X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน

ทดลองอ่าน สามชาติผูกพันแม่น้ำลืมเลือน บทที่หนึ่ง – บทที่สิบแปด

หน้าที่แล้ว1 of 18

พลัดพรากจากสิ่งที่รัก

 บทที่หนึ่ง

ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้ผ่านแม่น้ำลืมเลือน* เรียกข้าว่าหินสามชาติซานเซิง หลังจากนั้นมีบางคนทอดทิ้งข้า บางคนจับจูงมือกันสลักบุพเพในชาติก่อนของพวกเขาลงบนตัวข้า บางคนคร่ำครวญโหยไห้เบื้องหน้าข้า

แต่ข้าเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งข้างแม่น้ำลืมเลือน ไร้เศร้าสุข ไร้ทุกข์ยินดี ข้าเฝ้าอยู่เงียบๆ ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาพันปีจนมีจิตวิญญาณในที่สุด

วิญญาณของสรรพชีวิตล้วนต้องผ่านเคราะห์กรรมเป็นธรรมดา ทว่าข้ากลับผ่านมาแล้วร้อยปีอย่างสงบมั่นคง จนกระทั่ง…

เคราะห์รัก

นักพรตหนวดขาวที่ข้ามแม่น้ำลืมเลือนดูโหงวเฮ้งให้ข้า ส่ายหัวไปมาขณะทำนายคราวเคราะห์ของข้า

ข้าเพียงทำเป็นว่าเขากำลังผายลม ข้าคือวิญญาณของหินสามชาติ จิตวิญญาณของก้อนหิน จิตใจของก้อนหิน ไอหยิน ริมฝั่งแม่น้ำลืมเลือนที่ไม่เคยหายไปตลอดปียิ่งทำให้ข้าเยือกเย็นมั่นคง ไร้รักไร้ร้ายไม่หวั่นไหว แล้วเคราะห์รักจะมาจากไหนอีก

ยามนั้นข้าคิดเช่นนี้

แต่ว่าทุกเรื่องย่อมมีสิ่งเหนือความคาดหมาย

ยามบ่ายอันทึบทึมวันหนึ่งในปรโลก ข้าเดินเล่นกลับไปกลับมาอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนไม่เปลี่ยนแปลงมาตลอดเหมือนปกติ ข้าเงยหน้าขึ้นมองท่ามกลางความมืดมิดของไอหยินที่แผ่คลุมหนาทึบ คล้ายว่าแสงอาทิตย์ของโลกมนุษย์ฉีกทลายชั้นหมอก สาดส่องดอกปี่อั้น* ที่กระจัดกระจายอยู่บนทางน้ำพุเหลือง** ให้งดงาม

ชายหนุ่มผู้นั้นเยื้องย่างเข้ามา

ข้าพลันนึกถึงประโยคที่หญิงชาวมนุษย์ผู้หนึ่งพึมพำผ่านตัวข้าเมื่อหลายปีก่อนหน้าขึ้นมาได้ ‘มีบุรุษผู้เล่าเรียนดั่งเจียระไน ดั่งกลึงเกลาสลักเหลาดั่งบดเพียร***

กว่าพันปีผ่านมาดวงใจของข้าขยับไหวเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก ข้าคิดว่าบางทีนี่คงเป็นรักแรกพบที่ในนิทานชาวบ้านของโลกมนุษย์กล่าวถึงกระมัง

เขาเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ แน่นอนว่าไม่ได้มาหาข้า เพียงเพราะว่าด้านหลังของข้าคือสะพานอนิจจัง* ที่จำเป็นต้องข้ามผ่านยามเข้าสู่ปรโลก ข้ารู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่จะเจอคนงดงามถึงเพียงนี้ สมควรที่จะพบปะสร้างความทรงจำดีงามกับเขาสักครั้งหนึ่ง

ข้าเดินขึ้นหน้าเอ่ยเรียกแผ่วเบา “คุณชาย” ข้าอยากคารวะเขาเหมือนกับคุณหนูที่ได้รับการอบรมในนิทานชาวบ้านแบบนั้น แต่นิทานชาวบ้านของโลกมนุษย์เพียงพูดประโยคคารวะ ไม่ได้บอกถึงการเคลื่อนไหวและท่าทาง

ข้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเลียนท่าทางปกติของเหล่าวิญญาณยามร่ำไห้กับท่านพญายม สองเข่าคุกลง โขกหัวเสียงดังให้เขาสามครั้ง “คุณชาย ขอบังอาจถามว่าท่านมีนามอันไพเราะว่าอะไร”

เหล่ายมบาลโดยรอบสูดหายใจเสียงเย็นเข้าสองครา เขายืนทื่ออยู่ตรงนั้น ในสายตามีแววประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ตอบคำข้าชั่วขณะ

การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นต้องมีความจริงใจ ยมทูตดำยมทูตขาวเฮยไป๋อู๋ฉาง** เคยพูดคำนี้บ่อยๆ ‘มีความจริงใจจึงทำงานได้ดี’ ดังนั้นทุกครั้งพวกเขาจึงสามารถนำสามวิญญาณเจ็ดจิต*** กลับมาได้อย่างว่าง่าย

ข้าเห็นเขาไม่ตอบคำข้า ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้สึกว่าอาจเพราะตนโขกหัวได้ไม่ดังพอ ไม่ได้แสดงความจริงใจออกมา ดังนั้นข้าจึงเดินเข่าไปข้างหน้าสามก้าว โขกหัวหนักๆ อย่างไม่เสียดายแรงอีกสามครั้ง แทบจะโขกจนพื้นดินสั่นสะเทือนสามครา

ยมบาลรอบตัวสูดหายใจเฮือกๆ คล้ายตกใจจนสับสน

ข้าเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยใบหน้ามีเลือดสดหยดย้อย “คุณชายนามว่าอะไร”

อาจเพราะใบหน้าเปื้อนเลือดน่าสลดนี้ทำให้เขาหวาดผวาเข้า เขาจึงไม่พูดคำใด ข้าร้อนใจรีบเช็ดใบหน้าจนทั้งมือเปียกชุ่มไปหมด! ข้าไม่รู้เลยว่าตนเองถึงกับหลั่งเลือดมากเพียงนี้ ทันใดนั้นพลันเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทางทึ่มทื่อเช่นนั้น

ข้าตื่นตระหนก มือเท้าเช็ดถูสับสนไปพักหนึ่ง ผลคือทำจนทั่วร่างตนเต็มไปด้วยเลือดเหนอะหนะ

ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร

นัยน์ตางดงามของเขามีเงาของข้า จากนั้นหางตาโค้งปรากฏแววยิ้มสว่างไสว

แม้ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังเบิกบานอะไร แต่เห็นเขาสำราญใจข้าก็แสดงความเป็นมิตรด้วยการเผยฟันขาวสะอาดของตน แต่ไม่คาดว่าการกระทำเช่นนี้กลับขับเน้นให้คนหวาดกลัวรอยยิ้มเปื้อนเลือดนี้ยิ่งขึ้น

ยมบาลจย่า* ด้านข้างท่าทางร้อนรนพิกล เข้าประชิดข้างตัวแล้วดึงข้า แต่ข้าไม่ลุก เขาจึงพูดอย่างฉุนเฉียว “ท่านยายซานเซิงของข้า! ท่านทำท่าทางน่ากลัวเช่นนั้นทำไม! ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”

พลังเวทของข้าในหมู่ดวงวิญญาณแห่งปรโลกไม่นับว่าสูงส่งลึกล้ำ แต่เพราะอาวุโสถึงเพียงนั้นแล้ว พวกยมบาลจึงล้วนเคารพนับถือข้า ยามที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้านั้นจึงน้อยยิ่งกว่าน้อย ข้าขมวดคิ้วกล่าวอย่างแปลกใจ “ข้าย่อมไม่รู้แน่นอนว่าเขาคือใคร ยามนี้มิใช่กำลังถามอยู่หรือ”

ยมบาลอี่ท่าทางราวกับจะกระอักเลือดออกมาตรงนั้น “ท่านยาย! ท่านผู้นี้คือ…” เขายังไม่ทันกล่าวจบ เสียงอ่อนโยนสายหนึ่งก็ดังขัดจังหวะขึ้น

“ข้ามีชื่อว่าโม่ซี”

เขายื่นมือออกมา ข้าจึงวางมือลงบนมือเขาตามธรรมชาติ เขาพลันพลิกมือกุมข้อมือข้า

ข้อมือคือจุดตายของข้า ยามนี้แค่เขาออกแรงเพียงนิดข้าก็จะตายอนาถยิ่ง

ยมบาลจย่าและอี่ที่เดิมใบหน้าขาวซีดไม่น่ามองอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีกหลายส่วน เจ้าจย่าร้องขออย่างร้อนรน “ใต้เท้า! ใต้เท้า! แม่นางซานเซิงเฝ้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาโดยตลอด ปรโลกยังเป็นสถานที่หยาบช้า แม่นางไม่เข้าใจมารยาท ขอใต้เท้าโปรดให้อภัยด้วย”

“ซานเซิง? ชื่อนี้แปลกจนน่าสนใจนัก”

ข้ายังคงจ้องมองเขา ภายในใจกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวด้วยในดวงตาเขาไม่มีไอสังหาร

เขามองข้าอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ปล่อยข้อมือแล้วเปลี่ยนมาเป็นพยุงแขนข้าลุกขึ้น “ก้อนหินในปรโลกถึงกับมีจิตวิญญาณ เป็นเรื่องประหลาดหาได้ยากอย่างแท้จริง แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เหตุใดจึงมากมารยาทต่อข้าเพียงนี้”

มากมารยาท?

เข้าใจแล้ว ที่แท้เมื่อครู่ไม่ใช่ข้าแสดงความจริงใจไม่พอ แต่เป็นข้าจริงใจมากเกินไป ข้ากล่าวอย่างสัตย์ซื่อออกไป “ท่านรูปงามยิ่งนัก ข้าอยาก…” ข้าจนคำอย่างไม่ถูกเวลา ด้วยอารามรีบร้อนจึงหยิบคำที่กระจัดกระจายอยู่ในสมองไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรขึ้นมา “ข้าอยากเกี้ยวท่าน”

เจ้าจย่าใช้สายตาหมดหนทางรักษามองข้า

เขายิ้ม “ช่างเป็นวิญญาณที่ตรงไปตรงมานัก”

ข้าคิดเอาเองว่านี่เป็นคำชมที่ยอดเยี่ยม แล้วให้รู้สึกยินดีในทันใด รีบเอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าเกี้ยวท่านได้หรือไม่”

เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “ข้ามาครานี้เพราะคราวเคราะห์ จะไม่รั้งอยู่ในปรโลก”

ความหมายในคำพูดคือไม่ได้กระมัง ข้าหลุบตาลง รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

“เจ้าเฝ้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมาตลอดหรือ” เขาพลันถาม

ข้าพยักหน้า

“อยากออกไปดูข้างนอกบ้างหรือไม่”

ดวงตาข้าเปล่งประกาย ผงกหัวโดยแรง

เขายิ้มบางๆ ตบหัวข้าเบาๆ “ครั้งนี้ข้ารับการหลั่งเลือดคารวะหลายครั้งของเจ้า ย่อมไม่สามารถให้เจ้าคารวะเสียเปล่า ในเมื่อเจ้าอยากออกไปเดินเล่นนอกปรโลก ข้าก็อนุญาตให้เจ้ามีอิสระสามชาติ สามชาติแห่งด่านเคราะห์ของข้าก็คือสามชาติแห่งอิสระของเจ้า หลังจากข้ากลับมาจากคราวเคราะห์แล้ว เจ้าก็กลับมาเฝ้าที่ข้างแม่น้ำลืมเลือนอย่างเชื่อฟัง เช่นนี้ดีหรือไม่”

ไม่ใช่การเจรจาขาดทุนข้าย่อมพยักหน้าร้องว่าดี

เขาประทับตราทองข้างข้อมือข้า “มีจิตวิญญาณแล้วชาญฉลาดหน่อยเป็นดี ต่อไปต้องปกป้องจุดตายของตนให้ดีหน่อย” เขากล่าว “ไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งทุกคนจิตใจดีเยี่ยงข้า”

เขาจากไปภายใต้การคุ้มกันและหน้าตากระตุกของยมบาลจย่าอี่ ข้าลูบตราทองบนข้อมือเบาๆ

“โม่ซี” ข้าร้องเรียกเสียงดัง

เขาซึ่งถือน้ำแกงยายเมิ่ง* ยืนอยู่หน้าสะพานอนิจจังหันมามองข้า

“ข้าไปเกี้ยวท่านที่โลกมนุษย์ได้หรือไม่” ข้าถามอย่างจริงจังมาก ทำเอายายเมิ่งที่ตักน้ำแกงอยู่ยิ้มพิกลไปชั่วขณะ

ริมฝีปากเขาก็ยกโค้งขึ้นเช่นกัน “หากว่าหาเจอก็มาเกี้ยวเถอะ” พูดแล้วเขาก็ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจนหมด จากนั้นเดินลึกเข้าไปภายในปรโลกยิ่งขึ้นโดยไม่หันหลังกลับมา ข้ามองส่งเขาไปตลอดทางจนกระทั่งมองไม่เห็นแล้วก็ยังทำใจชักสายตาคืนมาไม่ได้

ยมบาลอี่เดินกลับมาจากหัวสะพานอนิจจัง มือแห้งเหี่ยวเขียวคล้ำคู่หนึ่งโบกไปมาตรงหน้าข้า “แม่นางซานเซิง!”

“หืม”

“ท่านคงไม่ใช่หวั่นไหวต่อเขากระมัง”

ข้าถึงได้หันสายตามองเจ้าอี่ในยามนี้พร้อมถามจริงจัง “อย่างไรจึงนับว่าหวั่นไหวเล่า”

เจ้าอี่เอียงหัวขบคิด “ก็คือคำอธิบายถึงชายหญิงในนิทานชาวบ้านที่ท่านอ่านเป็นประจำพวกนั้นนั่นแหละที่เรียกว่าหวั่นไหว”

ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในนิทานที่ข้าอ่านเป็นประจำพวกนั้น คุณชายพบคุณหนู คุณหนูคารวะ ทั้งสองพูดคุยกันไม่เท่าไรก็เริ่มทำเรื่องอือๆ อาๆ อย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ข้าไม่มีความคิดจะทำเรื่องอือๆ อาๆ กับโม่ซีจึงไม่นับว่าหวั่นไหวกระมัง

ข้าส่ายหน้าหนักแน่น “ไม่ได้หวั่นไหว”

เจ้าอี่ถอนหายใจยาวพึมพำกับตนเอง “ก็จริง ก้อนหินก้อนนี้จะหวั่นไหวได้อย่างไร เป็นข้าคิดมากไปแล้ว” ตามด้วยจ้องหน้าข้าอีกครั้งกล่าวว่า “ไม่หวั่นไหวก็ดี! ในโลกนี้ไม่มีอะไรทรมานยิ่งกว่าคำว่ารักแล้ว ไม่ใช่หมายความว่าแม่นางซานเซิงไม่อาจชอบใครได้เด็ดขาดหรอกนะ เพียงแต่ท่านเทพโม่ซีผู้นี้เป็นผู้ที่สตรีในใต้หล้าไม่สามารถไปชอบได้มากที่สุด”

“เพราะเหตุใด เขาคือผู้ที่มีหน้าตารูปร่างและบุคลิกดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาเลยนะ” ข้าหยุดไปเล็กน้อย “ยังมีน้ำเสียงที่น่าฟังที่สุดด้วย”

“ก็เพราะเขาดีเลิศในทุกด้านเช่นนี้ถึงไม่สามารถหวั่นไหวต่อเขาได้เด็ดขาดอย่างไรเล่า! ท่านเทพโม่ซีคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้า จากเบื้องฟ้าถึงใต้พิภพไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เขาเพียงผูกใจไว้กับใต้หล้า กลางอกมีปวงประชา ไหนเลยจะใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้”

ข้ารู้สึกว่าในใจโม่ซีใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้หรือไม่หาได้เกี่ยวอันใดกับข้านัก กลับเป็นประโยคครึ่งแรกของเจ้าอี่ที่ทำให้ข้าตกตะลึง “ตำแหน่งเทพสงครามที่ไอสังหารพวยพุ่งพรรค์นี้เหตุใดจึงเป็นเขาไปได้เล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาใจดีปานนั้น”

เจ้าอี่แทบจะกระอักเลือดออกมา “ใจดีหรือ ซานเซิง ท่านคงไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอกนะ”

ครั้นเห็นข้าพยักหน้า เจ้าอี่ก็ส่ายหัวกล่าวอย่างไร้แรง “ตอนที่เผ่าปีศาจกำเริบ ทหารปีศาจสิบหมื่นบุกสวรรค์ ท่านเทพโม่ซีนำทหารสวรรค์สามพันสังหารจนสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้น้อยชนะมาก ภายหลังยังนำทหารลงไปยังเมืองปีศาจ สังหารจนทั้งแดนปีศาจเลือดไหลราวกับสายน้ำ ไม่ได้ยินเสียงร้องของปีศาจไปสิบปี ด้วยขอเพียงเป็นเผ่าปีศาจที่อายุมากกว่าสามปีล้วนถูกสังหารเรียบ”

เรื่องนี้ข้าพอมีความทรงจำอยู่บ้าง ช่วงนั้นปรโลกแออัดอย่างยิ่ง เสียงร่ำไห้แทบพลิกตำหนักพญายม สะพานอนิจจังถูกเหยียบจนเกือบถล่ม แต่แม้เผ่าปีศาจพวกนี้ล้วนบอกว่าถูกโม่ซีสังหาร ทว่าการสงครามก็เป็นเรื่องที่เจ้าตายข้ารอดอยู่แล้ว โม่ซีมีฐานะเป็นเทพสงคราม การใช้กำลังปราบปรามกบฏเป็นหน้าที่ของเขา เขาภักดีต่อเผ่าพันธุ์ของตน เหี้ยมโหดอำมหิตในการสู้รบก็เป็นเรื่องสมควร

ข้าตบไหล่เจ้าอี่ “ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องนี้กับข้า ข้ากลับไปจัดของในก้อนหินแล้ว”

เจ้าอี่งงงัน “แม่นางจะไปที่ใด”

ข้ายิ้ม “ย่อมต้องไปเกี้ยวเขาที่โลกมนุษย์แน่นอน”

บทที่สอง

หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในปรโลกเรียบร้อยแล้ว ท่านพญายมก็ประทับตราสามดวงไว้ที่หลังคอข้าด้วยตัวเอง หนึ่งดวงก็คือหนึ่งชาติในโลกมนุษย์ หลังจากตราทั้งสามหายไปแล้วข้าต้องกลับมาเฝ้าแม่น้ำลืมเลือนในปรโลก

ในที่สุดข้าก็สวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวมายังโลกมนุษย์ภายใต้สายตาอิจฉาของเหล่าวิญญาณ

โลกมนุษย์ที่ปรากฏอยู่แต่ในนิทาน เทียบกับความคิดของข้าแล้วยังครึกครื้นยิ่งกว่า น่าสนใจยิ่งกว่า แล้วยัง…อันตรายยิ่งกว่า

วันที่สามของการมาถึงโลกมนุษย์ ระหว่างกำลังตามหาโม่ซีข้าผ่านวัดแห่งหนึ่ง สายตาเหลือบเห็นว่าในวัดบูชาตี้จั้งผูซ่า* ข้าจึงเข้าไปกราบไหว้อย่างเคารพเลื่อมใส ทว่าหัวยังไม่ทันก้มถึงพื้น พระหัวโล้นอายุมากแต่คล่องแคล่วรูปหนึ่งพลันถือมีดโกนเดินออกมา เขายิ้มให้ข้าอย่างมีอัธยาศัย “อมิตาภพุทธ สีกาสามารถกลับตัวกลับใจถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต เป็นกุศลเรื่องหนึ่งจริงๆ”

ข้ายังไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร คิดแค่ว่าก่อนจากมาท่านพญายมอวยพรให้ข้ามีเมตตาอ่อนโยนต่อผู้คน พระรูปนี้แม้หน้าตาไม่น่าดูไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสร้งทำสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลของข้า ดังนั้นข้าจึงยิ้มให้เขาเช่นกัน “ตี้จั้งผูซ่าที่เจ้าบูชาคือพระโพธิสัตว์ที่ดีองค์หนึ่ง”

พระหัวโล้นยิ้มอย่างเมตตายิ่งขึ้น “นั่นย่อมแน่นอนๆ” กล่าวจบ เขาไม่เอ่ยอะไรสักคำแล้วก็ถือมีดโกนตรงมาทักทายผมบนหัวข้า

ข้ารีบหลบไปด้านหลังร้องเสียงดัง “อ๊ะ! ทำอะไร!” ข้าคือก้อนหิน คือหินสามชาติ สิ่งที่เติบโตยากที่สุดบนร่างก็คือเส้นผม อุตส่าห์เฝ้ามองมันยาวมาเป็นพันปีจนในที่สุดก็ดูดีขึ้นบ้าง เจ้าลาเฒ่าหัวโล้น* นี่ถึงกับคิดจะเอามีดโกนมาโกนผมข้า!

เห็นข้าหลบการโจมตีแรก ภิกษุเฒ่าก็ขยับมือหมายจะโกนผมข้าอีก! ข้าโมโหขึ้นมาแล้วจึงหมุนตัวถีบเขาออกไป ไม่คาดว่าพระรูปนี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฝ่าเท้านี้ของข้าจึงถูกเขาหลบหลีกอย่างง่ายดาย รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าหดกลับทันทีราวกับขึ้งโกรธ

“สีกาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

ข้าแปลกใจ “พระหัวโล้น เจ้าคิดจะทำอะไร”

เขาส่งเสียงหึเย็นชา “ข้ายังนึกว่าปีศาจเช่นเจ้าคิดจะถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคตไถ่ถอนกรรมชั่ว ที่แท้เจ้าก็มาเพื่อยั่วยุ!”

“ปีศาจ?” ข้าโบกมืออธิบาย “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่…”

“เฮอะ ไอหยินบนร่างเจ้าข้าสัมผัสได้ตั้งแต่นอกสามลี้ แล้ว อย่าคิดเล่นลิ้น!”

ข้าดมซ้ายดมขวาไม่รู้สึกว่าไอหยินบนร่างตนเข้มข้นสักเท่าใด จริงๆ ไอหยินของปลาในแม่น้ำลืมเลือนยังเข้มข้นกว่าข้าเป็นร้อยเท่า พระรูปนั้นใช้มีดโกนมาทักทายข้าอีกครั้งโดยไม่ฟังข้าอธิบาย จิตสังหารพุ่งขึ้นในใจ ทว่าข้ากลับนึกคำกำชับเป็นพันเป็นหมื่นครั้งของท่านพญายมที่พูดกับข้าก่อนมายังโลกมนุษย์ได้ ไม่อาจทำร้ายคนได้อย่างเด็ดขาด

ข้าเก็บมือ หันหลังกลับแล้ววิ่งโกยแน่บทันที

พระรูปนั้นไล่ตามข้าข้ามเขาลูกหนึ่ง ข้าวิ่งจนหมดแรง คิดเพียงอยากต่อยเจ้าลาหัวโล้นนั่นสักหมัดให้เขาหลับไม่ตื่นไปเลย

ฉับพลันนั้นกลิ่นหอมประหลาดลอยมาที่ปลายจมูก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมถึงเพียงนี้มาก่อนในปรโลก จิตใจจึงถูกดึงดูด ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ ทะเลดอกไม้ที่ราวกับเมฆสีแดงก็ปรากฏอยู่ในสายตา

ฤดูกาลในตอนนี้ถูกมนุษย์เรียกว่าฤดูหนาว ผลึกที่ปกคลุมบนกลีบดอกไม้พวกนั้นถูกเรียกว่าหิมะ แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าดอกไม้สีแดงพวกนี้เรียกว่าอะไร ยามเดินผ่านทะเลดอกไม้หอมประหลาดนี้ราวกับข้าจะเมามายอยู่ในนั้น ตัวส่ายโอน บุกเข้าไปในส่วนลึกของทะเลดอกไม้ บ้านเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่ในนั้น

ข้าผลักประตูเข้าไปอย่างแปลกใจ เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้าน ตราทองที่โม่ซีทิ้งไว้ที่ข้อมือข้าก็สว่างวาบ ข้าใจเต้นเดินเข้าไปยังห้องหลักภายในบ้าน พลันได้ยินเสียงอ่อนโยนของหญิงคนหนึ่ง “ส่ายไปไหวมา แกว่งไปไกวมา”

ข้าผลักประตูเป็นช่องเล็กเบาๆ ค่อยๆ มองเข้าไปภายใน สาวน้อยที่ออกเรือนแล้วคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงกอดทารกไว้แนบอก พอมองดูอย่างละเอียดข้าก็ยิ้มแล้ว คิ้วตาจมูกปากเช่นนี้ไม่ใช่ลูกชิ้นน้อยโม่ซีหรอกหรือ!

บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง โดยแท้!

แต่ว่ายามนี้โม่ซีเป็นเพียงลูกชิ้นน้อยคนหนึ่ง ลืมเลือนชาติก่อนจนหมดสิ้น และยังไม่สามารถจดจำใครได้ ข้าควรจะเกี้ยวเขาอย่างไรเล่า ข้าคิดอยู่ครู่ใหญ่ค่อยตัดสินใจ ข้าก็อยู่ข้างกายเขาไปตลอดเสียเลย ดูแลให้เขาเติบใหญ่อย่างดี เช่นนี้ข้าทั้งสามารถครอบครองเขาได้หมดจดตั้งแต่เด็กโดยง่าย ทั้งยังสามารถป้องกันหญิงหรือชายอื่นมาแย่งชิงยึดครองเขาไปในขณะที่เขายังไม่เข้าใจเรื่องราว

เป็นความคิดที่ดียิ่ง

ขณะที่ข้ากำลังคิด ด้านหลังพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น “นางปีศาจจะหนีไปที่ใด!”

ข้าสะดุ้งตกใจ กระโจนตัวไปเบื้องหน้าชนเข้ากับประตูดัง ‘ปัง’ ล้มเข้าไปภายในห้อง มีดโกนวาววับวาดผ่านหน้าผากข้าไป เห็นเพียงเส้นไหมสีดำกระจุกหนึ่งร่วงลงมาอย่างเนิบช้า ไม่ให้โอกาสข้าได้รั้งไว้เลยแม้แต่ครึ่งส่วน

ข้าร่วงทรุดลงกับพื้นอย่างห่อเหี่ยว สายตาว่างเปล่ามองไปยังกลุ่มผมดำที่นอนเป็นศพอยู่บนพื้นกระจุกนั้นอย่างเซื่องซึม

“กรี๊ด!” เสียงร้องตกใจของหญิงสาวในหูข้าฟังดูคล้ายมาจากที่ไกลแสนไกล ส่วนคำกำชับของท่านพญายมยิ่งเหมือนดั่งเมฆหมอกรางเลือน ก็เป็นเช่นเดียวกับเส้นผมที่มีดโกนนี้ตัดขาด เส้นเชือกที่เรียกว่าสติในใจข้าขาดดัง ‘ผึง’

ข้ากระโดดลุกยืน กลางฝ่ามือรวบรวมพลังวิญญาณแฝงด้วยไอหยินพันปีจากแม่น้ำลืมเลือนตบเข้าใส่ภิกษุเฒ่า เห็นอยู่ว่าฝ่ามือนี้ใกล้จะตบให้เขาสมองไหลแตกกระจาย จู่ๆ เสียงร้องไห้ของทารกก็ดังขึ้นเรียกสติข้า

ฝ่ามือเบี่ยงออกด้านข้างปะทะคานประตู บ้านไม้สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง ข้าพลิกตัวกระโดดออกมานอกห้อง ลาหัวโล้นคล้ายถูกฝ่ามือข้าทำเอาตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยคืนสติ เขามองมาทางข้าแล้วค่อยมองไปทางลูกชิ้นน้อยโม่ซี จู่ๆ ก็เอ่ยปากกับหญิงสาวหน้าตาตื่นตกใจผู้นั้น “ไฝแดงกลางหว่างคิ้ว ลูกคนนี้ของเจ้าหาใช่คนมีมงคล เพียงกำเนิดก็เรียกปีศาจร้ายพรรค์นี้ ต่อไปต้องเรียกเคราะห์มาให้คนใกล้ตัวแน่!”

พอคำพูดนี้หลุดออกไป ฮูหยินคนนั้นก็ตกใจหน้าไร้สีเลือด อุ้มลูกอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ข้าโกรธเคือง “ลาหัวโล้นอย่าพูดเหลวไหล!” คนในโลกมนุษย์ล้วนเชื่อถือคำทำนายของพวกพระนักบวช เขาพูดเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายชีวิตในชาตินี้ของโม่ซีแล้ว

“เฮอะ! ปีศาจชั่ว เมื่อกี้เจ้าฉวยจังหวะที่ข้าไม่ทันป้องกันลอบโจมตีใส่ข้า คราวนี้ข้าจะจับเจ้าให้จงได้!”

มีดโกนในมือเขาเปล่งแสงวาบ เปลี่ยนเป็นไม้เท้าด้ามหนึ่งพุ่งสังหารตรงมาทางข้า ตบะของพระรูปนี้ไม่สูง แต่เป็นลำแสงธรรมบนไม้เท้าที่บีบให้ข้าไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ในปรโลกอันมืดทึบ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือลำแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธองค์แห่งทิศประจิม* ข้ารับมือไม่อยู่ต้องถอยหลังติดๆ กัน

ข้ากลัวว่าการประลองกับลาหัวโล้นจะทำร้ายโม่ซีเข้า จึงล่อให้เขาออกห่างจากที่นั่น

เดิมข้าคิดว่าการต่อสู้กับพระรูปนี้คงไม่นานเท่าไร ข้าคือก้อนหิน มีความแน่วนิ่งอดทนเป็นที่สุด รอจนพระรูปนี้สู้พัวพันกับข้าจนเหนื่อยแล้วก็คงถอยไปเอง ถึงตอนนั้นข้าค่อยกลับไปอยู่กับโม่ซีจนโตก็ได้ ไม่คาดว่าสมองไม้อวี๋** อันแวววาวของพระในโลกมนุษย์นี้ยังดื้อด้านกว่าข้าถึงสามส่วน! เขามองว่าการกำจัดมารปีศาจเป็นหน้าที่ชั่วชีวิต บางทีข้าอาจจะเป็น ‘ปีศาจชั่ว’ ที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาได้พบมาในชีวิตนี้ ดังนั้นจึงมองข้าเป็นภารกิจสูงสุดในชีวิตของการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรม!

การต่อสู้นี้ของข้ากับเขากินเวลาเก้าปีเต็มๆ ในโลกมนุษย์

เก้าปี!

สุดท้ายไม่ใช่เขาล้มเลิกการสังหารข้า แต่เป็นข้ายอมแพ้แล้ว ไม่ต่อสู้กับเขาอีก หาศพปีศาจก้อนหินร่างหนึ่งพบในที่สุด…

 

ยามนั้นข้าหลบอยู่ในเขาลึก ซ่อนตัวอย่างจนตรอก ปีศาจก้อนหินสาวที่กินไก่แล้วกระดูกติดคอตนหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากเนินเขา ชนเข้ากับตอไม้เบื้องหน้าข้าจนหัวแตกเลือดออกตายในที่นั้น

ข้าเห็นยมทูตเฮยไป๋อู๋ฉางสหายเก่ามารับวิญญาณของนางไป วิญญาณปีศาจก้อนหินที่กลายเป็นกลุ่มก้อนสีขาวร้องไห้อย่างน่าเวทนาหาใดเปรียบ ชี้ขึ้นไปบนเนินด่าว่าอย่างเจ็บปวด “กว่าข้าจะกลายร่างได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะ! เจ้าแฝดพี่ก้อนหินโง่สมควรตายนั่น! ตบฝ่ามือเดียวทำข้าร่วงลงมาจากเนินแล้ว! เจ้านั่นช่วยให้ข้าหายใจคล่องตรงไหน! นี่มันเอาชีวิตข้าชัดๆ! ข้าตายอย่างไม่เป็นธรรม! ไม่เป็นธรรมนัก!”

แต่ไม่ว่านางจะร่ำไห้อย่างไรร่างกายนั้นก็มีชีวิตขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว เฮยไป๋อู๋ฉางเอ่ยทักทายข้าและพาวิญญาณนางไปตามหน้าที่

หลังจากข้ามองส่งพวกเขาจากไปก็กอดศพนั่นไว้แล้วหลั่งน้ำตาอย่างยินดียิ่ง!

นี่ไม่ใช่เบื้องบนประทานพรให้ข้าหรือ! ก้อนหินบำเพ็ญจนกลายร่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ร้อยพันปียากจะได้พบสักตน นอกจากปีศาจสาวที่ตายอย่างอนาถตนนี้แล้ว ข้ายังจะไปหาศพที่สมบูรณ์ขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก!

ข้าถอดเสื้อผ้านางออกแล้วเปลี่ยนกับของข้าทันที จากนั้นก็ส่งมอบไอหยินเข้าไปในร่างนางทางจมูกกับปาก

เห็นอยู่ว่า ‘ศพของซานเซิง’ กำลังจะถูกข้าทำออกมาแล้ว ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนราวกับล้มลุกคลุกคลานถลาตัวลงมาอย่างไรอย่างนั้น ข้าไม่แม้แต่จะหันไปมอง คิดในใจว่าไม่ใช่เจ้าลาหัวโล้นนั่น ไม่ว่าอย่างไรก็จัดการได้

“น้องพี่!”

เสียงเรียกต่ำลึกและเจ็บปวดดังมาจากด้านหลังข้า “น้องพี่!” ชายหนุ่มกำยำคนหนึ่งโผตัวเข้ามาจากด้านข้างด้วยท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!” เขาร้อนรนจะกอดศพปีศาจสาวขึ้นมา

ข้าถลึงตาตวาดใส่เขาเสียงดัง “ทำอะไร!” การส่งไอหยินช่วงสำคัญสุดท้ายจะปล่อยให้คนอื่นมาก่อกวนไม่ได้

ชายหนุ่มห้าวหาญถูกข้าตะคอกจนนิ่งอึ้ง มองข้าน้ำมูกน้ำตานองหน้า “ข้า…อยากเขย่าตัวน้องสาว…”

“เขย่าอะไร นางสิ้นลมไปหมดแล้ว!”

“ตะ…ตายแล้ว?” ชายหนุ่มดวงหน้าเลื่อนลอย เรือนกายสูงใหญ่ทรุดนั่งลงกับพื้น ดูเหมือนสะเทือนจนเขาลูกนี้สั่นไหวไปสองสามครั้งอย่างไรอย่างนั้น “กะ…ก็แค่กินไก่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ…เป็นไปไม่ได้”

ข้าไร้แรงบอกเขาจริงๆ ว่าน้องสาวเขาตายด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ถูกเขาตบร่วงลงมาจากเขาชนกับตอไม้จนตาย จึงทำเพียงแค่ดึงมือของปีศาจสาวแล้วส่งไอหยินเข้าไปไม่หยุด

ชายหนุ่มเศร้าโศกเพียงลำพังอยู่ครู่หนึ่ง แต่อย่างไรก้อนหินก็เป็นสิ่งที่เกิดมามีอารมณ์เฉยชา นิสัยเมินเฉยอยู่แล้ว สถานการณ์เช่นที่ข้าพบโม่ซีอันที่จริงเกิดขึ้นได้น้อยมาก ดังนั้นหลังจากเขาเศร้าใจไปชั่วครู่ก็เงยหน้ามองข้า “เจ้าเป็นใครอีก กำลังทำอะไร”

ข้าดูออกว่าชายผู้นี้เป็นคนซื่อ ดังนั้นจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยอย่างโอบอ้อม “ข้าคือยมบาล มารับน้องสาวเจ้าไปเกิดใหม่ ยามนี้กำลังทำพิธี เป็นช่วงเวลาสำคัญจะรบกวนไม่ได้”

เขาฟังแล้วตกตะลึงกุมปากตนเองทันที ดวงตาทั้งคู่มองสลับไปมาระหว่างข้ากับน้องสาวของเขาไม่หยุด

ไอหยินทั้งหมดในร่างถูกมอบให้กับศพของปีศาจสาวแล้ว ข้าเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วนวดคลึงใบหน้าของนาง ใช้วิชาเวทปั้นใบหน้านางให้เหมือนกับข้า ชายหนุ่มมองข้าอย่างมึนงง “นี่กำลังทำอะไรอีก”

ข้าตอบอย่างเมตตาดังเดิม “ข้ากับคนในปรโลกคุ้นเคยกันดี นวดหน้าน้องเจ้าให้เหมือนใบหน้าข้า ให้นางเดินทางสบายหน่อย”

“เจ้า…” น้ำตาลูกผู้ชายคลอเบ้า “เจ้าช่างเป็นยมบาลที่ดีจริงๆ ทุ่มเทกับหน้าที่และมีเมตตาปรานีเหลือเกิน!”

ข้ารับคำชมนั้นไว้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี พลันสัมผัสได้ว่ากลางอากาศมีปราณที่คุ้นเคย หัวใจข้าบีบรัด ลุกขึ้นยืนมองไปรอบด้าน ห่างไปสิบจั้ง* กว่ามีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ ใต้ก้อนหินมีร่องใหญ่อยู่หนึ่งร่อง ข้ากะประมาณดูว่าตนน่าจะพอเบียดเข้าไปได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปยัดร่างตนเองลงในร่อง หลบซ่อนอย่างดีไม่ขยับเขยื้อน

ชายหนุ่มมองข้าอย่างประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไรอีก”

“มีนักบวชร้ายกาจกำลังมาแล้ว หากเจ้าไม่อยากถูกจับไปก็รีบเอาอย่างข้า หาที่ซ่อนตัวเร็ว!”

เขาตกใจ เห็นชัดว่ากลัวนักบวชร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เขาหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นว่าพอจะซ่อนที่ไหนได้ สุดท้ายคล้ายรู้สึกได้ถึงปราณที่ยิ่งมายิ่งใกล้จึงร้อนรนแล้ว เขากอดหัวหดตัวคืนร่างเดิม ม้วนขดกลายเป็นหินก้อนหนึ่งกลิ้งขลุกขลักมาทางข้า ให้บังเอิญบังร่องที่ข้าซ่อนตัวอยู่พอดี

เขายังไม่ได้เก็บปราณปีศาจบนร่าง ลาหัวโล้นไม่รู้ก็แปลกแล้ว! ข้ายื่นมือคิดผลักเขาออกไป แต่ด้านนอกสายลมโชยพัด เพียงพริบตาเจ้าลาหัวโล้นศัตรูเก่าที่ไล่สังหารข้ามานานปีก็มาถึงข้างศพปีศาจก้อนหินสาวแล้ว

ข้ากลั้นหายใจไม่ส่งเสียงใดๆ ทันที

จากในซอกที่ก้อนหินหนุ่มเหลือไว้ ข้าเห็นภิกษุเฒ่ารูปนั้นยืนอยู่ข้างศพปีศาจสาวครู่หนึ่งแล้วยิ้มหยัน “สวรรค์มีตา ในที่สุดก็สังหารปีศาจร้ายที่ก่อเภทภัยในโลกมนุษย์เช่นเจ้าแล้ว!”

ฟ้าดินเป็นพยาน! ข้ามาอยู่โลกมนุษย์เป็นเวลาเก้าปี ในเก้าปีนี้ล้วนถูกลาเฒ่าหัวโล้นเช่นเจ้าก่อเภทภัยมาโดยตลอด ข้าไปก่อเภทภัยให้โลกมนุษย์ที่ไหนกัน!

ช่วยไม่ได้ที่สถานการณ์บังคับคน เพื่อให้ภายหน้าไม่ต้องถูกเขาก่อเภทภัยให้อีกต่อไป ความอยุติธรรมนี้ข้าได้แต่ทนรับไว้แล้ว

ลาหัวโล้นพูดจบแล้วก็ไม่ได้รีบจากไป ยังคงยืนอยู่ข้างศพปีศาจสาว จู่ๆ ก็หยิบไม้เท้าของเขาออกมา ลำแสงธรรมบนไม้เท้าแทงนัยน์ตา หยีตาดูเห็นเขาจะฟาดไม้ให้ศพกลายเป็นควัน! ก้อนหินหนุ่มเบื้องหน้าข้าพลันเดือดดาลกลายร่างเป็นคน พุ่งสังหารไปทางภิกษุเฒ่าอย่างดุดันพลางตะคอก “อย่าได้คิดทำร้ายศพของนาง!”

พลังรุนแรงนี้ทำเอาข้าสะดุ้ง กลัวอย่างยิ่งว่าภิกษุเฒ่าจะเห็นข้าที่ซ่อนอยู่ภายในร่อง

ลาหัวโล้นต้านทานการจู่โจมของก้อนหินหนุ่ม ตะโกนร้อง “เฮอะ! ข้าก็ว่าอยู่ว่าปราณปีศาจกดดันผู้คนมาจากที่ไหน! ที่แท้ก็เป็นชายโฉดของนางปีศาจ!”

ชายหนุ่มกราดเกรี้ยว “อย่ามาดูถูกผู้อื่น!”

ข้าก็โกรธเช่นกัน ลาหัวโล้นผู้นี้ถึงกับดูแคลนรสนิยมของข้า! พันกว่าปีมานี้ข้าอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือน มีคนเช่นไรบ้างที่ไม่เคยพบ ทว่ามีก็แต่โม่ซีคนเดียวที่ต้องใจข้า ส่วนชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ห่างชั้นกับโม่ซีสิบหมื่นแปดพันลี้ได้! ข้าจะให้เขาเป็นชายโฉดของตนได้อย่างไร!

เจ้าลาเฒ่าหัวโล้นผู้นี้ดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว!

ข้าตั้งมั่นในใจ ยามกลับไปปรโลกแล้วต่อให้ต้องจ่ายเงินเท่าไรข้าก็จะฝากฝังคนรู้จักให้นำเจ้าลาหัวโล้นผู้นี้ไปเกิดใหม่ในเดรัจฉานภูมิ* ให้ได้!

แต่แม้ยามนี้ข้าจะโกรธแสนโกรธก็ยังกระจ่างแจ้งถึงสถานการณ์ดี ไม่ง่ายกว่าจะทำให้ลาเฒ่าหัวโล้นผู้นี้คิดว่าข้าตายไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องรับการรังควานของเขาอีก ย่อมไม่สามารถทำลายแผนการใหญ่เพราะโทสะนี้ได้

ดังนั้นข้าจึงอดทนอีกครั้ง

ทว่าปีศาจก้อนหินทนไม่ไหวแล้ว เขาต่อสู้พัวพันกับภิกษุเฒ่าด้วยกำลังหนักหน่วงสุดชีวิต ไม่ปล่อยให้ภิกษุเฒ่าเอาชัยไปได้โดยง่าย

ทั้งสองสู้ๆ ถอยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนเงาร่างค่อยๆ ลับหายไป

ข้าซ่อนตัวอยู่ในร่องหินดูสถานการณ์อีกพัก ครั้นแน่ใจว่าไม่เห็นปราณของทั้งคู่แล้วจึงค่อยหอบฮักๆ ปีนออกมาจากร่องหิน วิ่งไปข้างศพปีศาจสาว เอาไอหยินของตนคืนมาแล้วขุดหลุมบนพื้นด้านข้างฝังศพนางลงไป ข้าผ่าไม้ออกมาซีกหนึ่งปักเป็นป้าย ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘หลุมศพปีศาจก้อนหิน’ จากนั้นก็จัดการหน้าตาเนื้อตัวที่ไม่ได้ดูแลมาตลอดเก้าปีของตนเองให้ดี

ข้าจะไปหาโม่ซี จากกันเก้าปีไม่รู้ว่าทารกในปีนั้นยามนี้เติบโตมีหน้าตาเช่นไร ไม่รู้ว่าเขาถูกผู้อื่นครอบครองไปแล้วหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขายินยอมถูกข้าเกี้ยวพาหรือไม่…

บทที่สาม

 ข้าข้ามน้ำข้ามเขานับพันกว่าจะหาบ้านหลังเล็กที่ได้พบกับโม่ซีเมื่อคราแรกเจอ ผ่านการกล่อมเกลาในโลกมนุษย์มาเก้าปี ข้ารู้แล้วว่าดอกไม้แดงหอมประหลาดนั้นเรียกว่าดอกเหมย แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าเวลาเก้าปีถึงกับสามารถทำให้ป่าเหมยที่แสนงดงามเมื่อตอนนั้นกลายสภาพเป็นแห้งเหี่ยวไปทั้งแถบ

ข้าเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปใกล้บ้านหลังเล็กนั้น ตราทองข้างข้อมือส่องแสงวาบขึ้นมาอีก ยังไม่ทันก้าวข้ามประตูบ้านก็เห็นเด็กเนื้อตัวสกปรกคนหนึ่งถือไม้กวาดที่ยาวกว่าตัวเขามากกวาดบ้านที่รกร้างอยู่ดัง ‘แซ่กๆ’ ฟังดูแล้วช่างอ้างว้าง

เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามา เด็กน้อยก็หันมาโดยพลัน

ข้าเห็นนัยน์ตาใสกระจ่างคู่หนึ่งกับไฝแดงกลางหว่างคิ้ว ในใจพลันบีบรัด มือสั่นไหว ลูกกวาดที่ซื้อมาให้โม่ซีร่วงหล่นลงพื้น

“เจ้าเป็นใคร” เขาเดินมาเบื้องหน้าข้า ในดวงตาใสกระจ่างสะท้อนเงาร่างของข้า

ข้าคุกเข่าลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกับเขา “ข้าชื่อซานเซิง มาเพื่อเกี้ยวเจ้า”

เขามองข้า คิ้วย่นเข้าหากันน้อยๆ บนดวงหน้าอ่อนวัยปรากฏความไม่เข้าใจเจ็ดส่วนกับความขลาดกลัวสามส่วน “เกี้ยว?” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ นี่เป็นเรื่องปกติ เด็กมนุษย์วัยเท่านี้ไม่ควรเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทว่าความหวาดกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาเขากลับทำให้ข้าทุกข์ใจหลายส่วน

กลัวอะไรเล่า ข้าหลบซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์มาเก้าปี ตามหาเจ้าอย่างยากลำบากถึงเพียงนี้ แล้วจะทำร้ายเจ้าลงได้อย่างไร

ข้าคิดในใจพร้อมกับเกิดความรู้สึกรวดร้าวน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นคิดจะใช้แขนเสื้อเช็ดฝุ่นบนใบหน้าของเขา แต่โม่ซีกลับถอยหลังไปสองก้าวอย่างติดจะตื่นตระหนก ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นจับจ้องมองข้าราวกับกลัวว่าข้าจะทำร้ายเขา

อาการเช่นนี้ทิ่มแทงข้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้าวางมือลง มองเขาอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายเจ้า ข้าแค่อยากช่วยเจ้าเช็ดฝุ่นบนใบหน้า”

เขายกมือขึ้นถูใบหน้าตนเอง ครั้นเห็นว่ามีฝุ่นอยู่จริงก็เงยหน้ามองข้าอย่างมึนงง ในดวงตาฉายแววทำอะไรไม่ถูก “ข้า…เอ่อ ขอโทษด้วย…”

ข้าเดินเข่าเข้าไปใกล้สองก้าว จนไปอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ยกมือขึ้นเช็ดฝุ่นที่ยังเหลือบนใบหน้าเขา ครั้งนี้โม่ซีไม่ได้หลบ ดวงตาโตกะพริบไหวจ้องมองข้า รอจนข้าหยุดมือเขาจึงค่อยลูบใบหน้าตนเองอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง พวงแก้มย้อมด้วยสีแดงระเรื่อทีละน้อย

“ขอบ…ขอบคุณ” เขาพูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าอ่อนโยนมาก…”

เห็นท่าทางนุ่มนิ่มเช่นนี้ของเขา ทั้งได้ยินคำพูดเสียงอ่อนเช่นนี้ ความน้อยใจของข้าราวกับระเหยหายไปกลายเป็นความอบอุ่นล้นปรี่ท่วมมาถึงมุมปากอย่างไรอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันให้ข้าได้ผลิยิ้มบาน สายตาก็เหลือบเห็นรอยเขียวช้ำบนคอโม่ซีโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าลำคอตีบตัน เพิ่งมองสำรวจเขาอย่างละเอียดในเวลานี้ เห็นเสื้อผ้าเก่าปอนบนร่างเขา ที่คอมีรอยช้ำเป็นจ้ำ ข้าเลิกแขนเสื้อเขาขึ้นก็เห็นว่าบนลำแขนก็มีรอยเขียวกับแดงอย่างละหนึ่งรอย มุมปากข้าขยับไหว

“เหตุใด…จึงเป็นเช่นนี้”

โม่ซีกระวนกระวายคิดจะดึงแขนเสื้อลงมา เขาไม่เอ่ยคำใด

ข้านึกถึงมารดาของเขาเมื่อเก้าปีก่อนขึ้นมาได้ นางดูแล้วไม่เหมือนคนยากจนสิ้นหวังอะไร เหตุใดจึงเลี้ยงโม่ซีให้กลายเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้โม่ซีบาดเจ็บมากมายเพียงนี้!

“มารดาเจ้าเล่า” ข้าถาม

“ตายแล้ว”

คำตอบทื่อๆ ราบเรียบของเขาทำเอาข้านิ่งอึ้ง หลังจากตกตะลึงแล้วก็นึกได้ทันทีว่าโม่ซีที่ไร้มารดาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง บาดแผลพวกนี้คงเป็นเพราะถูกเด็กคนอื่นรังแกเอาแน่ ดังนั้นเมื่อครู่ถึงได้หวาดกลัว ถึงได้หลบข้าเช่นนั้น เป็นเพราะเขาถูก…กลั่นแกล้งจนขลาดกลัวไปแล้ว

ยามนี้ในใจข้าแสบร้อนไม่เหลือชิ้นดี

ข้ากุมมือน้อยๆ ทั้งสองข้างของเขาไว้ในฝ่ามือ “เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าเกี้ยวหมายความว่าอะไร ผู้อื่นให้นิยามอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ข้าตีความ เกี้ยวก็หมายถึงการทำดีด้วย ข้ามาเกี้ยวเจ้าก็หมายความว่าข้ามาทำดีต่อเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ทำดีต่อข้า?”

ข้าเก็บห่อลูกกวาดที่ร่วงลงพื้นนั้นขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วส่งให้เขา “นี่คือการทำดีต่อเจ้าครั้งแรก ต่อไปซานเซิงยังจะทำดีต่อเจ้าอีกหลายครั้ง เจ้ายินยอมให้ข้าเกี้ยวเจ้าหรือไม่”

โม่ซีนิ่งงันมองลูกกวาดในมือข้า จากนั้นก็เงยหน้ามองข้า “ไม่ใช่” เขากล่าว “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก” เขาลูบใบหน้าตนเองพร้อมเอ่ยบอกข้าอย่างเขินอายอยู่หน่อยๆ “เมื่อครู่จึงจะเป็นครั้งแรก”

ใจข้าพลันอ่อนยวบทันใด ทอดถอนใจเล็กน้อย โม่ซีเอ๋ยโม่ซี เหตุใดเจ้าเกิดมาตัวเล็กเพียงนี้ก็ล่อลวงผู้คนเป็นแล้ว

ข้ากุมมือเขา วางลูกกวาดลงกลางฝ่ามือของเขา “ได้ เมื่อครู่เป็นครั้งแรก นี่คือครั้งที่สอง โม่ซียังอยากได้ครั้งที่สามที่สี่หรือไม่”

เขาหน้าแดงผงกหัวน้อยๆ

ข้ายิ้มตาหยี คิดไปแล้วรู้สึกว่าเช่นนี้ยังไม่เหมาะสมดีพอ ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นอีก “ในเมื่อมารดาเจ้าจากไปแล้ว ดังนั้นเรื่องของเจ้าก็ให้เจ้าตัดสินใจเอาเอง แค่เจ้าต้องจำไว้ว่าตั้งแต่นี้ไปข้าก็นับว่าเกี้ยวเจ้าสำเร็จแล้ว”

เขาผงกหัวอย่างว่าง่ายอีกครั้ง

ข้ายิ้มเบิกบาน โม่ซีน้อยคนนี้ครอบครองง่ายกว่าโม่ซีใหญ่เป็นไหนๆ ลูบครั้งหนึ่งแล้วให้ลูกกวาดก็เดินตามข้ามาอย่างเชื่อฟังแล้ว ทำให้ข้ารู้สึกว่าความสุขมาถึงอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว ข้ากล่าวสืบไป “เช่นนั้น ตั้งแต่นี้ไปข้าก็เป็นภรรยาเจ้าแล้ว ตามธรรมเนียมของพวกเจ้า ข้านับเป็นสะใภ้ลูกต้อย* ของเจ้า ต่อไปเจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว ไม่อนุญาตให้หนีไปกับผู้อื่นนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ดีต่อเจ้าแล้ว”

ได้ยินคำพูดข่มขู่นี้โม่ซีก็ลนลานขึ้นมาบ้าง รีบดึงมือข้าพูดราวกับสาบาน “ไม่หนี ข้าไม่หนี”

ในใจข้าแย้มยิ้มดีใจ ใบหน้ากลับเคร่งขรึม “อันที่จริงฐานะพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญคือต่อไปมีข้าอยู่ จะไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้ เจ้าจำไว้ ซานเซิงจะไม่ให้ผู้อื่นมารังแกเจ้า”

นัยน์ตาเขาเปล่งประกายน้อยๆ ข้าลูบหัวเขาเบาๆ “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าเรียกน้องหญิงให้ข้าฟังหน่อย”

เงียบไปครู่หนึ่ง “ซานเซิง” เขาโพล่งออกมาเช่นนี้

“เป็นน้องหญิง”

“ซานเซิง”

“น้องหญิง!”

“ซานเซิง”

“…ก็ได้” ข้ายอมแพ้ “เช่นนั้นก็เรียกซานเซิงเถอะ”

“ซานเซิง”

“อืม”

ข้าจำได้เสมอมาว่าวันนั้นเขาเรียกชื่อข้านับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งต้องให้ข้าเอ่ยตอบถึงจะยอมเลิกรา ภายหลังข้าจึงได้รู้ว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ เพราะเคยมีวันหนึ่งที่เขาเรียกชื่อมารดาของเขานับครั้งไม่ถ้วนเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้รับคำขานใดๆ กลับมาอีกเลย

ตั้งแต่วันนั้นข้าจึงเลี้ยงดูโม่ซีน้อย ครอบครองเขาเอาไว้ วันคืนผ่านไปอย่างราบเรียบเป็นสุขและสมบูรณ์ แต่เลี้ยงดูไปไม่กี่วันข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เข้าที

ข้าครุ่นคิดว่าเดิมโม่ซีเป็นเทพสงครามบนสวรรค์ ยามนี้แม้เขาลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อผ่านคราวเคราะห์ แต่ก็ควรเป็นมนุษย์ที่ท่วงท่ากิริยาสง่างามเปี่ยมความรู้ จะเอาแต่เล่นสนุกทั้งวันเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อไปเติบใหญ่แต่ไม่รู้หนังสือสักตัว ไม่ใช่สร้างความแปดเปื้อนให้ฐานะเทพสงครามหรือ ดังนั้นข้าจึงคิดจะส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา

ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ไม่ไกลมีเมืองเล็กๆ ในเมืองมีสำนักศึกษาเพียงหนึ่งแห่ง เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษารู้ว่าสมัยเด็กโม่ซีเคยถูกพระรูปหนึ่งทำนายไว้ว่าเขาจะนำเภทภัยมาให้คนใกล้ตัว ดังนั้นจึงล้วนไม่ยินยอมรับเขาไว้

ข้าให้โม่ซีกอดแท่งทอง* เดินวนรอบสำนักศึกษา สุดท้ายพวกนั้นก็ยอมรับเขาเข้าเรียน

วันที่ส่งเขาเข้าสำนักศึกษาข้าช่วยมวยผมให้เขา โม่ซีมองข้าผ่านกระจกสำริด ในแววตามีแววกังวล ข้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์หลายสิบปี เวลาเท่านี้อันที่จริงไม่นับว่ายาวนาน ข้าสามารถปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้ชั่วชีวิต แต่ข้าหวังให้เจ้าเป็นคนมีความรับผิดชอบและใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาในหลายสิบปีนี้ การเรียนเป็นสิ่งจำเป็น เข้าสำนักศึกษาแล้วต้องฟังคำพูดของอาจารย์ แม้พวกเขาจะนับว่าเป็นปราชญ์ไม่ได้ แต่ดีชั่วอย่างไรก็จะแสดงท่าทีหยิ่งผยองเบื้องหน้าลูกศิษย์ในสำนักศึกษา ต้องเรียนรู้ให้ดี”

โม่ซีพยักหน้า

ทว่าเย็นวันนั้นข้าทำกับข้าวเสร็จ รออยู่นานแล้วก็ยังไม่เห็นโม่ซีกลับมา ในใจเป็นกังวลจนเดินไปหาตามเส้นทางที่เขาไปเข้าเรียน และเจอโม่ซีในมุมที่อีกแค่กำแพงเดียวก็ถึงสำนักศึกษา

เขานั่งกอดเข่า ใบหน้ามีรอยแผลแดงหนึ่งเขียวหนึ่ง ข้าเอ่ยถาม “ถูกรังแกหรือ”

เขาพยักหน้า

“รังแกคืนกลับไปหรือยัง”

เขาส่ายหน้า

ข้าช่วยจัดการบาดแผลให้เขาแล้วคุกเข่าหันหลังให้ “ขึ้นมาเถอะ พวกเรากลับบ้านกันก่อน”

โม่ซีไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่ ข้าหันกลับไปดู เขาพลันมีท่าทางเหมือนเพิ่งได้สติ ปีนขึ้นมาบนหลังข้าอย่างระมัดระวัง คล้องแขนรอบคอข้าแน่น หน้าอกแนบชิดกับหลังข้าแล้วนิ่งเงียบไม่พูดจา ข้าเดินกลับบ้านไปตามทางสายเล็ก อาทิตย์ตกดินส่องเงาร่างของข้ากับเขาให้เหยียดยาว ดูจากเงาแล้วราวกับว่าข้าคือยายแก่หลังค่อมคนหนึ่ง

“ซานเซิง”

“อืม”

“ขอบ…ขอบคุณที่มารับข้ากลับบ้าน”

“โม่ซี ซานเซิงดีต่อเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”

เขาอิงอยู่เงียบๆ บนหลังข้า ไม่พูดอะไรอีก

กินข้าวเย็นเสร็จข้าก็หยิบยามาทาแผลให้เขา จากนั้นจึงเอ่ยถาม “คนที่รังแกเจ้าอยู่ที่ไหน”

เจ้าอ้วนหวังเป็นบุตรชายเจ้าของที่ดินคนหนึ่งในเมือง บ้านเขาร่ำรวย ลานหลังบ้านก็กว้าง ข้ามองอย่างชอบใจยิ่ง หลังจากจุดลูกไฟวิญญาณไว้ที่ห้องเก็บฟืนบ้านเขา ให้บังเอิญมีลมพัดมาพอดี โหมจนเพลิงนี้ลุกโชนยิ่งขึ้น ครึ่งท้องฟ้าของเมืองเล็กแห่งนี้กลายเป็นสีแดงฉานไปแล้ว

ข้ารู้สึกตระการตานัก นำโม่ซีไปยังสถานที่ชมทิวทัศน์ดีๆ แห่งหนึ่ง ชี้แสงไฟจากบ้านเจ้าอ้วนหวังที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า “น่าหัวเราะยิ่ง”

โม่ซีเงียบไปพักหนึ่งค่อยมองข้า “ซานเซิง อาจารย์บอกว่าต้องสนองแค้นด้วยคุณธรรม”

“โม่ซี เจ้าต้องรู้จักแยกแยะ คำพูดนี้ของอาจารย์เห็นชัดๆ ว่าผายลมหลอกลวงเจ้า แค่ฟังก็พอไม่ต้องคิดเป็นจริง”

โม่ซีได้ยินคำพูดข้าแล้วพลันส่งเสียง “ฮ่าๆๆ” ออกมา

 

เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปเร็วมาก พริบตาก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว โม่ซีอายุเต็มสิบหก ตัวยืดยาวสูงกว่าข้า ดวงหน้าก็ค่อยๆ มีลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่ข้าพบเขาในปรโลกแล้ว

เขาเติบใหญ่แล้ว ข้าทั้งยินดีทั้งกลัดกลุ้ม

ที่ยินดีก็คือวันเวลาที่โม่ซีจะแต่งข้าเข้าบ้านอย่างเป็นทางการใกล้เข้ามาอีกหน่อยแล้ว เรือนร่างของเขายิ่งสมบูรณ์ขึ้น ส่วนที่กลัดกลุ้มก็คือไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียวที่จับจ้องโม่ซีผู้ ‘สมบูรณ์พร้อมขึ้นทุกวัน’

ยามกลางวันฟ้าใสหลังหิมะตก

มีคนเคาะประตูบ้าน ข้าเปิดออกไปดูเป็นแม่สื่อซุนในเมือง พอนางเห็นข้าก็ยิ้มหน้าบานราวกับดอกไม้ “แม่นางซานเซิงสบายดีหรือ อุ๊ยตาย เจ้านี่นับวันยิ่งเด็กลงทุกวัน ไม่ต่างจากที่ได้พบครั้งก่อนแม้แต่น้อย”

ข้าไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนในเมืองเพราะกลัวพวกเขาจะมองรูปโฉมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปของข้าออก แล้วจะบอกว่าข้าเป็นปีศาจทำให้โม่ซีต้องลำบาก เหมือนดังแม่สื่อซุนที่วันนี้ยิ้มราวกับดอกโบตั๋น ข้าเองก็เหวี่ยงประตูคิดจะปิดมันโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี

นางคล้ายรู้ว่าข้าจะทำเช่นนี้จึงยื่นมือมาขวางไว้ โพล่งเรื่องสำคัญตรงๆ ไม่เอ่ยทักทายปราศรัยแล้ว “ภาพเหมือนของสตรีสองสามภาพที่ข้าให้เจ้าไว้ครั้งก่อน เจ้าได้เอาให้คุณชายโม่ซีดูหรือยัง”

ภาพเหมือนที่นางให้มาครั้งก่อนข้าไม่ได้รับไว้ นางจึงโยนเข้ามาจากนอกกำแพงข้างบ้าน ข้าค่อยๆ เปิดออกดูแล้วจุดไฟเผาภาพพวกนั้น ย่อมไม่มีโอกาสให้โม่ซีได้ดู

ข้าอ้าปากเอ่ย “แม่นางสกุลหวังเรือนกายสูงไป โม่ซีเห็นแล้วไม่ชอบ เด็กสาวสกุลหลี่นิสัยโมโหร้ายเกินไป โม่ซีรู้สึกไม่ชอบ คุณหนูสกุลจางมากเล่ห์เกินไป โม่ซีไม่ชอบ เจ้ากลับไปเถอะ”

แม่สื่อซุนซึ่งมีไฝงอกขนอยู่บนใบหน้าถูกคำพูดตัดรอนของข้าทำเอาบื้อใบ้ เพิ่งได้สติกลับมายามเห็นข้าจะปิดประตูอีกครั้ง นางรีบแทรกร่างครึ่งหนึ่งมาสกัดไว้แล้วยิ้มสู้ “แม่นางซานเซิง! แม่นางสกุลหวังนั่นเรียกเพรียวบางจึงเห็นว่าสูง เด็กสาวสกุลหลี่นั่นคือร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่นับว่ามุทะลุโมโหร้าย คุณหนูสกุลจางนั่นคือรอบรู้ทั้งเพลงพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดนะ! จะเรียกว่ามากเล่ห์เกินไปได้อย่างไร! เจ้าดูสิว่าโม่ซีบ้านเจ้าโตจนป่านนี้แล้ว แม้กล่าวว่าบุรุษไม่เหมือนสตรี แต่พูดคุยเรื่องแต่งงานเลือกหาแม่นางที่ดีคนหนึ่งเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องดี ภายหน้ารอจนผู้อื่นเอาสตรีดีๆ ไปหมดแล้ว คุณชายโม่ซีก็ต้องไร้คู่สิ!”

โม่ซีไม่ใช่คนไร้คู่มานานแล้ว… คำพูดนี้ข้ายังไม่ได้พูดออกมา โม่ซีก็เดินออกมาจากในห้องแล้วคำนับแม่สื่อซุนอย่างมีมารยาท

แม่สื่อซุนยิ้มจนตาหยีไปหมดแล้ว “วันนี้คุณชายโม่ซีไม่ได้ไปสำนักศึกษาหรือ พอดีเลยๆ เจ้าดูสิว่าท่านพี่ซานเซิงของเจ้าทำใจจากเจ้าไม่ได้ ไม่ยอมให้เจ้าเลือกคู่ เจ้าว่ามาให้อาฟัง เจ้าชอบแม่นางหน้าตาเช่นไร อาจะไปหามาให้เจ้า”

โม่ซีชะงัก ยิ้มกล่าวเกรงใจ “น้ำใจของท่านอา โม่ซีขอรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ยามนี้โม่ซีมีใจเพียงอ่านตำราหาความรู้ ไม่สนใจเรื่องอื่น ไม่รบกวนให้ท่านอาต้องเหนื่อยหน่าย”

แม่สื่อซุนยังพูดต่อ โม่ซีก็ลากเอาเหตุผลมากมายออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ สุดท้ายเห็นเพียงแม่สื่อซุนหน้าม่อยจากไป

ข้าเองก็มองเขาหน้าม่อยเช่นกัน

โม่ซีปิดประตูแล้วหันมามองข้า เขาพลันชะงักไป “ซานเซิงเป็นอะไร”

ข้ากล่าวเศร้าระทม “ยามนี้เจ้ามีใจเพียงอ่านตำราหาความรู้หรือ”

เขาตะลึงเล็กน้อย ใบหน้าที่ยังคงมีเค้าความเยาว์วัยย้อมด้วยสีเลือดฝาดสองดวงโดยพลัน “นั่น…นั่นเป็นแค่ข้ออ้าง ซานเซิงอย่าคิดเป็นจริง ในใจข้าย่อม…”

มุมปากเขาขยับอยู่นาน ชะงักไม่พูดคำที่ข้าอยากได้ยินออกมา ดวงตาข้าวาววับรีบต่อประโยคให้ “ย่อมต้องมีข้าใช่หรือไม่”

ใบหน้าโม่ซียิ่งแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาเบี่ยงหน้าไปแล้วกระแอมสองเสียงอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

หลายปีมานี้ยิ่งเรียนวิชาความรู้กับอาจารย์ในเมือง คำพูดคำจาของโม่ซีก็ยิ่งคลุมเครือมีความนัยขึ้นทุกที ไม่ค่อยมีคำพูดที่พาให้ข้าจิตใจเบิกบานเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย แต่ว่าท่าทางกระดากอายของเขาในยามนี้กลับยิ่งดูงดงาม ทำให้ข้าเบิกบานใจได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงคร้านจะไปเอาเรื่องอาจารย์ของเขาแล้ว

“ในเมื่อใจเจ้ามีข้า เช่นนั้นคราวหน้าหากมีคนมาถามเจ้าว่าชอบสตรีแบบใดอีก เจ้าห้ามใช้เหตุผลพวกนี้ตอบถูไถไป”

โม่ซีมองข้าอย่างงุนงง ข้ายกมือขึ้นประคองใบหน้าเขา ให้ในดวงตากระจ่างใสของเขาเต็มไปด้วยเงาร่างของข้า “ครั้งหน้าจำไว้ว่าต้องตอบเช่นนี้” ข้ากระแอมให้คอโล่ง สอนเขาอย่างจริงจัง “ข้าชอบสตรีแบบซานเซิง”

เขามองข้าพร้อมกับพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงช้าๆ ทำท่าจะหันหน้าหนีแต่ถูกข้าจับหัวไว้ไม่อาจหลบได้ ได้แต่เลี่ยงสายตามองไปทางโต๊ะหินอีกด้านแทน

ข้าเหลือบมองโต๊ะหินด้านข้างเช่นกัน รู้สึกว่าโต๊ะนั้นหาได้งดงามน่ามองเหมือนข้าไม่ ดังนั้นจึงเอียงหัวไปอยู่ในแนวสายตาของเขา โม่ซีไร้ทางหลบ สุดท้ายสายตาจึงตกลงบนใบหน้าข้าอีกครั้ง

“คำพูดของข้าเมื่อครู่เจ้ารีบท่องมาหนึ่งรอบ หากน้ำเสียงทำนองไม่ถูกต้อง ยามนี้ข้าจะได้ช่วยเจ้าปรับแก้”

โม่ซีหน้าแดงจะแย่แล้ว ได้ยินคำพูดของข้า ทว่าไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไปแล้ว เขามองสบตาข้าแล้วเอ่ยออกมาทีละคำช้าๆ “ข้าชอบสตรีแบบซานเซิง”

คำพูดเช่นเดียวกันซึ่งออกมาจากปากโม่ซีแฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้ตัวข้าเองต้องประหลาดใจ มอบความอบอุ่นในหัวใจข้า ข้ารู้สึกสุขสบายใจยิ่งแล้ว ได้แต่แย้มยิ้มตาหยีออกมาเท่านั้น

โม่ซีเห็นข้าเป็นเช่นนี้ เบื้องหลังใบหน้าแดงเขินอายนั้นก็ค่อยๆ ผลิบานด้วยรอยยิ้มขึ้นหลายส่วน

บทที่สี่

 เวลาต่อมาข้าช่วยโม่ซีไล่แม่สื่อที่มาหาถึงบ้านไปไม่น้อย นี่ก็เหมือนกับการไล่พวกผีน้อย บางคราวมาสองสามคนไม่มีปัญหา ข้าหยอกเล่นแก้เบื่อเป็นการฆ่าเวลาได้ แต่ครั้นเพิ่มมากขึ้นข้าก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้าง

แต่ยังรำคาญไม่เท่าไร จู่ๆ ก็ไม่มีคนมาแล้ว!

ข้ารู้สึกประหลาดใจ ครั้นเอ่ยถามโม่ซี เขาก็ตอบเลี่ยงหลบไปมา ในใจข้ารู้แล้วว่าต้องเป็นโม่ซีทำเรื่องบางอย่างลงไป แต่ในเมื่อเขาไม่พูดข้าก็คร้านจะซักถาม รู้เพียงว่าโม่ซีในชาตินี้เติบใหญ่แล้ว สามารถแบกรับหน้าที่ปกป้องข้าได้แล้วในที่สุด

ข้าแอบปลื้มในใจ นับวันรอคอยพิธีแต่งงานหลังจากเขาสวมหมวก* ยิ่งรอคอยคืนเข้าหอหลังพิธีแต่งงานยิ่งกว่า หลังจากมีสัมผัสทางกาย นั่นจึงจะถือว่าเกี้ยวเขาสำเร็จดังฝันของข้าอย่างแท้จริง

ข้าคิดคำนวณอยู่ในบ้านทุกวันว่าต้องเตรียมสินเดิมไว้เท่าไร แล้วเขาต้องให้ของหมั้นข้าเท่าไร ครุ่นคิดไปถึงสี่ปีข้างหน้า โม่ซีลากนิทานเต็มรถเทียมวัวคันหนึ่งมาให้ข้า กล่าวว่า ‘ซานเซิง ข้าอ่านหนังสือออกแล้ว สามารถเขียนอักษรได้แล้ว เจ้าชอบอ่านนิทานข้าจึงเขียนมาให้เจ้าอ่าน เขียนให้เจ้าทุกวัน…’

มุมปากข้าลากเป็นเส้นรัศมีงดงาม โม่ซีเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าก็คือนิทานที่ดีที่สุดซึ่งสวรรค์เขียนให้ข้า เปลี่ยนชีวิตข้าให้เป็นเหมือนดั่งตัวละคร…

เสียง ‘ปัง!’ โครมใหญ่ดังสะท้านจนเตียงนอนข้าสั่น ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเตี้ยร่วงกราวลงบนพื้น เสียงแตกกระจายทำลายฝันอันงดงามของข้า

นิทานที่ปิดหน้าตกอยู่ด้านข้าง ข้าลืมตากะพริบปริบๆ มองไปที่คานห้อง ปลายจมูกพลันสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจสายหนึ่ง

ปีศาจ?

ข้าพลิกตัวขึ้นนั่ง คลุมเสื้อแล้วสาวเท้าออกไปนอกประตู

ในลานบ้านเละเทะไปแถบหนึ่ง บนพื้นถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่ ขณะที่เศษฝุ่นดินลอยคลุ้งข้าได้ยินเสียงไอต่ำเปี่ยมพลังของผู้ชายดังมาจากภายใน

ข้ามองซ้ายมองขวาแล้วหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขว้างไปที่คนผู้นั้น “เจ้าเป็นใคร”

ถูกก้อนหินขว้างใส่ แต่คนผู้นั้นกลับไม่ส่งเสียงฮึดฮัดแม้แต่น้อย เพียงแค่หันกลับมาช้าๆ เมื่อฝุ่นจาง สี่ตาจึงประสาน

“อ๊ะ…” เขาส่งเสียงร้องเรียกตกใจ “เป็นเจ้า!”

ข้าพิศดูเขาทั้งบนล่าง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่ชุดที่ราวกับเศษผ้า แก้มกับแขนเปรอะเปื้อนสีสัน ท่าทางที่หลั่งเลือดไม่หยุดนี้ดูทีว่าจะไม่ใช่บาดแผลจากอาวุธธรรมดา ข้ากุมคางครุ่นคิดอยู่นานค่อยตบฝ่ามือในฉับพลัน “อ้อ!”

เขาสีหน้ายินดี “เจ้ายังจำข้าได้!”

“เจ้าคิดตีสนิทข้า?” ข้าโบกมือ “ไร้ประโยชน์ๆ พูดมาตามจริง! เป็นปีศาจตนใด”

เขาชะงักเท้า ยืนอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” เขาร้อนรน “เจ้าลืมข้าไปแล้วได้อย่างไร!” เกาหัวเกาหูคิดอยู่นาน “ข้าคือสือต้าจ้วงไง! คนที่…เมื่อเจ็ดปีก่อนไง! พวกเราเคยพบกันที่…ที่กันดารห่างไกล… เจ้าช่วยน้องข้าไปปรโลก แถมยังใช้เวทให้นางไปดีหน่อยนั่นไง!”

ข้าใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วพลันนึกขึ้นได้ ที่แท้เป็นเขา พี่ชายโง่งมที่ตีปีศาจก้อนหินน้องสาวตนเองจนตกเขาตาย!

เห็นข้าพยักหน้า สีหน้าร้อนรนบนใบหน้าเขาก็ล่าถอยไป เผยยิ้มออกมา “ยามนั้นข้าคิดจะขอบคุณเจ้า แต่ยังไม่ทันได้ทำข้าก็ถูกภิกษุเฒ่าไล่ตาม ภายหลังข้ากลับไปดูที่นั่น เจ้ายังฝังน้องสาวของข้าอีก เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ”

“ข้าย่อมต้องเป็นคนดีอยู่แล้ว” ข้ากล่าว “แต่ว่าเจ้าพังลานบ้านข้าก็ต้องชดใช้เช่นกัน”

เขาหันกลับไปมอง เห็นลานบ้านเละเทะของข้าแล้วเกาหัวกล่าว “ข้าจะชดใช้ให้เจ้า เพียงแต่ที่จริงวันนี้ข้าไม่มีพลังเวทเหลือแม้แต่ครึ่งส่วน รอไว้พรุ่งนี้ข้าฟื้นกำลังแล้วค่อยช่วยจัดการลานบ้านเจ้าได้หรือไม่”

เขาพูดอย่างน่าสงสาร ข้าแปลกใจจึงเอ่ยถาม “เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันควัน “พระรูปนั้น…”

ครั้นได้ยินชื่อลาเฒ่าหัวโล้น วันคืนในอดีตตลอดเก้าปีที่ถูกไล่ฆ่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาข้าไม่หยุด ข้าขมวดคิ้ว “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ”

สือต้าจ้วงถอนหายใจ “มีชีวิตอยู่ตลอดไม่เคยตายจากไป” เขาเจ็บปวดอย่างที่สุด “เขาเข้าใจข้าผิดอย่างลึกล้ำ มั่นใจว่าข้าเป็นปีศาจที่ไม่มีเรื่องร้ายใดไม่ทำ ไล่ตามข้ามาตลอดเจ็ดปี!” เขาพูดอย่างเศร้าสร้อย

ข้าฟังแล้วลอบตื้นตันยินดี ดีจริงๆ ในโลกมนุษย์นี้ยังมีผู้ที่ได้รับความลำบากเช่นเดียวกับข้า ทำเอาข้าปลื้มปีติ สบายใจเป็นเท่าตัว

“ไม่กี่วันก่อนร่างกายพระเฒ่าดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ไม่รู้ภิกษุเฒ่ารูปนี้เป็นอะไร ลากสังขารทรุดโทรมมาเดิมพันเอาเป็นเอาตายกับข้า ข้าสู้กับเขาสามวันสามคืนเลยเชียว! สุดท้ายเขาหมดกำลัง ข้าจึงฉวยโอกาสหนีมา เร่งเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนมาถึงบ้านเจ้านี่ ยามนี้ไม่มีแรงวิ่งอีกแล้วถึงได้ตกลงมาจากด้านบน”

จากคำพูดนี้ของอีกฝ่าย ดูท่าลาเฒ่าหัวโล้นคงใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยปณิธานกำจัดปีศาจร้ายของเขา ไหนเลยจะปล่อยให้หินก้อนนี้หนีมาได้ การเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ พระรูปนั้นไม่ได้ตามมาคงเพราะไล่ตามไม่ไหวแล้ว

สือต้าจ้วงศีรษะตกห้อย ท่าทางจนตรอก จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ดูท่าหลายปีนี้คงอยู่อย่างรันทดจริงๆ วันนี้ข้าได้พบเขาก็เหมือนพบตนเองในอดีต ทำให้ข้าเกิดความเห็นใจขึ้นมาบ้าง อีกอย่างหากพูดไปแล้วสือต้าจ้วงผู้นี้ก็พบภัยพิบัติเพราะข้า คิดถึงตรงนี้จึงกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา ข้าจะเอายาให้เจ้า จากนั้นหาเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยน”

เขาตะลึงน้ำตาคลอโดยพลัน “ผู้มีคุณ! เจ้าเป็นผู้มีคุณอันใหญ่หลวงของข้าจริงๆ!”

ข้าพยุงเขาอย่างสงบนิ่ง “ข้าคนนี้ใจดีง่ายไปหน่อย”

ภายในบ้าน

สือต้าจ้วงถอดเสื้อนั่งบนเก้าอี้ แขนเปลือยเปล่าหยิบยาขี้ผึ้งใส่ให้ตนเองโดยมีข้านั่งมองอยู่ด้านข้าง เขาหนีมาตลอดเจ็ดปี กลับเป็นการฝึกกล้ามเนื้อให้ยิ่งแข็งแกร่ง จัดเรียงตัวชัดเจนกำยำมีพลัง หากสามารถรั้งให้เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่ขาดผู้ช่วยวิ่งไปซื้ออาหารในเมืองแล้ว…

“คือว่า…” ข้ากำลังดีดลูกคิดในใจ สือต้าจ้วงพลันหน้าแดงยื่นยาขี้ผึ้งมาให้ข้า “บนหลังมีจุดหนึ่งข้าเอื้อมไม่ถึง”

กล้ามเนื้อแขนของเขามีมากเกินไปจนเอื้อมไม่ถึงด้านหลัง ข้าเลิกคิ้ว “อยากให้ข้าช่วยหรือ”

เขาพยักหน้า “เดิมไม่กล้ารบกวนผู้มีคุณ แต่ปากแผลนั่นคันยิ่งนัก…”

ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ได้ ข้าช่วยเจ้า” ข้าควักยาขี้ผึ้งมาส่วนหนึ่งทาลงบนหลังเขา ไตร่ตรองคำพูดแล้วกล่าว “ต้าจ้วง เมื่อหลายปีก่อนข้าช่วยน้องสาวเจ้า ยามนี้ก็ช่วยเจ้าอีก เจ้าว่าเจ้าควรเอาอะไรมาตอบแทนข้าหน่อยหรือไม่”

ต้าจ้วงชะงัก “ข้า…ไม่มีของอะไรสามารถให้เจ้าได้”

ข้าเกลี่ยยาแล้วตบหลังหนาของเขา “มีสิ เจ้าขายร่างกายให้ข้าเถอะ”

ต้าจ้วงตื่นตระหนกหันมามองข้า จากนั้นใบหน้าเขาก็ขึ้นสีแดงน่าสงสัยอย่างช้าๆ “เจ้าหมายถึง…เจ้าหมายถึงใช้ร่างกายแทนคุณหรือ”

ข้าย่อมไม่รู้ว่าเขาหน้าแดงทำไม พยักหน้ากล่าว “น่าจะความหมายประมาณนั้นกระมัง”

ต้าจ้วงยิ้มเกาหัว เขาเหลือบมองข้าอย่างเขินอายคราหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปจับหัวยิ้มโง่งมต่อ “ก็…ก็ได้…”

บุรุษตัวโตคนหนึ่งยิ้มหน้าบานราวกับแม่นางน้อย ในใจข้าหนาวจนสั่นแล้ว ขณะเรียกสติคิดจะหากระดาษมาให้เขาลงหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร พลันได้ยินเสียงผลักประตู ข้าหันไปดูเห็นโม่ซียืนย้อนแสงอยู่หน้าประตูจนเงาร่างดูแบบบางไปบ้าง ควันขาวจากลมหายใจลอยวนเวียนวุ่นวายอยู่กลางอากาศ

“ไม่ได้”

คำพูดนี้ของเขาพูดออกมาอย่างกะทันหันทั้งยังเยียบเย็นเป็นที่สุด

“หืม?” ข้าแปลกใจ เดินไปรับเขา “เจ้ากลับมาได้อย่างไร วันนี้สำนักศึกษาเลิกเร็วเพียงนี้เชียว”

เขานิ่งเงียบอยู่นานค่อยอธิบายเสียงเบา “ข้าเห็นของบางอย่างตกใส่บ้านพวกเราเสียงค่อนข้างดังจึงกลับมาดู”

ผมเขายุ่งหมดแล้ว คงเพราะวิ่งกลับมาตลอดทาง ข้าลูบหัวเขาอย่างรู้ว่าเขาเป็นห่วงข้า “ซานเซิงไม่เป็นไร มา ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือ” ข้าชี้ปีศาจก้อนหินที่นั่งนิ่งงัน “เขาชื่อสือต้าจ้วง ต่อไปก็เป็น…อืม…” คนงานระยะยาว? บ่าวรับใช้? ยามเฝ้าบ้าน? ข้ากำลังง่วนคิดว่าจะเรียกเขาอย่างไร โม่ซีกลับคว้ามือข้าไว้อย่างรวดเร็ว

“ไม่เอา!” เขาเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ไม่เอาเขา”

ข้าเหล่มองสือต้าจ้วง เขาเห็นตนเองถูกโม่ซีปฏิเสธกลับไม่โกรธ เพียงเกาหัวอย่างเห็นได้ชัดว่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ข้าดึงโม่ซีออกมาข้างนอก เอ่ยกำชับสือต้าจ้วงก่อนปิดประตู “แผลบนหลังเจ้าล้วนทายาเรียบร้อยแล้ว เจ้าทาที่อื่นเอาเอง”

เมื่อลากโม่ซีมาถึงลานบ้าน ข้ายังไม่ทันเอ่ยปากเขาก็ขมวดคิ้วกล่าว “ซานเซิง เจ้าไม่ควรทายาให้เขา ไม่ควรอยู่ในบ้านด้วยกันกับเขา ไม่ควร…มองเขาที่ไม่ใส่เสื้อผ้า…”

การแสดงออกนี้ของโม่ซีจากที่ในนิทานชาวบ้านพูดน่าจะเป็นหึงหวง ข้าคิดครู่หนึ่งก่อนจะยื่นปากชนกับแก้มเขาเสียงดังแปะ โม่ซีที่เดิมโมโหยังคิดจะพูดต่อพลันนิ่งชะงัก

เขากุมใบหน้ามองข้าอย่างตกตะลึง

“โม่ซี เจ้ายังหึงหรือไม่”

เขาหน้าแดงราวกับถูกต้ม

ข้าเขินอายเช่นเดียวกัน แต่อาการเขินอายของโม่ซีในสายตาข้างดงามน่ากินยิ่งกว่า ทว่าขณะที่กำลังอายนี้เขาก็ยังดึงมือข้าไม่ปล่อย “อย่าให้เขาอยู่”

“โม่ซี” ข้าตัดสินใจพูดข้อดีของการรั้งคนงานระยะยาวคนนี้กับเขาก่อน “เจ้าดูสิ ข้าให้เขาอยู่ มีคนช่วยวิ่งไปซื้ออาหาร ยกสิ่งของ ซ่อมบ้าน ปูกระเบื้อง ทำงานจับกังเพิ่มหนึ่งคน เช่นนี้ไม่คุ้มค่าหรือ”

“เรื่องพวกนี้ข้าก็ทำได้”

“ยามนี้เจ้าโตแล้ว ทั้งกำลังเรียนที่สำนักศึกษา คนพวกนั้นล้วนเชื่อในหลักวิญญูชนพึงหลีกไกลจากครัว แม้ข้าจะรู้สึกว่ากฎเกณฑ์นี้ไร้เหตุผลอย่างน่าประหลาด แต่ถ้าอยากให้เจ้าเข้าไปร่วมอยู่ในนั้น ทุกวันให้เจ้าหิ้วอาหารกลับมา…”

“ข้าไม่เป็นไร!” โม่ซีออกความเห็นอย่างว่องไว

“แต่ซานเซิงกลัวว่าเจ้าจะได้รับความอดสู” ข้ากล่าว “อีกอย่างเจ้าดู เขาตัวโตเพียงนั้น กล้ามเนื้อพละกำลังทั้งร่างไม่ใช้ก็ขาดทุนแย่!”

โม่ซีเงียบไปนาน “ที่ซานเซิง…ต้องใจ คือกล้ามเนื้อของเขา?”

“แน่นอนสิ!”

“นี่…” เขางึมงำอย่างหดหู่ยิ่ง “ข้าไม่มีจริงๆ…”

ข้าลูบหัวเขาเป็นการปลอบใจ

 

ดังนั้นภายใต้การอะลุ่มอล่วยของโม่ซี เรื่องที่สือต้าจ้วงรั้งอยู่ที่นี่พลันถูกกำหนดทั้งแบบนี้แล้ว

ตั้งแต่วันนั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตของโม่ซีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ

เมื่อก่อนเขาตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ล้างหน้าบ้วนปากกินข้าวเช้ากับข้าเสร็จแล้วถึงค่อยไปสำนักศึกษา เทียบกับนักเรียนคนอื่นนับว่าเขาไปสาย ทว่าโม่ซีฉลาดเฉลียว นำหน้าผู้อื่นทุกอย่าง ดังนั้นอาจารย์จึงไม่ก้าวก่ายกับเขามากนัก

แต่ว่าหลายวันนี้โม่ซีตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น รอยามเหม่าข้าทำข้าวเช้าเสร็จเขาก็วิ่งกลับมาจากข้างนอกได้รอบใหญ่ ข้าถามเขาว่าทำอะไร เขาบอกเพียงว่าไปวิ่งข้างนอกรอบหนึ่ง แล้วเวลาเข้าเรียนจะมีสมาธิขึ้นมาหน่อย

ข้าฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล วันต่อมาจึงผลักสือต้าจ้วงให้ตื่นตั้งแต่เช้า ให้เขาไปวิ่งกับโม่ซี สือต้าจ้วงหน้าตาไม่ยินยอมด้วยยังนอนไม่พอ โม่ซีเองก็หน้าตาอึมครึม กล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่ไปกับเขา”

ข้าเอ่ยเสียงเบากับโม่ซี “เขาไปวิ่งเรียกสมาธิ กลับมาจะได้หาบน้ำทำกับข้าวได้ดี” ข้าตบไหล่สือต้าจ้วง “ไปเถอะ ไปกับโม่ซี”

โม่ซีท่าทางราวกับมีอะไรจุกคอ มองสือต้าจ้วงคราหนึ่ง กัดฟันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

วันนี้โม่ซีวิ่งกลับมาแล้วไม่ไปสำนักศึกษาเป็นประวัติการณ์ เขาบอกว่าอากาศเย็นไม่อยากขยับ หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินโม่ซีหาข้ออ้างไม่ไปเข้าเรียน นับว่าหายากยิ่ง ไม่ไปก็ไม่ไปเถอะ อย่างไรก็เป็นชีวิตเขา นอกจากเรื่องเจ้าสาวแล้วเรื่องอื่นๆ ให้เขาตัดสินใจเองจึงจะดี

ข้าหมกตัวอยู่ในห้องอ่านนิทานเป็นปกติ สือต้าจ้วงซ่อมลานบ้านเสร็จแล้ว ยามที่เขาเข้ามาบอกข้ายังพูดเสียงเบาอีกหนึ่งประโยค “น้องเจ้าดูเหมือนไม่ชอบข้า”

ยามนี้คุณชายและคุณหนูในนิทานของข้ากำลังอยู่ในช่วงตื่นเต้นจากการเข้าใจผิดทับถม ข้าจึงไม่สนใจคำพูดของสือต้าจ้วง เพียงส่งเสียง “อืมๆ” กลับไปเท่านั้น

เขาออกจากห้องไปอย่างหม่นหมอง

รอจนเมื่อท้องส่งเสียงโครกคราก อีกทั้งนิทานของข้าก็อ่านจบไปแล้ว คุณชายคุณหนูกอดอีกฝ่ายแน่นร่ำไห้ไปด้วยกัน พร้อมพรั่งไปด้วยรักและแค้น ข้าถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ ลุกขึ้นคิดจะไปทำอะไรมาเติมท้องตนเอง ประตูเพิ่งเปิดออก สายลมหนาวจากด้านนอกพร้อมคำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของสือต้าจ้วงพัดเข้าหูข้า

“ข้าชอบพี่สาวเจ้ามาก”

มือที่เปิดประตูอยู่ของข้าหยุดชะงัก มองเห็นสถานการณ์ภายนอกจากช่องประตู สือต้าจ้วงกำลังตักน้ำในบ่อ หันหลังพูดกับโม่ซีราวกับเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อย โม่ซีวางตำราไว้ที่โต๊ะหินด้านข้าง มองแผ่นหลังสือต้าจ้วงด้วยสีหน้าเยียบเย็นรางๆ

อู้ว ทั่วทุกที่ของชีวิตล้วนแต่เป็นบทละคร คำพูดในนิทานเป็นความจริง หาได้หลอกลวงข้า

“นางเปิดเผยและเมตตาต่อผู้คน ก่อนหน้านี้นางให้ข้าใช้ร่างกายแทนคุณ ทำให้ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว” สือต้าจ้วงหิ้วถังน้ำหันมายิ้มซื่อๆ กับโม่ซี “เจ้าก็อย่าเอาแต่ไม่ยอมพูดกับข้าเลย ช้าเร็วย่อมต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าก็ลองเอ่ยปากเรียกข้าว่าพี่เขยสักคำเถอะ”

สีหน้าของโม่ซีบิดเบี้ยวอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มือที่วางบนตำรากำแน่นอย่างยิ่ง เขาดูคล้ายพยายามอดกลั้นอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหวตบโต๊ะลุกยืนขึ้น

ข้าคิดในใจว่าโม่ซีในยามนี้ไม่อาจสู้ปีศาจก้อนหินได้ ประมือกันแล้วย่อมต้องเสียเปรียบแน่ จึงรีบผลักประตูเดินออกไป “โอ๊ะ อากาศดีจริง!”

กระแสลมแรงหอบหนึ่งพัดปกคลุมใบหน้าทำผมดำเงางามของข้ายุ่งไปหมด เมฆทะมึนหนาหนัก เป็นสภาพอากาศที่หิมะใกล้จะตกแล้ว

ข้าหัวเราะแห้งๆ สองเสียง พยายามคว้าจับผมตนเองวุ่นวายไปหมด ทว่ายิ่งจับก็ยิ่งพันเป็นก้อน ทั้งยังพันมือข้าไปด้วย ข้ารักเส้นผมที่ไม่ได้งอกออกมาง่ายๆ นี้เป็นอย่างยิ่งจึงไม่กล้าออกแรงดึง ขณะกำลังร้อนใจ แสงตรงหน้าก็มืดทึบลง เป็นโม่ซียืนอยู่เบื้องหน้าข้า

ยามนี้เขาสูงกว่าข้าแล้ว ข้าค่อยๆ เงยหน้ามองเขา เขากลับไม่ได้มองข้า สายตาจดจ่ออยู่กับการแก้ปมเส้นผมของข้าอย่างอ่อนโยน บรรยากาศที่ส่งผ่านมาจากตัวเขาดูอึมครึมนิดหน่อย ข้ากำลังจะเอ่ยปาก เขากลับพูดเสียงติดจะเยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าเข้าไปอ่านตำราในห้อง”

หลีกหนีไปโดยไร้เสียง ดื้อดึงอย่างเงียบงัน เป็นครั้งแรกที่โม่ซีใช้น้ำเสียงกึ่งเยียบเย็นไม่อบอุ่นเช่นนี้พูดกับข้า เห็นได้ชัดว่าไม่คิดอยู่กับข้าและสือต้าจ้วงด้วยกันตรงนี้อีก อาการนี้ของเขาคือ…

หึงจนโกรธแล้ว

ข้าลอบใคร่ครวญครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคราวนี้เกรงว่าจะปลอบเขาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ดังนั้นหลังจากโม่ซีเข้าห้องไปแล้วจึงหันสายตามองไปทางสือต้าจ้วงที่ยืนนิ่งงงงันเล็กน้อย สือต้าจ้วงได้สติ “เหตุใดเขา…เหตุใดพวกเจ้า…รู้สึกราวกับ…”

ข้าชี้เขาแล้วตัดบทคำพูด “เจ้าตามข้ามา”

ข้านำสือต้าจ้วงเดินออกจากบ้าน จนกระทั่งออกห่างจากตัวบ้านได้พอประมาณแล้วจึงหยุด ข้าเอ่ยพูดตามตรงไม่อ้อมค้อม “ข้าชอบโม่ซี ข้าเป็นสะใภ้ลูกต้อยของเขา ข้าไม่ชอบเจ้า พวกเราไม่ได้ล้อเล่น เจ้าก็ตัดใจเถอะ”

ข้าพูดประโยคหนึ่งแล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทุกครั้งที่ข้าหยุดเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว รอจนข้าพูดจบสือต้าจ้วงก็มองมาทางข้าด้วยใบหน้าราวกับถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วง

“เจ้า…เจ้า…แต่ว่าเจ้าเป็นยมบาลในปรโลกนะ!”

ที่แท้เมื่อเจ็ดปีก่อนข้าโกหกเขาไว้เช่นนี้นี่เอง…

ข้าผงกหัว ไม่อธิบายเรื่องอื่น “เช่นนั้นแล้วเป็นอย่างไร”

“พวกเจ้าหนึ่งคนหนึ่งผีต่างเส้นทาง!”

ข้าไม่เข้าใจ “แต่ยามนี้ข้าสามารถอยู่ข้างกายเขาได้นี่ ต่างเส้นทางเป้าหมายเดียว แล้ว”

“สำนวนนี้ไม่ได้ใช้เช่นนี้!” ปีศาจก้อนหินคล้ายว่ารับไม่ได้อยู่บ้าง “ข้า…ข้าคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงเด็กมนุษย์ที่เจ้าเมตตานำมาเลี้ยงดู เขา…เขาอายุน้อยกว่าเจ้าตั้งขนาดนั้น! เจ้าทำได้อย่างไร!”

ข้ายิ่งไม่เข้าใจใหญ่ “นี่เขาไม่ใช่กำลังโตหรือ!” คิดไปแล้วข้าก็กล่าวเสริม “ข้าก็ไม่แก่ด้วย!” ข้าชะงักไปครู่แล้วเสริมอีกประโยค “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า” ยิ่งพูดยิ่งโมโห ข้าสุ่มชี้ไปอีกทาง “คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เจ้าไปเถอะ!”

ข้าเพิ่งพูดจบ เมฆดำบนฟ้าพลันขยับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เสียงลมระหว่างป่าเหมยยิ่งรุนแรง ข้าขมวดคิ้ว ปราณในสายลมนี่…

“ปีศาจชั่วจะหนีไปที่ใด!”

แต่เมื่อได้ยินเสียงแก่หง่อมอันคุ้นเคยนี้ข้าก็สูดหายใจเอาลมเย็นเข้าไปดังเฮือก ปีศาจก้อนหินด้านข้างก็สะอึกขึ้นมาเช่นกัน เบื้องหลังเมฆดำหนาหนักทางทิศที่ข้าชี้มีลำแสงธรรมฉีกฟ้าลงมา

เป็นสภาพการณ์ที่ข้าไม่อาจคุ้นเคยได้มากกว่านี้แล้ว

“ลาหัวโล้น เจ้าอายุยืนจริง!” ข้าด่าคำโต กุมหัวกระโดดไปด้านข้าง

เขาไล่ตามข้ามาเก้าปี ไล่ตามสือต้าจ้วงมาเจ็ดปี! จนโม่ซีอายุสิบหกแล้วภิกษุเฒ่ารูปนี้ยังเฉียบคมถึงเพียงนี้! ไม่สมควรเลยจริงๆ!

ท่านพญายมสารเลว ท่านแอบอู้งานใช่หรือไม่!

บทที่ห้า

 ลำแสงธรรมจู่โจมลงมาบนพื้นหิมะ ส่องสว่างจนข้าปวดตา

ไม่เจอกันหลายปีตบะของภิกษุเฒ่ารูปนี้ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมเพียงนี้เชียว ข้าตะลึงหันกลับไปมองเขา เห็นเพียงภิกษุเฒ่าลอยลงมาจากฟ้า หลังจากปล่อยการโจมตีครั้งที่หนึ่ง สองมือค้ำหัวเข่าโก่งตัวหอบหายใจแรง เสียงแหบแห้งอ่อนเปลี้ยราวกับพริบตาเดียวก็จะถูกยมบาลพาตัวไปแล้ว

ดียิ่ง ที่แท้ก็เสี่ยงชีวิตมาไล่สังหาร…

พระพุทธองค์บอกว่าวางดาบสังหาร บรรลุธรรมโดยพลัน* นะ! เหตุใดเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นนี่จึงคิดไม่ตกมาตลอดชีวิตกัน…

สือต้าจ้วงตะโกนเรียกข้าห่างออกไปสี่ห้าจั้ง “ซานเซิง! เจ้ามัวตะลึงอะไร! รีบหนีเร็ว!”

วันคืนที่ไม่ต้องหนีเอาชีวิตมาหลายปีทำให้ปฏิกิริยาของข้าช้ากว่าสือต้าจ้วงไปอักโข ข้ารีบพยักหน้าหมุนตัวคิดจะวิ่งหนี แต่กลับถูกแรงดึงจากด้านหลังจับไว้ ลาหัวโล้นตะโกนเสียงแหบจากด้านหลัง “พวกเจ้าใครก็ล้วนหนีไม่ได้! นางปีศาจแกล้งตายหลอกข้ามาหลายปี ก่อนพระเช่นข้ากลับสู่ทิศประจิม** จะต้องจับปีศาจร้ายชั่วช้าอย่างพวกเจ้าสองตนไว้ให้ได้!”

ไม่ทันได้บ่นความหัวแข็งและมีอคติของภิกษุเฒ่ารูปนี้ ข้าหันกลับไปเห็นเพียงบาตรทองในมือลาหัวโล้นส่องแสงสีทองแยงตาออกมา ภายใต้แสงส่องสว่างคล้ายว่ามีพละกำลังมหาศาลลากข้าเข้าไปในบาตรทอง ลำแสงธรรมแห่งทิศประจิมเป็นดาวข่มโดยธรรมชาติของเหล่าวิญญาณในปรโลก ยิ่งเข้าใกล้ หลังของข้าก็ยิ่งลวกแสบราวกับถูกแผดเผา เจ็บจนข้าอยากลงไปนอนกลิ้งกับพื้น

ล้อกันเล่นหรือ กว่าข้าจะเกี้ยวโม่ซีสำเร็จในชาตินี้ไม่ใช่ง่ายๆ ทั้งที่หนทางข้างหน้าเปิดกว้างแท้ๆ จะให้กลับไปทางน้ำพุเหลืองในช่วงสำคัญนี้ได้อย่างไร! หากข้าตายยามนี้ โม่ซีที่กำลังกินน้ำส้ม*** อยู่ในบ้านจะไม่คิดว่าข้าหนีตามปีศาจก้อนหินที่ราวกับหมีผู้นั้นไปหรือ! นี่เป็นการใส่ร้ายขนานใหญ่เชียวนะ!

พอคิดว่าเขาจะมองข้าตาแดงๆ อย่างอดสู ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว “ลาหัวโล้นรังแกผู้อื่นเกินไปแล้วจริงๆ!” ข้าตะคอกเสียงดัง รวบไอหยินกร้าวแกร่งไว้กลางฝ่ามืออย่างรวดเร็วแล้วพลิกมือสะบัดใส่เขา กระไอมืดมิดหนาวเหน็บสกัดกั้นลำแสงธรรมอันโชติช่วงไว้ชั่วขณะ

ข้าคลานไปอีกด้านด้วยท่วงท่าไม่น่าดู ในใจคิดว่าพลังของภิกษุเฒ่าก็ไม่เท่าไร แต่อาวุธในมือเขากลับร้ายกาจอย่างที่สุด อาศัยกำลังของข้าคนเดียวไม่อาจสู้ชนะได้ มีเพียงต้องร่วมมือกับสือต้าจ้วงเดิมพันชีวิต…

ทางข้ายังคิดไม่เสร็จ ลาหัวโล้นนั่นพลันสูดหายใจเสียงเย็นโดยแรง “นางปีศาจ…เฮือก…เฮือก…” เสียงสูดหายใจสามครานี้ของเขาแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ข้าผินหน้าไปมอง เห็นเพียงลาหัวโล้นกุมหน้าอกตนเองร่วงลงไปกับพื้น เสียง “เฮือกๆ” ดังขึ้นอีกสองสามครั้ง จากนั้นสองขาเหยียดตรง สองตาเหลือกขาว เอียงหัวไปอีกด้าน สิ้นลมหายใจแล้ว

ข้าตกตะลึงมองเขา สือต้าจ้วงยิ่งนอนคว่ำอยู่อีกด้านไม่กล้าขยับ

ภาพฉากตรงหน้าเงียบงันไปนาน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” สือต้าจ้วงเอ่ยถามข้า

“น่าจะเป็น…ไล่ฆ่าจนสิ้นชีวิตกระมัง” ข้าพูดออกไปโดยไม่แน่ใจนัก กลัวว่าภิกษุเฒ่าจะแกล้งตายหลอกข้า ถึงอย่างไรในการต่อสู้ด้วยปัญญาและความกล้าเมื่อเก้าปีก่อนก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้อุบายพรรค์นี้…

จู่ๆ พลันมีไอหยินที่ข้าคุ้นเคยดีลอยมาจากกลางอากาศ ข้าเงยหน้าขึ้นมอง เฮยไป๋อู๋ฉางพี่ชายทั้งสองห้อยลิ้นยาวต่องแต่งเดินเข้ามาจากทางน้ำพุเหลือง

ครั้นเห็นพวกเขาก็ราวกับข้าเห็นญาติสนิท ข้าดีใจน้ำตาไหลนองกระโจนเข้าไปเบื้องหน้า กอดลิ้นห้อยยาวของพวกเขาทั้งสองแล้วสะอื้นไห้รุนแรง “ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว! หลายปีนี้พวกท่านไปที่ไหนกันมา! รู้หรือไม่ว่าซานเซิงรอพวกท่านมานานเท่าไร! ผีบ้าสองตนนี่!”

ยมทูตดำเฮยอู๋ฉางได้ยินแล้วทำท่าราวกับถูกข้ายัดมูลวัวใส่อย่างไรอย่างนั้นพลางม้วนลิ้นตนเองขึ้นไม่ให้ข้ากอด “เจ้าอ่านนิทานอะไรอีกแล้ว อย่าได้ลอกเลียนเอามาใช้มั่วซั่ว…”

ยมทูตขาวไป๋อู๋ฉางดันข้าออกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หลีกไป ขวางการปฏิบัติหน้าที่”

สือต้าจ้วงที่อยู่ด้านหลังถามข้าอย่างหวาดกลัว “ซานเซิง…เจ้าเห็นอะไรหรือ”

คนกับปีศาจในโลกมนุษย์มองไม่เห็นผีในปรโลก ข้าเช็ดน้ำตาเอ่ยอย่างยินดี “ลาหัวโล้นผู้นี้ในที่สุดก็สิ้นอายุขัยแล้ว” ข้าเพิ่งพูดออกไป วิญญาณของลาหัวโล้นก็ถูกยมทูตเฮยไป๋อู๋ฉางดึงออกมาจากศพ วิญญาณของเขาหันมองข้าแล้วเอ่ยร้องแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตไม่มีผิด “ข้าจะปราบเจ้า! ข้าจะปราบเจ้า!”

ข้าเช็ดน้ำตาให้แห้งแล้วบอกเขาอย่างจริงจัง “ต่อให้เจ้าสาบานว่าจะปราบข้าให้ได้ ข้าก็ไม่ลดตัวไปเป็นภรรยาน้อยเจ้าหรอก” เห็นสีหน้าที่ถูกข้าทำให้โกรธจนเขียวปั้ดของลาหัวโล้น ความคับแค้นตลอดสิบกว่าปีนี้ก็พ่นออกมาได้ในที่สุด ข้าเอ่ยกับเฮยไป๋อู๋ฉาง “ต้องบอกให้ยายเมิ่งตักน้ำแกงให้เขาดื่มมากหน่อยนะ! ให้ชาติหน้าเขาโง่ทึ่มปัญญาอ่อน มีชีวิตลำเค็ญไปชั่วชีวิต! ซานเซิงกลับไปครั้งหน้าจะตอบแทนยายเมิ่งอย่างดี”

หลังส่งเฮยไป๋อู๋ฉางไปแล้วมองศพของลาหัวโล้นบนพื้น คิดว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นสถานที่อยู่อาศัยของข้ากับโม่ซี บริเวณรอบๆ บางคราวก็มีคนผ่านมา หากถูกผู้อื่นเห็นศพภิกษุเฒ่าทอดกายนิ่งตรงนี้คงไม่เหมาะเท่าไร ดังนั้นจึงให้สือต้าจ้วงขุดหลุมด้านข้างแล้วกลบฝังบุญคุณความแค้นสิบกว่าปีมานี้ลงไป

สือต้าจ้วงก่อเนินขึ้นแล้วปักไม้ไว้ด้านบนกิ่งหนึ่ง นับเป็นป้ายวิญญาณอย่างง่ายๆ เขาหันมามองข้าแล้วพลันตะลึงงัน “ซานเซิง เหตุใดเจ้าหน้าซีดขาวเพียงนั้น”

“หือ?” ข้าลูบใบหน้าตน “เช่นนั้นหรือ…อาจเพราะเมื่อครู่แผ่นหลังถูกแสงธรรมสาดเข้ากระมัง” ข้าพยายามเอี้ยวคอไปดู แต่ยังคงมองไม่เห็นหลังตัวเอง “คงไม่มีอะไรมากกระมัง แม้หัวออกจะมึนอยู่หน่อย แต่ร่างกายข้าไม่รู้สึกเจ็บ” พูดไปข้าก็ยื่นมือลูบแผ่นหลังไปด้วยและสัมผัสได้ถึงความเหนียวเหนอะ “นี่อะไร” ข้าเห็นเลือดเนื้อบนมือข้างหนึ่งของตนก็งุนงงไม่เข้าใจอยู่บ้าง

สือต้าจ้วงอ้อมมาดูหลังของข้า ทว่ากลับมองจนหน้าขาวซีด “เจ้า…เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก! เจ้าอย่าขยับนะ ข้าจะแบกเจ้าไปหาหมอ!”

ข้าถูกสถานการณ์ที่เลือดสดๆ ในมือหยดย้อยทำเอาตกใจแล้ว อาการวิงเวียนในหัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ครั้นได้ยินสือต้าจ้วงพูดเช่นนี้ข้าก็ยื่นมือขวางเขาไว้ “ไม่หาหมอ”

หมอในโลกมนุษย์ไหนเลยจะรักษาบาดแผลของข้าได้ ข้าค่อยๆ มีสติขึ้นมารำไร เดาว่าลำแสงธรรมของภิกษุเฒ่าเมื่อครู่คงร้ายแรงเกินไปจนเผาผิวเนื้อของข้าบาดเจ็บ ข้าไม่รู้สึกเจ็บอาจเพราะก่อนหน้านี้เจ็บจน…ด้านชาแล้ว และที่เวียนหัวคงเพราะเสียเลือดมากเป็นแน่

“บาดแผลนี้ไม่ได้สาหัสถึงภายใน พาข้ากลับไปทายาห้ามเลือดก็พอ”

หมอในโลกมนุษย์แต่ละคนล้ำค่าหายาก หัวใจก้อนหินที่ไม่เคยเต้นมากว่าพันปีของข้าดวงนี้ หมอเห็นข้าลืมตาหายใจแต่กลับจับไม่เจอชีพจรยังจะไม่ตกใจกลัวจนสลบตายไปอีกหรือ ชาติหน้าข้ายังอยากเกี้ยวโม่ซีต่อนะ จะให้มีบาปฆ่าคนตายติดตัวตั้งแต่ชาติแรกได้อย่างไร

“แบกข้ากลับบ้าน”

อาจเพราะบาดแผลบนหลังข้าน่ากลัวเกินไปหน่อย สือต้าจ้วงเองก็ไม่มีความเห็นอื่น ข้าพูดอย่างไรเขาก็ผงกหัวอย่างนั้น รีบแบกข้าวิ่งกลับบ้านทันควัน

พอสือต้าจ้วงถีบประตูออก ข้าพยายามฝืนถ่างตาไว้ไม่ยอมให้ตนเองหลับไป ครั้นเห็นโม่ซีเดินออกมาจากในห้องแล้วก็ฉีกยิ้มให้เขา แต่อาจเพราะยิ้มได้เสียดแทงเกินไปโม่ซีจึงสั่นเทาไปทั้งร่าง นิ่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนตำราในมือทิ้งไปแล้วสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาร้อนรนจนสองตาแดงก่ำ ทั้งโกรธเกรี้ยวและเจ็บปวด “เพิ่งออกไปไม่เท่าไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”

สือต้าจ้วงแบกข้าเข้าไปในห้องพลางกล่าว “ถูกพระรูปหนึ่งทำร้ายเอา!”

“เหตุใดพระต้องทำร้ายซานเซิง!” โม่ซีกระวนกระวายจนแม้แต่โทนเสียงก็เปลี่ยนไป เดินตามเข้ามาในห้องด้วย พอสือต้าจ้วงวางข้าลง โม่ซีก็คุกเข่าลงมองหน้าข้าทันที เมื่อเห็นว่าข้ายังลืมตาอยู่เขาถึงได้กล้าเลื่อนสายตาไปมองแผ่นหลังของข้า การมองในครั้งนี้ทำให้สีเลือดบนใบหน้าถอยวาบหายไปโดยพลัน

“ซานเซิง ซานเซิง…” โม่ซีถามข้าเสียงสั่น “เจ้าเจ็บหรือไม่ เจ็บหรือไม่”

ข้ายกมือลูบใบหน้าเขาเบาๆ “ข้าไม่เจ็บ” พลันกดนิ้วลงที่ไฝแดงกลางหว่างคิ้วของเขา อยากจะคลายหัวคิ้วที่ขมวดแน่นนั้น “เจ้าอย่าทำสีหน้าเช่นนี้…”

การสัมผัสนี้ทิ้งรอยเลือดไว้บนใบหน้าเขา ข้ายกแขนเสื้อขึ้นมาช่วยเช็ดให้ แต่กลับยิ่งทำใบหน้าเขาเปื้อนเลือดเต็มไปหมด มองโม่ซีในสภาพนี้ จู่ๆ ก็พลันนึกถึงในปรโลกที่ข้าโขกหัวหลั่งเลือดให้ท่านเทพโม่ซี อืม…พอลองสลับมุมมองกันข้าถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองในยามนั้นที่แท้น่าสังเวชชวนตกใจถึงเพียงนี้

มิน่าโม่ซีในยามนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก…

“ข้าหายาสมานแผลให้เจ้าก่อน” โม่ซีพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่าง ค้นข้าวของในตู้เสียงดังโครมคราม รอจนเขาหายาเจอแล้วสือต้าจ้วงก็ยกอ่างน้ำเข้ามาพอดีแล้วเอ่ยปากเสียงดัง “บาดแผลต้องล้างก่อน ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวคงเปื่อยยุ่ยไปด้วยกันกับเสื้อผ้า เจ้าพูดอะไรกับนางหน่อยเถอะ บาดแผลสาหัสเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่ อย่าให้อีกครู่แม้แต่คำพูดสั่งลาพวกเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยสำทับสักเท่าไร…”

ข้าแค้นจนกัดฟันกรอด ปากปีศาจก้อนหินนี่เหม็นเกินไปแล้ว…

โม่ซีถลึงตาจ้องเขา “เจ้าหุบปาก!” เขาแทบจะตีสือต้าจ้วงออกไปข้างนอก “ข้าดูแลนางเอง เจ้าไสหัวไป!”

ข้าไม่เคยเห็นโม่ซีโกรธใครเพียงนี้มาก่อน ต่อให้บางครั้งมีข้อโต้แย้งกับคนในสำนักศึกษาบ้างก็ยังคงมีท่วงท่างดงามดังเช่นสุภาพชน ท่าทางเช่นวันนี้…คงเพราะจิตใจว้าวุ่นไปหมดแล้วกระมัง

โม่ซีเหวี่ยงประตูปิดแล้วกลับมาข้างเตียง เขาบิดผ้าขนหนูเช็ดบาดแผลบนหลังข้าแผ่วเบา ข้าไม่รู้สึกเจ็บ แต่เขาดูเหมือนเจ็บจะแย่แล้ว มือสั่นไหว การเคลื่อนไหวอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง

“โม่ซี” เขาค่อยๆ แกะเสื้อผ้าที่ติดกับแผลบนหลังข้าออกทีละน้อย ทำความสะอาดแล้วโรยผงยาลงบนปากแผล ข้าเพียงรู้สึกง่วงงุนเพิ่มขึ้นทุกขณะ ปิดเปลือกตาเอ่ยเสียงเบา “โม่ซี ซานเซิงไม่เป็นไรหรอก” ข้ารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของเขา “เจ้าอย่ากลัวและอย่าได้ลนลาน เชื่อข้านะ ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…” ข้าดึงชายเสื้อเขา ให้เขารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของข้า “ซานเซิงจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…”

ก่อนที่ความมืดมิดจะมาเยือน ข้ารู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำอบอุ่นหยดหนึ่งร่วงลงข้างแก้มข้า นำพาความขมขื่น ปวดใจ และอาลัยอาวรณ์มาด้วย หลั่งรดจนดวงใจหินที่มั่นคงของข้าค่อยๆ กลายเป็นอ่อนยวบทีละน้อย

ยามนี้ข้าตระหนักแล้วว่าผู้เฒ่าหนวดขาวที่เดินผ่านปรโลกคนนั้นไม่ได้หลอกข้าจริงๆ นี่ก็คือ…

เคราะห์รัก

 

ยามที่ข้าตื่นขึ้นมา โม่ซีกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ข้างเตียง หน้าต่างปิดสนิทในฤดูหนาว แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามาจากด้านนอกเปลี่ยนเป็นสลัวรางเล็กน้อย แต่หาได้เป็นอุปสรรคต่อข้าในการชื่นชมใบหน้าด้านข้างที่เริ่มเด่นชัดของโม่ซี เขาดูเปี่ยมอำนาจมีพลังขึ้นทุกวัน แต่ว่าคิดไปแล้วก็สมควร ท่านเทพโม่ซีเป็นถึงเทพสงคราม จุติลงมาเพื่อผ่านคราวเคราะห์ จะให้มีชีวิตอย่างเงียบเชียบไร้ชื่อเสียงได้อย่างไร เพียงแต่ไม่รู้ว่าด่านเคราะห์ในชาตินี้ของเขาเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าข้าสามารถช่วยปัดป้องให้เขาผ่านไปได้หรือไม่…

ข้าคิดจนลืมตัว โม่ซีเองก็อ่านตำราจนลืมตัวเช่นกัน ยามที่เขาพลิกหน้าใหม่ ดวงตาบังเอิญสานสบเข้ากับสายตาของข้า เราทั้งคู่ต่างรับมือไม่ทัน ความเย็นเยียบเป็นพิเศษในชั่วพริบตาเดียวภายในดวงตาของเขาทำให้ข้าชะงักนิ่ง รอจนนัยน์ตาดำของเขาประทับเงาร่างของข้าลงไปแล้ว โม่ซีจึงค่อยวางตำราลง โน้มตัวลงมาดูข้า “ซานเซิงฟื้นแล้วหรือ รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือไม่”

ข้าส่ายหน้าเบาๆ ยังไม่รอให้ข้าพูดเขาก็รินน้ำยื่นมาข้างกายข้าแล้ว “ดื่มน้ำก่อนไหม”

“เจ้าอย่ากังวล” ข้ากล่าว “ซานเซิงหนังเหนียว แข็งแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้เยอะ”

ไหนเลยจะคิดว่าพอข้าพูดคำปลอบนี้ออกมา ดวงตาของโม่ซีก็แดงขึ้นมาอีก เขานิ่งเงียบ หมุนตัววางถ้วยน้ำลง ค่อยเอ่ยขึ้นหลังข่มกลั้นอยู่นาน “บนหลังเจ้าไม่เหลือดีสักส่วนเดียว…” เขากล่าวต่อ “นี่เรียกว่าหนังเหนียวอะไร คิดว่าตนเองทำมาจากเหล็กหรือ ก็แค่รักษาตัวพักฟื้นไปเช่นนี้หรือ” เขานิ่งชะงักครู่หนึ่ง กล่าวสะอื้นในคอ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลัวเพียงใด…”

“โม่ซีอย่ากลัว” ข้ารีบลูบหลังมือปลอบใจเขา “นี่เป็นแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นจริงๆ ใช้เวลาเพียงสี่ห้าวันข้าก็ดีขึ้นแล้ว” เห็นเขายังจะพูดต่อ ข้าจึงรีบเขวี้ยงห่อสัมภาระ แสร้งกล่าวอย่างโกรธเคือง

“ล้วนต้องโทษเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นที่หัวดื้อเกินไป ลงมือทำร้ายข้าหนักหน่วง เจ้าดูสิ ยามนั้นข้ากอดหัวกระโดดหลบแล้ว แต่กลับยังถูกเขาทำร้ายจนเป็นเช่นนี้!”

โม่ซีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง น้ำเสียงพลันเยียบเย็นในฉับพลัน “พวกพระกับนักพรตที่อวดอ้างตนว่าเป็นผู้หลุดพ้นทางโลกพวกนี้ล้วนเป็นพวกพูดจาเหลวไหลทำร้ายชีวิตผู้อื่นทั้งนั้น”

ตั้งแต่โม่ซียังเด็กก็ถูกลาเฒ่าหัวโล้นกำหนดชะตาว่าเป็น ‘ผู้นำเภทภัยให้คนใกล้ตัว’ ดังนั้นจึงผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อย แม้ปกติเขาจะไม่เคยพูดว่ารังเกียจพวกพระนักพรต แต่ยามนี้กลับเปิดเผยโดยไม่ปิดบังต่อหน้าข้า

ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าทุกเรื่องควรต้องมีขีดจำกัด โดยเฉพาะยามนี้โม่ซีกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเติบโต บางเรื่องหากดึงดันเกินไปเกรงว่าภายหน้าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของเขา ดังนั้นแม้จะไม่เต็มใจข้าก็ยังคงเอ่ยเสียงเบา “ลาหัวโล้นผู้นี้น่าชิงชังถึงที่สุด ทว่าหาใช่ลาหัวโล้นทุกคนจะน่าชิงชังเช่นนี้กันหมด ผู้สำเร็จเพียรที่แท้จริงจะต้องคู่ควรให้ผู้คนนับถือแน่นอน”

ก็ไม่รู้ว่าโม่ซีฟังคำพูดนี้ของข้าเข้าหูหรือไม่ เขาเพียงเอ่ยถาม “ยามนี้ภิกษุเฒ่ารูปนี้อยู่ที่ไหน”

“ตายแล้ว”

เขาไม่ส่งเสียงตอบกลับ ในดวงตาใสกระจ่างเสมอมามีอารมณ์ที่ข้าไม่เข้าใจเจือปนอยู่

ข้าไม่ชอบที่เขาเคร่งขรึมเกินไป ดังนั้นจึงกวักมือให้โม่ซีก้มตัวลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกับข้า ยื่นมือลูบดวงตาของเขาทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ้าง “โม่ซี ในดวงตาเจ้าแฝงความหนาวเหน็บมาแต่กำเนิด”

เขาอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ข้าจึงพูดเช่นนี้

“ไม่ว่ากับใครเจ้าล้วนยิ้มแย้มอบอุ่น ทว่าในดวงตากลับเหินห่าง” ข้าเอ่ย “แต่ว่าเจ้าดีกับข้าจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว หากว่าวันหนึ่งเจ้าทำกับข้าเหมือนผู้อื่น ข้ากลัวว่าตนเองจะรับไม่ไหว”

โม่ซีนิ่งงันไปชั่วครู่ ทว่ากลับยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คว้ามือข้าวางไว้ที่ริมฝีปากเขา เอ่ยสัญญาเหมือนเด็กที่กำลังออดอ้อน ทั้งคล้ายผู้ใหญ่ที่เอาจริงเอาจัง “ไม่หรอก ข้าจะดีต่อซานเซิงชั่วชีวิต”

ลมหายใจร้อนในปากเขารินรดมือข้า มอบความอบอุ่นให้ดวงใจข้า ขณะกำลังจะกล่าวตอบแทนเขาด้วยคำพูดเอาใจสักสองประโยคพลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น สือต้าจ้วงเอ่ยอย่างขลาดกลัวจากภายนอก “ข้ากวาดลานบ้านเสร็จแล้ว ฟืนก็ผ่าหมดแล้ว…”

โม่ซีวางมือข้าลงเอ่ยเสียงเบา “ซานเซิงนอนพักสักครู่ก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะเอานิทานมาให้เจ้าอ่าน”

กล่าวจบเขาก็เดินออกไป ข้าได้ยินโม่ซีพูดบางอย่างกับสือต้าจ้วงจากนอกห้องอย่างเลือนราง ทว่าฟังไม่ชัดเจนสักประโยคจึงคร้านจะใส่ใจ

ไม่นานโม่ซีก็นำนิทานของข้าเข้ามา ข้าโบกตำราที่เขาวางไว้ข้างเตียงเมื่อครู่ไปมาแล้วเอ่ย “โม่ซีสนใจตำราพิชัยยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร”

เขายิ้มน้อยๆ หยิบตำราพิชัยยุทธ์ไปแล้วยื่นนิทานให้ข้า “ที่แล้วมาอ่านเพียงผ่านๆ ไม่นานนี้จึงคิดศึกษาอย่างละเอียดสักหน่อย”

ข้าพลิกหน้านิทานพลางถามเรื่อยเปื่อย “เพราะเหตุใด อยากไปออกศึกหรือ”

“ไม่” เสียงเขาเบามาก “เพียงแค่ศึกษาวิธีเอาชนะศัตรูเท่านั้น”

ความสนใจของข้ามุ่งไปที่นิทานแล้ว พยักหน้าลงเป็นการตอบรับเขา จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

 

วันต่อมาสือต้าจ้วงกลับบุกเข้ามาในห้องข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำมูกน้ำตานองหน้า “ซานเซิง! ข้าไม่ขายตัวให้เจ้าแล้ว! ข้าจะไป เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่!”

ข้าตะลึง หันหน้าไปมองโม่ซีที่ด้านข้างซึ่งทำราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“เพราะเหตุใด”

สือต้าจ้วงพูดพลางสะอื้นไห้ “ข้าไม่กล้าชอบเจ้าแล้ว ชอบเจ้าแล้วต้องทุ่มเทมากเหลือเกิน! ข้าไม่อยากกระโดดทะเลสาบไปจับปลาต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่ม! และไม่อยากกวาดลานบ้านผ่าฟืนทั้งวันเสร็จแล้วต้องมาเย็บผ้าห่มให้เจ้าอีก ข้าเย็บผ้าห่มไม่ไหว! นิ้วทั้งสิบถูกเข็มทิ่มเป็นรูไปหมดแล้ว! และข้าก็ไม่สามารถอ่านนิทานให้เจ้าเบิกบานใจ ข้าไม่รู้หนังสือนะ! ข้าไม่กล้าชอบเจ้าแล้ว! เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ! เจ้ารักจะทำอย่างไรกับโม่ซีก็ทำอย่างนั้นเถอะ ขอร้องล่ะปล่อยข้าไป!”

ข้าชำเลืองมองโม่ซีอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่หน่อยๆ

เขากลับหันไปอ่านตำราปฏิเสธการสบสายตากับข้า

ข้าบุ้ยปาก “ก็ได้ เจ้าไปเถอะ ข้าเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว”

สือต้าจ้วงเงยมองข้าแล้วโขกหัวกับพื้นเสียงดังทันที “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ! ครั้งหน้าข้าจะต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณเจ้า! แต่อย่าให้ข้าใช้ร่างกายแทนคุณอีกเป็นพอ!” กล่าวจบเขาก็แทบจะวิ่งไปคลานไปแล้ว

ทั้งห้องเงียบกริบ

ข้ามัดม้วนนิทาน เอ่ยถามโม่ซีด้วยน้ำเสียงที่ยกสูงเล็กน้อย “วิธีเอาชนะศัตรู?”

โม่ซีกระแอม “ข้ายอมรับว่ายามนี้ใช้แผนที่ออกจะแย่ไปสักหน่อย แต่ข้าเพียงทำเพื่อพิสูจน์…” เขาหันมามองข้าด้วยสีหน้าปกติ “ซานเซิง หลายครั้งที่สมองมีประโยชน์กว่าร่างกาย”

ข้ากวักมือให้โม่ซี พอเขาโน้มลงมาอย่างว่าง่ายข้าก็จูบลงบนใบหน้าเขา โม่ซีนิ่งงัน แก้มแดงราวกับถูกเผา ข้าสอนเขาสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าโม่ซี ในเวลาเช่นนี้ร่างกายล้วนมีประโยชน์กว่าเสมอ”

เขากุมหน้ากัดฟันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้…ข้ายังคงออกไปวิ่งดีกว่า”

ข้ายิ้มตาหยี “ดีสิ เพียงแต่วันนี้เจ้าต้องอ่านนิทานให้ข้าเบิกบานใจ ข้าทำใจให้เจ้าไปกระโดดทะเลสาบจับปลาให้ข้าไม่ได้ ให้เจ้าเย็บผ้าห่มจนเข็มทิ่มมือเป็นรูไปหมดข้าก็ทำใจไม่ลง ดังนั้นเจ้าก็มาอ่านนิทานให้ข้าฟังเถอะ สือต้าจ้วงไม่รู้หนังสือ แต่เจ้ารู้ไม่น้อยเลย”

ข้ายื่นนิทานให้โม่ซี “อืม เจ้าดูสิ ข้ากำลังอ่านถึงตรงนี้พอดี…นางพูดกับเขา ‘หมั่นไส้นัก อย่าเอาแต่รังแกผู้อื่นสิ!’ เขายิ้มชั่วร้ายเปี่ยมเสน่ห์โอบนางเข้ามาในอ้อมกอด ‘แม่ปีศาจน้อยอย่างเจ้านี่ข้าจะรังแกไปชั่วชีวิต’ ‘อ๊ะ อา…อืม ฮ่าๆๆ’”

ข้าส่งนิทานให้โม่ซีตรงๆ โม่ซีหน้าแดงไม่ยอมรับไป ข้ามองท่าทางเหนียมอายของเขาอย่างสำราญเบิกบานใจแล้วยิ้มเลียนอย่างในนิทาน

“โม่ซี เหตุใดเจ้ายังไม่ชินที่ข้ารังแกเจ้าอีกล่ะ ข้าจะรังแกเจ้าไปเช่นนี้ชั่วชีวิตนะ”

เขาหน้าแดงราวกับจะมีเลือดหยด แต่ในขณะที่กำลังเขินอายถึงที่สุดนี้โม่ซีก็เอ่ยเสียงเบา “หากว่าซานเซิงยินยอม โม่ซีก็จะให้เจ้ารังแก”

เสียงเบาเพียงนั้น จริงจังเพียงนั้น

ข้ายิ้มหวานยิ่งกว่ากินน้ำผึ้ง

โม่ซีหนอโม่ซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอยากจะเดินไปเช่นนี้กับเจ้าตลอดไปจริงๆ ไม่เพียงแค่สามชาตินี้ที่เจ้ามอบให้ข้า ยังมีสามชาติที่มากยิ่งกว่า ร่วมทางไปกับเจ้าเช่นนี้ตลอดไป

บทที่หก

 สี่ปีต่อมา

ภายใต้การอบรมอย่างใส่ใจของข้า โม่ซีก็เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มอ่อนโยนคนหนึ่งดังคาด

ท่วงท่าหน้าตาของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากยามที่ข้าพบเขาในปรโลกแม้แต่น้อย บุคลิกของเทพสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากในโลกมนุษย์ อีกทั้งโม่ซียังฉลาดเฉลียวเหนือธรรมดา จึงกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั้งใกล้และไกลในเมือง

ทว่าคนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวอ้วนพี สำนวนนี้เผยแพร่ได้ยาวนานเพียงนี้ย่อมต้องมีเหตุผล

ในเช้าวันที่อากาศอบอุ่นปลอดโปร่งวันหนึ่ง ข้ากำลังเอนตัวอ่านนิทานเล่มใหม่อยู่บนเตียง เป็นบทรักหลังจากผ่านอุปสรรคนานัปการของชายหนุ่มหญิงสาว ข้ากำลังอ่านถึงบททางอารมณ์ โม่ซีก็เดินเข้ามาจากข้างนอก หยิบผ้าคลุมกันลมกับเสื้อบุนวมที่ข้าโยนทิ้งเรี่ยราดไว้บนพื้นขึ้นมาวางให้ดี ทั้งยังรินชาให้ข้าแล้วเอ่ยว่า

“เอาแต่นอนอยู่ในห้องไม่ดี ซานเซิงควรออกไปโดนแสงอาทิตย์บ้าง”

ข้ารับถ้วยชามา แต่ดวงตากลับไม่ออกห่างจากนิทาน กล่าวอย่างขอไปที “สำหรับข้าแล้วแสงอาทิตย์เหมือนยาพิษมากกว่า ไม่มีประโยชน์ใดต่อร่างกายข้าแม้แต่น้อย”

เขากลับไม่เชื่อคำพูดข้า “เช้าวันนี้หิมะตกแล้ว ดอกเหมยนอกบ้านกำลังบานพอดี ไปดูหน่อยเถอะ”

ข้ามองดูเขา เห็นในดวงตาเขาวาบแววคาดหวังจึงวางนิทานที่กำลังอืมอาอย่างเบิกบานลง “เอาเถอะ ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”

เขายิ้มบางๆ อย่างดีใจ

ข้าจูงมือเขาออกจากบ้านหลังน้อย เดินทอดน่องทีละก้าวๆ ในป่าเหมยแดง เขาไม่ได้หลอกข้า วันนี้ดอกเหมยพวกนี้บานสวยจริงๆ กลิ่นหอมรัญจวน ดมแล้วสบายใจยิ่ง ครั้นเดินเข้าไปในทางสายเล็ก พื้นที่ว่างข้างทางมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง ข้านึกสนุกเอ่ยกับโม่ซี “พวกเรามาประลองหมากท่ามกลางหิมะเหมือนชายหนุ่มหล่อเหลากับหญิงสาวงดงามในนิทานเป็นอย่างไร”

โม่ซีพยักหน้าตอบรับแล้วกลับบ้านไปหยิบกระดานกับตัวหมากมา ข้าถือหมากดำนั่งลงฝั่งหนึ่ง ส่วนเขาถือหมากขาว ค่อยๆ วางลงบนกระดานทีละเม็ดๆ

ฝีมือเดินหมากของข้าไม่ดี วันนี้ก็แค่นึกสนุกทำท่าทำทางเดินหมากกับโม่ซีเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ข้าก็ส่ายหน้ากลัดกลุ้มอยู่ข้างโต๊ะ วางเม็ดหมากในมือลงกล่าวอย่างทุกข์ใจ “ไม่ได้ นี่ไม่ใช่การประลองหมากของชายหนุ่มหล่อเหลากับหญิงสาวงดงามแล้ว นี่คือการสังหารหญิงสาวของชายหนุ่มต่างหาก เจ้าดูสิ หญิงสาวพ่ายแพ้จนเสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว”

โม่ซีหัวเราะเบาๆ “จะทำให้ซานเซิงเสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงได้อย่างไรเล่า” เขายื่นมือมาที่ขอบกระดานอีกด้าน ดึงข้อมือข้าให้วางหมากดำลงในมุมหนึ่งทางขวา สถานการณ์บนกระดานพลิกกลับอย่างน่าประหลาด

“ข้ามาสอนซานเซิงว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่อีกครั้งอย่างไร”

ข้าตะลึงกะพริบตาปริบๆ “โม่ซี ฝีมือเดินหมากของเจ้าเยี่ยมจริงๆ ชนะซานเซิงได้ตั้งเท่าไรแล้ว” ไม่รอให้โม่ซีตอบข้าก็เอ่ยอย่างได้ใจ “แต่ว่าไม่เป็นไร โม่ซีเดินหมากชนะ แต่ว่าจิตใจนั้นพ่ายแพ้ ดูสิ ตัวเจ้าเองยังไม่ช่วยตัวเองเดินหมาก เห็นได้ว่าในใจเจ้าเป็นซานเซิงชนะแล้ว”

ดวงตาของโม่ซีโค้งขึ้น ยิ้มน้อยๆ มองข้า “นี่ย่อมแน่นอน ในใจโม่ซีไม่ว่าอย่างไรก็ชนะซานเซิงไม่ได้” เขาเอ่ย “แต่ว่าข้ายอมรับชะตาเช่นนี้ โม่ซียินยอมพร้อมใจพ่ายแพ้แก่ซานเซิง”

ข้ายิ้มจนตาหยี “นั่งเดินหมากกันมาพักหนึ่งจนหนาวไปหมดแล้ว พวกเราเดินต่อกันเถอะ”

โม่ซีตอบรับ ไม่สนใจกระดานหมากที่ยังเดินไม่จบ เดินมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของป่าเหมยต่อ

“โม่ซี เจ้ารู้ดีว่าข้าชอบเหมยแดงกลางหิมะขาวโพลนเช่นนี้ที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

เขาคิดครู่หนึ่ง “คงเพราะนิสัยของซานเซิงคล้ายกับดอกเหมยพวกนี้กระมัง” ข้าหยุดฝีเท้า จ้องมองนัยน์ตาของเขาแล้วส่ายหน้า แต่ไม่พูดอะไร

แม้เขาไม่เข้าใจก็ยังคงปล่อยให้ข้ามอง คิ้วและตาค่อยๆ โค้งขึ้นมาบ้าง “ซานเซิงชอบมองข้าหรือ”

“ชอบ” ข้ายกมือเทียบระยะห่างระหว่างหัวเขากับตนเอง เขาสูงกว่าข้าหนึ่งช่วงหัวเต็มๆ แล้ว ข้าเอียงคอครุ่นคิด “โม่ซี เรียกน้องหญิงให้ฟังหน่อยสิ”

หูเขาแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ข้าเอ่ย “เจ้าใกล้สวมหมวกแล้ว ข้าคิดว่าข้าเป็นสะใภ้ลูกต้อยมานานปีขนาดนี้ สมควรเป็นภรรยาได้แล้ว เจ้าถือโอกาสนี้แต่งข้าไปเลยเถอะ”

สีแดงตรงใบหูเขากระจายมายังแก้ม ลูกกระเดือกขยับเคลื่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ในดวงตาก็ปรากฏแววขัดเคืองน้อยๆ “ซานเซิง เจ้า เจ้ามักจะ….”

เขายังพูดไม่จบข้าพลันได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวนอกป่าเหมย

ตั้งแต่โม่ซีเริ่มมีชื่อเสียงก็มักมีคนมาหาเขาบ่อยๆ ปกติข้าจะไม่พูดอะไร แต่วันนี้พวกเขามาขัดเรื่องแต่งงานที่ข้ารอคอยมานาน ข้าหน้างอง้ำไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

เสียงพูดของผู้มายิ่งดังขึ้น โม่ซีจึงพอได้ยินบ้าง “ซานเซิง ดูเหมือนมีคนมาหา พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

ข้าส่งเสียงอืมตอบแล้วพากันเดินกลับบ้าน ข้าหมุนตัวกลับห้องของตนอ่านนิทานต่อ ส่วนโม่ซีเดินไปที่โถงเพื่อรับแขก

ใกล้เที่ยงโม่ซีจึงส่งแขกจากไปในที่สุด จากนั้นก็เข้ามาในห้องข้า เขานั่งลงไม่เอ่ยคำ ข้าก็เอนนอนไม่พูดอะไรเช่นกัน ความอดทนของข้าไม่เลวมาแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายแล้วเขาก็เอาชนะข้าไม่ได้

“ซานเซิง”

“อืม”

“ผู้ที่มาวันนี้คือใต้เท้าผู้ตรวจการ”

“อืม”

“เขา…เขาบอกให้ข้าไปเป็นขุนนางที่เมืองหลวง”

“อืม”

อาจเพราะความนิ่งเฉยของข้า ทำให้โม่ซีไม่รู้จะทำอย่างไร เขาพิศดูสีหน้าข้าอย่างระมัดระวังราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไปแล้ว “ข้าอยากไป”

ข้าปิดหน้าสุดท้ายของนิทานลงแล้วถึงค่อยหันมองโม่ซี เห็นเพียงดวงตาเป็นประกายของเขาจับจ้องมองข้าตรงๆ ข้าถอนหายใจกล่าว “บุรุษมีปณิธานยิ่งใหญ่ เจ้าอยากไปเป็นขุนนางไม่ใช่อยากไปโจรเป็นปล้นชิงเสียหน่อย…อืม แม้คุณลักษณะของทั้งสองจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไร แต่ราชสำนักก็เป็นสถานที่แสดงออกถึงความมุ่งมาดได้ ข้าหวังให้เจ้าสามารถเป็นชายชาตรีผู้ยิ่งใหญ่มาตลอด ยามนี้เจ้ามีความสามารถและโอกาสนี้แล้วก็ทำอย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยวไปเลย จะมามองข้าทำไม”

โม่ซีส่ายหน้า “ข้าเป็นขุนนางหาใช่เพราะปณิธานอะไร…” ใบหน้าเขาซับสีแดงเรื่อ “แต่เป็นเช่นที่เจ้าพูดว่าข้าใกล้สวมหมวกแล้ว ขะ…ข้าเองก็ครุ่นคิดถึงวันที่จะเอ่ยเรื่องแต่งงานกับเจ้ามาตลอด…”

มือที่ประคองถ้วยชาของข้านิ่งชะงัก

เขายิ้มอย่างจนปัญญา “แต่ว่าซานเซิง เจ้ากลับเร็วกว่าข้าก้าวหนึ่งอยู่เสมอ” เขาเอ่ย “ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า แต่ว่าบุรุษเช่นข้าไม่สามารถให้เจ้าเลี้ยงดูเช่นนี้ไปชั่วชีวิตได้เด็ดขาด ข้าอยากอาศัยกำลังของตนทำให้เจ้ามีความสุขไปทั้งชาติ อีกทั้งข้าจำได้เสมอว่ายามเป็นเด็ก เจ้าเคยพูดกับข้าว่าอยากให้ข้าเป็นคนมีความรับผิดชอบ อยากให้ข้าใช้ชีวิตในชาตินี้อย่างมีเกียรติ” เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าย่อมไม่สามารถทำให้เจ้าผิดหวังได้”

“ซานเซิง เจ้ารอข้าสองปีได้หรือไม่ รอวันที่ข้าประสบความสำเร็จแล้วจะกลับมาแต่งเจ้า”

 

ข้าพูดว่าไม่ได้ไม่ออก

ในยามนั้นข้ายินยอมเป็นหญิงธรรมดาคนหนึ่ง ยินยอมอยู่ในบ้านเพียงลำพังรอเขากลับมา เฝ้าคอยเขามาอยู่หน้าประตูเอ่ยเรียกข้าเสียงเบาว่า ‘ซานเซิง’ จริงๆ

ข้าให้โม่ซีไปแล้ว ให้เขาไปไล่ตามอนาคตและเกียรติยศของเขา ข้านึกว่าตนเองคิดตก นึกว่าตนเองมีความอดทนดีเยี่ยม ถึงอย่างไรข้าก็เฝ้าแม่น้ำลืมเลือนที่เปี่ยมไปด้วยไอแห่งความตายเข้มข้นมาเพียงลำพังเป็นพันปี…แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าที่แท้การรอคอยก็ทรมานผู้คนได้ถึงเพียงนี้ ทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืนหลังจากที่โม่ซีจากไป เวลาไหลผ่านเชื่องช้าถึงเพียงนั้น ประหนึ่งหยุดเดินไปแล้ว

อีกทั้งความเชื่องช้าเช่นนี้ยังต้องผ่านไปอีกสองปี…

ก้อนหินที่ความอดทนยอดเยี่ยมเช่นข้า ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็รอไม่ไหวแล้ว

คืนหนึ่งที่นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา ข้าถลันตัวลุกนั่งกะทันหัน “โม่ซี” ใจข้ารู้ดีว่าเขาไม่อยู่ ทว่ายังคงอยากเรียกชื่อเขาราวกับเรียกเช่นนี้แล้วเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้า

“โม่ซี”

ข้าเรียกเขาเช่นนี้สามครั้ง แต่นอกจากเสียงลมซ่าๆ นอกห้องแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ข้าไม่อาจนอนต่อไปได้ จึงพลิกตัวลงจากเตียง สวมชุดตัวในสีขาวออกจากบ้านไปโดยไม่จัดของอะไรทั้งสิ้น มุ่งตรงไปหาสามีของข้าที่เมืองหลวง

เมืองหลวงหาใช่ถิ่นแปลกหน้าสำหรับข้า เพราะข้าเคยถูกภิกษุเฒ่าไล่ตามรอบเมืองอยู่สามเดือนกว่า สถานที่ที่ควรไปแทบจะเคยไปจนหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจ

ข้าร้อนรนอยากหาโม่ซี แต่ก็ไม่อยากให้เขารู้ว่าข้าทำใจจากเขาไม่ได้ จึงไม่กล้าออกตามหาอย่างเปิดเผย

เขาเพิ่งถูกเสนอให้มาเป็นขุนนาง แรกเริ่มต้องลำบากมาก ทั้งยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไร ต่อให้ข้าเอ่ยถามตามท้องถนนก็คงไม่มีใครรู้จัก ข้าใคร่ครวญอยู่หลายครั้งว่าจะไปหาในวังหลวง แต่รอบๆ พระราชวังเนืองแน่นไปด้วยปราณมังกรอันยิ่งใหญ่ที่กดทับจนข้าหายใจไม่ออก จึงได้แต่ล้มเลิกไป

มองซ้ายมองขวาครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่ง ข้าตัดสินใจว่ากลางวันจะเสี่ยงดวงอยู่ตามถนน พอกลางคืนค่อยออกหาร่องรอยของโม่ซีตามราชสำนักและบ้านขุนนางใหญ่ ถือโอกาสทำเรื่องดีปล้นคนรวยช่วยคนจนไปด้วย

เดิมข้านึกว่าขยันออกตามหาด้วยตัวเองมีโอกาสพบโม่ซีมากกว่าหวังพึ่งดวง แต่คาดไม่ถึงว่าดวงข้าจะดีเยี่ยมถึงเพียงนี้

 

วันนั้นแสงอาทิตย์ในเมืองหลวงเป็นประกาย ข้ากำลังใช้ต้นหอมตีนิทานอืออาพร้อมกับเดินเล่นรอบถนน จู่ๆ มีเหตุวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า ผู้คนกลุ่มหนึ่งทยอยล้อมกันเข้าไป ข้ารู้สึกแปลกใจชั่วขณะจึงโยนต้นหอมทิ้ง เก็บนิทานแล้วเข้าไปร่วมชมความครึกครื้นด้วย

ครั้นมองดูกลับน่าดูชม ที่แท้ก็เป็นฉากละครใจจืดใจดำที่บุปผามีใจ สายน้ำไร้ใจ* นี่เอง

สายน้ำไร้ใจนี้บังเอิญเป็นโม่ซีสามีข้าด้วย ส่วนบุปผามีใจนั้น หากข้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นลูกสาวคนเล็กที่แม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์โปรดปรานเป็นที่สุด ซือเชี่ยนเชี่ยน

เหตุใดข้าจึงรู้น่ะหรือ อืม ส่วนใหญ่เป็นเพราะเครื่องประดับในห้องหอของนางไม่เลวเลย สองสามวันมานี้ข้าขายเครื่องประดับไปมากมายเพียงนั้น นับดูแล้วขายของนางได้เงินมามากที่สุด

ซือเชี่ยนเชี่ยนกำลังทดท้ออยู่กับที่คล้ายว่าเท้าจะพลิกแล้ว ดวงตารีมนราวกลีบดอกท้อฉ่ำน้ำคู่นั้นมองโม่ซีอย่างเศร้าสร้อย โม่ซีกวาดตามองนางคราหนึ่งโดยไม่แยแส หมุนตัวจะจากไป

ซือเชี่ยนเชี่ยนพุ่งไปข้างหน้าคิดจะคว้าแขนเสื้อโม่ซีไว้ ไม่คาดว่าโม่ซีจะหลบได้ว่องไว ปล่อยให้นางโผเข้าหาฝุ่นผงเต็มใบหน้า

ฝูงชนโดยรอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ซือเชี่ยนเชี่ยนนอนคว่ำอย่างอเนจอนาถ ทว่ากลับฝืนกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำดูบอบบางเป็นอย่างยิ่ง ช่างงดงามจับใจจริงๆ

แต่โม่ซีกลับสีหน้าเย็นชา สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองสักครา

หืม ข้าลูบคางครุ่นคิด ตั้งแต่ข้ารับเลี้ยงโม่ซีมา ในความทรงจำของข้าแทบไม่เคยเห็นเขาชักสีหน้าเช่นนี้ใส่ข้ามาก่อน ข้ารู้ว่ายามเขาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าพบใครล้วนอ่อนโยนอยู่เสมอ แม้บางคราวจะโมโหเมื่อถึงขีดสุด ทว่าไม่คิดว่าเขาจะถึงกับมีโทสะเพียงนี้ใส่แม่นางงดงามผู้หนึ่ง

ข้ายิ้มโง่งม รู้สึกว่าอารมณ์โกรธนี้ของเขากลับเป็นอารมณ์ที่ดีสำหรับข้า

แม่นางน้อยอดสูอย่างยิ่ง โม่ซีจากไปแล้ว ด้านข้างมีคนเข้าไปช่วยพยุงแต่นางไม่ยอม ยังคงลุกยืนขึ้นด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าหญิงสาวที่ต้องตาโม่ซีต้องเป็นคนที่จิตใจดีงาม ฉลาดรู้จักแยกแยะคนเป็นแน่ ดังนั้นจึงใช้เวทเล็กน้อยรักษาเท้าที่บาดเจ็บของนาง แล้วค่อยหมุนตัวตามโม่ซีของข้าไปโดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของนาง

โม่ซีเดินเร็วเกินไปและรอบด้านยังมีผู้คนมากเกินไป ข้าจึงตามไม่ทันอยู่บ้าง เลี้ยวไปสองสามครั้งก็ไม่เห็นเงาร่างของโม่ซีแล้ว ยามมองหาเขาในฝูงชน ดวงตาที่อ่านนิทานจนแหลมคมทั้งคู่ของข้าก็จับฉากละครบุปผากับสายน้ำได้โดยไม่ตั้งใจอีกครา

พอดียิ่ง พระเอกที่กำลังแสดงละครฉากนี้บังเอิญเป็นคนรู้จักของข้า ส่วนนางเอกคราวนี้น่ะหรือ ข้าส่ายหน้าตกใจ “ด้ายแดงนี้ที่แท้พันกันยุ่งขนาดไหนถึงได้สามารถรวบสองคนนี้มาไว้ด้วยกันได้เนี่ย เฒ่าจันทรา** เป็นเจ้าแก่เลอะเลือนไม่น่านับถือจริงๆ”

“เจ้าอย่าตามข้าอีกเลย ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ชอบสตรีอย่างเจ้า”

ข้าลูบคางครุ่นคิดอีกครา จากกันหลายปี เสียงของสือต้าจ้วงฟังดูน่าเกรงขามขึ้นมาก แต่ความตรงไปตรงมาภายใต้น้ำเสียงนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“ถนนใหญ่เป็นท่านสร้างขึ้นมาหรือ! ข้าบอกหรือว่าข้ากำลังตามท่าน ถนนเส้นนี้ยอมให้ท่านเดินแต่ไม่ยอมให้ข้าเดินหรือไร ข้าจะเดินข้างหลังท่านแล้วจะทำไม! อีกอย่างท่านไม่ชอบข้าแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า ข้าขอให้ท่านชอบข้าหรือ ข้าชอบท่านก็พอแล้ว”

บุปผาที่คมกริบยิ่งกว่าซือเชี่ยนเชี่ยนดอกนี้ก็คือน้องสาวของอัครราชครูผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้น…ซย่าอี

หากจะบอกว่าข้ารู้จักนางได้อย่างไร ก็ไม่อาจไม่พูดถึงพี่ชายของซย่าอี…ซย่าเฉิน

ในปีที่ซย่าเฉินสวมหมวกก็ได้เป็นราชครูแห่งแคว้นแล้ว นับเป็นผู้มีพรสวรรค์บำเพ็ญฌานคนหนึ่ง หากมีโอกาสได้รับการชี้แนะจากเหล่าเซียน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจบำเพ็ญเพียรสำเร็จก็เป็นได้ ปีนั้นยามข้าถูกภิกษุเฒ่าไล่ตามมาถึงเมืองหลวง เจ้าลาเฒ่าหัวโล้นกับราชครูซย่าเฉินร่วมมือกันเคี่ยวกรำข้าอยู่ไม่น้อย

ยามนั้นซย่าอีน้องสาวของราชครูมีอายุประมาณหกเจ็ดขวบ ระหว่างที่ประมือกับภิกษุเฒ่าและพี่ชายนาง ข้าก็เคยได้เห็นนางอยู่สองสามครั้ง เป็นแม่นางน้อยนิสัยเปิดเผยซึ่งกินน้ำมูกที่ไหลย้อยเข้ามาในปากคนหนึ่ง

ไม่เจอกันนานหลายปี ความเปิดเผยของแม่นางคนนี้หาได้ลดน้อยลงกว่าปีนั้นเลยสักนิด!

คำพูดของนางเรียกสีหน้ารับไม่ได้ของสือต้าจ้วง เขาอ้าปากพะงาบๆ อยู่นาน ได้แต่โต้อย่างอับจน “เจ้า…เหตุใดจึงมีคนอย่างเจ้า ไม่รู้จักอาย!”

“ข้าเดินอยู่บนถนนเหตุใดจึงกลายเป็นไม่รู้จักอายเล่า ท่านครองถนนไม่ยอมให้ข้าเดินต่างหากที่ไม่รู้จักอาย!”

เพียงสองประโยคสือต้าจ้วงก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาหมุนตัวคิดจะจากไป ทว่าหันมาพบข้าพอดี เขานิ่งตะลึง ข้ายิ้มเอ่ยทักทายเขา “สือต้าจ้วง ไม่เจอกันนานปี หมู่นี้สบายดีหรือไม่”

เขาคืนสติ มองซ้ายขวารอบด้านคล้ายกลัวว่าข้างกายข้ามีใครอย่างไรอย่างนั้น หลังจากยืนยันเรียบร้อยแล้วก็สาวเท้าก้าวใหญ่มาหาข้า อ้าแขนกำยำมีพลังรวบข้าเข้าไปกอด “ซานเซิง! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีก!”

เขากอดอย่างกะทันหันข้าจึงไม่ได้หลบ รอจนเขาเอ่ยประโยคนี้จบข้าก็ยกเท้าเหยียบนิ้วเท้าเขา เอ่ยเสียงเย็น “ถ้าเจ้าไม่ปล่อยมือข้าจะบดนิ้วเท้าเจ้าให้แหลก”

เขาเจ็บแต่กลับไม่ร้อง แม้ปล่อยข้าออกจากอกเขา ทว่ามือข้างหนึ่งยังคงโอบอยู่บนบ่าข้า จากนั้นก็เอ่ยเสียงกระด้างกับซย่าอีที่กำลังตกตะลึงอยู่ตรงนั้น “นี่จึงจะเป็นแม่นางที่ข้าเลื่อมใสชอบพอมาตลอด เจ้ารีบไปให้ห่างข้าหน่อย”

ซย่าอีหรี่ตาพิจารณาข้ารอบหนึ่งแล้วค่อยกล่าว “ท่านพูดเหลวไหล! แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่าท่านมีแม่นางที่ชอบพอมาก่อน”

สือต้าจ้วงเป็นคนซื่อ เขามองข้าอย่างหมดหนทางทั้งยังร้อนรน เกาหัวไม่รู้จะแต่งเรื่องต่อไปอย่างไร

ข้ามองดูซย่าอี คิดในใจว่าพบเรื่องพรรค์นี้ของผู้อื่น ว่ากันตามเหตุผลข้าควรยืนเป็นคนกลางบอกความจริงออกมา ไม่ควรผสมโรงด้วย แต่สือต้าจ้วงก็นับว่าช่วยชีวิตข้าจากมือลาเฒ่าหัวโล้นสองครั้ง คนหนึ่งนับเป็นผู้มีคุณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกคนกลับเป็นน้องสาวของศัตรูครึ่งหนึ่ง แต่ไรมาข้าแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ปัดมือสือต้าจ้วงออกกล่าวด้วยสีหน้าเป็นปกติกับซย่าอี “ความจริงเขาเคยชอบข้า แต่ถูกข้าปฏิเสธอย่างไม่ไยดีแล้ว” ข้าหันมองสือต้าจ้วง “ไม่คิดว่าจากกันปีนั้นบาดแผลเจ้าจะลึกล้ำเพียงนี้ แม้แต่ชื่อข้ายังเลี่ยงไม่เอ่ยถึง เป็นความผิดของข้าเอง แต่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เคยชอบเจ้า”

สือต้าจ้วงนิ่งอึ้งกะพริบตาปริบๆ แต่ว่าหลายปีมานี้เขายังพอมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง ไม่ได้โง่ทึ่มจนถึงที่สุด จึงเออออกับข้าโดยพลัน “เอาะอ้อ! ใช่ เจ้า…เจ้าไม่ชอบข้า นั่นก็ทำอะไรไม่ได้…” เขาเว้นช่วงไปค่อยกล่าวต่อ “เรื่องความชอบพรรค์นี้ไม่สามารถฝืนบังคับกันได้ ผู้อื่นไม่ยินยอมก็ได้แต่วางมือ ไม่ควรสร้างความยุ่งยากใจให้ผู้อื่น!”

ดวงตาของซย่าอีเย็นเยียบลง กวาดตามองข้าทั้งตัวแล้วก็มองไปทางสือต้าจ้วง “ข้าสร้างความยุ่งยากใจให้ท่านหรือ” คำถามนี้ของนางซ่อนแฝงไว้ด้วยเสียงที่สั่นพร่าเล็กน้อย ราวกับว่าหากสือต้าจ้วงตอบว่าใช่ นางก็จะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น

ข้าออกจะทำใจไม่ได้นิดหน่อย ขณะกำลังจะอ้าปากเอ่ยสักสองประโยค สือต้าจ้วงกลับตบฝ่ามือฉาดใหญ่ ร้องเสียงดัง “โอ๊ะ! หรือเจ้าไม่รู้สึกมาตลอดเลยว่าสร้างความยุ่งยากใจให้ข้ามากเพียงไหน! วันนี้เจ้านับว่าได้รู้แล้ว น่ายินดีอย่างยิ่ง!”

ซย่าอีหน้าซีดขาว

ข้ามองสือต้าจ้วงด้วยสายตาพินิจมองของประหลาด รู้สึกว่าไม่เสียทีที่เขาเป็นหนึ่งในวงศ์วานก้อนหินของข้า ใจแข็งจนพาให้คนรู้สึกสนใจ…

ซย่าอียังคงยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ร้องไห้ออกมา “ท่านไม่ชอบข้าดังนั้นจึงยุ่งยากใจ รอจนท่านชอบข้าก็จะไม่ยุ่งยากใจแล้ว ปัญหาอยู่ที่ท่าน ท่านก็ต้องแก้!”

นางเอ่ยความคิดนี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ข้าฟังแล้วถึงกับรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่ามีเหตุผล จึงหันไปมองสือต้าจ้วงด้วย

สือต้าจ้วงเองก็ตะลึงค้างอยู่นานเช่นกันถึงค่อยมีปฏิกิริยาโต้ตอบ “แก้ไม่ได้แล้ว ข้าชอบนาง ไม่ชอบใครที่ไหน”

ซย่าอีกัดฟัน “นางดีกว่าข้าตรงไหน!” นางพูดไปก็ถลึงตาจ้องข้าคราหนึ่ง ข้าอ้าปากคิดจะแก้ต่างแทนตัวเองว่าข้ารู้สึกว่าตนเองดีกว่านางทุกอย่าง แต่คำพูดยังไม่ทันออกมา จมูกพลันสัมผัสได้ถึงปราณคุ้นเคยสายหนึ่ง ข้าสีหน้าหวาดผวา ดึงมือสือต้าจ้วงวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังชมความครึกครื้นทันที

ซย่าอีร้องตะโกนเสียงดังอยู่เบื้องหลัง “เจ้าจะพาเขาไปไหน! หยุดนะ!”

ข้าไม่สนใจ ทะลวงเข้าไปในฝูงชนโดยไม่หันกลับมา หูได้ยินเสียงซย่าอีที่ไล่ตามมาไม่กี่ก้าวหยุดฝีเท้าลง มีเสียงแหบพร่าเล็กน้อยของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเรียกชื่อนาง “ซย่าอี มานี่”

“พี่ใหญ่…”

คำพูดหลังจากนั้นข้าฟังไม่ชัดแล้ว ได้แต่หันมองกลับไปหลังจากวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาได้ระยะหนึ่ง พื้นที่บริเวณนั้นค่อนข้างสูงจึงมองเห็นศีรษะของซย่าอีกับซย่าเฉินพี่ชายนางได้พอดี คล้ายว่ารู้สึกได้ถึงปราณบางอย่าง ดวงตาสีดำสนิทเย็นชาของซย่าเฉินกลอกมองมาทางข้า สี่ตาประสาน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้าดึงสือต้าจ้วงวิ่งเลี้ยวผ่านตรอกเล็กแห่งหนึ่ง รีบออกห่างจากสายตาเขาให้เร็วที่สุด

บทที่เจ็ด

 ข้าวิ่งจนไปอยู่ในตรอกสุราเล็กๆ มองไปด้านหลังไม่เห็นราชครูซย่าเฉินไล่ตามมาจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ครั้นหันมองสือต้าจ้วง เห็นได้ชัดว่าเขากลัวยิ่งกว่าข้า ถอนหายใจยาวออกมา

ข้าแปลกใจ “ไม่เจอกันหลายปี ยามนี้เจ้ายังถูกไล่ตามฆ่าอยู่หรือ”

“หรือไม่ใช่” สือต้าจ้วงหน้านิ่วคิ้วขมวด “เดิมนึกว่าภิกษุเฒ่าตายไปข้าก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขแล้ว คิดจะมาดูความคึกคักในเมืองหลวงหน่อย แต่เป็นอิสระได้ไม่กี่วันก็ถูกซย่าเฉินผู้นั้นจ้องเอาได้” เขาพูดไปก็อดครวญไม่ได้ “ที่แท้ข้าก่อกรรมอะไรไว้กันนะ”

“เจ้าถูกซย่าเฉินตามฆ่า แต่เหตุใดน้องสาวเขาจึงชอบเจ้า นางรู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือไม่”

“ย่อมต้องรู้แน่นอน” พูดถึงตรงนี้ สือต้าจ้วงราวกับมีลมให้ถอนหายใจได้ไม่มีวันหมด “วันที่ข้ามาเมืองหลวง ระหว่างผ่านชานเมืองเห็นปีศาจตัวเล็กตัวน้อยกำลังรังแกผู้หญิงคนหนึ่งจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนั้นก็คือซย่าอี ข้าไม่รู้ว่านางถูกปีศาจพวกนั้นแกล้งจนสมองเสื่อมไปแล้วหรือไรถึงได้มาเกาะติดข้า แม้แต่พี่ชายนางก็พามาพัวพันกับข้าด้วย”

ข้าเบ้ปาก “เมืองหลวงอย่างมากก็เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองอื่นอยู่หน่อย ข้ารู้สึกว่าที่เจียงโจวก็ไม่เลว กล่าวถึงความรุ่งเรืองก็ไม่ต่างกับเมืองหลวงเท่าใด ยามนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่หนีออกจากเมืองหลวงไปเที่ยวเล่นที่อื่นเหมือนปกติ ถึงอย่างไรซย่าเฉินนั่นก็มีตำแหน่งมัดตัวไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้”

สือต้าจ้วงมองข้าอย่างกลัดกลุ้ม จากนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้นให้ข้าดูตราสีดำบนแขน “เจ้าดู พี่ชายนางฝังมันไว้ให้ข้า”

ข้าเลิกคิ้ว “หนอนรักหรือ”

มุมปากเขากระตุก “เจ้าจริงจังหน่อย!” เขาดึงแขนเสื้อลง “นี่คือเวทคำสาปผูกที่ ครั้งแรกที่ประมือกับพี่ชายนางก็ถูกเขาฝังมันเอาไว้แล้ว ยามนั้นซย่าเฉินอยากจะฆ่าข้า แต่ถูกซย่าอีขัดขวาง ซย่าเฉินร้อนรนได้แต่ฝังเวทคำสาปนี้ให้ข้า ผูกมัดข้าให้อยู่แต่ในบริเวณเมืองหลวงไปไหนไม่ได้ ให้ข้ารอเขามาฆ่า…”

“วิธีการเหี้ยมโหดนัก!” ข้าอุทานใจหาย วิธีนี้ไม่ต้องลงมือก็สามารถทำให้ปีศาจเป็นๆ อุดอู้จนตาย…

สือต้าจ้วงถอนหายใจไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็เงยหน้ามองข้า “จะว่าไปซานเซิง ทำไมเจ้าถึงมาเมืองหลวงล่ะ หากไม่มีเรื่องใดก็รีบหนีไปเถอะ เจ้าดูสภาพข้ายามนี้สิ ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเดือดร้อน”

“เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนเรียบร้อยแล้ว” แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่สือต้าจ้วงถูกลาเฒ่าหัวโล้นไล่สังหารก็เป็นเพราะถูกข้าทำให้ลำบาก นับว่าหายกันไปแล้วกัน ข้าจึงไม่เอาความกับเขา เพียงเบะปากเอ่ย “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังไม่คิดจากไปชั่วระยะหนึ่ง ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนโม่ซี”

สือต้าจ้วงสีหน้าแข็งทื่อโดยพลันราวกับเหยียดเกร็งไปทั้งร่าง มองซ้ายมองขวา “โม่…โม่ซีก็ตามเจ้ามาเมืองหลวงด้วย?”

“หาใช่เขาตามข้า แต่เป็นข้าตามเขามา ยามนี้เขาเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงได้หลายเดือนแล้ว ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเขา เมื่อกี้เพิ่งเห็นเขาที่ถนน กำลังจะตามไปก็หาโม่ซีไม่เจอแล้ว กลับมาเจอเจ้าแทน”

สือต้าจ้วงกลืนน้ำลาย “เขาอยู่แถวๆ นี้?”

“คงประมาณนั้น”

“ขุนเขาไม่แปรเปลี่ยน ธาราไหลชั่วกาล* ซานเซิงระวังตัวด้วย ข้าขอลาก่อน!” กล่าวจบ กระทั่งถนนเขาก็ไม่เดิน ใช้วิชาดำดินหนีไป ณ ที่นั้น ควันสายหนึ่งพวยพุ่ง พริบตาเงาร่างก็หายไป

โม่ซี…ที่แท้แล้วปีนั้นเจ้ากลั่นแกล้งสือต้าจ้วงอย่างไรหนอ…เหตุใดจึงทำให้คนซื่อผู้นี้หวาดกลัวจนเป็นเช่นนี้

ข้าคาดเดาไปพลางเดินออกจากในตรอกเล็กที่กลิ่นสุราลอยอวลจนไปถึงถนนใหญ่อีกสาย ยามผ่านหอสุราเล็กข้างนอก ข้าเงยหน้ามองตรงระเบียงชั้นสองอย่างไม่ตั้งใจ ก็บังเอิญเห็นโม่ซีของข้าที่กำลังนั่งอยู่พอดี

คุณชายเจ้าสำราญดุจดั่งหยกงาม

ข้ายืนนิ่งข้างต้นหลิวที่ชั้นล่างของหอสุรา มองดูเขาเงียบๆ ดูความน่ายำเกรงเล็กน้อยที่แฝงอยู่ในท่วงท่าของเขา

เดิมข้าอยากเข้าไปหาเขาข้างบน แต่ข้ากลับไม่สามารถเข้าใกล้หอสุราในยามนี้ได้แม้แต่น้อย เพราะหอสุราเล็กๆ แห่งนี้ วันนี้กลายเป็นหอสุราที่ไม่ค่อยธรรมดาเท่าไร มันแผ่กำจายปราณอันยิ่งใหญ่แบบเดียวกับในวังหลวง บนชั้นสองยังมีชายในชุดเขียวทั้งตัวคนหนึ่งนั่งร่วมโต๊ะกับโม่ซี เขากำลังเอนตัวพิงรั้วระเบียงจิบสุราน้อยๆ ท่าทางที่นั่งเทียบกับโม่ซีเห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายกว่ามาก

ฮ่องเต้

ฮ่องเต้แดนมนุษย์ผู้นี้ปรีชาสามารถเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ใต้หล้าสงบสุข บ้านเมืองสันติ ปวงประชาเปี่ยมสุข เป็นยุคสมัยที่ไม่เลวยุคหนึ่ง เสียดายก็แต่แม่ทัพใหญ่กุมอำนาจส่วนใหญ่ไว้ในมือ ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยามนี้คงกำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะยึดอำนาจทางทหารของแม่ทัพใหญ่ได้กระมัง

โม่ซีเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นานก็สามารถพบกับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวได้ ต้องเป็นเพราะเขาคิดวิธียอดเยี่ยมที่สามารถช่วยฮ่องเต้กำจัดหนามยอกอกชิ้นโตนี้ได้เป็นแน่ ข้ากำลังชื่นชมความชาญฉลาดของโม่ซี ตรอกเล็กข้างหอสุราที่ข้าเพิ่งผ่านเมื่อครู่พลันปรากฏคนในชุดนักพรตผู้หนึ่ง

อัครราชครูซย่าเฉิน

ถึงกับ…ไล่ตามมาแล้ว…

เห็นสีหน้านี้ของเขา เป็นสีหน้าที่คิดจะจัดการกับข้านี่นา…ข้าอดทอดถอนใจให้ชีวิตอาภัพในชาตินี้ไม่ได้ ข้าคิดในใจว่าต้องรีบหาทางหนีก่อนค่อยว่ากัน เลี่ยงไม่ให้รบกวนโม่ซีกับฮ่องเต้ยามประมือกับเขา ถึงยามนั้นโม่ซีต้องมาช่วยข้าแน่ หากฮ่องเต้เห็นจะไม่เป็นผลดีต่อหน้าที่การงานของเขา

ไม่คาดว่าข้ายังไม่ทันขยับ ซย่าเฉินผู้นั้นก็มองข้าอย่างเยียบเย็นแล้วหมุนตัวจากไป ขณะที่ข้ากำลังงุนงงพลันมีเสียงเรียกลอยมาจากชั้นสองของหอสุรา “ซานเซิง!”

เป็นโม่ซีเห็นข้าแล้ว เมื่อหลบไม่พ้นข้าจึงเงยหน้าโบกมือให้เขา ยิ้มพลางเอ่ยเสียงดัง “โม่ซี! ข้าเฝ้าหวังอยากเห็นหน้าเจ้าอยู่ในบ้าน ทนความเงียบเหงาของราตรีอันยาวนานไม่ไหวจึงมาหาเจ้าแล้ว พวกเรามาจัดการเรื่องแต่งงานให้เสร็จเร็วหน่อยดีกว่า”

พอคำพูดนี้ออกไปถนนใหญ่พลันเงียบลงไปมาก โม่ซีหน้าแดงภายใต้ความเงียบยาวนานนี้

“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะเปิดเผยของฮ่องเต้ดังขึ้นจากด้านข้างเขา “เป็นหญิงงามที่กล้าดีจริงๆ โม่ซี วาสนาทางความรักของเจ้าไม่เบาเลย! เอาล่ะ เรื่องวันนี้ก็คุยได้พอดูแล้ว ข้าจะกลับแล้ว” ฮ่องเต้ชี้มาทางข้า “แล้วพาภรรยาเจ้ากลับไปเร็วหน่อย ยืนอยู่บนถนนให้ผู้อื่นมองดูเช่นนี้เจ้าจะขาดทุนเยอะอยู่” กล่าวจบก็ลุกขึ้นจากไปโดยมีโม่ซีเดินตามหลัง

ชั้นล่าง ฮ่องเต้โบกมือให้ข้าน้อยๆ เป็นการเอ่ยลา

ข้าจ้องมองโม่ซีที่อยู่ด้านหลังเขาไม่วางตา ยิ้มตาหยีมองโม่ซีสาวเท้าเข้ามาเร็วรี่ เห็นเขาพินิจมองข้าจนทั่วรอบหนึ่งค่อยกดข่มความดีใจบนใบหน้า เลิกคิ้วถามข้า “เหตุใดเร็วเพียงนี้ก็ตามมาแล้ว ข้านึกว่าอย่างไรซานเซิงคงรอสักครึ่งปีถึงจะถูก เจ้ามาตามลำพังหรือ ระหว่างทางลำบากมากหรือไม่ เจอเรื่องยุ่งยากใดหรือเปล่า ยามนี้หิวหรือยัง อยากพักผ่อนหรือไม่”

ข้าเพียงยิ้มมองเขา

เขาเห็นข้าเป็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ สงบจิตใจลงและเผยยิ้มกล่าว “เป็นข้ากังวลเกินไปแล้ว แต่ไรมาซานเซิงล้วนไม่ปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบ เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร”

“เมื่อครู่ขณะเดินอยู่บนถนนบังเอิญพบกลุ่มคนกำลังชมความครึกครื้น ข้าแปลกใจจึงตามเข้าไปด้วย จากนั้นก็เห็นเจ้า”

รอยยิ้มของโม่ซีแข็งค้างไปเล็กน้อย รีบร้อนอธิบาย “ซานเซิงนั่นเป็น…”

“อืม แม่นางที่ชอบเจ้า”

เขามองสีหน้าข้าอย่างระมัดระวัง ข้าเอ่ยต่อ “รูปร่างไม่เลว แต่ก็เตี้ยไปหน่อย นิสัยก็ขี้ขลาดตาขาวเกินไปนิด เหมาะกับเจ้าไม่เท่าข้า”

“นี่ย่อมแน่นอน” โม่ซีได้ยินคำพูดนี้ของข้าก็ยิ้มกว้างออกมาอีก “นอกจากซานเซิง ใครก็ไม่คู่ควรกับข้า”

ข้าตบบ่าเขาน้อยๆ อย่างปลื้มใจ “เข้าใจก็ดี”

“เจ้ามาเมืองหลวงนานเท่าไรแล้ว ได้หาที่พักหรือยัง”

“ก็ไม่กี่วัน ข้าไม่รู้ข่าวคราวของเจ้าเลย ยามกลางวันจึงลอยชายไปมาที่ถนนใหญ่ คิดไม่ถึงว่าทำเช่นนี้แล้วจะหาเจ้าเจอจริงๆ” ข้าจับจูงมือโม่ซี “ดังนั้นเจ้ากับข้าจึงเป็นบุพเพที่ตีมาจากเหล็ก ดึงอย่างไรก็ไม่ขาด”

โม่ซียิ้มบาง กุมมือข้าแน่นขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะพาเจ้ากลับไปพัก”

“อืม”

ที่แท้โม่ซีไม่ได้พักในวังหลวง ทั้งไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของขุนนางใหญ่คนไหน แต่เป็นบ้านหลังเล็กสวยสงบเงียบที่ตนเองซื้อมา ผังของบ้านหลังนี้คล้ายกับบ้านเหมยที่ข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน

หลังจากกินข้าวเย็น ข้าลากโม่ซีออกไปเดินเล่นที่ลานเล็ก

“เมืองหลวงแตกต่างกับเมืองเล็กที่พวกเราอาศัยมาก ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่คนเดียวรู้สึกไม่คุ้นเคยบ้างหรือไม่”

“ไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยอะไร เพียงแต่ตอนเช้าไม่เห็นเจ้าวางชามตะเกียบให้ เย็นกลับมาไม่เห็นเจ้าจุดตะเกียงไว้เพื่อข้า คิดถึงว่าเจ้าอยู่บ้านคนเดียวไม่รู้ว่าจะดูแลตนเองอย่างไรก็กลัดกลุ้มอยู่บ้าง”

ข้าลอบยิ้มยินดีอยู่ในใจ จูงมือเขามองแสงดาวเหนือหัว เดินเล่นเชื่องช้าทีละก้าวๆ “โม่ซี”

“อืม”

“โม่ซี”

“หืม”

“โม่ซี”

“อะไรหรือ”

“แค่อยากเรียกเจ้าเท่านั้น” ข้าเอ่ย “ทุกครั้งที่เรียกชื่อเจ้าแล้วสามารถได้ยินคำตอบของเจ้า ข้าพลันรู้สึกว่านี่เป็นความสุขที่หาได้ยากเรื่องหนึ่ง”

โม่ซีเองก็ยิ้มน้อยๆ ข้ากล่าวต่อ “มาเป็นขุนนางในเมืองหลวงลำบากหรือไม่”

โม่ซีเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “สามารถใช้อำนาจของตนช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถพึ่งพาสองมือของตนสนองจิตใจที่เวทนาของข้า มีคนเปลี่ยนเป็นมีความสุขเพราะการกระทำของข้า ในราชสำนักแม้ขัดแข้งขัดขามากแผนการ ต้องว้าวุ่นใจไม่น้อย แต่อำนาจที่ข้าได้รับมาพวกนี้หากสามารถใช้เพื่อปวงประชาได้…ซานเซิง เจ้าเข้าใจความพึงพอใจนี้หรือไม่”

ใจข้าอดสั่นเทาไม่ได้ เงยหน้ามองเขา ในดวงตาเขาแวววาวอย่างที่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน

ชั่วขณะนั้นราวกับข้าได้เห็นเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้าที่ก้าวเข้ามาในปรโลกพร้อมกับแสงสว่างผู้นั้น

โม่ซีที่เป็นเช่นนี้จึงจะเป็นโม่ซีที่แท้จริง เป็นเขาอย่างสมบูรณ์ ข้านึกถึงประโยคที่เจ้าอี่พูดกับข้าเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ทันที ‘ท่านเทพโม่ซีคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งเทพสงครามแห่งสวรรค์ชั้นเก้า จากเบื้องฟ้าถึงใต้พิภพไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เขาเพียงผูกใจไว้กับใต้หล้า กลางอกมีปวงประชา ไหนเลยจะใส่ความรักฉันชายหญิงลงไปได้!’

เมื่อแรกข้าหาได้ใส่ใจคำพูดนั้นแต่อย่างไร ทว่ายามนี้ได้มองดูในแววตาของโม่ซี ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เจ้าอี่เป็นนักทำนายที่ช่างสังเกตผู้คนผู้หนึ่ง

โม่ซีมีปวงประชาในหัวใจจริงๆ ไม่ว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นอะไร…

“ที่จริงข้าไม่ใคร่เข้าใจความพอใจของเจ้านัก แต่ว่าเรื่องที่เจ้าอยากทำข้าล้วนสนับสนุน” ข้าลูบหัวเขาเบาๆ “ความปรารถนาของโม่ซีคือสร้างความสุขให้ผู้คน ความปรารถนาของซานเซิงคือสร้างความสุขให้โม่ซี”

โม่ซีก้มหัวลง ความอ่อนโยนในดวงตาราวกับจะล้นออกมาอย่างไรอย่างนั้น “โม่ซีก็ปรารถนาสร้างความสุขให้ซานเซิงเช่นกัน”

คำพูดนี้ของเขาหวานเชื่อมอ่อนโยนเกินไปจนข้าไม่อาจไม่หวั่นไหว “โม่ซี” ข้าดึงเสื้อของเขา กล่าวอย่างจริงจัง “คืนนี้พวกเราร่วมหอกันเลยเถอะ”

โม่ซีตะลึงงันไปทั้งร่าง สีหน้าแข็งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นสีแดงก็ลามขึ้นมาจากคอจนถึงหน้าผาก

ข้ากล่าวต่อไป “ล้วนพูดกันว่าแยกจากเหนือกว่าเพิ่งแต่งงาน ยามนี้พวกเราแม้ยังไม่แต่งงาน แต่ต่อไปช้าเร็วก็ต้องแต่ง เจ้าไม่รู้ว่าซานเซิงคิดถึงเจ้ามากเพียงไหน อย่างไรเรื่องนี้ต่อไปล้วนต้องทำ รีบทำไว้ก่อนดีกว่า พวกเราร่วมหอกันเลยเถอะ”

“ซาน…ซานเซิง เจ้า…เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามประเพณี” โม่ซีหน้าแดงจัด ยกมือขึ้นบังใบหน้าน้อยๆ กระแอมเสียงหนึ่งพร้อมหันหน้าออกไป ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างยิ่งแล้ว “เจ้าไปอ่านนิทานอะไรมาอีกแล้ว…”

“เช่นนี้ไม่ดีหรือ” ข้าเอ่ย “ในนิทานมากมายล้วนบอกว่าหลังจากร่วมหอจึงจะมีรักแท้”

โม่ซีถอนหายใจคราหนึ่ง “นี่…ต้องหลังจากแต่งงานจึงจะได้” เขาเอ่ยเสียงเบา “ซานเซิง เจ้ารอก่อน ไม่นานเท่าไรหรอก รอหลังจากข้าสามารถมอบชีวิตที่ดียิ่งกว่าให้เจ้า…”

ข้ารู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง “เช่นนั้นก่อนหน้านี้ ซานเซิงล้วนไม่ใช่รักแท้ของเจ้า…”

บนใบหน้าเขายังคงมีรอยแดงจางๆ ดวงตาที่ใสกระจ่างกลับสะท้อนเงาร่างของข้าชัดเจน เขาพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ซานเซิง เจ้าคือคู่ทุกข์คู่ยากของโม่ซี” เขาพูดอย่างหนักแน่นเพียงนั้นราวกับเป็นคำสาบาน พาให้ข้ารู้สึกว่าต่อให้เป็นรักแท้ที่ทั้งหนาทั้งหนักอย่างไรล้วนหนักสู้สี่คำนี้ของโม่ซีไม่ได้

คู่ทุกข์คู่ยาก

ข้าเพิ่งพบว่าที่แท้มีคนผู้หนึ่งสามารถทำให้ข้ายอมประนีประนอมให้ได้โดยง่ายถึงเพียงนี้

 

วันรุ่งขึ้นโม่ซีเข้าไปในวังแล้ว ข้าอยู่ในห้องอ่านนิทานครู่ใหญ่ รู้สึกว่างจนเบื่อจึงยัดนิทานไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินเอ้อระเหยไปฟังละครที่หอน้ำชา

นักละครกำลังร้องอีๆ อาๆ อยู่บนแท่นยกพื้น ข้านั่งกินขนมแกล้มชาไปพลางร้องคลอไปพลางอยู่บนชั้นสอง จู่ๆ พลันมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งตบลงบนโต๊ะ สะเทือนจนถ้วยน้ำชาข้าสั่น ข้าเคี้ยวถั่วลิสงพลางเงยหน้ามอง ซย่าอีนั่งลงตรงข้ามข้าด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ข้ามองซ้ายมองขวารอบหนึ่งทว่าได้ยินซย่าอีเอ่ย “ไม่ต้องมองแล้ว พี่ข้าไม่ได้มา”

ข้าวางใจลงแล้วจึงไม่สนใจนาง

ซย่าอีรินชาให้ตัวเองแล้วเอ่ยพึมพำ “เจอกับสือต้าจ้วงแล้วข้าก็เป็นคนมีคุณธรรมคนหนึ่ง กลัวแต่ว่าพี่ข้าจะจับเขาไป” นางเอ่ยจบก็ดื่มชาแล้วเหล่มองข้า “เจ้าเป็นปีศาจที่ไหนอีก”

ข้ากำลังครวญเพลงจึงฉวยจังหวะตอบนางไปประโยคหนึ่ง “ข้าไม่ใช่ปีศาจ”

“เหลวไหล! หากเจ้าไม่ใช่ปีศาจเหตุใดเมื่อวานพี่ข้าต้องไล่ตามเจ้าด้วย”

“พี่เจ้าชอบความงามของข้า ชื่นชมนิสัยของข้า เลื่อมใสท่วงท่างดงามยามขยับตัวของข้า เขาอยากจะตามข้ามาข้าก็ทำอะไรไม่ได้” ข้าพูดเรื่อยเปื่อย “คราวหน้าหากเจ้าเห็นเขาไล่ตามข้าอีกต้องพยายามขวางเขาไว้หน่อย ไมตรีจิตที่ไม่อาจตอบสนองเขาได้ ข้าละอายใจมากจริงๆ”

ซย่าอีฟังจนปากอ้าค้าง สุดท้ายก็ดื่มชาอีกคำ กดความประหลาดใจลงไป หายใจเข้าแล้วเอ่ย “ฝีปากช่างคมกล้านัก”

ข้าไม่สนใจนางอีก ปล่อยให้นางนั่งอยู่ด้านข้างต่อไป นางครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็กระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยถามใหม่อีกครั้ง “สือต้าจ้วง…เจ้ารู้จักกับสือต้าจ้วงตั้งแต่เมื่อไร”

“สิบสองสิบสามสิบสี่ปีก่อน”

ซย่าอีตะลึง จากนั้นก้มหน้าลงพึมพำกับตนเอง “ถึงกับ…รู้จักกันมานานเพียงนี้…” นางเอ่ยสรุปให้ตนเอง “เขาถึงกับชอบเจ้ามาหลายปีเพียงนี้ ถึงกับซุกซ่อนคนผู้หนึ่งไว้ในใจนานเพียงนี้…” เสียงของนางยิ่งพูดยิ่งเบาลงราวกับเจ็บปวดใจยิ่งนัก

ข้าปรายตามองนางคราหนึ่ง เห็นแม่นางน้อยเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางท้อแท้หมดหวังก็ใจอ่อนเอ่ยปลอบ “เจ้าวางใจ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ชอบเขา ในใจข้ามีคนผู้หนึ่งมาตลอด ไม่ว่าใครล้วนแทนที่ไม่ได้”

“เจ้าเป็นเช่นนี้…เขากลับยังวางเจ้าไว้ในใจเช่นนั้น”

คำปลอบของข้าทำให้นางยิ่งหดหู่ เห็นท่าทางเจ็บปวดเช่นนี้ของนาง ในใจข้าก็อดสงสัยไม่ได้ แม่นางน้อยผู้นี้หน้าตางดงาม นิสัยก็ร่าเริงมีชีวิตชีวา ต้องการหาชายหนุ่มคนอื่นอย่างไรทำไมจะไม่มี ที่แท้นางไปต้องตาเจ้าคนซื่อสือต้าจ้วงได้อย่างไรกันแน่ ข้าใจลอยไปชั่วขณะ ไม่ทันระวังพึมพำเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ซย่าอีได้ยินเข้าก็กำกระบี่บนโต๊ะแน่นขึ้นอีกหน่อย

นางเงียบไปนานแล้วค่อยเอ่ยเบาๆ “เขาช่วยชีวิตข้า” นางกล่าว “ข้าจำไม่ได้ว่าวันนั้นเขาไล่ปีศาจพวกนั้นไปอย่างไร แต่ข้าจำได้แม่นยำว่าเขาดึงข้าลุกขึ้น ช่วยเก็บกระบี่ที่ร่วงอยู่ไกลๆ กลับมาให้ข้า จากนั้นก็ปลอบข้าอย่างเก้กังให้ข้าไม่ร้องไห้ เขาเหมือนวีรบุรุษ…” สุดท้ายนางเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว “แม้ว่าเขาจะโง่ไปหน่อย แต่ข้ารู้ว่าถ้าเขาต้องการทำดีต่อใครคนหนึ่ง เขาก็จะดีต่อนางตลอดไป เพราะเขาโง่ จะไม่มากรักหลายใจ ไม่เด็ดบุปผายั่วเย้าดอกหญ้า ดีต่อข้าเพียงคนเดียว”

ข้าเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้จะเป็นหญิงสาวที่มองการณ์ไกล ข้าเอ่ยชม “ไม่ผิด หากในโลกนี้หาคนธรรมดาที่รักเดียวใจเดียวต่อตนเองดีต่อตนเองไม่ได้ เช่นนั้นก็หาเจ้าโง่ที่รักเดียวใจเดียวดีต่อตนดีกว่า เช่นนี้ที่จริงก็เป็นวิธีที่ไม่เลว”

ซย่าอีตะลึง “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ชอบเขาเพราะเหตุผลนี้…”

ข้าพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้าเข้าใจๆ”

“ข้าบอกว่าไม่ใช่!”

“ข้ารู้ๆ”

“เจ้า!” ซย่าอีถีบม้านั่งแล้วลุกยืน กระบี่ในมือออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง แต่ไม่รอให้นางชักกระบี่ออกมาจนสุด มือคู่หนึ่งพลันยื่นออกมาจากทางหางตาแล้วจับแขนของนางไว้ “เจ้าทำร้ายซานเซิงไม่ได้!”

สือต้าจ้วงไม่รู้ว่าวิ่งเข้ามาตอนไหน เขาพูดกับซย่าอีอย่างเดือดดาล “รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรข้องเกี่ยวกับเจ้า! เจ้าวุ่นวายกับข้าก็ช่างเถอะ ยามนี้กลับยังคิดรังแกซานเซิงอีก! เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ช่าง แต่นางเป็นผู้มีคุณของข้า ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าทำร้ายนางได้!”

สือต้าจ้วงเป็นปีศาจนิสัยดีที่มีคุณต้องทดแทนจริงๆ เพียงแต่เสียงเขาดังเกินไป ตะคอกจนคนในหอน้ำชาตลอดจนนักละครที่กำลังแสดงบนยกพื้นล้วนหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วหันมองมาทางพวกเรา ข้ารู้สึกว่าการเล่นละครให้ผู้อื่นชมช่างน่าขายหน้าอย่างยิ่งโดยแท้ จึงดึงแขนเสื้อสือต้าจ้วงเบาๆ “อย่าหุนหันพลันแล่น ที่นี่คนเยอะ พวกเราออกไปพูดกันข้างนอกเถอะ”

ประโยคนี้ของข้ายังพูดไม่ทันจบ ซย่าอีพลันน้ำตาร่วงเผาะๆ

ข้ามองอย่างตกตะลึง สือต้าจ้วงก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน

ความโกรธของเขาคล้ายถูกดับลงทันใด มือไม้เก้งก้างขึ้นมาเล็กน้อย “ข้า…เอ้อ…ข้ายังไม่ได้ตีเจ้า เจ้าอย่าร้องไห้เลย”

ซย่าอีร้องไห้ราวกับเด็กน้อย “ท่านห่วงใยนางเพียงนั้น…ห่วงใยนางเพียงนั้น…” นางสะอื้น “ท่านควรรู้ว่าในใจนางเดิมก็ไม่มีท่านอยู่ เหตุใดท่านถึงชอบนางเพียงนั้น ฮือๆ”

ข้ากระจ่างแจ้งแล้ว ที่แท้นางอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ ยังคงปวดใจเพื่อสือต้าจ้วง ปวดใจเพราะเขา ‘ชอบคนที่ไม่ชอบเขา’

แม่นางคนนี้จิตใจดีเพียงนี้ ข้าทอดถอนใจ ดวงใจก้อนหินก็หลั่งน้ำตาไปด้วยกันกับนางแล้ว ปวดร้าวเหมือนดั่งเห็นคนงามในนิทานถูกชายหนุ่มทรยศหักหลังอย่างไรอย่างนั้น

“เหตุใดข้าจึงชอบท่านมากถึงเพียงนั้นนะ เหตุใดข้าต้องชอบท่านเพียงนั้นด้วย…” นางกุมหัวร่ำไห้ทุกข์ทนแล้วหมุนตัวจากไป

สือต้าจ้วงยืนทื่อตะลึงงันราวกับไก่ไม้อยู่ตรงหน้าข้า ข้าแหย่เขาไปเล็กน้อย “ดวงใจนี้ของเจ้าเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้วสินะ! ไยไม่ไปคว้าตัวคนงามมากอดไว้แนบอก กดตัวไว้ให้ดีๆ เช้าพรุ่งนี้เปิดม่านมุ้งมาพวกเจ้าก็เป็นคู่ที่ดียิ่งแล้ว”

“ซานเซิง เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ…” สือต้าจ้วงเกาหัวยิกๆ “ข้าเพียงแค่ตกใจท่าทางน้ำตานองหน้าของนางเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมาร้องไห้ต่อหน้าจนกลายเป็นเช่นนั้น…”

ข้ามุมปากกระตุก จู่ๆ รู้สึกว่าคนผู้นี้หัวทึบไร้ทางช่วยแล้วจริงๆ

“ข้าส่งเจ้ากลับบ้าน กันไม่ให้นางกลับมาหาเรื่องเจ้าอีก”

“วันนี้แม่นางคนนั้นไม่ได้หาเรื่องอะไรให้ข้า” ดูละครต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าม้วนนิทานเดินออกไปพลางเอ่ยขึ้น “ว่าแต่เจ้าเถอะ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”

สือต้าจ้วงถอนหายใจ “ยังไม่ใช่เพราะหลบนางอีกหรือ”

“หลบนาง?”

“ใช่แล้ว เพราะข้าออกจากเมืองหลวงไม่ได้ ทุกวันซย่าอีล้วนตามหาข้าทั่วเมือง ข้าซ่อนที่ไหนล้วนรู้สึกเหมือนว่าไม่ทