะให้นางเอาไปเป็นต้นทุนเล่นพนันไม่ได้โดยเด็ดขาด หากแพ้และเสียของไป วันหน้าไปถึงปรโลกเขาจะถูกท่านพ่อตำหนิเอาได้

“มากับข้า ประเดี๋ยวก็รู้เอง” ไป๋เฟิงซีคว้าเขาไว้ กึ่งดึงกึ่งลากให้เขาเข้าไปในโรงบ่อนเบี้ย

ทันทีที่เข้าสู่ด้านในสิ่งที่ปะทะเข้าจังหน้าก็คือกลิ่นเหม็นพิกลและเสียงตะโกนร้องกึกก้องถึงชั้นฟ้า

“พวกเราเล่นสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างทายสูงต่ำเถิด” ไป๋เฟิงซีลากหานผู่เบียดฝ่าเข้าไปในฝูงชน

หานผู่มือข้างหนึ่งถูกนางคว้าไว้ อีกข้างที่ว่างอยู่ก็ปิดปากและจมูก

ขณะนี้เป็นปลายเดือนสิบแล้ว อากาศหนาวเย็นยิ่ง โรงบ่อนเบี้ยจึงเปิดประตูใหญ่ไว้เพียงบานเดียว แต่ด้านในมีผู้คนล้มหลาม อากาศไม่ถ่ายเท กลิ่นย่อมไม่สู้จะพึงประสงค์ หานผู่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่ยังเยาว์ แม้หลายเดือนมานี้จะติดตามไป๋เฟิงซีนอนกลางดินกินกลางทราย ทว่าไม่เคยคลุกคลีกับคนระดับล่างเหล่านี้จริงๆ จังๆ บัดนี้หูได้ยินเสียงพวกเขาตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ดวงตามองเห็นใบหน้าโลภโมโทสันอันมีกิเลสเกี่ยวกระหวัดใบหน้าแล้วใบหน้าเล่า จมูกได้กลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยวและกลิ่นกายของพวกเขาที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน หลายเดือน หรือกระทั่งเป็นปี ในอกก็ปั่นป่วนขึ้นมาระลอกหนึ่ง ปรารถนาจะออกไปทันที แต่มือก็ถูกไป๋เฟิงซีคว้าไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนมิได้

ไป๋เฟิงซีลากหานผู่มุดเข้าไปในฝูงคน ลอดซ้ายแทรกขวาจนสุดท้ายก็เบียดเข้ามากลางวงได้สำเร็จ

“รีบซื้อๆ! จะเปิดแล้วนะ!” เจ้ามือตะโกนร้อง

“ข้าแทงสูง!” นางฟาดฝ่ามือลง

เสียงนี้ใสกังวานเป็นที่สุด ทำเอาบรรดาผีพนันพากันสะดุ้งตัวลอย แต่ละคนเบนสายตาจากโต๊ะพนันมายังร่างนาง

พริบตานั้นเหล่าผีพนันผู้เดิมทีแยกฟ้าแยกดินแยกเหนือแยกใต้ไม่ออก จำบิดรมารดาภรรยาและบุตรไม่ได้ก็ประหนึ่งได้น้ำใสมาประพรมใบหน้า แต่ละคนสะดุ้งสุดตัวได้สติ ดวงตาแดงก่ำแต่ละคู่เห็นดรุณีอาภรณ์ขาว ผมดำยาวสลวย นัยน์ตาสุกใส ดวงหน้าหมดจด แช่มชื่นสะคราญตา ราวกับดอกบัวสีครามชูก้านชดช้อยอยู่กลางน้ำ ทำให้สติเลอะเลือนไปเล็กน้อย

“นี่ ข้าแทงสูง รีบเปิดซี” ไป๋เฟิงซีโบกมือ แขนเสื้อก่อให้เกิดลมวูบหนึ่ง ทำให้ผู้คนได้สติ

นับแต่โรงบ่อนเบี้ยเปิดกิจการมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีสตรีเข้ามา ดังนั้นเจ้ามือจึงลังเลเล็กน้อย “แม่นาง…มาเล่นพนันหรือ”

“แน่นอน” น้ำเสียงของไป๋เฟิงซีก้องกังวานและมั่นใจเต็มเปี่ยม

เจ้ามืออยู่ในโรงบ่อนเบี้ยนี้มาหลายปีแล้ว ลูกค้าจากเหนือใต้ท่าทางพิลึกพิลั่นทั้งหลายก็เคยพบมาบ้าง ดังนั้นยามนี้จึงเรียกสมาธิ ไม่ยึดติดว่าลูกค้าผู้อยู่เบื้องหน้าเป็นสตรี เพียงถามว่า “แม่นางจะแทงเท่าไร”

“เรื่องนี้หรือ…” ไป๋เฟิงซีลากหานผู่ที่หันหน้าไปด้านนอกให้ขึ้นมาด้านหน้า “เขาก็แล้วกัน”

“หา?” คราวนี้คนทั้งหลายล้วนตกตะลึงเป็นคำรบที่สอง

“ท่าน…” หานผู่ได้ยินก็แตกตื่นโมโห เพิ่งจะอ้าปากเสียงก็หายไป จุดใบ้เขาถูกสกัดไว้แล้ว

“เจ้าดูสิว่าเด็กนี่ได้ราคาเท่าไร” ไป๋เฟิงซีถามเจ้ามือด้วยรอยยิ้มระรื่น

“ห้าแผ่นเงินกระมัง” เจ้ามือเอ่ย เด็กนี่ผอมๆ แห้งๆ เกรงจะทำงานอะไรไม่ไหว ด้วยสภาพบ้านเมืองทุกวันนี้ ได้ห้าแผ่นเงินก็เป็นราคาที่สูงมากแล้ว

“ห้าแผ่นเงินน้อยไปแล้วกระมัง” นางต่อรองราคากับเขา พลิกมือบิดหน้าของหานผู่ให้เจ้ามือดู “เจ้าดูสิว่าเด็กนี่หน้าตาดีแค่ไหน คิ้วตาคมคาย ผิวขาวเนียนนุ่ม งามกว่าสตรีตั้งมากมายด้วยซ้ำ หากว่า…” นางลดเสียงลงอย่างมีเลศนัย “หากว่าขายเป็นเด็กบำเรอให้บ้านคนมั่งมี…อย่างชั่วก็ต้องขายได้สามสิบสี่สิบแผ่นเงินแล้ว แต่ข้าหาได้ต้องการมากมายเพียงนั้น เอาเป็นสิบแผ่นเงิน เช่นนี้เป็นอย่างไร”

“เรื่องนี้…” เจ้ามือพินิจพิเคราะห์หานผู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้สวยคมคายผิดสามัญโดยแท้ แค่ว่าตอนนี้ตาทั้งสองมีเพลิงโทสะพลุ่งพล่าน เห็นแล้วชวนสะท้านทั้งที่ไม่หนาว จึงเบนสายตาออก “ก็ได้ เอาเป็นสิบแผ่นเงิน”

“ตกลงตามนี้” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า เร่งเร้าเจ้ามือ “รีบเปิดเถิด ข้าแทงสูง”

ดังนั้นเจ้ามือจึงเขย่าลูกเต๋ากรอกแกรก ดวงตาหลายสิบคู่จับจ้องมือของเขา สุดท้ายถ้วยก็กระแทกลงกับโต๊ะ สายตาทั้งหมดล้วนแต่จับจ้องไม่วางตา

“รีบเปิดๆ!”

“สูงๆๆ!”

“ต่ำๆๆ!”

บรรดาผีพนันตะโกนร้อง เจ้ามือยั่วน้ำลายทุกคนเต็มที่กว่าจะเปิดฝาออกในที่สุด

“ฮ่าๆๆ…สูง!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะลั่น ยื่นมือโกยเงินอย่างไม่เกรงใจ

“เฮ้อ ดวงซวย!” บางคนยินดี บ้างก็กลัดกลุ้ม

“เอาใหม่ๆ!” ไป๋เฟิงซีร้องอย่างกระชุ่มกระชวย

ครั้นแล้วนางจึงแทงต่อ เจ้ามือก็เปิดแต้มต่อ มิทราบว่านางดวงดีเป็นพิเศษหรือเจ้ามือเอ็นดูนางเป็นพิเศษ เพราะนางแทงอะไรก็ออกอย่างนั้น ครั้นหลายตาเข้า เบื้องหน้านางก็มีแผ่นเงินซ้อนกันเป็นกอง

“วันนี้มือขึ้นดีนัก” ไป๋เฟิงซีโกยแผ่นเงินเข้ากระเป๋า กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “ขออภัย ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน”

“แค่นี้ก็ไปเสียแล้วหรือ” ทันใดนั้นก็มีคนไม่น้อยโวยวาย นางชนะได้เงินแล้วก็ไป?

“ใช่น่ะสิ ข้าหิวแทบแย่แล้ว จะไปกินข้าวก่อน วันหลังค่อยมาเล่นใหม่” ไป๋เฟิงซีผินหน้ากลับไปยิ้ม รอยยิ้มนั้นสดใสไร้เดียงสาดังบุปผา ทำให้ผู้คนตาลายใจสั่นไหว ระหว่างที่ผู้คนกำลังเลอะเลือน นางก็จูงหานผู่เผ่นแผล็วออกจากโรงบ่อนเบี้ยไป

เมื่อเดินอยู่บนถนนแล้ว ไป๋เฟิงซีก็คลายจุดใบ้ให้หานผู่ในที่สุด

“ท่าน…ท่านถึงกับเอาข้าไปเป็นเดิมพันแทงพนัน! ท่านถึงกับจะขายข้าทิ้ง!” ทันทีที่จุดคลายออกหานผู่ก็ตะโกนอย่างโกรธแค้นโดยมิสนใจผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน

“ชู่!” ไป๋เฟิงซีใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปาก มองหานผู่ด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ผู่เอ๋อร์ เจ้าอยากถูกสกัดจุดใบ้อีกหรือไม่”

วาจานี้ได้ผล หานผู่ไม่กล้าโวยวายเสียงดังอีก ทว่าเพลิงโทสะอัดแน่นในอกหาที่ระบายมิได้ จึงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาเอ่อท้นไปด้วยน้ำ กล่าวโทษด้วยยังไม่ยินยอมว่า “เสียทีที่ข้าอุตส่าห์ไว้ใจท่านนักหนา เห็นท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ แต่ท่านถึงกับเอาข้าไปแทงพนัน ยังจะเอาข้าไปขายเป็น…เป็นเด็กบำเรออะไรนั่นอีก!”

“ผู่เอ๋อร์ นี่เป็นแค่แผนชั่วคราวที่เหมาะกับจังหวะพอดีเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะของเขาเบาๆ ราวกับตบสุนัขน้อยที่ไม่เชื่อฟัง

“หากท่านแพ้จะทำอย่างไร หรือจะขายข้าทิ้งจริงๆ” หานผู่ย่อมต้องไม่เชื่อ

“จะได้อย่างไรกัน” นางโต้แย้งเสียงเฉียบขาด

“หึ ยังนับว่าเหลือความรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง” หานผู่แค่นเสียง

ไหนเลยจะรู้ว่านางจะกล่าวต่อว่า “ผู่เอ๋อร์ เจ้าช่างดูแคลนพี่สาวอย่างข้าคนนี้เสียจริง ข้าผาดโผนในโรงบ่อนเบี้ยมาเกือบสิบปี เคยแพ้เมื่อใดกัน ด้วยวรยุทธ์ของข้าแน่นอนว่าแทงสูงออกสูง แทงต่ำออกต่ำ ไม่มีทางพลาดเป็นอันขาด!” ในน้ำเสียงมีแววภูมิใจในตัวเองไม่น้อย

“ท่าน…” หานผู่ฟังแล้วลมหายใจสะดุด จากนั้นก็สะบัดหน้าหมุนกายจากไป ทางหนึ่งก็เดินทางหนึ่งก็กล่าวด้วยความโมโหว่า “ข้าไม่ไปกับท่านแล้ว! แล้วข้าก็ไม่นับถือท่านเป็นพี่สาวแล้ว! ข้าจะไม่เหลียวแลท่านอีกต่อไปแล้วด้วย!”

“ผู่เอ๋อร์…ผู่เอ๋อร์” ไป๋เฟิงซีเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนั้นก็กลัดกลุ้มขึ้นมาจริงๆ นางรีบดึงเขาไว้พร้อมปลอบเสียงนุ่ม “เอาล่ะๆ เมื่อครู่ข้าล้อเล่น ด้วยวรยุทธ์ของข้า จะแพ้เสียเจ้าไปได้อย่างไร อีกอย่างต่อให้แพ้จริงข้าก็จะแย่งเจ้ากลับมา รู้ไว้ว่าด้วยวรยุทธ์ของข้า ต่อให้จิ้งจอกดำนั่นมาก็แย่งกับข้าไม่ชนะหรอก!”

“ฮึ!” หานผู่แม้จะถูกยุดไว้ ทว่ากลับเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองนาง

“หานผู่คนดี พี่สาวสัญญากับเจ้าว่าต่อไปจะไม่เอาเจ้าไปเดิมพันอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีจนปัญญา จำต้องปลอบโยนด้วยถ้อยคำหวานหู

“ท่านเป็นผู้พูดเองนะ พูดแล้วต้องคำไหนคำนั้น ห้ามเอาข้าไปเดิมพันอีก” หานผู่หันกลับมาถลึงตาใส่นาง

“อืม คำไหนคำนั้น” นางพยักศีรษะ

หานผู่จ้องนาง เอ่ยต่อทันใด “วันหน้าไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามเอาข้าไปเดิมพัน ห้ามขายข้าทิ้ง ห้ามเบื่อรำคาญข้า และก็ห้าม…และก็ห้ามทอดทิ้งข้า!” พอเอ่ยถึงตอนท้ายก็สะอึกสะอื้นขึ้นมากะทันหัน ขอบตาแดงผ่าว น้ำตาไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความหวาดกลัวอย่างแท้จริงเข้ามาเกาะกุม เขากลัวถูกทอดทิ้ง กลัวต้องอยู่เพียงลำพังอีกเฉกเช่นคืนที่เกิดเพลิงไหม้ใหญ่นั้น แม้จะตะโกนจนคอแตกก็ไร้ผู้ขานรับ

“ได้ๆๆ ข้ารับปากหมดเลย” ไป๋เฟิงซีเห็นเขาน้ำตาตกก็อดถอนใจมิได้ ยื่นมือรวบเขามากอดไว้ ไม่มีใจจะแกล้งอีก พอหวนนึกว่าเขาเผชิญกับความพลิกผันครั้งใหญ่ในครอบครัว ใจก็ทั้งสงสารทั้งเวทนา “ผู่เอ๋อร์ พี่สาวจะไม่ไปจากเจ้า จะดูแลเจ้าจนถึงวันที่เจ้าเติบใหญ่” โดยไม่รู้ตัวนางก็เอ่ยคำมั่นสัญญาเช่นนี้ออกมาเสียแล้ว

“ท่านรับปากแล้วนะ ห้ามกลับคำเด็ดขาด” หานผู่กอดนางไว้แน่น หวั่นใจเหลือเกินว่าอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้จะพลันหายไป

“อืม” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า จากนั้นถึงปล่อยเขาออก ปาดน้ำตาบนดวงหน้าของเขา “โตจนป่านนี้แล้วยังร้องไห้อีก นึกถึงตอนที่ข้าออกจากบ้านเพียงลำพังครั้งแรกยังไม่ร้องไห้เลย ผู้ที่ร้องกลับเป็นบิดาข้า เอาล่ะ ไม่ร้องแล้ว ไปหาร้านอาหารสักร้านกินอะไรกันก่อนเถิด”

“อืม” หานผู่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอย่างรู้สึกอายตัวเอง

ขณะที่คนทั้งสองกำลังจะไปหาร้านอาหาร เบื้องหน้าก็มีคนกลุ่มใหญ่เดินมา ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ บ้างขี่รถเทียมวัวมา บ้างหาบหลัว บนร่างยังแบกห่อสัมภาระน้อยใหญ่ ทุกคนล้วนแต่หน้าเหลืองหิวโซ ทั่วร่างเต็มไปด้วยร่องรอยอ่อนล้าจากการเดินทาง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนพากันหลีกทางให้ ไป๋เฟิงซีและหานผู่ก็ถูกเบียดเข้าข้างทางเช่นกัน ทั้งสองเห็นคนกลุ่มนี้เดินผ่านตลาด บ่ายหน้าตรงไปยังประตูเมืองด้านใต้

“เฮ้อ ลี้ภัยกันมาอีกแล้ว” ข้างหูได้ยินเสียงคนทอดถอนใจ

“ท่านลุง คนพวกนั้นมาจากที่ใดหรือ แล้วนี่พวกเขาจะไปที่ใดกัน” ไป๋เฟิงซีถามผู้เฒ่าข้างทางคนหนึ่ง

“แม่นางคงมิได้เข้าเมืองนานแล้วกระมัง” ผู้เฒ่าพิจารณานาง “นี่ก็หลายระลอกแล้ว ล้วนแต่มาจากแถบเจี้ยนเฉิงทั้งสิ้น ท่านอ๋องทรงส่งแม่ทัพใหญ่ทั่วป๋าหงบุกตีเป่ยโจวอีกแล้ว พวกนี้ต่างก็เป็นชาวบ้านที่หนีภัยสงครามมา”

“บุกตีเป่ยโจว? นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน” ไป๋เฟิงซีได้ยินก็อดตกตะลึงมิได้

“ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว” ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “พูดไปพูดมาก็เพื่อป้ายขั้วกาฬ ไม่รู้ต้องตายกันอีกเท่าไร”

“ป้ายขั้วกาฬ?” ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วมุ่น

“ใช่” ดวงตาที่เข้าใจโลกของผู้เฒ่าทอแววโศกเศร้าเห็นใจ “ได้ยินว่าป้ายขั้วกาฬปรากฏขึ้นที่เป่ยโจว ท่านอ๋องตรัสว่าเป่ยโจวได้ป้ายขั้วกาฬแต่ไม่ถวายคืนนครหลวง มีใจกระด้างกระเดื่อง ดังนั้นจึงทรงยกทัพไปปราบ”

“ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีกล่าวกับตัวเอง

“ถึงที่นี่ก็ปลอดภัยแล้วนี่ แล้วเหตุใดคนเหล่านั้นถึงต้องไปต่อด้วยเล่า” หานผู่เอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา

หากจะหนีภัยสงคราม ระหว่างไท่เฉิงกับเจี้ยนเฉิงก็มีเมืองกั้นกลางหลายเมือง ไกลจากสมรภูมิมากแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงยังต้องเดินทางต่ออีก ถัดไปก็ถึงเอ่อร์เฉิงแล้ว นั่นก็เป็นเมืองชายแดน

“พวกเขาคิดจะไปจี้โจวกระมัง” ผู้เฒ่ามองไปยังท้ายถนน ทางนั้นคือประตูทิศใต้ ออกนอกประตูไปก็คือทางหลวงที่มุ่งหน้าไปเอ่อร์เฉิง “เป่ยโจว ซังโจวมีไฟสงครามไม่ว่างเว้น ซ้ำยังกำลังสูสี ทุกคราที่เปิดศึกแต่ละฝ่ายต่างมิมีผู้ใดได้เปรียบ ผู้ที่นั่งบนที่สูงยังไม่เท่าไร ที่ทุกข์เข็ญคือประชาชน เมื่อสถานการณ์ไม่สงบ ชีวิตและบ้านเรือนก็ยากจะรักษา ส่วนจี้โจวเป็นแคว้นที่กำลังกล้าแข็ง น้อยครั้งที่จะมีสงคราม อีกทั้งจัดการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากแคว้นต่างๆ อย่างเหมาะสม ฉะนั้นทุกคนจึงอยากไปที่นั่น”

“อ้อ” หานผู่พยักหน้าแล้วหันมามองไป๋เฟิงซี แต่กลับพบว่าสายตาของนางจับอยู่ที่บางสิ่งที่เบื้องหน้า

ในกลุ่มผู้ประสบภัยมีเด็กหญิงอายุราวหกเจ็ดขวบผู้หนึ่ง คิดว่าคงหิวเหลือประมาณจึงชี้แผงขายเซาปิ่ง ข้างทาง ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย มารดาผู้อ่อนล้าผอมซูบของนางปลอบโยนสารพัด แต่นางก็เอาแต่ร้องไม่หยุดกระทั่งมารดาจนใจ จำต้องอ้อนวอนขอให้เจ้าของแผงสงเคราะห์ แต่กลับถูกเจ้าของแผงผลักล้มลงกับพื้น

สายตาของผู้เฒ่าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เขามองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “มีคนเหล่านี้มาทุกวัน แผงเซาปิ่งนั่นหากให้ทานเปล่าๆ เขาเองก็มิต้องกินข้าวแล้ว เฮ้อ ความจริงประชาชนก็หวังเพียงให้ท้องอิ่มเท่านั้น หาได้เหลียวแลป้ายขั้วกาฬ ป้ายแกนกาฬใดๆ ไม่”

ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไปประคองสตรีที่อยู่บนพื้น ล้วงแผ่นเงินหนึ่งแผ่นในกระเป๋าแล้วยื่นให้นาง

“ขอบคุณแม่นาง! ขอบคุณแม่นาง!” นางแทบหลงนึกว่าได้พบกับเทพธิดา เอาแต่ขอบคุณไม่ขาดปาก

ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้ม ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจยิ้มให้สดใสได้ นางหันกลับมาจูงหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ พวกเราไปกันเถิด” นางเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้ายังคงสีฟ้าอยู่เช่นนั้น แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า ทว่ากลับมิอาจสาดแสงให้เกิดเป็นดินแดนอันสงบรุ่งเรืองได้

“หวังเพียงให้ท้องอิ่ม…หวังเพียงให้ท้องอิ่มเท่านั้น” นางพึมพำถอนใจ แฝงความอาดูรและแฝงแววเข้าใจ

บทที่ 9 สงครามมากปานใด ระทมไห้ปานนั้น

เมื่อใบไม้แห่งสารทฤดูร่วงจนหมดสิ้น ก็คือสายลมหนาวหวีดหวิว เหมันตฤดูมาเยือน

รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบห้า ปลายเดือนสิบเอ็ด อากาศเหน็บหนาว ผืนดินเป็นน้ำแข็ง ลมเย็นเสียดแทงกระดูก ทว่าบนทางหลวงจากเจี้ยนเฉิงไปก้งเฉิงยังคงมีราษฎรผู้สูญเสียบ้านเรือนจำนวนมากจับกลุ่มมุ่งลงใต้

พวกเขาฝืนต้านลมหนาว บ้างเท้าเปลือยเปล่าบ้างสวมรองเท้าฟาง เหยียบย่างไปบนทางซึ่งมีน้ำแข็งจับตัวบางๆ สามารถได้ยินเสียงร่ำไห้ของทารกน้อยในอ้อมอกที่บ้างเกิดจากความหิวโหย บ้างเกิดจากความเหน็บหนาว พวกเขาก้าวไปยังก้งเฉิงด้วยฝีเท้าซวนเซ บางคราก็แหงนหน้ามองไปยังขอบฟ้า ปรารถนาให้ดวงอาทิตย์เยี่ยมหน้าออกมาบ้างเพื่อให้อากาศอบอุ่นขึ้นสักเล็กน้อย หาไม่แล้วมิตายใต้คมหอกคมดาบและธนูปลิวว่อน ก็ต้องแข็งตายหรือหิวตายอยู่ข้างทาง

ที่ปลายสุดถนนหลวง ตำแหน่งที่คล้ายกับฟ้าและดินมาบรรจบกันนั้นมีเงาร่างคนผู้หนึ่งเดินมา ผู้ประสบภัยที่หิวจนท้องร้องโครกครากอดชะงักฝีเท้ามิได้ เมื่อเห็นเงาร่างสีขาวที่ไม่แปดเปื้อนแม้เศษธุลีนั้น คนทั้งปวงก็พากันนึกว่าตนหิวจนหน้ามืดตาลายแล้วเห็นภาพหลอน

อากาศเย็นชื้นมืดมัว แต่ใบหน้าคนผู้นั้นกลับประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นราวกับอาทิตย์แห่งวสันตฤดูในเดือนสาม มองแล้วชวนให้ความอ่อนล้า ความหิวโหย และความเหน็บหนาวรอบตัวลดลงไปได้

คนผู้นั้นเปิดห่อสัมภาระขนาดใหญ่ออกแล้วยื่นให้ผู้นำของเหล่าผู้ประสบภัย กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารขจายไปทั้งสี่ทิศทันที ยิ่งทำให้ผู้ประสบภัยที่ทั้งหิวทั้งหนาวจวนเจียนจะสิ้นความหวังรอดอยู่รอมร่อพลันเกิดความคิดว่า ‘คนผู้นี้คือเทพเซียนซึ่งสวรรค์ประทานมาช่วยเหลือพวกเรา’ ขึ้นมาในพริบตา

“ในนี้มีเซาปิ่งร้อนๆ จำนวนหนึ่ง พวกท่านแบ่งกันกินเถิด ให้กระเพาะได้อุ่น” เสียงของคนผู้นั้นใสสง่าอ่อนโยนและแฝงแววรันทดสงสาร

“ขอบพระคุณกงจื่อ! ขอบพระคุณกงจื่อเทวดา!” ผู้ประสบภัยพากันทรุดกายลงกราบกรานขอบคุณ

เซาปิ่งเหล่านี้สำหรับบางคนอาจเป็นสิ่งไม่มีค่าพอให้เหลือบแลสักครา ทว่าสำหรับพวกเขาในยามนี้กลับเป็นเสบียงช่วยชีวิต คนผู้นี้คือเทพเซียนที่สวรรค์ส่งมาช่วยพวกเขาโดยแท้ และก็มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่จะมีดวงหน้าหมดจดปราศจากธุลีแห่งโลกียะเช่นนี้ได้

“ไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าน้อยเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หาใช่เทพเซียนไม่” คนผู้นั้นโน้มเอวประคองผู้เฒ่าสองสามคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ไม่รังเกียจสักนิดที่ทั่วร่างของพวกเขามีแต่คราบสกปรกและดินทราย “ทุกคนลุกขึ้นเถิด รีบกินเซาปิ่งตอนที่ยังร้อนๆ ดีกว่า”

เหล่าผู้ประสบภัยลุกขึ้น พากันมองเขาด้วยความซาบซึ้งถึงหมื่นส่วน จากนั้นผู้ที่เป็นผู้นำก็แจกจ่ายเซาปิ่งในห่อออกไป ผู้ที่ได้เซาปิ่งแม้จะทั้งหนาวทั้งหิว ทว่ากลับไม่รีบร้อนยัดเข้าปาก แต่แบ่งให้เด็กน้อยในอ้อมอก ยื่นให้ผู้เฒ่าผู้แก่ข้างกาย ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็ฉีกออกเพียงนิดเดียว จากนั้นก็ยื่นกลับใส่มือบุตรธิดา

คนผู้นั้นมองอย่างเงียบงันอยู่ด้านข้าง แววอาดูรสังเวชในดวงตาเข้มขึ้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วหมุนกายจากไป

“กงจื่อโปรดรอก่อน!” ผู้นำของบรรดาผู้ประสบภัยรีบออกปากเหนี่ยวรั้ง

คนผู้นั้นชะงักฝีเท้า

ผู้นำของผู้ประสบภัยก้มศีรษะถามอย่างนอบน้อม “มิทราบท่านมีแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ว่าอันใด”

คนผู้นั้นนิ่งเงียบ

ผู้นำของผู้ประสบภัยเอ่ยต่อว่า “วันนี้ได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากกงจื่อ ข้าไร้สิ่งใดตอบแทน ขอเพียงให้กงจื่อแจ้งชื่อแซ่ พวกข้าจะจดจารไว้ในใจ จะได้อธิษฐานเช้าค่ำขอให้ท่านมีความผาสุก เป็นการทดแทนคุณอันยิ่งใหญ่”

คนผู้นั้นถอนใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “พี่ชายท่านนี้ อย่าได้ทำเช่นนี้เลย ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

อีกฝ่ายกลับวิงวอนเป็นคำรบที่สาม “ขอกงจื่อโปรดแจ้งแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ด้วยเถิด”

คนผู้นั้นกวาดตามอง เห็นคนทั้งหลายล้วนแต่มองมาทางเขา สุดท้ายจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าน้อยอวี้อู๋หยวน”

“อา!” พริบตานั้นผู้นำของเหล่าผู้ประสบภัยก็ตาเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความแตกตื่นยินดี “ที่แท้เป็นอวี้กงจื่อ!”

บรรดาผู้ประสบภัยได้ยินก็พากันล้อมเข้ามาทักทาย ทุกผู้ทุกนามล้วนมีความปรีดาและซาบซึ้งเต็มอก แม้จะมีเสียงเล่าลืออยู่ทั่วทุกหนแห่งเกี่ยวกับกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้มีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือผู้คนมากมายสุดจะนับ แต่พวกเขากลับไม่นึกฝันว่าวันนี้จะโชคดีได้พบ

กับความยินดีของผู้คน อวี้อู๋หยวนเพียงยิ้มจางๆ เอ่ยว่า “ด้านหน้าห่างจากจี้โจวไม่ไกลเท่าใดแล้ว เข้าเมืองแล้วไปถามหากองดูแลผู้ลี้ภัย ที่นั่นจะดูแลจัดหาที่พักให้พวกท่านอย่างเหมาะสม พวกท่านกินเสร็จแล้วจงเร่งเดินทาง อากาศหนาวเย็นนัก คนแก่กับเด็กจะทนไม่ไหว”

“ขอบพระคุณกงจื่อที่แนะนำ” ผู้นำของผู้ประสบภัยพยักหน้าไม่หยุดก่อนจะเอ่ยต่อ “กงจื่อจะเดินทางขึ้นเหนือหรือขอรับ ที่นั่นกำลังทำศึกกันอยู่ ท่านอย่าไปเลยจะดีกว่า”

“ข้าน้อยรู้” อวี้อู๋หยวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าน้อยมีธุระต้องขอลาไปก่อน ทุกท่านรักษาตัวด้วย” กล่าวจบเขาก็ประสานมือแล้วหมุนร่างจากไป

“กงจื่อโปรดระวังตัวด้วย!” ผู้นำของผู้ประสบภัยตะโกนบอกเงาร่างที่จากไปนั้น

อวี้อู๋หยวนโบกมือโดยไม่หันกลับมามอง สาวเท้าต่อไป

เมื่อมองจนเงาร่างของเขาลับสายตาไปแล้ว ผู้นำของผู้ประสบภัยถึงแบ่งอาหารในมือให้ชาวบ้านต่อ ทว่าเมื่อแบ่งเสร็จถึงพบว่าก้นห่อสัมภาระมีถุงแพรถุงหนึ่งวางอยู่ พอเปิดออกก็พบว่าเป็นแผ่นทองทั้งถุง นับดูแล้วมีถึงห้าสิบกว่าแผ่น เงินจำนวนนี้มากพอให้พวกเขาไปถึงจี้โจว ซ้ำยังเหลือจำนวนหนึ่งให้พวกเขาตั้งรกรากที่นั่นได้อีกด้วย

ยามนั้นทุกคนล้วนแต่คุกเข่าไปทางทิศที่ร่างของอวี้อู๋หยวนหายลับไป ต่างแสดงความขอบคุณแก่ผู้มีพระคุณของพวกเขาด้วยธรรมเนียมที่จริงใจและเรียบง่ายที่สุดที่ตนรู้ แม้คนจะลับไปแล้ว แม้คนผู้นั้นอาจไม่ได้ยิน ทว่าพวกเขายังคงต้องกล่าวว่า… “ขอบพระคุณในบุญคุณใหญ่หลวงของอวี้กงจื่อ!”

เสียงนั้นกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ระหว่างฟ้าและดิน

 

ระหว่างอูเฉิงของเป่ยโจวและเจี้ยนเฉิงของซังโจวมีทุ่งรกร้างยาวสิบลี้กั้นกลาง เดิมทีไร้ร่องรอยผู้คน ทว่าบัดนี้กลางทุ่งร้างกลับมีธงโบกสะบัด หมื่นอาชาแผดเสียง จิตสังหารคุกรุ่น

ตั้งแต่ต้นเดือนสิบ นับแต่ทัพหน้าของซังโจวบุกตีอูเฉิงเป็นครั้งแรก ทหารของทั้งสองแคว้นก็ปะทะกันหลายหน ผลัดกันแพ้ชนะ และผลของการผลัดกันแพ้ชนะนี้ก็คืออูเฉิงของเป่ยโจวและเจี้ยนเฉิงของซังโจวแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง บัดนี้เนื่องจากทั่วป๋าหงแม่ทัพใหญ่แห่งซังโจวกรีธาทัพใหญ่มาเสริม ซังโจวจึงได้เปรียบเล็กน้อย ทำให้ทหารเป่ยโจวถอยออกจากเจี้ยนเฉิง ส่วนทหารซังโจวก็บีบเข้าใกล้อูเฉิง

เวลาเย็นบนทุ่งร้างเสียงกลองศึกกระหึ่มกึกก้อง ทหารนับหมื่นแผดเสียงร้อง ดาบทวนฟาดฟัน หมู่ธงบังดวงตะวัน ทัพใหญ่แห่งซังโจวบุกเข้าโจมตีอีกครั้ง บีบประชิดอูเฉิงทั้งสามด้าน ตั้งมั่นจะตีเมืองให้แตกในคราเดียว

ด้วยทหารซังโจวหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาดสาย ทหารเป่ยโจวในอูเฉิงจึงยกก้อนศิลาและท่อนซุงเตรียมกลิ้งจากที่สูงมากระแทกข้าศึก น้าวคันเกาทัณฑ์ยาว รวบรวมสมาธิรอคอยอย่างเงียบเชียบ

หนึ่งร้อยจั้ง…แปดสิบจั้ง…ห้าสิบจั้ง…

ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นตามส่วน แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่กุมธงสัญญาณ จวนจะเข้าปะทะกันเต็มที

 

“รถศึกครืนครานคลา             อัศวาโหยหวนไห้

ผู้จรจากลาไกล                         เหน็บเอวไว้ซึ่งคันกง”

 

ทันใดนั้นเสียงขับขานเสียงหนึ่งก็กังวานขึ้นเหนือทุ่งรกร้าง ถึงกับทะลวงผ่านจิตสังหารอันพลุ่งพล่านขึ้นไปอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ

 

“บิดรแลมารดา                         บุตรภรรยาร่วมมาส่ง

เสียนหยางฟุ้งฝุ่นผง                   สะพาน* หม่นดินบังตา

กระทืบธรณี                               พร่ำโศกียื้อภูษา

ยินถึงชั้นเมฆา                            เสียงเพรียกหาเปี่ยมจาบัลย์

ผู้ผ่านข้างมรรคา                        ขอปุจฉาผู้โรมรัน

ตอบเพียงไพร่สามัญ                 ถูกเกณฑ์ต้อนเป็นอาจิณ

ขึ้นเหนือเมื่อสิบห้า                   ปกธาราจากไพริน

สี่สิบเกณฑ์ไม่สิ้น                      มุ่งปัจฉิมถางพงไพร

แรกไปไม่ประสา                      หลี่เจิ้งมารวบจุกให้

คืนถิ่นผมเงินใย                          ยังเกณฑ์ไปเฝ้าสีมา

เลือดนองเป็นอรรณพ              ชีวาจบนอกพารา

หาสิ้นเจตนา                               ขยายด้าวแห่งภูมี

ฤๅท่านไม่ยลได้                        แดนชิงไห่ล้วนกลี

แต่บรรพ์ทำยุทธี                        กระดูกขาวไร้ผู้เก็บ!

ผีใหม่ร้องคร่ำครวญ                ผีเก่าล้วนร่ำว่าเจ็บ

ฟ้าหม่นฝนหนาวเหน็บ            เนืองนองไห้หวนอาลัย”

 

เสียงขับขานนั้นกลัดกลุ้มโศกเศร้า แม้บนทุ่งร้างจะมีทหารและอาชาศึกนับหลายหมื่น ทว่าทุกผู้ทุกคนต่างก็ได้ยิน เมื่อสดับแล้วจิตใจก็ไหวคลอน

ยามนั้นแม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายพากันลืมโบกธงสัญญาณโดยไม่รู้ตัว มือเกาทัณฑ์ผ่อนแรงที่น้าวสายลง มือดาบมือทวนก็วางดาบและทวนลง มิมีผู้ใดไม่คิดถึงบิดามารดาภรรยาและบุตรที่บ้าน กะทันหันหัวใจก็โศกสลด ไหนเลยจะยังเหลือแววคมปลาบไว้ประหัตประหารปัจจามิตร

“เป่ยโจว ซังโจว ล้วนแต่ขึ้นต่อฮ่องเต้ ไฉนต้องฆ่าฟันกันเองด้วย” เสียงซึ่งเบายิ่งกว่าสายลม จางยิ่งกว่าเมฆกังวานขึ้นบนทุ่ง

“ผู้ใดกัน” ขุนพลเป่ยโจวผู้เฝ้าป้องกันอูเฉิงกระโดดขึ้นบนหอสังเกตการณ์เหนือกำแพงเมืองแล้วส่งเสียงตวาด

“ข้าน้อยอวี้อู๋หยวน” เสียงอันนุ่มนวลดังขึ้น ประหนึ่งเจ้าของเสียงอยู่แค่ตรงหน้า

“อวี้กงจื่อ?”

“เป็นอวี้อู๋หยวนกงจื่อ?”

ทหารนับหมื่นฟังแล้วส่งเสียงฮือฮา ทุกคนมิมีผู้ใดไม่ยืดคอมองหา กระทั่งแม่ทัพแห่งแคว้นทั้งสองก็ทอดสายตากวาดมองเช่นกัน ด้วยประสงค์จะยลโฉมกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้าสักครา

“ข้าน้อยฟังมาว่าที่ทั้งสองแคว้นเปิดศึกกันก็มีเหตุมาจากป้ายขั้วกาฬ” เสียงนุ่มนวลบางเบานั้นดังขึ้นอีกคำรบ

ครั้งนี้กองทัพนับพันหมื่นมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าบนเนินเขาทางตะวันตกที่ห่างออกไปหลายสิบจั้งมีร่างสีขาวร่างหนึ่งยืนอยู่ แม้จะมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด ทว่าอาภรณ์พลิ้วไหวนั้นประหนึ่งเซียนที่จะเหยียบสายลมคืนสู่แดนฟ้าไป

“ข้าน้อยมาคราวนี้เพื่อแจ้งให้เหล่าทหารกล้าทุกท่านทราบว่าป้ายขั้วกาฬตกเป็นของซื่อจื่อแห่งจี้โจวแล้ว” วาจานุ่มนวลเรียบละไมของอวี้อู๋หยวนลอยพลิ้วมาอีกครา แต่พริบตานั้นกลับเป็นดั่งศิลายักษ์ร่วงสู่ทะเลสาบ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นนับพันชั้น ทำให้หมู่ทหารหวั่นไหว “ในเมื่อสาเหตุที่ใช้เปิดศึกไม่เหลืออยู่แล้ว เหตุใดทหารของทั้งสองแคว้นจึงไม่ยั้งศาสตราวุธไว้ ดังนั้นก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความร้าวระทมที่ ‘ยินถึงชั้นเมฆา เสียงเพรียกหาเปี่ยมจาบัลย์’ ของคนในครอบครัวได้ด้วยมิใช่หรือ”

จังหวะที่ทหารนับหมื่นหวั่นไหวอยู่นั้น น้ำเสียงนุ่มนวลของอวี้อู๋หยวนก็ดังเข้าสู่โสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นก็เห็นว่าร่างสีขาวที่อยู่ไกลออกไปไหววูบ ในพริบตาก็หายไปไม่เหลือร่องรอย ทิ้งไว้เพียงเสียงขับขานอันอ้อยอิ่ง

 

“ฤๅท่านไม่ยลได้                      แดนชิงไห่ล้วนกลี

แต่บรรพ์ทำยุทธี                        กระดูกขาวไร้ผู้เก็บ!

ผีใหม่ร้องคร่ำครวญ                ผีเก่าล้วนร่ำว่าเจ็บ

ฟ้าหม่นฝนหนาวเหน็บ            เนืองนองไห้หวนอาลัย”

 

ทันใดนั้นทุ่งร้างก็ไร้สรรพสำเนียง นอกจากเสียงอาชาเป็นครั้งคราว ทั่วทั้งฟ้าดินก็นิ่งสงัด มีเพียงเสียงทอดถอนใจอันเศร้าสังเวชนั้นที่ยังลอยวนเวียนไม่จางหาย

 

“อ้า อิ่มเหลือเกิน! ไม่ได้กินมื้อใหญ่เช่นนี้มานานแล้ว!”

หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในไท่เฉิง ไป๋เฟิงซีและหานผู่เดินลูบหนังท้องออกมา

“พี่สาว ท่านยังเหลือแผ่นเงินอีกเท่าไร กินมื้อนี้แล้วมื้อหน้าต้องเว้นอีกสิบวันครึ่งเดือนหรือไม่” หานผู่เหล่มองกระเป๋าเงินของนางแล้วถามขึ้น

“เอิ๊ก” ไป๋เฟิงซีอิ่มเต็มที่จนเรอออกมา นางโบกไม้โบกมือ “วางใจเถิด ผู่เอ๋อร์ ครั้งนี้ข้าชนะมาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแผ่นเงิน พอให้พวกเราใช้ไปอีกสามเดือนห้าเดือนเชียวล่ะ”

“ท่านชนะคราหนึ่งได้เงินมากมายขนาดนี้เชียวหรือ” หานผู่เดาะลิ้น จากนั้นก็รีบดึงแขนเสื้อไป๋เฟิงซีไว้แล้วลากนางกลับไปทางเดิม “ในเมื่อฝีมือพนันของท่านฉกาจฉกรรจ์นัก เหตุใดไม่ชนะให้มากอีกหน่อยเล่า ไป ไปพนันกันอีกสักรอบ อย่างน้อยก็ชนะให้ได้เงินพอใช้ไปอีกสักปีสองปีซี”

“ผู่เอ๋อร์…” ไป๋เฟิงซีลากเสียงยาวเรียกเขา

“อะไรหรือ” หานผู่หันหน้ากลับมา

“ทึ่มนัก!” ไป๋เฟิงซียื่นมือเขกศีรษะเขาหนักๆ “หรือท่านพ่อเจ้าไม่เคยบอกว่าคนเราต้องรู้จักพอ ผู้รู้จักพอจะมีสุขยืนยาว ผู้ละโมบจะพบเคราะห์กะทันหัน! เข้าใจหรือไม่ ต้องรู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะ”

“โอ๊ย” หานผู่ปล่อยนางแล้วกุมศีรษะไว้ ครั้งนี้นางเขกหนักจริงๆ ทำเอาหน้าผากของเขาปวดร้อนไม่น้อย

“ว่าแต่…” ไป๋เฟิงซีมือเท้าคาง พิจารณาหานผู่ “ตาเฒ่าหานนั่นโลภในทรัพย์ถึงสิบส่วน เจ้าสืบสันดานเขามาก็เป็นที่เข้าใจได้ เพียงแต่ว่า…” มือยื่นออก ตบลงบนศีรษะหานผู่อีกครั้ง “ต่อไปอยู่ข้างกายข้า เชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับความนับถือจากผู้คนและจนถึงขนาดว่าในแขนเสื้อทั้งสองมีแต่ลม”

“อย่าตบหัวข้าซี” หานผู่ยุดมือนางไว้พร้อมขมวดคิ้วมุ่นมองนาง “ข้าเจ็บมากนะ”

“ก็ได้” ไป๋เฟิงซีไม่ตบอีก เปลี่ยนเป็นลูบหน้าผากเขาแทน “เพื่อชดเชยให้สองโป๊กนี้ของเจ้า ข้าจะพาเจ้าไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นค่อยเลยไปซื้อรถม้าสักคัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เดินตามถนนตากลมเปียกฝน แม่นางอย่างข้าทนไม่ไหว”

เมื่อได้ฟังวาจาไป๋เฟิงซี มือหานผู่ที่ยุดนางไว้ก็ผ่อนลง ทว่าไม่ได้ปล่อยออก เพียงแต่จ้องมองนางนิ่งๆ

“ไปได้แล้ว ไปหาซื้อชุดใหม่ให้เจ้า” ไป๋เฟิงซีจูงมือเขาไว้ หมุนร่างหาร้านเสื้อผ้า “ผู่เอ๋อร์ เจ้าชอบเสื้อผ้าสีอะไร ข้าขอบอกให้ชัดก่อนนะว่าห้ามเจ้าเลือกผ้าดิ้นเสื้อคลุมแพรที่แพงแทบตายพวกนั้น ทนๆ หน่อย ขอเพียงให้ความอบอุ่นได้และพอดีตัวก็พอแล้ว อืม ส่วนเรื่องสี มิสู้สวมสีขาวเป็นอย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นน้องชายข้าแล้วก็ย่อมต้องสวมสีเดียวกับข้า ข้าคือไป๋เฟิงซี (เฟิงซีขาว) วันหน้าเจ้าก็เป็นไป๋หานผู่ (หานผู่ขาว) เป็นอย่างไร ผู่เอ๋อร์…”

นางพล่ามอยู่ครึ่งค่อนวัน กลับพบว่าผู้ที่อยู่ข้างกายไม่ส่งเสียงสักคำ จึงอดผินหน้าไปมองมิได้ เห็นหานผู่ก้มหน้างุด สาวเท้าตามนางอย่างเงียบงัน มือที่นางจูงอยู่ถึงขนาดสั่นเล็กน้อย

“ผู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดไม่จาเล่า” ไป๋เฟิงซีอดหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ “หรือไม่พอใจที่ข้าไม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ ข้าจะบอกให้นะ ข้าน่ะ…” คำพูดของนางชะงักเพราะเห็นหานผู่เงยหน้ามองนาง ดวงหน้าเล็กจ้อยอันหมดจดคมคายเต็มไปด้วยน้ำตา นางลนลานขึ้นมากะทันหัน “ผู่เอ๋อร์ เจ้า…เป็นอะไรไป หรือเมื่อกี้ข้าเขกเจ้าแรงเกินไป”

“พี่สาว” หานผู่โถมร่างเข้าสู่อ้อมอกไป๋เฟิงซีแล้วกอดนางไว้ ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก็แนบอยู่บนอ้อมอกนาง “พี่สาว…พี่สาว…ข้ารู้…ข้ารู้ทุกอย่าง”

เขาเกิดในสกุลชาวยุทธ์ ย่อมรู้ว่าหากเป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงถึงขั้นหนึ่งแล้วจะไม่เกรงกลัวอากาศร้อนหนาว และว่าด้วยวรยุทธ์ของไป๋เฟิงซี ต่อให้อยู่ในที่ซึ่งฟ้าเป็นน้ำแข็งพื้นเป็นหิมะ นางก็จะไม่รู้สึกหนาว ดังนั้นทั้งหมดล้วนแต่เพื่อเขา กล่าวได้ว่าหากไม่ต้องการจะซื้อชุดใหม่ต้านลมหนาว รถม้ากั้นลมบังฝน ไป๋เฟิงซีก็ไม่ต้องไปเล่นพนันเอาเงิน หากนางยินดีพนัน ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาก็คงไม่กินกลางลมนอนกลางแจ้งเช่นนั้น ที่ไปชนะเงินพนันเอาจากคนเหล่านั้น คิดดูแล้วนางคงไม่ใคร่จะยินดีนัก

ความจริงนางจะไม่เหลียวแลเขาเลยก็ยังได้ พวกเขามิใช่ญาติมิใช่สหาย ความเกี่ยวพันเพียงอย่างเดียวก็คือสูตรโอสถนั่น แต่ถึงแม้สูตรโอสถจะล้ำค่า ขณะเดียวกันก็อันตรายยิ่ง หากเรื่องรู้ไปถึงผู้อื่นว่าอยู่กับนาง จะต้องดึงดูดให้คนทั่วหล้ามาแย่งชิง อาจมีภัยถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ทว่านางก็ยังรับเขาเอาไว้ ไม่เคยมีคำโอดครวญสักนิด ตลอดทางที่คอยกลั่นแกล้งรังแกก็มีความรักใคร่เอ็นดูอยู่ในนั้นด้วย

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกผู้ชายแต่กลับอ่อนไหวละเอียดลออเยี่ยงนี้ มิรู้จริงๆ ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อเจ้าในวันหน้า” ไป๋เฟิงซีใจอ่อนยวบ ตบหลังคนในอ้อมอกเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง

“พี่สาว ภายหน้าผู่เอ๋อร์จะดูแลท่าน ดูแลท่านชั่วชีวิต” หานผู่มอบคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจริงจัง แต่กลับไม่รู้ว่าคำสัญญาของเขานั้นเป็นเรื่องหนักหนาเพียงใด

“ได้ เราไปซื้อเสื้อผ้ากันก่อนเถิด” ไป๋เฟิงซีเชิดหน้าหานผู่ขึ้นแล้วเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าเขา “ดูสิ เจ้าเป็นลูกผู้ชาย แต่วันเดียวร้องไห้ถึงสองรอบ อายบ้างหรือไม่”

หานผู่หน้าแดง ซุกหน้าเข้ากับอกนางอีกครั้ง เขาชอบอ้อมกอดนี้ เพราะมันทั้งอุ่นทั้งหอม ยามที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดนี้แล้วคล้ายกับโลกทั้งใบล้วนแปรเปลี่ยนไป ร่มเย็นและสุขสงบ

หลายปีให้หลังจะมี ‘จอมยุทธ์เงาหมอก’ ผู้นิยมอาภรณ์ขาว ชมชอบร่ายกวี พิสมัยการรำกระบี่ ผู้ก่อตั้งพรรคเฟิงอู้ (วายุหมอก)…หานผู่ ทว่ายามนี้เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยขี้แย หน้าแดงง่าย ชอบออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกพี่สาวเท่านั้น

“ไปได้แล้ว” ไป๋เฟิงซีจูงเขาเดินต่อ

นางเดินผ่านถนน ไม่ได้ตรงไปหาร้านเสื้อผ้าทันที ทว่าเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ค่อนข้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ท้ายตรอกเป็นบ้านร้าง มีประตูสีแดงสูงใหญ่ที่ลอกล่อนแล้ว ชายคามีหยากไย่หนาแน่น สิงโตหน้าประตูตัวหนึ่งล้มอยู่บนพื้น ตัวหนึ่งยังคงเฝ้าอารักขาหน้าประตู แค่ว่าฝุ่นดินใบไม้แห้งร่วงใส่เต็มร่าง

ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไป โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง กวาดฝุ่นดินบนสิงโตศิลาตัวที่ยังยืนอยู่ออก แล้วสะกิดปลายเท้าพาหานผู่เหินร่างไปอยู่บนสิงโตศิลา จากนั้นก็นั่งลง

ทั้งสองนั่งอยู่บนสิงโตศิลา ดูประหนึ่งภาพวาดโบราณอันหดหู่และเหลืองคร่ำคร่าที่เพิ่มคนมีเลือดมีเนื้อเข้าไปสองคน ดูแปลกแยกอย่างยิ่ง

“พี่สาว พวกเราจะไปซื้อเสื้อผ้ามิใช่หรือ ไฉนมาอยู่ที่นี่เล่า” หานผู่รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นนางชี้แจงสาเหตุที่มานั่งที่นี่ จึงได้แต่ถามเอาเอง

“รอคน” ไป๋เฟิงซีห้อยขาเรียวยาวลงกวัดแกว่งไปมา

“รอผู้ใดกัน” หานผู่ก็ลอกอย่างนาง แกว่งขาทั้งสองไปมา

“รอผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจสะกดรอยตามข้า” ไป๋เฟิงซีหรี่ตาลง “หากเขายังไม่ปรากฏตัวอีก อย่าได้โทษที่ข้าไม่เกรงใจ”

สิ้นกระแสความร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากเงาในมุมมืดทันที เขาก้มศีรษะคุกเข่า กล่าวด้วยเสียงนบนอบว่า “คารวะจอมยุทธ์หญิงเฟิง”

“ข้าหาใช่ผู้อาวุโสของท่านและหาใช่ขุนนางใหญ่ อย่าเอะอะอะไรก็คุกเข่าให้ข้า” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคนผู้นั้นพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า

คนผู้นั้นลุกขึ้น เงยหน้ามองนาง “แม่นางเฟิงยังจำข้าได้หรือไม่”

ไป๋เฟิงซีมองเขา ครู่หนึ่งให้หลังก็พยักหน้า “ที่แท้เป็นท่านหรอกหรือ หลายปีมานี้สบายดีหรือไม่”

คนผู้นั้นเป็นบุรุษอายุราวสามสิบสี่สามสิบห้า ร่างสูงใหญ่กำยำ คิ้วหนาตาโต เดิมทีห้าวหาญถึงสิบส่วน ทว่าบนใบหน้ามีรอยแผลกรีดยาวจากสันจมูกไปถึงคางด้านขวา ส่งผลให้ใบหน้านั้นอัปลักษณ์ชวนพรั่นพรึง

“แม่นางเฟิงจำข้าได้?” บุรุษร่างใหญ่เห็นนางยังจำเขาได้ก็อดแตกตื่นยินดีเป็นล้นพ้นไม่ได้

“ความจำข้ายังไม่แย่นัก” ไป๋เฟิงซีแย้มยิ้ม “เหยียนจิ่วไท่ หัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋น บุคคลผู้ชื่อเสียงเกรียงไกรในยุทธภพเมื่อหกปีก่อน ไฉนเลยข้าจะจำไม่ได้”

“พี่สาว สามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นคือที่เมื่อหกปีก่อนถูกท่านเหยียบราบคาบนั่นใช่หรือไม่” หานผู่ที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วสอดขึ้นทันที วีรกรรมของไป๋เฟิงเฮยซีในยุทธภพนั้นเขาถ่องแท้ประหนึ่งรู้จักนิ้วและฝ่ามือของตน

ฝ่ามือไป๋เฟิงซีตบเข้าศีรษะหานผู่ “ผู้ใหญ่คุยกัน ผีน้อยหุบปาก”

“ข้าไม่ใช่ผีน้อย อีกไม่นานข้าก็จะสูงกว่าท่าน” หานผู่ยืดอก

เหยียนจิ่วไท่กลับแย้มยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่ถือสาคำที่หานผู่เอ่ย

“หัวหน้าค่ายเหยียน ท่านสะกดรอยจากโรงบ่อนเบี้ยมาถึงที่นี่มีธุระสำคัญอันใด คิดจะมาล้างแค้นเรื่องเมื่อหกปีก่อนกระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีหันหน้าไปถามเหยียนจิ่วไท่

“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด” เหยียนจิ่วไท่รีบส่ายศีรษะ “ใบหน้าท่วงท่าของแม่นางยังคงเหมือนเดิม ทันทีที่ก้าวเข้าสู่โรงบ่อนเบี้ยก็เป็นจุดสนใจ จิ่วไท่จึงตามมาถึงที่นี่ และหาใช่ต้องการล้างแค้น เพียงปรารถนาจะตอบแทนคุณที่ไว้ชีวิตเมื่อหกปีก่อน”

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะใคร่ครวญ จากนั้นถึงยิ้มอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่ท่านก็เป็นผู้เปิดนี่เอง มิน่าเล่าจึงถูกท่านพบเข้า”

“ขอรับ หกปีก่อนข้าพาพี่น้องจำนวนหนึ่งมาตั้งรกรากที่ไท่เฉิงแห่งนี้ ผู้มีพื้นเพเป็นโจรปล้นชิงเยี่ยงพวกเราทำการใหญ่อะไรมิได้ จึงได้แต่เปิดอะไรจำพวกโรงบ่อนเบี้ย โรงรับจำนำ ในเมืองนี้ที่ใดที่มีอักษรจิ่วไท่ล้วนแต่เป็นของพี่น้องเรา” เหยียนจิ่วไท่กล่าว

“นั่นก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง” ไป๋เฟิงซียิ้ม “รอยบากบนใบหน้านี้ข้าเป็นผู้ทิ้งไว้ ชีวิตท่านข้าก็เป็นผู้เหลือไว้ ก็หักล้างกันไป มิต้องเอ่ยเรื่องล้างแค้นและมิต้องเอ่ยเรื่องแทนคุณ”

“ไม่” เหยียนจิ่วไท่กลับส่ายหน้า “บาดแผลนี้ข้าหาเรื่องเอง แต่บุญคุณที่ไว้ชีวิตกลับมิอาจไม่ตอบแทน หาไม่แล้วชั่วชีวิตข้ายากจะสงบสุข”

“อ้อ? ท่านคิดจะแทนคุณเช่นไรเล่า” ไป๋เฟิงซีถาม นัยน์ตาเริ่มกลอกกลิ้งไปมา

หานผู่มองแล้วอดกังวลแทนเหยียนจิ่วไท่ผู้นั้นมิได้ เกรงแต่ว่าบุญคุณนี้เขาจะตอบแทนไม่ได้โดยง่าย

“ข้ายินดีติดตามข้างกายท่าน เป็นทาสเป็นบ่าว ใช้กำลังกายตอบแทนเยี่ยงสุนัขและม้า” เหยียนจิ่วไท่ทรุดกายลงคุกเข่าบนพื้นอีกครั้ง

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีตาเป็นประกาย มือซ้ายเท้าคาง ปลายนิ้วเคาะพวงแก้มเป็นจังหวะ “เดิมทีข้ายังนึกว่าท่านคิดจะมอบของจำพวกทรัพย์สินเงินทองให้ข้าเสียอีก ต้องรู้ไว้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ฐานะยากจนนัก ผู้ใดเลยจะรู้ว่าท่านจะตอบแทนแค่นี้เอง”

หานผู่ฟังแล้วก็ลอบร้องในใจทันทีว่า ‘ว่าแล้วเชียว’ เห็นทีหากเหยียนจิ่วไท่ไม่ตอบแทนจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ส่งเทพองค์นี้ไปไม่พ้นเสียแล้ว

“หือ?” เหยียนจิ่วไท่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาล้วงสัญลักษณ์รูปเสือสีเงินชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “ท่านสามารถนำสิ่งนี้ไปเบิกเงินทองจากโรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่หรือโรงรับจำนำจิ่วไท่สาขาใดก็ได้ในซังโจว”

“สาขาใดก็ได้ในซังโจว?” ไป๋เฟิงซีชักจะสนใจ “ดูท่าหลายปีมานี้กิจการท่านไปได้ไม่เลวทีเดียว ทั่วทั้งซังโจวล้วนแต่มีกิจการของท่านสินะ”

“พอไปได้ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่เอ่ย ในน้ำเสียงกลับมีความกระปรี้กระเปร่าและภาคภูมิใจที่ยากจะเก็บซ่อน “ด้วยคำสั่งสอนของท่าน หลายปีมานี้ข้าร่วมกับพี่น้องเปิดสาขาในซังโจวได้หลายสิบแห่งแล้ว”

“อา!” ไป๋เฟิงซีเดาะลิ้น “แล้วตอนนี้ท่านคิดจะยกกิจการทั้งหมดนี้ให้ข้า?”

ทันทีที่วาจานี้หลุดออกไป หานผู่ก็ลอบร้องในใจว่าโหดเหี้ยมนัก ถึงกับคิดจะฮุบสมบัติทั้งหมดของผู้อื่น คาดว่าเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้ต้องตกใจจนเผ่นหนีไปเสียแล้ว

“ขอเพียงท่านต้องการ ก็สามารถมอบให้ได้ทั้งหมด” ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเหยียนจิ่วไท่จะตกปากรับคำในทันที จะลังเลสักนิดก็หามีไม่

“หืม?” คราวนี้ถึงเป็นทีไป๋เฟิงซีตกตะลึงบ้าง เดิมนางนึกว่าเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้คงจะมอบเงินทองให้นางจำนวนหนึ่งเพื่อขอบคุณที่นางไว้ชีวิต ที่อ้าปากกว้างเป็นสิงโต ขอทรัพย์สินมากมายก็เจตนาเพียงจะไล่เขาไปเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่า…

“ขอท่านโปรดรับปากจิ่วไท่ ให้จิ่วไท่ปรนนิบัติข้างกายด้วย” เหยียนจิ่วไท่คล้ายกับคิดคุกเข่ายาว ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นสักนิด

“พี่สาว ท่านไว้ชีวิตเขาอย่างไรกันแน่” หานผู่มองไป๋เฟิงซีด้วยความข้องใจ อยากรู้ว่านางทำสิ่งใดไปจึงทำให้ผู้อื่นยอมมอบทรัพย์สินให้ชนิดเทหมดถุงเช่นนี้

“เหยียนจิ่วไท่ ท่านใจถึงนัก แต่สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนไม่ต้องการ เมื่อครู่เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีกระโดดลงจากสิงโตศิลาแล้วประคองเหยียนจิ่วไท่บนพื้นให้ลุกขึ้น “ในเมื่อหลายปีมานี้ท่านกับพี่น้องก่อร่างสร้างกิจการได้ เช่นนั้นก็รักษาไว้ให้แข็งแรง ใช้ชีวิตของพวกท่านให้ดี ข้าไปไหนมาไหนเพียงลำพังจนชินแล้ว ไม่คุ้นเคยและไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปรนนิบัติ”

“แม่นางเฟิง ก่อนมาข้าสั่งพี่น้องไว้หมดแล้ว หลังข้าไปกิจการเหล่านี้ให้พวกเขาดูแล” เหยียนจิ่วไท่ลุกขึ้น มองไป๋เฟิงซีอย่างกระตือรือร้น “ยิ่งกว่านั้นจิ่วไท่ตัวคนเดียว ไม่มีภาระทางบ้าน ตั้งแต่หกปีก่อนข้าก็สาบานว่าจะรับใช้ท่านชั่วชีวิตเพื่อทดแทนบุญคุณยิ่งใหญ่ ทว่าตลอดมาก็หาท่านไม่พบ วันนี้เมื่อพบแล้วจิ่วไท่ย่อมต้องติดตามจนถึงที่สุด”

“สวรรค์ ถึงกับเตรียมการพรักพร้อมก่อนมา” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจ จากนั้นถึงกวักมือไปข้างหลังโดยไม่หันหน้ากลับ

หานผู่เห็นก็รีบกระโดดลงมา

ไป๋เฟิงซียื่นมือได้ก็รวบเขาไว้ สำแดงท่าร่างโฉบผ่านเหยียนจิ่วไท่ไปอย่างเร็วรี่ ทางหนึ่งก็หนีทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เหยียนจิ่วไท่ ท่านกลับไปเสียก็ถือว่าตอบแทนข้าแล้ว”

“แม่นางเฟิง ท่านรอก่อน” เหยียนจิ่วไท่เห็นดังนั้นก็สาวเท้ากวดตามทันที

บนถนนผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ทว่าไป๋เฟิงซีจูงหานผู่เหินร่างผ่านไปราวกับใต้เท้าติดกงล้อวายุเพลิง แต่เหยียนจิ่วไท่นั้นกาลก่อนเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋น วรยุทธ์ย่อมเก่งกาจมิใช่ชั่ว ฝีเท้าก็แข็งแรงว่องไวดุจเหาะเหิน ตามอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงหนึ่งจั้ง

วิ่งผ่านถนนเก้าสาย ผ่านทางเลี้ยวสิบหกแห่ง กระโดดข้ามกำแพงสามสิบสองแห่ง แต่พอเหลียวศีรษะกลับไปดู เหยียนจิ่วไท่ก็ยังคงตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ยอมถอดใจ ในที่สุดไป๋เฟิงซีก็ถอนใจแล้วหยุดฝีเท้าลง

“หากข้าหนีไปเรื่อยๆ ท่านก็จะไล่ตามไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่” ในตรอกเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ไป๋เฟิงซีปล่อยหานผู่ลง ทรุดนั่งกับพื้น หันหน้ากลับไปถามเหยียนจิ่วไท่อย่างจนใจ

“ชะ…ใช่…” เหยียนจิ่วไท่หอบ “ข้าบอกแล้วว่าจะปรนนิบัติท่านชั่วชีวิต”

“ข้ากลัวท่านแล้ว” ไป๋เฟิงซีโบกมือ มองหานผู่แล้วมองเหยียนจิ่วไท่อีกครา ใคร่ครวญอย่างหนักอยู่เป็นครู่ จากนั้นถึงพยักศีรษะเอ่ยว่า “ก็ได้ ข้าให้ท่านติดตาม”

“จริงหรือขอรับ” เหยียนจิ่วไท่ได้ยินคำนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้านางทันที มือทั้งสองยกมือทั้งคู่ของไป๋เฟิงซีขึ้นแตะที่หน้าผากเบาๆ “นับแต่นี้ไปจิ่วไท่จะภักดีต่อท่าน เพียงมีบัญชา หมื่นตายไม่เกี่ยง!” วาจาดั่งคำสัตย์สาบานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นถึงหมื่นส่วน

ไป๋เฟิงซีมองเขา อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านคืออนุชนแห่งจิ่วหลัว?”

เหยียนจิ่วไท่ก็ตะลึงไปเช่นกัน เขาเหลือบตามองไป๋เฟิงซี จากนั้นก็หลุบตาลงจุมพิตอย่างแผ่วเบา ไม่มีแววล่วงเกินแม้เศษเสี้ยว กล่าวอย่างขึงขังเป็นทางการ “ขอรับ จิ่วไท่เป็นชาวเผ่าจิ่วหลัว” กล่าวจบก็ปล่อยมือนาง

“เผ่าจิ่วหลัว…นึกไม่ถึงว่าผ่านไปหกร้อยปี ข้าจะยังได้พบกับคนเผ่าจิ่วหลัวอีก” ไป๋เฟิงซีจับจ้องเหยียนจิ่วไท่อย่างลึกซึ้ง ในสายตาคล้ายซ่อนเร้นความรู้สึกประหลาดบางอย่างไว้ ทว่านางก็โบกมือทันควัน “เอาล่ะ ท่านลุกขึ้นเถิด ต่อไปอยู่กับข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้อีก”

“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่ลุกขึ้นเอ่ยอย่างนอบน้อม

“พี่เหยียน ในเมื่อท่านกว้างขวางในไท่เฉิงถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ช่วยเตรียมรถม้าให้เราสักคัน ซื้อเสื้อผ้าให้น้องชายผู้นี้ของข้าสักสี่ห้าชุดซี” ไป๋เฟิงซีเกี่ยงงานทันที

“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำทันควัน จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเรียกข้าจิ่วไท่ก็พอ”

“อันใดกัน ท่านรังเกียจที่ข้าเรียกให้ท่านฟังดูแก่หรือ” ไป๋เฟิงซีเหลือกตา กระโดดผึง “เดิมทีท่านก็แก่กว่าข้า เรียกท่านว่าพี่ก็เหมาะดี หรือคิดจะให้ข้าเรียกท่านว่าน้องชาย? ข้ามิได้แก่ถึงขั้นนั้นกระมัง”

“ไม่ใช่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เหยียนจิ่วไท่โบกมือเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว” ไป๋เฟิงซีนั่งลงอีกครั้ง “พี่เหยียน รบกวนท่านรีบไปซื้อเสื้อผ้าและรถม้า แล้วก็ถือโอกาสซื้อของกินมาด้วย เมื่อครู่วิ่งกันยกใหญ่ ของที่เพิ่งกินเข้าไปย่อยจนหมดแล้ว”

“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ท่านโปรดรออยู่ที่นี่” เหยียนจิ่วไท่ไม่เถียงกับนางอีก หมุนกายไปทำธุระทันที

 

ข้างถนนชานเมืองเว่ยเฉิงแห่งเป่ยโจวมีร้านขนาดย่อมแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นหญิงผู้ครองความเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว นางขายอาหารจำพวกซาลาเปา หมั่นโถว โจ๊กเปล่า ทำการค้าเล็กๆ ลูกค้าที่มาอุดหนุนก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านที่เดินทางไปมาระหว่างตัวเมืองและชนบท

เช้าตรู่วันนี้เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งจะจัดเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยไม่ทันไรก็มีลูกค้าเข้ามาในร้าน

“เถ้าแก่เนี้ย ขอหมั่นโถวสี่ลูก โจ๊กหนึ่งชาม”

“ได้เลยเจ้าค่ะ เชิญท่านนั่งก่อน ประเดี๋ยวก็เสร็จ”

เถ้าแก่เนี้ยกำลังเปิดฝาเข่งนึ่งเพื่อดูว่าหมั่นโถวสุกหรือยัง ไอร้อนตลบอบอวล ทำให้มองเห็นผู้มาไม่ชัด ในความพร่ามัวนั้นเห็นเพียงคนชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ทรุดนั่งลงยังโต๊ะข้างหน้าต่าง

“นายท่าน หมั่นโถวและโจ๊กที่สั่งเจ้าค่ะ” ไม่นานนักเถ้าแก่เนี้ยก็ยกอาหารที่มีไอร้อนลอยตลบมา

“ขอบใจมาก” ลูกค้าที่เดิมทีมองออกไปนอกหน้าต่างหันหน้ามาสนทนาด้วย

เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า มองลูกค้าแล้วพลันอาลัยไม่อยากจากไปขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรผู้ที่น่ามองเพียงนี้ชั่วชีวิตนางก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก

“นายท่าน…ยังต้องการอาหารอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้ว เถ้าแก่เนี้ยเชิญทำธุระเถิด” ลูกค้าก้มศีรษะ ยกโจ๊กเปล่าตรงหน้าขึ้น

“เช่นนั้นข้าจะหากับข้าวง่ายๆ มาให้เป็นอย่างไร” เถ้าแก่เนี้ยถามไถ่ อีกทางก็คิดว่าจะไปยกไช้เท้าแห้ง ถั่วฝักยาวดอง หรือหัวผักกาดดองซีอิ๊วที่เพิ่งทำมาให้ดี หาได้คิดว่าจะทำกำไรเท่าไร หวังเพียงได้สนทนากับนายท่านคนนี้ให้นานอีกหน่อย

“ข้าว่าเจ้ามิสู้ไปกับข้าดีกว่า” ขณะนั้นเองเสียงอันทะนงตนเสียงหนึ่งก็สอดขึ้น คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก

เถ้าแก่เนี้ยรีบผินหน้าไปมอง ทันทีที่ได้เห็นหัวใจก็เต้นโครมคราม ลอบคิดว่าวันนี้เป็นวันดีอะไรหนอ เหตุใดจึงมีลูกค้าชั้นเลิศเช่นนี้มาอุดหนุน หากกล่าวว่าลูกค้าชุดขาวเมื่อครู่หมดจดสง่างามจนไม่เหมือนมนุษย์สามัญ เช่นนั้นลูกค้าชุดม่วงที่ก้าวเข้ามาก็ประหนึ่งราชาผู้สูงศักดิ์บนโลกมนุษย์ ส่วนบุรุษที่ตามมาด้านหลังอีกคนหนึ่งก็ช่างงดงามจนไร้ซึ่งหนทางที่จะพรรณนาได้

“เจ้ามาแล้ว” ลูกค้าที่กำลังกินโจ๊กยิ้มบางๆ ให้ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่

“อู๋หยวน เจ้ากินของพวกนี้หรือ” หวงเฉากวาดตามองหมั่นโถวสี่ลูกตรงหน้าเขา ส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างไม่ใคร่จะเห็นด้วย

“เจ้าก็ชิมดูบ้างสิ” อวี้อู๋หยวนชี้ที่นั่งตรงกันข้าม “นานๆ ทีกินอาหารธรรมดาบ้างก็ได้รสชาติไปอีกแบบ”

หวงเฉาเดินไปทรุดกายลงตรงข้ามเขา “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”

“เดินเรื่อยเปื่อยแล้วก็มาถึง” อวี้อู๋หยวนตอบ หันหน้าไปเรียกเถ้าแก่เนี้ย “รบกวนขอโจ๊กเปล่าอีกสองชาม เสี่ยวหลงเปา อีกสิบลูก”

“ได้เลยเจ้าค่ะ นายท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ” เถ้าแก่เนี้ยรีบขานรับ

“เซียวเจี้ยน เจ้าก็นั่งลงเถิด” อวี้อู๋หยวนเอ่ยกับเซียวเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังหวงเฉา เมื่อเห็นเขาถนัดตาแล้วก็อดประหลาดใจมิได้ “ในที่สุดเจ้าก็ยอมสวมชุดสีอื่นนอกจากสีขาวแล้วหรือ”

คนผู้สวมชุดขาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันผู้นี้วันนี้ถึงกับสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้า ทำให้ความเย็นชาลดทอนลงไปหลายส่วน ขับผิวกายขาวราวหิมะของเขาให้ดุจดั่งผลึกแก้วสีฟ้า ในความเย็นมีความบริสุทธิ์ ในความบริสุทธิ์มีความอ่อนโยน ทอประกายไหลเลื่อนไปทั่วร่าง ชวนสนิทชิดเชื้อ ทว่าก็ไม่อาจหักใจสัมผัส

หวงเฉามองเซียวเจี้ยนแวบหนึ่ง โพล่งขึ้นว่า “ข้าว่าเจ้าเรียกเขาเสวี่ยคง เขาจะยินดีกว่า”

“หือ?” อวี้อู๋หยวนมองเขาด้วยความงุนงง แม้เซียวเจี้ยนจะมีฉายาว่าเสวี่ยคง ทว่าแต่ไรมาพวกเขาก็คุ้นกับการเรียกชื่อเขาตรงๆ

“นายท่านทั้งสาม โจ๊กและเสี่ยวหลงเปาร้อนๆ มาแล้วเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยยกโจ๊กและเสี่ยวหลงเปามาเพิ่ม

รอจนเถ้าแก่เนี้ยวางอาหารเสร็จ หวงเฉาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้นางถอยออกไป จากนั้นถึงมองอวี้อู๋หยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะไป๋เฟิงซีเปรยว่าเขาเหมาะจะสวมอาภรณ์สีฟ้าอย่างสีของท้องนภา วันต่อมาเขาก็เปลี่ยนชุด นอกจากนี้ไป๋เฟิงซียังเอ่ยว่าเขาควรมีนามว่าเสวี่ยคงจึงจะถูก แม้เขาจะไม่ได้พูด แต่เมื่อข้าเปลี่ยนมาเรียกเขาว่าเสวี่ยคง ในดวงตาของเขาก็มีแววยินดีล้นปรี่เชียวล่ะ”

“อ้อ? ไม่นึกเลยว่าไป๋เฟิงซีจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ ข้าชักอยากจะทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว” อวี้อู๋หยวนหันไปมองทางเซียวเจี้ยน…เซียวเสวี่ยคง แล้วพบว่าดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนอย่างน่าอัศจรรย์อีกแล้ว “นามเสวี่ยคงนี้เหมาะกับเจ้ามากจริงๆ นั่นแหละ เข้ากับเจ้าที่สวมชุดสีฟ้าเช่นนี้อย่างยิ่ง เป็นดั่งทุ่งหิมะท้องฟ้าครามโดยแท้ งดงามยิ่งนัก”

สีฟ้าในดวงตาเซียวเสวี่ยคงผู้นั่งอยู่เบื้องซ้ายยิ่งเข้มขึ้นกว่าเก่า ดวงตากลอกไปทางหวงเฉา ปากขยับเล็กน้อย แต่เพราะที่อีกฝ่ายคือนายเหนือหัวของตน จนแล้วจนรอดจึงมิได้เอ่ยคำใดออกมา สุดท้ายเพียงแค่ยื่นตะเกียบไปคีบเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่งมา เคี้ยวกลืนลงไปในคำเดียว

อวี้อู๋หยวนเห็นท่าทีของเขาเป็นเช่นนี้ก็อดเกิดจิตคิดกลั่นแกล้งมิได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คล้ายว่าจี้โจวยังไม่มีผู้ใดสวยกว่าเจ้าเลย หากเจ้าเป็นสตรีไม่แน่ว่าอาจทัดเทียมได้กับฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจว”

“อวี้กงจื่อ ข้าเป็นบุรุษ” เซียวเสวี่ยคงกลืนเสี่ยวหลงเปาหนึ่งลูก มองอวี้อู๋หยวนพร้อมกับเอ่ยเน้นทีละคำ ความนัยที่แฝงอยู่คือบุรุษจะเรียกว่า ‘สวย’ ได้อย่างไร และยิ่งไม่ควรนำไปเทียบกับสตรี…โดยเฉพาะกับฉุนหรานกงจู่ผู้ได้สมญานามว่า ‘หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง’

“ตอนไป๋เฟิงซีนั่นบอกว่าดวงตาของเจ้า ‘สวยยิ่งนัก’ ไฉนไม่เห็นเจ้าโต้แย้งนางเลยเล่า” หวงเฉากลับสอดขึ้น กล่าวจบก็ยกโจ๊กตรงหน้ามาเป่าแล้วกินลงไป

เซียวเสวี่ยคงมองหวงเฉา ปากอ้าเปิดๆ ปิดๆ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้ากินเสี่ยวหลงเปา

อวี้อู๋หยวนแย้มยิ้ม หยอกต่อไม่ลงจึงเปลี่ยนมาถามหวงเฉาว่า “ไปครานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ยอดมาก” หวงเฉาเอ่ยคำง่ายๆ เพียงสองคำ จากนั้นก็มองเขาแล้วกล่าวว่า “กล่าววาจาประเดี๋ยวเดียวห้ามศาสตราวุธสองแคว้นได้ อวี้กงจื่อร้ายกาจนัก”

“ไฉนต้องเพิ่มวิญญาณบริสุทธิ์มากมายถึงเพียงนั้น” อวี้อู๋หยวนคีบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมาลูกหนึ่ง

“โลกนี้วิญญาณที่ตายอย่างคับแค้นมีมากเหลือคณา ยิ่งกว่านั้น…ถึงเวลาก็ต้องมีคนตายเช่นกัน” หวงเฉาจ้องเขาเขม็ง

“เช่นนั้นถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยง” อวี้อู๋หยวนกินเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่งเสร็จก็วางตะเกียบไม้ไผ่ลง เหลือบตามองหวงเฉา “ยิ่งกว่านั้นข้าเท่ากับช่วยบอกใต้หล้าแทนเจ้าว่าป้ายขั้วกาฬเลือกซื่อจื่อแห่งจี้โจวแล้ว นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ หากซังโจวกล้าอ้างเรื่องป้ายขั้วกาฬแล้วมารุกล้ำจี้โจวเช่นเดียวกับเป่ยโจว เจ้าก็สบโอกาสตีเอาเมืองของพวกเขาอีกสักหลายเมือง หรือว่า…กลืนทั้งหมดได้ เช่นนี้ก็ดีมิใช่หรือ”

หวงเฉามิได้เอ่ยคำใด เพียงแค่ว่าสีหน้าที่แสดงออกนั้นชัดเจนว่าเห็นพ้องกับวาจาของอวี้อู๋หยวน

“ส่วนความขัดแย้งระหว่างเป่ยโจว ซังโจว ชาวประมงอย่างเจ้าก็ได้ประโยชน์ ทว่าขุนเขาและสายน้ำที่เหลือเพียงซากหักพัง เจ้าก็ไม่ต้องการมิใช่หรือ” อวี้อู๋หยวนมองหวงเฉา แววตาลึกล้ำ “ดังนั้นเก็บไว้ก็ไม่เสียหาย รอให้เจ้ามาเก็บกวาดเอาเอง”

หวงเฉาเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “คล้ายกับสิ่งใดที่ข้าคิดอยู่ในใจ เจ้าก็มักจะมองทะลุได้ในคราเดียว” ว่าแล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปทางเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังทำงานง่วน

“อย่าแตะต้องนาง” นัยน์ตาอวี้อู๋หยวนสาดประกายคมกริบ มือกดมือของเซียวเสวี่ยคงที่กุมด้ามกระบี่ไว้ “คำพูดเหล่านี้ต่อให้นางได้ยินแล้วจะอย่างไร เหตุใดต้องเที่ยวสังหารผู้บริสุทธิ์ด้วย”

หวงเฉาโบกมือ ส่งสัญญาณให้เซียวเสวี่ยคงหยุดมือ เขามองอวี้อู๋หยวนอย่างจนใจ “นิสัยเยี่ยงโพธิสัตว์เช่นนี้ของเจ้าทำให้ข้าอับจนปัญญา”

อวี้อู๋หยวนยิ้มจางๆ ถามว่า “ก้าวต่อไปคิดไว้เช่นไร”

“แน่นอนว่าต้องกลับไป ข้าออกมาคราวนี้เก็บเกี่ยวอะไรได้มากอยู่” ในวาจาหวงเฉาคล้ายซ่อนนัยลึกล้ำไว้

อวี้อู๋หยวนใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปโยวโจวเถิด”

“โยวโจว?” คิ้วดกหนาของหวงเฉาเลิกขึ้นน้อยๆ

“ใช่ โยวโจวซึ่งมั่งคั่งที่สุดในต้าตง โยวโจวซึ่งมีหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง” อวี้อู๋หยวนเคลื่อนสายตาไปนอกหน้าต่าง

“โยวโจวรึ” สายตาหวงเฉาตกอยู่ที่โจ๊กเปล่าครึ่งชามเบื้องหน้า เขายื่นมือไปยกขึ้นกินรวดเดียวหมด จากนั้นก็วางชามลงบนโต๊ะ ประกายสีทองในดวงตาเจิดจ้า “ใช่ ได้เวลาแล้ว”

“อืม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า “รีบไปจะได้รีบจัดการให้เรียบร้อย”

“ไปโยวโจวก็กลับจี้โจวก่อนได้” หวงเฉาหยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

อวี้อู๋หยวนก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาหันหน้าไปทางเถ้าแก่เนี้ย ยิ้มบางๆ คล้ายจะขอบคุณในการต้อนรับ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก

เซียวเสวี่ยคงล้วงแผ่นเงินหนึ่งแผ่นออกจากอกเสื้อ วางไว้บนโต๊ะแล้วตามทั้งสองไป

บทที่ 10 คร่าวิญญาณล้างหนี้วิญญาณแค้น

“พี่สาว เหตุใดให้เขาติดตามมาด้วยเล่า”

ในตรอกแคบไร้ผู้คน หานผู่กระตุกแขนเสื้อไป๋เฟิงซีที่พิงกำแพงหลับตาพักผ่อนอยู่แล้วถามขึ้น

“เพราะเขาอยากตามอย่างไรเล่า” นางตอบทั้งที่ยังหลับตา

“ท่านมิใช่ผู้ที่เจรจาด้วยง่ายปานนี้หรอก” หานผู่เบะปาก “ที่ท่านให้เขาติดตามเพราะมีเป้าหมายอะไรใช่หรือไม่”

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเคยได้ยินชื่อเผ่าจิ่วหลัวบ้างหรือไม่” ในที่สุดไป๋เฟิงซีก็ลืมตามองเขา

“เผ่าจิ่วหลัว?” หานผู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยิน”

“อืม เจ้าไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องธรรมดา” ไป๋เฟิงซีแหงนหน้า สายตาทอดผ่านตรอกแคบขึ้นไปบนฟ้าไกล “ถึงอย่างไรเผ่าจิ่วหลัวก็ถูกสังหารล้างเผ่ามาหกร้อยกว่าปีแล้ว นับแต่วันที่ถูกล้างเผ่ามาก็กลายเป็นคำต้องห้าม คนในใต้หล้าย่อมมิล่วงรู้ว่าบนเขาจิ่วหลัวเคยมีเผ่าจิ่วหลัว”

“เหตุใดจึงถูกสังหารล้างเผ่าเล่า” หานผู่ไม่เข้าใจ

นางนิ่งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “สาเหตุแห่งการสังหารล้างเผ่านั้นถูกลบออกจากประวัติศาสตร์นานแล้ว มิต้องเอ่ยถึงหรอก แค่ว่าหลังจากเหตุวิปโยคครานั้น เผ่าจิ่วหลัวที่หลงเหลืออยู่ก็น้อยยิ่งกว่าน้อย พวกเขาพเนจรไปสุดขอบฟ้ามหาสมุทร ไม่อาจหวนคืนมาตุภูมิได้ตราบสิ้นชีวิต จนกระทั่งไม่กี่ร้อยปีมานี้พวกเขาถึงปรากฏให้เห็นบ้าง ทว่าท้ายสุดกลับเป็นเพียงดอกถาน ที่ปรากฏเพียงชั่วข้ามคืน”

หานผู่หาได้สะเทือนอารมณ์อย่างไป๋เฟิงซีไม่ เขาหวนนึกถึงพฤติกรรมคำพูดคำจาของเหยียนจิ่วไท่เมื่อครู่แล้วก็ถามว่า “เมื่อครู่เขาถวายสัตย์สาบานกับท่านหรือ”

“ใช่ เมื่อครู่เขาสาบานว่าจะมอบความภักดีสูงสุดแก่ข้า ‘เพียงมีบัญชา หมื่นตายไม่เกี่ยง’ ต่อให้ข้าเรียกเขาไปตาย เขาก็จะไป” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะ สีหน้ากลับบรรยายไม่ถูกว่าโศกเศร้าหรือยินดี “ในเมื่อเขาหมายใจแน่วแน่ไว้ตั้งแต่หกปีก่อนแล้วว่าจะติดตามข้า เมื่อวันนี้ได้พานพบถ้าเขาไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่เลิกราเด็ดขาด เขาจะไล่ตามเรื่อยไป ตามจนกว่าข้าจะพยักหน้าหรือ…ถึงวันที่เขาตาย”

หานผู่นึกถึงพลังมุ่งมั่นในการไล่ตามของเหยียนจิ่วไท่เมื่อครู่ก็หวาดหวั่นในใจ

“หลายปีแล้วที่สกุลเฟิงของข้าตามหาอนุชนของเผ่าจิ่วหลัวเรื่อยมา ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้ข้าจะได้พบ” ไป๋เฟิงซียกมือลูบศีรษะหานผู่อย่างเบามือ สายตาเลื่อนลอยราวกับทอดไกลไปยังหกร้อยปีก่อน แฝงไว้ซึ่งอารมณ์เสียดายและสะเทือนใจอย่างหนัก “ฉะนั้นเขาอยากติดตามก็ให้ติดตามมาเถิด บางทีสกุลเฟิงและชาวจิ่วหลัวอาจมีวาสนาเช่นนี้ อีกทั้งวันข้างหน้า…ข้ายังมีเรื่องต้องขอให้เขาช่วยด้วย”

“ในโลกนี้ยังมีเรื่องใดที่ท่านทำไม่ได้อีกหรือ กลับต้องไปขอร้องเขา” หานผู่มิเชื่อ ในใจของเขาไม่มีสิ่งใดที่ไป๋เฟิงซีกระทำไม่ได้

“ฮ่าๆ” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็หัวเราะเบาๆ ปาดจมูกหานผู่อย่างเอ็นดู “โลกนี้มีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้มากมาย” ไม่ทันสิ้นเสียงนางก็พลันหุบยิ้ม ยื่นมืออุ้มหานผู่แล้วเหินร่างถอยไปด้านหลังสามจั้งอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเพียงเสียงฟุ่บอันคมกริบ ตำแหน่งที่พวกเขายืนเมื่อครู่มีลูกศรยาวปักอยู่ดอกหนึ่ง หัวลูกศรปักลึกลงไปยังพื้นศิลา ปลายลูกศรยังสั่นไหว พอให้เห็นถึงความเร็วและอานุภาพรุนแรงของลูกศรดอกนี้

หานผู่มองลูกศรยาวบนพื้น หัวใจแทบกระดอนออกมานอกอก จุดที่ลูกศรนั้นเล็งก็คือตำแหน่งที่เขายืน หากช้าไปสักก้าว เขาจะต้องถูกลูกศรนี้ยิงทะลุศีรษะเป็นแน่

“ผู้ใดกัน” ไป๋เฟิงซีตวาด

ทว่านางเพิ่งจะส่งเสียง ลูกศรยาวก็พุ่งลงมาดั่งสายฝนจากหลังคาทั้งสองฝั่งของตรอก ขณะนั้นนางไม่มีเวลาสนใจว่าผู้มาคือใคร ได้แต่คุ้มกันหานผู่ไว้ในอก ภูษาขาวในแขนเสื้อลอยออก ลมปราณแผ่ตลอดผืนผ้า ม้วนวนรอบร่าง ถักทอเป็นกำแพงปราณอันแข็งแรงอยู่รอบตัว ลูกศรยาวทั้งหมดที่พุ่งมาหากมิใช่ร่วงลงพื้นก็ถูกวายุแรงกล้าที่ภูษาขาวก่อขึ้นสะบั้นจนหัก

เมื่อสายฝนแห่งเกาทัณฑ์สงบ ภูษาขาวของไป๋เฟิงซีก็ผ่อนลง นางหัวเราะเย็นชา “ฮึ! ลูกศรหมดแล้วหรือ” ว่าแล้วนางก็ปล่อยหานผู่ลง จากนั้นก็สะกิดปลายเท้าเบาๆ ทะยานร่างขึ้นกลางเวหาดุจกระเรียนขาว เมื่อทิ้งตัวลงบนหลังคาด้านซ้ายก็เห็นเบื้องหน้ามีเงาดำหลายสายพุ่งหายไป จึงเหินร่างไล่ตามในทันใด

หลังจากไล่ตามศัตรูไปแล้ว บนหลังคาด้านขวาก็มีคนสี่คนกระโดดลงมา ทิ้งตัวลงตรงหน้าหานผู่ ล้อมเขาไว้ตรงกลาง ทั้งสี่ล้วนแต่สวมอาภรณ์ดำ หน้าตาเหี้ยมเกรียม

หานผู่หัวใจสั่นสะท้าน ชักมีดสั้นออกมาขวางไว้ด้านหน้า จ้องมองทั้งสี่อย่างระแวดระวัง แม้ใจจะบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ทว่ากลับห้ามสองขามิให้สั่นไม่ได้

เมื่อทั้งสี่ชักศาสตราวุธ นัยน์ตาของหานผู่ก็หรี่ลง ดวงหน้าซีดขาว เขาตวาดเสียงกร้าวว่า “เป็นพวกเจ้า!”

เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่จำท่าถือดาบของพวกเขาได้ จำดาบในมือได้ บนดาบสลักสัญลักษณ์หัวกะโหลก ขณะกวัดแกว่งก็ดุจดั่งอสูรร้าย! คือคนพวกนี้เอง! เป็นพวกเขาที่สังหารท่านพ่อท่านแม่! เป็นคนพวกนี้ที่วางเพลิงเผาบ้านของตน! คนพวกนี้ก็คือศัตรูของตน!

“มอบสูตรโอสถออกมา!” บุรุษชุดดำผู้หนึ่งเอ่ยเสียงอำมหิต สายตาจับจ้องหานผู่ประหนึ่งอสรพิษ “หากมิใช่เพราะพวกเจ้าปรากฏตัวในโรงบ่อนเบี้ย พวกเราก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสกุลหานยังเหลือผู้รอดชีวิตอย่างเจ้า! ในเมื่อตาเฒ่าหานรักษาเจ้าเอาไว้ได้ สูตรโอสถย่อมต้องอยู่กับเจ้า หากฉลาดก็เร่งมอบออกมา จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”

“หึ คนชั่วอย่างพวกเจ้ายังคิดอยากได้สูตรโอสถอีกหรือ ถูกพวกเจ้าเผาเป็นจุณไปนานแล้ว!” หานผู่ถลึงตาใส่บุรุษชุดดำอย่างเคียดแค้น “เดิมทีข้านึกว่าจะไม่มีวันตามหาพวกเจ้าพบเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่เสียแล้ว คาดไม่ถึงวันนี้พวกเจ้าจะมาเผยตัวอยู่ตรงหน้าข้าเอง สวรรค์มีตา!”

“อาศัยเจ้า?” บุรุษชุดดำอีกคนยิ้มหยัน สาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว โบกดาบเล่มโตในมือ ฟันแสกหน้าหานผู่ “ในเมื่อเจ้าไม่มีสูตรโอสถ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บชีวิตของเจ้าไว้!”

เมื่อเห็นดาบเล่มโตฟันลงมา หานผู่ก็ก้มตัวหลบอย่างว่องไว จากนั้นจึงฉวยโอกาสพุ่งเข้าใส่บุรุษชุดดำตามจังหวะ มีดพกซึ่งหั่นเหล็กได้ดั่งดินโคลนแทงตรงใส่มือที่กุมดาบของคนผู้นั้น สร้างรอยแผลบนข้อมือ เมื่อบุรุษผู้นั้นเจ็บข้อมือ ดาบเล่มเขื่องก็ร่วงกระทบพื้นดังเกรื่องกร่าง

เหตุพลิกผันนี้เกิดอย่างกะทันหัน พริบตานั้นทั้งสี่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

หานผู่ไม่นึกฝันว่าจะลงมือเห็นผลในคราเดียว

ส่วนบุรุษชุดดำผู้นั้นเดิมหลงนึกว่างานนี้เพียงเอื้อมมือก็จะจับได้ มิได้เห็นวรยุทธ์ปลายแถวของหานผู่ในสายตาเลยสักนิดเดียว การย่ามใจประมาทศัตรูส่งผลให้พลาดท่าบาดเจ็บ

“ไอ้เชื้อมั่วสมควรตาย!” บุรุษชุดดำผู้นั้นเห็นข้อมือที่มีโลหิตไหลก็แผดเสียงผรุสวาททันใด

บาดแผลแม้จะไม่ลึก ทว่าเกิดจากน้ำมือทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เป็นความอัปยศอดสูใหญ่หลวง บัดนั้นมือซ้ายจึงเก็บดาบบนพื้นขึ้น เดินลมปราณที่แขน ฟันเข้าใส่หานผู่อีกครา ดาบนี้ควบคู่มากับสายลมแข็งกล้า ชำนิชำนาญและว่องไว กำลังดุดัน

หานผู่ไม่มีทางหลีกพ้นได้เลย ตอนนั้นเขากลับพุ่งเข้าหาประกายดาบ มือขวากำมีดสั้นแน่น แทงตรงใส่หน้าอกคนผู้นั้น ถึงแม้ไม่อาจเอาชีวิตรอด อย่างน้อยก็ต้องสังหารศัตรูให้ได้สักคน!

ขณะที่มีดสั้นของเขาเสียบใส่หน้าอกศัตรู หานผู่ก็หลับตา รอคอยความเจ็บปวดจากการถูกดาบแยกร่าง พร้อมกันนั้นก็มีของเหลวอุ่นๆ สาดกระทบใบหน้า กลิ่นที่คาวจนชวนคลื่นเหียนแผ่กระจาย แต่รออยู่เป็นครู่ก็ไม่มีดาบใหญ่เย็นเยียบฟาดเข้าสู่ร่าง รอบด้านเงียบสงัดดั่งความตาย เขาอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลับได้พบกับใบหน้าที่ดวงตาเหลือกถลน น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง อยู่ห่างจากหน้าของเขาไปเพียงเชียะเดียว

“อ๊าก!” หานผู่ผวาจนรีบถอยหนี ขาไม่มั่นคง ทำให้ล้มก้นกระแทกพื้นในทันใด

ตอนนี้เองเขาถึงพบว่ามือของบุรุษชุดดำผู้นั้นยังคงเงื้อสูง เพียงแต่ดาบในมือถูกภูษาขาวผืนหนึ่งพันไว้ ส่วนบนหน้าอกก็มีมีดสั้นของเขาปักอยู่

“โอ้! มิเสียทีที่เป็นน้องชายข้า!” ข้างหูได้ยินเสียงหัวเราะอันเริงร่าของไป๋เฟิงซี

หานผู่หันหน้าไปมองด้วยความแตกตื่นยินดี “พี่สาว!”

ดังคาด เขาเห็นไป๋เฟิงซีนั่งอยู่บนชายคา แกว่งขาทั้งสองไปมา ในมือกุมภูษาขาว ท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

“ฆ่ามันเสีย!”

ข้างหูยินเสียงตวาดเย็นเยียบอีกครา หลังลำคอมีลมแรงกล้าจู่โจมเข้าใส่

“หึ บังอาจสังหารน้องชายที่รักของข้าต่อหน้าต่อตาข้าเชียวรึ ล้วนแต่เบื่อชีวิตแล้ว!”

หานผู่ตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกเพียงร่างเบาหวิว ลอยขึ้นกลางอากาศ จนเมื่อตั้งสติได้ก็มายืนอยู่บนหลังคาแล้ว ส่วนไป๋เฟิงซีกลับหายไป เมื่อมองลงด้านล่างก็เห็นเพียงเงาสีขาวตลบวนอยู่รอบบุรุษชุดดำทั้งสาม ดาบในมือพวกเขาทอประกายวูบวาบ กระบวนท่าเกรี้ยวกราดดุดัน ทว่าทุกคราที่ฟันสุดแรงใส่เงาสีขาวนั้น กลับเหมือนฟันใส่ห้วงน้ำอันเลื่อนไหล ไม่โดนสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่าดาบกลับถูกสายน้ำพัดพาให้ไหลไปตามระลอกคลื่น และเงาสีขาวนั้นก็ม้วนกระชับเข้าไปทุกที บุรุษชุดดำไม่อาจสำแดงกระบวนท่าได้ เพียงอึดใจเดียวทั้งสามก็หอบหายใจเป็นการใหญ่

“ฝีมือมีเพียงเท่านี้ ถึงกับกล้าคุยโตจะสังหารคนต่อหน้าข้า! ให้ข้าปลดอาวุธเสียเถิด!”

ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงอย่างเย็นชา เสียงเคร้งๆๆ ดังก้องขึ้นสามครา ต่อมาก็เห็นดาบเล่มเขื่องร่วงอยู่ที่พื้น จากนั้นเงาร่างสีขาวก็หยุด

การประมือสิ้นสุดลง

บุรุษชุดดำทั้งสามยืนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน ส่วนไป๋เฟิงซียังคงยืนด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย

“ผู่เอ๋อร์ ลงมา” ไป๋เฟิงซีผินหน้าไปกวักมือ

หานผู่กระโดดลงมา เก็บดาบบนพื้นได้ก็ฟันเข้าใส่บุรุษชุดดำ

“ผู่เอ๋อร์!” ยื่นมือไปคว้าดาบไว้ทัน

หานผู่หันหน้ากลับมาแผดเสียงร้องว่า “เป็นพวกเขานี่แหละ! เป็นพวกเขาที่สังหารล้างบ้านข้า!”

“ข้ารู้” ไป๋เฟิงซีออกแรงเล็กน้อยที่มือ ดาบก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือนาง “ข้ายังมีเรื่องต้องถามพวกเขา” ว่าแล้วนางก็หันไปทางเหล่าบุรุษชุดดำ เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “พี่ชายทั้งสามท่าน ขอเรียนถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกท่านถึงต้องชิงสูตรโอสถของสกุลหานให้ได้ด้วย เท่าที่ได้ยินมาโอสถมากมายของสกุลหานล้วนถูกพวกท่านกวาดไปจนสิ้นแล้ว ด้วยวรยุทธ์ของพวกท่าน เท่านั้นก็มากพอให้ใช้ได้ไปจนตายแล้วกระมัง”

บุรุษชุดดำทั้งสามหาได้เหลียวแลคำถามของนางไม่ แม้จะถูกสกัดจุดไม่อาจเคลื่อนไหว ทว่าดวงตากลับจ้องนางเขม็ง คนทั้งสามแม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศที่สุด แต่ฝีไม้ลายมือก็ยอดเยี่ยม ทว่าทั้งสามร่วมมือกันก็ยังพ่ายให้แก่สตรีนางนี้ นางคือผู้ใดกันแน่

“พี่ชายทั้งสาม…” ไป๋เฟิงซีลากเสียงยาวอีกครา รอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าเก่า “หากยังไม่พูดอีกอย่าได้โทษที่ข้าตัดลิ้นพวกท่านนะ”

“เจ้าคือผู้ใด” หนึ่งในบุรุษชุดดำตั้งคำถาม

“พวกท่านมิรู้หรือว่าข้าเป็นใคร” ไป๋เฟิงซีร้องเสียงหลงออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจเต็มประดา “ผู่เอ๋อร์ พวกเขาถึงกับไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ไหนว่ากันว่าลักษณะของข้าเป็นเอกลักษณ์นักหนา ชวนตรึงตรามิรู้ลืมไม่ใช่หรือ ไฉนสามคนนี้กลับไม่รู้จักข้าเล่า”

“หึ ให้ข้าบอกพวกเจ้าก็แล้วกันว่านางคือผู้ใด” หานผู่เก็บดาบอีกเล่มขึ้นมา เดินไปตรงหน้าบุรุษชุดดำผู้หนึ่งแล้วจ่อปลายดาบเข้าที่หน้าผากเขา “พี่สาว ข้าวาดจันทร์เสี้ยวที่เหมือนกับบนหน้าผากของท่านไว้ตรงนี้สักรอยดีหรือไม่”

“ไม่ดี” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า “แม่นางอย่างข้าผู้นี้สวมเครื่องประดับจันทร์เสี้ยวชิ้นนี้แล้วได้ชื่อว่า ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ หากพวกเขาก็ประดับจันทร์เสี้ยวด้วยก็ออกจะเป็นการย่ำยีกันเกินไป เทพธิดาแห่งจันทราจะมาคิดบัญชีกับเจ้าเอานะ”

ครั้นได้ยินคำสนทนาของพวกเขาแล้ว บุรุษชุดดำทั้งสามก็มองไปทางหน้าผากไป๋เฟิงซี แล้วเห็นหยกหิมะสัณฐานโค้งชิ้นนั้น ก็พาให้หัวใจกระตุกวูบ

“เจ้าคือไป๋เฟิงซี?”

“ฮิๆ ที่แท้พวกท่านก็รู้นี่ว่าข้าคือผู้ใด” ไป๋เฟิงซียินดังนั้นก็ยิ้มอย่างแสนจะนุ่มนวลชวนชิดเชื้อ เพียงแต่ภูษาขาวในมือเริงระบำอยู่กลางอากาศประหนึ่งพร้อมจะเข้าพันรอบลำคอของทั้งสามได้ทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าไป๋เฟิงซีเป็นผู้มีเมตตา ดังนั้นขอเพียงพี่ชายทั้งสามแห่งพรรคต้วนหุนบอกให้ข้ารู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกท่านคือใคร ข้าก็จะปล่อยพวกท่านไปทันที”

คนทั้งสามพลันฉายสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด มองรอยยิ้มระรื่นงามสดใสตรงหน้าแล้วกลับอกสั่นขวัญหาย ห้าปีก่อนเมื่อครั้งไป๋เฟิงซีกวาดล้างพรรคต้วนหุน ตอนนั้นพวกเขายังมิได้เข้าพรรค ทว่าเคยฟังผู้อาวุโสในพรรคเอ่ยถึง พวกเขายังจดจำสีหน้าพรั่นพรึงยามที่บรรดาผู้อาวุโสซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดเหี้ยมเล่าถึงเหตุการณ์นั้น อีกทั้งยังเตือนพวกเขาว่าเจอยมบาลเข้าก็ยังดีกว่าเจอไป๋เฟิงเฮยซี!

ตึงๆๆ! ทั้งสามทรุดฮวบลงกับพื้น ปากจมูกมีโลหิตสีดำไหลออกมา

“พวกเขา…พวกเขาฆ่าตัวตายแล้ว” หานผู่มองศพของคนทั้งสามบนพื้นที่เมื่อครู่ยังเป็นคนที่มีชีวิตด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว

“พวกเขาทั้งไม่อาจหนีรอดและไม่อาจพูด ดังนั้นจึงมีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีมองซากศพบนพื้นอย่างเย็นชา เก็บภูษาขาวแล้วปรบมือ “ฆ่าตัวตายเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องทำมือข้าสกปรก คนพรรคต้วนหุน…หึ ให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่พอชดเชยความผิด!”

หานผู่โยนดาบในมือทิ้ง มองอย่างสะอิดสะเอียน เขาย่อมรู้ดีว่าพรรคต้วนหุนเป็นพรรคที่โหดเหี้ยมและโฉดชั่วที่สุดในแผ่นดิน รับจ้างสังหารผู้คน คร่าชีวิตคนด้วยวิธีอันทารุณที่สุด ทั้งยังซื้อขายย่ำยีสตรีและเด็ก แต่ละคนล้วนแต่ชั่วช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน ตายเสียก็สมควร!

“พี่สาว ท่านทำอะไรน่ะ” หานผู่เห็นไป๋เฟิงซีพลิกซ้ายพลิกขวาซากศพราวกับกำลังมองหาบางสิ่ง

“สิ่งนี้แหละ!” นางล้วงวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากอกเสื้อบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่ง

“คือสิ่งใดหรือ” หานผู่ถามนาง

ไป๋เฟิงซีเปิดฝากระบอก กลิ่นหอมออกไปทางหวานเลี่ยนสายหนึ่งแผ่กำจาย “นี่เรียกว่าหอมร้อยลี้ เป็นสิ่งที่พรรคต้วนหุนใช้สื่อสารกัน”

“ท่านหมายความว่าจะใช้สิ่งนี้ดึงคนของพรรคต้วนหุนกลุ่มที่เมื่อครู่ท่านไล่ตามไม่ทันให้มาหาหรือ” หานผู่คิดเพียงเล็กน้อยก็รู้ได้

“ไม่ใช่ไล่ตามไม่ทัน แต่ไม่ได้ไล่ตามไปต่างหาก” ไป๋เฟิงซีลุกขึ้น “หากข้าไล่ตามไป เจ้ายังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ”

“ไม่มี” หานผู่ตอบตามจริง เพียงคนใดคนหนึ่งในบุรุษชุดดำเมื่อครู่ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้แล้ว “ท่านล่อพวกเขามาทำไมกัน พวกเขายอมตายก็ไม่ยอมพูดมิใช่หรือ”

“ฮึ จะเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่จะให้พวกมันแพร่งพรายร่องรอยของเราออกไปไม่ได้เป็นอันขาด อีกอย่าง…ข้าจะไม่ยอมให้คนพรรคต้วนหุนรอดชีวิตไปได้โดยอยู่ใต้จมูกของข้าเด็ดขาด! ปล่อยพวกเขาไปรังแต่จะเพิ่มวิญญาณผู้บริสุทธิ์ที่ต้องตายอย่างคับแค้น!” ไป๋เฟิงซีโยนกระบอกขึ้นกลางเวหา ให้กลิ่นหอมสายนั้นลอยตามลมไปไกลและกว้างยิ่งขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงสวบๆๆ พร้อมกับเงาดำสามสายก็โผนลงจากหลังคา เมื่อเห็นสภาพบนพื้นก็พากันตะลึงงัน เดิมพวกเขาหลงนึกว่าสหายลงมือได้ผล จึงส่งสัญญาณเรียกให้มารวมตัวกัน ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งที่ได้พบกลับเป็นร่างไร้วิญญาณของสหาย

“พวกเจ้ายินดีจะบอกข้าหรือไม่ว่าผู้ที่ซื้อตัวพวกเจ้าคือใคร หรืออยากมีจุดจบเช่นเดียวกับสหายของพวกเจ้า?”

เสียงเย็นเยียบเปี่ยมแววคุกคามกังวานขึ้น หัวใจของทั้งสามเย็นวาบ เพียงพริบตาก็เห็นเงาสีขาวร่างหนึ่งทิ้งตัวลงข้างซากศพ สายลมเย็นโชยผ่านพัดให้ผมดำยาวสลวยพลิ้วขึ้นปิดดวงหน้านางไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นรูปโฉมได้ไม่ชัด ทว่ารังสีอำมหิตแผ่ทั่วร่าง เหมันตฤดูซึ่งหนาวเหน็บเป็นทุนเดิมเย็นเยือกไปถึงกระดูกขึ้นมาอีกหลายส่วนเมื่อเพิ่มจิตสังหารของนางเข้าไป

“แล้วพรรคต้วนหุนกำเนิดจากขี้เถ้าอีกครั้งตั้งแต่เมื่อใด” ไป๋เฟิงซีมองทั้งสามด้วยแววตาเย็นเยียบ

คนทั้งสามไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว มือขยับ ดาบเชิดขึ้น ฟันเข้าใส่ไป๋เฟิงซีจากสามด้านอย่างเข้าขากัน ประกายดาบยะเยือก ทันใดนั้นทั่วทั้งตรอกแคบก็ปกคลุมไปด้วยจิตสังหารอันเกรี้ยวกราด หานผู่ยืนห่างออกไปสามจั้งยังรู้สึกว่าผิวกายและกระดูกเสียวแปลบ

ส่วนไป๋เฟิงซียืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา เผชิญประกายกระบี่ที่จู่โจมจากสามด้านด้วยท่าทีผ่อนคลาย ขณะที่คมดาบกำลังจะต้องตัวนางและหานผู่จวนจะหลุดเสียงร้องนั้นเอง ร่างนางก็พลันพลิ้วไหวเบาๆ ดุจต้นหลิวที่ต้องลม ท่วงท่างามสง่าดั่งภาพวาด กระโดดออกจากวงล้อมของทั้งสามได้ในพริบตา

“ห้าผีคร่าวิญญาณ!” หูได้ยินทั้งสามตวาดลั่นคราหนึ่ง แล้วร่างก็เหินขึ้น ดาบประหนึ่งคลื่นม้วนตลบดุเดือดรุนแรง ซัดเข้าใส่ไป๋เฟิงซีที่ยังอยู่กลางเวหา พลานุภาพดุดันเยี่ยงนั้นคล้ายกับสามารถทำให้คนที่อยู่กลางเวหากลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้!

“พี่สาว!” หานผู่ร้องเสียงหลง หลับตาลงมิกล้ามองอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าจะได้เห็นโลหิตและเนื้อกองหนึ่งสาดกระจายเต็มท้องฟ้า

“นี่น่ะหรือสุดยอดวิชาที่หัวหน้าพรรคของพวกเจ้าเก็บซ่อนตัวห้าปีเพื่อคิดค้นขึ้นมา ก็เพียงเท่านี้เอง!”

เสียงเย็นชาของไป๋เฟิงซีกังวานขึ้นจากกลางท้องฟ้า หานผู่อดลืมตาขึ้นไม่ได้ ขณะนั้นเขาก็เห็นรุ้งขาวสายหนึ่งโน้มลงจากเวหา กลายเป็นมังกรขาวนับไม่ถ้วน ส่วนร่างของบุรุษชุดดำเหล่านั้นก็เห็นได้ไม่ชัดเพราะล้วนแต่ถูกประกายดาบและเงามังกรครอบคลุมไว้

“ห้าผีคร่าวิญญาณมีอันใดน่าหวั่นเกรงกัน!”

เงาสีขาวมากมายสุดจะนับก็รวมตัวกันกลางเวหา ประหนึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์แหงนหน้ากางกรงเล็บ แผ่อำนาจกลืนฟ้าดินและสรรพสิ่ง!

“อา!” ได้ยินเพียงเสียงครวญอันน่าอนาถ จากนั้นดาบหักก็ร่วงลงจากท้องฟ้าดังเคร้งๆ ต่อด้วยร่างคนสามร่างร่วงตามลงมา จากนั้นประกายดาบก็สลายไป เผยให้เห็นคนชุดขาวผู้เท้าเหยียบภูษาขาว ยืนหยัดทระนงอยู่กลางอากาศ ชายเสื้อพลิ้วไหวตามลม ผมดำปลิวไสว หยกหิมะที่กลางหน้าผากทอประกายวาววับจับตา ดุจดั่งเทพเจ้าผู้ทรงมังกร

ขณะที่เงาร่างทั้งสามร่วงจากกลางเวหา ห่างจากพื้นราวจั้งเศษ คนผู้เท้าเหยียบภูษาขาวก็โบกมืออีกครา “ให้ข้าส่งผีร้ายอย่างพวกเจ้าลงสู่ปรโลกเถิด!” ทันใดนั้นภูษาขาวใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งตามคนทั้งสามไป ดวงตายังจับภาพได้ไม่ทันชัดมันก็กลายร่างเป็นอสนีบาตขาว พันรอบลำคอของทั้งสาม เกิดเสียงพลั่กๆๆ! จากนั้นร่างไร้วิญญาณสามร่างก็ร่วงสู่พื้น

“หากพวกเจ้ามิใช่คนพรรคต้วนหุน บางทีข้าอาจละเว้นพวกเจ้าได้ แต่น่าเสียดาย…”

ไป๋เฟิงซีลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา มองร่างปราศจากวิญญาณทั้งสามบนพื้นด้วยสายตาเย็นชา ภูษาขาวที่ร่ายระบำอยู่ก็ร่วงลงอย่างไร้สุ้มเสียง

หานผู่กลั้นหายใจ ปากอ้าตาค้างมองไป๋เฟิงซี ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ ผู้ที่มีจิตสังหารแผ่ทั่วร่าง ใบหน้าเปี่ยมด้วยรังสีฆ่าฟันคือไป๋เฟิงซีจริงหรือ คือไป๋เฟิงซีผู้ตลอดทางมีพฤติกรรมวาจาบ้าบิ่น ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวโกรธ ทว่ากลับมีคุณธรรมน้ำมิตรผู้นั้นจริงๆ หรือ

เขาสืบเท้าเข้าไปอย่างแช่มช้า เห็นเพียงบนลำคอของสามคนบนพื้นมีรอยโลหิตเล็กละเอียดรอยหนึ่ง ล้วนแต่เป็นรอยอันเกิดจากภูษาขาว จนถึงวันนี้เขาจึงจะนับว่าได้เห็นวรยุทธ์อันล้ำเลิศที่แท้จริงของนาง คราวที่ก่อกวนงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดที่บ้านของเขาเรียกได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเด็กเล่น คราที่ประมือกับหวงเฉา ทั้งคู่ต่างหยุดไว้เพียงแค่แตะถูก ยังมิเห็นฝีมือที่แท้จริง ทว่าครานี้เป็นการสังหาร!

ภูษาขาวอ่อนนุ่มเมื่ออยู่ในมือนางก็คมกล้าเหนือกระบี่ล้ำค่า! วรยุทธ์เช่นนี้สูงส่งจนน่ากลัว ถึงขั้นพ้นวิสัยมนุษย์ปกติไปแล้ว อย่างน้อยก็เป็นขั้นที่กระทั่งคิดเขาก็ยังไม่กล้าคิด!

“ผู่เอ๋อร์ หมดเรื่องแล้ว” ไป๋เฟิงซีเก็บภูษาขาว ครั้นหันไปเห็นหานผู่ทำหน้าแตกตื่นหวาดกลัว สีหน้าของนางก็อ่อนลงในพริบตา

“พะ…พี่สาว วรยุทธ์ของท่าน…วรยุทธ์ของท่านเหตุใดจึงสูงส่งเพียงนี้ นี่คือวิชาอันใดกัน” หานผู่ถามอย่างยังไม่กล้าเชื่อ

วรยุทธ์ของนางสะเทือนยุทธภพขนาดนี้ เช่นนั้นเฮยเฟิงซีผู้ถูกขานนามร่วมกับนางย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่ากัน! มิน่าเล่านางจึงกล้าทำเป็นไม่เห็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวในสายตา จริงซีนะ ไป๋เฟิงเฮยซีมีนามกระเดื่องยุทธภพนานนับสิบปีโดยไร้คู่ต่อกรมิใช่หรือ

“วรยุทธ์ข้าน่ะหรือ ฮิๆ…ผสมผเสไปหมดเชียวล่ะ” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ กลับมาเป็นคนผู้แสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผย มียิ้มมีโกรธดังเดิม “มีที่ถ่ายทอดกันมาในสกุล มีที่ลอบฝึกมา และยังมีที่ถูกบังคับฝึกด้วย เยอะแยะไปหมด”

“เช่นนั้นวรยุทธ์ที่ท่านใช้เมื่อครู่เรียกว่าอะไรหรือ กระบวนท่าเมื่อครู่นี้น่ะ ร้ายกาจยิ่งนัก!” หานผู่ทางหนึ่งเอ่ยทางหนึ่งวาดมือเป็นกระบวนท่า ใบหน้าเปี่ยมแววเลื่อมใส

“กระบวนท่านั้นน่ะหรือ เรียกว่ามังกรคำรามเก้าฟ้า เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนท่าที่สืบทอดกันในสกุลเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะตอบด้วยรอยยิ้ม “สุดยอดวิชาที่เป็นไม้ตายของข้าน่าจะเป็นเฟิ่งคำรามเก้าฟ้ามากกว่า”

“อะไรนะ” หานผู่ร้องอย่างตกใจ “เมื่อครู่ยังไม่นับว่าร้ายกาจที่สุดอีกหรือ ท่านยังมีที่ร้ายกาจกว่านั้น?”

“ใช่แล้ว” นางพยักหน้า “ข้าท่องยุทธภพมาจนวันนี้เคยใช้กับคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“เคยใช้กับผู้ใดหรือ เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” หานผู่ห่วงแค่เรื่องนี้เท่านั้น ครั้นหวนนึกว่ากระบวนท่าเมื่อครู่เขาก็คิดว่าร้ายกาจเหลือเกินแล้ว แล้วภายใต้กระบวนท่าเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าอะไรนั่นยังจะมีผู้ใดรอดชีวิตอีกหรือ

“ย่อมยังมีชีวิตอยู่ ก็คือจิ้งจอกดำตัวนั้นอย่างไรเล่า” ไป๋เฟิงซีเบ้ปากราวกับไม่ยอมแพ้ “มีแต่คนผู้นั้นถึงจะรับเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าของข้าได้ ทว่าข้าก็รับกล้วยไม้ดับแผ่นดินของเขาได้เช่นกัน ไม่รู้แพ้ชนะ”

“คิดไว้แล้วเชียว” หานผู่พึมพำ ก็มีเพียงเฮยเฟิงซีผู้นั้นผู้เดียว มิฉะนั้นไหนเลยจะมีฉายาคู่กับนางได้ “พี่สาว เหตุใดท่านจึงชิงชังพรรคต้วนหุนนักเล่า” เขาชังพรรคต้วนหุนเพราะมีความแค้นที่สังหารล้างสกุล ทว่าพอนึกถึงพฤติกรรมของไป๋เฟิงซีเมื่อครู่ก็พบว่าคล้ายกับนางเคียดแค้นพรรคต้วนหุนถึงขีดสุด ราวกับไม่ยินยอมให้คนพรรคนี้มีชีวิตอยู่บนโลกได้แม้แต่คนเดียว ถึงกับแค้นไม่น้อยไปกว่าเขา

ไป๋เฟิงซีแหงนหน้ามองท้องนภา เงียบงันอยู่ครึ่งค่อนวัน จิตใจล่องลอยไปไกล ประหนึ่งดำดิ่งลงสู่ความคำนึงห้วงหนึ่งในอดีต ขณะที่หานผู่กำลังคิดว่าคงมิได้คำตอบแล้ว นางก็ปริปาก น้ำเสียงราบเรียบเป็นที่สุด แผ่วเบาเป็นที่สุด ดุจควันสายหนึ่งที่ล่องลอยในอากาศ

“เมื่อตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพอายุยังไม่มาก ปีนั้นคล้ายจะอายุสิบสองได้กระมัง นั่นเป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลจากบ้าน ไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพเลย หลงนึกว่าจะผดุงคุณธรรม ผลสุดท้ายก็ถูกหลอกเงินไปจนหมด ซ้ำร้ายจับไข้ ทรุดอยู่ข้างทางใกล้ตายอยู่รอมร่อ ภายหลังได้พี่สาวผู้หนึ่งช่วยไว้ นางนำข้ากลับไปยังบ้าน เชิญหมอมารักษา ดูแลข้าเหมือนเป็นน้องสาวในไส้”

หานผู่ได้ยินแล้วความคิดกลับติดอยู่ที่ประโยค ‘หลงนึกว่าจะผดุงคุณธรรม ผลสุดท้ายก็ถูกหลอกเงินไปจนหมด’ หรือไป๋เฟิงซีผู้ที่บัดนี้มิมีสิ่งใดทำไม่ได้ในอดีตก็เคยเขลาอย่างยิ่งมาก่อน

“พี่สาวท่านนั้นนามว่าไป๋อวี้คนเป็นดั่งนาม นางชอบอ่านพวกเรื่องผจญภัย ชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรบุรุษและหญิงงาม ยอดฝีมือผู้ผดุงคุณธรรมทั้งหลาย หลังจากหายป่วยข้าก็ออกท่องยุทธภพอีกครั้ง พร้อมทั้งนัดแนะกับนางไว้ว่าหนึ่งปีให้หลังจะกลับไปเยี่ยม นำประสบการณ์ในยุทธภพตลอดหนึ่งปีไปเล่าให้นางฟัง”

ไป๋เฟิงซีเล่าถึงตรงนี้ดวงหน้าก็ผุดรอยยิ้มจางๆ สายตาสงบอ่อนโยน ทว่าพริบตาต่อมาในดวงตาของนางก็ฉายแววเย็นเยียบดุจน้ำแข็งและหิมะ รอยยิ้มเป็นดั่งหมอกจางใต้ดวงอาทิตย์ ละลายหายไปช้าๆ

“แต่หนึ่งปีให้หลังเมื่อข้ากลับไปถึงได้รู้ว่านางถูกสังหารล้างสกุลเสียแล้ว”

“อา!” หานผู่อดร้องอย่างแตกตื่นมิได้ ขณะเดียวกันก็นึกถึงบ้านของตัวเอง “ฝีมือพรรคต้วนหุนเช่นกันหรือ”

ไป๋เฟิงซีพยักหน้า “สิบกว่าปีก่อนหากเอ่ยถึงสกุลไป๋แห่งโม่เฉิง นั่นคือสกุลคหบดีชื่อเสียงโด่งดังแห่งต้าตง แต่กลับถูกพรรคต้วนหุนสังหารสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน ภายหลังข้าสืบได้ว่าคู่แข่งทางการค้าของบิดานางจ่ายเงินจ้างให้พรรคต้วนหุนลงมือ พรรคต้วนหุนสังหารบุรุษทั้งหมดในสกุลไป๋ และขายนางและญาติที่เป็นสตรีอีกจำนวนหนึ่งให้หอคณิกา กว่าข้าจะหานางพบก็ล่วงไปสามปีแล้ว ระหว่างนั้นนางถูกขายต่อหลายครั้ง ถูกย่ำยีจนแหลกลาญ หาใช่ไป๋อวี้ผู้งดงามดั่งหยกขาวเช่นวันวานอีกแล้ว แต่เป็นดั่งท่อนฟืนผอมซูบ โรคอันโสมมรุมเร้า! ข้ารับนางออกมาจากหอคณิกา แต่ไม่ว่าจะเชิญหมอที่เก่งเพียงไร ใช้โอสถชั้นเลิศเพียงไรก็ไม่อาจช่วยนางได้ ห้าเดือนต่อมานางก็ตายไป”

นางขบริมฝีปาก บนใบหน้าเย็นชาทอแววปวดร้าว ดวงตาซึ่งเจิดจ้าอยู่เสมอก็คลุมด้วยหมอกอันดำมืด

“ในช่วงห้าเดือนนั้นข้าเห็นความทุกข์ทรมานซึ่งโรคร้ายกระทำกับนางด้วยตาตัวเอง แค้นที่ข้ามีต่อพรรคต้วนหุนจึงสลักลงสู่กระดูก ด้วยเหตุนี้หลังฝังศพนางเสร็จข้าก็คิดหาวิธีให้คนจ้างวานผู้นั้นสิ้นเนื้อประดาตัว และก็เหยียบพรรคต้วนหุนจนราบ! ทว่าโลหิตซึ่งไหลเป็นสายน้ำรวมเป็นมหาสมุทรในพรรคต้วนหุนก็หาได้ดับความแค้นในใจข้าให้มอดลงไม่!”

ไป๋เฟิงซีเลื่อนสายตามามองหานผู่ ดวงตาที่เคยสดใสไร้มลทินยามนี้ดุจครอบไว้ด้วยไอหมอกสีเทา พร่าเลือนและห่างไกล

“พี่สาว” หานผู่อดโอบกอดนางเอาไว้มิได้

“ผู่เอ๋อร์ วันนี้เจ้าสังหารคนกับมือไปคนหนึ่งแล้ว นับว่าได้ล้างแค้นให้บิดามารดาและคนในครอบครัว วันหน้าอย่าทำลายชีวิตผู้ใดอีกเลย” นางโน้มร่างลงกอดหานผู่ไว้ รวบเขาไว้ในอ้อมแขนประหนึ่งจะก่อกำแพงกันลมบังฝนให้เขา “ฆ่าคนไม่อาจทำให้สบายใจได้ แม้จะเพื่อแก้แค้นก็ตาม โลหิตล้างโลหิตไม่มีวันล้างได้หมดสิ้น เชื้อชั่วที่เหลืออยู่ของพรรคต้วนหุนข้าจะเป็นผู้เก็บกวาดเอง ฉะนั้นอย่าได้ทำให้มือของเจ้าแปดเปื้อนเลย”

“พี่สาว” หานผู่รู้สึกเพียงว่าจมูกแสบร้อน ดวงตาร้อนผ่าว

“ผู่เอ๋อร์ ข้าปรารถนาให้เจ้าเป็นผู้มีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์ เหมือนเช่นพี่สาวผู้นั้นที่ข้าพบในตอนแรก โลกนี้มีคนเยี่ยงนั้นน้อยเหลือเกินแล้ว” ไป๋เฟิงซีย่อกายลง ใช้แขนเสื้อซับคราบน้ำตาและคราบโลหิตบนใบหน้าของเขา คืนความบริสุทธิ์ไร้มลทินสู่ดวงหน้าน้อยๆ อันหมดจดคมคาย

ยามนี้ปากตรอกพลันเกิดเสียงล้อรถบดผ่านผิวถนน รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามาในตรอก เหยียนจิ่วไท่กระโดดลงจากรถม้า เมื่อเห็นสภาพตรงหน้าก็มีสีหน้าแตกตื่นทันที “แม่นางเฟิง!”

“พี่เหยียน ท่านกลับมาแล้ว” ไป๋เฟิงซีเงยหน้า สีหน้ากลับเป็นปกติแล้ว

“แม่นาง เกิดเรื่องอะไรกันนี่” เหยียนจิ่วไท่ถาม

“ก็แค่โจรไม่กี่คน ไม่ต้องสนใจ” นางหยัดกายขึ้นเอ่ยเรียบๆ

เหยียนจิ่วไท่เก็บลูกศรไม้ไผ่บนพื้นขึ้น พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม้ไผ่ชนิดนี้เรียกว่าไผ่ฉังหลี มีเพียงที่ริมฝั่งทะเลสาบฉังหลีในโยวโจวเท่านั้น ท่านล่วงเกินผู้ใดในโยวโจวเข้าหรือ”

“โยวโจว?” ในดวงตาไป๋เฟิงซีสาดประกายเย็นเยียบ นางเก็บธนูไม้ไผ่บนพื้นขึ้น ล่วงไปครู่หนึ่งถึงเงยศีรษะเอ่ยแก่เหยียนจิ่วไท่ว่า “พี่เหยียน รบกวนท่านเรียกพี่น้องมาจัดการคนเหล่านี้หน่อย พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่”

“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำ

เขาหมุนกายเดินออกจากตรอก ไม่นานนักก็กลับมา เบื้องหลังมีคนสามสี่คนตามมาด้วย

“แม่นางเฟิง ที่นี่ปล่อยให้พี่น้องจัดการ พวกเราออกเดินทางได้แล้ว”

“อื้ม เราไปกันเถิด”

ทั้งสามขึ้นรถม้าออกจากไท่เฉิง ลงใต้ไปตลอดเส้นทาง

 

หลังออกจากไท่เฉิง เนื่องจากมีรถม้านั่ง ดังนั้นไป๋เฟิงซีจึงสำแดงวิชาหลับอันไร้ผู้ต่อกรของนางอีกครา ทว่าสร้างความลำบากให้หานผู่ผู้ชอบเคลื่อนไหว

รถม้าสี่ล้อที่เหยียนจิ่วไท่หามาสะดวกสบายยิ่ง ตัวรถม้าใหญ่เท่าห้องขนาดย่อมๆ ตรงกลางมีประตูไม้กั้นแบ่งห้องด้านในและด้านนอก ผนังทั้งสี่ด้านแขวนผ้าแพรไหมหนา ทำให้ภายในรถอบอุ่นดั่งวสันตฤดู ท่ามกลางเตียงกว้างสีแดงเข้ม ไป๋เฟิงซีกำลังกอดผ้าห่มแพร เส้นผมยาวสลวยทิ้งตัวระบนที่นอน หานผู่ที่นั่งพิงเตียงอยู่บนพรมคว้าผมปอยหนึ่ง หวังจะดึงให้นางตื่น

“พี่สาว ท่านอย่าห่วงแต่นอนซี”

“ผู่เอ๋อร์…อย่ากวนน่า…ให้…ให้ข้านอนสบายๆ สักงีบ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้น เสียงเคาะประตูไม้ก็ดังขึ้น จากนั้นเหยียนจิ่วไท่ก็ก้าวเข้ามา “แม่นางเฟิง ขนมที่ท่านสั่งข้าซื้อมาเรียบร้อยแล้ว”

ไป๋เฟิงซีผู้เดิมทียังทำสีหน้ากระหายนิทราเมื่อได้ยินว่ามีของกินก็กระโดดผึงทันที “พี่เหยียน ท่านกลับมาได้เวลาเสียจริง ข้ากำลังหิวอยู่พอดี”

“แม่นางเฟิง เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวอย่างหนึ่งมาจากตลาดว่าเดือนสามปีหน้าโยวอ๋องจะเลือกคู่ให้ฉุนหรานกงจู่” เหยียนจิ่วไท่กล่าวพลางยื่นขนมให้นาง

“เลือกคู่ให้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงผู้นั้นน่ะหรือ” ไป๋เฟิงซีฟังดังนั้น มือที่เดิมยื่นออกไปก็พลันชะงัก

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าโยวอ๋องประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว เลือกคู่ครานี้ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงศักดิ์ต่ำต้อย ขอเพียงกงจู่เลือกมอบพู่กันทองให้ก็จะได้เป็นเขยโยวอ๋อง” เหยียนจิ่วไท่กล่าว

ไป๋เฟิงซีผลักขนมตรงหน้าออก ลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่หาได้น้อยยิ่ง ทำให้เหยียนจิ่วไท่และหานผู่พากันหลากใจ ขบคิดไม่แตกว่าเหตุใดการเลือกคู่ของกงจู่ผู้หนึ่งจึงเรียกความสนใจจากคนผู้ที่แต่ไหนแต่ไรใช้ชีวิตประหนึ่งเล่นสนุกได้ถึงเพียงนี้

“กงจู่แห่งโยวโจวปีนี้ใกล้จะยี่สิบแล้วกระมัง ที่แล้วมาคอยแต่ประวิงเวลาไม่ยอมเลือกคู่ แต่กลับจะมาเลือกสามีในเดือนสามปีหน้า” สายตาไป๋เฟิงซีทอดไปยังเพดานรถม้า รำพึงรำพันกับตัวเอง

“พี่สาว กงจู่นั่นเลือกคู่เกี่ยวอันใดกับท่านด้วย ไยต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้” หานผู่ถาม

“บางทีอาจจะใกล้เริ่มขึ้นแล้ว” นางคล้ายไม่ได้ยินวาจาหานผู่ ยังคงพึมพำ ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้ม ดวงตาฉายแววสนุกเต็มที่ นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหยียนจิ่วไท่ “พี่เหยียน พวกเราไปโยวโจวกัน”

“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำ หาได้ถามไถ่ถึงสาเหตุไม่ “จะใช้เส้นทางจี้โจวหรือผ่านทางราชอาณาเขตดี”

“ผ่านทางจี้โจวเถิด” ไป๋เฟิงซีกลับมามีท่าทีผ่อนคลายดังเก่า จากนั้นก็หยิบขนมส่งเข้าปาก

“ทำไมพวกเราต้องไปโยวโจวด้วยเล่า” หานผู่ดึงแขนเสื้อนางถามอย่างไม่ยอมถอดใจ

“แน่นอนว่าไปยลโฉมหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงอย่างไรเล่า!” ไป๋เฟิงซีเหล่ตามองเขา “ถือโอกาสไปดูด้วยว่านางจะเลือกคนเช่นไรเป็นสามี”

“หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง? จะงามกว่าท่านหรือไม่” หานผู่ถามต่อ

“แค่กๆ…แค่กๆ…” ไป๋เฟิงซีถูกวาจาหานผู่กระทำจนสะดุ้ง สำลักจนไอไม่หยุด

“ข้าก็ไม่ได้แย่งท่านเสียหน่อย ทำไมต้องรีบกินเช่นนี้ด้วย” หานผู่ลูบหลังนางด้วยท่าทางอย่างคนที่โตแล้ว จริงๆ เลยน้า ตอนนี้ไม่ขาดของกินของใช้ มิจำเป็นต้องกระเบียดกระเสียรแล้ว การให้เหยียนจิ่วไท่ติดตามมาด้วยเป็นเรื่องถูกต้องโดยแท้! ในโลกนี้นอกจากเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้ก็ไม่มีบ่าวไพร่คนไหนอีกแล้วกระมังที่จะประเคนทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีมาปรนนิบัติเจ้านายเช่นนี้

“แม่นางเฟิง ดื่มน้ำขอรับ” เหยียนจิ่วไท่มองไป๋เฟิงซีที่สำลักจนหน้าแดงไปหมดก็อดไม่ได้ รีบรินน้ำยื่นส่งให้

ไป๋เฟิงซีรีบดื่มน้ำลงไป เสร็จแล้วก็ตบหน้าอก ผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ ข้าไม่กินแล้ว ข้าจะนอน” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงบนเตียงจริงๆ

“อย่าเพิ่งนอนสิ” หานผู่คว้านางไว้ “ท่านหลับแล้วข้าจะทำอะไร”

“ให้พี่เหยียนเล่านิทานให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ไป๋เฟิงซีหาวหวอด โบกไม้โบกมือ

“จริงด้วย” หานผู่ตาเป็นประกาย “พี่เหยียน ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าปีนั้นพี่สาวถล่มสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นได้อย่างไร”

“เรื่องนั้นมีอันใดน่าเล่ากัน รู้ไว้ด้วยว่าปีนั้นข้าเกือบต้องห่าธนูของพวกเขาจนพรุนเป็นรังต่อ” ไป๋เฟิงซีกอดผ้าห่มส่งเสียงงึมงำ

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เล่าเรื่องที่พี่สาวเหยียบสิบเจ็ดตำหนักแห่งนิกายครามจนราบเป็นหน้ากลองก็แล้วกัน”

“ยิ่งไม่มีอันใดให้เล่าเข้าไปใหญ่ ครานั้นที่ตำหนักใหญ่ของพวกเขา ข้าเกือบจะโดนเผาเกรียมเป็นถ่านหิน” ไป๋เฟิงซีบ่นกระปอดกระแปดอีกครั้ง ทว่าเสียงเริ่มอู้อี้ ร่างซุกเข้าไปในผ้าห่มเกือบหมดแล้ว

“เช่นนั้นก็เล่าเรื่องที่เมื่อสามปีก่อนพี่สาวขี่อาชาบุกเข้าภูเขาเหนี่ยวซานเพียงลำพัง ช่วยเป่ยโจวชิงเสบียงบรรเทาสาธารณภัยห้าสิบหมื่นตั้นจากพวกโจร”

“นั่นก็ไม่สนุก เกือบถูกดินปืนระเบิดจนกลายเป็นเศษเนื้อ”

“นี่ก็ห้ามเล่า นั่นก็ห้ามเล่า เช่นนั้นยังมีอันใดน่าเล่าอีกเล่า!” หานผู่เบ้ปาก

“ก็ให้พี่เหยียนเล่านิทานจำพวกหมาป่าจงซันพยัคฆ์แทนคุณให้เจ้าฟังสิ”

“ข้าไม่อยากฟัง ข้าอยากฟังแต่เรื่องที่เกี่ยวกับท่านเท่านั้น”

ไป๋เฟิงซียื่นมือข้างหนึ่งออกจากใต้ผ้าห่ม โบกไปซ้ายทีขวาที “จะเล่านิทานก็อย่าเอาข้าไปเกี่ยว นิทานโดยทั่วไปมักจะเป็นเรื่องของคนตาย รอให้ข้าตายไปแล้วถึงเล่าได้”

“แต่ว่า…”

“ฮ้าว…” นางหาวหวอด ชักมือกลับเข้าใต้ผ้าห่ม “อย่ากวนข้า ข้าจะนอนแล้ว”

“พี่สาว” หานผู่เขย่านาง “พี่สาว”

ไป๋เฟิงซีกลับเอาแต่นอน ไม่สนใจเขาอีก

“เหตุใดท่านถึงอยากติดตามพี่สาวเล่า” ครั้นเห็นนางหลับไป หานผู่ก็เดินมาตรงหน้าเหยียนจิ่วไท่แล้วถามขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผู้ที่ก้าวออกมาก็บารมีสะเทือนทั่วทิศผู้นี้เหตุไฉนจึงยอมลดตัวเป็นบ่าวไพร่ เพียงเพื่อให้ได้ติดตามอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี

เหยียนจิ่วไท่เพียงแต่ยิ้ม ไม่ตอบคำ

“พูดสิ” หานผู่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเงียบ

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยากติดตามนางเล่า” เหยียนจิ่วไท่ย้อนถาม บนใบหน้าอัปลักษณ์มีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งทอแววเจิดจ้า เขาหาได้มองผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเด็กน้อยธรรมดาไม่

หานผู่พูดไม่ออก ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่หานผู่จะเบือนหน้าหนีแล้วเดินกลับไปที่หน้าเตียง “ข้าก็จะนอนเหมือนกัน”

ว่าแล้วก็เลิกผ้าห่ม มุดเข้าไปด้านใน กอดแขนข้างหนึ่งของไป๋เฟิงซีไว้ต่างหมอน

“เจ้า…” เหยียนจิ่วไท่อึ้ง นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ชายหญิงเจ็ดขวบไม่ร่วมเสื่อ’ ทว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าสายตานี้…

หานผู่ถลึงตาใส่เขาแล้วแลบลิ้น ทำหน้าประหลาดพิกล “ตลอดทางที่ผ่านมาข้าก็นอนกอดพี่สาวเช่นนี้ ท่านอิจฉาหรือ อิจฉาไปก็ไม่มีส่วนแบ่งถึงท่านอยู่ดี ท่านไปนอนห้องด้านนอกเถิด”

สุดท้ายเหยียนจิ่วไท่ก็เพียงแค่แย้มยิ้ม ผลักประตูออกไป

บทที่ 11 ลมวสันต์ ระบำเฉิดฉาย ราตรีเกี่ยววิญญาณ

“ยามร่ำเมรัยแม้นขัดใจ                              แล้วไยอวดโวโอ่ลำพอง

เฟ้นสรรถ้อยคำพร่ำขานท่อง                     ทำนองฟ้องอกตรมขมหม่น

มัจฉาเวียนว่ายถึงฝั่งตื้น                               ทุกข์ขื่นยากรู้ชะตาตน

ห่านไพรร่อนลงผิดแห่งหน                       กมลแหลกลาญลงง่ายดาย

เสื้อปอดึงดันวาดฝันพราย                          พลิ้วกรายรำหนีฉังเฉิดฉาย

พฤกษากรอบแห้งอ้างจะคลาย                 กำจายหอมฮุ่ยจื่อรื่นใจ

ชีพตกต่ำความฝันไม่เหลือ                        ขึ้นเหนือตามมรรคสู่เผิงไหล

อิงศาลาทอดมองทิศใต้                               โสมใสดังหยาดนิศาชล”

 

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าอายุเท่านี้ ท่องกลอนพรรค์นี้ทำไมกัน เปลี่ยนเป็นบทอื่นเถิด”

ริมฝั่งฉังหลีอันยาวลดเลี้ยว ต้นหลิวเขียวขจี ลมแห่งวสันตฤดูโชยพัด ตะวันคล้อยทอแสงอุ่น ยามนี้คือเดือนสาม ทิวทัศน์แห่งใบไม้ผลิกำลังงดงาม รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่อย่างเอื่อยเฉื่อย เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยขับกลอนลอดออกมาจากตัวรถม้า แทรกด้วยเสียงเกียจคร้านไร้เปรียบปานของดรุณีนางหนึ่ง

“พี่สาว ที่ผู่เอ๋อร์ท่องคือกลอนซึ่งประพันธ์โดยซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจว ผู่เอ๋อร์ท่องเป็นอย่างไรบ้าง”

“กลอนบทนี้รอเจ้าแก่ขึ้นอีกสามสิบปีแล้วค่อยท่อง ตอนนี้เจ้าที่อายุเพียงเท่านี้ไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงรสกลอนได้”

“เช่นนั้นข้าท่องอีกบทให้ท่านฟัง” เสียงไร้เดียงสามีความกระตือรือร้นถึงสิบส่วน แฝงความปรารถนาอย่างเด็กที่หวังนักหนาว่าจะได้รับคำชมจากผู้ใหญ่

“เอาซี” น้ำเสียงนางราบเรียบ ให้ความรู้สึกว่าจะเอาอย่างไรก็ได้

 

“ราตรีก่อนใครเล่ายินเสียงเซียว

หริ่งหรีดเปลี่ยวเย็นเหงาเฝ้าขานขับ

ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ

ร้องร่ำจับระบำสู่นิทรา”

 

“พี่สาวๆ ครานี้ท่องได้เป็นอย่างไรบ้าง” ในตัวรถ หานผู่เขย่าไป๋เฟิงซีที่สะลึมสะลือกำลังจะหลับ

“ทารกน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าไหนเลยจะเข้าใจความเหน็บหนาวอ้างว้างของ ‘ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ’ ” ไป๋เฟิงซีอ้าปากหาว มองหานผู่แล้วกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่เล่า โลกนี้ก็หาใช่มีนางคนเดียวที่แต่งได้ กาพย์กลอนที่เหมาะกับวัยของเจ้ามีตั้งมากมาย”

“ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าซีอวิ๋นกงจู่เป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค ว่ากันว่าเมื่ออายุเพียงสิบปีนางเคยนิพนธ์วิเคราะห์…วิเคราะห์…” หานผู่หลับตา พยายามนึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยบอกเขาอย่างสุดกำลัง แต่กลับ ‘วิเคราะห์’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็นึกไม่ออก

“วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าพร้อมกับต่อคำให้

“ใช่ๆๆ!” หานผู่ผ่อนลมหายใจ “ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ท่านอาจารย์บอกว่าปีนั้นชิงอ๋องทดสอบผู้มีความสามารถในแคว้น ณ แท่นสังเกตการณ์ ให้พวกเขาวิเคราะห์หัวใจสำคัญของการปกครอง ครานั้นซีอวิ๋นกงจู่ตามอยู่ข้างกาย จึงสะบัดพู่กันนิพนธ์ด้วยหนึ่งบท สายตาเฉียบแหลมไม่เหมือนใคร ทัศนะมิใช่สามัญ ความสามารถสยบผู้เป็นอันดับหนึ่งทางบุ๋น แม้เป็นสตรีทว่าท่วงทำนองทางอักษรน่าตกตะลึงนัก ดังนั้นบรรดาลูกพี่ลูกน้องสตรีในบ้านข้าจึงชื่นชอบเลียนอย่างซีอวิ๋นกงจู่ เมื่อได้ยินว่ากงจู่สวมอาภรณ์เช่นใด หวีเกศาทรงไหน สวมเครื่องประดับอย่างไร พวกนางก็จะเอาอย่างทันที”

ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าทอดถอนใจ ทิ้งร่างลงบนเตียง เตรียมนอนต่ออีกสักงีบ แต่แล้วก็พลันผุดขึ้นนั่ง เอียงหูคล้ายกำลังตั้งใจฟังบางสิ่ง ครู่ต่อมาก็ส่ายหน้า “ท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่อีกผู้หนึ่งแล้ว”

“ผู้ใดท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่หรือ” หานผู่ถาม

“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ได้ยินเอง” ไป๋เฟิงซีไม่นอนแล้ว แต่เปิดหน้าต่างบานน้อยด้านข้างออก มองไปยังด้านนอก ลมเย็นโชยปะทะใบหน้า นางสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก “และข้าก็ได้กลิ่นแล้ว”

“กลิ่นอะไรหรือ” หานผู่พาดร่างบนขอบหน้าต่าง สูดหายใจลึกเช่นกัน ทว่ากลับไม่ได้กลิ่นใดๆ เขาเอียงหูฟังอย่างละเอียด ในสายลมมีเสียงขับขานเสียงหนึ่งลอยมา ยิ่งมายิ่งใกล้ ได้ยินชัดขึ้นทีละน้อย

 

“มนุษย์ย่อมโรยรา                    ดวงจันทราย่อมแหว่งเสี้ยว

อิงกายเพียงดายเปลี่ยว              กับรั้วหยกบนหอน้อย

ถึงกาลบุปผาร่วง      นางแอ่นควงคู่เหินคล้อย

ปุยฝ้ายเดือนสารทลอย             ครึ่งเมืองฟ่องดั่งหมอกควัน”*

 

เสียงใสกังวานของสตรีล่องลอยมาตามสายลมแห่งวสันตฤดู แว่วหวานดุจเสียงสวรรค์ ทว่ากลับแฝงแววรันทด อ้างว้างดั่งจอกแหนไร้รากล่องลอยเรื่อยไป

“ก็กลิ่นของเจ้าจิ้งจอกดำตัวนั้นน่ะซี” ไป๋เฟิงซีพึมพำ เลิกม่านขึ้นแล้วก็กระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ ทอดสายตามอง รถม้าคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนมาทางนี้ “เป็นบุรุษอกสามศอก ทว่าบนร่างมักมีกลิ่นหอมของกล้วยไม้อย่างที่กระทั่งสตรีก็ยังไม่มี”

“อยู่ที่ใดกัน” หานผู่ก็กระโดดตามขึ้นไป แต่หาได้กระโดดอย่างผ่อนคลายเยี่ยงเดียวกับนางไม่ เมื่อทิ้งตัวบนหลังคาก็เกิดเสียงโครมดังสนั่น แม้จะประคองร่างมั่นคงดีแล้ว แต่กลับชวนให้วิตกว่าเขาจะทำหลังคารถทะลุเป็นรูโหว่ไปแล้วหรือไม่

เคราะห์ดีที่เหยียนจิ่วไท่เห็นพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของพี่น้องคู่นี้จนชินตาแล้ว ไม่นั่งในรถแต่ไปนั่งบนหลังคาเช่นนี้ก็หาเป็นครั้งแรก จึงเพียงบังคับรถม้าของเขาต่อไป

ที่ขับเคลื่อนมาจากด้านหน้าคือรถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่ง ใหญ่เกือบสองเท่าของรถที่พวกเขานั่ง รอบตัวรถห้อยไว้ด้วยผ้าลูกไม้สีดำที่พลิ้วไหวในสายลมใบไม้ผลิ เสมือนเส้นผมของดรุณีน้อยในห้วงรักที่ใคร่จะพันรอบเท้าของผู้เป็นดวงใจไว้ แต่กลับรั้งได้เพียงเงาของแผ่นหลังอันว่างเปล่า

เมื่อรถม้าทั้งสองมาพบกัน ต่างคนต่างก็หยุดลง

“ท่านลุงจง พบกันอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีบนหลังคายิ้มจนตาหรี่เล็ก ทักทายสารถีของรถม้าที่อยู่ตรงข้าม ส่วนสารถีของรถตรงข้ามกลับเพียงพยักหน้าน้อยๆ

ประตูรถม้าคันตรงข้ามเปิดออก ผู้ที่เลิกม่านออกมาก่อนคือจงหลีและจงหยวน ทั้งสองยืนอยู่นอกประตู เลิกม่านขึ้น จากนั้นเฮยเฟิงซีถึงค่อยก้าวออกมา

“เมื่อไรเจ้าถึงจะเหมือนสตรีขึ้นบ้าง” เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่นั่งเอียงกระเท่เร่อยู่บนหลังคา ส่ายหน้าทอดถอนใจ

“ในสายตาคนทั่วหล้าข้าก็เป็นสตรีนี่ ยังจะให้เหมือนสตรียิ่งขึ้นได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีเอ่ยพร้อมกับยิ้มเผล่

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฮยเฟิงซีก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามมายืนบนพื้นหญ้า

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า” ไป๋เฟิงซีฟุบร่างบนหลังคา มองเฮยเฟิงซีที่แหงนหน้ามองนางจากด้านล่าง ความรู้สึกเวลาก้มมองเช่นนี้ช่างดีแท้

เฮยเฟิงซีเพียงยิ้มไม่ตอบคำ สายตากวาดผ่านหานผู่คราหนึ่ง จากนั้นก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มมิได้ว่า “ดูท่าเจ้าผีน้อยนี่โดนเจ้าเลี้ยงได้ไม่เลวนี่”

หานผู่ในยามนี้สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดวงหน้าหมดจดคมคายบริสุทธิ์อย่างเด็กหนุ่ม สีหน้ามีแววผึ่งผาย และในท่วงท่าก็เริ่มมีเค้าความอิสระที่ไม่ถูกจำกัดอย่างไป๋เฟิงซีขึ้นมาสองสามส่วน

“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นน้องชายผู้น่ารักที่ข้าหามาเชียวนะ ย่อมต้องเลี้ยงดูให้ดี” ไป๋เฟิงซียื่นมือตบศีรษะหานผู่ที่ฟุบอยู่กับนางประหนึ่งตบสุนัขน้อยที่เชื่อฟังตัวหนึ่ง

“ข้าเพียงประหลาดใจอยู่บ้างว่าเขาติดตามเจ้าเหตุใดถึงยังไม่อดตาย” เฮยเฟิงซียังคงยิ้มหน้าบาน

“โอ้! หญิงงามนี่!” ไป๋เฟิงซีพลันร้องเอะอะขึ้น ดวงตาจดจ้องสตรีผู้งามล้ำและเย็นชาที่ก้าวออกมาจากรถม้าของเฮยเฟิงซี “เป็นหญิงงามหายากในใต้หล้าทีเดียว!” ไป๋เฟิงซีเหินร่างลงจากหลังคา ทิ้งตัวลงตรงหน้าหญิงงาม เดินวนมองซ้ายมองขวาอยู่รอบนางพลางพยักหน้า “ช่างเป็นยอดโฉมงามในแดนมนุษย์โดยแท้ ข้าว่าแล้วว่าจิ้งจอกอย่างเจ้าไม่ยอมเหงาหรอก ตลอดทางที่มาจะไม่เสาะหาหญิงงามคอยเคียงข้างได้อย่างไร”

เฟิ่งชีอู๋มองสตรีที่วนซ้ายเวียนขวาอยู่ตรงหน้าด้วยอาการตะลึงตะไล บางทีอาจเพราะนางเคลื่อนไหวรวดเร็ว ทำให้เห็นใบหน้าสตรีผู้นี้ไม่ชัด ในความพร่าเลือนเห็นเพียงดวงตาสุกใสดั่งดวงดาราคู่หนึ่ง มีเส้นผมยาวสลวยดำขลับดุจราตรียามจื่อที่พลิ้วไหวในสายลม อาภรณ์ขาวสว่างตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผมยาวเหยียด กลางหน้าผากมีประกายแสงอบอุ่นแต้มหนึ่ง

“พี่สาว หากท่านยังจะเดินวนต่ออีก ข้าว่านางคงใกล้เป็นลมแล้ว”

หานผู่ก็กระโดดลงจากรถ กวาดตามองสตรีชุดครามเบื้องหน้าหนึ่งคราแล้วเบะปาก อันใดกันนี่ อย่างกับเสาที่ทำจากน้ำแข็ง งามสู้พี่สาวก็ไม่ได้!

ไป๋เฟิงซีกลับหมุนร่างมาเงื้อฝ่ามือตบศีรษะหานผู่ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผู่เอ๋อร์ ภายหน้าเจ้าอย่าได้เที่ยวเด็ดบุปผาเย้าต้นหญ้าไปทั่วอย่างจิ้งจอกดำตัวนี้เชียวนะ แต่แน่นอนว่าหากหญิงงามกำนัลเสื้อผ้ามอบอาหารให้ เจ้าก็จงรับไว้ ต่อให้ไม่ต้องการก็ต้องอย่าลืมเอามายกให้ข้าเป็นการแทนคุณ”

“เจ็บนะ!” หานผู่ลูบศีรษะขมวดคิ้ว “ทำไมมาตีข้าเล่า ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย”

“อ้อ ขอโทษที ผู่เอ๋อร์ เผลอตบเจ้าเพราะนึกว่าเป็นจิ้งจอกดำตัวนั้นเสียแล้ว” ไป๋เฟิงซีรีบลูบศีรษะเขา ก่อนจะเป่าลมให้

หานผู่ถลึงตาใส่เฮยเฟิงซีที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคืองแค้น แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นจะเหลียวแลเขาสักนิดก็หาไม่ สายตาเอาแต่จับอยู่บนร่างไป๋เฟิงซีราวกับกำลังค้นหาหรือวางแผนบางอย่าง ส่งผลให้หานผู่อึดอัดใจยิ่งกว่าเก่า

ไป๋เฟิงซีหมุนร่างกลับมา เดินมาตรงหน้าหญิงงาม แล้วถามด้วยรอยยิ้มชื่นบานว่า “แม่นางคนงาม เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ ถูกจิ้งจอกตัวนี้ล่อลวงมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อใด”

พักใหญ่กว่าเฟิ่งชีอู๋จะเห็นสตรีตรงหน้าชัดตา ทันใดนั้นนางผู้ทะนงตนมาตลอดว่าสูงส่งผุดผาดก็เกิดความรู้สึกละอายที่ไม่อาจเทียบเทียมได้

คนผู้อยู่เบื้องหน้านี้มีดวงตาใสบริสุทธิ์ดุจวารี สุกสกาวดั่งดวงดาว ดวงหน้าหมดจด สีหน้าท่าทางสดชื่นปลอดโปร่ง ริมฝีปากประดับด้วยยิ้มสวยเจิดจ้าดุจบุปผชาติ เสมือนหนึ่งนับแต่แรกเบิกฟ้าดินมานางก็แย้มยิ้มอยู่แล้ว ยิ้มมองลมกำเนิดเมฆก่อตัวเรื่อยมา ยิ้มจวบจนมหานทีกลายเป็นผืนปฐพี และผืนปฐพีกลับกลายเป็นห้วงสมุทร

นางยืนอยู่ ณ ที่นั้นอย่างผ่อนคลาย ดั่งจันทร์กระจ่างกลางนภากาศ ผุดผ่องแผ่วพลิ้ว ประหนึ่งฟ้าดินอันไพศาลนี้คือแท่นเวทีของนางแต่เพียงผู้เดียว แขนเสื้อนางโบกไหวราวกับเหยียบเมฆาถลาลม ให้ความรู้สึกอิสรเสรีไร้สิ่งผูกมัด

บุคคลเช่นนี้กำเนิดขึ้นได้อย่างไรกันนะ โลกนี้มีสตรีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร สตรีผู้หมดจดงดงามดั่งดวงจันทร์และเจิดจ้าจับตาดั่งดวงอาทิตย์ผู้นี้คือใคร

“จิ้งจอกดำ คนงามของเจ้าเป็นอะไรไปเสียแล้ว” ไป๋เฟิงซีเห็นเฟิ่งชีอู๋เอาแต่เบิกตาจ้องมองนาง จึงได้แต่ถามเฮยเฟิงซี

“ชีอู๋คารวะแม่นาง” เฟิ่งชีอู๋ได้สติก็รีบแสดงคารวะอย่างชดช้อย

พฤติกรรมนี้มิเพียงผู้อื่นเห็นประหลาด กระทั่งเฮยเฟิงซีก็ยังหลากใจอยู่หลายส่วน

เหตุไฉนเฟิ่งชีอู๋ผู้เย็นชากับผู้คนถึงมีท่าทีเช่นนี้กับไป๋เฟิงซีผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอยได้

“อา ชีอู๋คนงาม อย่าได้มากพิธี” ไป๋เฟิงซีปราดเข้าไปประคอง กุมมือเรียวบางอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกนั้นไว้ รู้สึกเพียงว่ามันนุ่มนิ่มดั่งหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้นึกเอ็นดูนัก นางอดลูบคลำอีกสองสามครามิได้ “แม่นางชีอู๋ เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีนามอันไพเราะเช่นนี้ ทว่าเจ้าช่างตาไร้แววเสียจริง”

เฟิ่งชีอู๋ไม่แจ้งในความนัย

“ชีอู๋…ชีอู๋ ย่อมหมายถึงเฟิ่งเกาะบนต้นอู๋ถง หญิงที่งดงามอย่างเจ้าย่อมต้องเสาะหาอู๋ถงต้นที่ดีที่สุด แต่ไฉนมาเลือกจิ้งจอกตัวหนึ่งเสียได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวอย่างเสียดายนักหนา พร้อมกันนั้นก็ชี้ไปยังเฮยเฟิงซีที่อยู่ด้านหลัง

เฟิ่งชีอู๋ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้ม มองไปทางเฮยเฟิงซี

ตลอดทางมานี้เหล่าผู้ติดตามล้วนแต่เคารพนบนอบเขาอย่างยิ่ง ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ยามนี้สตรีตรงหน้าร้องเอะอะ คำก็จิ้งจอกดำ สองคำก็จิ้งจอกดำ ทว่าเขายังคงยิ้มน้อยๆ อย่างปลอดโปร่งงามสง่า ราวกับคำพูดของสตรีอาภรณ์ขาวผู้นี้ไม่เกี่ยวกับตนแต่อย่างใด ทั้งราวกับยอมลงให้แก่พฤติกรรมและวาจาทั้งหมดทั้งสิ้นของนาง ยามที่สายตากวาดผ่าน นัยน์ตาสีดำขลับล้ำลึกนั้นนิ่งสงบ

“เซี่ยวเอ๋อร์คารวะแม่นางซี” เซี่ยวเอ๋อร์ผู้ตามมาด้านหลังเฟิ่งชีอู๋เข้ามาน้อมคารวะ

“อ้า เซี่ยวเอ๋อร์ผู้น่าพิสมัย ไม่ได้พบดวงหน้าแช่มชื่นที่หวานหยดย้อยของเจ้ามานานเหลือเกินแล้ว ทำเอาข้าคิดถึงแทบแย่!” ไป๋เฟิงซีปล่อยเฟิ่งชีอู๋ ก้าวเข้าไปประคองดวงหน้าน้อยๆ ของเซี่ยวเอ๋อร์ ซ้ายหยิกสักนิด ขวาลูบสักหน่อย อดส่งเสียงจิ๊กจั๊กชื่นชมมิได้ว่า “ยังคงเป็นรอยยิ้มของเซี่ยวเอ๋อร์ที่น่ามองที่สุด ชื่นใจกว่ารอยยิ้มจิ้งจอกจอมปลอมที่แปะอยู่ถาวรเป็นพันปีบนใบหน้าของใครบางคนมากมายนัก”

“แม่นางซี ไม่ได้พบท่านมานานนัก ยังชอบล้อเล่นเหมือนเดิมเลยนะเจ้าคะ” เซี่ยวเอ๋อร์ดึงเอาดวงหน้าสีชมพูระเรื่อออกจากเงื้อมมือมารของไป๋เฟิงซี คว้ามือนางไว้แล้วผินหน้ากลับไปเอ่ยแก่เฟิ่งชีอู๋ว่า “แม่นางเฟิ่ง ท่านนี้คือแม่นางเฟิงซีเจ้าค่ะ คือไป๋เฟิงซีผู้ได้รับการขานนามร่วมกับกงจื่อเป็นไป๋เฟิงเฮยซี”

“ไป๋เฟิงซี?” เฟิ่งชีอู๋เบิกดวงตางดงามกว้างด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่านางเคยได้ยินนามอันโด่งดังปานอสนีบาตฟาดหูนามนี้ สตรีผู้ทำสิ่งใดตามใจดั่งสายลม ที่แท้ก็คือผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้เอง บุคลิกโดดเด่นไม่เป็นสอง ชวนให้ไม่อาจละสายตาได้เลย

“แม่นางเฟิ่ง? เฟิ่งชีอู๋?” ไป๋เฟิงซีมองเฟิ่งชีอู๋อีกครา แล้วถึงหันหน้าไปมองเฮยเฟิงซีแวบหนึ่ง ประกายเจิดจ้าในดวงตาฉายวูบ “ข้าคล้ายกับเคยได้ยินนามนี้จากที่ใดมาก่อน”

“เฟิ่งชีอู๋เคยพำนักอยู่ที่หอลั่วรื่อ” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงเรียบ “เสียงขับขานของนางลือชื่อไปทั่วทั้งราชอาณาเขต”

“เช่นนี้เองหรือ” ไป๋เฟิงซียิ้มพลางพยักหน้า คล้ายไม่ประสงค์จะสืบสาวเรื่องราวให้แจ่มแจ้ง “บางทีข้าอาจเคยได้ยินจากปากของสหายชาวยุทธ์ท่านใดท่านหนึ่งกระมัง”

“หัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นกลายเป็นสารถีของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” เฮยเฟิงซีกวาดตาผ่านเหยียนจิ่วไท่ที่นั่งนิ่งอยู่บนรถ

“ฮิๆ เขาบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณที่ไว้ชีวิตเมื่อหกปีก่อน” ไป๋เฟิงซีหัวเราะร่วนแล้วเอ่ยขึ้น สายตาสบกับสายตาของเฮยเฟิงซีราวกับเป็นการเตือน

“เห็นได้ชัดว่าสายตาของเขาก็แย่ยิ่งเช่นกัน” เฮยเฟิงซียิ้ม หมุนกายขึ้นรถไป

“ช้าก่อน จิ้งจอกดำ เจ้ามาทะเลสาบฉังหลีก็เพื่อสิ่งนี้ใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซีร้องเรียกจากด้านหลัง ล้วงลูกศรครึ่งดอกออกจากแขนเสื้อ

“เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร” สายตาเฮยเฟิงซีกวาดผ่านลูกศรนั้น มีแววประหลาดใจเล็กน้อย

“ระหว่างทางข้าถูกคนพรรคต้วนหุนลอบโจมตี พวกเขานอกจากทิ้งชีวิตไว้เจ็ดชีวิตก็ทิ้งเจ้าสิ่งนี้ไว้ด้วย” ไป๋เฟิงซีซัดมือ แล้วลูกศรครึ่งดอกก็พุ่งแหวกอากาศออกไป ร่วงลงสู่ลำน้ำฉังหลี

“อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าเจ้าถึงได้มาที่นี่” เฮยเฟิงซีพยักหน้า “แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในทะเลสาบหรอก ข้าเพิ่งออกมาจากที่นั่น เหลือแต่รังเปล่าแล้ว”

“หนีไปแล้วหรือ” ไป๋เฟิงซีดวงตาไหววูบ จากนั้นก็จ้องเฮยเฟิงซีเขม็ง “เจ้าค้นพบบางสิ่ง”

“ใช่” เขาว่าแล้วก็เข้าไปในรถ

“หึ คิดไว้มิผิดเลย” ไป๋เฟิงซีก้าวตามหลังเขาขึ้นรถไป ก่อนจะตบไหล่พี่น้องฝาแฝดผู้ยืนอยู่หน้าประตูรถ “จงหลี จงหยวน บนรถพวกเจ้าเตรียมของอร่อยไว้ใช่หรือไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายเดือนมานี้ข้าคิดถึงฝีมือทำอาหารของพวกเจ้าขนาดไหน!”

“มี…มีขอรับ” คู่แฝดตอบด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

“เช่นนั้นก็ดี” ไป๋เฟิงซียิ้มจนตาหยี หันกลับไปกวักมือเรียกเฟิ่งชีอู๋ “ชีอู๋ เจ้ายังไม่ขึ้นมาอีก?”

เฟิ่งชีอู๋กลับตะลึงงัน มองคนสองคนผู้ตรงกันข้ามไปทุกสิ่ง ฟังคำสนทนาระหว่างทั้งสองซึ่งน้ำเสียงคล้ายบวกคล้ายลบ แต่กลับรู้สึกว่า…ผู้อื่นทั้งหมดล้วนเป็นคนนอก พวกเขารวมเป็นภาพขุนเขาขาวสายธารดำได้สมบูรณ์ในตัว ผู้อื่นไม่อาจกระจ่างในน้ำคำของพวกเขา และยิ่งไม่อาจเข้าใจถึงกระแสลึกลับสายหนึ่งซึ่งไหลเกี่ยวกระหวัดระหว่างพวกเขาได้ นางถอนใจอย่างแผ่วเบา รู้สึกผิดหวังอย่างรางเลือน

“จิ้งจอกดำ คนงามของเจ้าชอบพูดด้วยดวงตา แต่นางควรรู้ไว้ว่าผู้ที่สามารถอ่านคำของนางออกมีไม่มาก โดยเฉพาะจิ้งจอกที่ชอบแสร้งทำบื้อโง่งมอย่างเจ้าด้วยแล้ว” ไป๋เฟิงซียิ้มกล่าวกับเฮยเฟิงซีในรถ จากนั้นถึงผินหน้ากลับไปเรียกคนงามผู้ช่างสงวนคำคนนี้ต่อ “ชีอู๋ๆ!”

“เอ้อ” เฟิ่งชีอู๋ได้สติ จากนั้นก็คล้องแขนเซี่ยวเอ๋อร์ขึ้นไปบนรถ ส่วนหานผู่ที่อยู่ด้านหลังนางเห็นชัดว่าหน่ายจะรอ เพียงกระโดดผึงเดียวก็ถึงตัวรถ

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่เหยียนหรือ” ไป๋เฟิงซีกลับคว้าเขาไว้ หมายจะโยนเขากลับไปที่รถม้าคันเดิม

“ไม่เอาๆ! ข้าจะอยู่กับพี่สาว!” หานผู่ตะกายมือเท้าปีนขึ้นไปบนร่างไป๋เฟิงซี คล้ายสัตว์สี่เท้าบางชนิดอย่างยิ่ง

“ก็ได้ๆ ปล่อยได้แล้ว! ข้าไม่ไล่เจ้าแล้ว” ไป๋เฟิงซีรีบแกะเท้าทั้งสี่ของเขาออก โดนพัวพันเช่นนี้ไม่สบายตัวเอาเสียเลย

หานผู่ปล่อยมือเท้า แต่รู้สึกว่าท้ายทอยเย็นเยียบอย่างเฉียบพลัน เมื่อเอี้ยวศีรษะมองไปก็เห็นเฮยเฟิงซีผู้นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถ จงหลีและจงหยวนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของอร่อยให้ไป๋เฟิงซี เฟิ่งชีอู๋เพิ่งจะทรุดกายนั่ง ส่วนเซี่ยวเอ๋อร์เพิ่งปล่อยมือที่คล้องเฟิ่งชีอู๋ไว้ หามีอาการผิดปกติใดๆ ไม่

“พี่เหยียน ต้องขอให้ท่านอยู่คนเดียวก่อนเสียแล้ว ตามมาด้านหลังก็พอ” ไป๋เฟิงซีกำชับคำหนึ่งแล้วสะบัดมือมุดเข้าในตัวรถ

 

โยวโจวเป็นแคว้นแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งอยู่ ณ ชวีเฉิง

ม่านรัตติกาลโรยตัวลง โคมวิจิตรเริ่มถูกแขวน ธิดาจันทราที่ขอบฟ้าม้วนผ้าโปร่งขึ้น เยี่ยมหน้าออกมาครึ่งดวงโดยไร้สุ้มเสียง อาจประสงค์จะลอบยลโฮ่วอี้ที่นางเฝ้าคะนึงหามานับพันนับหมื่นปี จึงประจงเกี่ยวเอาแสงโคมแห่งโลกมนุษย์มาเสกเป็นเครื่องประทิน แต่งแต้มลงบนดวงหน้านวลผุดผ่องดั่งหยกขาว ส่องแสงสลัวรางอันงามละมุนด้วยความขวยอายและประหม่า

สายลมแห่งวสันตฤดูที่แฝงไอเย็นน้อยๆ โชยตลบขึ้นจากผืนดินราวกับใคร่จะใกล้ชิดธิดาแห่งจันทรา ลมเป่าเอาผ้าโปร่งผืนยาวบนดวงหน้าของนางซึ่งครอบคลุมพสุธากว้างให้เปิดออก ทันใดนั้นตำหนักหยกก็สุกสกาว รุกขชาติแห่งแสงและบุปผาเงินทอประกายเจิดจ้า ส่องให้เห็นสายตาที่ลักลอบมองเครื่องหยกเก้ามังกรซึ่งลืมเลือนไว้หน้าบัญชรเรือนตะวันตกยังมีทำนองอันแผ่วเบาลอยออกมาจากหน้าต่างบานน้อย เบื้องหน้ากระจกสำริดวางไว้ด้วยบทกวีหิมะสุคนธ์…นี่คือคืนใบไม้ผลิที่ออกจะเหน็บหนาวทว่าเปี่ยมสิเน่หา

หอบุปผาที่เลื่องชื่อที่สุดในชวีเฉิงก็คือหอหลีฟาง (ร้างสุคนธ์) ยามนี้หน้าหอมีผู้คนคลาคล่ำไม่ขาดสาย ในหอมีเสียงดนตรีบรรเลง ทั่วทั้งโถงร้องชมระเบ็งเซ็งแซ่ เสียงปรบมือดังลั่นดั่งอสนีบาต

“ข้าก็ประหลาดใจว่าเจ้าลับๆ ล่อๆ ทำอะไร ที่แท้ก็มาชมคนงามเริงระบำที่นี่เอง”

ในโถงที่เสียงดังอึงอล บนคานสูงใต้หลังคามีคนสองคนนั่งอยู่

ไป๋เฟิงซีพิงร่างกับเสาคานอย่างเกียจคร้าน มองฝูงชนที่คลั่งไคล้ใหลหลงไปกับนางระบำอาภรณ์แดงบนแท่นเวทีเพริศแพร้วด้วยสายตาเย็นชา บนดวงหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ เจือแววเยาะหยันอยู่หลายส่วน เฮยเฟิงซีขัดสมาธิตัวตรง ในมือหมุนขลุ่ยหยกขาวเลาหนึ่ง สายตาบางครากวาดผ่านนางระบำบนเวที บางคราเหลือบมองฝูงชนล่างเวที คล้ายกับไม่แยแส ทว่าก็คล้ายกับทั่วทั้งหอหลีฟางล้วนตกอยู่ในความควบคุมของเขา

“นี่ เจ้าจะยลโฉมหญิงงามก็เข้าประตูอย่างผ่าเผยให้ชื่นชมได้เต็มที่ เหตุใดต้องลอบมองจากบนคานด้วยเล่า” ไป๋เฟิงซีเหล่มองเฮยเฟิงซีข้างกายแล้วถามขึ้น

เวลานี้สายตาคนทั้งหลายในห้องโถงล้วนแต่จับจ้องอยู่บนร่างหญิงงาม ไม่นึกฝันและไม่พบว่าบนคานมีคนอยู่

“เห็นคนผู้นั้นหรือไม่” สายตาเฮยเฟิงซีกวาดไปยังฝูงชนด้านล่าง

ไป๋เฟิงซีมองตามสายตาเขาไป นั่นคือบุรุษอายุราวสี่สิบ ใต้คางมีเคราแพะกระจุกหนึ่ง “คนผู้นั้นทำไมหรือ”

“ชวีเฉิงเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในโยวโจว ส่วนผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในชวีเฉิงก็คือสกุลฉีแห่งเมืองฝั่งใต้และสกุลซั่งแห่งเมืองฝั่งตะวันตก ฉีอี๋ประมุขแห่งสกุลฉีครึ่งเดือนก่อนหายตัวไปโดยไร้สาเหตุ ส่วนคนผู้นั้นคือซั่งเหยี่ย ประมุขสกุลซั่ง” เฮยเฟิงซีกล่าวเสียงเรียบ

ยามนี้บรรยากาศในโถงรื่นเริงถึงขีดสุด นางระบำอาภรณ์แดงบนเวทีหมุนร่าง ผ้าโปร่งบางซึ่งคลุมอยู่บนไหล่ก็หลุดออกจากแขนไป ปลิวละล่องอย่างแผ่วเบา ร่วงลงสู่ด้านล่างเวที ผู้คนแห่ถลันเข้าไปแย่งชิง

ส่วนคนงามบนเวทียังคงร่ายระบำ ผ้าโปร่งบางหลุดไปแล้วก็เหลือเพียงภูษาแดงปกปิดอกและกระโปรงสีแดงสด เผยให้เห็นไหล่เนียนและเนินอกขาวราวหิมะ และเนื่องจากกำลังร่ายรำอย่างร้อนแรง จึงมีเหงื่อบางๆ คลุมอยู่หนึ่งชั้น

สายตาทอดส่ง ลำแขนเรียวบาง นิ้วดั่งเกี่ยวไว้ด้วยใยไหม ระหว่างกรีดกรายก็ผูกเอาสายตาของคนทั้งปวงไว้ ทั้งร่างอ่อนพลิ้วประเปรียวประหนึ่งไร้กระดูก ผิวกายทุกส่วนล้วนแต่กำลังส่ายไหว เอวบางแส่ส่ายดั่งงูน้ำ ท่อนขาหยกเรียวยาวกลมกลึงภายใต้กระโปรงแดงคู่นั้นประเดี๋ยวยืดประเดี๋ยวหด ประเดี๋ยวเร้นประเดี๋ยวเผย…

“ระบำนี้ควรเรียกว่าเกี่ยววิญญาณ คนงามนี้ควรเรียกว่าคร่าดวงจิต เจ้าดูบุรุษที่ดูเหมือนหิวกระหายเหล่านั้นสิ” ไป๋เฟิงซีไม่มีเวลาสนใจว่าซั่งเหยี่ยคือผู้ใด มองหญิงงามที่เริงระบำดั่งเปลวเพลิงอยู่บนเวทีแล้วรำพัน “แม่นางคนงามผู้นี้ช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนโดยกำเนิดแท้ๆ บุรุษใดเห็นเข้าหัวใจเป็นต้องหวั่นไหว”

บรรดาบุรุษที่ด้านล่างเวทียามนี้คอยืดยาว ลูกกระเดือกกระเพื่อมขึ้นลง กลืนน้ำลายที่ไหลมาถึงมุมปากให้กลับลงไป ที่นั่งอยู่ก็กำหมัดทั้งสองแน่น ที่ยืนอยู่ขาทั้งคู่ก็สั่นระริก ล้วนแต่โลหิตสูบฉีด ดวงตาแดงก่ำทุกคู่จ้องหญิงงามเขม็งราวกับหมาป่าหิวโหย ดวงตากลิ้งตามทุกการเคลื่อนไหวของนาง สายตาเปิดเผยประหนึ่งใคร่จะกระชากภูษาแดงผืนสุดท้ายบนร่างหญิงงามทิ้ง

คืนใบไม้ผลิเดิมทีก็เหน็บหนาวอยู่บ้าง ทว่าในโถงกลับดั่งมีเพลิงแผดผลาญ ไอปรารถนาอันอัดอั้นฉุนข้นชวนสำลักสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ บางคนกางนิ้วออกเล็กน้อยคล้ายประสงค์จะคว้าบางสิ่งไว้ บางคนแหวกเสื้อออก บางคนยกแขนเสื้อซับเหงื่อซึ่งผุดพรายอยู่ตามหน้าผาก

“ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลินี่ ปกติยิ่ง” เฮยเฟิงซีชายตามองเหล่าคนด้านล่าง ยามนี้แม้พวกเขาพูดเสียงดังขึ้นอีก ฝูงชนที่ถูกคนงามดึงดูดเอาจิตใจและวิญญาณไปแล้วก็หาได้ยินไม่

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไร้ความรู้สึก!” ไป๋เฟิงซีขยับดวงหน้าเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน หมายจะมองสีหน้าของเขาให้ถี่ถ้วนว่าเป็นเฉกเดียวกับบุรุษด้านล่างเหล่านั้นหรือไม่

เฮยเฟิงซีไม่คาดคิดว่านางจะโน้มเข้ามากะทันหันเช่นนี้จึงตะลึงไปเล็กน้อย เห็นเพียงดวงตาทอประกายสุกใส ดวงหน้าเนียนขาวดั่งหยก และริมฝีปากแดงเรื่อซึ่งอยู่แค่ตรงหน้า ราวกับเพียงโน้มไปด้านหน้าเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสถูกได้ ทะเลสาบในใจซึ่งนิ่งดุจวังน้ำลึกพลันมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ

“ดังคาด!” ไป๋เฟิงซีร้องขึ้นเบาๆ แล้วยื่นมือไปแตะใบหน้าเขา “หน้าเจ้าก็แดงด้วย ซ้ำยังร้อนลวกมือ ลมหายใจก็ถี่กระชั้น กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทั้ง…”

สายตานางเลื่อนลงด้านล่าง เฮยเฟิงซียื่นมือผลักนางออก ถลึงตาใส่อย่างทั้งมีโทสะน้อยๆ ทั้งกลัดกลุ้ม “อย่าก่อกวน!”

“เจ้ามันจิ้งจอกมากใจ! มีชีอู๋คนงามไม่พอ ยังจะออกมาเสาะหาบุปผาถามหาต้นหลิว!” ไป๋เฟิงซีเบ้ปาก แค่นเสียงอย่างดูแคลน “หญิงงามภูษาแดงผู้นี้แม้จะไม่เลว ทว่าหากกล่าวถึงรูปโฉมก็ยังเทียบเฟิ่งชีอู๋คนงามของเจ้ามิได้”

เฮยเฟิงซีไม่แยแสนาง เพียงมองบนเวทีอันเพริศแพร้ว หญิงงามภูษาแดงร่ายระบำจบก็คารวะขอบคุณบรรดาลูกค้าที่หมอบราบอยู่ภายใต้กระโปรงสีทับทิมของนาง เมื่อนั้นเขาก็กระโดดอย่างแผ่วเบา ทิ้งร่างลงบนชั้นสองอย่างเงียบกริบประหนึ่งควันสีหมึกสายหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

ไป๋เฟิงซีไหนเลยจะละเว้นเขา นางเร่งติดตามไป

“ช่างเป็นห้องที่ก่อด้วยทองคำและหยกเสียจริง!” ทันทีที่เข้ามาในห้องนางก็อดชื่นชมในความวิจิตรหรูหราภายในมิได้

“ระบำเมื่อครู่เจ้าเห็นชัดแล้วใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีมิได้เหลียวแลเครื่องประดับฟุ่มเฟือยในห้องเลยสักนิด ทว่าตรงเข้าไปยังห้องด้านใน หลังตรวจค้นรอบหนึ่งก็เดินมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบจับเครื่องสำอางและปิ่นมุกบนโต๊ะ

“ระบำเมื่อครู่? ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ในกาลก่อนข้าก็เคยไปเที่ยวตามหอเขียวมาบ้าง ทว่ามิมีผู้ใดเลยที่ทัดเทียมกับคนงามภูษาแดงคนนี้” ไป๋เฟิงซีเดินตามหลังเขา ชื่นชมไม่ขาดปาก

“คาดว่าในโลกนี้สถานที่ซึ่งเจ้าไป๋เฟิงซีไม่เคยไปไม่เคยเที่ยวต้องน้อยนักเป็นแน่ ใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีเหลียวกลับมามองนางคราหนึ่ง ดวงตาทอประกายแห่งอุบาย

“ฮิ จิ้งจอกดำ เจ้าอย่ามาห้าสิบก้าวหัวเราะร้อยก้าวหน่อยเลย” ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไปใกล้ฉากลับแลบานหนึ่ง แล้วเกี่ยวเอาอาภรณ์แพรไหมสีชาดที่แขวนอยู่บนนั้นลงมา “หญิงงามเมื่อครู่เหมาะกับสีแดงโดยแท้ ประหนึ่งโบตั๋นแดงดอกหนึ่ง เฉิดฉายเย้ายวน สรรพชีวิตในโลกียะล้วนศิโรราบ”

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก จากนั้นเสียงฉอเลาะของสตรีอันฟังแล้วชวนเนื้อตัวอ่อนระทวยก็ดังขึ้น “ท่านซั่งเชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ ให้บ่าวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน จากนั้นค่อยร่ายระบำให้ท่านดูแต่ผู้เดียวสักเพลง”

“ประเสริฐๆ!” เสียงบุรุษที่ค่อนข้างแหบพร่าเอ่ยติดต่อกัน ยากจะปิดบังความร้อนรนในน้ำเสียง “คนงาม เจ้าเร็วหน่อยนะ”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านดื่มชาโสมก่อน ประเดี๋ยวบ่าวก็มา”

ม่านไข่มุกเลิกขึ้น กลิ่นหอมฉุนของเครื่องประทินโฉมลอยอวลมา หญิงงามในชุดแดงบิดร่างเข้ามาในห้องอย่างยั่วยวน ขณะกำลังจะแก้ชุดออกร่างก็อ่อนยวบ ก่อนกระแทกพื้นก็มีแขนยาวคู่หนึ่งรับไว้ จากนั้นเจ้าของแขนก็วางนางลงบนตั่งนุ่มอย่างเบามือ

“รักหยกถนอมบุปผาไม่น้อยเชียวนะ” ไป๋เฟิงซีขยับริมฝีปาก เสียงเบาราวกับยุงลอดเข้าสู่หูเฮยเฟิงซี

“สวมนี่เสีย” เฮยเฟิงซีชี้ไปยังอาภรณ์สีชาดบนฉากลับแล กล่าวกับไป๋เฟิงซีด้วยเสียงกระซิบกระซาบเช่นเดียวกัน

“ทำไมเล่า” นางมองชุดกระโปรงสีแดงเพลิง

“ร่ายระบำ” เขาเอ่ยเรียบๆ

“ทำไมข้าต้องร่ายระบำด้วย” ไป๋เฟิงซีถามต่อ

“เจ้าอยากหารังของพรรคต้วนหุนมิใช่หรือ ซั่งเหยี่ยด้านนอกก็คือเบาะแส” เฮยเฟิงซีชี้เครื่องประทินโฉมและปิ่นมุกประดับบนโต๊ะเครื่องแป้ง “ลงมือเอง เร็วเข้า”

“จิ้งจอกดำ เจ้าเสียสติไปแล้ว! ให้ข้าร่ายระบำ? ข้าทำไม่เป็นนะ!” ไป๋เฟิงซีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่คาดฝัน ไม่เข้าใจว่าไฉนเขาถึงเกิดความคิดพรรค์นี้ขึ้นได้

“คราวก่อนคนที่ข้าจับได้ที่ทะเลสาบฉังหลีล้วนแต่ยอมตายไม่ยอมแพร่งพราย ฉะนั้นจะทำให้ซั่งเหยี่ยรู้ตัวไม่ได้ ต้องให้เขาเอ่ยถึงร่อยรอยของฉีอี๋โดยสิ้นความระแวง มิฉะนั้นเจ้าก็ไม่มีวันหาพรรคต้วนหุนและผู้บงการเบื้องหลังพบไปตลอดกาล” เฮยเฟิงซีมิแยแสนาง กล่าวจบก็หมุนกายไปอยู่นอกฉากลับแล พริบตาที่หมุนกายยังไม่วายผินหน้ากลับมายิ้มกล่าวว่า “ส่วนเจ้าจะร่ายระบำเป็นหรือไม่นั้น เจ้าและข้าต่างก็แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ไป๋เฟิงซีเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด หากผ่านตาจะไม่ลืมเลือน ยิ่งกว่านั้นระบำพรรค์นี้ไหนเลยจะเทียบได้กับในวัง…”

ถ้อยคำที่เหลือกล่าวไม่จบ สายตาของทั้งสองประสานกัน ต่างก็คมปลาบเจิดจ้าประหนึ่งสามารถมองเห็นทั้งภพก่อนและภพนี้ของอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“เจ้ามันจิ้งจอกดำมากเล่ห์สมควรตาย!” ไป๋เฟิงซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ผู้ที่อยู่ด้านนอกอดใจรอไม่ไหวแล้วนะ” เฮยเฟิงซีชี้ไปทางซั่งเหยี่ยที่อยู่ด้านนอก เลี้ยวออกจากฉากลับแลไป ให้ไป๋เฟิงซีมีที่เปลี่ยนเสื้อผ้า

“ร่ายระบำยั่วยวน ชีวิตนี้ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลยจริงๆ” ไป๋เฟิงซีพึมพำ หยิบอาภรณ์เจิดจ้าดั่งเพลิงเฉิดฉายดั่งแสงอัสดงนั้นมา ดวงตานางพลันฉายแววยิ้มพริ้มเพราออกมา “เรื่องพรรค์ที่บางทีชาตินี้คงได้ทำแค่ครั้งเดียวเยี่ยงนี้ ข้าเฟิงซีย่อมต้องทำให้ดีและต้องทำให้สมบูรณ์แบบปราศจากคำตำหนิจึงจะถูก! หึๆๆ…”

“คนงาม เจ้ายังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จอีกหรือ” เสียงเร่งเร้าของซั่งเหยี่ยลอดมาจากนอกม่าน

“มาแล้วๆ”

เสียงหวานเสนาะโสตดังมา จากนั้นม่านมุกก็เลิกขึ้นอย่างแผ่วเบา ประกายเฉิดฉายวูบไหว คนงามขวยอาย มวยผมรวบสูง แพรบางบดบังดวงหน้า กายคลุมอาภรณ์แดงบางเบา มือเกี่ยวผืนภูษาสีมรกต เท้าเปลือยเปล่าดั่งดอกบัวเยื้องกรายชดช้อยเดินนวยนาดเข้ามาหา…ชั่วพริบตาพรมสีแดงเรื่อราวกับกลายเป็นสายธารแดงซึ่งประคองบงกชสีชาดอันงดงามล้ำหล้าดอกหนึ่งเอาไว้

ซั่งเหยี่ยผู้ฟุบอยู่บนม้านั่งเห็นเข้าก็ถวายวิญญาณโดยพลัน

เสียงขลุ่ยสั้นแว่วขึ้นจากหลังม่าน แรกเริ่มประหนึ่งนิ้วหยกเคาะกำไลอย่างแผ่วเบา ติงๆ ตังๆ ชวนให้ใจรื่นรมย์ ทว่าครู่เดียวเสียงใสก็แปรเปลี่ยนเป็นพิลาสละมุน ยั่วเย้าจรุงจิต ประหนึ่งคนงามขับขานทำนองหวาน พัวพันรัดรึงถึงกระดูก

แล้วบงกชสีชาดดอกนั้นก็ร่ายระบำพลิ้วไหวรับกับเสียงขลุ่ย เอวอ้อนแอ้นโยกย้าย มือเรียวบางยื่นอย่างนุ่มนวล ภูษาสีมรกตตลบม้วนกลางเวหา สีสันแห่งวสันตฤดูแผ่ขจายไร้ขอบเขต เปี่ยมน้ำใจหวานละมุนนับหมื่นสาย

เพียงเท้าหยกนั้นย่างเบาๆ ขาเรียวยกน้อยๆ ก็เกี่ยววิญญาณ เพียงคิ้วเรียวดั่งใบหลิวเลิกน้อยๆ ระลอกคลื่นในตากระเพื่อมไหวก็คร่าดวงจิต

แพรบางบนใบหน้าแผ่วพลิ้วชวนให้คันยุบยิบในหัวใจ กระโปรงแดงโบกปลิวดั่งลูกคลื่น เกศาดำขลับลอบโลมไล้พวงแก้ม เหงื่อหอมละมุนผุดพรมลำคอขาวราวหิมะ ร่างแน่งน้อยหมุนคล้อยอย่างเย้ายวนเป็นที่สุดดุจดอกท้อเดือนสาม ร่ายระบำเผยร้อยเสน่ห์พันชดช้อยจากดวงหน้าและเรือนกายจนสิ้นดุจดอกโบตั๋น ร่ายระบำขับความงามแห่งแผ่นดินและสุคนธรสแห่งแดนฟ้าจนหมดดุจดอกไห่ถังอันพร่างพราว ร่ายระบำฉายอารมณ์ความรู้สึกนับหมื่นโดยไม่เก็บกัก…

“คนงาม มาให้ข้ากอดหน่อยเร็ว! เลิกเต้นได้แล้ว ให้ข้ากอดหน่อย!”

ซั่งเหยี่ยผุดลุกขึ้นก้าวเข้าหาคนงามอย่างอดใจไม่อยู่ ปากส่งเสียงอู้อี้ เวลานี้วิญญาณของเขาหมุนตามดวงตา ดวงตาหมุนตามคน ทั้งจิตใจทั้งหัวสมองมีเพียงคนงามตรงหน้าเท่านั้น ประสงค์เพียงจะกอดสิ่งวิเศษแห่งยุคตรงหน้าเอาไว้

ทว่าคนงามตรงหน้ากลับยังคงร่ายระบำ หมุนร่างไปมา ชั่วขณะที่มือเขากำลังจะสัมผัสถูกก็มักจะกระโดดออกห่างทุกครั้งไป ยึดหัวใจของเขาไปกุมไว้แน่นถนัด ร่างเขาเกร็งเขม็งด้วยอารมณ์ใคร่อันเร่งเร้า แลดูเงอะงะงุ่มง่าม

“ท่านซั่ง” เสียงหวานนุ่มฉอเลาะของคนงามกังวานขึ้นอย่างละมุนละไมดุจเสียงนางแอ่นและนกขมิ้น “ท่านรีบร้อนอันใดกัน รอข้าร่ายระบำเสร็จจะมิให้ท่านกอดจนหนำใจหรืออย่างไร อย่างคราวก่อนนายท่านแห่งสกุลฉีมาก็ชมระบำของผู้อื่นถึงสองเพลงเต็มๆ ท่านรีบร้อนเช่นนี้ด้วยเหตุใด หรือระบำของบ่าวไม่ควรค่าแก่การชมสักครา?”

“คนงาม ข้ารอไม่ไหวแล้วจริงๆ” ซั่งเหยี่ยจับจังหวะเหมาะพุ่งเข้าใส่ เดิมทีนึกว่าต้องได้คนงามมาอยู่ในอ้อมอกเป็นแม่นมั่น ผู้ใดจะรู้ว่ากลับโถมใส่ความว่างเปล่า ทำให้โซเซเสียหลักจนแทบจะล้มลงกับพื้น

“ท่านซั่งเจ้าคะ ไฉนท่านจึงมิอาจชมระบำนี้ของบ่าวจนจบก่อนเช่นเดียวกับท่านฉีเล่า” คนงามกลับตำหนิเสียงกระเง้ากระงอด “คราก่อนท่านฉียังออกปากชมบ่าวไม่ขาดปากทีเดียว”

ซั่งเหยี่ยหมุนร่างมาโถมใส่คนงามอีกคำรบ อีกทางก็กล่าวว่า “คนงามของข้า คนแซ่ฉีมีอันใดดี เจ้าจึงเอาแต่พูดถึงเช่นนี้ ตอนนี้มันยังถูกขังอยู่ในเรือนฉีเสวี่ย (ขอหิมะ) นั่น สู้ข้ามิได้…” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ร่างก็สั่นกระตุกแล้วทรุดลงกับพื้น ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเปี่ยมแววพรั่นพรึง

“มือเท้าเจ้าช่างไวดีแท้” ไป๋เฟิงซีหยุดร่ายรำ นั่งลงบนตั่งนุ่ม นางกระชากแพรบางบนใบหน้าออกแล้วบิดเอวอย่างปวดเมื่อย ผ่อนลมหายใจยาว ระบำเมื่อครู่ทำให้หมดเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย เพราะนางเกรงว่าหากร่ายรำไม่เหมือนแล้วจะเผยพิรุธ

เฮยเฟิงซีก้าวออกมาจากหลังม่าน ใบหน้าประดับยิ้มบางอันปลอดโปร่ง ทว่าดวงตาที่ลึกล้ำยากคาดเดาเสมอมาบัดนี้จับจ้องซั่งเหยี่ยบนพื้นประหนึ่งดาบเย็นเยียบ

ซั่งเหยี่ยถูกจ้องจนหนาวสะท้านไปทั้งร่าง รู้สึกเพียงว่าสายตาคู่นั้นคล้ายจะแทงร่างเขาทะลุเป็นรูโหว่สองรู ทั้งประหนึ่งหมายจะควักลูกตาของเขาออกมา ทั้งเกรี้ยวกราดดุดันและอำมหิต เขาลนลานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งหวาดกลัวเป็นทบทวี หน้าผากผุดเหงื่อเย็นเยียบเท่าเม็ดถั่ว

สองคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดข้าถึงกับไม่รู้ตัวเลย พวกเขามีจุดประสงค์อันใด เพื่อทรัพย์? ซั่งเหยี่ยมีข้อข้องใจแน่นเต็มอก แต่จนใจที่มิอาจเคลื่อนไหวมิอาจส่งเสียงได้

“เฮ้อ ผู้มั่งคั่งที่สุดในโยวโจวมีสภาพเช่นนี้หรือ” ไป๋เฟิงซีนั่งเอียงอยู่บนตั่ง เหลือบตามองซั่งเหยี่ยที่สั่นเทาไปทั้งร่าง

เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นสายตาก็ทอดไปทางนาง

อาภรณ์ดั่งเปลวเพลิง ลมหายใจกระชั้นนิดๆ มวยผมที่ม้วนไว้หลวมๆ ยุ่งเหยิงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งรองอยู่หลังศีรษะ มือข้างหนึ่งโบกพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาหรี่ลง ประหนึ่งบงกชแดงที่รมด้วยเมรัย ต้านทานฤทธิ์สุรามิใคร่จะได้ มีแววอ่อนล้าและเกียจคร้าน

“รู้จักเจ้ามาหลายปี เหมือนนี่จะเป็นหนแรกที่เห็นเจ้าแต่งตัวเยี่ยงนี้” เฮยเฟิงซีเดินเข้าไปใกล้ โน้มกายลงเล็กน้อยเพื่อมองไป๋เฟิงซีบนตั่ง นัยน์ตาคล้ายไฟดุจน้ำแข็ง เขายื่นมือเกี่ยวภูษาสีมรกตที่พันอยู่บนแขนนางออก “ที่แท้…”

“ที่แท้อะไรหรือ” ไป๋เฟิงซีหมุนข้อมือ ม้วนภูษามรกตทีละท่อน ทว่าเฮยเฟิงซีหาได้ปล่อยมือจากภูษาไม่ หากแต่โน้มเข้าใกล้ทีละน้อยตามภูษาที่ถูกม้วนดึง ดังนั้นนางจึงจ้องเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เอ่ยเสียงฉอเลาะว่า “กงจื่อ ดวงหน้านี้ของบ่าวพอจะเข้าตาท่านได้หรือไม่”

เฮยเฟิงซีกำภูษามรกตในมือแน่น หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเฉิดฉายดั่งบุปผา ผุดผ่องดั่งวารี”

ยามนี้ทั้งสองคน ผู้หนึ่งแหงนหน้าน้อยๆ ผู้หนึ่งโน้มกายลงจ้อง ผู้หนึ่งวิลาสดั่งอรุณรุ่ง ผู้หนึ่งสง่าละมุนละไมดั่งหยก ผู้หนึ่งอรชรนุ่มนวลชวนพิสมัย ผู้หนึ่งดวงตาสื่ออารมณ์อันเปี่ยมล้น ผู้หนึ่งมือเรียวบางยื่นขึ้นน้อยๆ ราวคิดจะน้อมคนตรงหน้าลงมา ผู้หนึ่งเอื้อมวงแขนราวคิดจะรวบคนงามบนตั่งไว้ ภูษามรกตเชื่อมกลาง ทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งเชียะ สัมผัสได้ถึงลมหายใจจากปลายจมูก ดวงตาสอดประสาน เกือบเป็นภาพวาดบุรุษเปี่ยมปัญญากับหญิงงามอันสมบูรณ์แบบ

แควก!

ทันใดนั้นเสียงผ้าขาดก็ทำลายบรรยากาศอันงดงามลง ทั้งสองคนผู้หนึ่งหงายตึงกลับไปบนตั่ง ผู้หนึ่งเซถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าล้วนแต่ซีดขาวราวกระดาษในพริบตา

ผ่านไปนานไป๋เฟิงซีถึงโยนภูษามรกตครึ่งแถบในมือทิ้ง สูดหายใจลึก สงบเลือดลมที่สูบฉีดในร่างให้เป็นปกติ “ฮ่าๆๆ ยังคงไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ ดังนั้นฉายา ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ นี้เจ้าก็ยอมรับเสียเถิด หวังจะให้เป็น ‘เฮยซีไป๋เฟิง’ หรือ กลับไปฝึกฝนมาใหม่ก่อนดีกว่า”

“แฮ่ม” เฮยเฟิงซีกระแอมคราหนึ่ง ลมปราณสับสนเล็กน้อย ดวงหน้าคมคายประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว “มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่า ‘มีพิษที่สุดคือใจหญิง’ เจ้าถึงขั้นใช้เฟิ่งคำรามเก้าฟ้า”

“เจ้าเองก็ใช้กล้วยไม้ดับแผ่นดินมิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีไร้แววละอาย “จิ้งจอกดำ เจ้าว่าในโลกนี้ยังมีผู้ใดสามารถรับเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าของข้าและกล้วยไม้ดับแผ่นดินของเจ้าได้หรือไม่ ใช้ได้กับเจ้าผู้เดียวอยู่ร่ำไป ไม่สนุกเอาเสียเลย”

“ครั้งหน้าเจ้าลองใช้กับอวี้อู๋หยวนดูได้” เฮยเฟิงซีนึกถึงอวี้กงจื่อผู้ไม่แปดเปื้อนธุลีแห่งโลกียะผู้นั้น “ดูว่าฉายาหนึ่งในใต้หล้าของเขาคู่ควรกับฝีมือหรือไม่”

“อวี้อู๋หยวนกระนั้นหรือ ผู้อื่นได้ชื่อเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หาใช่เพียงกล่าวถึงวรยุทธ์ของเขา ยังกล่าวถึงนิสัยใจคอด้วย” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นตาก็จับจ้องเฮยเฟิงซี ประหนึ่งคิดจะมองหาบางอย่างจากในตาเขา “เจ้ากำลังวางอุบายอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าถามข้าก็ตอบเท่านั้นเอง เอ่ยถึงอุบายอันใดกัน นี่เจ้าก็คิดว่าอวี้อู๋หยวนนั่นเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วยหรอกหรือ” เฮยเฟิงซีถาม

“ฮ่าๆๆ เจ้าคับข้องใจสินะ” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นหาว นางเดินเข้าไปยังห้องด้านใน แหวกม่านแดงบางเบาออก “เอาล่ะ เจ้าไปตามหาฉีอี๋เถิด ข้าจะนอนสักงีบ วุ่นวายมาตั้งครึ่งคืน ง่วงยิ่งนัก ฮื้ม ที่นอนนี่สบายอย่างยิ่ง ทั้งหอมทั้งนุ่ม มิน่าเล่าเหล่าบุรุษอย่างเจ้าจึงชมชอบมากันนัก”

“สตรี เจ้าจะนอนก็กลับไปนอน ที่นี่คือที่นอนอย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีมองนางอย่างจนใจ ครั้นเห็นนางไม่ขยับก็ได้แต่ถอนหายใจ “ต้องมีสักวันที่เจ้าจะตายเพราะนิสัยตะกละขี้เซานี่”

“เว้นแต่จิ้งจอกดำอย่างเจ้าคิดสังหารข้า หาไม่แล้วข้าไหนเลยจะตายง่ายดายเช่นนั้น” ไป๋เฟิงซีเลิกผ้าห่มแล้วซุกร่างเข้าไป

“เจ้าสืบหาพรรคต้วนหุนที่หลงเหลืออยู่มาตลอดมิใช่หรือ คราวนี้ใกล้เพียงเบื้องหน้าสายตาแล้ว เหตุใดถึงกลับห่วงแต่นอนเล่า” เฮยเฟิงซีส่ายหน้า

“ฉีอี๋ต้องถูกขังอยู่ในเรือนฉีเสวี่ยอะไรนั่นเป็นแน่ อาศัยความสามารถของเจ้าย่อมต้องเอื้อมมือไปก็จับมาได้ ไฉนข้าต้องไปด้วย ถึงเวลาเรียกเจ้ามาถามก็ค่าเท่ากัน ส่วนซั่งเหยี่ยกับหญิงงามอาภรณ์แดงนั่นถูกเจ้าสกัดจุด อย่างน้อยก็ต้องสี่ชั่วยามถึงจะคลาย ฉะนั้นข้าจึงสามารถนอนอย่างสบายใจได้หนึ่งงีบ” ไป๋เฟิงซีอ้าปากหาว พลิกร่างแล้วตั้งหน้าตั้งตานอน

เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่อยู่หลังม่านโปร่งบาง ทั้งร่างของนางซุกอยู่ในผ้าห่มแล้ว เหลือเพียงผมยาวสลวยปอยหนึ่งที่โผล่พ้นผ้าห่ม ห้อยลงมานอกเตียง เขาถอนหายใจเบาๆ ละสายตามองไปยังซั่งเหยี่ยที่นอนขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่บนพื้นแวบหนึ่งแล้วผลักประตูออกไป

หลังจากเฮยเฟิงซีจากไปครู่หนึ่ง ซั่งเหยี่ยทางหนึ่งก็รวบรวมกำลังทั้งหมดจะขยับแขนขาอย่างระมัดระวัง ทางหนึ่งก็ครุ่นคิดว่าเหตุใดพวกเขาต้องตามหาฉีอี๋ด้วย หาฉีอี๋ไปเพื่ออะไร หรือว่า… ซั่งเหยี่ยแตกตื่นโดยพลัน เย็นวาบไปทั้งร่าง หรือว่าเป็นเพราะ…

“หึๆ ซั่งเหยี่ย แบบนี้ไม่สบายเอาเสียเลยใช่หรือไม่”

ในห้องเงียบสงัดมีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นกะทันหัน ซั่งเหยี่ยพยายามหันศีรษะไป ทว่าอับจนหนทางด้วยยังเคลื่อนไหวไม่ได้ แค่ว่าหางตาเหลือบเห็นมุมหนึ่งของอาภรณ์ขาว

“ซั่งเหยี่ย บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้ากับฉีอี๋ต้องซื้อตัวคนพรรคต้วนหุนไปชิงโอสถสังหารล้างสกุลหานด้วย” ไป๋เฟิงซีเข้าใจในความลำบากของเขา จึงเป็นฝ่ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาเอง

“อ้อ ข้าลืมไปว่าเจ้าถูกสกัดจุด” เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ นางก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง คลายจุดที่ถูกสกัดให้เขา “ตอนนี้บอกทั้งหมดที่เจ้ารู้ให้ข้าฟังเถิด”

“เจ้าเป็นใครกัน” ซั่งเหยี่ยถาม

“นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าควรถาม” ไป๋เฟิงซีชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วโบกไปมาเบาๆ “ตอบคำถามของข้าอย่างว่าง่ายจะดีกว่า เจ้ากับฉีอี๋ล้วนแต่เป็นคหบดีมั่งคั่ง หาใช่ชาวยุทธ์ไม่ ไฉนจึงประสงค์อยากได้สูตรโอสถของสกุลหาน ถึงขั้นต้องสังหารคนสกุลหานทั้งสกุลเพื่อสูตรโอสถ นี่ชวนให้ข้าขบคิดไม่แตก”

ซั่งเหยี่ยเงียบไม่ตอบคำ

“ตอบข้า…” รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋เฟิงซีไม่เปลี่ยนแปลง “จะเอาสูตรโอสถสกุลหานไปเพื่อการใด”

ซั่งเหยี่ยยังคงไม่ส่งเสียง อีกทั้งยังหลับตาลง

“ซั่งเหยี่ย ข้ามิใช่คนจิตใจดีงามนักหรอกนะ” เสียงไป๋เฟิงซีเปลี่ยนเป็นทั้งเบาทั้งอ่อนหวาน ซ้ำยังลากเสียงยาว ชวนอดขนพองสยองเกล้ามิได้ “บางคราเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ ก็จะต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติ”

ซั่งเหยี่ยยังคงไม่พูดจา

“ซั่งเหยี่ย เจ้าเคยได้ยินชื่อ ‘หมื่นมดแทะหัวใจ’ บ้างหรือไม่ หากไม่เคยก็ไม่เป็นไร” นางยิ้มหวานหยดย้อย ปลายนิ้วแตะบนร่างซั่งเหยี่ยอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็มองอย่างสบายอารมณ์ “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วกระมัง”

บนพื้น สีหน้าซั่งเหยี่ยพลันแปรเปลี่ยน หลังจากร่างสั่นสะท้านแล้วก็ขดงอเป็นก้อน บิดไปมาอย่างห้ามไม่อยู่ องคาพยพบนใบหน้าย่นเข้าหากัน เขาขบฟันแน่นสุดชีวิต ทรมานถึงสิบส่วน

“ข้าคิดว่าเบื้องหลังพวกเจ้าน่าจะยังมีผู้อื่นกระมัง ด้วยทรัพย์สินของเจ้าสองคนที่มั่งคั่งจนเทียบได้กับท้องพระคลังก็สามารถซื้อพรรคต้วนหุนได้จริงๆ แต่พวกเจ้าไม่มีเหตุผลให้ซื้อนี่” ไป๋เฟิงซีทรุดนั่งลงกับพื้น ขยับเข้าใกล้ซั่งเหยี่ย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาในฉับพลัน “คนผู้นั้นเป็นใคร ผู้ที่สังหารสกุลหานสองร้อยเจ็ดสิบกว่าชีวิตเพื่อสูตรโอสถผู้นั้นมันเป็นใคร!”

ซั่งเหยี่ยเงยหน้าขวับ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ เขาเอ่ยปนหอบว่า “เจ้าสังหารข้าเสียเถิด ข้าพูดไม่ได้เด็ดขาด!”

“ยอมตายก็ไม่ยอมพูดกระนั้นรึ” ไป๋เฟิงซียิ้มบางๆ “หมื่นมดแทะหัวใจนี้ทรมานกระมัง ข้ายังมีวิธีการที่ทรมานยิ่งกว่าอีกนะ หรือเจ้าคิดจะทดลองทีละชนิด”

ซั่งเหยี่ยสดับดังนั้นม่านตาก็หรี่ลงคล้ายกับหวาดกลัว แต่เมื่อคิดถึงว่าหากแพร่งพรายความลับออกไป นั่นมิเพียงตนต้องตายไร้ที่ฝัง เกรงว่าผลลัพธ์ที่สกุลซั่งและสกุลฉีจะได้รับต้องอเนจอนาถยิ่งกว่าสกุลหาน!

“เจ้าไม่กลัว? จะลองอย่างอื่นใช่หรือไม่” น้ำเสียงของไป๋เฟิงซีนุ่มนวลยิ่งกว่าลมวสันตฤดู ทว่าฟังด้วยหูของซั่งเหยี่ยแล้วกลับน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าผีปีศาจ

ซั่งเหยี่ยมองสตรีผู้มีรอยยิ้มหวานเบื้องหน้า ข่มกลั้นความทุกข์ทรมานดั่งมีมดนับหมื่นกัดแทะในร่างกายไว้ วิงวอนอย่างสิ้นหวัง “แม่นาง ข้าขอร้องเจ้า ให้ข้าได้ไปอย่างปลอดโปร่งทีเถอะ!”

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีพลันระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่หวั่นเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นในหอหลีฟางได้ยิน แขนเสื้อสะบัดคราหนึ่ง คลายความทุกข์ทรมานให้ซั่งเหยี่ย “ซั่งเหยี่ย ข้าจะไม่สังหารเจ้าหรอก”

ซั่งเหยี่ยได้ยินดังนั้นในใจก็ยินดี แต่ยินดีได้ไม่เท่าไร วาจาต่อมาของไป๋เฟิงซีกลับซัดเขาลงสู่ขุมนรก

“แม้เจ้าจะไม่เปิดเผยข้อมูลใดให้ข้าเลย แต่เมื่อคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังเจ้าล่วงรู้ว่าเจ้าเคยถูกพวกเราจับตัวได้ ถึงตอนนั้น…เจ้าว่าเขาจะจัดการกับเจ้าเช่นไร” ไป๋เฟิงซีปรบมือแล้วลุกขึ้น ปัดปอยผมที่บดบังครึ่งดวงหน้าออก แล้วจันทร์หิมะที่กลางหน้าผากก็เผยสู่สายตา

“เจ้า…เจ้า…เจ้าคือ…” ซั่งเหยี่ยร้องเสียงสะท้าน

“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วกระมังว่าข้าคือผู้ใด เจ้าไปบอกกับนายของเจ้าได้เต็มที่เลยนะ เพียงแต่…ข้ากลับกังวลแทนเจ้าว่าไม่แน่คนผู้นั้นจะมาเอาชีวิตเจ้าไปก่อนก็เท่านั้นเอง” ไป๋เฟิงซียิ้มเบิกบานยิ่งกว่าเก่า นางเอียงหูตั้งใจฟัง ในแววตาทอประกายนึกสนุก “ชู่ เจ้าฟังซี มีเสียงฝีเท้ามากมายกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกไม่นานผู้คนทั้งชวีเฉิงก็จะรู้ว่าท่านซั่งถูกคนจับขังไว้ในห้อง”

“ไม่…” ซั่งเหยี่ยมองนางผลักหน้าต่างออก อดร้องอย่างหวาดผวามิได้ ยามนี้เขายอมตายไปเสียดีกว่าปล่อยให้คนผู้นั้นล่วงรู้

ไป๋เฟิงซีหันศีรษะกลับมา มองซั่งเหยี่ยบนพื้นที่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางหัวเราะอย่างบริสุทธิ์ไร้พิษภัย “คิๆๆ…ซั่งเหยี่ย เดิมทีเจ้าสามารถเสวยสุขได้อย่างสงบ น่าเสียดายนัก…ถือเสียว่านี่เป็นการลงโทษที่เจ้าทำให้สกุลหานถูกสังหารล้างบ้านก็แล้วกัน!”

สิ้นคำนางก็พุ่งร่างออกไปอย่างแผ่วผิว ชั่วพริบตาก็หายลับไปในราตรีอันมืดมิด สายลมโชยเอาเสียงกระซิบซึ่งเจือความไม่สมัครใจจางๆ มาว่า “เดิมนึกว่าจะได้เงื่อนงำอะไรจากปากซั่งเหยี่ย สุดท้าย…เฮ้อ เห็นท่าข้ายังต้องไปถามจิ้งจอกดำนั่นอยู่ดี”

บทที่ 12 โยวโจวมีนาง ดั่งบูรพาใกล้

บนโต๊ะกลมซึ่งปูด้วยผ้าสีฟ้าวางไว้ด้วยของสองสิ่ง แผ่นทองคำที่ส่องประกายแวววาวหนึ่งแผ่นและผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูหนึ่งผืน

“สองอย่างนี่น่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าได้มา”

ในห้องพักที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในชวีเฉิง ไป๋เฟิงซีวนรอบโต๊ะกลมหนึ่งรอบ ทว่าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนวัตถุสองชิ้นนี้จึงทำให้จิ้งจอกดำตัวนั้นทำท่าเหมือนมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

“มองให้ละเอียดสิ” เฮยเฟิงซียกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ อืม ไม่เลว ชาเลื่องชื่อของโยวโจว ‘วรุณข้น’ หอมยิ่งนัก

“มีอันใดพิเศษหรือ” ไป๋เฟิงซีมือซ้ายหยิบแผ่นทองคำแผ่นนั้นขึ้น มือขวาคีบผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้น “แผ่นทองนี้ก็เป็นแผ่นทองธรรมดา กลับเป็นลวดลายสองลายที่ปักบนผ้าเช็ดหน้านี้ที่พิเศษยิ่ง อืม อีกอย่างฝีมือเย็บปักนี้ไม่เลวเลย”

“เส้นสายบนแผ่นทองนั้นเจ้าดูชัดหรือยัง” เฮยเฟิงซีวางถ้วยชาลงแล้วเดินเข้ามาหา หยิบแผ่นทองคำนั้นไปจากในมือนาง “แผ่นทองที่หลอมในต้าตงไม่ว่าจากแคว้นใดก็ล้วนมีแปดรอย แต่เจ้าดูแผ่นทองนี้สิ ตรงฐานมีรอยสั้นๆ อีกเส้น แผ่นทองที่ออกโดยร้านแลกเงินฉีจี้แห่งโยวโจวล้วนแต่มีสัญลักษณ์นี้”

“ข้าหาได้มีความชำนิชำนาญด้านเงินทอง อัญมณีล้ำค่า รถอันวิจิตร และหญิงงามเช่นเจ้าไม่” ไป๋เฟิงซีกล่าวขณะกระเถิบเข้ามามองใกล้ๆ แผ่นทอง บริเวณฐานมีรอยสั้นๆ อีกรอยจริงดังว่า หากไม่ตั้งใจมองก็จะไม่เห็น “แผ่นทองแผ่นนี้เจ้าได้มาจากทะเลสาบฉังหลี?”

“เมื่อข้าไปถึงทะเลสาบฉังหลีก็สายไปก้าวหนึ่ง คนพรรคต้วนหุนทิ้งรังหนีไปนานแล้ว แม้จะจับสมุนที่หลงเหลืออยู่ได้คนหนึ่งก็กลับฆ่าตัวตายไป ข้าค้นร่างเขาได้มาเพียงแผ่นทองแผ่นนี้” เฮยเฟิงซีกล่าวพลางขยับแผ่นทองในมือเล่น

“ฉะนั้นเจ้าจึงตามมาจนถึงชวีเฉิง คิดตามหาฉีอี๋ผู้เป็นนายแห่งสกุลฉี?” ไป๋เฟิงซีคาดเดา

เฮยเฟิงซีพยักหน้า วางแผ่นทองในมือลง “ผู้ใดจะรู้ว่าสายไปก้าวหนึ่งเช่นกัน ฉีอี๋หายตัวไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาหาซั่งเหยี่ย”

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซั่งเหยี่ยเกี่ยวพันกับเรื่องนี้” ไป๋เฟิงซีถามต่อ หามีเงื่อนงำใดที่บ่งชี้ว่าซั่งเหยี่ยก็เกี่ยวพันกับพรรคต้วนหุนไม่

“ข้าไม่รู้” ผู้ใดจะรู้ว่าเฮยเฟิงซีกลับตอบเช่นนี้ “ข้าเพียงแค่เดาสุ่ม เลียบเคียงดูท่าทีของซั่งเหยี่ยเท่านั้นเอง”

ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วมองเขา

เฮยเฟิงซีแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ผู้ที่จ้างวานพรรคต้วนหุนได้จะต้องเป็นคหบดีผู้มั่งมี ทรัพย์สินของสกุลซั่งไม่ด้อยไปกว่าสกุลฉี ทั้งสองล้วนแต่อยู่ในชวีเฉิง อีกทั้งไปมาหาสู่กัน ท่าทางต้องมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และเรื่องสกุลหานก็มีพิรุธนัก ไม่แน่ว่าสองครอบครัวอาจมีส่วนร่วมทั้งคู่ ผู้ใดจะรู้ว่าข้าจะเดาถูกจริงๆ”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตรึกตรองอย่างหนัก จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ข้าแค่ขบคิดไม่แตกอยู่เรื่องหนึ่ง ถึงแม้โอสถของตาเฒ่าหานจะขายได้ราคาสูง ทว่าด้วยกำลังเงินของฉีอี๋และซั่งเหยี่ย อยากได้เท่าไรก็ซื้อได้เท่านั้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้สูตรโอสถนั่นสักนิด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสังหารล้างสกุลหาน หรือว่า…” สายตาของนางตกอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้าไหมบนโต๊ะ

“ข้าคิดว่าหาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนี้พบก็คงพอจะรู้สาเหตุแล้ว” เฮยเฟิงซีกางผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูออก ปลายนิ้วชี้ที่ลายปักบนผ้า

“เจ้าไม่พบตัวฉีอี๋หรือ” ไป๋เฟิงซีมองลวดลายบนผ้าแล้วถามขึ้น

“ในห้องลับของเรือนฉีเสวี่ยพบเพียงศพของเขาเท่านั้น” ดวงตาเฮยเฟิงซีมีประกายเย็นเยียบสาดวูบ “และผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ระหว่างข้าค้นห้องลับก็พบมันในกลไกลึกลับแห่งหนึ่ง บรรจุอยู่ในกล่อง เมื่อฉีอี๋ซุกซ่อนไว้ก็ย่อมต้องมีสาเหตุ”

“เจ้าเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นชู้รักสักคนที่ฉีอี๋ต้องใจมอบให้ก็เป็นได้” ไป๋เฟิงซีหยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะมาลูบคลำ เนื้อผ้านุ่มนิ่มถึงสิบส่วน เห็นชัดว่าทำจากผ้าชั้นเลิศ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกสูงสง่าเจืออยู่จางๆ สีชมพูนวลเนียนเช่นนี้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะชมชอบ นึกภาพบุรุษอกสามศอกใช้สิ่งนี้มิออกเลย “อีกอย่างต่อให้เจ้าของผ้าเช็ดหน้าเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ทว่าอาศัยเพียงผ้าผืนนี้ เจ้าจะตามหาเจ้าของพบได้อย่างไร”

เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายศีรษะ “สตรี เจ้าทึบเขลาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน มองตั้งครึ่งค่อนวันยังมองมิออกอีกหรือ”

“เจ้าหมายถึงลวดลายนี้?” ไป๋เฟิงซีเพ่งสายตามองลวดลายบนผ้าอย่างถ้วนถี่ “สิ่งนี้คล้ายเป็นสัตว์บางชนิด เพียงแต่มองไม่ออกจริงๆ ว่าคืออะไร”

“เจ้าและข้าต่างก็รู้ว่าครอบครัวคหบดีใหญ่อย่างสกุลฉีและซั่งทั้งมิใช่ชาวยุทธ์ทั้งไม่มีความแค้นกับสกุลหาน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้จ้างคนไปชิงโอสถ” เฮยเฟิงซีหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือนางกางลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นที่จ้างวานพรรคต้วนหุนไปก่อหายนะสังหารล้างสกุลหานจะต้องมีผู้อื่นบงการเบื้องหลังพวกเขาเป็นแน่ และด้วยฐานะอันมั่งคั่งของพวกเขา ทั่วทั้งชวีเฉิงหรือกระทั่งทั่วทั้งโยวโจวก็มิมีผู้ใดไม่สอพลอปอปั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบงการ”

ไป๋เฟิงซีพลันกระจ่างแจ้ง “ดังนั้นผู้ที่จะบงการเบื้องหลังพวกเขาได้จะต้องเป็น…”

เฮยเฟิงซีพยักศีรษะ “สิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาประเคนทรัพย์สมบัติออกมาและติดต่อกับพรรคต้วนหุนที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวหลบเลี่ยงได้นั้นก็มีเพียงอำนาจแล้ว” นัยน์ตาสีหมึกทอประกายลึกล้ำวูบหนึ่ง “พวกเขาแม้จะมีเงิน แต่เหนือกว่าเงินยังมีอำนาจ!”

“ดังนั้นผู้ที่บงการพวกเขาได้จะต้องเป็นผู้กุมอำนาจในโยวโจว ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้านี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างมากกับผู้มีอำนาจที่ว่า” ไป๋เฟิงซีจ้องเฮยเฟิงซีตาไม่กะพริบ คล้ายกับเกรงว่าจะพลาดข้อมูลเสี้ยวหนึ่งเสี้ยวใดในดวงตาของเขาไป

“คนผู้นี้หาได้ต้องการเพียงโอสถสกุลหาน แต่ต้องการสูตรโอสถ ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ปรารถนาให้โลกนี้มีบุคคลอื่นมีสูตรโอสถเฉกเขา ดังนั้นจึงบงการให้ฉีอี๋และซั่งเหยี่ยซึ่งร่ำรวยที่สุดในโยวโจวออกหน้าติดต่อกับพรรคต้วนหุน ชิงสูตรโอสถและทำลายล้างสกุลหาน” เฮยเฟิงซียิ้มอย่างผ่อนคลาย “ทว่าแม้เขาจะชิงโอสถได้จำนวนหนึ่งและก็ล้างสกุลหานได้สำเร็จ แต่ไม่นึกฝันว่าตาเฒ่าหานยอมตายไม่ยอมมอบสูตร กลับเอามายกให้คู่เวรคู่กรรมอย่างเจ้าเสียได้”

ไป๋เฟิงซีหวนนึกถึงโศกนาฏกรรมสกุลหานก็อดขมวดคิ้วมิได้

เฮยเฟิงซีกล่าวต่อว่า “คนผู้นั้นสังหารฉีอี๋ต้องเป็นเพราะฉีอี๋รู้มากเกินไป เขาทำเพื่อปิดปากฉีอี๋และเพื่อเตือนซั่งเหยี่ย ที่เก็บชีวิตซั่งเหยี่ยไว้ หนึ่งเพราะซั่งเหยี่ยเกี่ยวพันไม่มาก สองเพราะหากวาณิชใหญ่ทั้งสองครอบครัวมีอันเป็นไปกันหมดจะเป็นที่สนใจเกินไป อีกทั้งห่วงว่าการล่มสลายของสองสกุลจะกระทบถึงความมั่นคงทางการคลังของโยวโจว” เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย สายตามองผ้าเช็ดหน้าไหม “ส่วนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อาจเป็นสิ่งที่เขามอบให้ฉีอี๋แทนคำสัญญา หรือเขาอาจเผลอทำหล่น ฉีอี๋เก็บได้จึงซ่อนไว้ คนผู้นี้ทำอะไรทิ้งช่องโหว่มากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นลูกน้องข้า ข้าเฉดไล่เลิกใช้ไปนานแล้ว” สุดท้ายเขาก็วิจารณ์อย่างราบเรียบหนึ่งประโยค

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือผู้ใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ

“เจ้าไม่รู้จริงหรือว่าลวดลายบนผ้าคือสิ่งใด” เฮยเฟิงซีไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม

ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้ามีเอกลักษณ์โดดเด่น มองปราดแรกคล้ายเป็นสัตว์โบราณ มองอีกคราเหมือนมีสองตัว ไป๋เฟิงซีมองอยู่เป็นนาน แต่แล้วก็ยังส่ายหน้า

เฮยเฟิงซีทอดถอนใจอย่างติดจะผิดหวัง “น่าเสียดายนัก เจ้าถึงกับไม่รู้”

ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วหรี่ตา คว้าเอาผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมือ “เลิกวางท่าอวดรู้ได้แล้ว ถ้าเจ้ายังไม่พูดอีกข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วนะ!”

เสียดายเพียงว่าผู้ที่นางเผชิญหน้าคือเฮยเฟิงซีผู้รู้จักมักคุ้นกับนางมานับทศวรรษ ดังนั้นเขาจึงหมุนร่าง กรายเท้ากลับไปนั่งลงที่เก้าอี้อย่างแช่มช้า ยกถ้วยชาขึ้นลิ้มรสอย่างไม่อนาทรร้อนใจแม้แต่น้อย

ส่วนไป๋เฟิงซีนั้นกับผู้อื่นอาจจะใจกว้างและอ่อนโยนยิ่ง ทว่ากับเขาแล้วแต่ไรมาก็หามีความอดทนไม่ ร่างนางไหววูบมาตรงหน้าเขาราวกับสายลม มือซ้ายยื่นออก ชิงถ้วยชาไปวางคืนบนโต๊ะ มือขวายื่นออก คว้าคอเสื้อเขาไว้ นิ้วทั้งห้ารวบแน่น โน้มเอวก้มศีรษะเข้าใกล้ดวงหน้าคมคายนั้น “จิ้งจอกดำ รีบพูดมา!”

การเคลื่อนไหวและน้ำเสียงของนางหมดจดรวดเร็วต่อเนื่องเป็นจังหวะเดียว คิดว่าคงผ่านการฝึกฝนมานานปี

เห็นได้ชัดว่าเฮยเฟิงซีชินเสียแล้ว แขนทั้งสองของเขายื่นไปรั้งหัวไหล่ทั้งสองของนาง สองฝ่ามือกดลง ลมปราณสายหนึ่งก็ส่งให้ไป๋เฟิงซียืนไม่อยู่ ล้มเข้าสู่อ้อมอกเขา ทันใดนั้นทั้งสองก็อิงแอบแนบชิด เขาเอ่ยคำอย่างผ่อนคลายว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตอนนี้เราดูคล้ายลวดลายบนผ้า”

ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคราหนึ่ง “ก็คล้ายอยู่บ้าง แต่…เช่นนี้เหมือนยิ่งกว่า!” ระหว่างกล่าวสองเข่าของนางก็งอเข้า แล้วทั้งร่างก็นั่งอยู่บนตักเฮยเฟิงซี โอบมือคราหนึ่ง จากนั้นลำคอของเขาก็โน้มมาด้านหน้า ทั้งสองแนบชิดกันยิ่งกว่าเก่า

ขณะที่นางนั่งลงมา ตักของเฮยเฟิงซีก็เหมือนได้รับแรงกระแทกหนักๆ จึงสะท้านน้อยๆ ขึ้นมาคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นดวงหน้าหล่อเหลาก็ซีดขาว ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย ทว่าขณะเดียวกันนั้นเอวของไป๋เฟิงซีก็คล้ายกับมีขุนเขาหนักอึ้งทาบทับ ไม่อาจยืดตรงได้ แทบทั้งร่างอิงเข้าหาอ้อมอกเขา หัวไหล่ประเดี๋ยวโน้มไปข้างหน้า ประเดี๋ยวหงายไปข้างหลัง ท่าทางโงนเงนไปมาคล้ายจะปฏิเสธทว่าก็ยังต้อนรับ

หากคนนอกมองมาตอนนี้จะรู้สึกเพียงว่าทั้งสองดูประหนึ่งยวนยางคู่ที่อิงแอบแนบชิดไม่อาจแยกจากกันได้

หญิงอรชรนุ่มนวลซบอยู่ในอ้อมกอดชายผู้เป็นที่รัก ดวงหน้าแหงนขึ้นน้อยๆ บุรุษผู้งามสง่ามือตระกองกอดนางในดวงใจ ดวงหน้าคมคายเอียงนิดๆ แววตาดั่งสายน้ำ ไม่ว่าให้ผู้ใดมองก็ต้องรู้สึกว่านี่ช่างเป็นคู่ฟ้าประทานดินอุ้มสมเป็นแน่ แน่นอนว่าต้องมองข้าม…ขาทั้งสองที่ถูกกดทับจนสั่นสะท้าน หัวไหล่ที่ถูกบีบจนกระดูกปวดแปลบ ถูกรัดจนหายใจไม่ออกกระทั่งสีหน้าบัดเดี๋ยวขาว บัดเดี๋ยวแดง บัดเดี๋ยวเขียว บัดเดี๋ยวดำ

“ลายที่…ปักบนผ้าคือ…ฉงฉง…และจวี้ซวี…ตามตำนาน…เป็นสัตว์ประหลาดรูปลักษณ์คล้ายกัน อยู่คู่กันดั่งเงาตามตัว…” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา ทว่ากลับคล้ายมีบางสิ่งรัดลำคอเขาไว้ ทำให้แค่ส่งเสียงไม่กี่คำก็ต้องทอดจังหวะพัก

“ฉงฉง…จวี้ซวี…” ไป๋เฟิงซีทวนคำอย่างสนเท่ห์ เอ่ยทีละคำอย่างเชื่องช้าเช่นกัน ข้อนิ้วบนมือขาวเนียนทั้งสองกลายเป็นสีม่วง

“พี่สาว ท่านอยู่หรือไม่”

ทันใดนั้นนอกประตูก็มีเสียงร้องเรียกของหานผู่ดังขึ้น ถัดมาประตูก็ถูกผลักออกโดยพลัน นอกห้องมีหานผู่ เฟิ่งชีอู๋ เซี่ยวเอ๋อร์ จงหลี และจงหยวนยืนอยู่ ขณะที่ทั้งห้ายังมิทันได้ส่งเสียงร้องแตกตื่นเพราะท่าทางอันคลุมเครือของทั้งสอง ก็เกิดเสียงโครมพร้อมกับเงาร่างคนตรงหน้าเหินวูบพร้อมกัน

รอจนทั้งห้าเห็นชัดเจนก็พบเพียงว่าเก้าอี้ตัวที่เฮยเฟิงซีนั่งอยู่เมื่อครู่หักกระจายเป็นสี่ห้าส่วนอยู่บนพื้น ส่วนคนทั้งสองกลับยืนอยู่กลางห้องอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หน้าไม่แดง หายใจไม่หอบ ผู้หนึ่งปัดๆ แขนเสื้อ ผู้หนึ่งเสยปอยผมยาว ท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ สีหน้าสงบเยือกเย็น ราวกับเมื่อครู่หามีอันใดเกิดขึ้นไม่

พี่น้องตระกูลจงและเซี่ยวเอ๋อร์เจอเรื่องพิลึกพิลั่นจนชินตาแล้ว มีแค่หานผู่และเฟิ่งชีอู๋ที่ผู้หนึ่งเบิกตากว้างจ้องมองสองคนในห้องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ผู้หนึ่งสีหน้าซีดขาวราวกระดาษในทันที

“สองคนนี้ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องประลองกันสักยกทุกทีสิน่า” เซี่ยวเอ๋อร์พึมพำ

“เฮ้อ ประเดี๋ยวต้องชดใช้ค่าเก้าอี้ให้โรงเตี๊ยมอีกแล้ว” สองพี่น้องสกุลจงคิดถึงค่าเสียหายพร้อมกัน

“พี่สาว พวกท่านทำอะไรกัน” หานผู่ก้าวเข้ามาในห้อง

“ดูว่าเฟิ่งคำรามเก้าฟ้ากับกล้วยไม้ดับแผ่นดินผู้ใดแข็งผู้ใดอ่อน” ไป๋เฟิงซีขยิบตาเอ่ย

“อ้อ” หานผู่ยินดังนั้นก็นึกสนใจ “แล้วผลเล่า”

“เฮ้อ ยังเป็นเช่นเดิม” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจด้วยความเสียดาย

“จงหลี จงหยวน พวกเจ้าเก็บของที อีกครึ่งชั่วยามออกเดินทาง” เฮยเฟิงซีบัญชาสองพี่น้องสกุลจง จากนั้นสายตาก็กวาดผ่านเฟิ่งชีอู๋อย่างเรียบเฉย “เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้าตามแม่นางเฟิ่งไปเก็บสัมภาระที”

“เจ้าค่ะ”

พี่น้องสกุลจงกลับไปเก็บของ ส่วนเซี่ยวเอ๋อร์ก็ประคองเฟิ่งชีอู๋จากไป

“คนงามแซ่เฟิ่งของเจ้าคล้ายจะเข้าใจบางอย่างผิด เหมือนจะเสียใจพอสมควร” ไป๋เฟิงซียิ้มอย่างนึกสนุกเมื่อหวนคิดถึงดวงหน้าขาวซีดนั่นของเฟิ่งชีอู๋

“พวกเรามีอันใดให้คนเข้าใจผิดด้วยหรือ” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง

“หืม?” ไป๋เฟิงซีชะงักเล็กน้อย วาจานี้หมายความว่าอย่างไร

“อย่าขยำจนผ้าเช็ดหน้าในมือขาดเสียล่ะ” เฮยเฟิงซีเตือนนางผู้ออกแรงกำผ้าในมือแน่น

“อ้อ” ไป๋เฟิงซีคลายมือ มองสัตว์โบราณที่อิงแอบแนบชิดกันอยู่บนผ้า “เจ้าว่านี่ก็คือฉงฉงและจวี้ซวีในตำนานหรือ”

“อืม” เฮยเฟิงซีพยักหน้า ดวงตาลึกล้ำราวกับจมสู่ภวังค์ความหลัง “หากข้าจำไม่พลาด สิบห้าปีก่อนข้าน่าจะเคยพบสัตว์โบราณสองตัวนี้มาก่อน”

“เจ้าเคยพบ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินเข้าก็เบิกตากว้าง ของที่มีอยู่แต่ในตำนานเช่นนี้เขาถึงกับเคยพบด้วย?

“ควรพูดว่าพบหยกสลักรูปสัตว์โบราณสองตัว” เฮยเฟิงซีกล่าว

“ที่ใดกัน” ไป๋เฟิงซีถามต่อ

“ตำหนักอ๋องแห่งโยวโจว” เฮยเฟิงซีเอ่ยคำเสียงราบเรียบ

ทันใดนั้นทั้งสองต่างไม่เอ่ยวาจา สายตาประสานกัน ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย

“ความจริงข้าก็ไม่อาจแน่ใจเต็มสิบส่วน เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว” เวลาล่วงผ่านไปเป็นนาน เฮยเฟิงซีจึงเอ่ยต่อ

“ไปดูสักหน่อยก็รู้แล้ว” ไป๋เฟิงซีดวงตาทอประกายเจิดจ้า

“พี่สาว ท่านดูสิ คนเหล่านี้รีบร้อนวิ่งถึงเพียงนี้ พวกเขาจะไปไหนหรือ” หานผู่ที่มิมีผู้ใดเหลียวแลได้แต่ฟุบอยู่ที่หน้าต่าง มองผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน “ไหนว่าโยวโจวคือแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น ไฉนถึงมีคนจนมากมายขนาดนี้เล่า”

“เด็กโง่ ต่อให้ร่ำรวย ผู้ที่ร่ำรวยก็ไม่มีวันเป็นชาวบ้านสามัญพวกนี้ไปได้หรอก” ไป๋เฟิงซีเดินไปเยี่ยมหน้ามองนอกหน้าต่าง พบว่าผู้คนที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นจำนวนมากกำลังบ่ายหน้าไปยังสถานที่เดียวกัน

“เช่นนั้นผู้ที่ร่ำรวยคือใครเล่า” หานผู่ถามต่อ

“วาณิช ขุนนาง ข้าราชการฉ้อฉล ผู้มีอำนาจ ชนชั้นสูง” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีเจือแววสะทกสะท้อน “ชาวบ้านที่อยู่ดีขึ้นมาหน่อยก็แค่มีเสื้อผ้าอุ่นมีข้าวกินอิ่ม”

“อ้อ” หานผู่ยังมิใคร่แจ้งแก่ใจนักถึงความลำบากยากเข็ญของโลกมนุษย์จากถ้อยคำไม่กี่ประโยคนี้ ทว่าเมื่อมองผู้คนบนท้องถนนพวกนั้นแล้วก็ให้สงสารจับใจ “พี่สาว ในเมื่อคนเหล่านั้นมีเงินมากนัก และคนเหล่านี้ก็ยากจนข้นแค้น เช่นนั้นมิสู้ให้คนมีเงินแบ่งให้คนจนสักหน่อย เท่านี้ทุกคนก็สามารถกินอิ่มมีเสื้อผ้าอุ่นใส่แล้วมิใช่หรือ”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปทันใด จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ…ผู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมีความคิดไร้เดียงสาเช่นนี้ได้”

“ท่านหัวเราะอะไร” หานผู่ถูกไป๋เฟิงซีเยาะเย้ยจนดวงหน้าคมคายแดงก่ำ “ทุกคนล้วนมีข้าวกินมีเสื้อผ้าสวมใส่ก็มิใช่ดีมากหรอกหรือ”

“ผู่เอ๋อร์ ความคิดเจ้าดีมาก” ไป๋เฟิงซีหุบยิ้ม ยื่นมือลูบหัวหานผู่ “แค่ว่าในโลกนี้จะไม่มีผู้ใดเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า ต่อให้เป็นคนจนพวกนั้น บางคนขอเพียงวันหนึ่งมีอำนาจขึ้นมาก็จะเปลี่ยนท่าทีทันควัน เจ้าต้องรู้ไว้ว่าใจคนล้วนแต่มักได้เห็นแก่ตัวทั้งสิ้น”

ด้านข้าง เฮยเฟิงซีมองหานผู่ สะท้อนใจอยู่บ้าง “ประหนึ่งกระดาษขาวให้เจ้าแต่งแต้มตามใจ”

“ข้าวาดรูปไม่เป็น ข้ายอมให้เป็นกระดาษขาวเรื่อยไป” ไป๋เฟิงซีมองหานผู่ ในดวงตามีอารมณ์สะเทือนใจลึกซึ้งที่ไร้ผู้เข้าใจ “หากเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ควรปล่อยให้เขานำตัวไปย้อมกับสีสันของโลกนี้ด้วยตัวเอง”

“พวกท่านพูดอะไรอยู่หรือ” หานผู่ไม่เข้าใจ จึงมองคนทั้งสองอย่างหงุดหงิด

“คนจนพวกนี้ มันเรื่องอันใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีไม่ตอบหานผู่ แต่กลับถามเฮยเฟิงซี

“คืนวานเมืองฝั่งตะวันตกเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ เผาผลาญบ้านเรือนไปหลายถนนแต่เจ้าถึงกับไม่รู้เรื่อง หลับสนิทเป็นตายแท้ๆ เจ้ามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาจนวันนี้ได้ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์จริงๆ” เฮยเฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม สายตาทอดไปยังผู้คนบนท้องถนน “พวกนี้ต้องเป็นคนที่ไร้บ้านให้กลับหลังจากเกิดเพลิงไหม้เป็นแน่ บางส่วนน่าจะเป็นขอทานในเมืองกระมัง”

ไป๋เฟิงซีอดรวมสมาธิตั้งใจฟังถ้อยคำที่ลอยมาจากถนนมิได้ ครู่ต่อมาก็ถลึงตาใส่เฮยเฟิงซี ในสีหน้ามีแววตระหนกอันยากจะปิดบัง “เจ้าทำอันใดลงไปอีกแล้ว”

“พี่สาว เป็นอะไรไป” หานผู่เห็นนางมีสีหน้าผิดปกติจึงรีบถามขึ้น “คนจนเหล่านี้เหตุใดถึงพร้อมใจกันไปทางนั้นเล่า”

“เพราะทางนั้นมีผู้แจกจ่ายเสบียงให้พวกเขา” ไป๋เฟิงซีจับจ้องมองเฮยเฟิงซี

“อ้อ ผู้ใดกันนะ ช่างมีจิตใจดีงามนัก” หานผู่ชื่นชม

“ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้ามีเมตตากรุณาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซี แววตาเปี่ยมแววกระทบกระเทียบ

“ข้าว่าบัดนี้คนทั้งชวีเฉิงล้วนแต่ใคร่รู้ว่าเพลิงไหม้ครั้งใหญ่อันไร้สาเหตุที่บ้านสกุลซั่งเกิดจากอะไร” เฮยเฟิงซีเดินไปยังชั้นวางดอกไม้ข้างหน้าต่าง ยื่นมือไล้กล้วยไม้กระถางหนึ่งบนชั้น “ไฟนั้นมิเพียงเผาบ้านสกุลซั่งจนวอดวาย แต่ยังทำให้มีคนตายคนเจ็บมากมาย ทั้งยังเดือดร้อนถึงเพื่อนบ้านอีกทั้งถนน”

“เผาบ้านสกุลซั่งจนวอดวาย?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ทว่าพอเห็นท่าทางผ่อนคลายของเฮยเฟิงซีเข้าก็รวบรวมความคิดอีกครั้ง ลากเก้าอี้ยาวมานั่งลง คิดเพียงครู่ก็เข้าใจ “เพลิงนั่น…หรือว่าซั่งเหยี่ยเผาตัวตาย?”

“อื้ม” เฮยเฟิงซีปลิดใบที่เหลืองแห้งใบหนึ่งออกจากต้นไม้ นิ้วหุบเข้าน้อยๆ เมื่อคลายออกอีกครั้งใบไม้ก็กลายเป็นเศษธุลีร่วงลงสู่กระถาง “เพลิงนั้นวางจริง ทรัพย์สมบัติมหาศาลนั้นก็ไหม้จริง สกุลซั่งบาดเจ็บล้มตายมากมายก็เป็นเรื่องจริง มีเพียงเผาตัวตายที่ปลอม”

“เขาหนีไป?” ไป๋เฟิงซีเข้าใจในทันที ก่อนจะเสียดสีเสียงเรียบว่า “มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่าไร้วาณิชใดไม่กลับกลอก สับปลับกลับกลอกอย่างเอกอุทีเดียว”

“คืนก่อนหลังเจ้ากับข้าก่อเรื่อง ซั่งเหยี่ยไหนเลยจะกล้ารั้งรออยู่ในชวีเฉิง ย่อมต้องฉวยโอกาสที่ผู้บงการเบื้องหลังยังไม่รู้ตัวเผ่นหนีไป กลางดึกเขาก็พาภรรยาเอกและบุตรคนโตเร่งขึ้นรถม้าจากไปอย่างเงียบเชียบด้วย ก่อนไปก็วางเพลิง หมายจะใช้อุบายแกล้งตาย น่าเสียดายที่ผู้ตายกลับเป็นนางเล็กๆ และบ่าวไพร่สกุลซั่งที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา” เฮยเฟิงซีปรบมือ คล้ายกับคิดจะปัดเศษใบไม้ที่ยังเหลือในมือทิ้ง ทั้งคล้ายกับปรบมือให้ลูกไม้นี้ของซั่งเหยี่ย มุมปากเผยยิ้มบางที่ชวนครุ่นคิด

“ซั่งเหยี่ยสามารถตัดสินใจอย่างรวดเร็ว จัดการเรื่องได้อย่างเด็ดขาด พาภรรยาและบุตรไปด้วย มนุษยธรรมยังไม่สิ้น ส่วนทรัพย์สินเทียมท้องพระคลังเมื่อควรสละก็สละ เป็นคนกล้าตัด มิน่าเล่าถึงได้เป็นคหบดีใหญ่แห่งโยวโจว!” ไป๋เฟิงซียิ้มอย่างเย็นชา

“คนเฉกเช่นเขาจึงจะสามารถอยู่ดีมีสุขได้ในโลกที่ผู้เข้มแข็งอยู่รอดผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อนี้” เฮยเฟิงซีเด็ดใบแห้งทิ้งอีกใบ “เขาฉลาดยิ่งนัก ขอเพียงเหลือชีวิตไว้ย่อมสามารถสร้างกิจการขึ้นมาใหม่ได้ ต้องมีชีวิตก่อนจึงจะมีทุกอย่างที่เหลือได้”

“ราวกับเจ้าเห็นพฤติกรรมทุกขั้นทุกตอนของเขากับตาตัวเอง” ไป๋เฟิงซีนิ่วหน้า สายตาที่ตกอยู่บนร่างเขาพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบเจิดจ้า

“ข้าไปที่เรือนฉีเสวี่ย ไหนเลยจะเห็นกับตาตัวเองได้” เฮยเฟิงซียิ้มจางๆ ทิ้งใบแห้งลงในกระถาง “แต่เป็นผู้ที่ข้าส่งไปอยู่ในบ้านสกุลซั่งต่างหากที่เห็นกับตาแล้วรายงานให้ข้าฟัง”

สิ้นเสียงเขาในห้องก็นิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ

“เจ้า…ฮ่าๆๆๆ…นึกไว้ไม่ผิด!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะกะทันหันพร้อมกับลุกขึ้น นางยกมือทาบกลางหน้าผาก ห้านิ้วกางออกน้อยๆ ราวกับประสงค์จะบดบังดวงตาทั้งคู่ “ข้ายังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าถึงใส่ใจเรื่องบ้านสกุลซั่งเช่นนี้ ความจริงข้าควรจะคิดได้ เจ้าทำสิ่งใดก็ล้วนแต่มีเป้าหมาย ก่อนทำสิ่งใดก็วางแผนล่วงหน้าอย่างชัดเจน! ข้าโง่เอง ยามนี้ถึงเพิ่งจะคิดออก”

“พี่สาว…” หานผู่เห็นไป๋เฟิงซีหัวเราะเสียงดังก็แตกตื่นหวาดกลัวขึ้นมา อดยื่นมือไปดึงมือของนางมิได้

ไป๋เฟิงซีราวกับไม่สังเกตว่าหานผู่ดึงมือนางไว้ สายตาจ้องตรงไปยังร่างเฮยเฟิงซี น้ำเสียงแผ่วเบาจนเหมือนรำพึงรำพัน “เมื่อเจ้าวางคนไว้ในบ้านสกุลซั่งแต่แรก เช่นนั้นทรัพย์สมบัติสกุลซั่งต้องไม่ถูกเผาไปกับกองเพลิงเป็นแน่ ในสิบส่วนต้องมีอย่างน้อยแปดส่วนตกอยู่ในมือเจ้า! จากนั้นเจ้าค่อยแบ่งสมบัติสกุลซั่งออกมาหยิบมือหนึ่ง บริจาคให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะเหตุเพลิงไหม้ เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าใจบุญสุนทาน ฟังดูสิ…ตอนนี้ผู้คนทั้งถนนล้วนแต่ชื่นชมพฤติกรรมอันเปี่ยมคุณธรรมของเฮยเฟิงซีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่บริจาคเสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยมิใช่หรือ ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไม้นี้ล้ำเลิศนัก!”

“ฮ่าๆๆๆ…” เฮยเฟิงซีลูบมือหัวเราะ “สตรี ในโลกนี้เจ้าคือผู้ที่เข้าใจข้ามากที่สุดจริงๆ”

“ใช่สิ” ไป๋เฟิงซีทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้อย่างหมดกะจิตกะใจ “เจ้าเป็นจิ้งจอกมากเพทุบาย ปลิ้นปล้อน อำมหิต เห็นแก่ตัว เลือดเย็น แล้งน้ำใจชัดๆ ไฉนคนในโลกจึงมองเจ้าไม่ออก ไฉนยังสรรเสริญเจ้าเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ดวงตาของผู้คนเป็นอันใดไปหมด”

“แต่ไหนแต่ไรข้าก็มิเคยบอกว่าตนเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม แต่ชาวโลกกลับคิดว่าข้าเป็นจอมยุทธ์ผู้มีเมตตาธรรม เฮยเฟิงซีคล้ายกับมีภาพแห่งคุณธรรมเหนือกว่าไป๋เฟิงซีเสียอีก” เฮยเฟิงซียังคงแย้มยิ้ม ในรอยยิ้มกลับเจือแววเยาะเย้ย “เจ้าว่าเป็นข้าที่ใช้ชีวิตได้ประสบความสำเร็จเกินไป หรือชาวโลกแยกแยะคนได้ล้มเหลวเกินไปกันเล่า”

“ชาวบ้านในชวีเฉิงกำลังสรรเสริญเจ้า ทว่าระหว่างความมั่งคั่งกับการช่วยคน เจ้ากลับเลือกอย่างแรก! เดิมทีเจ้าสามารถช่วยผู้ที่อยู่ในกองเพลิงเหล่านั้นได้ แต่เจ้ากลับยินดีขนย้ายทรัพย์สินเงินทองที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้นแต่ไม่ยินยอมยื่นมือสงเคราะห์คนเป็นที่อยู่ในกองไฟ! เหตุใดเจ้าถึงเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้!” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีแผ่วเบาเหือดแห้ง นางอิงร่างอยู่บนเก้าอี้ ห้านิ้วปิดดวงตา “หากรู้แต่แรก เมื่อคืนข้าก็ควรจะสังหารซั่งเหยี่ยเสีย!”

“เมื่อเลือกได้เพียงหนึ่งจากสอง ข้าย่อมต้องเลือกทางที่เป็นประโยชน์กับข้า” เฮยเฟิงซีสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้สึกผิดสักเศษเสี้ยวกับคำกล่าวโทษของไป๋เฟิงซี “ยิ่งกว่านั้นข้าก็เอาสมบัติของสกุลซั่งมาช่วยประชาชน หากทิ้งสมบัติช่วยคนก็ช่วยได้เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น”

“คำนวณได้จะแจ้งนัก!” นิ้วไป๋เฟิงซีที่ปิดอยู่เหนือดวงหน้าสั่นสะท้านน้อยๆ “คืนที่ผ่านมาเจ้าทำสิ่งต่างๆ ไปกี่อย่างกันแน่”

“สิ่งที่ทำเมื่อคืนไม่น้อยเชียวล่ะ” เฮยเฟิงซีสืบเท้ามายังเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับนางแล้วนั่งลง สายตาจับจ้องอยู่บนร่างนางคล้ายกำลังค้นหาบางสิ่งและก็คล้ายกำลังวางอุบาย “แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงพอนึกออกแล้ว”

“ในเมื่อทรัพย์สินสกุลซั่งล้วนตกอยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นทรัพย์สินสกุลฉีก็คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือเจ้าเช่นกัน” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีฉายแววอ่อนล้า

เฮยเฟิงซียิ้มโดยไร้สุ้มเสียง ดวงตาเป็นประกายมองนางราวกับมองเหยื่อในอุ้งมือ “บัวหิมะหยกเป็นโอสถวิเศษที่ทองคำพันชั่งก็ยากจะซื้อได้ แต่เมื่อข้าใช้มันแก้พิษให้เจ้า ข้าก็ถึงกับไม่ลังเลสักนิด บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าให้เจ้าตายไม่ได้จริงๆ หากเจ้าตายไปบนโลกนี้ยังจะมีใครรู้ใจและเข้าใจข้าเช่นเจ้าอีก ชีวิตเยี่ยงนั้นอ้างว้างน่าเบื่อหน่ายเกินไป”

ไป๋เฟิงซีแสยะยิ้มเหน็บแนม “สกุลซั่งและสกุลฉีเสียผู้นำไปแล้ว ทั้งสองสกุลสับสนวุ่นวาย ซ้ำยังมีจิ้งจอกอย่างเจ้าคอยวางอุบายอยู่ข้างๆ ทรัพย์สมบัติตกอยู่ในมือเจ้าข้าก็ไม่ประหลาดใจ แต่ร้านแลกเงิน โรงจำนำทั่วทั้งต้าตงที่อยู่ในการดูแลของทั้งสองสกุลล้วนตั้งผู้ดูแลไว้ บัดนี้เมื่อขาดผู้เป็นหัวหน้า พวกเขาจะต้องตั้งตนเป็นใหญ่ ร้านเหล่านั้นต่างหากที่เป็นขุมสมบัติของสกุลซั่งและฉี เจ้าหรือจะยอมสละได้ แล้วเจ้าจะทำเช่นไรเพื่อให้ได้มา”

“ใช้อำนาจบีบผลประโยชน์ล่อ ขอแค่เป็นคนก็ไม่อาจรอดพ้น” เฮยเฟิงซีมือซ้ายแบออก ห้านิ้วทำท่าคว้ากุม “ทุกสิ่งทุกอย่างของสกุลซั่งและฉีล้วนแต่อยู่ในกำมือของข้า!”

“โยวโจวเป็นยอดแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งอยู่ ณ ชวีเฉิง ชวีเฉิงโกลาหล โยวโจวจะต้องเคลื่อนไหว” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจยาว “สกุลฉีและซั่งตกเป็นของเจ้า ก็เท่ากับว่าโยวโจวครึ่งแคว้นตกเป็นของเจ้า นี่ต่างหากคือสาเหตุที่เจ้ามาที่โยวโจว แม้ข้าจะรู้จักเจ้ามานาน แต่เจ้าก็ทำให้ข้าหลั่งเหงื่อเย็นเยียบชุ่มร่างได้ทุกครั้งไป”

“หวงเฉาได้ป้ายขั้วกาฬ ข้าได้ความมั่งคั่งครึ่งโยวโจว เจ้าว่าเราสองคนผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ” เฮยเฟิงซียิ้มบางๆ ปลอดโปร่งสง่างามดุจราชัน

“ยุทธภพ การบ้านงานเมืองล้วนแต่ถูกเจ้าควบคุมเล่นอยู่ระหว่างนิ้วและฝ่ามือ จิตใจที่ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ กลอุบายที่แยบคายเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะเทียบเจ้าได้!” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงอย่างเย็นชา

เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังเบื้องหน้านาง โน้มกายเข้าใกล้ ใกล้จนลมหายใจผะผ่าวรดลงบนดวงหน้านาง เขาปัดมือที่อำพรางดวงตาของนางออก จ้องตรงไปยังดวงตาคู่นั้น

“สตรี ที่เจ้าโกรธเคืองเสียใจนั้นเพื่อสกุลฉีและซั่ง หรือเพื่อ…ข้า?”

นัยน์ตาไป๋เฟิงซีลึกล้ำดั่งวังน้ำลึก มองไม่เห็นก้น สงบไร้คลื่นลมแม้สักระลอก

สายตาเฮยเฟิงซีเจิดจ้าดุจคมกระบี่ คล้ายกับจะทิ่มแทงเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุด คล้ายกับจะตรวจตราให้กระจ่าง

สายตาคนทั้งสองประสานกัน สบกันอย่างเงียบงัน ในห้องเงียบสงัดชวนหายใจไม่ออก มีเพียงเสียงลมหายใจตื่นเต้นของหานผู่

ผ่านไปพักใหญ่ไป๋เฟิงซีถึงลุกขึ้น จูงหานผู่ผู้ทำตัวไม่ถูกอยู่ด้านข้างเดินออกนอกประตูไป ก่อนที่จะปิดประตู นางก็เหลียวหน้ามามองเฮยเฟิงซีแวบหนึ่ง

“เจ้า…สิบปีไม่มีเปลี่ยน!”

 

ขณะที่เซี่ยวเอ๋อร์กำลังเก็บสัมภาระมีค่า สายตาก็เหลือบไปเห็นเฟิ่งชีอู๋ที่นั่งตะลึงตะไลอยู่ข้างโต๊ะ แม้นางจะยังมีสีหน้าเฉยชาดังเดิม ทว่าดวงตาทั้งสองกลับฉายอารมณ์อันซับซ้อนมากมาย

“แม่นางเฟิ่ง” เซี่ยวเอ๋อร์ร้องเรียกเสียงเบา

“อือ” เฟิ่งชีอู๋เหม่อลอยราวกับไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดไปชั่วขณะ

เซี่ยวเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็สะท้อนใจ ทว่าใบหน้ายังคงคลี่ยิ้ม “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ คิดจนเหม่อลอยเช่นนี้”

“แม่นางเฟิง” เฟิ่งชีอู๋ยอมรับตามตรง หัวคิ้วขมวดมุ่น “สตรีเช่นนั้นข้ายังมิเคยได้พบได้รู้จักมาก่อนเลย”

“แต่ละวาจาแต่ละกิริยาล้วนแต่ไม่ต้องกับธรรมเนียม ระห่ำไร้กฎเกณฑ์ยิ่งกว่าบุรุษ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยออกมาเบาๆ มองเฟิ่งชีอู๋ด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้า สายตาทอดไปยังท้องฟ้า “ทั้งที่ช่างไร้มารยาท ทว่ามองแล้วกลับชวนให้รู้สึกน่าทึ่งและเกิดความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ”

“เซี่ยวเอ๋อร์ติดตามข้างกายกงจื่อมาห้าปีแล้ว เมื่อยังไม่ทันได้พบกับแม่นางซีกลับรู้ว่ามีแม่นางซีผู้นี้อยู่ตั้งแต่วันแรก ต่อมาก็ได้พบกับนางไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้เจอก็จะเห็นนางทะเลาะกับกงจื่อ หลายปีผ่านมาแล้วพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย” เซี่ยวเอ๋อร์มองเฟิ่งชีอู๋ ในน้ำคำแฝงความนัยลึกซึ้ง

เฟิ่งชีอู๋ยินดังนั้นก็อดมองไปทางเซี่ยวเอ๋อร์มิได้ นางเองก็ฉลาดความรู้สึกฉับไว ตลอดทางมานี้ได้พบคนรอบกายเฮยเฟิงซีมาบ้าง แม้นางไม่พูด ทว่าก็รู้ว่าล้วนแต่เป็นยอดคน แม้แต่เซี่ยวเอ๋อร์ จงหลีและจงหยวนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ดูเหมือนอายุยังน้อย ทว่าแต่ละคนกลับมีความสามารถไม่สามัญ จัดการสิ่งใดไม่เหมือนธรรมดา

“เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้าคิดจะบอกสิ่งใดแก่ข้า”

เซี่ยวเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้ม เปลี่ยนมาถามว่า “ท่านรู้สึกว่ากงจื่อเป็นคนเช่นไร”

เฮยเฟิงซีเป็นคนเช่นไร

เฟิ่งชีอู๋เงียบอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะเอ่ยตอบ “ข้ามองไม่ออก”

ใช่ แม้จะอยู่ใกล้กันมาหลายเดือน แต่นางกลับยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงแม้จะเป็นชาวยุทธ์ ทว่ามีผู้ติดตามมากมาย พฤติกรรมคำพูดคำจางามสง่ามีมารยาท การกินการอยู่ประณีตบรรจงหามีผู้ใดเทียบ มากพิธีรีตองยิ่งกว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง แม้จะอยู่เพียงตรงหน้าแต่กลับไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดของเขา ลึกล้ำยากคาดเดาดุจดั่งรัตติกาลอันมืดมิดกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต โอบอุ้มได้ทั้งผืนฟ้าและแผ่นดิน แต่กลับหามีผู้ใดมองออกสักเศษเสี้ยว

“มองไม่ออกก็ย่อมยากจะคิดให้กระจ่างได้ ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องคิดให้มากความ กงจื่อเชื้อเชิญท่านร่วมทางก็ย่อมต้องดีต่อท่านเป็นแน่” เซี่ยวเอ๋อร์ประคองนางขึ้น “ของเก็บเสร็จหมดแล้ว คิดว่ารถม้าคงรออยู่ด้านนอก พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

ทั้งสองเดินออกนอกห้องก็เห็นประตูห้องเฮยเฟิงซีเปิดผลัวะ ไป๋เฟิงซีและหานผู่ก้าวออกมา

พริบตาที่สายตาประสานกันก็เห็นได้ถึงความผิดหวังและเย็นชาในส่วนลึกของดวงตาของสตรีผู้งามสง่าเป็นธรรมชาติดั่งสายลม เมื่อมองอีกครากลับกลายเป็นรอยยิ้มละไมทั่วใบหน้า ชวนให้สงสัยใจว่าเมื่อครู่ตาฝาดมองพลาดไปเอง เมื่อสายตากวาดต่อไปยังเบื้องหลังไป๋เฟิงซี เฮยเฟิงซีที่อยู่ในห้องมีสีหน้าสุขุมราบเรียบ แค่ว่าดวงตาหลุบลงน้อยๆ อำพรางนัยน์ตาดุจหยกดำนั้นไว้

“แม่นางเฟิ่งคนงาม” ไป๋เฟิงซียิ้มทักคนงามที่ยืนร่างระหงราวกับดอกเหมยแห่งเหมันต์กลางหิมะ หยิ่งทะนงและบริสุทธิ์ผุดผาด

“แม่นางเฟิง” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย

“เฮ้อ เพียงได้เห็นดวงหน้านี้ของเจ้า ต่อให้มีโทสะแน่นอกก็มลายหายไป” ไป๋เฟิงซีมือซ้ายดึงมือเฟิ่งชีอู๋ มือขวาเกี่ยวคางนางอย่างเบามือ คึกคะนองราวกับบุรุษเสเพลไปเยี่ยมเยียนแหล่งเริงรมย์ “ชีอู๋ เจ้าอย่าติดตามจิ้งจอกดำตัวนั้นเลยจะดีกว่า มาอยู่ข้างกายข้าเถิด เช่นนี้เราจะได้สบตากันทุกเช้าค่ำ หากได้มองดวงหน้าดั่งเทพธิดาของเจ้าทุกวัน ข้าต้องอายุยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่าเป็นแน่”

“แม่นางซี วาจานี้ของท่านต่อให้เป็นบรรดาบุรุษที่เที่ยวหอเขียวทุกวันก็ยังกล่าวไม่ออกเลยเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์อดลอบยิ้มมิได้

“เจ้าเด็กน้อย” ไป๋เฟิงซีปล่อยเฟิ่งชีอู๋ มือยื่นออก ปลายนิ้วก็เคาะลงบนหน้าผากเซี่ยวเอ๋อร์ “ถ้าข้าเป็นบุรุษจะแต่งพวกเจ้าเข้าบ้านทั้งสองคนเสียเลย ผู้หนึ่งงามเฉิดฉายไร้เปรียบปาน ผู้หนึ่งมีลักยิ้มพริ้มเพราไร้มลทิน เรียกได้ว่าโอบซ้ายตระกองขวา สุขสมหาใดเปรียบ”

“ฮิๆ มิกล้าคิดเลยว่าถ้าแม่นางซีเป็นบุรุษจะเป็นเช่นไร” เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มเบิกบานกว่าเก่า กระทั่งเฟิ่งชีอู๋ก็ยังเผยรอยยิ้มบางๆ

“ถ้าข้าเป็นบุรุษหรือ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นบุรุษผู้งามสง่า ทั้งคุณธรรมและรูปลักษณ์เป็นหนึ่งในใต้หล้าน่ะซี!” ไป๋เฟิงซีคุยโวอย่างไม่ละอาย

“เอาสิเจ้าคะ ถ้าท่านเป็นบุรุษเซี่ยวเอ๋อร์ต้องติดตามไปกับท่านแน่” เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกันนั้นก็ประคองเฟิ่งชีอู๋เดินไปทางประตูหน้า

“เฮ้อ เสียดายที่สวรรค์ให้ข้าเกิดมาเป็นสตรี ทำให้คนงามต้องเสียของ” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างเสียดายเป็นหนักหนา ใบหน้ายิ่งฉายแววโศกาอาดูร

“พี่สาว ท่าทางนี้ของท่านจะทำให้สวรรค์นึกเสียใจที่ให้ท่านถือกำเนิดมานะ” โดยมิทันระวัง หานผู่ที่อยู่ด้านหลังก็สาดน้ำเย็นมาทั้งกะละมัง เฮ้อ บางคราเขาก็สำนึกเสียใจในภายหลังจริงๆ ที่นับคนผู้นี้เป็นพี่สาว

“ผู่…เอ๋อร์…” ไป๋เฟิงซีหมุนกายไปลากเสียงยาวเรียกอย่างอ่อนหวาน

“พี่สาวเฟิ่ง ข้าจะช่วยประคองท่านลงบันได” หานผู่เห็นเหตุการณ์ก็เผ่นแน่บไปยังข้างกายเฟิ่งชีอู๋ ประคองนางอย่างขมีขมัน

“เรื่องเห็นลมหมุนพวงมาลัยเรือ พลิกแพลงตามสถานการณ์ล่ะเรียนรู้ไวนัก” ไป๋เฟิงซีที่ด้านหลังทางหนึ่งลงบันได ทางหนึ่งบ่นเสียงอุบอิบ

“การถูกขานนามร่วมกับเจ้าช่างเสียหน้าโดยแท้” โดยมิทันระวัง ประโยคหนึ่งก็ลอยมาจากด้านหลัง

ไป๋เฟิงซีถลึงตาใส่เฮยเฟิงซี จากนั้นก็หันหน้ากลับ มองไปยังรถม้าสองคันหน้าประตู พริบตานั้นก็ยิ้มสดใสไปทั้งหน้าอีกครา “จงหลี จงหยวน พวกเจ้ากับจิ้งจอกดำนั่นนั่งรถพี่เหยียนไปนะ รถคันนี้ก็ให้ข้ากับแม่นางเฟิ่งคนงามนั่งก็แล้วกัน”

นางสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระโดดอย่างแผ่วเบาก็พลิ้วร่างขึ้นไปอยู่บนรถ จากนั้นก็ลากเฟิ่งชีอู๋ เซี่ยวเอ๋อร์ และหานผู่ขึ้นรถไปทีละคน ต่อมาก็ปิดประตูรถ ทิ้งให้จงหลีจงหยวนยืนอึ้งอยู่นอกรถ

“กงจื่อ” จงหลีจงหยวนหันหน้ากลับมามองเฮยเฟิงซีอย่างพร้อมเพรียง

เฮยเฟิงซีชายตามองรถม้าอีกคันซึ่งในสายตาผู้อื่นควรนับว่าดีเลิศ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ “จูงม้าของข้ามา”

“ขอรับ กงจื่อ”

 

กลางเดือนสามเป็นช่วงเวลาที่ทิวทัศน์แห่งฤดูใบไม้ผลิงามสะพรั่งอย่างเต็มที่

ยามเช้าตรู่ ลมแห่งวสันตฤดูที่หนาวเย็นอยู่บ้างเป่าเอาหมอกจางดั่งแพรโปร่งบางให้กระจายออกไป เป่าหยาดน้ำค้างยามเช้าอันใสบริสุทธิ์ให้ร่วงหล่น ม้วนเอากลิ่นหอมกรุ่นแห่งรุกขชาติสีเหลืองเมื่อราตรีก่อนให้อบอวล แล้วเกี่ยวเอาแสงแดงสดใสแห่งรุ่งอรุณสายหนึ่งให้ผิวผ่านศาลากลางน้ำ อ้อมผ่านทางเดินคดเคี้ยว ลอดเข้าสู่ตำหนักซึ่งปูด้วยกระเบื้องมรกต จุมพิตปลุกโฉมวิลาสผู้หลับสนิทอยู่หลังม่านโปร่งบางอย่างแผ่วเบา

นางกำนัลทยอยเข้าสู่ตำหนัก เกี่ยวม่านเปิด ประคองดอกไห่ถังผู้หลับใหลขึ้น คลุมอาภรณ์สีม่วงให้ ก่อนจะย้ายคันฉ่องสำริดเข้าหา ประคองน้ำบาดาลอันหอมหวานมาชำระล้างดวงหน้าอันอาจล่มเมืองได้นั้น แล้วหยิบหวีสางหยกมรกตขึ้น รวบผมงามสลวย ปักปู้เหยาทองคำ* ติดเตี้ยน** รูปปะการัง วาดคิ้วเรียวงามบางๆ ทาแป้งประทินสีชาดอ่อนจาง เมื่อแต่งแต้มเสร็จก็กลายเป็นโฉมงามผู้เฉิดฉายกลบรัศมีแห่งอรุโณทัย งดงามกว่าร้อยบุปผชาติ

“โลกนี้มิมีผู้ใดจะงามไปกว่ากงจู่อีกแล้วเพคะ!”

ณ ตำหนักลั่วหวา (โศภิตเนา) ทุกเช้าก็จะมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ดังขึ้น ขอเพียงเป็นผู้ที่อยู่ในวังอ๋องแห่งโยวโจวได้ยินเข้าก็จะรู้ว่าวาจานี้มาจากปากของหลิงเอ๋อร์นางกำนัลผู้ปรนนิบัติฉุนหรานกงจู่

กงจู่แห่งโยวโจวผู้ได้สมัญญาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง…ฮว่าฉุนหรานหลุบตามองดวงหน้างดงามไม่มีสองในคันฉ่องสำริด นางเม้มปากยิ้มน้อยๆ โบกมือเป็นสัญญาณให้เหล่านางกำนัลที่มาแต่งหน้าทำผมถอยออกไป

นางกรายเท้าออกนอกตำหนัก แสงตะวันยามเช้ากำลังทะลวงผ่านหมอกบาง ส่องแสงทองอ่อนๆ ลงมา สายลมโชยผ่าน มวลบุปผชาติแห่งวสันตฤดูต่างพากันพยักหน้า

“กงจู่จะไปเสวยพระกระยาหารเช้ากับฝ่าบาทที่ตำหนักจินเสิง (พวนทอง)หรือไม่เพคะ” หลิงเอ๋อร์ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังถามขึ้น

“ไม่ แจ้งให้ตั้งอาหารที่ศาลาเสี่ยวเยียน (หมอกอรุณ) ข้าจะไปอุทยานหมิงเซ่อ (สีสายัณห์) ก่อน เมื่อคืนต้นหิมะหมึกนั่นออกดอกแล้ว เช้านี้อาจบานแล้วก็เป็นได้” ฮว่าฉุนหรานเหยียบย่างไปตามขั้นบันไดซึ่งชื้นเพราะต้องหมอกยามเช้า นางหันกลับไปบัญชากับหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมาหรอก ไปทำงานเถิด”

“เพคะ” หลิงเอ๋อร์และเหล่านางกำนัลถอยออกไป

อุทยานหมิงเซ่อคืออุทยานดอกไม้ที่โยวอ๋องให้สร้างขึ้นเพื่อฉุนหรานกงจื่อธิดาคนโปรดโดยเฉพาะ อุทยานนี้ไม่เหมือนกับอุทยานดอกไม้อื่นๆ เพราะภายในปลูกเพียงโบตั๋นเท่านั้น โดยจะรวบรวมสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วแผ่นดินไว้ แม้กวาดตามองทั่วต้าตงก็หามีแห่งที่สองไม่ และยามปกติเว้นแต่ผู้ที่มีหน้าที่เพาะปลูกและบำรุงรักษา หากมิได้รับอนุญาตจากกงจู่ ผู้ใดก็มิอาจเข้าสู่อุทยานได้

เดือนสามเป็นช่วงเวลาที่โบตั๋นจะทยอยผลิดอก ในอุทยานจึงเต็มไปด้วยดอกตูมรอวันเบ่งบานและดอกที่บานสะพรั่งเต็มที่แล้ว แดง ขาว เหลือง ม่วง สีสันพร่างพราวละลานตา หากเดินอยู่กลางหมู่มาลีก็เหมือนดังอยู่กลางทะเลแห่งพฤกษชาติ กลิ่นหอมกำจรไปทั่ว กำซาบเข้าสู่สรรพางค์กาย อบร่ำอาภรณ์

ฮว่าฉุนหรานอ้อมผ่านพุ่มดอกไม้ไปพุ่มแล้วพุ่มเล่า เดินมาถึงหน้าแปลงเล็กๆ ที่กลางอุทยาน ในแปลงปลูกโบตั๋นไว้เพียงต้นเดียวเท่านั้น

“บานแล้วจริงๆ ด้วย”

ครั้นเห็นโบตั๋นกลางแปลงดอกนั้นบานสะพรั่ง ฮว่าฉุนหรานก็แย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว

โบตั๋นต้นนี้ไม่เหมือนกับต้นใดๆ ในอุทยาน มันสูงราวสามเชียะ กิ่งก้านเหยียดตรง กลางกิ่งใบสีเขียวมรกตมีดอกไม้ขนาดเท่าชามใบโตชูช่ออยู่ กลีบดอกดั่งหมึก เกสรดุจหิมะ บนเกสรหิมะแต้มดวงดาราสีเหลือง แปลกเด่นสะดุดตายิ่งนัก

“หิมะหมึก…ช่างเป็นดุจหมึกและคล้ายหิมะนัก” นางรำพึงรำพันเบาๆ แล้วก็ยื่นนิ้วไล้กลีบดอกอย่างเบามือ เพียงใช้ปลายนิ้วแตะเล็กน้อยประหนึ่งกลัวมันจะสลายไป ก่อนจะโน้มเอวก้มศีรษะ ดอมดมกลิ่นหอมจรุงใจสายนั้น

“เฮ้อ…ที่แท้บนโลกนี้ก็มีผู้ที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วย” ทันใดนั้นเสียงใสกังวานไร้มลทินก็ดังก้องขึ้น ราวกับมาปลุกโบตั๋นทั่วทั้งอุทยานที่ยังหลุบโฉม และก็ปลุกฮว่าฉุนหรานที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ นางเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน บุปผชาติดั่งมหานที ร่องรอยของมนุษย์สักนิดก็หามีไม่

“กล่าวกันว่าโบตั๋นคือความงามแห่งแผ่นดิน คือสุคนธรสแห่งแดนฟ้า แต่ข้าว่าคนงามผู้นี้กลับเหนือล้ำกว่าราชาแห่งบุปผชาติเสียอีก!” เสียงใสกังวานนั้นดังขึ้นอีกครา แฝงอารมณ์ทึ่งอันยินดีปรีดา

ฮว่าฉุนหรานมองตามเสียงในทันใด แล้วก็ได้เห็นว่าที่เหนือหลังคาสูงมีบุรุษอาภรณ์ดำและสตรีอาภรณ์ขาวนั่งอยู่ แสงอรุโณทัยสาดลำนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง ขับหมอกเช้าบางๆ ให้สลายไป ทว่ากลับยังเหลือบางสายที่ม้วนวนอยู่รอบกายทั้งสองราวกับอาลัยอาวรณ์ ทำให้ดวงหน้าของพวกเขาพร่ามัว ขณะนั้นฮว่าฉุนหรานหลงนึกไปว่าตนพบเงาร่างของเซียนในโลกมายา

“จิ้งจอกดำ เจ้าว่าที่หนังสือเขียนไว้ว่า ‘มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทราหลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง’ก็หมายถึงคนงามเช่นที่อยู่ตรงหน้านี้ใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซียื่นขาเขี่ยเฮยเฟิงซีที่อยู่ด้านข้าง

“ที่เรียกว่าหญิงงามนั้น มีมวลผกาเป็นรูปโฉม มีจันทราเป็นสีหน้า มีต้นหลิวเป็นท่าทาง มีหยกเป็นกระดูก มีหิมะเป็นผิว มีวารีแห่งสารทฤดูเป็นท่วงท่า และคนงามผู้นี้ก็เป็นได้โดยไร้ความละอาย” เฮยเฟิงซีเองก็พยักหน้าชื่นชมจากใจจริง สุดท้ายยังเติมอีกประโยคว่า “เจ้าควรจะเอาอย่างผู้อื่นบ้างจริงๆ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮว่าฉุนหรานได้พบกับไป๋เฟิงเฮยซี หลายปีให้หลังเมื่อวัยเยาว์ของฮว่าฉุนหรานผ่านเลยไปและเผชิญกับดวงหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยในคันฉ่องทองเหลือง นางกลับยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า หวนรำลึกถึงเช้าวันนี้ที่อากาศเย็นฉ่ำ เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมของมวลผกาและความน่าอัศจรรย์ใจนี้ได้อย่างผ่อนคลายแช่มชื่น

หลังอารมณ์แตกตื่นในตอนแรกจางไป นางหาได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าความสามารถที่คนทั้งสองพาตัวเองมายังเบื้องหน้านางได้โดยไม่ทำให้องครักษ์ที่คอยเฝ้าทั้งนอกวังในวังอย่างแน่นหนารู้ตัวเป็นสิ่งที่อันตรายเพียงไร เพียงแค่ถามอาคันตุกะผู้มาจากขอบฟ้าด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายว่า “ท่านทั้งสองบินมาจากท้องฟ้าหรือ หรือถูกสายลมพัดมาจากต่างโลก?”

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ “คนงามเอ๋ย เจ้าไม่กลัวบ้างหรือไรว่าพวกเราจะเป็นโจรเถื่อน มาปล้นทรัพย์ปล้นโฉม”

“หากโจรเถื่อนล้วนแต่มีท่วงท่ามิสามัญเช่นท่านทั้งสอง เช่นนั้นฉุนหรานก็ใคร่อยากเป็นโจรเถื่อนดูบ้าง” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างไม่ลนลาน

“ดีๆๆ!” ไป๋เฟิงซีปรบมือชื่นชม “รูปโฉมเลิศล้ำ ทว่าถ้อยปราศรัยยิ่งวิเศษกว่า ช่างชวนพิสมัยแท้ๆ สมัญญาหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงนี้เป็นได้โดยไร้ความละอาย”

สุดท้ายหมอกแห่งอรุณก็ต้านทานแสงอาทิตย์ไม่ไหว สลายหายไปอย่างเงียบงัน แม้จะไกลจนไม่อาจมองรูปลักษณ์ของคนบนหลังคาให้ถนัดตาได้ ทว่ากลับเห็นเครื่องประดับจันทร์เสี้ยวสีดำและขาวที่กลางหน้าผากคนทั้งสองอย่างชัดเจน มันสะท้อนรับกับแสงอรุโณทัย ส่องประกายวิบวับสะดุดตา

“หากฉุนหรานแยกไม่ผิด ทั้งสองท่านจะต้องเป็นไป๋เฟิงเฮยซีผู้โด่งดัง” ฮว่าฉุนหรานสายตาจับอยู่ที่เครื่องประดับทรงจันทร์เสี้ยวสองชิ้นนั้น เอ่ยอย่างปลอดโปร่ง

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีส่งเสียงหัวเราะ “ผู้อยู่ในวังลึกถึงกับมีสายตาเช่นนี้ ไม่เลว ได้พบกับท่านการมาครั้งนี้ก็มิเสียเที่ยวแล้ว”

“หาใช่ฉุนหรานสายตาดี แค่ว่าชื่อเสียงของท่านทั้งสองระบือลือไกล ไม่ว่าตามหัวถนนตรอกซอยหรือในวังลึกก็ล้วนแต่เคยได้ยินนาม” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้า สง่างามดุจกระเรียนขาวสยายปีก ทิ้งร่างลงตรงหน้าฮว่าฉุนหรานอย่างชดช้อย พินิจพิเคราะห์นางจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างอย่างละเอียด

เห็นเพียงคนงามยืนประคองบุปผา ดวงตาดั่งสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง ดวงพักตร์ดุจดอกท้อ เรือนร่างเหมาะเจาะพอดี ท่วงท่ากิริยาน่าพิสมัย มิเคยพบผู้ใดเทียบเทียมได้!

“ช่างเป็นดวงหน้าที่งดงามเหลือเกิน!” นางมองแล้วอดไม่ได้ มือลูบคลำพวงแก้มหยกอันนุ่มนิ่มของคนงามโดยไม่รู้ตัว “อยากเก็บดวงหน้านี้ไว้ในแขนเสื้อยิ่งนัก จะได้หยิบมาชื่นชมทุกเช้าค่ำ”

“เฮ้อ พฤติกรรมคึกคะนองนี้ของเจ้าจะทำให้หญิงงามแตกตื่น” เฮยเฟิงซีมองพฤติกรรมไร้มารยาทนั่นของไป๋เฟิงซีแล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ เขาขยับร่างคราหนึ่ง แล้วกลางอากาศก็คล้ายกับสะพานไร้รูปลักษณ์พาดให้เขาก้าวลงมาอย่างสง่างาม

“จิ้งจอกดำ อย่ารบกวนข้าชมคนงาม” ไป๋เฟิงซีโบกมือซ้ายไปด้านหลังราวกับปัดไล่แมลงวัน มือขวายังหยุดอยู่บนดวงหน้าหญิงงาม โยกไหวศีรษะ กล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งคืนเต็ม เดิมทีหิวถึงขีดสุดแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อได้เห็นหน้าท่าน ข้าถึงกับไม่หิวสักนิด นี่ต้องเป็นที่ในตำรากล่าวไว้ว่างามจนชมโฉมแทนภักษาหารได้เป็นแน่”

ฮว่าฉุนหรานปล่อยให้ไป๋เฟิงซีทั้งลูบทั้งมองตามอำเภอใจ นางเพียงแค่ยืนอย่างสงบนิ่ง ตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆ

“เฮ้อ! เหตุใดข้าจึงไม่เกิดมาเป็นบุรุษนะ จะได้แต่งเอาคนงามทั้งหลายเข้าบ้านให้หมด!” สุดท้ายไป๋เฟิงซีก็คลายกรงเล็บออกอย่างอาลัยอาวรณ์

ฮว่าฉุนหรานเม้มปากยิ้ม จากนั้นก็คารวะอย่างชดช้อย “ไป๋เฟิงเฮยซีมิใช่สามัญเลยจริงๆ วันนี้ฉุนหรานโชคดี ได้ทำความรู้จักกับทั้งสองท่าน”

“อ๊ะ! กงจู่คารวะราษฎรธรรมดาอย่างพวกเรา นี่มิใช่ทำให้พวกข้าอายุสั้นหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซีกระโดดโหยง หลบไปอยู่หลังเฮยเฟิงซี แล้วยกเท้าถีบขาพับเขา “จิ้งจอกดำ เจ้าก็คารวะกงจู่สักสองคราสิ ตีเสียว่าคารวะตอบแทนข้าด้วย”

ไม่เห็นเฮยเฟิงซีขยับร่างกาย ทว่าร่างกลับเคลื่อนออกไปหนึ่งก้าว หลบเท้านั้นพ้น จากนั้นเขาก็แสดงคารวะอย่างผ่อนคลาย สง่าผ่าเผย ท่วงท่าชวนแช่มชื่น “เฟิงซีคารวะกงจู่”

“ได้ยินว่าไป๋เฟิงเฮยซีแต่ไหนแต่ไรไปมาร่องรอยไม่แน่นอน ยากพบพาน กลับมิรู้ว่าเหตุไฉนวันนี้จึงมาถึงที่นี้ได้” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองทั้งสอง

“ข้าก็มาเพื่อชมโฉมคนงามแซ่ฮว่าเช่นเจ้าอย่างไรเล่า” สายตาของไป๋เฟิงซีถูกโบตั๋นหิมะหมึกต้นนั้นดึงความสนใจ อดเดินเข้าไปหามิได้ พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “ที่จิ้งจอกดำตัวนี้มาหาเจ้ากลับมีสาเหตุอื่น”

“อ้อ?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็มองไปทางเฮยเฟิงซี เมื่อสายตาประสานกัน หัวใจนางก็พลันเต้นรัว กงจื่อในสกุลผู้มียศถาบรรดาศักดิ์นางก็เคยพบมาตั้งไม่รู้เท่าไร แต่กลับมิมีผู้ใดสูงส่งและหมดจดงดงามเช่นนี้เลยสักผู้เดียว ในอุทยานแห่งวังอ๋อง เขาก็ประหนึ่งยืนอยู่ในสวนบ้านตัวเอง ท่วงท่ามั่นใจและผ่อนคลาย

เฮยเฟิงซีล้วงผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นส่งให้ “กงจู่เคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่”

“นี่คือ?” ฮว่าฉุนหรานรับผ้าเช็ดหน้ามา อดประหลาดใจมิได้ “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของข้า กลับมิทราบว่าไปอยู่ในมือของท่านได้โดยทางใด”

“นี่คือของของท่านจริงหรือ” เฮยเฟิงซีย้อนถาม ประกายตาอ่อนโยน

“แน่นอน” ฮว่าฉุนหรานมองผ้าผืนนั้นอย่างถี่ถ้วน ชี้ไปยังลวดลายบนผ้าแล้วกล่าวว่า “นี่คือลายที่ข้าปักเองกับมือ ข้าย่อมจดจำได้”

“ที่แท้ฉงฉงและจวี้ซวีนี้ท่านเป็นผู้ปัก” เฮยเฟิงซีทำท่าเพิ่งเข้าใจอย่างกระจ่าง

“ท่านทราบด้วยหรือว่านี่คือฉงฉงและจวี้ซวี” ฮว่าฉุนหรานฟังแล้วหัวใจกระตุกวูบ ต้องทราบว่าฉงฉงและจวี้ซวีเป็นสัตว์ประหลาดในตำนานโบราณ อย่าว่าแต่จดจำออกเลย กระทั่งผู้ที่เคยได้ยินชื่อของมันก็น้อยนักน้อยหนาแล้ว จึงไม่นึกว่าเขาจะรู้เช่นกัน

“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าผ้าเช็ดหน้านี้ไปอยู่ในมือเขาได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีสอดขึ้นกะทันหัน อีกทางก็เดินวนรอบโบตั๋นต้นนั้น พิศซ้ายแลขวา

“ฉุนหรานนึกประหลาดใจอยู่บ้าง แม่นางเฟิงสามารถบอกกล่าวได้หรือไม่” ฮว่าฉุนหรานเหลียวหน้าไปมอง และก็กลับเห็นใบหน้าของไป๋เฟิงซีโน้มลงห่างจากดอกไม้ไม่ถึงสามชุ่น นิ้วมือยังแตะเกสรเล่น ท่าทางราวกับหมายจะนับเกสรให้ครบทุกเส้น

“หึๆ…ย่อมได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวปนหัวเราะ เงยหน้าสบตาตอบ แววตาเจ้าเล่ห์ “ก็สายลมมันพัดไป พัดไป พัดไป…พัดผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ลอยไปถึงริมฝั่งทะเลสาบฉังหลีซึ่งห่างออกไปหลายร้อยลี้ จากนั้นก็ร่วงลงจากฟากฟ้า ตกลงสู่มือของจิ้งจอกดำตัวนี้อย่างไรเล่า”

“ฮิๆ…แม่นางเฟิงช่างเข้าใจล้อเล่นจริงๆ” ฮว่าฉุนหรานใช้แขนเสื้อปิดปากหัวเราะ ดวงหน้าก้มลงน้อยๆ อากัปกิริยางามชดช้อย ท่วงท่าตรึงใจ

“เฮ้อ คนงามแย้มสรวล ล่มเมืองล่มแคว้น” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างสะทกสะท้อน โบกมือคราหนึ่ง ลมบางเบาก็โชยมาหนึ่งระลอก พริบตานั้นโบตั๋นทั้งอุทยานก็ร่ายระบำ “ต่อให้เป็นโบตั๋นที่ได้ชื่อว่าเป็นความงามแห่งแผ่นดินก็ยังต้องศิโรราบ”

โบตั๋นที่ส่ายไหวในสายลมยิ่งเพิ่มความงดงามจับใจกว่าเมื่อครั้งชูช่อสงบนิ่ง ทว่ายามนี้ฮว่าฉุนหรานกลับเหม่อมองไป๋เฟิงซี โบตั๋นเต็มอุทยาน แต่สตรีในอาภรณ์ขาวดุจหิมะกลับสามารถกลบรัศมีแห่งโบตั๋นทั้งอุทยานได้

ตะลึงตะไลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วฮว่าฉุนหรานก็ชื่นชมเสียงแผ่วเบา “บุคคลเช่นแม่นางเฟิงต่างหากที่ชวนให้ศิโรราบจากใจ”

ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็มองไปทางเฮยเฟิงซี “ได้ยินหรือไม่ นี่คือคำอันออกจากปากหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงเชียวนะ วันหน้าเจ้าพูดอะไรทำนองว่าถูกขานนามคู่กับข้าเป็นเรื่องขายหน้าให้น้อยลงหน่อย เป็นข้าต่างหากที่ลดตัวลงมา เจ้าควรจะจุดธูปไหว้ขอบคุณสวรรค์ทุกเช้าค่ำที่ได้รับการขานนามร่วมกับข้าผู้นี้”

เฮยเฟิงซียังตั้งตัวไม่ทัน ส่วนฮว่าฉุนหรานหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “หากได้แม่นางเฟิงเคียงข้าง ข้าจะต้องยิ้มกว้างได้ทั้งชีวิตเป็นแน่”

“โถ่ เช่นนั้นก็ไม่ดีหรอก จะมัวแต่ยิ้มไม่ต้องกินข้าวแล้วหรือ หากทำให้ท่านต้องหิว ข้าจะเจ็บปวดใจเอาได้” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า มือลูบหนังท้อง “พวกเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ยังต้องการธัญญาหารทั้งห้ามาหล่อเลี้ยงกายเนื้ออยู่ คนงามแซ่ฮว่า ท่านเลี้ยงอาหารข้าสักมื้อได้หรือไม่”

“ฮ่าๆๆๆ…” ในที่สุดฮว่าฉุนหรานก็กลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ในเมื่อสายลมพัดผ้าเช็ดหน้าของข้าไปตกอยู่ในมือท่านทั้งสอง ซ้ำยังพัดท่านทั้งสองมาส่งถึงตรงหน้า นี่ก็นับเป็นวาสนาอันอัศจรรย์ ให้ฉุนหรานได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้าน รับรองทั้งสองท่านเป็นอย่างไร”

“โอ้ ท่านมิเพียงรูปโฉมงดงาม ถ้อยปราศรัยก็วิเศษนัก” ไป๋เฟิงซีปรบมือเอ่ยขึ้น

“เฟิงกงจื่อจะให้หน้าหรือไม่” ฮว่าฉุนหรานถามเฮยเฟิงซีที่กำลังพิจารณาโบตั๋นต้นนั้นอยู่ด้านข้าง

“โบตั๋นต้นนี้คาดว่าท่านคงบำรุงดูแลอย่างใส่ใจยิ่ง” เฮยเฟิงซีแตะกลีบดอก เอ่ยอย่างสะท้อนใจน้อยๆ “ดุจหมึกคล้ายหิมะ อัศจรรย์อย่างเอกอุ เพียงแต่ไม่เหมาะจะปลูกในอุทยานโบตั๋นแห่งนี้”

“หืม? เพราะเหตุใดเล่า” ฮว่าฉุนหรานมองเขา พลันรู้สึกว่าคนเบื้องหน้าคล้ายบุปผาดอกนั้นเหลือเกิน

“ดอกไม้นี้ หากไม่ชูช่อพ้นโลกียะโดยลำพังก็ต้องประกาศโฉมให้เลื่องลือทั่วหล้า” เฮยเฟิงซีผินหน้ากลับ นัยน์ตาดำดั่งรัตติกาล

หัวใจฮว่าฉุนหรานพลันกระตุกไหว เยื่อแก้วหูสั่นสะท้าน นั่นคือเสียงของหัวใจเต้น สะท้อนอยู่เนิ่นนานไม่จางหาย สายตาของนางมองเฮยเฟิงซี เงียบงันอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน

“นี่ ทั้งสองท่าน กินข้าวสำคัญกว่านะ”

ข้างหูได้ยินเสียงไป๋เฟิงซีร้องเรียก พอหมุนร่างไปมองก็เห็นนางกระโดดเหินอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ผกา อาภรณ์ขาวโบกสะบัด ผมยาวสลวยพลิ้วไหว ปลายเท้าสะกิดผ่าน ทว่าบุปผายังคงเดิม กิ่งใบมิแปรเปลี่ยน ปากยังคลอบทเพลงนิรนาม

 

“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว

หยางหลิวมากสิเน่หา

ข้ากรายเหนือบุปผามา

เพื่อยลน้องยายิ้มเดียว…”

บทที่ 13 ในลั่วหวา ฉุนหรานเอ่ยไร้เสียง

ณ ตำหนักลั่วหวา หลิงเอ๋อร์นางกำนัลที่ฉุนหรานกงจู่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดวันนี้มิเบิกบานเท่าไรนัก ทั้งก็เบิกบานอยู่บ้างเล็กน้อย

สาเหตุที่ไม่เบิกบานก็เพราะคนผู้เวลานี้ยึดครองแท่นนอนของกงจู่มานอนอย่างมีความสุข เมื่อคิดถึงไป๋เฟิงซีที่ปรากฏมาจากที่ใดก็ไม่ทราบผู้นี้ หลิงเอ๋อร์ก็ให้ขุ่นเคืองอยู่เต็มอก

ผู้ที่กงจู่เรียกอย่างเทิดทูนถึงสิบส่วนว่า ‘จอมยุทธ์หญิงเฟิง’ อยู่ในวังมาก็หลายวัน แต่กลับไม่เห็นมีจุดโดดเด่นเหนือสามัญที่ตรงไหน โดยรวมแล้วพฤติกรรมของนางในช่วงหลายวันนี้บรรยายได้เพียงว่าเป็น ‘ตัวเกียจคร้านตะกละขี้เซา’ เวลากว่าครึ่งในแต่ละวันนางก็ใช้ไปกับการนอนและกิน ส่วนเวลาอีกครึ่งวันก็หัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่เหล่านางกำนัลในวัง

เช่นจู่ๆ ก็โผล่มาทางด้านหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง แกล้งให้ตกใจแทบตาย พร้อมกันนั้นก็เสียบบุปผางามให้บนมวยผมราวกับเล่นกล หรือไม่ก็พร่ำชื่นชมรูปโฉมอันงดงาม กลางวันก็บอกว่าชีวิตในยุทธภพมีสีสันน่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ ให้คันในจิตใจยากจะต้านทาน แต่พอตกค่ำกลับเล่าเรื่องผีทั้งหลายแหล่ให้ฟัง ทำให้คนฟังไม่กล้านอนไปทั้งคืน

อาศัยที่นางเคยท่องทั่วทุกแคว้น ดังนั้นวันนี้จึงสอนเขียน ‘คิ้วหมอกคลุม’ พรุ่งนี้สอนปัด ‘แก้มสายน้ำตา’ วันมะรืนชี้แนะให้หวี ‘มวยวิหคเหิน’ ยังบอกว่าใช้อำพันทะเล* อบร่ำเสื้อผ้าเป็นการย่ำยีพัสตราภรณ์ สตรีควรรู้จักว่าสิ่งใดคือสุคนธ์ฟ้าร่ำอาภรณ์…

ดังนั้นวันทั้งวันก็จะได้ยินเพียงถ้อยคำจำพวก ‘แม่นางเฟิง วันนี้ข้าเขียนคิ้วสวยหรือไม่’ ‘แม่นางเฟิง ปู้เหยาชิ้นนี้บนศีรษะข้าเป็นอย่างไร’ ‘แม่นางเฟิง ข้าเก็บแขนเสื้อเข้ามาหน่อยจะดีกว่าหรือไม่’ ‘แม่นางเฟิง นี่คือชาที่ชงจากน้ำค้างดอกไม้ที่ข้าเก็บมาเมื่อเช้าท่านลองชิมดู’ ‘แม่นางเฟิง นี่คือขนมที่ข้าทำ ท่านรีบกินตอนร้อนๆ’ …

กระทำจนทั่วทั้งตำหนักลั่วหวาจวนจะลืมไปแล้วว่านายที่แท้จริงของที่สถานที่นี้คือผู้ใด

ส่วนเรื่องที่ทำให้หลิงเอ๋อร์เบิกบานน่ะหรือ หางตานางเหลือบอย่างเงียบงันไปทางเฟิงกงจื่อผู้กำลังเดินหมากอยู่กับกงจู่ในศาลาอั้นเซียง (เร้นสุคนธ์) กลางอุทยาน เมื่อเห็นเงาร่างที่ประหนึ่งพฤกษชาติหยกต้องลมนั่น หัวใจดวงน้อยของนางก็เต้นโครมครามไม่หยุด

จำได้ว่าหนแรกที่นางพบเฟิงกงจื่อท่านนี้ยังหลงนึกว่าเป็นกงจื่อของอ๋องแคว้นใดเดินทางมาเยือน ปกติเชษฐาและอนุชาไม่กี่คนของกงจู่ก็หล่อเหลาผึ่งผายดี ทว่าเมื่อเทียบกับกงจื่อท่านนี้ก็ประหนึ่งเอานกกานกกระจอกไปเทียบกับหงส์เจิดจรัส มิพักต้องเอ่ยถึงท่วงท่าอันชวนให้รู้สึกเหมือนอาบอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลินั่น

นอกจากนี้เขายังถึงพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ โต้กาพย์กลอนกับกงจู่ บรรเลงฉิน และขลุ่ยร่วมกัน เดินหมากและวาดรูปคู่กัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อกงจู่ขับขานทำนองสั้นเพลง ‘ออกด่าน’ เขาก็ชักกระบี่ออกร่ายรำ

บุรุษสมบูรณ์แบบอย่างที่ปรากฏเพียงในความฝันของหญิงสาวเช่นนี้นึกไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริงในโลก ดังนั้นเหล่านางกำนัลในตำหนักลั่วหวาพอพบเขาเข้าก็จะหน้าแดง ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้องก็จะทำตัวไม่ถูก…ในสายตาหลิงเอ๋อร์สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่อภัยให้ได้ เพราะนางเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย

ระหว่างที่หลิงเอ๋อร์คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น สายตาก็จ้องนิ่งอยู่ที่ศาลาอั้นเซียง

ฮว่าฉุนหรานและเฮยเฟิงซีที่ถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางมวลบุปผชาติ มองจากไกลๆ ก็ช่างดูเป็นคู่มนุษย์หยกที่เหมาะสมทั้งสติปัญญาและรูปโฉม ราวกับเป็นคู่รักเทพเซียนในภาพวาด ชวนให้เห็นแล้วตราตรึงจิตและเลื่อมใสจากใจจริง ทำให้หลิงเอ๋อร์มองจนเหม่อ ทว่า…ภาพวาดนี้คล้ายกับมีวัตถุเสียดแทงตาเพิ่มเข้ามา นางตั้งสติมองแล้วก็ให้เดือดดาลยิ่งนัก ไป๋เฟิงซีผู้นี้เข้าไปตั้งแต่เมื่อใด รบกวนกงจู่และเฟิงกงจื่ออีกแล้ว!

“คนงามแซ่ฮว่า ไม่ควรเดินเช่นนี้นะ”

ตัวหมากที่ฮว่าฉุนหรานกำลังจะเดินถูกชิงไปกลางคัน ตกไปอยู่อีกตำแหน่งแทน

“คนงามแซ่ฮว่า เจ้าควรเดินเช่นนี้ จากนั้นจิ้งจอกดำตัวนี้จะต้องเดินมาที่นี่เป็นแน่ ส่วนเจ้าก็เดินตรงนี้ต่อ เขาจะเดินมาตรงนี้ จากนั้นเจ้าก็เดินอย่างนี้ สุดท้าย…ดูซี เท่านี้ก็ล้อมเขาไว้ได้หมดแล้วมิใช่หรือ ทำให้เขาหมดทางถอย! ฮ่าๆๆ…นี่เรียกว่า ‘จับเป็นจิ้งจอกดำ’ ฮ่าๆๆๆ…” มือทั้งสองของไป๋เฟิงซีหยิบหมากเดินบนกระดาน เพียงครู่เดียวหมากก็ถูกนางเดินเองคนเดียวจนจบ

ฮว่าฉุนหรานมองกระดานหมาก จากนั้นก็ชื่นชมจากใจว่า “ที่แท้ฝีมือเดินหมากของแม่นางเฟิงก็ล้ำเลิศถึงเพียงนี้”

วิชาหมากของนางมีนักเดินหมากชื่อดังแห่งโยวโจวถ่ายทอดให้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ทระนงในฝีมือของตน ทว่าหลายวันมานี้ได้เดินหมากกับเฮยเฟิงซีเกือบสิบกระดาน กลับไม่ชนะเลยแม้แต่กระดานเดียว หมากตาที่อยู่ตรงหน้าเดิมก็ตกเป็นรอง เมื่อไป๋เฟิงซียักย้ายตัวหมากเช่นนี้ก็ถึงกับพลิกจากแพ้เป็นชนะ

“ฮิๆ…ไม่ใช่ข้าล้ำเลิศ แต่เพราะข้าคุ้นเคยกับสันดานจิ้งจอกดี” ไป๋เฟิงซีฟุบอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มละไม เอียงศีรษะมองฮว่าฉุนหราน ความเคยชินนี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ตามคำกล่าวของนางคือมองดวงหน้าคนงามช่วยบำรุงสายตาได้

และไกลออกไป หลิงเอ๋อร์กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บิดมือ กระทืบเท้า มองไป๋เฟิงซีอย่างเคียดแค้น แน่นอนว่านางจะไม่มีวันยอมรับหรอกว่ากำลังอิจฉาริษยา

“เล่ากันว่ายุทธภพป่าเถื่อนยิ่ง แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วย” ฮว่าฉุนหรานมองคนทั้งสองตรงหน้า ดวงตาเปี่ยมแววชื่นชม “ชาวยุทธ์ทั้งหลายล้วนแต่ชำนาญอักษรโคลงกลอน แจ้งในศิลปะทั้งหก รอบรู้ร้อยสำนัก เชี่ยวชาญศาสตราวุธเช่นท่านทั้งสองหรือไม่ ต่อให้เป็นผู้เกิดในสกุลอ๋องยังเทียบพวกท่านมิได้เลย”

“ฮิๆ…” ไป๋เฟิงซียิ้ม โผนร่างกระโดดขึ้นไปนั่งบนราวกั้นของศาลา ขาที่ห้อยอยู่กวัดซ้ายแกว่งขวา “ข้าก็อยากถามเช่นกันว่ากงจู่ทั้งหลายล้วนแต่ใจกล้า อาจหาญรับชาวยุทธ์ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้าไว้ในตำหนักเช่นท่านหรือไม่”

ฮว่าฉุนหรานเหลียวศีรษะกลับไปมองเฮยเฟิงซี เห็นเขาก็กำลังจ้องนางเช่นกัน คล้ายกับสงสัยเช่นเดียวกับไป๋เฟิงซีอยู่ไม่น้อย

ยามนั้นนางก็แย้มสรวลอย่างงดงาม ปลายนิ้วเกี่ยวผมยาวปอยหนึ่งซึ่งห้อยอยู่ตรงอก เอ่ยเสียงเนิบนาบแผ่วเบา “ฉุนหรานกล้ารั้งทั้งสองท่านไว้เป็นแขกในตำหนักเพราะเชื่อมั่นว่าตาคู่นี้มองคนไม่พลาด” นางชะงักเล็กน้อย สายตาทอดไปยังกลางทะเลบุปผานอกศาลา แววตาเลื่อนลอยราวกับมองเห็นอนาคตอันไกลห่าง “บุคคลที่อัศจรรย์เช่นท่านทั้งสอง สำหรับฉุนหรานที่ตราบชั่วชีวิตต้องอยู่แต่ตำหนักลึกวังกว้าง นี่เป็นการพานพบอันวิเศษ บางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด คู่ควรให้หวนรำลึกถึงที่สุดในชีวิตก็เป็นได้ ฉะนั้นเมื่อได้พบแล้ว ข้าจะต้องถนอมรักษา”

เฮยเฟิงซีก้มหน้ามองกระดานหมาก คีบหมากขาวขึ้นมาตัวหนึ่ง ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยว่า “ได้มาจะถนอม ไม่ได้มาข้าจะไขว่คว้า”

“ใช่” ฮว่าฉุนหรานแย้มสรวลพยักหน้า มองเฮยเฟิงซี ประกายตาดั่งวารี

“คนงามแซ่ฮว่า ท่านว่าชีวิตนี้ท่านต้องติดอยู่ในตำหนักลึกวังกว้าง เช่นนั้นเคยคิดออกไปข้างนอกดูบ้างหรือไม่” ไป๋เฟิงซียิ้มชั่วร้าย คล้ายกับจิ้งจอกหมายล่อลวงกระต่ายน้อยสีขาว “หากก้าวพ้นตำหนักลึกแห่งนี้ ท่านจะพบว่าไม่ว่าต้นไม้ใบหญ้าหรือท่วงทำนองนับร้อยของชีวิตมนุษย์ล้วนแต่มีสีสันกว่าในวังมากมายนัก”

“ไม่” ผู้ใดจะรู้ว่าฮว่าฉุนหรานกลับส่ายหน้า รอยยิ้มบนดวงพักตร์ไม่ลบเลือน นางหยัดกายขึ้นเดินไปถึงรั้วกั้น ประคองโบตั๋นดอกหนึ่งที่ยื่นช่อมาถึงรั้ว “ข้าก็เป็นเหมือนดอกไม้นี้ เหมาะจะเติบโตกลางอุทยานงามวิจิตร” ว่าแล้วนางก็ปล่อยโบตั๋น มองทางไป๋เฟิงซี ดวงตาสุกใสดุจกระจก “ข้าจะออกไปข้างนอกเพื่ออันใดเล่า เพียงเพื่อไปดูต้นไม้ใบหญ้าและผู้คนแบบต่างๆ กระนั้นหรือ บางทีเริ่มแรกอาจรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าโลกนี้ขอแค่เป็นสถานที่ซึ่งมีมนุษย์ ไหนเลยจะแตกต่างกันไปได้”

ครั้นเห็นใบหน้าไป๋เฟิงซีมีแววประหลาดใจ นางก็เพียงแย้มยิ้มกล่าวต่อว่า “ข้าทั้งไม่รู้วิธีทอผ้าและไม่รู้งานหว่านไถ ยิ่งไม่คุ้นกับชาหยาบอาหารเรียบง่าย จะปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวบ้านสามัญได้อย่างไร ข้าเป็นแต่เรื่องสัพเพเหระทั้งหลาย ข้าชมชอบอาภรณ์งามหรู ชมชอบอาหารอันประณีต ชมชอบระบำรำฟ้อนและดนตรี ข้ายังต้องมีข้ารับใช้กลุ่มใหญ่คอยปรนนิบัติโดยเฉพาะ…แต่เล็กจนโต สิ่งที่ข้าเรียนรู้ก็คือจะเอาตัวรอดอย่างไรในวังลึก”

คิ้วเรียวยาวของไป๋เฟิงซีเลิกขึ้น จากนั้นก็ปรบมือยิ้มชื่นชม “ยอดเยี่ยม! เดิมข้าหลงนึกว่าท่านจะเป็นอย่างคุณหนูในห้องหอบางนางที่เอ่ยอย่างห้าวหาญว่า ‘สละทิ้งยศถาดั่งธุลี แลกเสรีไร้กรอบจนหงอกเฒ่า’ คนงามแซ่ฮว่าแม้จะอยู่ในวังลึก แต่กลับมีปัญญาและสายตาเฉียบคม ประจักษ์ในคน แจ่มแจ้งในตน”

เฮยเฟิงซีทางหนึ่งแยกหมากขาวและหมากดำเก็บลงกล่อง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “ดูคล้ายท่านปรับหาคีรี แท้จริงคือคีรีปรับหาท่าน”

ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำ ดวงตาก็ฉายแววผิดปกติ มองเฮยเฟิงซีคล้ายสะท้อนใจคล้ายยินดี

ส่วนไป๋เฟิงซีกลับไม่กล่าววาจาใดอีก เพียงแต่นั่งอยู่บนราวกั้น มือข้างหนึ่งเท้าคางมองคนทั้งคู่ แววตาลึกล้ำทว่าสีหน้าเรียบเฉย

ดังนั้นในศาลาอั้นเซียงจึงเงียบสงัด

“กงจู่ ฝ่าบาทให้หาเพคะ” ทันใดนั้นหลิงเอ๋อร์ก็เข้ามารายงาน

“อ้อ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ ทั้งสองท่านตามสบาย”

“เชิญกงจู่เถิด” ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีล้วนแต่ยิ้มส่งด้วยสายตา

 

เมื่อกลับถึงตำหนัก ฮว่าฉุนหรานก็เปลี่ยนมาแต่งกายอย่างเฉิดฉาย ทางหนึ่งก็ถามหลิงเอ๋อร์ที่เฝ้าปรนนิบัติว่า “รู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อหาข้ามีเรื่องอันใด”

“หม่อมฉันสอบถามจากผู้ที่มาส่งข่าวแล้ว เหมือนจะเกี่ยวกับอาคันตุกะสองท่านที่กงจู่รั้งไว้โดยพลการเพคะ” หลิงเอ๋อร์ตอบคำ

“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าห้ามให้เรื่องที่พวกเขาอยู่ที่นี่แพร่งพรายออกไป เหตุใดเรื่องนี้จึงล่วงไปถึงพระกรรณได้” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นแววตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา กราดสายตาไปยังหลิงเอ๋อร์

หลิงเอ๋อร์หัวใจกระตุกวาบ ตะลีตะลานหมอบลงเอ่ยว่า “กงจู่ หม่อมฉันเตือนนางกำนัลและองครักษ์ทั้งหมดในตำหนักลั่วหวาตามที่ทรงสั่งแล้วจริงๆ นะเพคะว่าห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องที่เฟิงกงจื่อและแม่นางเฟิงอยู่ในวังออกไป หม่อมฉันเองก็หาได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้แก่ผู้ใด ขอกงจู่ทรงตรวจสอบให้กระจ่าง!”

ฮว่าฉุนหรานมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นถึงโบกมือ “ลุกขึ้นเถอะ ข้าก็มิได้โทษเจ้าเสียหน่อย ลนลานอันใดกัน”

“ขอบพระทัยเพคะ” หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้น มองนางอย่างหวาดหวั่นเล็กน้อย จากนั้นถึงกล่าวเสียงค่อยว่า “กงจู่ หม่อมฉันขอบังอาจคาดเดาว่าไม่แน่เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับซูฮูหยิน แห่งตำหนักหลิงปัว (คลื่นไหว) หลายวันนี้กงจู่ล้วนแต่อยู่ในตำหนักเพื่อรับรองอาคันตุกะทั้งสองท่าน เมื่อวานซืนบ่าวเห็นคนตำหนักหลิงปัวเดินเตร่อยู่นอกตำหนัก ยังถามเอากับหม่อมฉันว่าเหตุใดหลายวันนี้จึงไม่เห็นกงจู่ออกนอกตำหนัก หม่อมฉันจึงได้แต่บ่ายเบี่ยงไปว่าวันสองวันนี้ติดขัดด้วยเรื่องสุขภาพพระวรกายของพระองค์ กำลังพักฟื้นอยู่”

“อ้อ?” ฮว่าฉุนหรานชายตามองหลิงเอ๋อร์ ล่วงไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ไปเถิด อย่าให้เสด็จพ่อรอนาน”

นางสะบัดอาภรณ์เดินนำหน้าไป ด้านหลังตามมาด้วยหลิงเอ๋อร์ เหล่าข้ารับใช้ และองครักษ์

 

ในศาลาอั้นเซียง ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซีด้วยรอยยิ้มชื่นบาน ส่วนเฮยเฟิงซีเอาแต่ถือตัวหมากสีขาวเล่นอยู่ในมือ หลุบตาลงน้อยๆ ท่าทางแช่มชื่นพึงใจ

“เจ้าว่าคนงามแซ่ฮว่าผู้นี้เป็นอย่างไร” ไป๋เฟิงซีถาม

“ดีมาก” เขาตอบคำอย่างไม่ใส่ใจ

“เท่านี้เองหรือ” ไป๋เฟิงซีโผนร่างขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา

“หากเจ้าถามข้าว่าเรื่องสังหารล้างบ้านสกุลหานมีนางเป็นผู้บงการหรือไม่ เช่นนั้นข้าก็บอกเจ้าได้ว่ามิใช่” เฮยเฟิงซียังคงจับตัวหมากในมือเล่น ศีรษะไม่เงยขึ้นสักครา “อาจมีกำลังทำได้ ทว่าไม่มีจิตใจที่จะทำ”

“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็รู้” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า สายตาจ้องเขาเขม็ง “ข้าจะถามว่าเจ้ากำลังวางแผนอันใดอยู่”

ในที่สุดเฮยเฟิงซีก็เงยหน้าขึ้นมองนาง แย้มยิ้มพร้อมเอ่ย “สตรี ว่าไปแล้วสิบปีมานี้เจ้าติดค้างน้ำใจข้ามากมายนัก”

“อะไรกัน เจ้าคิดจะให้ข้าทำงานให้เจ้าเพื่อชดใช้น้ำใจ?” ดวงตาไป๋เฟิงซีหรี่ลงน้อยๆ รอยยิ้มบนดวงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่มีทาง! ตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนข้าก็บอกเจ้าแล้ว หากคิดจะได้สิ่งตอบแทนใดๆ จากข้านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าล้มเลิกความคิดเสียโดยไว ใต้หล้านี้เจ้าจะวางแผนเล่นงานผู้ใดก็ได้ตามแต่ใจ แต่อย่ามาวางแผนเล่นงานข้า”

“คิดให้เจ้าตอบแทนข้า? ข้าไม่เคยมีความคิดนี้เลย” เฮยเฟิงซีส่ายหน้า เก็บตัวหมากทั้งหมดในฝ่ามือคืนเข้ากล่อง “ข้าหวังเพียงให้เจ้าวางตัวออกจากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงโยวโจว เจ้าก็ห้ามมาทำลายแผนการของข้า นี่หาใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเจ้า”

“อันใดกัน คิดจะให้ข้าชมละครอย่างเดียว ห้ามก้าวขาเข้าไปยุ่ง?” ไป๋เฟิงซีฟุบอยู่กับโต๊ะ เงยหน้ามองเขา

ปลายนิ้วเฮยเฟิงซีเคาะผิวโต๊ะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เมื่อข้าไปหอลั่วรื่อก็ได้กินอาหารหลายชนิดที่ไม่เลวเลย…”

“เจ้าจะทำให้ข้ากิน?” ทันทีที่ได้ฟังไป๋เฟิงซีก็คว้ามือเขาไว้ มองด้วยดวงตาเป็นประกาย เหลือแค่มุมปากที่ยังมิได้มีน้ำลายไหลย้อย ด้านหลังมิได้กระดิกหางเท่านั้น

“หากบางครั้งบางคราเจ้ายอมช่วยข้าเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็อาจจะพิจารณาดู” ท่วงท่าเฮยเฟิงซีผ่อนคลายงามสง่า

“เจ้ามันจิ้งจอก ข้ารู้จักเจ้ามาสิบปี แต่เจ้ากลับทำอาหารให้ข้ากินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!” ไป๋เฟิงซีกล่าวโทษเขา มือเพิ่มแรงขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว

“ทว่าครั้งนั้นกลับทำให้ใครบางคนน้ำลายหกมาจนวันนี้” เฮยเฟิงซียกมือซ้ายขึ้น ปลายนิ้ววาดผ่านข้อมือนาง ช่วยชีวิตมือขวาที่จวนเจียนจะถูกบีบหักออกมา

“ใช่แล้ว” ไป๋เฟิงซีแม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่กลับมิอาจไม่ยอมรับ “ของที่จิ้งจอกหัวจิตหัวใจดำมืดอย่างเจ้าทำออกมากลับเป็นของที่เลิศรสที่สุดที่ข้าเคยกิน”

“เช่นนั้นเจ้ารับปากหรือไม่เล่า” เฮยเฟิงซีถามอย่างไม่รีบร้อน

ไป๋เฟิงซีไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มหวาน สายตาจ้องเขาด้วยแววคมปลาบประหนึ่งคมหนาม ล่วงไปครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะแต่งกับคนงามแซ่ฮว่า เป็นเขยอ๋องแห่งโยวโจว?”

“เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีถามด้วยรอยยิ้มละมุน ดวงตาจับจ้องนางดุจเดียวกัน

“ฮ้าว…ง่วงยิ่งนัก” ไป๋เฟิงซีหาวหวอด ยืดแขนทั้งสองฟุบลงนอนบนโต๊ะ

ชั่วขณะนั้นในศาลามีเพียงความเงียบงัน เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่คล้ายกับหลับไปแล้ว ผ่านไปเป็นนาน เขาก็โน้มศีรษะลงกระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “แต่งกับกงจู่แห่งโยวโจว เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร”

ในศาลาเงียบงัน ไร้ซึ่งคำตอบ

 

“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ” ในห้องอักษรทิศใต้ของตำหนักจินเสิง ฮว่าฉุนหรานคารวะอย่างชดช้อย

“ฉุนหรานรีบลุกขึ้นเถิด” โยวอ๋องลุกมาประคองบุตรสาวสุดรักด้วยตัวเอง

โยวอ๋องผู้มีอายุห้าสิบต้นๆ บำรุงรักษาร่างกายอย่างดีเยี่ยม ดูผาดๆ เหมือนสี่สิบสี่สี่สิบห้าเท่านั้น ร่างกายกลางๆ ไม่พ่วงพีไม่ซูบผอม ยามนี้เขาสืบตำแหน่งอ๋องได้สิบเอ็ดปีแล้ว ในใบหน้าสั่งสมบารมีแห่งผู้ครองแคว้น

“ไม่ทราบเสด็จพ่อทรงหาลูกมีเรื่องอันใดหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานลุกขึ้นถาม

“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ไม่เห็นเจ้ามาหลายวัน จึงอยากเห็นหน้าลูกสาวที่รักของพ่อเสียหน่อยเท่านั้น” โยวอ๋องมองบุตรสาวอย่างเปี่ยมไปด้วยเมตตา “พอดีกับเร็วๆ นี้อาณาจักรซานโหยวส่งทูตมา มอบบรรณาการเป็นแพรไหมหมอกอรุณชั้นเลิศ ประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกที่ถูกใจสักหลายพับไว้ตัดเป็นเสื้อผ้าเถิด”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานคล้องแขนโยวอ๋อง ท่าทางเหมือนบุตรีไร้เดียงสาผู้ออดอ้อน “ลูกก็อยากมาถวายการรับใช้เสด็จพ่อทุกวัน แต่เสียดายที่เสด็จพ่อทรงมีงานมากมาย ปกติยากจะมีเวลามาพบลูกๆ อย่างพวกเรา”

“นี่ยังมิใช่เพราะพี่ชายทั้งหลายของเจ้าไร้สามารถ มิอาจแบ่งเบาภาระของพ่อ ต้องให้พ่อจัดการเองทุกเรื่องไปหรอกหรือ” โยวอ๋องมองบุตรสาวอย่างรักใคร่ เขามีบุตรชายและหญิงทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน แต่คนที่รักที่สุดก็คือบุตรสาวคนที่หกผู้นี้ “หากฉุนหรานเป็นบุรุษก็คงดี”

ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำก็แย้มสรวล กล่าวว่า “เสด็จพ่อ หาใช่พี่ๆ ไร้สามารถ เพียงแค่ว่าหากเทียบกับเสด็จพ่อแล้วก็ย่อมเทียบกันไม่ติด ด้วยเหตุนี้เสด็จพ่อจึงรู้สึกว่าเหล่าพี่ชายมิอาจรับการใหญ่ได้ ทว่าพ่อพยัคฆ์ไร้ลูกสุนัข เพียงให้เวลาอีกสักหน่อย พวกพี่ชายต้องเรียนรู้จนได้ความรู้ความปรีชาของเสด็จพ่อ กลายเป็นยอดบุรุษผู้สามารถเช่นเดียวกับเสด็จพ่อได้แน่นอนเพค่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ…ยังเป็นฉุนหรานของข้าที่วาจาน่าฟัง” ไม่กี่ประโยคก็กล่อมจนโยวอ๋องแย้มสรวลอย่างสำราญ

“เสด็จพ่อ” หลังจากฮว่าฉุนหรานประคองบิดาให้นั่งลงแล้ว มือนุ่มเนียนก็ทุบไหล่ให้ด้วยแรงเหมาะเจาะ จนโยวอ๋องสบายไปทั้งกาย “เรื่องหยุมหยิมในราชสำนักทรงมอบให้พวกขุนนางไปจัดการก็พอ เหตุใดต้องทรงจัดการด้วยพระองค์เองทุกเรื่องเล่า หากเสด็จพ่อทรงตรากตรำเกินกำลัง ลูกก็จะปวดใจนะเพคะ”

“ได้ๆๆ!” โยวอ๋องสำราญฤทัยนัก ยื่นมือตบมือธิดารักเบาๆ “ให้ยุ่งแค่ไหนพ่อก็จะหาเวลามาอยู่กับลูกสาวของพ่อ”

“เสด็จพ่อ เสวยชาเพคะ” ฮว่าฉุนหรานประคองชาบนโต๊ะถวายให้โยวอ๋อง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เสด็จพ่อ ยามปกติฉุนหรานเคยได้ยินพวกพี่ชายพูดว่าใต้เท้าเฉียนฉี่ ใต้เท้าหวังชิ่ง และใต้เท้าเซี่ยงหย่า ล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ภักดีและมีความสามารถ บางคราลูกจึงคิดว่าในเมื่อใต้เท้าหลายท่านนี้สามารถยิ่งนัก เสด็จพ่อก็ทรงควรมอบภาระสำคัญให้ เช่นนี้จะได้แสดงว่าเสด็จพ่อทอดพระเนตรเห็นความสำคัญของผู้มีปัญญา อีกทั้งจะได้ทรงมีเวลาอยู่กับพระสนมทั้งหลายในวังให้มากขึ้น” พอเอ่ยถึงตรงนี้นางก็พลันถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

โยวอ๋องได้ยินถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงนิ่งงัน พอหันไปก็เห็นคิ้วเรียวดั่งหลิวของบุตรสาวขมวดมุ่น แฝงความกลัดกลุ้ม ทันใดนั้นหัวใจก็ดั่งถูกใครบีบเค้น เขาถามอย่างเปี่ยมด้วยความห่วงใยว่า “ฉุนหราน เป็นอะไรไป”

“ไม่มีอะไรเพคะ” ฮว่าฉุนหรานฝืนแย้มยิ้ม “แค่ว่าแต่ยังเล็กลูกก็ไม่มีมารดา ดังนั้นจึงมองพระสนมทั้งหลายในวังเป็นดั่งมารดา ไปเยี่ยมคารวะพวกนางอยู่เนืองๆ ทว่าเหล่าพระสนมล้วนแต่เฝ้าคิดถึงเสด็จพ่อ ลูกไปหาก็กลับเป็นว่า…” นางกล่าวถึงตรงนี้หางเสียงก็หายไป ก้มหน้าลงอย่างสะทกสะท้อน ดูน่าเวทนาเหลือกำลัง

ดังคาด โยวอ๋องฟังถึงตรงนี้ก็รีบถามต่อว่า “ฉุนหราน ผู้ใดทำให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจ”

“ลูกไหนเลยจะน้อยเนื้อต่ำใจได้” ฮว่าฉุนหรานเบือนหน้า “เสด็จพ่อเอ็นดูลูกถึงเพียงนี้ เหล่าพี่ชายและพี่สาวรักใคร่ปรองดองเป็นที่สุด ในวังนี้หาเคยมีผู้ใดตีสีหน้าหรือเอ่ยคำกระทบกระเทียบฉุนหรานไม่”

“ตีสีหน้า? เอ่ยคำกระทบกระเทียบ?” สีหน้าโยวอ๋องเคร่งขรึม ขนคิ้วตั้งชูชัน “ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้ กล้ารังแกฉุนหรานของข้า!”

“เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หาได้มีผู้ใดทำเช่นนั้นไม่” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยอย่างลนลาน ดวงหน้าเบือนไปอีกทาง กระแสเสียงเบาบางราวกับอดสูอย่างเหลือแสน

โยวอ๋องเชยดวงหน้าบุตรสาวกลับมา เห็นบนแก้มดุจหยกมีคราบน้ำตาเป็นสาย ทันใดนั้นหัวใจก็ปวดร้าวเกินต้านทาน “ฉุนหราน ใจพ่อรู้ดี เจ้าก็ไม่ต้องปิดบังให้พวกเขา ต้องเป็นเพราะพ่อรักเจ้ามากกว่าจึงมีคนตาร้อนริษยา!”

“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานโผเข้าสู่อ้อมแขนโยวอ๋อง ร่ำไห้เสียงสะอื้น “ไม่มีผู้ใดรังแกลูกหรอกเพคะ เสด็จพ่อทรงมีงานมากมาย ลูกไม่อยากทำให้เสด็จพ่อทรงกังวล ลูกก็แค่ไม่มีมารดา ในใจไร้ที่พึ่งจึงรู้สึกอ้างว้างอยู่บ่อยๆ เท่านั้นเอง”

“ลูกหญิงคนดีของพ่อ อย่าได้ร้องเลย” โยวอ๋องแปลงเป็นบิดาผู้การุณย์ ครานี้เพื่อปลอบประโลมธิดาสุดรักให้เบิกบานก็แทบอยากจะนำเพชรนิลจินดาทั้งแผ่นดินมาประเคนให้ “เจ้ายังมีพ่ออยู่อย่างไรเล่า พ่อก็คือที่พึ่งพิงของเจ้า จะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้แน่นอน”

“ลูกเข้าใจดีเพคะ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าอยู่ในอ้อมแขนโยวอ๋อง จากนั้นก็ปล่อยมือ ดวงหน้าประหนึ่งผกาชโลมด้วยฝน ผู้ใดเห็นเป็นต้องเวทนา มิพักต้องเอ่ยถึงโยวอ๋องที่รักนางปานดวงใจ

“ลูกหญิง ไม่ร้องนะ” โยวอ๋องตระกองบุตรีนั่งลงด้วยกัน อีกทางก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้ “ในจำนวนลูกหญิงมากมาย พ่อรักฉุนหรานที่สุด ขอเพียงเห็นหน้าเจ้า เรื่องกลัดกลุ้มทั้งหมดในใจก็สลายไป แต่เมื่อเจ้าร้องไห้เช่นนี้ ใจของพ่อก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง เจ็บปวดแทบขาดใจ”

ได้ยินดังนั้นฮว่าฉุนหรานก็เปลี่ยนน้ำตาเป็นรอยยิ้ม เอ่ยเสียงฉอเลาะว่า “เสด็จพ่อทรงล้อเลียนลูกนี่เพคะ เดิมทีลูกมีเรื่องดีจะกราบทูลให้ทรงฟัง แต่ตอนนี้ลูกไม่เล่าแล้ว”

“เอาล่ะๆ พ่อไม่พูดแล้ว ให้ฉุนหรานของพ่อเล่าดีกว่า” โยวอ๋องลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่ “ฉุนหรานมีเรื่องดีอันใดจะเล่าหรือ”

ฮว่าฉุนหรานทำสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ไม่ทราบว่าทรงเคยได้ยินนามไป๋เฟิงเฮยซีหรือไม่เพคะ”

“ไป๋เฟิงเฮยซี?” โยวอ๋องประกายตาไหววูบ มองบุตรสาวสุดรัก “พ่อเคยได้ยินว่าสองคนนี้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ แต่ไฉนจู่ๆ ฉุนหรานถึงยกขึ้นมาเอ่ยเล่า”

ฮว่าฉุนหรานกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ลูกกำลังจะบอกเสด็จพ่อว่าบัดนี้ไป๋เฟิงเฮยซีเป็นอาคันตุกะอยู่ในตำหนักของลูกเพคะ!”

โยวอ๋องได้ยินดังนั้นคิ้วก็ขมวดโดยพลัน ความจริงเขารู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เดิมก็ประสงค์จะเอ่ยเรื่องนี้กับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าบุตรีจะแจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขามองบุตรสาวแล้วว่า “ฉุนหราน เจ้าเป็นกงจู่สูงศักดิ์ ไหนเลยจะคบหากับชาวยุทธ์หยาบกร้านเหล่านี้ได้ ยิ่งกว่านั้นเฮยเฟิงซีก็เป็นบุรุษ หากให้รั้งอยู่ในตำหนักเจ้าแล้วเรื่องรั่วออกไปจะมิเป็นการทำลายชื่อเสียงของเจ้าหรอกหรือ”

“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานเขย่าแขนโยวอ๋องอย่างไม่ยอมตาม “ไป๋เฟิงเฮยซีหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษอยู่ในตำหนักลูกทั้งคู่นะเพคะ ลูกนับถือในความสามารถเด่นล้ำของพวกเขา จึงรับรองพวกเขาเป็นอาคันตุกะ ในตำหนักมีนางกำนัลและองครักษ์นับร้อย ลูกเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่กลัวคนถ่อยใส่ความ อีกทั้งเสด็จพ่อก็เคยตรัสว่าในหมู่ชาวยุทธ์หยาบกร้านก็ยังมียอดคนมหาบุรุษเช่นกัน หลายวันที่รู้จักคบหากันมา ลูกรู้สึกว่าไป๋เฟิงเฮยซีเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากโดยแท้ หากเสด็จพ่อทรงมีพวกเขาช่วยเหลือจะต้องสามารถสำแดงปณิธานเกรียงไกรได้เป็นแน่ โยวโจวของเราวันหน้าก็ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของจี้โจวและยงโจวอีก!”

“อ้อ?” ดวงตาโยวอ๋องฉายแววประหลาดใจ “หากกล่าวเช่นนี้ ฉุนหรานหมายจะชักนำให้คนทั้งสองมาเป็นกำลังให้พ่อ?”

“เพคะ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้า อีกทางก็รินชาให้โยวอ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ลำพังแค่ความสามารถที่ทั้งสองเข้ามาในวังได้ตามใจโดยไม่เป็นที่ล่วงรู้แก่องครักษ์ ลูกก็คิดว่าเสด็จพ่อทรงสามารถใช้พวกเขาได้แล้วเพคะ อีกทั้งความสามารถของทั้งสองหามีเพียงเท่านี้ไม่ ดังนั้นลูกจึงเค้นสมองหาทางผูกมิตรกับพวกเขา หมายจะรั้งพวกเขาไว้ในโยวโจวเพื่อเป็นกำลังให้เสด็จพ่อ ไม่แน่ว่า…” พอเอ่ยถึงตรงนี้น้ำเสียงของนางก็แผ่วเบา ทว่าสีหน้ากลับจริงจังเป็นที่สุด “เสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าสองคนนี้อาจช่วยให้เสด็จพ่อได้ครองใต้หล้า!”

ถ้วยชาในมือโยวอ๋องสะท้านคราหนึ่ง เขาเหลือบตาขึ้นมองฮว่าฉุนหราน สายตาฉายประกายคมกริบ ครู่ต่อมาก็วางถ้วยชา กล่าวด้วยแววสะท้อนใจว่า “ฉุนหราน แต่เยาว์วัยเจ้าก็เฉลียวฉลาด ความในใจของพ่อก็มีแต่เจ้าที่พอมองออกได้หลายส่วน กลับเป็นบรรดาพี่ชายของเจ้าที่…เฮ้อ!”

“เหล่าพี่ชายยังเยาว์วัย มิอาจแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อก็เป็นที่อภัยให้ได้” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เสด็จพ่อจะทรงเรียกให้ทั้งสองเข้าเฝ้าหรือไม่เพคะ”

“อืม…” โยวอ๋องใคร่ครวญพักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยังไม่พบ ชาวยุทธ์พวกนี้อัชฌาสัยยากคาดเดา ซ้ำหากนึกดูอีกที เขาทั้งสองอยู่ในตำหนักเจ้ามาห้าวันแล้ว เจ้าสูงศักดิ์เป็นถึงกงจู่ ไหนเลยจะพำนักร่วมกับไพร่สามัญเช่นนั้นได้ ให้พวกเขาย้ายไปพักนอกวังเถิด”

“หืม?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ถอนใจเบาๆ กล่าวอย่างเสียใจอยู่พอควรว่า “ที่แท้เสด็จพ่อก็ทรงรู้อยู่แล้วว่าสองคนนี้อยู่ในตำหนักลูก ทรงส่งคนไปคอยจับตาดูลูกหรือเพคะ เสด็จพ่อไม่ไว้ใจลูกอย่างนั้นหรือเพคะ”

โยวอ๋องย่อมรู้ว่าตนเผลอหลุดปาก จึงรีบปลอบบุตรสาวแสนรักว่า “ฉุนหราน พ่อหาได้ส่งคนไปจับตาดูเจ้าไม่ เพียงแค่ซูฮูหยินเป็นห่วงเจ้าจึงได้มาบอกให้พ่อรู้”

“ที่แท้…” ฮว่าฉุนหรานกล่าวมิทันจบขอบตาก็แดง น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย นางรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่คิดให้บิดาเห็น

“ฉุนหราน ลูกหญิงคนดี อย่าร้องเลย” ทันทีที่โยวอ๋องเห็นบุตรสาวหลั่งน้ำตาก็รีบโอบไว้แล้วลูบปลอบอย่างเบามือ “ฉุนหราน เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไป พ่อหรือจะไม่ไว้ใจเจ้า พ่อเป็นห่วงเจ้าต่างหาก”

ฮว่าฉุนหรานกลับเบี่ยงร่างหันหลังให้โยวอ๋อง หัวไหล่สะท้านน้อยๆ ด้วยแรงสะอื้น พร้อมกันนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับขอบตา “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้เสียใจ ทรงอย่า…อย่าได้เป็นห่วง”

“ฉุนหราน” โยวอ๋องหมุนร่างบุตรสาวให้หันมา กลับพบว่าดวงหน้าของนางนองไปด้วยคราบน้ำตา เขาอดกลัดกลุ้มมิได้ “ฉุนหราน อย่าร้องซี หากเจ้าร้องอีก หัวใจของพ่อก็จะถูกเจ้ากระทำจนแหลกสลายหมดแล้ว”

“เสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานโผเข้าสู่อ้อมแขนโยวอ๋องอีกครา ร่ำไห้สะอึกสะอื้น อีกทางก็ระบายปนสะอื้นเบาๆ ว่า “แต่เล็กลูกก็เสียมารดา มีเพียงอาศัยความรักเอ็นดูจากเสด็จพ่อ สิบกว่าปีในวังแม้จะบอกว่ารอบกายล้วนแต่เป็นญาติกัน ทว่าแต่ละคนล้วนเห็นลูกเป็นตะปูในดวงตา คิดแต่จะกำจัดให้สาใจ เสด็จพ่อ ลูกอยู่อย่างลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ไม่รู้ว่าวันใดจะทำชีวิตหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว เสด็จพ่อทรงขับลูกให้พ้นวังไปเถิด ไม่แน่ว่าเมื่อลูกอยู่อย่างสามัญชนอาจจะอยู่อย่างสุขสงบได้สักหลายวัน”

“ไม่ร้องนะลูกหญิงคนดีของข้า เลิกร้องได้แล้ว” หัวใจของโยวอ๋องถูกน้ำตาฮว่าฉุนหรานชโลมจนอ่อนยวบปวดร้าว เขาทั้งกอดทั้งโอบ ทั้งลูบทั้งตบ ปลอบประโลมสารพัด หวังเพียงให้บุตรีผู้เป็นแก้วตาดวงใจหยุดหลั่งหยาดน้ำตาอันสลายจิตใจผู้คนนั่น “ฉุนหราน อย่าร้อง วันหน้าไม่ว่าผู้ใดขอเพียงกล่าวถึงฉุนหรานในทางมิชอบ ข้าจะบั่นคอโดยไม่ต้องพูดจาปราศรัยอันใดอีก!”

ฮว่าฉุนหรานแหงนหน้าขึ้นจากอ้อมแขนโยวอ๋อง ยังคงหลั่งน้ำตาดั่งสายฝน ประหนึ่งบุปผาไหวระริกกลางสายลมเย็นเยียบ ชวนให้เวทนานัก “ครั้งนั้นเสด็จพ่อมอบตำหนักลั่วหวาที่ซูฮูหยินต้องใจให้แก่ลูก ซูฮูหยินไม่ชอบลูก ประสงค์ร้ายต่อลูก เรื่องเหล่านี้ลูกล้วนแต่เข้าใจได้จึงไม่นำพา ทว่า…ทว่าเสด็จพ่อถึงกับเชื่อพวกนาง ไม่เชื่อลูก…นี่…นี่ต่างหากที่ทำให้ลูกเสียใจอย่างแท้จริง! ลูกมีแต่จิตคิดช่วยเสด็จพ่อ แต่…ฮือๆๆ…” กล่าวไปกล่าวมาก็ยกผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้นอีกคำรบ

“ฉุนหราน…ฉุนหราน…” บัดนี้โยวอ๋องอับจนหนทางแล้ว เขามิรู้ต้องทำเช่นไรจึงจะปลอบบุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจในอ้อมอกได้ จึงร้อนรนดั่งอวัยวะภายในทั้งห้า ถูกแผดเผา “ฉุนหราน อย่าร้องไห้อีกเลย วันหน้าพ่อจะไม่เชื่อวาจาเหลวไหลไร้สาระของพวกนางอีกต่อไป พ่อจะฟังฉุนหรานเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”

“จริงหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ดวงตาแดงก่ำ ปลายจมูกก็แดงก่ำ บนแก้มยังมีหยาดน้ำไหลผ่าน นางมองโยวอ๋องอย่างแฝงไว้ด้วยความหวังอันเลือนราง ดูประหนึ่งดอกไห่ถังหลั่งน้ำตา ในความงามเฉิดฉันแฝงความเปราะบางอยู่สามส่วน ความนุ่มละมุนอีกห้าส่วน ทำเอาโยวอ๋องทั้งเอ็นดูสงสารทั้งปวดใจ

“แน่นอนๆ!” โยวอ๋องรับรองไม่ขาดปาก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้นาง แล้วก็พบว่าผ้าชุ่มไปทั้งผืนแล้ว ยามนี้จึงไม่สนใจสิ่งใด ยกแขนเสื้อซับหยาดน้ำที่ยังหลงเหลือบนดวงพักตร์บุตรีคนโปรด ก่อนจะถอนหายใจยาว “เฮ้อ ในบรรดาสตรีทั้งหมด พ่อกลัวน้ำตาเจ้าที่สุด”

“นั่นเพราะเสด็จพ่อทรงรักลูกจากใจจริงอย่างไรเล่าเพคะ” ฮว่าฉุนหรานอิงอยู่ในอ้อมอกบิดาอย่างฉอเลาะ

“ใช่แล้ว” โยวอ๋องกอดบุตรสาวไว้ “ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสิบเจ็ดคนของเจ้า พ่อก็รักเจ้ามากที่สุด”

“ลูกจะไม่มีวันทำให้ความรักของเสด็จพ่อต้องเสียเปล่าเป็นอันขาด จะกตัญญูต่อเสด็จพ่อเป็นอย่างดีเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นเอ่ย ดวงหน้าฉายแววจริงใจอย่างเปี่ยมล้น ส่งผลให้โยวอ๋องทั้งซาบซึ้งทั้งอิ่มเอม

“พ่อรู้” โยวอ๋องพยักหน้า ครั้นเห็นว่าปลอบบุตรีจนนิ่งลงแล้วก็รีบกล่าวถึงเรื่องสำคัญ “ฉุนหราน ที่พ่อเรียกเจ้ามายังมีอีกเรื่องจะปรึกษากับเจ้า”

“เรื่องคัดเลือกสามีให้ลูกหรือเจ้าคะ” ฮว่าฉุนหรานถาม สิ้นคำก็ซุกหน้าเข้าสู่อ้อมอกโยวอ๋อง

“ฮ่าๆๆ…ฉุนหรานของข้าเขินอายเสียด้วย!” โยวอ๋องเห็นดังนั้นก็แย้มสรวลดังลั่น เชิดศีรษะของบุตรสาวขึ้นพิศมองดวงหน้านั้นอย่างถี่ถ้วน ยิ่งพิศก็ยิ่งพอใจ ยิ่งพอใจก็ยิ่งทระนง “ฉุนหรานของข้ามีรูปโฉมงามล่มเมือง โยวโจวเรามิรู้มีบุรุษเท่าใดใฝ่ฝันอยากได้เป็นคู่ครอง เพียงแต่พ่อตัดใจไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ยอมจับเจ้าตบแต่งออกไป แต่บัดนี้ฉุนหรานสิบเก้าแล้ว พ่อหวงเจ้าเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นจะเป็นการหน่วงเหนี่ยวฤดูใบไม้ผลิของเจ้าให้เสียไป”

“ลูกไม่แต่ง ลูกจะปรนนิบัติเสด็จพ่อไปชั่วชีวิต!” ฮว่าฉุนหรานซบหน้าลงบนไหล่โยวอ๋องอย่างขวยเขินพร้อมกับเอ่ยคำหวานอันบุตรีที่ยังมิออกเรือนของทุกบ้านล้วนแต่ยกมาประจบบิดามารดา

โยวอ๋องได้ยินดังนั้นก็แย้มสรวลอย่างแสนสำราญดุจดั่งได้ลิ้มชิมน้ำผึ้ง “ฮ่าๆๆ ผู้หญิงนั้นสุดท้ายก็ต้องออกเรือนมีบุตร แม้พ่อจะตัดใจไม่ได้ กลับมิอาจไม่ตัดใจ” เอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาดึงให้บุตรสาวนั่งตัวตรง “ฉุนหราน เรื่องที่พ่อจะคัดเลือกคู่ให้เจ้านั้นประกาศออกไปแล้ว บุรุษผู้หลงใหลใฝ่ฝันในตัวฉุนหรานจะแห่แหนกันมามากมาย มีทั้งบุตรแห่งผู้มีบรรดาศักดิ์ มีทั้งผู้กล้าในยุทธภพ เรียกได้ว่ารวบรวมยอดคนจากทั่วหล้า อีกสามวันให้หลังจะเป็นวันเลือกคู่ของเจ้า ฉุนหราน บอกพ่อได้หรือไม่ เจ้าคิดจะเลือกสามีเช่นไร”

ฉุนหรานได้ยินคำก็ปิดปากยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิใช่ฉุนหรานคิดเลือกสามีเช่นไร แต่เป็นเสด็จพ่อทรงคิดอยากได้ลูกเขยเช่นไรมากกว่า”

“ฮ่าๆๆ…” โยวอ๋องหัวเราะลั่น “ฉุนหรานของข้าฉลาดที่สุดไม่ผิดเลย”

“เช่นนั้นเสด็จพ่อคิดอยากได้ลูกเขยเช่นไรเล่าเพคะ” ฮว่าฉุนหรานมองโยวอ๋อง แย้มยิ้มอย่างหลักแหลมและเจ้าเล่ห์

โยวอ๋องหุบยิ้ม กล่าวอย่างจริงจังว่า “แม้พ่อจะอยากได้ลูกเขยที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นสามีที่ดีของเจ้าด้วย” กับบุตรีสุดที่รักผู้นี้ เขาจะไม่ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด

“ลูกรู้” ฮว่าฉุนหรานก็เก็บรอยยิ้ม ทำหน้าจริงจังเช่นกัน

“ในโลกนี้ผู้ที่คู่ควรกับฉุนหรานมีไม่มากเลยจริงๆ” โยวอ๋องกล่าวพลางพิศมองรูปโฉมอันเลิศหล้าของบุตรีอย่างถนอมรัก “ผู้ที่ชาติกำเนิด ฐานะ สติปัญญา และรูปโฉมคู่ควรกับฉุนหราน พ่อต้องตาอยู่สองคน ท่านแรกคือหลันซีกงจื่อแห่งยงโจว อีกท่านคือหวงเฉากงจื่อแห่งจี้โจว” ขณะเอ่ยก็หยัดกายขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง มือไพล่หลังทอดสายตาไปยังฟ้าเขียวที่ด้านนอก “ทั้งสองท่านนี้มิเพียงเป็นซื่อจื่อผู้วันหน้าจะสืบทอดตำแหน่งอ๋อง แต่ยังเป็นผู้ก่อตั้งกองทัพปีกกาฬและกองทัพชิงฟ้า ล้วนแต่มีความสามารถโดดเด่นอย่างหาได้น้อยนักในใต้หล้า หากพ่อได้หนึ่งในสองคนนี้มาช่วย ไหนเลยต้องกังวลว่าใต้หล้าจะไม่ตกอยู่ในมือ!”

“เสด็จพ่อหมายความว่ากงจื่อทั้งสองมาถึงเมืองหลวงแล้ว และมาเพื่อหาคู่เช่นกัน?” ฮว่าฉุนหรานคาดเดา เมื่อนึกถึงว่าบุคคลเช่นสองท่านนี้ต่างก็มาเพราะมุ่งหมายในตัวนาง ในใจก็อดลอบยินดีและทะนงตนอยู่หลายส่วนมิได้

“ฉุนหรานมิเพียงเป็นกงจู่แห่งโยวโจวเรา แต่ยังเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วย ขอเพียงเป็นบุรุษก็ล้วนแต่ประสงค์จะได้เจ้าเป็นคู่ครองทั้งนั้น พวกเขาสองคนก็ไม่ยกเว้น” โยวอ๋องกล่าวอย่างภาคภูมิ “หวงเฉากงจื่อบัดนี้อยู่ในเมืองหลวง เมื่อเช้าพ่อให้เขาเข้าพบแล้ว ช่างเป็นชายชาตรีผู้ถึงพร้อมด้วยสติปัญญาและรูปโฉมโดยแท้ ส่วนหลันซีกงจื่อนั้นก็เคยส่งสารถึงพ่อ ในสารแสดงความประสงค์จะสู่ขอเช่นกัน ทว่าจนถึงวันนี้ก็ยังเดินทางมาไม่ถึง น่าประหลาดอยู่เหมือนกัน”

“กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเสด็จพ่อทรงต้องพระทัยซื่อจื่อแห่งจี้โจว?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นแววตาก็สั่นไหว ถามเสียงนุ่ม

“พ่อย่อมถูกใจแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าฉุนหรานคิดเช่นไร” โยวอ๋องมองบุตรีที่หลบสายตาคล้ายขวยอาย

“เสด็จพ่อทรงต้องพระทัยหวงซื่อจื่อ เรื่องอัชฌาสัยเขาเป็นเช่นไรนั้นวางไว้ข้างๆ ก่อน ที่เสด็จพ่อต้องใจที่สุดคงเป็นกองทัพชิงฟ้ามากกว่ากระมัง” ฮว่าฉุนหรานเงียบงันอยู่นาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองโยวอ๋อง สีหน้าก็เหลือเพียงความสุขุมเยือกเย็น “แต่ฉุนหรานได้ยินมาว่าหวงซื่อจื่อนิสัยแข็งกร้าวและมีปณิธานจะชิงใต้หล้าเช่นกัน จี้โจวมีกำลังเข้มแข็งกว่าโยวโจว หากรับเขาเป็นสามี ลูกเกรงว่าถึงเวลากลับจะทำให้เสด็จพ่อทรงลำบากไปด้วย”

โยวอ๋องได้ยินดังนั้นก็สะท้านในใจ หันไปมองบุตรี

ฮว่าฉุนหรานยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของลูก ไม่แน่ว่าเขาอาจยอมอ่อนน้อมให้แก่พระปรีชาอันโดดเด่นและปณิธานยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อ แล้วถวายความภักดีแก่เสด็จพ่อก็เป็นได้ แค่ว่า…” พอเอ่ยถึงตรงนี้นางก็ชะงักคำไว้

“ฉุนหราน พูดต่อไป” โยวอ๋องมองนางด้วยสายตาใคร่ครวญ

“เสด็จพ่อทรงเคยคิดหรือไม่ว่าหากสามีของลูกหาใช่ผู้มีชาติกำเนิดจากสกุลอ๋องอย่างหลันซีกงจื่อและหวงเฉากงจื่อ แต่เป็นสามัญชนผู้ถึงพร้อมด้วยความสามารถอันล้ำเลิศ เช่นนั้นเขาก็จะทั้งช่วยเหลือเสด็จพ่อ ทั้งจะไม่เกิดจิตละโมบคิดกลืนโยวโจว…” ฮว่าฉุนหรานกล่าวถึงตรงนี้ก็เก็บเสียง เอาแต่ก้มหน้า สายตาอยู่ที่ปลายรองเท้าซึ่งโผล่ออกมาจากใต้กระโปรง

“ฉุนหราน เจ้าต้องใจเฮยเฟิงซีผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักใช่หรือไม่” ดวงเนตรโยวอ๋องสาดประกายคมกริบ เขาหาได้เลอะเลือนไม่ “หรือเจ้าคิดรับเขาเป็นสามี?”

เมื่อความในใจถูกมองทะลุ ฮว่าฉุนหรานก็อดหน้าแดงมิได้ นิ้วบิดม้วนผ้าเช็ดหน้าในมือ เงียบงันอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงเห็นเป็นเช่นไรเพคะ”

“ไม่ได้!” โยวอ๋องกลับปฏิเสธเด็ดขาด “เฮยเฟิงซีผู้นั้นเป็นชาวยุทธ์ต่ำต้อย ไหนเลยจะคู่ควรกับลูกหญิงของข้า!”

ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าโดยพลัน ประกายเกรี้ยวกราดฉายวูบ ทว่าก็สลายหายไปในพริบตา นางผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจะทอดเสียงอ่อนกล่าวว่า “แต่ในราชโองการของเสด็จพ่อแจ้งว่าไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ขอเพียงลูกเลือกมอบพู่กันทองให้ก็จะได้เป็นเขยแห่งโยวอ๋องมิใช่หรือเพคะ”

“เอ่ยก็ต้องเอ่ยเช่นนั้น แต่ด้วยฐานะกงจู่ผู้สูงศักดิ์ หรือเจ้าจะครองคู่กับไพร่สามัญจริงๆ” โยวอ๋องกล่าวเสียงทุ้ม คิ้วเข้มขมวดมุ่น มีแววโกรธกริ้วแฝงอยู่

ฮว่าฉุนหรานเห็นเหตุการณ์ก็พลันหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปหาโยวอ๋อง คล้องแขนเขาอย่างนุ่มนวลแล้วซบศีรษะลงกับไหล่ “เสด็จพ่อทรงเป็นอะไรไป ลูกมิได้บอกเสียหน่อยว่าจะรับเฟิงกงจื่อเป็นสามี เพียงแต่บอกว่าหากลูกเลือกสามัญชนสักคน เสด็จพ่อจะเห็นเช่นไร ในเมื่อเสด็จพ่อไม่โปรด เช่นนั้นไม่เลือกก็ได้เพคะ”

“ฉุนหราน” โยวอ๋องประคองบุตรีให้นั่งลงที่เก้าอี้ “แม้ข้าจะบอกว่าไม่สนยากดีมีจน แต่นั่นก็เป็นเพียงวิธีซื้อใจทวยราษฎร์เท่านั้น ลูกหญิงของข้าไม่ว่าจะเอ่ยถึงสติปัญญาหรือรูปโฉมก็ควรได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินจึงจะถูก!”

“กล่าวเช่นนี้ลูกก็เลือกได้เพียงผู้ใดผู้หนึ่งระหว่างหลันซีกงจื่อและหวงเฉากงจื่อ?” ฮว่าฉุนหรานก้มหน้าถามเสียงค่อย

“อืม ทั้งสองเป็นตัวเลือกที่ดีเลิศที่สุด” โยวอ๋องพยักหน้า “ทว่าที่ฉุนหรานพูดมาเมื่อครู่ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน บางทีสองคนนั้นอาจช่วยเหลือพ่อได้ แต่ก็อาจคุกคามพ่อได้เช่นกัน!”

“เช่นนั้นเสด็จพ่อยิ่งควรพบไป๋เฟิงเฮยซีสักหน่อย” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าเอ่ย “ลูกจะไม่รับเฟิงกงจื่อเป็นสามี แต่สติปัญญาของเขาจะเป็นแขนอันสามารถให้แก่เสด็จพ่อได้จริงๆ นะเพคะ”

“หืม?” โยวอ๋องเห็นบุตรเทิดทูนคนทั้งสองถึงเพียงนี้ก็นึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาหลายส่วน เขาตริตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าพ่อจะเรียกทั้งสองเข้าเฝ้าก็แล้วกัน”

“เสด็จพ่อทรงพบแล้วจะไม่เสียพระทัยเป็นแน่เพคะ” ฮว่าฉุนหรานกล่าวด้วยความปรีดา นางเชื่อมั่นว่าขอเพียงเสด็จพ่อได้พบเฮยเฟิงซี จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน ดังนั้นขอเพียงได้พบก็จะมีโอกาส!

 

ณ จวนตงไถ (แท่นบูรพา) เมืองหลวงแห่งโยวโจว

จวนตงไถแห่งนี้คือสถานรับรองอาคันตุกะแห่งโยวโจว ดังนั้นเรือนนี้จึงก่อสร้างอย่างหรูหราโอ่อ่าถึงสิบส่วน เวลานี้เรือนเหลียนกวง (ถนอมภัสสร) เป็นที่พำนักของซื่อจื่อแห่งจี้โจวและคณะผู้ติดตาม

หากผลักหน้าต่างชั้นสองของเรือนเหลียนกวงออก ทอดสายตามองไปก็จะเห็นพลับพลาประดับประดา มวลผการายล้อมถนนสายน้อย ศาลากลางน้ำและทางเดินคดเคี้ยวเลี้ยวลด มีสายลมโชยมาเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้มาด้วย วสันตฤดูมักจะสดชื่นสะคราญตาและเปี่ยมชีวิตชีวาเช่นนี้ โดยเฉพาะวสันตฤดูในโยวโจวซึ่งเลื่องชื่อไปทั่วแผ่นดินเรื่องความมั่งคั่ง ในความงามสะคราญก็ยังมีความวิจิตรตระการตา

“มองอะไรหรือ” หวงเฉาถามอวี้อู๋หยวนผู้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมาครึ่งชั่วยามแล้ว

“ไม่เห็นเสวี่ยคงมาหลายวันแล้ว ได้ยินว่าเจ้าส่งเขาไปเค่อเฉิง?” อวี้อู๋หยวนยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง

“อืม” หวงเฉาซึ่งเอนกายอยู่บนตั่งนุ่มรับคำ เขานอนกลางวันเพิ่งตื่น เส้นผมสยายระบนที่นอน สวมเสื้อคลุมหลวมสีม่วงอ่อนอยู่บนร่าง สีหน้าเยือกเย็น แววระห่ำบนใบหน้าจางลง เปี่ยมเสน่ห์แห่งการปล่อยใจไปตามสบาย

“เค่อเฉิง…เขาจะมาก็ต้องผ่านเค่อเฉิงกระมัง” อวี้อู๋หยวนเอ่ยพร้อมถอนหายใจน้อยๆ

“เหมือนจะใช่” หวงเฉายังคงตอบเสียงเรียบเรื่อย

“เจ้าส่งเสวี่ยคงไปผู้เดียว? ดีชั่วอย่างไรเขาก็คือผู้ได้รับการขนานนามร่วมกับเจ้าและข้า หากประมาทศัตรูเช่นนี้ เกรงว่าจะเสียเปรียบ” อวี้อู๋หยวนยกมือปัดปอยผมที่ถูกลมพัดมาบดบังดวงตา

“วางใจเถิด ข้าส่งจิ่วซวงไปช่วยเขาด้วย”

“คนอื่นๆ เล่า” สายตาอวี้อู๋หยวนทอดไปไกลแสนไกล

“คู่มือของข้ามีเขาผู้เดียว คนอื่นที่เหลือไม่มีอะไรให้ต้องกังวล” หวงเฉาลุกขึ้นนั่ง

“ข้ายินมาว่าบัดนี้ไป๋เฟิงเฮยซีอยู่ในโยวโจว” อวี้อู๋หยวนหมุนร่างกลับมาในที่สุด สายตาตกอยู่บนร่างเขา

“เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร” หวงเฉาเผยอยิ้มบางๆ นิ้ววาดผ่านหัวคิ้ว “หรือพวกเขาก็ยังจะแย่งกับข้า? ไป๋เฟิงซีเป็นสตรี ส่วนเฮยเฟิงซี…ด้วยอุปนิสัยของโยวอ๋องจะไม่เลือกเขาเด็ดขาด”

“ในการก่อนเทพพยากรณ์แห่งยุทธภพเยวี่ยชิงเยียนเคยวิเคราะห์พวกเราสี่คนไว้ แบ่งเป็น ‘อวี้สมาน’ ‘หลันซ่อนเร้น’ ‘หวงลำพอง’ ‘ซีสูงสง่า’ แปดคำ” อวี้อู๋หยวนเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกายเขา สายตากลับลอยผ่านหวงเฉาทอดไปเบื้องหน้าอันแสนไกล “คำว่า ‘สมาน’ ‘ซ่อนเร้น’ ‘ลำพอง’ อย่างน้อยก็เอ่ยถึงนิสัยด้านหนึ่งของพวกเรา มีเพียง ‘สูงสง่า’ ที่คาดเดายากที่สุด”

“สูงสง่า? ดูแล้วคล้ายจะเรียบง่ายที่สุด” หวงเฉาเท้าคาง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

“หมายถึงเขานิสัยสูงสง่า วาจาสูงสง่า หรือพฤติกรรมสูงสง่า?” อวี้อู๋หยวนยิ้มเยื้อน “หากเป็นเพียง ‘สูงสง่า’ อันธรรมดาสามัญก็ไร้พิษภัย ไหนเลยจะดึงให้ทั่วหล้าเหลียวมองได้”

“กล่าวเช่นนี้เฮยเฟิงซีผู้นี้ข้าต้องป้องกันเอาไว้เสียแล้ว” หวงเฉาลุกขึ้น จัดแต่งอาภรณ์ที่ยับยุ่งเล็กน้อย “เจ้าเคยพบเขาที่หอลั่วรื่อคราหนึ่ง มองออกหรือไม่ว่าเขาเป็นบุคคลเช่นไร”

“รับคำว่า ‘สูงสง่า’ ได้โดยไร้ความละอาย” อวี้อู๋หยวนกระหวัดถึงกงจื่ออาภรณ์สีหมึกบนหอลั่วรื่อผู้มักประดับรอยยิ้มบางไว้บนใบหน้า ท่วงท่าผ่อนคลายงามสง่าดั่งราชนิกุลผู้นั้น

“อ้อ?” หวงเฉาลุกขึ้นยืน “ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้จากเจ้าเห็นได้ว่าจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ พูดจากใจจริง ข้าปรารถนาจะได้พบกับหลันซีกงจื่อและเฮยเฟิงซีสักคราเหลือเกิน ทว่า…”

“ทว่าเพื่อการใหญ่ที่เจ้ามุ่งมาดไว้ ทางที่ดีพวกเขาไม่ควรได้ถือกำเนิดขึ้นมาตลอดกาล ใช่หรือไม่” อวี้อู๋หยวนต่อคำเสียงเรียบ

“ฮ่าๆๆ…” หวงเฉาหัวเราะสดใส สีหน้าฉายแววระห่ำลำพองออกมาโดยธรรมชาติ “พวกเขาเกิดมาก็ดี ไม่เกิดมาก็ดี เส้นทางสู่เขาชังหมังนั้น ข้าจะมิยอมให้ผู้ใดขัดขวางเป็นอันขาด!”

อวี้อู๋หยวนมองหวงเฉาอย่างเงียบงัน แรกเริ่มที่รั้งอยู่ข้างกายเขา ทั้งรับปากช่วยเหลือก็คงเป็นเพราะถูกรัศมีอันเปล่งอยู่ทั่วร่างนี้ดึงดูดกระมัง รัศมีแห่งราชันอันสามารถค้ำเวหาเหยียบพสุธาเช่นนี้ จวบจนปัจจุบันเขายังมิเคยพบเป็นผู้ที่สอง

“ไป๋เฟิงเฮยซี…ข้ากลับตั้งตาอยากพบไป๋เฟิงซีผู้ทำให้เสวี่ยคงเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ทั้งยังทำให้เจ้าชื่นชมในบุคลิกอันล้ำหล้า” อวี้อู๋หยวนหลุบตาลงมองฝ่ามือของตน บรรจงวาดนิ้วตามลายบนนั้น กระแสเสียงเรียบเรื่อยไร้ระลอกอารมณ์ “ผู้ที่ถูกขานนามร่วมกับเฮยเฟิงซีผู้นั้นมานับสิบปีจะต้องมิใช่สตรีธรรมดาเป็นแน่”

“ไป๋เฟิงซีน่ะรึ…” มุมปากหวงเฉายกขึ้นน้อยๆ แววยิ้มบางๆ อย่างจริงแท้ทอออกมาทางดวงตา “ข้าก็ตั้งตาอยากพบไป๋เฟิงซีที่ชำระคราบฝุ่นดินออกแล้วเช่นกัน ดูว่าอาภรณ์ขาว จันทร์หิมะที่แท้รูปลักษณ์เฉิดโฉมปานใด!”

 

“กงจู่”

ทันทีที่ฮว่าฉุนหรานก้าวออกจากตำหนักจินเสิง หลิงเอ๋อร์ก็ปราดเข้ามาหา

“เผาทิ้งเสีย” ฮว่าฉุนหรานยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตาผืนนั้นให้หลิงเอ๋อร์

“เพคะ” หลิงเอ๋อร์รับมาอย่างสงบ เห็นชัดว่าพบจนชาชินแล้ว

“ให้เผาทิ้ง หาใช่ให้เจ้า ‘เผลอ’ ทำหายไปอีกผืน” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองนาง

“เพคะ” หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงอย่างลนลาน

ทั้งสองก้าวลงจากบันไดหน้าตำหนักจินเสิง ทางซ้ายคืออุทยาน ทางขวาคือทางไปสู่ตำหนักหลิงปัวของซูฮูหยินผู้ปัจจุบันเป็นที่โปรดปรานที่สุดของโยวอ๋อง สายตาฮว่าฉุนหรานทอดไปทางตำหนักหลิงปัวเนิ่นนาน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ สายหนึ่ง บางจนดูประหนึ่งสายหมอกที่เส้นขอบฟ้า

“กงจู่จะเสด็จไปตำหนักหลิงปัวหรือเพคะ” หลิงเอ๋อร์เห็นนางมองไปทางตำหนักหลิงปัวจึงถามขึ้น

“ไม่” ฮว่าฉุนหรานสืบเท้าไปทางซ้าย ตัดผ่านอุทยานที่สามารถเชื่อมไปถึงตำหนักลั่วหวาได้ “ข้าแค่กำลังคิดว่าตำหนักหลิงปัวควรเปลี่ยนเจ้าของได้หรือยัง” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบายิ่ง เบาจนหลิงเอ๋อร์หลงนึกว่าตนหูฝาดไป

“กงจู่รับสั่งว่า…” หลิงเอ๋อร์ตื่นตระหนก ครึ่งประโยคหลังกลับถูกสายตาที่ฮว่าฉุนหรานเหลียวกลับมามองกวาดกลับไป

“ช่างเถอะ ยังไม่ต้องสนใจ” ฮว่าฉุนหรานเด็ดดอกเสาเย่า* ที่ยื่นเลยกระถางออกมา ก่อนจะใช้นิ้วขยี้ ดอกไม้กลายเป็นซากแหลกเหลวในทันใด “ดอกไม้นี้บานได้งามนัก แต่กลับไม่รู้ว่าหากล้ำเขตมาจะถูกคนสวนตัดเล็มออก”

หลิงเอ๋อร์ได้ยินวาจาก็ก้มศีรษะต่ำ มิกล้ามองบุปผาดอกนั้น

“หลิงเอ๋อร์ จงจำไว้ว่าคนมีกฎของคน นกหรือสัตว์เดรัจฉานก็มีกฎของมัน ดอกไม้ก็มีกฎของดอกไม้ สรรพสิ่งล้วนแต่ไม่อาจก้าวล้ำกฎไปได้ รู้หรือไม่” ฮว่าฉุนหรานชูมือ โปรยเศษเสาเย่าดอกนั้นไปไกล

“เพคะ หม่อมฉันจะจดจำไว้” หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะรับคำ

“กลับกันเถิด” ฮว่าฉุนหรานสาวเท้าจากไป

หลิงเอ๋อร์รีบตาม

รอจนพวกนางออกจากอุทยานไปแล้ว ดอกเสาเย่าซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่บนพื้นก็ถูกมือคู่หนึ่งเก็บขึ้นมาอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม

บทที่ 14 ศาลาเด็ดจงกล แรกพบใฝ่รัญจวน

“ถูคลึงเค้นคว้าตามใจข้า คนงามแซ่ฮว่าช่างยอดเยี่ยมนัก” บนหลังคาตำหนักจินเสิง ไป๋เฟิงซีเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยแววสะทกสะท้อน สายตามองส่งร่างชดช้อยนั้นจากไป

“ใช้ความสามารถอันเป็นของสตรีได้อย่างใจนึก ช่างเป็นสตรีผู้ฉลาดโดยแท้” เฮยเฟิงซีชื่นชมเช่นกัน แค่ว่าสายตาของเขากลับอยู่บนร่างของผู้ที่เก็บเสาเย่าขึ้น

คนผู้นั้นเก็บเสาเย่าขึ้นแล้วปัดฝุ่นดินออกอย่างเบามือ จ่อปลายจมูกสูดสุคนธาจากดอกไม้ แล้วหลับตาลงราวกับเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง ครึ่งค่อนวันให้หลังถึงบรรจงเก็บเข้าในอกเสื้ออย่างระวังมือ จากนั้นก็มองทั้งสี่ด้านรอบตัว เมื่อแน่ใจว่ามิมีผู้ใดพบเห็นก็สืบเท้าเข้าสู่ตำหนักจินเสิง

“ดูท่าคนผู้นี้จะหลงงมงายในตัวคนงามแซ่ฮว่าขนาดหนักทีเดียว เสียดายเพียงนางมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าแต่ผู้เดียว” ไป๋เฟิงซีเห็นพฤติกรรมคนผู้นั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ

เฮยเฟิงซีมองคนผู้นั้นอย่างละเอียด เขาอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก รูปร่างค่อนข้างสูง สวมเกราะอย่างนักรบ นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปโฉมองอาจห้าวหาญ

คนผู้นั้นก้าวเข้าสู่ตำหนักจินเสิง ตลอดทางไปถึงห้องอักษรทิศใต้ก็ราบรื่นไร้อุปสรรค ดูท่าคงเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากโยวอ๋อง

 

“กระหม่อมเยี่ยเยี่ยน ถวายบังคมฝ่าบาท!” ในห้องอักษรทิศใต้ ทหารนายนั้นน้อมกายลงกับพื้น

โยวอ๋องมองขุนนางที่หมอบอยู่แทบเท้าโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สีหน้าลึกล้ำยากคาดเดา นายทหารผู้นั้น…เยี่ยเยี่ยนก็ก้มศีรษะคุกเข่าอยู่เช่นนั้น มิกล่าส่งเสียง

“เยี่ยเยี่ยน เจ้าดูนี่!” ล่วงไปเป็นนานโยวอ๋องถึงโยนของสิ่งหนึ่งให้เยี่ยเยี่ยน ในกระแสเสียงอันเรียบเรื่อยแฝงเพลิงโทสะอันร้อนแรง

เยี่ยเยี่ยนเก็บของบนพื้นขึ้น นั่นคือฎีกาลับแผ่นหนึ่ง เขาคลี่ออกอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป ลนลานโขกศีรษะกับพื้น “กระหม่อมรู้ผิดแล้ว ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วย”

“ฮึ!” โยวอ๋องสะบัดแขนเสื้อหยัดกายขึ้น มองเยี่ยเยี่ยนบนพื้น “ข้าฝากความหวังอันหนักหนาไว้กับเจ้า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า!”

“กระหม่อมไร้สามารถ ขอฝ่าบาททรงลงอาญา” เยี่ยเยี่ยนประหวั่นพรั่นพรึง

“ลงอาญาแล้วก็จบเรื่องได้กระนั้นรึ” โยวอ๋องตบโต๊ะ ส่งเสียงลั่นอย่างโกรธกริ้ว “ชวีเฉิงของข้าเสียฉีและซั่งสองสกุลซึ่งร่ำรวยที่สุดไปเช่นนี้! ทรัพย์สินเทียมแคว้นบินหายไปทั้งที่ไม่มีปีก และตกอยู่ในมือผู้ใดก็ถึงกับไร้ผู้รู้เห็นเช่นนี้! ข้าเลี้ยงพวกเจ้าทั้งโขยงไว้เพื่อให้เป็นเศษสวะไร้ค่าอย่างนั้นรึ!”

“กระหม่อม…”

“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!” โยวอ๋องเคราผมชูชัน ตาพ่นเพลิงโทสะ เขาเดินอ้อมเยี่ยเยี่ยนที่อยู่บนพื้นด้วยฝีเท้าเร่งร้อนอยู่หลายก้าว “ข้าเห็นเจ้าเป็นผู้มีความสามารถที่น่าส่งเสริมแท้ๆ แต่กลับไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าจะโง่เง่าเสียยิ่งกว่าหมู!”

ฎีกาลับฉบับนั้นก็คือเรื่องสกุลหานและเรื่องในชวีเฉิง

หลายเดือนก่อนขณะโยวอ๋องขี่ม้า เขาไม่ทันระวังพลัดตกลงมา ทำให้ศีรษะกระแทกพื้น เนื้อหน้าผากถูกไถไปเป็นแถบ โลหิตไหลเต็มหน้า ชวนหวาดผวาไม่น้อย ตอนนั้นสำนักหมอใช้โอสถผงตำหนักม่วงหนึ่งขวดมารักษา รายงานว่าเป็นโอสถวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลภายนอก ถ้าทาบนแผลไม่กี่วันก็จะสนิทดี ซ้ำยังไม่เหลือรอยแผลเป็นอีกด้วย โยวอ๋องคิดว่าโอสถวิเศษถึงเพียงนี้หากนำมาใช้ในการทหารก็จะสามารถช่วยชีวิตทหารบาดเจ็บได้มากมาย ดังนั้นจึงบัญชาให้หมอปรุงโอสถนี้ให้มากหน่อย ทว่าหมอกลับบอกว่าโอสถนี้เป็นโอสถวิเศษประจำสกุลหานแห่งหร่วนเฉิงแคว้นเป่ยโจว เหตุที่สำนักหมอจ่ายทองมหาศาลซื้อโอสถมา เดิมทีก็เพื่อศึกษาวิเคราะห์สูตรโอสถ แต่จนใจที่ทุ่มเทกำลังหลายปีก็หาได้ผลอันใดไม่

ตอนนั้นเยี่ยเยี่ยนตามอยู่ด้านข้าง ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ก็เป็นฝ่ายขันอาสา

เริ่มแรกเขาเดินทางไปยังสกุลหาน เสนอทองคำมหาศาลเพื่อขอซื้อสูตรโอสถ ทว่าถูกหานเสวียนหลิงประมุขสกุลหานปฏิเสธอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย พอหวนนึกดูอีกครา เรื่องของชาวยุทธ์เช่นนี้ให้ชาวยุทธ์จัดการจะเหมาะกว่า แต่เขาไม่สะดวกจะออกหน้าติดต่อกับชาวยุทธ์โดยตรง ดังนั้นจึงไปหาสกุลฉีและซั่งแห่งชวีเฉิง แม้ฉีและซั่งจะเป็นสกุลคหบดีใหญ่ ทว่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในวังอ๋อง มิเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าอ๋องแห่งโยวโจว กล่าวกันถึงที่สุดก็เป็นเพียงครอบครัววาณิชไร้ศักดิ์ธรรมดาๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อเยี่ยเยี่ยนติดต่อพวกเขา ทั้งสองสกุลจึงรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว ใต้เท้าเยี่ยตรงหน้าไม่เพียงเป็นที่โปรดปรานเชื่อถือของโยวอ๋อง ซ้ำยังอาจกลายเป็นสามีของฉุนหรานกงจื่อธิดาคนโปรดของโยวอ๋องอีกด้วย นี่เป็นบุคคลที่ฟ้าประทานมาช่วยค้ำชูโดยแท้ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่รับไว้

ฉีอี๋และซั่งเหยี่ยแรกเริ่มก็ส่งคนขนอัญมณีล้ำค่ามากมายไปยังบ้านสกุลหาน แน่นอนว่าต้องถูกปฏิเสธ จากนั้นพวกเขาก็หาเพื่อนชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งเดินทางไปช่วยเกลี้ยกล่อม แต่ก็ยังคงกลับมามือเปล่า ยืดเยื้อเช่นนี้อยู่สองเดือนโดยมิเกิดผลลัพธ์อันใด เยี่ยเยี่ยนเมื่ออยู่ต่อหน้าโยวอ๋องก็เงยศีรษะไม่ขึ้น ความโกรธนั้นเพียงหมุนกายก็เอาไปลงกับสกุลฉีและสกุลซั่ง ส่วนสกุลหานที่ให้หน้าแต่ไม่ยอมรับไว้นั้นก็ยิ่งชิงชังเหลือประมาณ เยี่ยเยี่ยนตำหนิเอากับฉีอี๋และซั่งเหยี่ยไม่หยุดว่า ‘สกุลหานไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ ล้างเสียให้สิ้นแล้วจะทำไม!’

ทันทีที่วาจาเขาเปล่งออกมาฉีอี๋และซั่งเหยี่ยมีหรือจะกล้าไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้นจึงจ้างวานพรรคต้วนหุนด้วยทองคำหนัก ส่วนผลสุดท้ายเป็นอย่างไรใคร่ครวญดูก็จะรู้ได้

เมื่อโยวอ๋องทราบเรื่องก็กริ้วแทบเป็นแทบตาย เขาเสียทรัพย์สมบัติมหาศาลของสกุลฉีและซั่งยังพอทำเนา ทว่าเยี่ยเยี่ยนผู้ทึบเขลาคนนี้ถึงกับรวมหัวกับพรรคต้วนหุนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทั่วยุทธภพ สังหารหลายร้อยชีวิตในสกุลหานเพื่อสูตรโอสถ พฤติการณ์โฉดชั่วเยี่ยงนี้หากแพร่งพรายออกไปโยวโจวจะต้องถูกคนทั่วหล้าหยามหยันดูแคลนเป็นแน่ แล้วโยวอ๋องเช่นเขาจะวางท่าเป็นผู้ปกครองผู้ปรีชาและเปี่ยมคุณธรรมได้อย่างไร!

“กระหม่อมรู้โทษแล้ว กระหม่อมสมควรตาย ทว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของสกุลฉีและสกุลซั่งทั้งสิ้น…”

“เจ้ายังคิดหาข้ออ้างอีกรึ!” วาจาของเยี่ยเยี่ยนยังกล่าวไม่ทันจบ โยวอ๋องก็เงื้อเท้าถีบเขาจนล้มกลิ้งเค้เก้อยู่บนพื้น ทว่ายังไม่หายโกรธา จึงตามไปซ้ำอีกคราบนใบหน้า “ยามนี้ข้าไม่สนว่าสกุลฉีและซั่งเป็นอย่างไร บัดนี้เจ้าจงเร่งไปเก็บกวาดเรื่องนี้ให้หมดจด หากเรื่องเกิดรั่วไหลไปเพียงนิดเดียว ข้ามิเพียงจะบั่นคอเจ้า ยังจะประหารคนสกุลเจ้าเก้าชั่วโคตรด้วย!”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เยี่ยเยี่ยนรีบโขกศีรษะรับคำสั่ง

“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!” โยวอ๋องมองเขา อยากจะสังหารทิ้งเสียให้หายแค้น ทว่ายามนี้กลับไม่อาจสังหารได้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนจบเรื่องก่อน

“พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยเยี่ยนรับคำ แต่กลับยังละล้าละลังอยู่บ้าง “แต่ว่า…แต่อีกสามวันให้หลัง…”

ปัง! โยวอ๋องฟาดฝ่ามือกับโต๊ะอักษร ก่อนจะชี้หน้าเยี่ยเยี่ยน โกรธจนดวงตาแดงก่ำ “หรือเจ้ายังละเมอเพ้อพกหมายจะได้แต่งกับบุตรสาวข้าอีก? ประมาณตนเสียบ้างว่าเจ้าคู่ควรหรือไม่ ที่ตอนนี้ข้ายังไม่ประหารเจ้าก็นับว่ากรุณาอย่างวิเศษแล้ว หากยังไม่รีบไสหัวไปก็อย่าโทษว่าข้าแล้งน้ำใจ!”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” เยี่ยเยี่ยนหดศีรษะ ลุกขึ้นถอยออกไป

“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นโยวอ๋องก็ตวาดลั่น

“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยเยี่ยนรีบหมุนกายกลับ

“พรรคต้วนหุนต้องจัดการให้หมดจด!” กระแสเสียงโยวอ๋องเย็นเยียบอำมหิต “เรื่องนี้หากรั่วออกไป ข้าไหนเลยจะปกครองใต้หล้าได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

รอจนเยี่ยเยี่ยนจากไปแล้ว โยวอ๋องก็สะบัดแขนเสื้อ ปัดถ้วยชาร่วงไปหนึ่งใบ “ฮึ ช่างโง่เขลานัก!”

บนหลังคา ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าทอดถอนใจ “ความตายกรายถึงหัวยังจะพิสมัยในบุปผา เยี่ยเยี่ยนผู้นี้น่าสนุกจริงๆ” นางหันไปมองเฮยเฟิงซี “นี่ก็คือละครฉากสนุกที่เจ้าจะให้ข้าดู?”

“เช่นนี้เรื่องสกุลหานก็นับว่าแจ่มแจ้งแล้ว” สายตาเฮยเฟิงซียังอยู่บนร่างโยวอ๋อง สีหน้าลึกล้ำเกินคาดเดาแฝงแววยิ้มบางๆ

ไป๋เฟิงซีเอนร่างพิงบนกระเบื้อง สายตาทอดไปกลางท้องนภา แสงอาทิตย์เจิดจ้าพุ่งเข้าสู่ดวงตา แต่กลับมิอาจทะลวงผ่านหมอกทึบในนั้น “สกุลหานหลายร้อยชีวิตต้องตายตกไปเพียงเพราะความโลภของตัวเบาปัญญาผู้หนึ่ง นี่คือผลร้ายของการให้คนโง่กุมอำนาจไว้ในมือ”

“เจ้าจะบอกหานผู่หรือไม่” เฮยเฟิงซีมองโยวอ๋องในห้องเป็นหนสุดท้าย ก่อนจะปิดแผ่นกระเบื้องลง

“ไม่ เขาไม่จำเป็นต้องรู้” ไป๋เฟิงซีคล้ายกับไม่อาจต้านแสงอาทิตย์อันแผดกล้าได้ จึงยกมือขึ้นบดบังดวงตาทั้งคู่ “ที่ควรชดใช้สุดท้ายก็ต้องให้พวกเขาชดใช้!”

เฮยเฟิงซีมองนางอย่างเงียบงัน ครู่ต่อมาก็ทอดสายตาไปยังที่อันแสนไกล

วังโยวอ๋องอันวิจิตรตระการตาอยู่เพียงใต้เบื้องเท้า ทว่าใต้เบื้องเท้านั้นยังมีสิ่งใดอีก มีแค่เรือนแดงงามหรูและสายธารใส หรือโลหิตแดงฉานและกระดูกขาวโพลน?

 

ณ ศาลาชวีอวี้ (หยกโค้ง) ตำหนักลั่วหวา

ฮว่าฉุนหรานกางกระดาษหยกไหมแผ่นหนึ่งออก ยกพู่กันแตะหมึก จากนั้นก็บรรจงวาด ทุกคราที่พู่กันสะบัดล้วนแต่พิถีพิถัน ด้วยเกรงนักว่าจะพลาดไปสักเศษเสี้ยว อาการตั้งอกตั้งใจอย่างที่สุด ในดวงหน้าทอแววหวามหวานจางๆ

ที่หน้าประตู ไป๋เฟิงซีมาถึงอย่างไร้สุ้มเสียง สายตาเคลื่อนจากบนโต๊ะไปยังบนหน้าฮว่าฉุนหราน แล้วย้ายจากหน้านางกลับมาที่โต๊ะอีกครา แย้มยิ้มน้อยๆ ทว่าในรอยยิ้มกลับเจืออารมณ์สะท้อนใจอยู่

“คนงามแซ่ฮว่า ท่านกำลังวาดอะไรอยู่หรือ”

ปุจฉาเรียบๆ ซึ่งดังขึ้นกะทันหันทำให้ฮว่าฉุนหรานที่มีสมาธิแน่วแน่อยู่กับการวาดภาพสะดุ้งสุดตัว มือสั่นสะท้าน พู่กันในมือร่วงตรงลงสู่ภาพ เมื่อเห็นภาพที่เพิ่งวาดเสร็จกำลังจะถูกทำลาย ฮว่าฉุนหรานก็อดส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกมิได้ “อ้า!”

ในเสี้ยวเวลาอันหมิ่นเหม่ มือข้างหนึ่งก็พลันยืดออกรับพู่กันที่กำลังร่วงใส่ภาพวาดเอาไว้

เมื่อเห็นภาพวาดยังปลอดภัยดีทุกประการ ฮว่าฉุนหรานก็ผ่อนลมหายใจ จากนั้นถึงหันไปกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านจะทำให้ข้าตกใจตายหรือไร เดินมาไม่ให้สุ้มให้เสียงอยู่ร่ำไป ยังชอบส่งเสียงกะทันหันแกล้งให้ตกใจ!”

ทว่าสายตาไป๋เฟิงซีกลับถูกภาพวาดบนโต๊ะดึงดูดไว้ นางยื่นมือคีบภาพขึ้นพิศอย่างละเอียด เมื่อมองแล้วก็อดเอะอะเสียงดังมิได้ว่า “จิ้งจอกดำตัวนั้นไหนเลยจะดีอย่างที่เจ้าวาด ที่เจ้าวาดคือชาวสวรรค์ผู้เปล่งรัศมีเจิดจ้าชัดๆ! เขาหรือจะมีใบหน้าซื่อตรงเที่ยงธรรมเยี่ยงนี้”

“ข้าวาดไม่เหมือนหรือ” ฮว่าฉุนหรานเห็นนางทำท่าพิศวงถึงเพียงนั้นก็อดถามมิได้

“ย่อมไม่เหมือนแน่นอน” ไป๋เฟิงซีมือข้างหนึ่งหมุนพู่กัน มือข้างหนึ่งเขย่าภาพ ส่ายหน้าไม่หยุด

“นี่…” ฮว่าฉุนหรานมองภาพ รู้สึกว่าตนวาดเหมือนยิ่งนัก

“ข้าจะบอกท่านให้ จิ้งจอกดำควรวาดเช่นนี้ต่างหาก” ไป๋เฟิงซีเดินไปถึงข้างโต๊ะ ปูกระดาษขาวอีกใบ จากนั้นก็จรดปลายพู่กันแตะหมึก โบกสะบัดพู่กันไปมา

“โครงหน้าน่ะหรือ ยาวสักหน่อย เหมือนไข่ห่านใบหนึ่ง คิ้วนั้นเล่า ยาวๆ เช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ต้องตวัดขึ้นน้อยๆ คราหนึ่ง ดวงตานี่ เฮ้อ เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับมีดวงตาหงส์ดึงดูดผู้คน ฉะนั้นจิ้งจอกดำตัวนี้ยามเหล่ตามองผู้คน โดยเฉพาะเมื่อมองสตรีก็เท่ากับกำลังถามว่า ‘แม่คนงาม จะไปกับข้าหรือไม่’ ไร้ยางอายเอามากๆ เชียวล่ะ” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งก็วาด ทางหนึ่งก็วิจารณ์อย่างดูแคลนถึงที่สุด “ต่อมาก็คือจมูก เฮ้อ สิ่งเดียวที่เขามีดีก็คือจมูกนี้ เพราะจมูกนี้ที่ทำให้เขาดูมีคุณธรรมอยู่บ้าง แม้แท้ที่จริงแล้วลำไส้ของเขาคดหลายตลบนัก สุดท้ายก็คือริมฝีปาก อืม ริมฝีปากเขาบางๆ คำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ริมฝีปากบางแล้งน้ำใจ’ ก็หมายถึงเขาโดยเฉพาะ คนงามแซ่ฮว่าท่านต้องจดจำไว้นะ อ้อ จริงซี ยังมีอลงกรณ์จันทร์เสี้ยวบนหน้าผาก เสร็จแล้ว ประมาณนี้ แม้จะเกิดมามีหน้าตาไม่เลว แต่ท่านอย่าหลงนึกเป็นอันขาดว่าเขาเป็นคนดี”

นางวาดพลางเอ่ยพลาง เพียงครู่เดียวเฮยเฟิงซีก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษ เมื่อวาดเสร็จนางก็วางพู่กันปรบมือสองสามครั้งแล้วยื่นภาพให้ฮว่าฉุนหราน

ฮว่าฉุนหรานรับภาพมาพิศดูอย่างถี่ถ้วน

เฮยเฟิงซีผู้นี้กับเฮยเฟิงซีที่นางวาดดูผาดๆ เป็นคนเดียวกัน ทว่าก็ไม่ทั้งหมด

มองปราดแรกบุคคลในภาพปลอดโปร่งงามสง่าเหนือสามัญ มองปราดที่สองกลับพบว่าในดวงตาหงส์ที่เบิกน้อยๆ นั้นเร้นเสน่ห์ชั่วร้ายยวนใจคนเอาไว้ คล้ายสามารถทำให้ถลำลึกลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้คนกลับยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อมองเป็นปราดที่สามรอยยิ้มจางๆ อันประดับที่มุมปากนั่นก็มีแววเจ้าเล่ห์โจ่งแจ้ง คล้ายกับทระนงและลำพองที่วางอุบายจัดการคนทั่วหล้าได้โดยมิมีใครรู้ เฮยเฟิงซีผู้นี้แตกต่างกับเฮยเฟิงซีผู้หล่อเหลาสง่างามดั่งราชนิกุลที่นางวาดจริงๆ ทว่าเฮยเฟิงซีผู้นี้กลับเหมือนจริง มีชีวิตชีวา ชวนให้ไม่อาจละสายตาได้ยิ่งกว่า

“ที่แม่นางเฟิงวาดสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่าจริง” ฮว่าฉุนหรานเลื่อมใสจากใจจริง สายตาเคลื่อนจากภาพไปยังไป๋เฟิงซี แฝงแววตรวจสอบเล็กน้อย “สามารถวาดเฟิงกงจื่อได้อย่างถึงแก่นเช่นนี้ เห็นได้ว่าแม่นางเฟิงกับเขารู้จักกันอย่างดียิ่ง”

“ฮิๆ…รู้จักเขามาสิบปี ข้อดีอื่นใดหาไม่มี ข้อดีอย่างเดียวที่มีก็คือหากมองเขาทะลุแล้ว ใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดหลอกลวงข้าได้อีก” ไป๋เฟิงซีโยกคลอนศีรษะหัวเราะอย่างเริงร่า คล้ายกับภูมิใจในตัวเองอยู่พอสมควร

“ตามเสียงที่เล่าลือกันในยุทธภพ ไป๋เฟิงเฮยซีเป็นคู่ฟ้าประทาน เมื่อแม่นางเฟิงและเฟิงกงจื่อรู้จักกันมายาวนานนับสิบปีก็ย่อมต้องมีมิตรภาพลึกซึ้งแน่นหนา ย่อมเข้าใจเฟิงกงจื่อเป็นอย่างถ่องแท้” ฮว่าฉุนหรานหลุบตาเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง นิ้วมือกลับบีบภาพวาดแน่นขึ้น

“อูย!” ไป๋เฟิงซียินดังนั้นก็หนาวสะท้านเฉียบพลัน กอดแขนทั้งสองแน่น นางมองฮว่าฉุนหรานอย่างขนพองสยองเกล้าถึงหมื่นส่วน “คนงามแซ่ฮว่า ขอท่านอย่าได้เอ่ยวาจาพรรค์นี้อีกเป็นอันขาด!”

ฮว่าฉุนหรานกะพริบดวงตางดงาม

ไป๋เฟิงซียื่นมือไปกุมมือนางไว้ กล่าวอย่างจริงจังไร้เปรียบปานว่า “คนงามแซ่ฮว่า หากท่านจะจับคู่ให้ข้ากับใครสักคน ท่านก็พิจารณาผู้อื่นเถิด อืม…อย่างเช่นอวี้กงจื่อผู้เป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า หรือหวงซื่อจื่อที่ผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั่นก็ได้ แต่อย่าเอาข้าไปเกี่ยวข้องกับจิ้งจอกดำตัวนั้น ได้โปรดเถอะ!”

ฮว่าฉุนหรานเม้มปากยิ้ม ในดวงตาเป็นประกายสุกใส “แม่นางเฟิงไยต้องตื่นเต้นเช่นนี้ด้วย ข้าก็เพียงแค่ฟังคำเขาเล่าลือกันเท่านั้น”

“เฮ้อ ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็จริงๆ เลย!” ไป๋เฟิงซีออกแรงถูแขน ดวงหน้าเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย “จะจับคู่ข้าไป๋เฟิงซีกับบุรุษสักคนก็หาผู้อื่นมิได้แล้วหรือ ลือไปลือมาจึงมาเหมาลงกับจิ้งจอกดำตัวนี้ เคราะห์ร้ายไปแปดชาติโดยแท้!”

“ฮิๆๆ…” ฮว่าฉุนหรานเห็นสภาพนางเช่นนั้นก็อดหัวเราะเบาๆ มิได้ “เฟิงกงจื่อรูปลักษณ์ไม่สามัญ ทั้งเพียบพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ ผู้คนตั้งเท่าใดใคร่ได้คู่ครองยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุไฉนแม่นางเฟิงกลับไม่คล้อยตาม ซ้ำยังล้อเขาเป็นจิ้งจอกอยู่เสมอ”

“ฮิๆ…” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะหัวเราะ สายตากวาดขึ้นๆ ลงๆ พินิจพิเคราะห์ฮว่าฉุนหราน “กล่าวกันตามจริง ท่านกับจิ้งจอกดำนั่นจึงจะเป็นคู่ฟ้าประทาน”

“พวกเราเอ่ยถึงท่านอยู่นะ ไฉนลากเอาข้าไปเกี่ยวเล่า” ฮว่าฉุนหรานเบือนหน้านี้ทันควันราวกับขวยอาย ทว่าแววยิ้มที่หางตานั้นปิดอย่างไรก็ไม่มิด

“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านเขินหรือ”

ไป๋เฟิงซีกระโดดลงจากโต๊ะ ไถลร่างปราดเดียวก็หมุนไปถึงเบื้องหน้าฮว่าฉุนหราน มือยื่นออก แล้วฮว่าฉุนหรานก็รู้สึกเพียงว่าภาพวาดในมือเหมือนถูกพลังบางอย่างดูดไป พริบตาเดียวก็ไปอยู่ในมือไป๋เฟิงซี

“คนงามแซ่ฮว่า ไฉนท่านต้องเขินด้วยเล่า” มือทั้งสองของไป๋เฟิงซีขยำภาพวาด จากนั้นก็โบกออก เพียงชั่วขณะเศษกระดาษก็ร่วงลงจากฟ้าดุจหิมะ โปรยลงทั่วศีรษะและทั่วร่างของฮว่าฉุนหราน

“พูดอะไร ใครเขินกัน” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองนาง กิริยานั้นประหนึ่งโบตั๋นดอกหนึ่งซึ่งผลิบานสะพรั่งกลางหิมะ ในความหอมสะคราญอย่างที่สุดเจือแววขลาดอายและเปราะบางอย่างไม่อาจต้านแรงหิมะ ยังให้ไป๋เฟิงซีมองแล้วชื่นชมจากใจจริง ฉุนหรานกงจู่ผู้นี้รูปโฉมเฉิดฉายกว่าเฟิ่งชีอู๋สามส่วน ทว่าเฟิ่งชีอู๋กลับเหนือกว่าหนึ่งส่วนในความบริสุทธิ์หยิ่งทะนง

“ฮ่าๆๆ…หมายถึงท่าน” ไป๋เฟิงซีค้อมเอว ลดศีรษะต่ำ เอียงดวงหน้ามองฮว่าฉุนหรานที่ก้มศีรษะลงน้อยๆ จากด้านล่าง “คนงามแซ่ฮว่า ท่านต้องใจจิ้งจอกดำตัวนั้นหรือ จะให้ข้าช่วยหรือไม่” นางกล่าวพลางขยิบตา “จิ้งจอกดำนั่นไหว้วานข้ามาแล้ว”

“ดูซี เจ้าทำจนข้าเลอะไปทั้งตัว” ฮว่าฉุนหรานใช้แขนเสื้อปัดเศษกระดาษบนร่างราวกับไม่ได้ยินคำพูดตอนท้ายของไป๋เฟิงซี

“มา ข้าจะช่วยท่าน” ไป๋เฟิงซีเข้าไปช่วยนางปัดเศษกระดาษบนศีรษะ

ฮว่าฉุนหรานรออยู่ครึ่งค่อนวันก็หาได้มีวาจาท่อนต่อไปหลุดออกมา จึงได้แต่แสร้งถามคล้ายมินำพาว่า “เขาไหว้วานอะไรท่านหรือ”

ไป๋เฟิงซีกลับคล้ายไม่ได้ยิน มือที่ช่วยปัดเศษกระดาษให้นางถือโอกาสลูบดวงหน้าสักสองครา เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ครั้งหน้าข้าจะเด็ดดอกโบตั๋นมา ถึงเวลานั้นมวลผกาเต็มท้องฟ้าจะโปรยปรายลง ท่านก็เป็นเซียนท่ามกลางบุปผชาติ ต้องงดงามเพริศพรายที่สุดในโลกาเป็นแน่!”

ฮว่าฉุนหรานหมายใจจะสำรวมคำไม่เอ่ยถาม แต่ก็เก็บงำความคำนึงในอกไว้ไม่อยู่จริงๆ สุดท้ายจึงมีแต่เหลือบมองไป๋เฟิงซีอย่างกลัดกลุ้มน้อยๆ เอ่ยถามเสียงอ่อยว่า “เฟิงกงจื่อวรยุทธ์แข็งกล้า ยังจะมีเรื่องอันใดจำต้องไหว้วานผู้อื่นให้ช่วยอีกหรือ”

“เอ่อ” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วอย่างมิใคร่จะเห็นด้วย “จิ้งจอกดำแม้จะมีวรยุทธ์ฉกาจฉกรรจ์ ทว่าบางเรื่องก็ใช่ว่าวรยุทธ์สูงส่งแล้วจะแก้ไขได้นี่ อย่างเช่น…” นางมองฮว่าฉุนหรานแล้วขยิบตา “อย่างเช่นเรื่องคู่ครอง ก็ต้องพึ่งเฒ่าจันทรา มาผูกด้ายให้มิใช่หรือ”

“อ้อ” ฮว่าฉุนหรานหลุบตา “เฟิงกงจื่อมีนางในดวงใจแล้วหรือ มิทราบเป็นคุณหนูบ้านใด”

“เป็นยอดแห่งหญิงงามในบรรดาหญิงงาม!” ไป๋เฟิงซีมองฮว่าฉุนหรานด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ยังคงยั่วให้อยากรู้ไม่ยอมเลิก

ฮว่าฉุนหรานคล้ายกับขวยเขินอยู่บ้างจึงก้มหน้างุด สายตาจับอยู่ที่ปลายเท้า รอไป๋เฟิงซีกล่าวต่อไป ทว่ารออยู่นานสองนาน อีกฝ่ายกลับเอาแต่ยิ้มมองนาง ดวงหน้าเต็มไปด้วยแววกลั่นแกล้ง

สุดท้ายฮว่าฉุนหรานก็เงยศีรษะ แววกระดากอายหายไปหมดสิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนคือรอยยิ้มเปิดเผย “แม่นางเฟิง ท่านยินดีช่วยข้าหรือไม่”

“คนงามแซ่ฮว่า ท่านจะให้ข้าช่วยอันใดหรือ” ไป๋เฟิงซียังมองนางด้วยรอยยิ้มระรื่น

“ข้าต้องใจเฟิงกงจื่อ คิดรับเขาเป็นสามี” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำทีละอักษร บนใบหน้าปราศจากแววขวยเขินและลังเล

“เอ้อ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะลั่น อีกทางยังมิวายปรบมือแรงๆ “ฮ่าๆๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ ไม่เหมือนสตรีทั่วไปในวังลึกดังคาด”

“แม่นางเฟิงยินดีช่วยข้าหรือไม่” ฮว่าฉุนหรานทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่ายวนใจ

“ท่านตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก่อนได้หรือไม่” ไป๋เฟิงซีกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะ

“โปรดเอ่ยมา” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าอย่างงามสง่า

“ครั้งนี้ผู้ที่เดินทางมาสู่ขอท่านเรียกได้ว่ารวบรวมยอดคนผู้มีความโดดเด่นจากทั่วทั้งแผ่นดินต้าตงไว้จนสิ้น ในบรรดานั้นไม่ขาดแคลนบุคคลผู้เพียบพร้อมไม่ว่าจะในด้านชาติกำเนิด สติปัญญา หรือรูปโฉม อย่างซื่อจื่อแห่งจี้โจว ซื่อจื่อแห่งยงโจว แต่เหตุใดท่านต้องจำเพาะเลือกชาวยุทธ์ฐานะต่ำต้อยผู้หนึ่งด้วย” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองฮว่าฉุนหรานด้วยรอยยิ้ม

ฮว่าฉุนหรานมือเท้าแก้มนวล ยิ้มจางๆ อย่างปลอดโปร่ง “เพราะข้าหวังว่าวันเวลาต่อไปในกาลข้างหน้า รอยยิ้มของข้าจะมีความจริงใจและ…เบิกบานเพิ่มขึ้นบ้าง”

“หืม?” ไป๋เฟิงซีกลับคาดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้

“สิ่งที่ข้าไขว่คว้ามาทั้งชีวิตก็คือได้ครองฐานะสูงสุดและยศถาบรรดาศักดิ์ไม่สิ้นสุดเท่าที่สตรีผู้หนึ่งจะพึงมีได้” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างตรงไปตรงมา นางเงยดวงหน้างามขึ้นน้อยๆ สายตาทอดไปยังโคมผลึกแก้วอันวิจิตรซึ่งแขวนอยู่สูงบนผนัง แสงทิวากรจากด้านนอกสาดเข้ามา ส่องจนโคมทอประกายวิบวับจับตา “อาศัยตัวข้า ไม่ว่าข้าจะแต่งกับผู้ใด ไม่ว่าข้าจะอยู่ในโยวโจว จี้โจว หรือยงโจว ข้าก็ล้วนแต่จะพร้อมด้วยทรัพย์ร่ำรวยยศศักดิ์ไปชั่วชีวิตไม่ต่างกัน” สายตาของนางละจากโคมวิจิตรมาที่ไป๋เฟิงซี ดวงหน้ามีเสน่ห์งามสง่าอย่างผู้มีศักดิ์เพราะความเชื่อมั่นในตน “ท่านเชื่อหรือไม่”

“เชื่อ” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า รอยยิ้มไม่แปรเปลี่ยน แววตาที่มองฮว่าฉุนหรานมีเพียงแววชื่นชม

“ทว่าฐานะสูงสุดมักจะเลี่ยงความอ้างว้างไปไม่พ้น” ใบหน้าฮว่าฉุนหรานทอแววโศกเศร้า

“อืม” ไป๋เฟิงซีพยักหน้าอีกคำรบ

“หลายวันมานี้ได้ใกล้ชิดกับเฟิงกงจื่อ…ข้าเบิกบานใจมากเหลือเกิน” กระแสเสียงของฮว่าฉุนหรานสดใสขึ้นทันตา สีหน้ามีแววปรีดาโลดแล่น “ข้ารู้ว่าต่อไปข้าจะหาผู้ใดเป็นเช่นเขาไม่พบอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังให้เขารั้งอยู่ที่นี่”

ครั้นได้ยินวาจานี้แล้ว ร่างของไป๋เฟิงซีก็เหินขึ้น ทิ้งตัวลงตรงหน้าฮว่าฉุนหราน มือขวายื่นออก ประคองใบหน้านางมาตรวจตราอย่างถี่ถ้วน แต่ต้นจนจบรอยยิ้มบนใบหน้านางก็ไม่ลดถอยลงเลย ส่วนฮว่าฉุนหรานก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจ้องตามใจ

“มีดวงหน้างดงามหาใดเปรียบ ทั้งมีสมองเฉลียวฉลาดและความคิดซับซ้อนแยบคาย ในบางด้านพวกท่านก็คล้ายกันนัก” ไป๋เฟิงซีรำพันแผ่วเบา มองดวงหน้าเลิศภพจบหล้าในอุ้งมือ “หลักแหลมและเชี่ยวชาญในกลอุบาย จอมปลอม เจ้าเล่ห์ สับปลับ อีกทั้งละโมบในอำนาจราชศักดิ์ ทว่า…กลับมีดวงใจอันบอบบางละเมียดละไม”

“เป็นครั้งแรกที่มีผู้วิจารณ์ข้าต่อหน้าโดยไม่ไว้ไมตรีสักนิดเช่นนี้” ฮว่าฉุนหรานแย้มสรวล ยกมือขึ้นทาบมือไป๋เฟิงซีแล้วกุมแน่นขึ้นเล็กน้อย “แต่ข้าก็เป็นสตรีเช่นนั้นจริงๆ”

ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก จากนั้นก็ยกมุมคิ้ว “แต่เหตุใดท่านต้องพูดความจริงกับข้าด้วย ที่จริงแล้วท่านจะหาข้ออ้างอื่นก็ได้ แล้วข้าก็จะไม่สืบสาวหาความโดยเด็ดขาด”

“เพราะว่า…” ฮว่าฉุนหรานยื่นมือทั้งสองประคองดวงหน้าไป๋เฟิงซีไว้อย่างเบามือ จ้องมองตรงไปยังดวงตาซึ่งผ่านการเคี่ยวกรำของโลกทว่ายังสุกใสไร้มลทินคู่นั้นอย่างจริงจัง “ชีวิตนี้ข้าไม่เคยมีสหายที่คบหากันอย่างจริงใจเลยสักผู้เดียว มีเพียงท่าน…เฟิงซี ข้าปรารถนาให้ท่านเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของข้า ไม่ปิดบังหลอกลวงแม้เศษเสี้ยว ไม่วางอุบายหลอกใช้ มีเพียงปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจเท่านั้น”

ไป๋เฟิงซีเองก็มองดวงเนตรทั้งคู่ของนาง จ้องทะลุไปยังหัวใจผ่านทางดวงตาคู่นั้น “เพราะข้าเป็นชาวยุทธ์ จึงไม่มีวันเป็นภัยคุกคามท่านได้?”

“ใช่” ฮว่าฉุนหรานยอมรับอย่างเปิดเผย

“ประเสริฐ ข้าช่วยท่าน” ไป๋เฟิงซียิ้มเป็นประกายสดใส

และในขณะนั้น ฮว่าฉุนหรานกลับนิ่งตะลึงงัน ถึงขั้นมิอาจเรียกสติกลับมาจากรอยยิ้มนั้นของไป๋เฟิงซีได้ รอยยิ้มอันฉายขึ้นเพียงชั่วขณะนั้นเจิดจ้าบาดตา พร่างพรายสยบวิญญาณ เหตุไฉนก่อนหน้านี้นางถึงไม่สังเกตว่าแท้จริงแล้วไป๋เฟิงซีรูปโฉมเฉิดฉายหาใดเปรียบถึงเพียงนี้ มีบางสิ่งที่หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินอย่างนางมิอาจเทียบเทียมได้

“พี่สาว…พี่สาว!” เวลานี้เอง เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้น

ไป๋เฟิงซีโผนร่างกระโดดออกนอกห้องในทันใด แล้วก็พบว่าบนหลังคาศาลาอั้นเซียงมีหานผู่และเหยียนจิ่วไท่นั่งอยู่

“ผู่เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีถามด้วยความสนเท่ห์

“ฮึ ยังมิใช่เพราะท่านทิ้งข้าไว้แล้วหนีมาเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่ ตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่กลับ ข้าจึงให้พี่เหยียนช่วยพามาหาท่านอย่างไรเล่า!” หานผู่มุ่ยปาก จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาศาลา พุ่งตรงเข้าหาไป๋เฟิงซี

ไป๋เฟิงซีรับหานผู่ไว้ ต่อมาก็เรียกเหยียนจิ่วไท่ที่ยังอยู่บนหลังคา “พี่เหยียน ลำบากท่านแล้ว”

เหยียนจิ่วไท่พยักหน้าทักทาย ร่างกลับไม่เคลื่อนไหว

“แม่นางเฟิง ท่านนี้คือ?” ฮว่าฉุนหรานก็ก้าวออกมาด้านนอก มองอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญสองคนนี้ คิดว่าในวังนี้มีไป๋เฟิงเฮยซีพำนักอยู่ วันหน้าอาจมีอาคันตุกะผู้เหินเหนือชายคาเดินตามผนังมาเยือนมากขึ้น แต่กระทั่งเด็กน้อยเช่นนี้ก็ยังไปมาในวังได้ตามใจ ดูท่าการอารักขาในวังหลวงแห่งนี้ควรต้องถูกกระตุ้นเตือนจริงๆ จังๆ บ้างแล้ว!

“คนงามแซ่ฮว่า นี่คือน้องชายข้าหานผู่” ไป๋เฟิงซีหมุนร่าง ฝ่ามือตบลงบนศีรษะหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ รีบคารวะกงจู่เสียสิ พี่สาวผู้นี้งามใช่หรือไม่”

“ช่างเป็นเด็กที่คมคายดีแท้” ฮว่าฉุนหรานมองหนุ่มน้อยผู้แม้หัวคิ้วจะขมวดมุ่นเพราะถูกไป๋เฟิงซีตบศีรษะ แต่กลับยากจะบดบังความหมดจดหล่อเหลาไว้ได้ จึงออกปากชื่นชม

“เขายังอายุน้อยไปหน่อย มิฉะนั้นหากว่ากันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกกลับพอจะจับคู่กับท่านได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้มชื่นบาน

ฮว่าฉุนหรานได้แต่ใช้รอยยิ้มตอบโต้วาจาเหลวไหลของนาง

“ข้าไม่อยากคู่กับนางเสียหน่อย” ผู้ใดจะรู้ว่าหานผู่กลับประท้วงด้วยท่าทางราวกับถูกสบประมาท สตรีนางนี้มากจริตกระบิดกระบวนนัก มองแล้วรำคาญตาเหลือเกิน จะสดใสได้สักครึ่งของพี่สาวหรือก็ไม่มี!

“ไปไป๊ เด็กบ้าอย่างเจ้าสั่งสมกุศลอีกสามชาติก็ไม่มีบุญญาพอถึงขั้นนั้นหรอก!” สิ่งที่ตอบโต้ความไร้มารยาทของหานผู่ก็คือไป๋เฟิงซีเขกศีรษะเขาอย่างแรงหนึ่งที

“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่าเขกหัวข้า จะทำให้หัวทึบได้นะ” หานผู่คลำศีรษะป้อยๆ พร้อมกับร้องขึ้น

“เจ้าก็หัวทึบมากพออยู่แล้ว ทึบขึ้นอีกหน่อยจะเสียหายตรงไหนกัน” ไป๋เฟิงซีเขกอีกครา จากนั้นถึงหันไปกล่าวกับฮว่าฉุนหรานว่า “คนงามแซ่ฮว่า ข้าขอส่งเจ้าผีน้อยนี่กลับไปก่อน วันหน้าค่อยมาหาท่านใหม่”

“น้องชายท่านก็อยู่ด้วยกันเสียในวังสิ พรุ่งนี้เช้าเสด็จพ่อจะให้ท่านกับเฟิงกงจื่อเข้าพบ” ฮว่าฉุนหรานเหนี่ยวรั้ง

“ฮ่าๆๆ…โยวอ๋องทรงมีคำสั่งให้เข้าเฝ้าหรือ พบแค่จิ้งจอกดำตัวนั้นก็พอ ส่วนข้าไม่เจอก็ไม่เป็นไรหรอก” ไป๋เฟิงซีแย้มยิ้ม จูงหานผู่มาแล้วเหินร่างขึ้นเหนือหลังคา จากนั้นถึงเหลียวกลับมาถามว่า “คนงามแซ่ฮว่า ยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายทีว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยจริงหรือ”

“ต้องการ” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

“ได้ ข้าจะช่วยท่าน” ร่างไป๋เฟิงซีพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็ไม่เหลือแม้เงา เหยียนจิ่วไท่ก็ตามหลังนางไป

 

รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบหก เดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่

ห่างจากวันเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจวหนึ่งวัน เหล่าบุรุษที่มารวมกันในโยวโจวล้วนแต่กำลังถูมือถูไม้ตระเตรียมตัว ผู้ฝึกยุทธ์ก็ฝึกหมัดเท้ามากขึ้นอีกหลายกระบวน หวังว่าเมื่อถึงเวลากงจู่จะเลื่อมใสในท่วงท่าอันองอาจของตน ผู้ร่ำเรียนก็อ่านบทความ เขียนกาพย์กลอนมากขึ้นอีกหลายบท หวังว่าเมื่อถึงเวลากงจู่จะศิโรราบในสติปัญญาของตน

การได้แต่งกับหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินคือความใฝ่ฝันของบุรุษจำนวนมาก

ทว่าเช้าตรู่วันนั้นในตำหนักลั่วหวา เสียงหาวหวอดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“คนงามแซ่ฮว่า พวกนางทำอะไรบนหัวข้าตั้งชั่วยามแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ ข้านั่งเบื่ออยู่ตรงนี้จนง่วงแล้วนะ!” เสียงเบื่อหน่ายถึงขีดสุดกังวานขึ้น

น้ำเสียงใสนุ่มอ่อนหวานปลอบขึ้นทันที “อีกประเดี๋ยวเดียว จวนจะเสร็จเต็มทีแล้ว”

“สวรรค์ ที่ถืออยู่ในมือเจ้าคือสิ่งใด อย่า…อย่าปัดลงบนหน้าข้าเชียวนะ…ข้าบอกว่าอย่าปัด…หากเจ้าปัดอีกข้าจะถีบแล้วนะ…ข้าพูดจริงนะ!” เสียงอันเบื่อหน่ายข่มขู่ผู้คนอย่างอวดดี

“เอาเถิด อย่าปัดให้นางอีกเลย” เสียงนุ่มนวลรีบเอ่ยขึ้น

“อ๊า มือเจ้าถืออะไรอยู่ เฟิ่งหวงทอง! ใหญ่นัก งามนัก…อะ เจ้าทำอะไรน่ะ อย่าเอามาสวมบนหัวข้า เจ้าของนี้แม้จะสวยดีแต่หนักเกินไป…ข้าบอกว่าอย่าสวม…หนักนะ…หากเจ้าสวมอีกเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักมันเป็นสองท่อน!”

“เอาเถิด หาก ‘เฟิ่งทองเมฆาเพลิง’ หนักเกินไปก็อย่าสวมเลย เช่นนั้นสวม ‘คีรีหิมะเมฆาคล้อย’ นั่นแทนก็แล้วกัน เล็กกว่าหน่อย”

“ข้าขอเตือนพวกเจ้า อย่ามาเที่ยววาดเที่ยวแต้มบนหน้าข้า ข้ายังไม่อยากไปล้างหน้าอีกรอบ…เจ้าถืออะไรมา บอกแล้วว่าอย่าวาด…คนงามแซ่ฮว่า ท่านให้พวกนางหยุดมือที หากไม่หยุดอีกข้าจะกัดนางแล้วนะ!”

“ให้ข้าดูคิ้วหน่อย อืม ไม่เลว คิ้วเรียวยาวตามธรรมชาติ บางหนาเหมาะเจาะ ไม่ต้องเขียนแล้ว”

“กงจู่เพคะ ให้นางสวมชุดไหนดี”

“เอามาให้ข้าดู อืม…ตัวสีเหลืองไข่ห่านนี้ก็แล้วกัน”

“เสร็จหรือยังเล่า คนงามแซ่ฮว่า ท่านคิดทำอันใดกันแน่ ปลุกข้าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่…ฮ้าว…ข้าอยากนอน” เสียงหาวดังขึ้นอีกครา

“เตรียมการเพื่อวันพรุ่งนี้ ข้าอยากดูว่าเครื่องแต่งกายเช่นไรเหมาะกับท่านที่สุด”

“เป็นท่านเลือกคู่หาใช่ข้าเลือกคู่ เหตุใดข้าต้องแต่งตัวด้วย”

“ท่านรับปากจะช่วยข้า”

“เช่นนั้นก็ง่ายมิใช่หรือ ข้าซัดผู้อื่นที่นอกเหนือจากจิ้งจอกดำให้หมอบคาพื้นให้หมดก็เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นผู้ใดก็ไม่มีหน้ามาสู่ขอท่านอีก”

“ฮ่าๆๆ…ท่านช่างคิดออกมาได้ เอาล่ะ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน ให้ข้าดูหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”

“ให้ข้านอนสักงีบก่อนได้หรือไม่ ข้าง่วงยิ่งนัก…ฮ้าว…” กล่าวไม่ทันจบก็หาวขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ได้ ลงแรงกันไปตั้งมาก จะอย่างไรก็ต้องดูสักหน่อย พวกเจ้าประคองแม่นางเฟิงขึ้นที”

ฮว่าฉุนหรานออกคำสั่งแก่เหล่านางกำนัลให้ประคองไป๋เฟิงซีผู้อ่อนยวบลงกับเตียงประหนึ่งไร้กระดูกขึ้น ทว่าก็จนใจด้วยแม้นางจะถูกประคองขึ้นมาแล้ว แต่กลับศีรษะตกห้อย เอวงอ ตาปิด ทั้งร่างอิงอยู่บนร่างนางกำนัล

“หลิงเอ๋อร์ ยกขนมไข่มุกถาดนั้นเข้ามา” ฮว่าฉุนหรานสั่งอย่างราบเรียบประโยคหนึ่ง

ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมาก็เห็นผลทันควัน ไป๋เฟิงซียืนตัวตรงลืมตาทั้งสองโดยพลัน ไหนเลยจะเหลือแววง่วงเหนื่อยเมื่อยล้าเมื่อครู่ ทำให้คนทั้งหมดในห้องตกตะลึงไปชั่วขณะ

ดูประหนึ่งตุ๊กตาดินเผาตัวหนึ่ง พริบตาที่เบิกเนตรก็ใส่เอาวิญญาณลงไป ชุบให้สีสันเพริศแพร้วมีชีวิตชีวาในบัดดล พลังชีวิตไหลเปี่ยมทั่วร่าง

ขณะที่เหล่าคนในห้องยังมัวตกตะลึงอยู่นั้น ร่างสีเหลืองก็ไหววูบ ในห้องไม่เหลือเงาร่างไป๋เฟิงซี ทว่านอกตำหนักกลับมีเสียงร้องตะโกนอย่างแช่มชื่นดังขึ้น “หลิงเอ๋อร์ เจ้าเดินช้าเหลือเกิน ข้ามารับเจ้าแล้ว! ขนมไข่มุกในมือเจ้าให้ข้าช่วยถือเถิด”

“เฮ้อ!” บรรดานางกำนัลในห้องพากันถอนใจด้วยความเสียดาย

“ไป๋เฟิงซีผู้นี้…” ฮว่าฉุนหรานส่ายหน้ายิ้มปลง ทว่าในใจกลับมีความคิดหนึ่งวูบผ่าน

“แต่ไกลก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเจ้า เมื่อใดเจ้าจะสุภาพเรียบร้อยขึ้นบ้าง” เสียงอันงามสง่าของเฮยเฟิงซีลอดมาจากนอกตำหนัก

ฮว่าฉุนหรานได้ยินเข้าก็รีบสืบเท้าออกไปด้านนอก เห็นไป๋เฟิงซีกำลังนั่งก้มหน้าก้มตากินอยู่บนราวกั้น หลิงเอ๋อร์ยืนเหม่อมองนางอยู่ด้านข้าง ส่วนเฮยเฟิงซีกำลังก้าวอย่างแช่มช้ามาจากด้านหน้า

“เฟิงกงจื่อ ท่านมาดูแม่นางเฟิงซี ก่อนหน้านี้ข้าไม่นึกเลยว่าแม่นางเฟิงจะเฉิดโฉมถึงเพียงนี้” ฮว่าฉุนหรานเดินเข้าไปหาไป๋เฟิงซี หยิบขนมไข่มุกจากมือนางยื่นคืนให้หลิงเอ๋อร์ ก่อนจะยกมือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเศษขนมที่มุมปากนางออก แล้วดึงนางให้ลงจากราวกั้นมายืนบนพื้น

“จิ้งจอกดำตัวนี้ดีแต่มาทำลายเรื่องดีของข้า” ไป๋เฟิงซีโอดครวญ สายตาจับจ้องขนมไข่มุกในมือหลิงเอ๋อร์อย่างอาลัยอาวรณ์

ฮว่าฉุนหรานจับดวงหน้าของนางให้หันไปทางเฮยเฟิงซีที่กำลังเดินเข้ามา ครั้นเห็นเฮยเฟิงซีที่ใกล้เข้ามาทีละก้าวๆ ดวงตาของไป๋เฟิงซีก็กลอกกลิ้ง พลันยิ้มอย่างหยดย้อยคราหนึ่ง คารวะอย่างสวยงาม “คารวะเฟิงกงจื่อ”

ในหนึ่งยิ้มหนึ่งคารวะนี้สมบูรณ์พร้อมด้วยจริยา

เฮยเฟิงซีหยุดฝีเท้าลงยังตำแหน่งที่ห่างออกไปหนึ่งจั้ง มองไป๋เฟิงซีที่ยืนอย่างแช่มช้อย คิ้วเรียวยาว ดวงตาสุกใส ดวงหน้าผ่องดั่งหยก ริมฝีปากแดง ผมดำสลวยดุจแพรไหมรวบเป็นมวยอันวิลาส ตกแต่งเล็กน้อยด้วยปิ่นมุก ชุดสีเหลืองไข่ห่านอย่างชาววังแทนที่อาภรณ์ขาวหลวมโพรก สายคาดแพรนุ่มๆ คาดเอวอ้อนแอ้นไว้ ขับให้เห็นเรือนร่างโปร่งบางแน่งน้อยของนาง แย้มยิ้มพริ้มเพรา เนตรงามวิบไหวประหนึ่งกล้วยไม้งามในหุบเขาเปลี่ยวร้าง งามผุดผาดอย่างวิเศษ

“เฟิงกงจื่อรู้สึกเป็นเช่นไร” สายตาฮว่าฉุนหรานจับอยู่บนใบหน้าเฮยเฟิงซีนิ่ง หมายจะค้นหาบางสิ่งจากบนนั้น ทว่าจนใจที่ใบหน้าเขาประดับยิ้มจางๆ เสมอ แววตาไร้ระลอกไหว เสมือนว่าไป๋เฟิงซีที่เบื้องหน้าปกติอย่างไม่อาจปกติยิ่งกว่านี้ได้

“มีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ว่า ‘สวมเสื้อคลุมมังกรก็ไม่คล้ายไท่จื่อ’ มิได้หมายถึงคนตรงหน้านี้หรอกหรือ” เฮยเฟิงซีหลุบดวงตา จับขลุ่ยหยกขาวในมือเล่น

“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า เจ้าลงแรงเสียเปล่าแล้ว” ไป๋เฟิงซีเปล่งเสียงหัวเราะ ทำลายบุคลิกสูงสง่านั่นจนสิ้นซาก นางยกมือดึงปิ่นมุกบนศีรษะออก ทันใดนั้นผมยาวสลวยก็สยายลงมา ทรงผมที่ทุ่มเทเวลากว่าครึ่งชั่วยามจัดแต่งขึ้นก็ทลายลงโดยพลัน นางกระโดดกลับขึ้นไปนั่งบนราวกั้น เรียวขายาวที่ลอยอยู่กลางอากาศปัดป่ายไปมา “คนงามแซ่ฮว่า ข้ารับปากว่าจะช่วยท่านก็จะช่วยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสวม ‘เสื้อคลุมมังกร’ นี้หรอก”

“เฟิงกงจื่อเข้าใจล้อเล่นนัก” ฮว่าฉุนหรานดวงพักตร์ดั่งบุปผา ทั้งบุปผาในใจก็ผลิบาน

“กงจู่มีเรื่องอันใดให้ช่วยหรือ” เฮยเฟิงซีมองไปทางฮว่าฉุนหราน

“ไม่มี เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ฮว่าฉุนหรานยกแขนเสื้อปิดปากแล้วแย้มสรวล ดวงตางามคู่นั้นเหลือบมองเฮยเฟิงซีคราหนึ่ง ความนัยในนั้นเข้มข้นดั่งเมรัยเลิศรสที่จะมอมเมาจิตใจให้เคลิ้มหลง

“อ้อ” เฮยเฟิงซีพยักหน้าราวกับไม่ใส่ใจ โบกขลุ่ยหยกในมือพลางกล่าวว่า “เร็วๆ นี้พบบันทึกทำนองเพลงโบราณซึ่งหายสาบสูญไปแล้วในหอหลินหลาง (หยกอำไพ) ของวังท่าน ขอกงจู่ลองฟังดูสักคราเป็นอย่างไร”

“เป็นโชคดีของฉุนหราน” ฮว่าฉุนหรานยิ้มอย่างชดช้อย

“เชิญกงจู่” เฮยเฟิงซีเบี่ยงกายหลีกทางให้

ครั้นแล้วทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปทางศาลาชวีอวี้

ไป๋เฟิงซีมองเงาร่างที่ห่างออกไปของทั้งสอง หมุนปิ่นมุกในมือเล่นเบาๆ ดวงหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รำพึงรำพันอย่างแผ่วเบาว่า “นี่นับว่าหนุ่มมีจิตสาวมีใจ ฉินเซ่อ บรรเลงประสานได้หรือไม่นะ”

 

เดือนสาม วันที่ยี่สิบห้า วันเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง

กล่าวกันว่าผู้ที่เดินทางจากแคว้นต่างๆ ในต้าตงมาสู่ขอกงจู่นับได้ด้วยหลายพัน ทว่าสุดท้ายผู้ที่ผ่านการคัดกรองหลายต่อหลายชั้นจากเจ้ากรมวังบัดนี้เหลือเพียงหนึ่งร้อยคน และทั้งหนึ่งร้อยคนนี้นับได้ว่าเป็นยอดคนในประดายอดคน มียอดชาวยุทธ์ผู้วรยุทธ์สูงล้ำ มีคหบดีใหญ่ผู้มั่งมีเทียมฟ้า มีขุนนางตำแหน่งสูงในราชสำนัก และมีกงจื่อชาติกำเนิดสูงศักดิ์…ล้วนแล้วแต่โดดเด่นทางบุ๋นและบู๊ต่างกันไป และวันนี้กงจู่ก็จะให้ทั้งหนึ่งร้อยคนเข้าเฝ้า ณ ตำหนักจินหวา (จารุจำรัส) ถึงเวลานั้นนางจะทดสอบความรู้และวรยุทธ์ของพวกเขา เฟ้นหาผู้ที่ต้องใจแล้วมอบพู่กันทองคำให้เพื่อเลือกเป็นสามี

ด้วยเหตุนี้ตำหนักจินหวาที่ยามปกติแลดูเงียบเหงาวันนี้จึงครึกครื้นถึงสิบส่วน มองไปทางใดก็มีผู้คนเดินสวนไปมา

บูรพาทิศแห่งตำหนักจินหวามีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง นามว่าทะเลสาบหล่านเหลียน (เก็บจงกล) รอบทะเลสาบสร้างเป็นศาลาราย กลางทะเลสาบมีศาลากลางน้ำสัณฐานหกเหลี่ยมสูงราวสามจั้ง นามว่าแท่นไฉ่เหลียน (เด็ดจงกล) หากดูชื่อแล้วคำนึงถึงความหมายจะต้องหลงนึกว่าทะเลสาบนี้ปลูกดอกบัวไว้เต็มเป็นแน่ แต่แท้ที่จริงหาใช่ไม่ กลางทะเลสาบหล่านเหลียนจะมีปทุมสักดอกก็หามิได้ แต่เป็นแท่นหกเหลี่ยมที่ก่อขึ้นจากศิลาขาว แต่ละด้านมีกลีบโค้งทรงจันทร์เสี้ยวยื่นออกจากผิวน้ำ งอนเข้าหายอดศาลา ลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ขาวหิมะหกกลีบ หลังคาศาลาก็ประดับด้วยกระเบื้องสี ดูประหนึ่งเกสรสีเหลืองของดอกไม้ มองจากไกลๆ ศาลากลางน้ำนี้ก็เป็นดั่งบัวดอกหนึ่งซึ่งบานสะพรั่งอยู่กลางทะเลสาบ

โยวอ๋องสั่งให้สร้างตำหนักนี้ก็เพื่อให้ฉุนหรานกงจู่ธิดาแสนรักใช้เป็นที่อยู่เมื่อแต่งงาน ดังนั้นเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นจึงให้นางตั้งนามแก่ทะเลสาบและศาลากลางน้ำ ฉุนหรานกงจู่จึงตั้งชื่อศาลานี้ว่าแท่นไฉ่เหลียน ทะเลสาบก็ให้ชื่อว่าทะเลสาบหล่านเหลียน

แท่นไฉ่เหลียนตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ ห่างจากริมฝั่งราวห้าจั้ง และหาได้สร้างสะพานเชื่อมไม่ เหตุเพราะฉุนหรานกงจู่กล่าวว่าศาลานี้อยู่กลางทะเลสาบดั่งผลงานธรรมชาติ หากสร้างสะพานจะทำลายเสน่ห์ของมัน ดังนั้นยามปกติก็ล้วนแต่ใช้นาวาลำน้อยเป็นพาหนะ

วันนี้ผิวทะเลสาบหล่านเหลียนมีดอกโบตั๋นดอกแล้วดอกเล่าลอยล่องอยู่ ล้วนแต่เป็นดอกไม้ที่นางกำนัลตำหนักจินหวาเด็ดมาจากอุทยานตั้งแต่เช้าตรู่แล้วนำมาโปรยไว้ยังผิวทะเลสาบ ประดับให้ผิวน้ำเสมือนร้อยบุปผาตระกองจงกล

บัดนี้ศาลารายยาวเหยียดที่ล้อมรอบทะเลสาบไว้เต็มไปด้วยบุรุษผู้ประสงค์มาสู่ขอ ทุกสามเชียะจะจัดที่นั่งไว้หนึ่งที่ แต่ละที่มีบุรุษนั่งหนึ่งคน เบื้องหน้าของทุกคนมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาว ด้านขวาของโต๊ะมีเมรัยเลิศรสอาหารเอมโอช ด้านซ้ายมีสี่สมบัติล้ำค่าในห้องหนังสือ จัดเรียงอยู่ ส่วนแท่นไฉ่เหลียนกลางทะเลสาบมีแพรไหมโปร่งบางห้อยอยู่โดยรอบ ราวกับก่อกำแพงผ้าไว้รอบศาลาชั้นหนึ่ง บดบังคนงามกลางศาลาไว้ สายลมโชยเอื่อย แพรบางเริงระบำ เผยให้เห็นชายอาภรณ์แถบหนึ่งเป็นครั้งคราว เหล่าบุรุษผู้หมายสู่ขอซึ่งอยู่ในศาลารายมิมีผู้ใดไม่ยืดคอใคร่ยล ทว่าคนงามกลับเร้นกายอยู่หลังม่าน ชวนให้คันในหัวใจสุดจะทานทน

“วีรบุรุษผู้กล้าทุกท่าน ฉุนหรานขอคารวะ ณ ที่นี้” เสียงใสกังวานของสตรีดังขึ้นจากกลางศาลา ในม่านแพรโปร่งบางมีเงาร่างอรชรโค้งคารวะอย่างชดช้อย

เมื่อได้ยินเสียงอันเสนาะโสตถึงเพียงนี้ จิตใจของทุกคนก็มีอันต้องหวั่นไหว ลอบคิดว่าเสียงยังไพเราะเช่นนี้ กงจู่จะต้องงามยิ่งกว่า เมื่อคิดจินตนาการถึงดวงพักตร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งไร้ที่สองในใต้หล้าแล้ว ทุกคนก็หัวใจเต้นรัวแรง ตื่นเต้นสุดประมาณ ต่างพากันลุกขึ้นคารวะ

“คารวะกงจู่!”

ในบรรดาผู้คน บ้างก็ลุกขึ้นคารวะ บ้างก็แค่โค้งกายน้อยๆ เป็นการทักทายตอบ

“วันนี้โชคดีได้พบยอดคนจากแคว้นต่างๆ ฉะนั้นฉุนหรานจึงขอบรรเลงสักเพลงเพื่อแสดงความจริงใจ ขอทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย” คนงามแย้มวจีดั่งสกุณาขับขาน นุ่มนวลมีมารยาท

“ประเสริฐ!”

หนึ่งในนั้นมีผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดังว่า “แม้ไม่อาจเป็นเขยแห่งโยวอ๋อง ทว่าได้สดับทำนองฉินของกงจู่ก็ไม่นับว่าเสียชาติเกิดแล้ว!”

เมื่อสิ้นเสียงคนผู้นั้น หลายคนก็คล้อยตาม “กล่าวมีเหตุผล!”

“เพียงมิรู้ว่ากงจู่จะบรรเลงบทเพลงใดให้พวกเราได้ฟัง” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น

ในศาลารายหลังที่อยู่ตรงกันข้ามกับแท่นไฉ่เหลียนพอดี บุรุษอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งยืนพิงราวกั้น เมื่อครู่เขาเป็นผู้ส่งเสียงถาม ยามนี้สายตาของเขาพุ่งตรงไปยังศาลากลางน้ำ คมกริบจนคล้ายจะสามารถมองทะลวงผ่านม่านโปร่งบางไปเห็นถึงด้านในศาลาได้อย่างชัดเจน

“ศาลาแห่งนี้มีนามว่าแท่นไฉ่เหลียน ดังนั้นฉุนหรานจะบรรเลง ‘จงกลครวญ’ มิทราบหวงซื่อจื่อเห็นเช่นไร”

กลางศาลา ไป๋เฟิงซีมองผ่านมุมหนึ่งของแพรบางไปยังหวงเฉา แม้จะมีระยะทางเจ็ดจั้งกั้นขวางอยู่ แต่นางกลับเห็นแววหยิ่งทะนงไม่เห็นใต้หล้าอยู่ในสายตาบนใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน จึงอดยิ้มน้อยๆ มิได้

“ยอดเยี่ยม” หวงเฉาพยักหน้าดุจราชันประทานราชานุญาต เขาหมุนร่างกลับไปนั่งที่ ยกมือถือกา ทว่าพลันวางลงแล้วหันหน้าไปยังเบื้องหลัง “อู๋หยวน เจ้าจะไม่ออกมาชมโฉมคนงามผู้มีนามกระเดื่องทั่วหล้าด้วยตาสักหน่อยจริงๆ หรือ”

“ไม่ต้อง อันว่ารูปเกิดจากจิต ข้าย่อมรู้ถึงรูปลักษณ์ของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าได้จากเสียงฉิน” ทางเดินติดศาลารอบทะเลสาบมีม่านไม้ไผ่กั้นไว้ คนผู้นั้นนั่งอยู่ด้านหลังม่าน มองเมฆาที่เคลื่อนคล้อยยังขอบฟ้าอย่างสงบนิ่ง

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ได้ยินวาจานี้ ไป๋เฟิงซีก็อดสะดุ้งในหัวใจมิได้ สดับจิตแห่งฉินรู้ถึงคน? อวี้อู๋หยวน? เขาก็มาด้วย?

เหตุที่นางมานั่งอยู่ ณ ที่นี้แทนฮว่าฉุนหรานก็เพราะรับปากจะช่วย ทว่าในส่วนลึกของหัวใจคิดจะกลั่นแกล้งคนเหล่านี้ แต่ยามนี้นางกลับอยากจะบรรเลงฉินให้ดีเป็นพิเศษขึ้นมากะทันหัน บรรเลงหนึ่งบทเพลงนี้ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีแล้วฟังว่าบุคคลผู้นั้นจะตีค่านางเช่นไร

ปลายนิ้วกรีดเบาๆ เสียงฉินแหวกผ่านอากาศ บทเพลง ‘จงกลครวญ’ พลิ้วไหวใสกังวานถูกปลดปล่อยออกมาจากนิ้วดั่งสายน้ำไหล

ชั่วขณะที่เสียงฉินเข้าสู่โสต คนในศาลารายริมน้ำก็รู้สึกประหนึ่งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นเขียวน้ำใส มวลหมู่บงกชผลิกลีบสะพรั่ง เกสรอ่อนนุ่มส่งกลิ่นหอมมาเป็นสาย ใบบัวเขียวชอุ่มส่ายไหวน้อยๆ ตามแรงลม ผีเสื้อหลากสีบินวนรอบผกา สายลมโชยเอื่อย ชายเสื้อปลิวไหว ขณะกำลังชื่นบานสราญใจก็พลันเห็นนาวาลำน้อยซึ่งมีคนงามอยู่ผู้หนึ่ง เปรียบได้ดั่งบงกช ชดช้อยดุจหิมะปลิดปลิว เลื่อนไหลอย่างมังกรประเปรียว ลีลางามระหงอย่างวิหคผกโผ รอยแย้มยิ้มละมุนละไมถ่ายทอดอารมณ์หวั่นไหว ดูน่าสนิทพิสมัยชวนให้อยากจับจูงมือเนียนขาวและร่วมเคลิบเคลิ้มไปกลางสระจงกล…

ชั่วขณะนั้นทุกผู้ทุกนามล้วนหลงใหลไปกับเสียงฉิน พากันตรึงสายตาอยู่ที่แท่นไฉ่เหลียนอย่างหลงงมงาย ม่านไม้ไผ่ด้านหลังหวงเฉาก็ไหวน้อยๆ สุดท้ายเงาเลือนรางนั้นก็ก้าวออกมาจากหลังม่าน หยัดกายตระหง่านอยู่หน้าราวกั้น

สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่าน เห็นชัดตาในคราเดียว หัวใจนางกระตุกวาบ ปลายนิ้วสั่นสะท้าน ทำให้สำเนียงผิดเพี้ยนไป ไม่ต้องพิศมองก็รู้ว่าคิ้วเรียวยาวของคนผู้นั้นขมวดน้อยๆ

นางสูดลมหายใจ หลับตา สงบจิต

มือมั่นคงดังเดิมในพริบตา หัวใจใสกระจ่างดุจคันฉ่อง เสียงฉินเปลี่ยนจากสูงสง่าละมุนละไมกลายเป็นปลอดโปร่งผ่าเผย เหินสู่กลางหาวอย่างเสรี ไร้กรอบเกณฑ์ให้ยึดติด ไร้ร่องรอยให้เสาะหา สำเนียงอันใสบริสุทธิ์แปลงเป็นลมเย็นพัดโหม แปลงเป็นเมฆาฟูฟ่องล่องลอย แปลงเป็นสายฝนพรำอันเย็นชื่นหอมหวาน แปลงเป็นหิมะแรกอันผุดผ่องปราศจากราคี…โบยบินไปทั่วผืนฟ้าแผ่นดินตามใจปรารถนา…

เมื่อท่วงทำนองจบลง ทั้งทะเลสาบหล่านเหลียนก็มีเพียงความเงียบสงัด หามีผู้ใดกล้าส่งเสียงไม่ ทั้งราวกับดื่มด่ำอยู่ในเสียงฉิน ทั้งราวกับมิกล้าทำลายบรรยากาศงดงามอันเสียงฉินสรรค์สร้างขึ้น

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! บทเพลงนี้สดชื่นเบิกบานไม่สามัญ พลิกแพลงไม่ตายตัว สามารถถ่ายทอดอารมณ์อันเหนือล้ำออกมาได้” หวงเฉาชื่นชมขึ้นเป็นผู้แรก “อู๋หยวน เจ้าว่าอย่างไร”

อวี้อู๋หยวนจับจ้องไปยังแท่นไฉ่เหลียนอยู่เป็นนาน จากนั้นถึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน เสียงฉินไม่เป็นสอง”

หัวใจไป๋เฟิงซีสั่นไหว เหลือบตาขึ้นมอง เบื้องหน้าม่านไม้ไผ่มีเงาร่างสีขาวยืนอยู่ อาภรณ์เรียบไร้เครื่องตกแต่ง คนบริสุทธิ์ดุจหยก

บทที่ 15 บุปผางามบนกิ่งสูงใครชิงเด็ด

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” ผู้คนที่เหลือพลันได้สติ ชื่นชมโดยพร้อมเพรียง “ทักษะทางฉินของกงจู่สูงล้ำนัก!”

“ฉุนหรานฝีมืออ่อนด้อย ทำให้หูตาของทุกท่านเป็นมลทิน” ไป๋เฟิงซีนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะวางฉิน เอ่ยคำอันฮว่าฉุนหรานพึงกล่าว แต่มือทั้งสองอดถูลำแขนที่ขนลุกชูชันไม่ได้

ทว่าเมื่อได้สดับวาจานี้แล้ว หวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็เป็นต้องสบตากัน กงจู่แห่งโยวโจวคนนี้ถึงกับมีกำลังภายในลึกล้ำยิ่ง มิฉะนั้นท่ามกลางเสียงอึงอล เสียงของนางไหนเลยจะยังใสชัดดั่งกระซิบข้างหูเช่นนี้ได้

“กงจู่ทรงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงเรา พวกเราเลื่อมใสมานาน ใคร่ได้ยลสิริโฉมของกงจู่กับตาสักครา แต่กลับมิรู้ว่าจะมีโชคหรือไม่” คนผู้หนึ่งพลันเสนอขึ้น

เมื่อวาจานี้หลุดออกไปก็มีเสียงสนับสนุนทันที “ใช่แล้ว ขอกงจู่โปรดให้พวกกระหม่อมได้ยลสิริโฉมสักคราเถิด! เขยแห่งโยวอ๋องมีได้เพียงผู้เดียว หากพวกกระหม่อมไม่ผ่านการคัดเลือก แต่ได้เห็นดวงพักตร์ของกงจู่สักครา เช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้ว!”

ในบรรดาผู้มาสู่ขอก็มีผู้มาเพียงเพื่อหวังจะได้ยลรูปโฉมวิลาสของคนงามสักครั้งอยู่ไม่น้อย

“ทุกท่าน หลังจากฉุนหรานคัดเลือกสามีแล้วก็ย่อมพบหน้ากับทุกท่านเอง ดังนั้นโปรดอดใจรอสักครู่เป็นอย่างไร” เสียงใสกังวานกลบเสียงอื้ออึงจนมิด ก้องไปทั่วทุกมุมของทะเลสาบหล่านเหลียน

“เช่นนั้นก็ขอกงจู่ทรงเร่งพระราชทานโจทย์เถอะ!” คนทั้งปวงเอ่ย

“ได้!” ไป๋เฟิงซีตอบเสียงดังลั่นท่าทางลืมตัว แล้วก็ต้องตกใจรีบยกมือปิดปาก แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าคนนอกศาลาจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางหรือก็ไม่ จึงเอนกายพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ส่วนน้ำเสียงยังคงสง่างาม “แต่ยังเยาว์ฉุนหรานก็ตั้งมั่นไว้ว่าจะเลือกสามีผู้บริบูรณ์ด้วยบุ๋นและบู๊ ด้วยเหตุนี้หากจะเป็นสามีของฉุนหราน จำต้องทำสองเรื่องให้บรรลุ”

“มีแค่สองเรื่องเองรึ เช่นนั้นหากทุกคนล้วนบรรลุได้จะทำเช่นไรเล่า”

ทุกคนได้ยินคำก็รู้สึกคล้ายกับง่ายดายถึงสิบส่วน จึงพากันตั้งปุจฉา

“ทุกท่านขอโปรดฟังฉุนหรานให้จบก่อน” ไป๋เฟิงซีลอบขบฟัน แอบผรุสวาทบุรุษใจร้อนเหล่านี้อยู่ในใจ ขนาดคนงามแซ่ฮว่ามิได้อยู่ที่นี่ยังลืมตัวกันถึงเพียงนี้ หากอยู่จริงขึ้นมาจะมิหนักข้อไปใหญ่หรือ “เรื่องแรกขอให้ทุกท่านกระโดดจากตำแหน่งที่ตนอยู่มายังแท่นไฉ่เหลียนนี้ ระหว่างทางสามารถแตะผิวน้ำเหยียบดอกไม้ยืมแรงข้ามทะเลสาบได้ แต่ห้ามใช้วัตถุสิ่งของอย่างอื่น ผู้ใดตกน้ำก็จะเสียสิทธิ์ทันที”

เมื่อวจีนี้ถูกเปล่งออก คนทั้งหลายก็พากันลุกขึ้นคะเนระยะห่างระหว่างตนและแท่นไฉ่เหลียน มองปราดเดียวก็ใบหน้าไร้สีไปในทันใด

จากศาลารายไปถึงแท่นไฉ่เหลียนอย่างน้อยก็ห่างไปเจ็ดจั้ง ยอดฝีมือในยุทธภพโดยทั่วไปหากฝึกวิชาตัวเบาจนถึงขั้นกระโดดคราเดียวได้สามสี่จั้งก็ถือสำเร็จวิชาขั้นสูงแล้ว ส่วนผู้ที่ฝึกได้ไกลถึงห้าหกจั้งก็เรียกได้ว่าเป็นขั้นเลิศ ส่วนผู้ที่ฝึกได้ไกลถึงเจ็ดจั้งก็น้อยจนงอนิ้วนับได้ ต่อให้สามารถแตะจอกแหนหรือดอกไม้ยืมแรงข้ามน้ำได้ ทว่าหลังจากเจ็ดจั้งนี้ยังมีแท่นไฉ่เหลียนสูงสามจั้งนั่นอีก

เช่นนี้ผู้ใดเล่าจะสามารถทำได้

ชั่วขณะนั้นในศาลาริมน้ำก็เกิดเสียงทอดถอนใจดังขึ้นตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง

ขณะที่ทุกคนกำลังลำบากใจอยู่นั้นเอง เสียงใสก็ดังขึ้นจากศาลากลางน้ำอีกครา “ในกาลก่อนซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจวในวัยสิบปีได้นิพนธ์ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ความสามารถสยบยอดขุนนางฝ่ายบุ๋น ฉะนั้นเรื่องที่สองฉุนหรานจึงขอให้ทุกคนใช้ ‘วิเคราะห์การปกครอง ณ แท่นไฉ่เหลียน’ เป็นหัวข้อ เขียนบทความที่เหนือล้ำกว่า ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ภายในหนึ่งชั่วยาม” ไป๋เฟิงซีถูลำแขนอีกคำรบ รู้สึกเพียงว่าการเอ่ยวาจาเหล่านี้ชวนให้สั่นสะท้านยิ่ง “ผู้ที่สามารถทำสองเรื่องนี้ให้บรรลุได้จะได้เป็นสามีของฉุนหราน”

เมื่อเอ่ยเรื่องที่สองนี้ออกไป คนทั้งหลายก็ส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่อีกครา

ซีอวิ๋นกงจู่นิพนธ์ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ เมื่อบทนิพนธ์นี้กำเนิดขึ้น ขุนนางบุ๋นอันดับหนึ่งแห่งชิงโจวก็ยอมศิโรราบ และแต่ไหนแต่ไรมาความรู้ของชาวชิงโจวก็นับว่าเป็นราชาแห่งหกแคว้น แม้ในผู้คนจำนวนนี้จะมีผู้ที่ทระนงในปัญญาความรู้ของตนอยู่ แต่เมื่อนึกถึงว่าต้องเขียนบทความที่ล้ำเลิศกว่าบทนิพนธ์ของซีอวิ๋นกงจู่ผู้มีอัจฉริยภาพเกริกก้องไปทั่วหล้าภายในหนึ่งชั่วยาม ก็ล้วนแต่ใจเต้นดั่งรัวกลอง

“ทุกท่านมีความมั่นใจว่าจะทำสองเรื่องนี้ให้บรรลุได้หรือไม่” ไป๋เฟิงซีนั่งฟังเสียงทอดถอนใจของผู้คนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ สายตากวาดไปทางหวงเฉาและอวี้อู๋หยวน คนทั้งสองนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ท่าทางผ่อนคลายชื่นบาน

“ได้! ในเมื่อกงจู่ทรงเสนอ กระหม่อมหมิงเยวี่ยซานก็จะทุ่มเทสุดกำลังลองดูสักครา!” บุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกผู้หนึ่งโผนร่างขึ้นไปยืนอยู่บนราวกั้นของศาลาราย อาภรณ์พลิ้วไหว คิ้วคมคายดวงตาสุกใส โดดเด่นมิใช่ชั่ว

“ที่แท้ก็นายน้อยแห่งสกุลหมิง” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคนผู้นั้นคราหนึ่งพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้นฉุนหรานก็จะรอต้อนรับการมาเยือนอยู่ตรงนี้”

“ประเสริฐ!” หมิงเยวี่ยซานคำรามลั่น จากนั้นก็ขยับแขนสำแดงกระบวนท่า ท่าร่างของเขาสง่าผ่าเผย กระโดดคราเดียวไกลถึงสี่จั้ง ระหว่างทางร่วงลงยังผิวน้ำ ปลายเท้าแตะโบตั๋น บุปผาจมลงสู่ทะเลสาบ ส่วนร่างของเขากลับทะยานสูง เหินตรงขึ้นสู่แท่นไฉ่เหลียน ทว่าเมื่อจวนจะได้ทิ้งร่างลงบนแท่น แรงส่งกลับหมดสิ้น ร่างดิ่งลงด้านล่าง ในเสี้ยววินาทีสำคัญเขาก็ยื่นฝ่ามือไปพาดบนเสาของศาลา จากนั้นยืมแรงส่งตัว ร่างจึงเหินขึ้นอีกครั้งแล้วทิ้งตัวลงบนราวกั้นของศาลากลางน้ำ

“ฝีมือยอดเยี่ยม!”

ผู้คนในศาลารายเห็นแล้วต่างก็ปรบมือชื่นชม กระทั่งหวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็พยักหน้ายิ้มน้อยๆ

“กงจู่ เยวี่ยซานแม้จะเหยียบลงบนแท่นไฉ่เหลียนได้ ทว่าสุดท้ายกลับจำต้องยืมแรงจากเสา เรื่องแรกนี้จึงนับว่าไม่ผ่านด่าน” หมิงเยวี่ยซานเอ่ยพลางกำหมัดคารวะเงาร่างหลังผ้าม่าน “เยวี่ยซานมาครั้งนี้หาได้เพ้อฝันอาจเอื้อมเป็นเขยแห่งโยวอ๋อง หวังเพียงแต่ได้ยลสิริโฉมงามล่มเมืองของกงจู่ ขอกงจู่ทรงให้พบสักครา เยวี่ยซานแม้ล้มเหลวก็ยังยินดี”

“นายน้อยหมิง” คนงามหลังม่านกระซิบเสียงแผ่วเบา “หลังจากท่านกระโดดครั้งแรกไกลสี่จั้งก็ยืมแรงจากดอกไม้กระโดดอีกสามจั้ง พอให้เห็นได้ว่าที่วิชาตัวเบาแหนครามข้ามวารีแห่งสกุลหมิงของท่านได้สมัญญาเป็นยอดวิชาแห่งยุทธภพหาใช่ชื่อเสียงอันปลอมเปล่า ทว่าพื้นรองเท้าของท่านเปียกจนสิ้น คิดว่าคงฝึกถึงเพียงขั้นที่เจ็ด หาไม่แล้วท่านต้องกระโดดได้จนครบห้าจั้งจึงค่อยยืมแรง เมื่อท่านไม่อาจบรรลุเงื่อนไขของฉุนหราน เช่นนั้นฉุนหรานจึงมิอาจพบกับท่านในเวลานี้ได้”

“ที่แท้กงจู่ก็ถ่องแท้ในวรยุทธ์เช่นกัน เยวี่ยซานละอายนัก” หมิงเยวี่ยซานน้อมกาย “เยวี่ยซานขอลาเพียงเท่านี้”

“ได้ ฉุนหรานขอส่งท่านครึ่งหนึ่ง”

ทันทีที่สิ้นคำก็เห็นเพียงม่านโปร่งบางในศาลาปลิวสะบัด หมิงเยวี่ยซานรู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังสายหนึ่งพัดเข้าใส่หน้า เขาผงะถอยตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าตนถอยมาถึงขอบศาลาแล้วก็รีบเดินลมปราณ สำแดงท่าร่างเหินเข้าริมฝั่ง ระหว่างทางคล้ายมีบางสิ่งดันจากด้านหลังให้เขาเคลื่อนไปข้างหน้า เพียงชั่วพริบตาก็กลับมาถึงศาลารายริมน้ำในตอนแรกได้อย่างราบรื่น

“กงจู่วรยุทธ์สูงล้ำถึงเพียงนี้ เยวี่ยซานขอศิโรราบ”

เวลานี้หมิงเยวี่ยซานรู้แล้วว่าวรยุทธ์ของกงจู่ในศาลากลางน้ำเหนือล้ำกว่าเขามาก ดังนั้นจึงยอมรับหมดหัวใจ ส่วนคนที่เหลือเมื่อเห็นว่านายน้อยสกุลหมิงซึ่งลือนามในยุทธภพด้วยวิชาตัวเบาก็ยังมิอาจทำได้สำเร็จ ก็ประเมินฝีมือของตนแล้วพากันระย่อ

“ฉุนหรานกงจู่ผู้นี้วรยุทธ์ล้ำเลิศขนาดนี้เชียวรึ” สายตาหวงเฉาจับนิ่งอยู่ที่แท่นไฉ่เหลียน

“ไฉนจึงมิเคยได้ยินมาก่อนเลย” อวี้อู๋หยวนก็เคลือบแคลงอยู่บ้าง

“ไม่ทราบทุกท่านมีผู้ใดใคร่ทดสอบวิชาตัวเบาอีกหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเกี่ยวผมปอยหนึ่งมาจับเล่นในมือ กระทั่งหมิงเยวี่ยซานยังไม่ไหว เช่นนั้นในบรรดาคนกลุ่มนี้นอกจากหวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็มิมีผู้ใดมีความสามารถถึงขั้นนี้แล้ว ส่วนหวงเฉานั้น…ไป๋เฟิงซีหัวเราะอย่างแผ่วเบา

คนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจู่ถามแต่กลับไม่กล้าตอบ จะให้ตอบว่ามิมีผู้ใดแล้ว เช่นนั้นก็ขลาดเขลาเกินไป ครั้นจะตอบว่ามี ทว่าตนจะมีความสามารถเช่นนั้นก็หาไม่ ชั่วขณะนั้นจึงพากันนิ่งงัน

“แต่ยังเยาว์ฉุนหรานก็ตั้งมั่นไว้ว่าจะตบแต่งให้แก่วีรบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากมิอาจบรรลุได้ ฉุนหรานก็ยอมเดียวดายจนแก่เฒ่า หากทุกท่านมิอาจข้ามทะเลสาบนี้ เห็นทีครานี้ฉุนหรานคงไม่อาจเลือกสามีได้เสียแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจากงจู่ ผู้คนก็อดร้อนใจมิได้ งานชุมนุมเลือกคู่ครั้งใหญ่หรือจะให้สิ้นสุดลงอย่างขลาดเขลาปานนี้?

“กงจู่ กระหม่อมซานเยี่ยเฉิงมีคำถามข้อหนึ่ง” บุรุษหนุ่มแต่งองค์อย่างผู้ชำนาญทางบุ๋นก้าวมาถึงหน้าราวกั้นแล้วส่งเสียงขึ้น

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นท่านอาจารย์ซานผู้โด่งดังแห่งเป่ยโจว มิทราบท่านมีสิ่งใดจะซักถามหรือ”

“โจทย์สองข้อที่กงจู่พระราชทานให้นั้นยากแท้ที่พวกกระหม่อมจะทำให้บรรลุได้ ดังนั้นจึงใคร่ขอถามกงจู่ว่าสองเรื่องนี้มีผู้ใดเคยทำได้หรือไม่ หากมิมีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นพวกกระหม่อมก็ต้องบังอาจสงสัยว่ากงจู่ทรงเพียงแต่ประสงค์จะกลั่นแกล้งพวกกระหม่อมเท่านั้น!” ซานเยี่ยเฉิงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ท่านอาจารย์ซานความคิดละเอียดลออยิ่ง! ทว่าฉุนหรานสามารถแจ้งแก่พวกท่านได้ว่าทั้งสองเรื่องนี้ล้วนแต่มีผู้ทำได้ ไม่นานมานี้ฉุนหรานได้ผูกไมตรีเป็นสหายกับคนผู้หนึ่ง แม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับสามารถกระโดดรวดเดียวจากศาลารายมาถึงแท่นไฉ่เหลียนได้โดยมิต้องยืมแรงจากสิ่งใด” เสียงอันลอดจากหลังม่านโปร่งบางฉายแววขบขันบางอย่าง

“คือผู้ใดรึ” หมิงเยวี่ยซานหลุดปากถามขึ้น วิชาตัวเบาของสกุลเขาเป็นหนึ่งในยุทธภพ แม้แต่เขายังยากจะข้ามทะเลสาบได้ แต่กลับมิรู้เลยว่าจะมีสตรีนางใดที่มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศถึงเพียงนี้

“ไป๋เฟิงซี” ไป๋เฟิงซีถูท่อนแขนอีกคำรบ ที่แท้ความรู้สึกเมื่อยกยอตัวเองก็เป็นเช่นนี้เอง

“เป็นนาง!” ทุกคนล้วนตกตะลึง จากนั้นก็พากันโล่งใจ

จอกสุราในมือหวงเฉาสั่นสะท้าน เมรัยกระฉอกออก

“ที่แท้ไป๋เฟิงซีก็อยู่ในโยวโจวจริง ดูท่าคงยังอยู่ในวังโยวอ๋องด้วยกระมัง” อวี้อู๋หยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง

“เช่นนั้นผู้ใดเขียนบทความที่เหนือล้ำกว่า ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ เล่า” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

ไป๋เฟิงซีถูแขนต่อไป คนงามแซ่ฮว่าคิดอันใดกันแน่จึงให้นางเอ่ยคำชวนหนาวสะท้านเช่นนี้ “ซีอวิ๋นกงจู่เมื่อครั้งอายุสิบห้าได้นิพนธ์ ‘ถกปณิธาน ณ บ่อน้ำพุชิงไถ’ ใต้เท้าเฉียนฉี่เจ้ากรมคลังแห่งแคว้นเราชื่นชมว่าทำนองแห่งอักษรยอดเยี่ยม เป็นยอดนิพนธ์อันหาได้ยากในแผ่นดิน ผู้ศึกษาในใต้หล้าต่างก็ท่องอ่านกันโดยทั่ว ทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

ผู้คนเงียบงันไปอีกครา

“สตรียังสามารถทำได้ พวกท่านเป็นบุรุษสูงเจ็ดเชียะแท้ๆ แต่กลับไม่อาจเทียบสตรี เช่นนี้ไหนเลยจะทำให้ฉุนหรานต้องใจได้” เสียงจากหลังม่านแฝงแววเย้ยหยัน “ทุกท่านล้วนแต่มองตนเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้มีความรู้ ควรได้หญิงงามเป็นคู่ครอง ฉุนหรานก็คิดว่าตนพร้อมด้วยรูปโฉมจึงควรได้ครองคู่กับวีรบุรุษและผู้มีความรู้ที่แท้จริง!”

“วาจาเดียวของกงจู่ทำให้เยี่ยเฉิงต้องม้วยด้วยความละอาย” ซานเยี่ยเฉิงผู้ฮึกเหิมลำพองแม้ไม่เต็มใจ แต่กลับมิอาจไม่ยอม

บรรดาเหล่าผู้ที่นึกว่าตนไม่ธรรมดาเหล่านั้น เมื่อหมิงเยวี่ยซานและซานเยี่ยเฉิงผู้โดดเด่นยังก้มศีรษะ ก็ย่อมประจักษ์อยู่แก่ใจว่าทุกคนล้วนแต่ไร้ความหวัง

“ทุกท่านแม้ไม่อาจเป็นสามีของฉุนหราน ทว่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนในแผ่นดิน ดังนั้นขอเชิญทุกท่านยังตำหนักใหญ่ เสด็จพ่อทรงให้ทุกท่านเข้าเฝ้าที่นั่น ทรงประสงค์อยากได้ผู้สามารถเป็นนักหนา จะต้องทรงมอบหน้าที่สำคัญแก่ทุกท่านเป็นแน่”

ขณะที่ทุกคนกำลังทดท้อ เหตุการณ์ก็พลันพลิกผัน เบื้องหน้าถึงกับเป็นอนาคตอันสว่างไสว

“ขอทุกท่านตามนางกำนัลไปยังตำหนักใหญ่เถิด”

ทันทีที่สิ้นเสียงตรงหน้าของแต่ละคนก็มีนางกำนัลผู้งดงามดังบุปผาเดินมาหาเพื่อนำทาง ทุกคนพากันลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทว่าก่อนจากกลับยังมิวายมองไปทางแท่นไฉ่เหลียนอย่างอาลัยอาวรณ์

“กงจู่ เมื่อครู่ตรัสว่าจะพบหน้ากับพวกกระหม่อมสักครา มิทราบว่า…” ในที่สุดก็มีคนใจกล้าถามขึ้น

“พบหน้าสักครากระนั้นหรือ ได้สิ”

ในเสียงใสกังวานเจือแววเสียดสีอยู่เลือนราง เมื่อสิ้นคำผ้าม่านโปร่งบางรอบแท่นไฉ่เหลียนก็ปลิวขึ้นดุจหมอกควัน เงาร่างบอบบางสายหนึ่งเหินออกมาจากด้านใน อาภรณ์ขาวราวหิมะ เส้นผมดำดุจหมึก ชายภูษาโบกสะบัด เงาร่างนั้นทิ้งตัวลงบนดอกโบตั๋นซึ่งลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้สุ้มเสียง นุ่มนวลประหนึ่งขนนก

 

“เยียนเจาเทิดคนเก่งยกกัวเหว่ย                     เรือนงามเอยทองคำเอยประทานให้

จวี้ซินจากแคว้นเจ้ามาน้อมไท                       โจวเหยี่ยนไซร้ตามมาขอภักดี

จนใจด้วยขุนนางผู้เป็นใหญ่                            เมินข้าไปดั่งเป็นเศษธุลี

มุ่งแต่ผลาญจินดาหลงโลกีย์                          เลี้ยงผู้มีสามารถด้วยแกลบดิน

จึงแจ้งจิตหวงหูผู้โผลา                                     เปลี่ยวเอกาพันลี้วนเวียนบิน”

 

เงาขาวในทะเลสาบขับขาน เรียบสง่าผุดผาด เสมือนหนึ่งเสียงบริสุทธิ์ในหุบเขาร้าง ปลายเท้านางแตะดอกไม้ ร่ายรำอ่อนช้อย มือเนียนขาวสะบัดน้อยๆ แขนเสื้อกว้างก็แผ่ขึ้นฟ้า บินเหินดั่งสกุณาตื่นไหว กระโดดดุจมังกรท่อง เส้นผมดำขลับยาวสลวยพลิ้วระบำประหนึ่งแพรไหม บดบังดวงหน้าหยกเอาไว้

ชั่วขณะนั้นคนทั้งหลายในศาลารายก็รู้สึกเพียงดวงตาพร่าพราย เห็นเงาร่างสีขาวซึ่งส่งเสียงขับขานร่ายรำอยู่กลางทะเลสาบอย่างชัดเจน แต่กลับมิอาจยลดวงหน้าผู้ที่อยู่กลางน้ำให้ถนัดตาได้ ทว่าลีลากรายบุปผาร่ายรำ หยัดกายเหนือสายธารดั่งนางอัปสรกลับสลักจารอยู่ในห้วงความจำของทุกคน หลายปีให้หลังมีผู้นำการเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่ไปแต่งเป็นนิทาน แพร่หลายสืบทอดไปยังอนุชนรุ่นหลัง แต่ต่อมาก็มีผู้กล่าวว่าฉุนหรานกงจู่ในวันนั้นแท้ที่จริงคือไป๋เฟิงซีปลอมแปลงตัวมา ฉุนหรานกงจู่ตัวจริงแม้รูปโฉมจะงามล่มเมือง ทว่าหาได้มีศิลป์ทางยุทธ์เลิศหล้าเช่นนั้นไม่

“พวกท่านได้เห็นแล้ว ขอเชิญยังตำหนักใหญ่เถิด ให้เสด็จพ่อทรงรอนานจะมิเป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ”

เมื่อเงาสีขาวขับขานจบ ร่างก็เหินขึ้นกลางเวหา สุดท้ายก็ทิ้งร่างลงยังศาลารายที่หวงเฉาอยู่

ครั้นวาจานี้เอ่ยออก แม้คนทั้งหลายจะแสนอาลัยก็มิกล้ารั้งอยู่ต่อ ชั่วครู่ก็เดินไปจนหมด แต่ใจลอบคิดว่าคนในศาลารายที่กงจู่ต้องใจคือผู้ใดกันแน่

และในศาลารายริมน้ำ ยามที่เงาร่างสีขาวทิ้งตัวลงเบื้องหน้าสายตา หวงเฉาและอวี้อู๋หยวนผู้เดิมทีนั่งสงบอยู่กับที่ก็พากันผุดลุกขึ้นยืนโดยมิรู้ตัว

สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่านหวงเฉา จากนั้นค่อยกวาดไปทางอวี้อู๋หยวน เพียงมองปราดแรกก็อดชื่นชมมิได้ มิน่าเล่าถึงได้สมัญญาเป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังไม่ต้องเอ่ยถึงรูปลักษณ์ภายนอก และไม่ต้องเอ่ยถึงท่วงท่ากิริยา แค่ดวงตาคู่ซึ่งประหนึ่งจะสามารถโอบอุ้มแผ่นดินได้ทั้งผืนนั่นก็ไร้ผู้ใดเทียบเทียมแล้ว ในดวงตานั้นปราศจากซึ่งความเห็นแก่ตัวและความมืดดำอย่างมนุษย์โดยสิ้นเชิง มีเพียงความอ่อนโยน สงบ และการุณย์ ราวกับหนองน้ำที่สงบสงัดราบเรียบที่สุดจากครั้งบรรพกาล

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ใครใดๆ ก็ล้วนแต่มีความบกพร่อง เฮยเฟิงซีสำอางเกินไป เสียความผุดผ่องเป็นธรรมชาติ หวงเฉาลำพองเกินไป เสียความสงบสมถะ ทว่าอวี้อู๋หยวนควรเป็นเซียนจากสุราลัยที่จะจรไปร่วมงานเลี้ยงชาวสวรรค์ที่สระทิพย์ แต่กลับมิรู้ว่าร่วงลงสู่โลกมนุษย์ด้วยเหตุใด

หวงเฉามองดรุณีอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาด้วยประกายตาเจิดจ้า เขาจ้องอยู่เนิ่นนาน เนิ่นนานยิ่งนัก สุดท้ายก็ไม่อาจข่มกลั้นความปรารถนาหนึ่งซึ่งไม่เคยบังเกิดมาก่อนได้ เขาเดินเข้าไปใกล้ไป๋เฟิงซี แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบาประหนึ่งกำลังมอบสัตย์สาบาน “หากวันใดข้าได้ครองใต้หล้า ท่านยินดีเป็นฮองเฮาของข้าหรือไม่”

“ไม่ยินดี” คำตอบจะแจ้งเรียบง่าย ไม่มีแววละล้าละลังแม้เพียงเศษเสี้ยว แล้วเงาขาวก็ไหววูบ ขยับห่างออกมาสามก้าว

“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาได้ยินดังนั้นก็หามีโทสะสักนิดไม่ แค่หัวเราะลั่นอย่างแช่มชื่น “สตรีในใต้หล้าก็มีเพียงท่านที่ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้!”

อวี้อู๋หยวนมองสตรีตรงหน้าอย่างเงียบงัน

อาภรณ์ขาว เกศาดำ บริสุทธิ์เรียบง่ายดั่งสิงขรดำวารีขาวในภาพวาด

คิ้วยาว ดวงตาแย้มยิ้ม พวงแก้มเร้นความนัย ริมฝีปากแฝงความรู้สึก ดังโลกนี้หามีสิ่งใดย้อมแววระทมทุกข์ลงยังดวงหน้านั้นได้ไม่ มิมีผู้ใดสามารถทำให้ดวงตาสุกใสมีหมอกเศร้าปกคลุม รอยยิ้มดั่งบุปผานั้นก็ราวกับไม่มีวันลบเลือนเหือดหายไปตลอดกาล ประหนึ่งจะทอแววเฉิดฉายไปจวบจนสิ้นกาลสมัย

ทันใดนั้นเขาก็อยากจะปิดดวงตาทั้งคู่ของตนเสีย จะได้ไม่ถูกประกายผุดผาดของนางแผดผลาญให้ต้องทุกข์ทน รอยยิ้มสดใสปราศจากมลทินนั้นก็จะมิอาจกระทำให้หนองน้ำแห่งจิตอันวิเวกดุจบ่อโบราณต้องหวั่นไหว

“ไป๋เฟิงซี” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบาออกมาสามคำ

“ใช่แล้ว ข้าก็คือไป๋เฟิงซี ไม่ใช่ฮว่าฉุนหราน” ไป๋เฟิงซียิ้มเจิดจ้า สายตาเคลื่อนผ่านหวงเฉา “บทเพลงที่ข้าร้องเมื่อครู่ไพเราะหรือไม่”

“ไพเราะ” หวงเฉายกกาสุราขึ้น รินสามจอกจนเต็ม

“บทเพลงของข้าร้องให้พวกท่านฟังนะ” นางยื่นมือไปคว้าจอกใบหนึ่งมา จากนั้นก็เหินร่างไปด้านหลัง นั่งลงบนราวกั้น “ตีเสียว่าเป็นการขอบคุณที่ครั้งก่อนท่านเลี้ยงอาหารข้า”

อวี้อู๋หยวนมองสุราในมือ แล้วก็มองไป๋เฟิงซี ดวงตาที่ใสนิ่งเสมอมายามนี้มีหมอกหนาปกคลุม พึมพำเบาๆ ว่า “ ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ ที่แท้แล้วเป็นความจริง”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะขึ้น สดชื่นเบิกบานดุจสายธารซึ่งไหลหลั่งจากร่องเขา

“ขอเพียงผู้ใดอยู่กับท่านก็จะยิ้มชื่นบานได้จนแก่เฒ่าใช่หรือไม่” หวงเฉามองนาง เขาหาเคยพบผู้ใดซึ่งยิ้มได้อย่างผ่อนคลายเป็นธรรมชาติเช่นนี้ไม่

“มิได้” ไป๋เฟิงซีหุบยิ้ม หมุนจอกสุราในมือ “หวงซื่อจื่อ ท่านควรรู้ว่าสิ่งที่ข้าทำในวันนี้อาจทำให้ท่านเสียโยวโจวไปกึ่งหนึ่ง เช่นนี้ท่านยังยิ้มออกอีกหรือ”

ดวงตาหวงเฉาไหววูบ จากนั้นถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากวันนี้ข้าสามารถได้ท่านเป็นภรรยา เช่นนั้นก็วิเศษกว่ากึ่งหนึ่งของโยวโจว!”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะลั่นอีกครา “เมื่อโยวโจวเชื้อเชิญท่านมาชมความครึกครื้น ณ ที่แห่งนี้ ก็ย่อมต้องมีความนัยลึกซึ้ง เพียงมิรู้ว่าหวงซื่อจื่อมาสู่ขอครั้งนี้มีความเชื่อมั่นกี่ส่วน”

“เดิมมีเพียงห้าส่วน ทว่าต่อมาข้าก็คิดว่ามีสิบส่วน” หวงเฉากล่าวขณะมองสุราที่เต็มปริ่มในจอก

“เพราะหลันซีกงจื่อแห่งยงโจวยังมามิถึงกระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีขยิบตา ยิ้มอย่างมีเลศนัยถึงสิบส่วน “แต่คู่มือของท่านหาได้มีเพียงผู้เดียวนะ”

“นอกจากหลันซีกงจื่อ ในโลกนี้ยังมีผู้ใดเป็นคู่มือของข้าได้อีก” หวงเฉาไม่คิดว่าโลกนี้จะมีคู่มือผู้ที่สอง

“ผู้เย่อหยิ่งทะนงตนเกินเหตุมักจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและน่าอเนจอนาถ” ไป๋เฟิงซีขยับมือ ของเหลวในจอกก็พุ่งตรงเป็นสายดั่งลูกเกาทัณฑ์เข้าหาหวงเฉา

“ผู้มีความเชื่อมั่นจึงจะมีสิทธิ์เย่อหยิ่ง” จอกสุราในมือหวงเฉาก็ปล่อยศรน้ำสายหนึ่งเข้าใส่นางเช่นกัน

ซ่า! ศรน้ำสองสายปะทะกันกลางทาง ต่างกลายเป็นหยาดน้ำนับพันนับหมื่นหยด

“หวงซื่อจื่อ อันมนุษย์ควรทำตนเป็นถ้วยเปล่าดุจหุบเขา” ไป๋เฟิงซีสะบัดแขนเสื้อ หยาดน้ำเหล่านั้นก็ถูกพัดไปทางหวงเฉาจนสิ้น

“เย่อหยิ่งอันจริงแท้ย่อมน่าชื่นชมกว่าอ่อนน้อมอันจอมปลอม” หวงเฉายกแขนเสื้อขึ้นโบก กำแพงปราณชั้นหนึ่งก็สกัดหยดน้ำทั้งหมดที่ปลิวมาหาเขาไว้

ครั้นแล้วหยดน้ำที่น่าสงสารเหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นไอไปภายใต้การปะทะของกำลังภายในอันลึกล้ำหนักแน่นระหว่างไป๋เฟิงซีและหวงเฉา

“ทั้งสองท่านมิสู้นั่งลงเถิด” อวี้อู๋หยวนโบกมือ แล้วไอหมอกที่กางกั้นระหว่างทั้งสองก็ปลิวไปทางผิวทะเลสาบ

“ก็ได้” ไป๋เฟิงซีปรบมือแล้วนั่งลง “หวงซื่อจื่อมาครานี้มุ่งมั่นว่าจะครอบครองคนงามแซ่ฮว่าให้ได้ใช่หรือไม่”

“แม่นางเฟิงเห็นเช่นไร” หวงเฉาก็นั่งลงดุจเดียวกัน

“ท่านยังคงมีโอกาสเพียงห้าส่วน” ไป๋เฟิงซียกมือเสยผมยาว ดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์ “การเลือกคู่ครั้งนี้เรียกได้ว่าโยวอ๋องรวบรวมยอดคนจากทั่วแผ่นดิน ต่อไปหวงซื่อจื่อต้องทุ่มเทความคิดให้มากแล้ว”

วาจานี้มีความนัยแฝงเร้น หวงเฉาย่อมฟังออก ความคิดเขาพลิกหมุน ถามขึ้นว่า “มิทราบแม่นางเฟิงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”

“เพราะข้ารับปากช่วยเป็นธุระให้ผู้อื่น” สายตาไป๋เฟิงซีเลยไปทางอวี้อู๋หยวนผู้รินเองดื่มเองอยู่ด้านข้าง

“ช่วยผู้ใดหรือ เฮยเฟิงซี?” ประกายตาหวงเฉาแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ

“เขา นาง ท่าน” ไป๋เฟิงซีงอนิ้วนับ “คราเดียวสามชั้นเชียวล่ะ มิได้ลำเอียงช่วยผู้ใดมากไปกว่ากัน ยอดเยี่ยมนัก”

“แม่นางเฟิงก็ช่วยข้าด้วยหรือ” หวงเฉาเลิกคิ้ว

“บรรดา ‘วีรบุรุษยอดคน’ เมื่อครู่ล้วนถูกข้าขับไสไปสิ้นแล้ว นี่มิเท่ากับช่วยตัดคู่แข่งให้ท่านไปตั้งมากหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซียิ้มละไมมองหวงเฉาพร้อมกับเอ่ยขึ้น มือก็ยื่นออก “ข้าดีกับท่านมากใช่หรือไม่” ท่าทางนั้นคล้ายกับเด็กน้อยประสงค์ได้ลูกกวาดที่กำลังออดอ้อน

“ดีมาก” หวงเฉาพยักหน้า “กล่าวเช่นนี้ข้าคงต้องขอบคุณแม่นางเฟิงสินะ”

อวี้อู๋หยวนที่ฟังคำสนทนาของทั้งคู่มาโดยตลอดอดหัวเราะเบาๆ มิได้ หวงเฉาผู้ปกติมีแต่ให้ผู้อื่นเชื่อฟังตน ยามนี้ทั้งวาจาและพฤติกรรมล้วนแต่เดินตามไป๋เฟิงซี

ไป๋เฟิงซีได้ยินเสียงหัวเราะของเขาจึงหันมามอง มองอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องเรียกอย่างแผ่วเบาว่า “อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนเหลือบตาขึ้น “แม่นางเฟิงมีสิ่งใดจะกำชับหรือ”

“ข้ายินมาว่าในเมืองหลวงแห่งโยวโจวมีภูเขาเทียนจือ (ค้ำฟ้า) บนเขานั้นมียอดหนึ่งนามว่า ‘เกาซาน’ และมี ‘ศาลาหลิวสุ่ย’ ” ไป๋เฟิงซีจ้องตาเขาแล้วเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว” อวี้อู๋หยวนก็ประสานสายตากับนางในลักษณะเดียวกัน

“เช่นนั้นคืนพรุ่งนี้เราขึ้นเขาไปเยี่ยมชมเสียหน่อยเป็นอย่างไร” ไป๋เฟิงซียิ้มชดช้อย

“เยี่ยม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า

หวงเฉามองคนทั้งสองแล้วอดถามไม่ได้ว่า “แม่นางเฟิงเชิญเพียงอู๋หยวนผู้เดียวหรือ”

“หวงเฉา” ไป๋เฟิงซีหันหน้ามามองเขาด้วยรอยยิ้มชดช้อย

“หืม” หวงเฉาได้ยินนางเรียกชื่อตนโดยตรง ดวงตาก็เป็นประกายทันใด

“ข้าจะไม่เชิญท่านนี่ แล้วจะอย่างไร” ไป๋เฟิงซีทำตาปริบๆ ขณะที่หวงเฉาทำหน้าอึ้งค้างอยู่นั่นเอง นางก็พลิ้วร่างออกจากศาลารายไป ปลายเท้าแตะผกาบนผิวน้ำ พริบตาเดียวก็เหินลับไปจากทะเลสาบหล่านเหลียน พ้นไปจากตำหนักจินหวา เหลือเพียงเสียงซึ่งดังมาจากที่อันห่างไกลว่า “ข้าไม่เชิญท่าน ท่านก็ทำอันใดข้าไม่ได้นี่…”

“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะของอวี้อู๋หยวนดังลอดออกมาจากศาลา

ส่วนหวงเฉาได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ “สตรีเช่นนี้…น่าเสียดาย”

 

ณ ห้องอักษรทิศใต้ ตำหนักจินเสิง

“ฮิๆๆ ลูกชนะแล้ว!” เสียงหัวเราะชื่นบานของฮว่าฉุนหรานดังลอดออกมา

“ก็ได้ๆ เจ้าชนะอีกแล้ว” โยวอ๋องมองกระดานหมากพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ

“เสด็จพ่อ ครานี้จะพระราชทานสิ่งใดเป็นรางวัลแก่ลูกเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเขย่ามือโยวอ๋องอย่างน่าเอ็นดู

“ฮ่าๆๆๆ…” โยวอ๋องตบมือบุตรสาว “ครั้งนี้มอบสามีให้เป็นอย่างไร”

“เสด็จพ่อทรงล้อลูกอีกแล้ว” ฮว่าฉุนหรานผินกายหนีอย่างไม่คล้อยตาม

“ฉุนหราน” โยวอ๋องดึงบุตรีเข้ามา “เจ้าชอบเฮยเฟิงซีผู้นั้นมากจริงๆ หรือ”

ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำก็ก้มศีรษะ ฟันขาวเกลี้ยงขบริมฝีปากแดงฉ่ำเบาๆ พวงแก้มหยกมีโลหิตเปล่งปลั่ง ท่าทีชวนพิสมัยอย่างดรุณีที่ขวยอาย

“เรื่องนี้มีอันใดต้องอายกัน” โยวอ๋องลูบศีรษะบุตรีพร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อนโยน “บุรุษเติบใหญ่ต้องมีเหย้า สตรีเติบใหญ่ต้องออกเรือน นี่เป็นเรื่องที่ชีวิตคนเราต้องผ่าน”

“เสด็จพ่อ ลูก…ลูก…” เสียงฮว่าฉุนหรานเบาอย่างยิ่ง จนแล้วจนรอดก็กระดากไม่กล้าเอ่ยตามตรง นางซุกศีรษะเข้ากับอกบิดาเพื่ออำพรางรอยแดงระเรื่อบนใบหน้าและเพื่ออำพรางแววยิ้มในดวงตา

“เอาล่ะ เจ้าไม่พูดพ่อก็รู้ความในใจของเจ้า” โยวอ๋องตระกองกอดบุตรสาวสุดรักในอ้อมอก ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมอยู่พอควร “เฮยเฟิงซีผู้นั้น วันก่อนพ่อเรียกให้เข้าเฝ้าแล้ว ทั้งสติปัญญาและรูปโฉมหาได้ยากโดยแท้ แต่ว่า…” เขาชะงักไว้ไม่เอ่ยต่อ

“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกโยวอ๋อง พอเห็นสีหน้าบิดายามนี้จริงจัง ในใจก็รู้ได้ว่าไม่เข้าการแล้ว

“ฉุนหราน เจ้าเห็นว่าเฮยเฟิงซีผู้นั้นเป็นบุคคลระดับใด” โยวอ๋องโพล่งถามบุตรี

“เสด็จพ่อก็ตรัสเองว่าทั้งสติปัญญาและรูปโฉมหาได้ยากโดยแท้มิใช่หรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานมองโยวอ๋อง “ลูกมองว่าเขาเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่หาได้น้อยยิ่ง”

“ฉุนหราน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นเด็กฉลาด สายตาที่ดูคนก็ล้ำเลิศถึงสิบส่วน แต่ว่า…แต่ว่าเฮยเฟิงซีผู้นี้ พ่ออยู่มาหลายสิบปี รู้จักคนมากมายเหลือคณา แต่กลับไม่เคยพบบุคคลเช่นนี้ ซ้ำยังมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่” โยวอ๋องมองบุตรี สีหน้าจริงจังถึงที่สุด

“หรือเขา…มีอันใดไม่เหมาะสมหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเห็นสีหน้าบิดาเยี่ยงนี้ก็กังวลขึ้นมาทันที

“เขาไม่มีตรงใดไม่ดี กลับกัน เรียกได้ว่าดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่ว่า…” โยวอ๋องหวนนึกถึงวันนั้นที่ได้พบเฮยเฟิงซี เป็นชาวยุทธ์สามัญผู้หนึ่ง แต่กลับมีบุคลิกสุขุมสูงสง่า กระทั่งเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างเขายังรู้สึกด้อยกว่าอีกขั้น ราวกับว่าอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นอ๋อง ส่วนเขากลับกลายเป็นสามัญชนต่ำต้อย

เขามีชีวิตอยู่มาหลายปี ดวงตาพอมีแววอยู่บ้าง รัศมีชนิดนั้นบนร่างของเฮยเฟิงซี เขาเคยพบบนตัวหวงเฉาผู้เป็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวเท่านั้น หวงเฉาสูงศักดิ์เป็นหน่อเนื้อเชื้ออ๋อง มีรัศมีเยี่ยงนั้นก็สมควรต้องตามเหตุผล ทว่าเฮยเฟิงซีเป็นไพร่สามัญ…คนผู้นั้นชวนให้ระแวดระวังยิ่งกว่าหวงเฉา หากหวงเฉาคือกระบี่ล้ำค่าที่ดึงจากฝัก ประกายเจิดจ้าคมกริบไร้เปรียบปาน แต่ค่าที่มันออกจากฝักแล้ว ทำให้ผู้คนมองปราดเดียวก็เห็นได้ชัดแจ้ง สามารถป้องกันหลบหลีกได้ ส่วนเฮยเฟิงซีผู้นี้เปรียบได้กับมังกรเร้นกายในวังน้ำลึก ซ่อนงำไม่เผยโฉม ทว่าทันทีที่ปรากฏจะต้องทำให้ฟ้าสะท้านดินสะเทือน!

“เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อ?” ฮว่าฉุนหรานเห็นโยวอ๋องเหม่อลอยจึงอดส่งเสียงเรียกมิได้

“หืม” โยวอ๋องได้สติ เขามองบุตรสาวคนโปรด จากนั้นก็พูดว่า “ฉุนหราน หากเจ้าจะเลือกเฮยเฟิงซีเป็นสามี พ่อก็ไม่คัดค้าน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัจริยบุคคลที่หาได้ยากจริงๆ ทว่า…พ่อมีคำพูดหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะรับฟัง”

“เสด็จพ่อโปรดตรัสบอกลูกด้วย” ฮว่าฉุนหรานแนบดวงหน้าลงบนตักโยวอ๋อง

“ยามนี้แผ่นดินอยู่ในกลียุค แคว้นอื่นๆ หามีผู้ใดมิขยายดินแดนเข้าสู่ราชอาณาเขต ทั้งอาณาเขตและความเข้มแข็งของแคว้นเพิ่มขึ้นกว่ากาลก่อนอย่างมิอาจเทียบได้ มีเพียงโยวโจวเราเท่านั้น แม้กล่าวว่ามั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น ทว่าถูกบีบอยู่ระหว่างชิงโจวและจี้โจว จนบัดนี้ดินแดนจะงอกเงยสักชุ่นก็หาไม่ หลายปีมานี้พ่อออกทำศึกกับจี้โจวและชิงโจวอยู่หลายหน แต่ก็ล้วนกลับมามือเปล่า หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไปเกรงว่าปณิธานยิ่งใหญ่ในอกพ่อไม่เพียงจะกลายเป็นความเพ้อฝัน แต่โยวโจวเราช้าหรือเร็วก็จะถูกจี้โจวและชิงโจวผนวกรวม” กล่าวถึงตรงนี้โยวอ๋องก็อดกำหมัดแน่นมิได้ “หากเอ่ยถึงความสามารถและรูปโฉม ซื่อจื่อแห่งจี้โจวไม่ด้อยไปกว่าเฮยเฟิงซี ทว่าหากดองกับจี้โจว ทั้งสองแคว้นก็จะเป็นพันธมิตรกัน อีกทั้งหวงซื่อจื่อเดินทางมาสู่ขอครานี้ก็เคยสัญญาจะช่วยตีชิงโจว หากได้กองทัพชิงฟ้ามาเกื้อหนุน ชิงอ๋องเฟิงสิงเทาไหนเลยจะเป็นคู่มือของพ่อ ยามนั้นชิงโจวจะเป็นดั่งวัตถุในย่ามที่จะฉวยเอาเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น…”

“ดังนั้นเสด็จพ่อทรงประสงค์ให้ลูกเลือกหวงซื่อจื่อเป็นสามี ใช่หรือไม่เพคะ” วาจาโยวอ๋องยังไม่ทันจบก็ถูกฮว่าฉุนหรานต่อให้

“พ่อตั้งใจเช่นนั้น ฉุนหราน…” โยวอ๋องเพิ่งอ้าปากก็เห็นบุตรสาวรักบนตักหลั่งน้ำตานองเสียแล้ว เขาพลันร้อนใจ “ฉุนหราน เจ้าอย่าร้องไห้ซี”

“เสด็จพ่อ ในพระทัยของเสด็จพ่อมีเพียงโยวโจว มีเพียงปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีลูกอยู่เลยหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานยกมือขึ้นปาดหางตาเบาๆ สีหน้าหม่นหมองไปถนัดใจ

“ฉุนหราน อย่าร้องไห้เลย” โยวอ๋องเห็นน้ำตาบุตรีเข้าก็ใจอ่อนยวบ แผนการยิ่งใหญ่เบื้องหน้ามลายหายไปชั่วคราว หวังเพียงให้บุตรสาวสุดโปรดหยุดร่ำไห้ “ฉุนหราน พ่อก็แค่เสนอ ยังมิได้กำหนดแน่นอน เจ้านิ่งเสียเถิด”

ฮว่าฉุนหรานสะอึกสะอื้น “ลูกก็แค่อยากจะแต่งให้แก่ผู้ที่พึงใจ และผู้ที่ลูกพึงใจนี้ก็สามารถช่วยเสด็จพ่อในแผนการใหญ่ได้ดุจเดียวกัน แต่เหตุใดเสด็จพ่อจึงทรงไม่ให้ลูกได้สมประสงค์เล่า แต่เล็กมาลูกก็ไม่เคยอ้อนวอนขอสิ่งใด ทว่าครั้งนี้ ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น…ฮือๆๆ…”

“เอาล่ะๆ ฉุนหราน เจ้าอย่าร้องไห้เลย พ่อรับปากเจ้า เรื่องสามีให้เจ้าตัดสินใจเอง เจ้าอยากเลือกผู้ใดก็เลือกผู้นั้น พอใจหรือยัง” โยวอ๋องตระกองกอดบุตรีพร้อมกล่าวปลอบโยน

“จริงหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานแหงนหน้ามองโยวอ๋อง

“จริงซี!” โยวอ๋องพยักหน้า ลอบคิดในใจว่าไม่แน่เฮยเฟิงซีนั่นอาจจะเหมาะเป็นเขยอ๋องแห่งโยวโจวยิ่งกว่าหวงเฉาก็เป็นได้

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานยิ้มชื่นบานทันตาเห็น

“เฮ้อ บางครั้งพ่อก็เคยคิดว่าหรือใต้หล้านี้จะเทียบไม่ได้กับน้ำตาของเจ้า?” โยวอ๋องมองบุตรสาวพลางถอนใจ

“ในโลกนี้เสด็จพ่อเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก” ฮว่าฉุนหรานกอดบิดาไว้ด้วยความซาบซึ้ง กล่าวคำหวานอันแปดส่วนจริงสองส่วนปลอมว่า “ลูกกับสามีจะช่วยเสด็จพ่อชิงใต้หล้ามาให้จงได้เพคะ”

“อืม ยังคงเป็นฉุนหรานของข้าที่ว่าง่ายที่สุด” โยวอ๋องกอดบุตรสาวไว้

“เสด็จพ่อ บัดนี้ควรไปตำหนักจินหวาให้ยอดคนจากแคว้นต่างๆ เข้าเฝ้าได้แล้วกระมัง” ฮว่าฉุนหรานเห็นเรื่องบรรลุตามเป้าประสงค์ของตนแล้วก็ประคองโยวอ๋องขึ้น “ดูสิเพคะ ครานี้ลูกเฟ้นหาผู้มีความสามารถมาให้เสด็จพ่อไม่น้อยเลยมิใช่หรือ”

“ใช่แล้ว ยังคงเป็นฉุนหรานของข้าฉลาดที่สุด” โยวอ๋องแตะพวงแก้มบุตรีอย่างรักใคร่ “พ่อจะไปตำหนักจินหวาเดี๋ยวนี้ เจ้าก็กลับไปพักผ่อนให้สติแจ่มใสเถิด วันมะรืนพ่อจะเลี้ยงรับรองหวงซื่อจื่อ เฟิงกงจื่อ อวี้กงจื่อ แล้วก็ไป๋เฟิงซีผู้นั้นของเจ้า รวมถึงผู้มีความสามารถที่มาคัดเลือกในวันนี้ด้วย ถึงเวลานั้นเจ้าก็นำพู่กันทองของเจ้ามาเลือกสามีเถิด”

“ลูกน้อมส่งเสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานมองส่งแผ่นหลังที่จากไปของโยวอ๋อง ดวงหน้าเผยรอยยิ้มบาง ในดวงตาฉายแววสมใจ

แม้นางจะเกิดมาเป็นสตรี จึงไม่อาจครอบครองตำแหน่งสูงสุดได้ ทว่าขอเพียงควบคุมผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดเอาไว้ได้ ขอเพียงยึดที่หนึ่งในหัวใจของผู้มีอำนาจสูงสุดไว้ให้มั่นคงได้ เช่นนั้นในโยวโจวนี้ไปจนกระทั่งทั่วหล้าก็ไม่มีสิ่งใดที่นางไม่อาจทำได้แล้ว

ในเมื่อวันนี้สามารถทำให้ท่านพ่อยอมตกลงให้เฮยเฟิงซีเป็นสามีของนางได้ เช่นนั้นกาลข้างหน้านางก็จะสามารถทำให้เขาขึ้นสืบตำแหน่งอ๋องได้เป็นแน่ และบางที…อาจเป็นจริงดังคำเสด็จพ่อ ได้ครองใต้หล้า เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นฮองเฮาอันเป็นตำแหน่งสูงสุดของสตรี!

 

“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว

หยางหลิวมากสิเน่หา

ข้าฝ่าทวนกระแสมา

จูงมือพี่ยาผู้เดียว…”

 

ฝั่งใต้ของเมืองหลวงโยวโจวมีจวนหลังหนึ่ง จวนหลังนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทว่าสวยสง่าและประณีตถึงสิบส่วน บัดนี้มีเสียงขับขานลอดมาจากสวนดอกไม้ เสียงขับขานนั้นแม้จะแผ่วเบา ทว่าจิตใจอันแช่มชื่นของผู้ขับกลับฉายออกมาจนหมดสิ้น

“เรื่องอันใดกันทำให้เจ้าเบิกบานถึงขนาดนี้” เฮยเฟิงซีผลักประตูเข้ามาก็เห็นไป๋เฟิงซีนั่งอยู่ใต้ต้นท้อ ยื่นมือจับผีเสื้อขาวตัวหนึ่ง

“ฮิๆ…วันนี้ข้าได้พบกับอวี้อู๋หยวนแล้ว” ไป๋เฟิงซีหันหน้ากลับมายิ้มให้เขา “อวี้กงจื่อผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้ายอดเยี่ยมกว่าจิ้งจอกดำอย่างเจ้ามากนัก ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลย”

ฝีเท้าที่ก้าวไปทางเรือนตะวันออกของเฮยเฟิงซีพลันชะงัก เขาเหลียวหน้ากลับไปมองไป๋เฟิงซี แล้วก็เห็นเพียงนางเชิดหน้าน้อยๆ ยิ้มมองดอกท้อ

ไป๋เฟิงซีนั้นยิ้มเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ทว่ารอยยิ้มเช่นนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน รอยยิ้มของนางโดยมากจะเป็นการยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มล้อเลียน ยิ้มเย็นชา ยิ้มเหลวไหล แต่ยิ้มในเวลานี้กลับลบเหลี่ยมมุมทั้งหมดไปจนสิ้น เป็นยิ้มแห่งความสุขแท้ๆ สีหน้านางปรีดา มุมปากเม้มน้อยๆ ทั่วทั้งร่างสดชื่นเปล่งปลั่งและอ่อนโยน ในท่วงท่าเรียบง่ายเป็นธรรมชาติแฝงอารมณ์หวานละมุน

“อวี้อู๋หยวน?” เฮยเฟิงซีหมุนร่างกลับมา บนหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ “เขาเป็นพวกเดียวกับหวงเฉากระมัง”

“ใช่” ไป๋เฟิงซีลุกขึ้น ก้าวเข้ามาหาเฮยเฟิงซี พิจารณาเขาทั้งบนล่างซ้ายขวาหนึ่งรอบ “จิ้งจอกดำ ที่แท้ในโลกนี้ยังมีบุรุษเช่นนั้นอยู่ด้วย แตกต่างจากเจ้าโดยสิ้นเชิง เจ้าวางอุบายคนทั่วหล้า ส่วนเขาน่ะหรือ…” นางเอียงศีรษะ ดวงหน้าผุดยิ้มพริ้มเพราที่งามล้ำกว่าดอกท้อ “เขากลับคิดคำนวณเพื่อคนทั่วหล้า…”

“เจ้า…” เฮยเฟิงซีพินิจนางอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ยกนิ้วจิ้มหน้าผากนาง ปลายนิ้วแตะลงยังอลงกรณ์จันทร์เสี้ยวที่หว่างคิ้ว “หรือว่าเจ้า…” วาจาที่เหลือกลับไม่เอ่ยออกมา แค่จับจ้องนางเขม็ง ในดวงตาฉายแววประหลาดสุดคาดเดา

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแล้วถอยร่างออกมา มือชี้ทางตะวันตก “เฟิ่งคนงามรอเจ้า เรียกได้ว่ากระวนกระวายจนนั่งไม่ติดแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าควรไปเยี่ยมนางสักหน่อยหรือ อีกอย่าง…” นางพลันลดเสียงเบา แววตาเจ้าเล่ห์ “เจ้าไม่รู้สึกว่าควรปลอบประโลมนางสักหน่อยหรือ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าจะทำต่อไปก็จะทำร้ายหัวใจของนางนะ”

ขณะกล่าวประตูเรือนตะวันตกก็เปิดออก เฟิ่งชีอู๋ที่กอดพิณผีผาไว้ในอกก้าวออกมา

“แม่นางเฟิง ท่านหัวเราะอย่างเบิกบานเช่นนี้ มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ” สายตาเฟิ่งชีอู๋เหลือบผ่านเฮยเฟิงซี ในดวงตาเฉยชาทอแววอ่อนโยนชั่วขณะ

“ใช่แล้ว มีเรื่องน่ายินดี!” ไป๋เฟิงซีกวาดตาไปทางเฮยเฟิงซี

“อย่างนั้นหรือ” เฟิ่งชีอู๋กลับไม่ถามต่อ สายตาทอดมองเฮยเฟิงซี “กงจื่อมิได้กลับมาหลายวัน วันนี้ชีอู๋เพิ่งแต่งทำนองใหม่ได้เพลงหนึ่ง ชีอู๋ร้องให้กงจื่อและแม่นางเฟิงฟังดีหรือไม่”

“เอาซี!” ไม่รอให้เฮยเฟิงซีตอบ ไป๋เฟิงซีก็ปรบมือร้องขึ้น

เฟิ่งชีอู๋ทรุดกายลงบนม้านั่งศิลากลางสวน มือกรีดพิณผีผา เอื้อนสำเนียงขับขาน

 

“กล้วยไม้ชูใบพร่างกลางวสันต์             กุ้ยเฉิดฉันขาวสล้างกลางเดือนสารท

เปี่ยมชีวาด้วยหมู่บุปผชาติ                       ย่อมวิลาสตามฤดูในหมู่ตน

ใครแจ้งจิตผู้เร้นกายด้วยพนา                   อิ่มอุราสุคนธามากับลม

ไม้ใบหญ้ามีใจใช่ทื่องม                            ไยง้อท่านเด็ดชมให้ตรมทรวง”

 

“ช่างเป็น ‘ไม้ใบหญ้ามีใจใช่ทื่องม ไยง้อท่านเด็ดชมให้ตรมทรวง’ ที่เยี่ยมนัก!”

ไป๋เฟิงซีสดับแล้วถอนใจอย่างสะทกสะท้อน สายตามองไปทางเฮยเฟิงซีอย่างมีความนัยลึกซึ้ง กลับเห็นเขาใจลอยอย่างหาได้ยาก คิ้วขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังขบคิดถึงปัญหาอันตึงมือ

คล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เฮยเฟิงซีเหลือบดวงตาขึ้นมองนาง เป็นครั้งแรกที่นางไม่อาจจับสิ่งใดได้เลยจากนัยน์ตาดำขลับอันลึกล้ำคู่นั้น…

 

วันถัดมาในยามเช้าตรู่ ไป๋เฟิงซีก็ลุกจากเตียงแต่เช้าอย่างหาได้น้อยครั้งยิ่ง

“ผู่เอ๋อร์…ผู่เอ๋อร์! ถ้าเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะไม่พาเจ้าไปเที่ยวแล้วนะ!”

“ข้าตื่นแล้ว พี่สาว! วันนี้ท่านจะพาข้าไปเที่ยวที่ใดหรือ” หานผู่กระโดดโลดเต้นเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง

“เราไปตามทางเรื่อยๆ เห็นที่ใดน่าสนุกก็ไปเล่น” ไป๋เฟิงซีเป็นเช่นนี้เสมอมา

“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด” หานผู่คว้ามือนางได้ก็บ่ายหน้าออกไปข้างนอก

ทันทีที่ไป๋เฟิงซีและหานผู่ออกนอกประตูไป ประตูเรือนตะวันออกก็เปิดออก เฮยเฟิงซีก้าวออกมา มองแผ่นหลังผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ดวงหน้าคมคายสงบสง่าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

“กงจื่อ รถม้าพร้อมแล้วขอรับ” จงหลีเข้ามารายงาน

เฮยเฟิงซีได้ยินแล้วกลับไม่ขยับ เขาครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นถึงสั่งว่า “ไม่ต้องใช้รถม้าแล้ว” สิ้นเสียงก็เดินออกนอกจวนไป จงหลีและจงหยวนรีบติดตามไปด้านหลัง

เมืองหลวงแคว้นโยวโจวมิเสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่เจริญและพลุกพล่านที่สุด แต่เช้าตรู่ตามถนนหนทางก็มีผู้คนมากมาย ร้านรวงเปิดทำการค้าแล้ว แผงขายของบนถนนก็จัดเสร็จเรียบร้อย พ่อค้าแม่ค้าร้องขายของ ลูกค้าตะโกนต่อราคา บ้านใกล้เรือนเคียงทักทายกัน แม่บ้านส่งเสียงจอแจ…เสียงต่างๆ ผสมปนเปกัน ผู้คนหลากหลายมารวมตัว เกิดเป็นถนนอันครึกครื้นรุ่งเรือง

เฮยเฟิงซีเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนถนน สายตากวาดผ่านฝูงชน รอยยิ้มปลอดโปร่งงามสง่าในยามปกติลดน้อยลงหลายส่วน ใจลอยอยู่บ้าง สมาธิไม่สู้จะอยู่กับตัว

ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาร่างสายหนึ่ง เมื่อเพ่งมองให้ชัด ประกายในดวงตาก็เย็นเยียบลงทันใด ทว่ารอยยิ้มพลันกว้างขึ้นหลายส่วน ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปทักทายคนผู้นั้น

“อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนที่กำลังมองเครื่องประดับมุกรูปดอกไม้บนแผงข้างทางได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “เฟิงกงจื่อ หลังจากจากกันที่หอลั่วรื่อ ไม่นึกเลยว่าจะถึงกับได้เจอท่านอีกครั้งที่โยวโจว”

“ข้าก็ไม่นึกฝันเช่นกันว่าจะมีวาสนากับอวี้กงจื่อถึงเพียงนี้” เฮยเฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตามองผ่านเครื่องประดับมุกชิ้นนั้น “อวี้กงจื่อสนใจของเช่นนี้ หรือคิดจะมอบให้นางในดวงใจ”

“เฟิงกงจื่อล้อข้าเล่นเสียแล้ว ข้าตัวคนเดียว จะมีนางในดวงใจมาจากที่ใดได้เล่า” อวี้อู๋หยวนส่ายหน้าน้อยๆ ตามองเครื่องประดับรูปดอกไม้อันทำจากมุก ท่าทางผ่อนคลายนุ่มนวล ไม่สะดุ้งสะเทือน “แค่เห็นดอกไม้มุกชิ้นนี้แล้วก็อดนึกถึงสหายผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งรู้จักมิได้ นางคล้ายจะไม่มีนิสัยติดเครื่องประดับศีรษะ ดังนั้นโดยไม่รู้ตัวข้าก็รั้งอยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว”

“อ้อ ที่แท้ก็พบวัตถุอาวรณ์คน” เฮยเฟิงซีราวกับพลันกระจ่างแจ้ง “แม้ปิ่นมุกชิ้นนี้จะมิได้มีราคาค่างวดอันใด ทว่าก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร อวี้กงจื่อมิสู้ซื้อเอาไว้ เหตุที่สหายผู้นั้นของท่านไม่เคยติดเครื่องประดับศีรษะ อาจเพราะมิเคยมีบุคคลเช่นท่านกำนัลให้มาก่อนก็เป็นได้”

อวี้อู๋หยวนได้ยินคำก็มองเฮยเฟิงซีคราหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากหยักลึกกว่าเก่า “บางทีเฟิงกงจื่ออาจจะคุ้นเคยกับสหายผู้นี้ดีกว่าข้า เพราะถึงอย่างไรนางก็ถูกขานนามร่วมกับท่านมาจวนจะสิบปีแล้ว”

เฮยเฟิงซีเลิกคิ้ว “หรือสหายที่อวี้กงจื่อกล่าวถึงคือไป๋เฟิงซี?” เขาไม่รอให้อวี้อู๋หยวนตอบก็เอ่ยว่า “หากเป็นสตรีนางนั้นล่ะก็ ข้าขอแนะนำว่าท่านอย่าซื้อเลย หากท่านกำนัลให้นาง นางจะต้อง…”

“จะต้องเอาไปแลกเป็นสุรามาดื่มเป็นแน่” อวี้อู๋หยวนต่อคำ

“ฮ่าๆๆ ที่แท้อวี้กงจื่อก็เข้าใจนางดีถึงเพียงนี้” เฮยเฟิงซีหัวเราะเบาๆ ทว่ารอยยิ้มของเขาในยามนี้เจือรสขมฝาดอยู่หลายส่วน

“แม้ข้าจะเพิ่งได้พบกับแม่นางเฟิงเป็นครั้งแรกเมื่อวาน แต่กลับเหมือนรู้จักกันมานาน ดังนั้นจึงรู้ว่านางเป็นผู้เสรีไม่ยึดติด ทำสิ่งใดไร้กรอบเกณฑ์ เอาแต่ความสบายใจเป็นที่ตั้ง” อวี้อู๋หยวนกล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง สายตามองอีกฝ่าย

“วาจานี้หากสตรีผู้นั้นได้ฟัง จะต้องยกให้อวี้กงจื่อเป็นผู้รู้ใจแน่นอน” เฮยเฟิงซียังคงยิ้มแย้ม เอ่ยพร้อมกับหยิบปิ่นมุกชิ้นนั้นขึ้น

“กงจื่อ ปิ่นมุกชิ้นนี้เป็นของชั้นดีนะขอรับ ไข่มุกทั้งหมดเก็บมาจากทะเลปี้หยา (ฟากมรกต) กงจื่อซื้อไว้เถิด เหมาะจะมอบให้แก่นางในดวงใจเป็นที่สุด” พ่อค้าที่รออยู่ด้านข้างมองออกนานแล้วว่ากงจื่อสองท่านตรงหน้าต้องเป็นลูกค้าชั้นเลิศ จึงเตรียมคำพูดไว้นานแล้ว บัดนี้เห็นเฮยเฟิงซีหยิบขึ้นมาก็ย่อมกระตุ้นลิ้นเจ้าพาทีให้ทำงานเป็นการใหญ่ “ข้าน้อยหลัวเหล่าเอ้อร์ อยู่ในย่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นหลัวผู้สัตย์ซื่อ ไม่มีทางหลอกลวงกงจื่อเป็นเด็ดขาด นี่คือไข่มุกชั้นดีจากทะเลปี้หยาอย่างแน่แท้…”

หลัวเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นทำท่าจะสาธยายต่อไม่จบไม่สิ้น เฮยเฟิงซีจึงเหลือบตาขึ้นมองเขาเรียบๆ คราหนึ่ง พริบตานั้นเขาก็รู้สึกลำคอตีบตัน คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกลับลงท้องไป

“กะ…กง…กงจื่อ…”

“ปิ่นมุกชิ้นนี้ข้าซื้อ” เฮยเฟิงซีซุกปิ่นมุกรูปดอกไม้เข้าในแขนเสื้อ ก่อนจะเหลียวหน้าไปมองจงหลี จงหลีรีบล้วงเงินออกมาจ่ายค่าสินค้าทันที

“เฟิงกงจื่อซื้อปิ่นมุกชิ้นนี้เพื่อกำนัลให้แก่แม่นางเฟิ่งจากหอลั่วรื่อผู้นั้นหรือ” อวี้อู๋หยวนมองพฤติกรรมของเฮยเฟิงซี “ระยะนี้แม่นางเฟิ่งสบายดีหรือไม่”

“สบายดีไม่มีโรคภัย” เฮยเฟิงซีเก็บปิ่นมุก “ข้ายังมีธุระต้องไปศาลาผิ่นอวี้ ไม่ทราบว่าอวี้กงจื่อจะไปที่ใดหรือ”

“ข้ากำลังมุ่งหน้าไปภูเขาเทียนจือ” อวี้อู๋หยวนตอบ

“เช่นนั้นก็ขอลาตรงนี้”

“ขอลา”

ทั้งสองกล่าวคำอำลา คนหนึ่งไปทางตะวันออก คนหนึ่งไปทางตะวันตก ขณะร่างสวนผ่านกัน ริมฝีปากของเฮยเฟิงซีก็ขยับเล็กน้อย ราวกับเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ส่วนอวี้อู๋หยวนผู้เยือกเย็นอยู่เสมอเมื่อได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้า ทั้งตื่นตระหนก ตกตะลึง โศกเศร้า กระทั่งมีแววเคียดขึ้งอยู่เลือนราง ความรู้สึกแต่ละอย่างอันเป็นของมนุษย์สามัญฉายขึ้นบนดวงหน้าอันสุขสงบเยือกเย็นดุจผู้วิเศษ ทว่าพริบตาเดียวอารมณ์เหล่านี้ก็มลายไป ความสุขุมเยือกเย็นกลับมา ทว่าสีหน้าซีดเผือดถึงสิบส่วน

อวี้อู๋หยวนมองเฮยเฟิงซีอย่างตะลึงตะไล ยืนเหม่ออยู่บนถนน ไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน

ส่วนเฮยเฟิงซีก็เก็บเอาสีหน้าของเขาเข้าสู่ส่วนลึกของดวงตาจนสิ้น จากนั้นก็ยิ้มบางๆ แล้วหมุนกายจากไป

บทที่ 16 ภูเขาสูง สายน้ำไหล คำนึงเปล่า

“จิ้งจอกดำ เจ้านั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

ยามอาทิตย์อัสดง ในที่สุดไป๋เฟิงซีและหานผู่ที่เที่ยวเล่นมาทั้งวันก็กลับมา ทันทีที่ก้าวเข้าประตูก็เห็นเฮยเฟิงซีนั่งอยู่กลางสวน หมุนจับบางสิ่งเล่นอยู่ในมือซึ่งสะท้อนประกายวิบวับใต้แสงสายัณห์

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไปอาบน้ำก่อน อาบเสร็จก็ขอให้พี่เหยียนทำอาหารให้กิน กินเสร็จก็ไปนอนเสีย” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งกำชับหานผู่ ทางหนึ่งก็เดินไปหาเฮยเฟิงซี

“พี่สาว อีกเดี๋ยวท่านจะออกไปเที่ยวใช่หรือไม่ ข้าขอไปด้วยคนได้หรือไม่” วันนี้หานผู่เที่ยวเล่นสนุกยิ่งนัก บัดนี้อารมณ์สนุกยังไม่จางหาย

“ไม่ได้!” ไป๋เฟิงซีปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

หานผู่จนใจ ได้แต่มุ่ยปากจากไป

“วันนี้เที่ยวสนุกเต็มที่?” เฮยเฟิงซีเหลือบมองนาง ยังไม่หยุดเล่นของในมือ

“เดินจนขาทั้งสองจวนจะหักอยู่แล้ว เฮ้อ เจ้าผีน้อยมีแรงคึกคะนองยิ่งกว่าข้าเสียอีก” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจ เมื่อเห็นวัตถุในมือเขาก็พลันประหลาดใจ “รู้จักเจ้ามาสิบปี ข้าไม่เคยเห็นของใช้ของสตรีพรรค์นี้ในมือเจ้ามาก่อนเลย! ปิ่นมุกนี้เจ้าเตรียมจะกำนัลให้แก่แม่นางเฟิ่งหรือว่าคนงามแซ่ฮว่ากันเล่า” นางกล่าวพลางขยับเข้าไปมองเครื่องประดับมุกรูปดอกไม้ในมือเขา “ในเมื่อยังไม่ได้มอบให้ เช่นนั้นมิสู้ยกให้ข้าดีกว่า อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก ปิ่นมุกนี้ของเจ้าให้ข้าเอาไปแลกสุราเลิศรสสักสองไหก็แล้วกัน”

ได้ยินดังนั้นมือของเฮยเฟิงซีก็ชะงัก เขาเหลือบดวงตาขึ้นมองนาง อากาศปลายเดือนสามอุ่นสบายยิ่ง ทว่าสายตานี้ของเขากลับทำให้ไป๋เฟิงซีสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง นางอดสั่นสะท้านมิได้ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ยอมจำนนว่า “ทำถึงขั้นนี้เชียว ตระหนี่นัก ของชิ้นนี้ราคาค่างวดก็ไม่เท่าไร ไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้ซี”

วาจาของนางกล่าวมิทันจบ ประกายมุกวิบวับก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มือทั้งสองของนางโบกขึ้นทันใด เกิดเป็นเงามือซ้อนกันนับพันชั้น คว้าบรรดาไข่มุกซึ่งซัดเข้าหาไว้ในมือได้ทั้งหมด

“จิ้งจอกดำ วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ท่าทางชอบกลนัก”

ไป๋เฟิงซีมองสิ่งที่อยู่ในมือ แล้วมองเฮยเฟิงซีที่นั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าไม่อนาทรร้อนใจ หากมิใช่มีมุกอยู่เต็มกำมือ นางคงจะได้สงสัยจริงๆ ว่าเมื่อครู่เขามิได้ใช้ไข่มุกโจมตีนาง

“เจ้าจะเอาไปแลกสุราดื่มมิใช่หรือ เช่นนี้แลกได้เยอะกว่า” เฮยเฟิงซีกวาดตามองนางอย่างเฉยชา

“จะว่าไปก็ถูก” ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส คร้านจะสืบเสาะสาเหตุของพฤติกรรมชอบกลของเขาในวันนี้ จึงหมุนร่างจากไป “เที่ยวกับหานผู่มาทั้งวัน เหงื่อเต็มไปหมด ข้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

ที่ด้านหลัง เฮยเฟิงซีมองแผ่นหลังของนางอย่างเงียบงัน ล่วงไปเป็นนานถึงได้ถอนหายใจแผ่วเบา “บนโลกนี้เหตุใดจึงได้มีสตรีเช่นนี้ได้”

 

“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว

หยางหลิวมากสิเน่หา

ข้าฝ่าทวนกระแสมา

จูงมือพี่ยาผู้เดียว…”

 

ในแสงแห่งรัตติกาล ดาราและจันทราอ่อนแสง ไป๋เฟิงซีพลิ้วร่างขึ้นลงอยู่เหนือหลังคา ในอ้อมแขนมีเมรัยเลิศรสสองไห นางคลอเพลงอย่างเบิกบาน เมื่อนึกถึงคนที่อีกสักครู่จะได้พบ มุมปากก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็วูบขึ้น คนผู้หนึ่งขวางหน้านางไว้

“หวงเฉา?” เมื่อเห็นผู้มา ไป๋เฟิงซีก็แปลกใจระคนตกใจ

“ข้าเอง” หวงเฉาผู้สวมอาภรณ์ม่วงตลอดร่างดูประหนึ่งราชันผู้เพริศพรายกลางราตรีมืดมิด

ไป๋เฟิงซีมองเขา ดวงตากลอกกลิ้ง เอียงศีรษะถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านมาหาข้า?”

“ใช่” หวงเฉายืนเอามือไพล่หลัง

“มาหาข้ามีเรื่องอันใด” ไป๋เฟิงซีวางไหสุราลงบนหลังคา จากนั้นก็ทรุดลงนั่ง

หวงเฉาก้าวเข้าไปสองก้าว มองพินิจนางผู้อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างถี่ถ้วนคำรบหนึ่ง จากนั้นถึงถามอย่างชัดเจนและจริงจังหาใดเปรียบว่า “ข้ามาเพื่อถามอีกครั้งก่อนท่านไปเขาเทียนจือ ท่านยินดีแต่งกับข้าหรือไม่”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็แหงนหน้าหัวเราะเบาๆ

“เฟิงซี” หวงเฉายอบกายลงตรงหน้านาง ดวงตาเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงดาราบนท้องนภา “ข้าพูดจริง”

ไป๋เฟิงซีเก็บรอยยิ้ม สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าใต้แสงเดือนนั่น ในคิ้วตาคมคายฉายแววผยอง ทว่าสีหน้ากลับเป็นงานเป็นการอย่างที่สุด หัวใจของนางหวั่นไหวน้อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านพูดจริง เช่นนั้นข้าก็จะถามท่านอย่างจริงจังสักคำ หากข้าแต่งเป็นภรรยาของท่าน เช่นนั้นท่านก็ห้ามรับผู้อื่นเป็นภรรยาอีก ชั่วชีวิตมีข้าได้เพียงผู้เดียว ท่านยินยอมหรือไม่”

คิ้วหวงเฉาขมวดเล็กน้อย เงียบงันอยู่ครึ่งค่อนวัน

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแผ่วเบา “ท่านไม่จำเป็นต้องตอบหรอก ข้าเองก็รู้ว่าท่านทำไม่ได้” นางยื่นมือตบไหล่หวงเฉา หยัดกายขึ้น “ในวังโยวอ๋องก็มีสตรีอีกผู้หนึ่งที่ท่านคิดหาวิธีต่างๆ นานาจะขอเป็นภรรยาให้ได้”

หวงเฉาก็ลุกขึ้นตาม ยกมือกดหัวไหล่นางไว้ “เฟิงซี ไม่ว่าข้าจะรับสตรีมาเป็นภรรยาสักกี่คน ท่านก็จะเป็นผู้ที่พิเศษที่สุดและสำคัญที่สุดในใจข้า!”

ไป๋เฟิงซีปัดมือเขาออก สายตาทอดมองสู่ท้องฟ้าราตรีอันไกลเวิ้งว้าง “หวงเฉา ข้ากับท่านแตกต่างกัน ท่านสามารถครอบครองสตรีมากมายได้ไม่ว่าจะชอบพวกนางหรือไม่ ทว่าข้าปรารถนาเพียงได้ครองคู่กับผู้ที่ข้าชอบ อีกทั้งเขาก็ชอบข้าแต่เพียงผู้เดียว”

“เฟิงซี ไม่ว่าข้าจะมีสตรีมากแค่ไหน แต่ภรรยาของข้ามีเพียงท่าน กระทั่งภายภาคหน้าหากข้าได้เป็นฮ่องเต้ ตำแหน่งฮองเฮาก็จะเป็นของท่านอย่างแน่นอน!” หวงเฉาดึงแขนไป๋เฟิงซีไว้ “เฟิงซี ข้าหวงเฉาสามารถสาบานต่อฟ้าได้ หากได้เจ้าครองคู่ ชีวิตนี้ข้าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว!”

ไป๋เฟิงซีเหลือบตามองเขา จ้องอยู่เป็นนาน จากนั้นก็เผยยิ้มบาง แววตาใสบริสุทธิ์ดุจสายน้ำ “คำสัตย์สาบานของผู้อื่น ข้าล้วนรู้สึกว่าเป็นวาจาอันว่างเปล่า ทว่าคำสาบานของท่าน ข้าเชื่อ แต่…ข้าไม่ฝันอยากได้ตำแหน่งฮองเฮา ชาตินี้ข้าขอเพียงบุรุษผู้เดียว และทั้งร่างกายและจิตใจของเขาก็มีข้าเพียงคนเดียวที่สามารถครอบครองได้!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวงเฉาก็เม้มปากแน่น จ้องมองนาง กระทั่งผ่านไปพักใหญ่เขาถึงปล่อยมือ ถอนหายใจยาว ผินร่างมองไปยังฟากอัมพรอันไร้ที่สิ้นสุด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมองหดหู่ “จริงแท้ดังที่ท่านกล่าว ตรงหน้ามีฉุนหรานกงจู่ที่ข้าจำต้องคิดหาสารพัดวิธีแต่งด้วยให้ได้ เพราะ…นี่เป็นหนทางที่ข้าต้องผ่านเพื่อให้ได้ครองใต้หล้า”

“ใต้หล้า…ใต้หล้าอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า “หวงเฉา นับแต่เราพบกันที่ซังโจว ข้าก็นึกมาตลอดว่าท่านคือวีรบุรุษที่จะแหงนหน้ากลืนแผ่นฟ้า และวีรบุรุษก็ดูแคลนการหลอกใช้สตรี”

“ข้าหาใช่วีรบุรุษไม่” หวงเฉาหันหน้าขวับ สายตาดั่งอสนีบาต สีหน้าสุขุมและเย็นชา “เฟิงซี ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ ข้าคือราชัน!”

ขณะที่สายตาสอดประสาน ไป๋เฟิงซีก็สั่นสะท้านในหัวใจ

“วีรบุรุษในโลก มีที่วรยุทธ์เลิศล้ำ มีที่ยิ้มไม่ใส่ใจความเป็นความตาย มีที่น้ำใจผ่าเผยสง่างาม มีที่สู้กับคนนับร้อยนับพันไม่พ่ายแพ้ เป็นดั่งดาวเดือนบนท้องฟ้าที่คนนับหมื่นเลื่อมใสศรัทธา!” หวงเฉาชี้นิ้วขึ้นฟ้า บนม่านนภามีจันทร์แจ่มและดวงดาวหนาวเหน็บระยิบระยับ

ไป๋เฟิงซีเงยหน้ามองห้วงฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้าง

“แต่ข้าจะเป็นราชัน! นั่นคือการดุลอำนาจ วางแผน เลือกเก็บและสละ แย่งชิง…สู้ศึกนับพันนับหมื่น ทำศึกกับคนทั่วทั้งใต้หล้า!” หวงเฉากางแขนทั้งสองประหนึ่งจะโอบกอดผืนฟ้าแผ่นดิน สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขามนั้นแฝงความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่มีวันเหลียวกลับ “ข้าจะใช้มือทั้งสองของข้ากุมใต้หล้าเอาไว้ การจะกุมใต้หล้าจำต้องได้กำลัง ต้องเป็นกำลังที่เข้มแข็งที่สุด ฉะนั้นข้าจะสั่งสมกำลังของข้าด้วยกลวิธีทุกชนิด ด้วยหนทางต่างๆ จนได้กำลังที่ข้าต้องการ จากนั้นก็ขึ้นเป็นราชันผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองในระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดิน!”

ครั้นได้ยินดังนั้น หัวใจของไป๋เฟิงซีก็สะท้าน นางเอียงศีรษะมองไปทางหวงเฉา

แสงเดือนดาราสาดลงบนร่างเขา เมื่อมองจากมุมของไป๋เฟิงซี ครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในแสง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในเงามืด นางคิดว่าเขาจะกุมใต้หล้าได้ มีชั่วขณะหนึ่งที่จิตใจของนางหนักอึ้งโดยไร้สาเหตุ บางทีอาจเป็นในชั่วขณะนี้เองที่นางสูญเสียบางสิ่งซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่งไป และนางก็ถูกลิขิตไว้ให้ต้องสูญเสีย

ไป๋เฟิงซีข่มกลั้นรสเฝื่อนขมในใจไว้ เบือนศีรษะไปอีกทาง มองผืนดินมืดมิดใต้เท้า จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ที่จริงในกลียุคอย่างปัจจุบัน ผู้มีปณิธานคนใดเล่าจะมิเป็นเช่นนี้ วางอุบายโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของตน เขาเป็นเช่นนี้ เขาก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เป็นเช่นนี้! เช่นนั้น…ในโลกนี้จะมีผู้ใดหรือไม่ที่จะทำสิ่งใดโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ทำสิ่งใดเพราะนึกอยากทำแท้ๆ มิใช่ลงมืออย่างมีแผนการลึกลับซับซ้อน

นางลอบถอนใจเบาๆ ก้มเอวกอดไหสุราบนหลังคาขึ้น ก่อนจะยิ้มกล่าวอย่างแฝงแววหยอกล้อว่า “เฮ้อ เสียหน้านัก เทียบกับใต้หล้าแล้ว ข้าช่างเล็กน้อยด้อยค่าถึงเพียงนี้”

หวงเฉาหันกลับมามองนาง แววตานั้นลึกซึ้งยิ่ง “เฟิงซี ท่านปฏิเสธเพียงเพราะข้าจะมีสตรีมากมาย หรือเพราะใจเจ้ามีผู้อื่นอยู่แล้ว”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็เงียบงันไปชั่วขณะ ลมราตรีเป่าเส้นผมยาวสลวยของนาง บดบังดวงตาไว้ แต่กลับมิได้บดบังรอยยิ้มจางๆ ที่ริมฝีปาก “มีและไม่มี สำหรับท่านก็ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือฮองเฮา ข้าก็ล้วนไม่แต่งกับท่าน เพราะ…”

กระแสเสียงนางชะงัก หวงเฉาเลิกคิ้ว รอคอยวาจาที่เหลือของนาง

“เพราะว่าคนเฉกเช่นท่าน การเป็นสหายข้างกายท่านสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมลิ้มรสหวานขมได้เหนือล้ำกว่าเป็นภรรยาไม่มีปากมีเสียงอยู่เบื้องหลังมากมายนัก” ไป๋เฟิงซีมองหวงเฉาแล้วขยิบตาให้

“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาระเบิดหัวเราะลั่น ยื่นมือเหนี่ยวหัวไหล่ไป๋เฟิงซีไว้ ครั้งนี้นางมิได้ปัดออก “แต่เล็กจนโต หาเคยมีผู้ใดทำให้ข้าต้องพบอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นท่านเลย แล้วข้าก็จนปัญญาที่ไม่อาจทำอันใดท่านได้จริงๆ เสียด้วย”

ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส “บางทีเร็วๆ นี้ท่านอาจได้พบกับอุปสรรคอีกคำรบเพราะสตรีอีกผู้หนึ่ง”

“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร” หวงเฉาไม่เห็นคล้อย “หากข้าต้องพ่ายแพ้ย่อยยับเพียงเพราะสตรีสองนาง สวรรค์เบื้องบนจะให้ข้าถือกำเนิดมาเพื่อประโยชน์ใด”

“ด้วยเหตุนี้ สำหรับท่านสตรีก็เป็นเพียงอาภรณ์ มีเพียงใต้หล้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด” ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้า แล้วร่างก็เหินไปไกลหลายจั้ง

หวงเฉามองเงาหลังของนางที่ไกลออกไป เอ่ยอย่างทั้งชื่นชมทั้งสะท้อนใจว่า “ผู้ที่ได้ท่านเป็นภรรยาจะต้องเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุดในแผ่นดินเป็นแน่ ทว่าการได้เป็นสหายของท่านก็นับว่ามีโชคเช่นกัน”

“แต่น่าเสียดายที่คนน้อยนักจะเป็นสหายได้ชั่วชีวิต”

ร่างของไป๋เฟิงซีหายลับไปแล้ว ทว่าเสียงกลับลอยมาแต่ไกล ทิ้งให้หวงเฉาขบคิดวาจาสุดท้ายของนางอย่างถี่ถ้วนแต่เพียงผู้เดียวบนหลังคา

 

ภูเขาเทียนจือมียอดตระหง่านมากมายหลายยอด ในจำนวนนั้นยอดที่สูงที่สุดมีนามว่ายอดเกาซาน ที่ข้างผาฝั่งปัจฉิมทิศแห่งยอดเกาซานมีศาลาหินซึ่งก่อจากศิลาภูเขาอยู่หลังหนึ่ง นามว่าศาลาหลิวสุ่ย

สำหรับยอดเกาซานและศาลาหลิวสุ่ยนี้มีเรื่องเล่าหนึ่งซึ่งเล่าสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ในยุคสมัยอันไกลโพ้น มีคีตาจารย์อยู่ท่านหนึ่งนามว่าเกาซาน เขาเชี่ยวชาญศิลปะทางฉิน เล่าขานกันว่าทำนองฉินที่เขาบรรเลงสามารถดึงดูดเสียงขับขานจากสกุณานับร้อย สามารถทำให้มวลผกาผลิบานสะพรั่ง ทว่าฮ่องเต้ในเวลานั้นกลับโปรดเสียงเซิง หากผู้ใดเป่าเซิงได้ดีก็จะทรงตกรางวัลอย่างงาม ดังนั้นเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงเกษมสำราญ ทั่วทั้งแคว้นก็พากันเป่าเซิง เป็นเหตุให้ศิลปะดนตรีอื่นนับร้อยถูกวางทิ้งให้เปล่าดาย

ด้วยเหตุนี้แม้เกาซานจะมีทักษะทางฉินสูงส่ง แต่กลับไร้ผู้ชื่นชม กระทั่งยามบรรเลงฉินยังถูกหยามหมิ่น หาว่าเขาไม่ภักดีเทิดทูนฮ่องเต้ นานวันเข้าเกาซานก็ไม่ดีดฉินต่อหน้าผู้ใดอีกเลย เขาประคองฉินขึ้นสู่ยอดบนสุดแห่งขุนเขาเทียนจือ บรรเลงฉินให้คีรีสูง หุบเขาสงัด เมฆาขาว และสายลมบริสุทธิ์ฟัง

อยู่มาวันหนึ่งขณะเกาซานกำลังดีดฉินอยู่บนยอดเขาเทียนจือเช่นเคย ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ทางหนึ่งก็ปรบมือ ทางหนึ่งก็ขับขานว่า

 

‘วิญญูภูผาโอบเครื่องห้าสาย                     ประจิมผายเทียนจือยอดสิงขร

เพียงมือโบกตามใจไร้อาทร                      ดั่งกันทรหมื่นสนก้องให้ยิน

จิตแปดบงสุ์ชะผ่านด้วยสาคร เสียงสะท้อนสอดซวงจงร่วมผกผิน

ไม่รับรู้สายัณห์กลบศิขริน                         สารทเมฆินทร์หมดแสงมอดอาภา

 

เกาซานซาบซึ้งยิ่งนัก ผูกสมัครเป็นสหายรู้ใจกับคนผู้นี้ คนผู้นี้นามว่าหลิวสุ่ย นับแต่นั้นมาเกาซานก็บรรเลงฉินให้หลิวสุ่ยฟังแต่ผู้เดียว

เวลาล่วงไปอีกหลายปี ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มิได้โปรดเสียงเซิงเพียงอย่างเดียวอย่างพระชนก แต่ทรงโปรดเสียงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ดังนั้นร้อยวาทิตจึงรุ่งเรืองขึ้นอีกคราในหมู่ชน

ฮ่องเต้ทรงสดับมาว่าเกาซานมีทักษะทางฉินสูงล้ำ จึงมีราชโองการให้เกาซานเข้าวังเพื่อบรรเลงฉิน ทว่าเกาซานกลับปฏิเสธ เขากล่าวว่าในขวบปีที่ยังมีลมหายใจจะขอดีดฉินให้หลิวสุ่ยฟังแต่เพียงผู้เดียว เพราะมีเพียงหลิวสุ่ยเท่านั้นเป็นสหายผู้แจ้งในเสียงสังคีตของเขา

ขุนนางผู้อัญเชิญราชโองการเห็นเขาถึงกับกล้าปฏิเสธฮ่องเต้ก็เดือดดาลอย่างยิ่ง จับตัวเขาไว้แล้วส่งเข้าวัง ทว่าสุดท้ายเกาซานก็ยังคงมิได้บรรเลงฉินให้ฮ่องเต้ทรงฟังอยู่นั่นเอง เหตุเพราะระหว่างทางเขาหักกระดูกนิ้วของตนเสีย ทำให้ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจดีดฉินได้อีกต่อไป!

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงซาบซึ้งในความเด็ดเดี่ยวของเขา จึงทรงปล่อยเขากลับไป อีกทั้งยังพระราชทานทรัพย์สินเงินทองให้จำนวนหนึ่ง ทว่าเกาซานไม่ต้องการสิ่งใดเลย เพียงแต่กลับไปตัวเปล่าเท่านั้น

หลังกลับถึงบ้าน เกาซานเพิ่งรู้ว่าหลังจากเขาถูกจับตัวเข้าวังไป หลิวสุ่ยก็แทงหูทั้งสองของตน ทำให้ชีวิตนี้ไม่อาจยินสรรพสำเนียงได้อีก!

เมื่อเกาซานและหลิวสุ่ยหวนมาพบกันอีกครา ต่างคนก็ต่างประสานสายตาแย้มยิ้ม จากนั้นก็ขึ้นสู่เขาเทียนจือด้วยกัน ทว่าทั้งสองมิได้กลับลงมาจากเขาอีกเลย

บางคนกล่าวว่าพวกเขากระโดดหน้าผาตายไปแล้ว บางคนกล่าวว่าพวกเขาเร้นกายพำนักอยู่บนเขาเทียนจือ ยังมีบางคนกล่าวว่าฮ่องเต้แห่งแดนฟ้าส่งเทวทูตมารับพวกเขาขึ้นสู่ตำหนักสวรรค์ไป…เรื่องเล่าต่างๆ นานาสืบทอดต่อกันมา อนุชนรุ่นหลังที่เลื่อมใสในตัวพวกเขาจึงเรียกขานยอดเขาที่เกาซานดีดฉินว่ายอดเขาเกาซาน พร้อมทั้งสร้างศาลาหินขึ้นหลังหนึ่งบนยอดเขา ให้นามว่าศาลาหลิวสุ่ย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่มิตรภาพระหว่างเกาซานและหลิวสุ่ย

ในคืนนี้บนยอดเกาซาน ในศาลาหลิวสุ่ยมีคนสองคนเดินทางมาพบกันตามนัด

จันทร์กระจ่างกลางนภาทอแสงสีเงินดั่งแพรไหม เสียงฉินวังเวง สุขสันโดษเรียบง่ายงามสง่า สองคนในศาลาล้วนแต่งอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าผ่าเผยเสรี ชวนให้หลงนึกว่าอยู่ในจินตโลกและได้พบกับเกาซานและหลิวสุ่ยอีกครา

“บทเพลงนี้ของท่านแผ่วพลิ้วราวกับมิใช่เพลงของโลกมนุษย์ ข้าฟังแล้วนึกว่าตนอยู่บนขุนเขาแสงมรกต มีบุปผาจินดา สระหยก ผลไม้แก้ว กวางขาว เมฆสีคล้อยเคลื่อน อัปสรลอยล่อง อิสรเสรีไร้จำกัด เกษมสันต์ดั่งเซียน” เมื่อเสียงฉินหยุดลง ไป๋เฟิงซีก็ลืมตาขึ้นมองอวี้อู๋หยวน กล่าวชื่นชมอย่างแผ่วเบา โลกนี้ก็มีเพียงคนผู้นี้ที่สามารถดีดฉินให้เกิดเสียงอันปราศจากธุลีแห่งโลกียะเช่นนี้ได้

“เกาซานหลิวสุ่ย เสียงฉินของเกาซานมีเพียงหลิวสุ่ยจริงๆ ด้วยที่ฟังเข้าใจ” อวี้อู๋หยวนเหลือบตาขึ้นมองนาง คลี่ยิ้มบางเบา

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็จรดสายตานิ่ง เกาซานหลิวสุ่ย เขาและนางจะเป็นได้หรือ

“เพลงฉินเพลงนี้ชื่อว่าอะไรหรือ” นางถาม

“ไม่มีชื่อ” อวี้อู๋หยวนแหงนหน้ามองจันทร์กระจ่างกลางฟ้า “บทเพลงเมื่อครู่ข้าบรรเลงไปตามอารมณ์ในขณะนี้เท่านั้น”

“ฮ่าๆๆ ฉินของท่านไม่มีชื่อ นึกไม่ถึงว่าบทเพลงที่ฉินของท่านบรรเลงก็ไม่มีชื่อเช่นกัน” ไป๋เฟิงซียื่นมือคว้าฉินมา ดีดส่งเดชคราหนึ่ง สายฉินพลันส่งเสียงใสบริสุทธิ์ “ดีดเรื่อยเปื่อยก็เกิดท่วงทำนองอันไม่สามัญได้ มิน่าเล่าคนทั่วแผ่นดินถึงได้ยกให้ท่านเป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

อวี้อู๋หยวนยิ้มบาง บนโต๊ะศิลามีสุราสองไหที่ไป๋เฟิงซีนำมา เขาประคองไหขึ้นรินสุราสองจอกจนเต็มปริ่ม จากนั้นจึงยื่นจอกหนึ่งให้ไป๋เฟิงซี อีกจอกถือไว้ในมือ เอื้อนเสียงอย่างไม่เร่งร้อนว่า

 

“คืนใสไร้ธุลี ศศีดุจหิรัญ น้ำจัณฑ์รินเมื่อใด ให้จอกไซร้ปริ่มหนัก

เมินศักดิ์เมินยศถา กายใจล้าเปล่าสูญ

อาดูรทอดถอนใจ อาชาไวผ่านช่อง ไฟว่องดับกลางหิน ชั่วสุบินผันผ่าน”

ไป๋เฟิงซีถือจอกในมือ มองอวี้อู๋หยวน จากนั้นก็รับด้วยรอยยิ้มละไมว่า

 

“แม้เชี่ยวชาญพร้อมสรรพ ใครสดับจำนรรจ์ เกษมสันต์แช่มชื่น สราญรื่นเปี่ยมล้วน

เมื่อใดหวนพนา ทำชีวาผ่อนว่าง กางโต๊ะฉินจัดเข้า อีกหนึ่งวางกาเหล้า พิศเส้นเมฆา”

 

“เมื่อใดหวนพนา ทำชีวาผ่อนว่าง…” อวี้อู๋หยวนทวนคำ ถอนหายใจเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน เขาแหงนศีรษะดื่มเมรัยในจอกจนสิ้น จากนั้นถึงหันไปมองผาตระหง่านหมื่นจั้งที่นอกศาลา “หวนคืน…หวนคืน อีกไม่นานแล้ว”

“หืม?” ไป๋เฟิงซีเพิ่งดื่มสุราหมดจอก พอได้ยินเช่นนั้นใจก็กระตุกวาบโดยไม่มีสาเหตุ มือที่วางจอกลงสั่นสะท้าน จอกกระเบื้องกระทบผิวโต๊ะเกิดเสียงเบาๆ “หรืออวี้กงจื่อก็ประสงค์เช่นเดียวกับในคำประพันธ์ ไปเป็นผู้เร้นกายอยู่ในพนา?”

สายตาอวี้อู๋หยวนยังคงมองผาหมื่นจั้ง เพียงเอ่ยเสียงค่อยว่า “ไร้บุญเป็นผู้เร้นกาย ใกล้ต้องกลับไปจริงๆ แล้ว”

ไป๋เฟิงซีตะลึง เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็พลันยิ้ม “หรือคืนนี้จะเป็นการอำลา อวี้กงจื่อต้องกลับไป แต่มิรู้ว่ากลับไปยังที่ใด กลับเมื่อไร และมีผู้ใดกลับไปด้วย”

อวี้อู๋หยวนเหลียวหน้ามามองนาง สายตาเลื่อนลอย น้ำเสียงวังเวง “ไม่มีผู้ร่วมทาง ไปตัวคนเดียว อาจจะในเวลาใกล้มาก หรืออาจจะอีกสักระยะ”

“ตัวคนเดียว?” ไป๋เฟิงซียังคงยิ้ม ยิ้มอย่างเจิดจ้า จากนั้นถึงผลักฉินกลับไปอยู่ตรงหน้าเขา “อย่างน้อยก็ต้องพาฉินนี้ไปด้วย เกาซานไม่ว่าไปที่ใด ไม่ว่าจะมีหลิวสุ่ยเคียงข้างหรือไม่ อย่างน้อยก็มีฉิน!”

รอยยิ้มบนดวงหน้าไป๋เฟิงซีทำให้อกของอวี้อู๋หยวนปวดแปลบ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ สายตาที่มองนางลึกล้ำยากเข้าใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เฟิงซี ข้าไม่ใช่เกาซาน แต่ไรมาข้าไม่เคยเป็นเกาซาน…” พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักราวกับมีบางสิ่งจุกลำคอไว้ มิอาจเอ่ยวาจาได้อีก

ไป๋เฟิงซีมองเขา มองด้วยสายตาแฝงแววคาดหวังอันเปราะบาง รอคอยคำพูดของเขา รอให้เขาเอ่ยออกมา…

“ข้าก็คืออวี้อู๋หยวน” วาจาสุดท้ายหลุดออกมาอย่างแผ่วเบา คล้ายกับเพื่อเอ่ยคำนี้อวี้อู๋หยวนได้ใช้แรงใจที่มีจนหมดสิ้น สีหน้าเขาซีดขาวอ่อนล้าทันตาเห็น

“ข้ารู้” ไป๋เฟิงซีบรรจงดึงมือออกจากมือของเขา มือเท้าเย็นเฉียบในทันใด นางรำพันว่า “ลมฝนพันสิงขร อวี้สัญจรเดียวดาย ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา ข้าควรรู้นานแล้วมิใช่หรือ”

ครั้นได้ยินดังนั้นอวี้อู๋หยวนก็หลุบตาลงมองฝ่ามืออันว่างเปล่าของตน รอยยิ้มฝาดขมผุดขึ้นบนดวงหน้า “กล่าวได้เหมาะเจาะนัก ผู้ที่คิดคำสี่วรรคนี้มองเห็นชีวิตของข้าอวี้อู๋หยวนจนทะลุได้หรืออย่างไร”

“ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา…” ไป๋เฟิงซียิ้มหมองชืด ยิ้มอย่างยากเย็นแสนเข็ญ อู๋หยวน…อู๋หยวน ก็คือไร้วาสนาอย่างไรเล่า!

“มิใช่ทั่วหล้าปลง เป็นข้าต่างหากที่ปลง” อวี้อู๋หยวนเคลื่อนสายตามายังนาง ในดวงตามีบางสิ่งที่มีทีท่าว่าจะโถมเทระบายออกมา ทว่าเขาพลันเบือนศีรษะหนี มองหุบเขามืดวังเวงไม่เห็นก้นที่ถัดจากหน้าผาไป

“ไม่ว่าผู้ใดปลงก็ล้วนแต่ไร้วาสนา” ไป๋เฟิงซีผุดลุกขึ้น จ้องอวี้อู๋หยวนเขม็ง “แต่หากมีวาสนาแล้วทำเป็นไร้วาสนา เช่นนั้นก็น่าหัวเราะและน่าเศร้า”

อวี้อู๋หยวนยังคงจ้องหุบเขาลึกไม่ขยับ

ไป๋เฟิงซีหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแววอ้างว้างทั้งหมดก็ถูกกวาดทิ้ง “ท่านบรรเลงฉินให้ข้าเพลงหนึ่ง ข้าก็จะมอบบทเพลงหนึ่งให้ท่านเช่นกัน” สิ้นคำก็สะกิดปลายเท้า ทิ้งร่างลงยังที่ว่างกว้างหนึ่งจั้งนอกศาลา มือนางสะบัด ภูษาขาวในแขนเสื้อเหินออก

 

“ฤดูสารทเที่ยวล่อง ท่องลำธารอู่หลิงตฤณเขียวยิ่งหยกงาม

ตามฟากฝั่งวารี ดอกท้อมีสุดนับ ขมิ้นจับเหนือกิ่ง

ข้าหมายยิ่งจะผ่าน หมู่ไม้บานสะพรั่ง ไปถึงยังมรรคา

เชื่อมเวหาเมฆขาว ลึกสู่ด้าววาริท ต้นประดิษฐ์เส้นรุ้ง

เกรงแต่มุ่งเข้าหา พุ่มบุปผาลึกล้ำ จะถูกน้ำค้างแดง ซึมเข้าแฝงอาภรณ์”

 

นางแย้มริมฝีปากขับขาน ร่างก็ร่ายรำตามทำนอง เสียงร้องใสกังวาน ระบำพลิ้วดั่งวิหคโผผิน ภูษาขาวม้วนตลบ ชายอาภรณ์โบกไสว ท่ามกลางสีแห่งรัตติกาลและสายลมชื่นประหนึ่งนางเป็นเทพธิดาที่ลงมายังโลกแล้วเริงระบำขับขานเสียงหวานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ท่วงท่าชดช้อยตามธรรมชาติ รูปโฉมเลิศหล้า

 

“นั่งเหนือก้อนหินแก้ว อิงหมอนแพร้วจินดา หัตถาดีดฉินหยก

เทพผู้ตกจากฟ้า เร้นกายาที่ใด ข้าไร้ผู้พาที จอกมณีร่วมร่ำ

ข้าหวังอมฤต ละคู่ชิดเชยชม ไม่ต้องตรมหม่นหมอง ไร้เรื่องต้องหวนไห้

คลาไคลรำลงเขา เมาเมรัยฤทธิ์กล้า เดือนแจ่มบนผืนฟ้า ย่างเยื้อง ตามคน”

 

เมื่อถึงประโยคสุดท้ายของบทเพลง ภูษาขาวก็พุ่งตรงสู่เวหา พันรอบไม้สูงต้นหนึ่งไว้ จากนั้นร่างก็โยกไหวอย่างแผ่วเบา พลิ้วผ่านประหนึ่งไกวชิงช้า พริบตาเดียวเงาร่างก็หายลับ เหลือเพียงเสียงใสสะท้อนไปมาในสายลมแห่งราตรีท่ามกลางขุนเขาสูงตระหง่าน

บนภูเขา ดวงเดือนสุกสกาวยังคงเดิม ศาลาหินไม่แปรเปลี่ยน ทว่าสายลมราตรีเปลี่ยวดาย ไอหนาวชำแรกผ่านดังสายน้ำ

ผ่านไปเป็นนานอวี้อู๋หยวนถึงยื่นมือเคลื่อนฉินเข้าหาตัว ทาบมือทั้งสองลง เสียงฉินพลันกังวานขึ้น ความอ้างว้างทุกข์ตรมในใจสอดประสานกับสำเนียงฉิน ระบายสิ้นดั่งจับเท

 

“โค้งเวหาเวิ้งว้าง                                                จันทร์แจ่มพร่างกระจ่างนวล

ฝุ่นแดงตลบอวล                                            เงาทอดด้วนให้เคว้งคว้าง

หมายมุ่งขึ้นอัมพร                                             กลางเมฆจรหานวลนาง

หวังพาดบันไดวาง                                            สู่คคนางค์ครามตา

สามหมื่นหกพันลี้                                             แค้นไม่มีซึ่งรัจฉา

หม่นมองชลนา                                                  ไหลเรื่อยมาเป็นวารี

เรียบดุจคันฉ่องส่อง                                          จันทร์นวลผ่องและมาลี

เดือนเต็มบุปผาดี                                                ตัวข้านี้เคลิ้มงมงาย

โอ้เอ๋ย…

ฟ้าโปรยน้ำแข็งเย็น                                            จันทร์ข้าเป็นอันสลาย

ดินโหมลมแรงร้าย                                           ซัดบุปผาข้าพังภินท์

โอ้เอ๋ย…

เทสิ้นวัสสะเย็น                                                   เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล

ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์  หลงสุบินเพียงเปล่าดาย

โอ้เอ๋ย…

เทสิ้นวัสสะเย็น                                                   เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล

ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์  หลงสุบินเพียงเปล่าดาย…”

 

เสียงเพลงทอดยาวดั่งร่ำไห้ แฝงความสิ้นหวัง เศร้าคับแค้น เดียวดาย และทุกข์ระทม

ณ กลางป่าลึกไป๋เฟิงซีนั่งกอดเข่า สดับเสียงขับขานประสานทำนองฉินอันแว่วมาจากยอดเขา นัยน์ตาพร่าคลอด้วยน้ำ ดั่งคร่ำครวญ ดั่งร่ำไห้

“เทสิ้นวัสสะเย็น เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์ หลงสุบินเพียงเปล่าดาย…อวี้อู๋หยวน ท่าน…ท่าน…”

คำว่า ‘ท่าน’ ค้างอยู่ที่ไรฟันครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ถูกกลืนลงไป เพียงแค่ถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบภูษาขาวบนพื้นขึ้น สืบเท้ามุ่งหน้าลงเขาไป

บนยอดเขา อวี้อู๋หยวนก้าวออกจากศาลาหิน แหงนศีรษะมองอัมพรอันไร้ที่สิ้นสุด ดวงจันทร์สุกสว่าง จันทร์กระจ่างผู้ไม่รับรู้ทุกข์โศกบนโลกมนุษย์ ไฉนจำเพาะต้องเต็มดวงในวันพลัดพราก

เขาหลับตาลง ตัดขาดกับดวงเดือน ปิดบังอารมณ์ทั้งหมดไว้ แต่กลับมิอาจระงับความจาบัลย์ในอกได้

สุดท้ายก็ปล่อยไปแล้ว สิ่งเดียวในชีวิตนี้ที่ชวนให้หวั่นไหวจนอยากจะคว้ามาครองก็ยังปล่อยมือไปแล้ว!

ท่านนึกว่าข้าสละ ‘คู่ชิดเชยชม’ เพื่อ ‘หวังอมฤต’ กระนั้นหรือ แท้ที่จริงข้ายินดีสละ ‘อมฤต’ เพื่อแลกกับ ‘เทพผู้ตกจากฟ้า’ ที่จะมาร่วมร่ำ ‘จอกมณี’ เหลือเกิน! ทว่า…

เฟิงซี ขอโทษด้วย สุดท้ายก็ทำให้ท่านผิดหวัง!

คนเราหากมีชาติภพหน้า เช่นนั้นขอท่านและข้าอาศัยบทเพลงนี้เป็นพยาน ให้ผันผ่านพันวัฏฏะร้อยสังสาร มหานทีแปรเป็นผืนดิน เราทั้งสองก็ยังจะได้พานพบ

 

เดือนสี่ วันที่สอง

โยวอ๋องเชื้อเชิญยอดคนจากแคว้นต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยง ณ ตำหนักจินหวา เทียบเชิญถูกส่งมาให้ไป๋เฟิงซีใบหนึ่งเช่นกัน ทว่าหลังนางกลับจากเขาเทียนจือ อารมณ์ก็หม่นหมอง เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนน้อยไม่ยอมออกมา ล่วงมาจนวันนี้นางก็ยังคงขาดจิตกระปรี้กระเปร่า ไม่อยากขยับเขยื้อน

เข้าวังไปเพื่ออันใด ไปชมฉุนหรานกงจู่มอบพู่กันทองเลือกคู่? เกี่ยวแก่ข้าตรงไหนกัน! นางแค่นเสียงเย็นชาผ่านจมูก

ทว่าเมื่อถึงยามเที่ยง เฮยเฟิงซีกลับเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง ไป๋เฟิงซีมองแผ่นหลังของเขาแล้วยิ้มเย้ยหยัน หัวใจขื่นขมขึ้นเป็นระลอกโดยมิทราบสาเหตุ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมส่ายหน้า สลัดอารมณ์ขุ่นมัวในสมองทิ้ง ก่อนจะย้ายม้านั่งยาวตัวหนึ่งมาวางกลางลานแล้วนอนอาบแดด ทางหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่แสนสบายและอิสรเสรีเหลือเกิน ไยต้องหาความขุ่นมัวมาใส่ตน

ส่วนขุ่นมัวในเรื่องใด ขื่นขมในเรื่องใด นางก็ไม่ยอมขบคิดให้ถี่ถ้วน และไม่ยินดียอมรับ

 

ณ ตำหนักจินหวา เฮยเฟิงซีจิตใจไม่ใคร่จะอยู่กับเนื้อกับตัว

กล่าวตามเหตุผลในตำหนักเวลานี้ด้านบนมีโยวอ๋อง ด้านล่างมีศัตรูแข็งกล้าเช่นหวงเฉา อวี้อู๋หยวน อีกทั้งบรรดายอดคนผู้มีความสามารถแตกต่างกันไป มิพักต้องเอ่ยถึงว่าวันนี้เป็นวันมหามงคลที่จะกำหนดตัวเขยแห่งโยวโจว กล่าวอย่างไรเขาก็ควรรวบรวมสมาธิรับมืออย่างจริงจังถึงจะถูก ทว่านับแต่ก้าวเข้าสู่ตำหนัก เฮยเฟิงซีก็ใจลอย สติไม่อยู่กับตัวมาตลอด

“เฟิงกงจื่อ”

เสียงเรียกดังขึ้นที่ข้างหู เฮยเฟิงซีพลันได้สติ ฉุนหรานกงจู่ก้าวเข้าสู่ตำหนักแล้ว นางกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะของเขานี่เอง ดวงเนตรงดงามจ้องมองอย่างมีความนัยเปี่ยมล้น

ใช่สินะ งานเลี้ยงดำเนินไปถึงครึ่งแล้ว ตอนนี้กงจู่จะเริ่มเลือกสามีแล้ว

ฉุนหรานกงจู่ในวันนี้งามเจิดจ้าและสูงศักดิ์อย่างวิเศษ นางแต่งกายด้วยอาภรณ์แพรไหมสีชมพูเพริศพรายเยี่ยงชาววัง เกศาหวีเป็นมวยเทพธิดาเหินกลางเกศาประดับด้วยจุฑาภรณ์เฟิ่งหวง สองข้างของมวยปักด้วยปิ่นเฟิ่ง ปิ่นมุก ปู้เหยา คิ้วเรียวงามเขียนบางๆ โอษฐ์แดงฉ่ำแต้มชาดน้อยๆ ยามทอดมองมาทางเขา ปรางขาวดั่งหิมะก็ฉาบด้วยเมฆายามสายัณห์อันแดงเรื่อเรือง เฉิดฉายหมดจดเหลือพรรณนา เป็นหญิงงามผู้เลิศโฉมแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่งในโลกมนุษย์

ทว่าหัวใจอันฟุ้งซ่านสับสนกลับสำนึกได้ เขาเยือกเย็นลงในชั่วขณะนี้เอง นางมิใช่นาง! มิใช่นาง!

เฮยเฟิงซีผุดลุกขึ้นยืนทันที เนื่องจากลุกกะทันหันเกินไป โต๊ะจึงถูกเขาชนจนไหวไปมา เสียงกระแทกเบาๆ นั้นทำให้สายตาของทุกคนในตำหนักเบนมาหา บ้างก็ตรวจสอบ บ้างก็คมปลาบ บ้างก็ริษยา บ้างก็งุนงง บ้างก็ดูแคลน…

“เฟิงกงจื่อ” ฮว่าฉุนหรานเห็นเขาพลันลุกขึ้นก็เพียงนึกว่าเขาตื่นเต้น เมื่อคิดเช่นนี้ในหัวใจก็ทั้งขวยอายทั้งหวานชื่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นขึ้นน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว คือเขา คือเขาผู้นี้ไม่ผิด ดวงเนตรดังสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงมองเขาอย่างอ่อนหวาน นางยกแขนขึ้นน้อยๆ แขนเสื้อนุ่มลื่นไหลลง เผยปลายนิ้วเนียนดุจหยกออกมาเล็กน้อย ที่ปลายนิ้วมีประกายสีทองสะท้อนไหววาบ นั่นคือ…

“กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญยังมิได้สะสาง ต้องทูลลาไปก่อน ขอโยวอ๋องและกงจู่โปรดอภัย” เฮยเฟิงซีก้าวออกมาหนึ่งก้าว คารวะโยวอ๋องและฮว่าฉุนหราน จากนั้นก็สาวเท้ายาวก้าวออกจากตำหนักไปโดยไม่รอให้ผู้ใดทันตั้งตัว

เสียงระเบ็งเซ็งแซ่อื้ออึงขึ้นทั่วตำหนัก โยวอ๋องโกรธาอย่างมาก ฮว่าฉุนหรานตระหนกตกใจ กระทั่งหวงเฉาก็ไม่เข้าใจ มีเพียงอวี้อู๋หยวนที่หลุบตาลงถอนใจเบาๆ จากนั้นก็ยกจอกเมรัยขึ้นดื่มจนหมด

“ฮ่าๆๆๆ…” อย่างไรเสียโยวอ๋องก็เป็นถึงเจ้าครองแคว้น เขาคืนสู่อารมณ์ปกติได้อย่างรวดเร็วและยกจอกขึ้น “เฟิงกงจื่อมีธุระต้องขอตัวก่อน ข้าก็ไม่อาจรั้งให้ลำบากใจ ส่วนเมรัยเลิศรสในส่วนของเขา ทุกท่านห้ามเกี่ยงงอน ต้องดื่มแทนเขาด้วย! มา ดื่มให้หมดจอก!”

“โยวอ๋องรับสั่งได้ถูกต้อง พวกเราคารวะโยวอ๋องหนึ่งจอก!” คนทั้งปวงชูจอกอย่างพร้อมเพรียง

ฮว่าฉุนหรานก็ยกจอกบนโต๊ะของเฮยเฟิงซีขึ้น พริบตาที่เงยหน้าดื่มจนหมด รสฝาดขมและเค็มก็ไหลลงสู่ลำคอพร้อมกัน นางวางจอกเมรัยลง หยาดน้ำตาหลั่งรินลงกลางจอก ในตำหนักอันอึงอลนางกลับได้ยินเสียงวังเวงเบาๆ ที่ส่งมาจากจอกได้อย่างถนัดหู หญิงสาวขบริมฝีปากไว้ สะกดกลั้นก้อนสะอื้นแห่งความอาดูรที่กำลังจะหลุดออกมา

ฮว่าฉุนหรานกำพู่กันทองคำในมือแน่น หมุนร่างด้วยท่วงท่าชดช้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครา นางก็เป็นฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจวผู้งดงามไร้เปรียบปาน สูงศักดิ์งามสง่าเช่นเดิม!

รอยแย้มสรวลเรียบๆ อันเหมาะควรผุดขึ้นบนดวงพักตร์หยกไร้มลทิน เท้าเยื้องกรายแช่มช้าไปทางหวงเฉา ซื่อจื่อแห่งจี้โจวผู้สูงส่งหยิ่งผยองผู้นั้น…นางกำพู่กันทองในมือแน่นประหนึ่งเกรงว่ามันจะพลันหลุดมือไป

 

ปัง!

เสียงดังเลื่อนลั่นของประตูจวนที่ถูกผลักออกเต็มแรงปลุกให้ไป๋เฟิงซีผู้กำลังเคลิ้มใกล้หลับเพราะนอนอาบแสงอาทิตย์อุ่นอยู่กลางลานมีอันต้องสะดุ้งสุดตัว นางลืมตาลุกขึ้นนั่ง เห็นเฮยเฟิงซีกำลังยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาเขาจับจ้องมาที่ตน สีหน้ากลัดกลุ้มเหลือล้น

“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า อะไรกัน โยวอ๋องเลือกเจ้าเป็นเขยแล้วหรือ แต่ด้วยไมตรีที่คนงามแซ่ฮว่ามีต่อเจ้า เรื่องนี้ควรจะราบรื่นดั่งน้ำมาคลองบังเกิด” ไป๋เฟิงซีหยอกเย้าอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เอนตัวกลับลงไปบนม้านั่งยาวอีกครา

เฮยเฟิงซีไม่ตอบคำ เพียงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้านาง จ้องนางไม่วางตาโดยมิส่งเสียงแม้สักคำ

ไป๋เฟิงซีชักจะประหลาดใจ จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ถามอย่างข้องใจว่า “ท่าทางนี้ของเจ้าเหมือนกำลังโมโห? หรือว่าล้มเหลวเสียแล้ว?”

“หึ! ข้าไม่แต่งกับกงจู่แห่งโยวโจวแล้ว เจ้ายินดีมากใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็เงื้อขาเตะม้านั่งยาวจนพลิก ไป๋เฟิงซีไม่ทันระวังกิริยานี้ของเขาจึงร่วงลงไปก้มจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมม้านั่ง

“ฮ้า จริงรึ” ยามนี้ไป๋เฟิงซีลืมโกรธไปหมดสิ้น นางนั่งบนพื้นเงยหน้ามองเฮยเฟิงซี รอจนได้สัญญาณยืนยันจากใบหน้าของเขา มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มปรีดากำลังจะก่อร่าง ทว่าความคิดหนึ่งก็พลันวูบผ่านสมอง ทำให้รอยยิ้มปรีดาแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ฮ่าๆๆๆ…จิ้งจอกดำ หรืออย่างไรโยวอ๋องก็ไม่ชอบให้ชาวยุทธ์ต้อยต่ำอย่างเจ้ามาเป็นเขย แต่ถูกใจหวงเฉา ซื่อจื่อแห่งจี้โจวผู้ครอบครองกองทัพม้าเกราะยี่สิบหมื่นนั่น ดังนั้นเจ้าจึงหน้างอคอตกกลับมา ฮ่าๆๆๆ…ข้าขันจะตายอยู่แล้ว ที่แท้โลกนี้ก็มีสิ่งที่เจ้าทำไม่สำเร็จเหมือนกัน ตั้งใจวางอุบายเสียดิบดี แต่พอถึงเวลาก็เหลวจนได้!”

นางทางหนึ่งหัวเราะ ทางหนึ่งก็ลุกขึ้นจากพื้น มองสีหน้าอึมครึมของเฮยเฟิงซี มิเพียงไม่เก็บอาการ กลับยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “ฮ่าๆๆๆ…จิ้งจอกดำ เจ้าสู่ขอไม่สำเร็จก็มีโทสะถึงเพียงนี้ ช่างผิดจากนาม ‘สูงสง่า’ ของเจ้าโดยแท้ จุ๊ๆๆ ท่าทางปลอดโปร่งผ่อนคลายใจกว้างของเจ้าไปไหนเสียแล้วเล่า”

เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่หัวเราะลั่นไม่หยุด ท่วงท่าสง่างามมลายสิ้นไปไม่เหลือเงานานแล้ว ดวงตาเขาจ้องนางเขม็งราวกับจะพ่นไฟได้

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีเห็นอาการนี้ของเขาก็ยิ่งมองยิ่งเริงร่า กระเถิบเข้าไปหา เหลือบมองในอกเขา จงใจลดเสียงเบากล่าวว่า “จิ้งจอกดำ ที่จริงขอเพียงเจ้าหยิบของบางสิ่งออกมา โยวอ๋องจะต้องรีบรับเจ้าเป็นเขยแน่นอน เหตุใดจึงไม่ควักออกมาเล่า ลำพองตนเกินเหตุจึงเสียโอกาสอันงามไปเปล่าๆ ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปอย่างเปล่าประโยชน์!”

เฮยเฟิงซียังคงไม่เอ่ยคำ เพียงแต่แววตาอึมครึมขึ้นเป็นลำดับ สุดท้ายถึงขั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป

หลังจากเขาไปแล้ว ไป๋เฟิงซียังคงนอนอยู่บนม้านั่งยาว ปากรำพึงรำพันว่า “หาได้ยากนัก จิ้งจอกดำตัวนี้ถึงขนาดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เดือดแล้วก็ไม่ควรมาลงกับข้านี่ ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย ต้องรู้ว่าข้าก็ช่วยเขาไม่น้อย…”

เฮยเฟิงซีเข้าห้อง ผลักหน้าต่างออกก็มองเห็นไป๋เฟิงซีผู้เอนกายหลับตาพักสมองบนม้านั่งยาวท่าทางรื่นรมย์เป็นพิเศษ จึงเคาะกรงนกเหนือหน้าต่างเพื่อหยอกนกแก้วสีมรกตในกรงพร้อมกับเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ควรค่าเลยจริงๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่ ไม่ควรค่าเอาเสียเลย!”

 

วันต่อมาไป๋เฟิงซีอารมณ์ดีถึงสิบส่วนอย่างเห็นได้ชัด แต่เช้าตรู่ก็ปลุกหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ รีบลุกเร็ว วันนี้พี่สาวจะพาเจ้าไปเที่ยว”

“อ้า!” หานผู่ที่เดิมยังเลื้อยอยู่บนเตียงกระโดดผลุงออกจากผ้าห่มทันที

รอจนหานผู่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ไป๋เฟิงซีก็พาเขาออกไปข้างนอก เหยียนจิ่วไท่ก็ติดตามไปกับพวกเขาด้วย

ในจวนสงบลงชั่วครู่ จากนั้นเฮยเฟิงซีก็เปิดประตูก้าวออกมา

“กงจื่อ จะให้เตรียมรถม้าหรือไม่ขอรับ” จงหลีถาม

“ไม่ต้อง พกเงินไปก็พอ ไปเดินตลาดเลือกของขวัญสักชิ้นเพื่อร่วมยินดีในงานแต่งของฉุนหรานกงจู่” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

“ขอรับ”

หลังจากสองพี่น้องสกุลจงติดตามเฮยเฟิงซีออกนอกประตูไปแล้ว ประตูหน้าต่างเรือนตะวันตกก็เปิดออก เผยให้เห็นดวงหน้าอันงดงามอ้างว้างเย็นชาของเฟิ่งชีอู๋ นางมองแผ่นหลังเฮยเฟิงซีที่จากไป สะท้อนใจอย่างเงียบงัน

 

บนท้องตลาดอันครึกครื้นของเมืองหลวงแห่งโยวโจว ไป๋เฟิงซีที่กำลังจูงหานผู่ก็สะท้อนใจน้อยๆ เช่นกัน “โยวโจวมิเสียทีที่มั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น สถานที่ที่ข้าได้ผ่านในหลายปีมานี้มีน้อยนักที่จะเทียบความรุ่งเรืองกับเมืองหลวงโยวโจวได้”

“พี่สาว พวกเรายังต้องอยู่ที่โยวโจวอีกนานเท่าไร จะไปเมื่อใด แล้วเราจะไปที่ไหนต่อ” หานผู่ทางหนึ่งก็มองผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ทางหนึ่งก็ถาม

เหยียนจิ่วไท่ยืนอยู่หลังคนทั้งสองอย่างเงียบกริบ

ไป๋เฟิงซีอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผู่เอ๋อร์ วันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ วันนี้เที่ยวอย่างเดียว”

แม้น้ำเสียงนางจะราบเรียบ ทว่าหานผู่กลับฟังออกถึงแววหนักอึ้งในเสียงนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างเคลือบแคลง

“ซีเอ๋อร์!”

ขณะนั้นเอง เสียงดุจกำลังขับขานเพลงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทั้งสามมองตามต้นเสียงทันที

“จิ่วเวย!” ทันทีที่ไป๋เฟิงซีพบคนผู้นั้นก็โผเข้าไปหา คว้าเขามากอดไว้ ร้องเสียงดังอย่างยินดีว่า “จิ่วเวย! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

ชั่วขณะที่ผู้มีนามว่า ‘จิ่วเวย’ ถูกไป๋เฟิงซีกอด ก็สัมผัสได้ถึงสายตาสองคู่ที่ส่งตรงมาจึงเงยขึ้นมอง เขาเห็นบนสองฝั่งของถนนที่ห่างออกไปไม่ไกลมีกงจื่อสองคน หนึ่งอาภรณ์ดำ อีกหนึ่งอาภรณ์ขาวแยกกันยืนอยู่คนละฝั่ง เมื่อผู้แต่งอาภรณ์ขาวประสานสายตากับเขาก็ยิ้มบางๆ ส่วนผู้แต่งอาภรณ์ดำนั้นพยักหน้าน้อยๆ แทนคำทักทาย เขาก้มหน้ามองไป๋เฟิงซีที่กอดตนอยู่ อดยิ้มน้อยๆ มิได้ แววตาช่างดีนัก

“ซีเอ๋อร์ เจ้ารัดคอข้าจนจวนจะหักอยู่แล้ว” จิ่วเวยดึงแขนไป๋เฟิงซีที่รัดรอบลำคอตนออกพร้อมกับร้องขึ้น

“จิ่วเวย ข้าไม่ได้พบเจ้ามานานเหลือเกิน เจ้าไปอยู่ที่ใดมา” ไป๋เฟิงซีปล่อยมือพลางถามขึ้น

“ข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทั้งสี่ทิศ” จิ่วเวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทั้งสี่ทิศเช่นกัน ไฉนพวกเราจึงไม่ได้พบกันระหว่างทางบ้างเลยเล่า” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีคับข้องอยู่ไม่น้อย

ด้านข้าง หานผู่และเหยียนจิ่วไท่พากันมองคนผู้มีนามว่าจิ่วเวยอย่างตะลึงตะไล ในดวงตามีแววงุนงงสงสัย พวกเขาใกล้ชิดกับไป๋เฟิงซีมาระยะหนึ่งแล้ว พอคุ้นเคยกับนิสัยนางอยู่บ้าง แม้จะดูไม่ระวังกิริยาวาจา เข้าได้กับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ทว่าเมื่อคบหาผู้ใดแท้ที่จริงก็ยังมีระยะใกล้ไกลอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋เฟิงซีปฏิบัติต่อคนผู้นี้เป็นพิเศษ นางมีความชิดเชื้อและนิยมชมชอบให้แก่เขา จุดนี้แม้แต่เฮยเฟิงซีที่รู้จักกับนางมานานที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้

หานผู่และเหยียนจิ่วไท่พิเคราะห์คนผู้นี้อย่างถี่ถ้วน ใคร่รู้ว่าเขามีที่ใดพิเศษที่ทำให้ไป๋เฟิงซีมองเขาต่างไปจากผู้อื่น

จิ่วเวยอายุราวสามสิบ รูปร่างผอมสูง หน้าตาธรรมดา สวมชุดสีคราม ผมยาวที่รวบไว้ที่ท้ายทอยด้วยผ้าสีครามห้อยระลงมาตามหัวไหล่และแผ่นหลัง หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นเพียงบุรุษธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อมองซ้ำเป็นคราที่สองกลับรู้สึกว่าเขาผู้นี้พิเศษยิ่ง แต่พิเศษที่ตรงใดก็มิทราบ อาจเป็นเมื่อเขาเลิกคิ้วขยับปาก อาจเป็นเมื่อดวงตาทั้งสองของเขาพิศมองอย่างไม่ตั้งใจ ชวนให้รู้สึกว่าเขามีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์บางประการ คนผู้นี้เป็นจำพวกที่มองคราแรกไม่มีที่ใดดึงดูดสายตา ทว่าเมื่อได้พบเขาเป็นคราที่สอง ก็จะสามารถจำเขาได้ในปราดเดียว

จิ่วเวยดึงไป๋เฟิงซีมามองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็ชื่นชมเสียงแผ่วเบาว่า “สิบปีกลับมาพบ แววสะคราญส่องนัยน์ตาสุกใสไม่มีเปลี่ยน!”

“เจ้าก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเช่นกัน” ไป๋เฟิงซีพิจารณาจิ่วเวย

“พี่สาว!” หานผู่เดินเข้าไปแย่งมือไป๋เฟิงซีกลับมาจับจูงไว้ในมือตนตามเดิม ดวงตาจ้องจิ่วเวยเขม็ง เจตนาของเขามิเอื้อนเอ่ยก็เป็นที่ประจักษ์

ไป๋เฟิงซีท่าทีไม่คล้อยตาม นางผลักหานผู่ไปอยู่ตรงหน้าจิ่วเวย “จิ่วเวย นี่คือหานผู่ที่ข้าเพิ่งรับเป็นน้องชาย เป็นอย่างไรเล่า สวยมากกระมัง” จากนั้นก็เขกศีรษะหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ ท่านนี้คือจิ่วเวย เป็นนายแห่งหอลั่วรื่อที่ฉีอวิ๋น เป็นพ่อครัวใหญ่อันดับ…เอ่อ อันดับต้นๆ ในใต้หล้า ทำอาหารอร่อยอย่างยิ่ง!”

“น้องชาย?” จิ่วเวยมองหานผู่แวบหนึ่ง ย่อมไม่พลาดสีหน้าระแวดระวังบนดวงหน้าจ้อยร่อยนั่น จึงเอ่ยกลั่นแกล้งว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่มีน้องชายน้องสาว นี่คงมิใช่บุตรชายเจ้ากระมัง หืม ให้ข้าดูที ประพิมพ์ประพายคล้ายอยู่หลายส่วนเสียด้วย”

“อ่ะแฮ่ม…” เห็นได้ว่าไป๋เฟิงซีถูกวาจานี้กระทำจนมีอันต้องสำลัก นางเงื้อหมัดได้ก็ทุบลงหัวไหล่จิ่วเวย “รู้จักกับเจ้ามาหลายปี ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะกล่าวน้อยแต่ลงมือหนักเช่นนี้”

“โอ๊ย ซีเอ๋อร์เจ้าเบาหน่อยซี” จิ่วเวยคลำหัวไหล่พร้อมกับร้องเจ็บ “ต่อให้ถูกข้าพูดแทงใจดำ เจ้าก็ไม่เห็นต้องร้อนตัวทุบหนักถึงเพียงนี้เลย รู้ไว้ด้วยว่าข้าเป็นคนธรรมดา ต้านทานกระบวนท่าไป๋เฟิงซีไม่ไหวหรอกนะ”

“หึ…ผู้ใดให้เจ้าพูดเหลวไหลกันเล่า” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วเหล่ตามองเขา “บัดนี้ปรับให้เจ้าทำอาหารเลี้ยงข้าหนึ่งโต๊ะเป็นการด่วน มิฉะนั้นข้าจะรับขวัญเจ้าด้วยวรยุทธ์สิบแปดกระบวนท่า!”

“เฮ้อ!” จิ่วเวยมือทาบหน้าผากถอนใจยาว “จะมีสักครั้งหรือไม่ที่เจ้าพบข้าแล้วจะไม่เอ่ยถึงเรื่องกิน ข้าท่องทั่วหกแคว้นก็ไม่เคยพบสตรีตะกละเช่นเจ้าเป็นผู้ที่สองเลย!”

“ฮ่าๆ ผู้ใดให้ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้าก็ไพล่นึกถึงอาหารที่เจ้าทำกันเล่า” ไป๋เฟิงซีมือหนึ่งคล้องแขนเขา มือหนึ่งจูงหานผู่ “ไปได้แล้วๆ ข้ารู้ว่าสถานที่ซึ่งคนอย่างเจ้าพักต้องสบายที่สุดเป็นแน่ เราไปที่พักของเจ้ากัน”

ก่อนจากจิ่วเวยยังเหลียวกลับไปมองคราหนึ่ง กงจื่ออาภรณ์ดำและขาวที่สองฟากถนนหายไปไม่เหลือร่องรอยนานแล้ว ที่แต่งดำต้องเป็นจิ้งจอกดำเฮยเฟิงซีที่ซีเอ๋อร์กล่าวถึงบ่อยๆ เป็นแน่ เช่นนั้นที่แต่งขาวเล่า ท่วงท่าผุดผ่องปราศจากมลทินเช่นนั้น แผ่นดินนี้ไร้ที่สอง คาดว่าคงมีเพียงอวี้กงจื่อ อวี้อู๋หยวนผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นกระมังจึงจะมีบุคลิกเช่นนี้ได้

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: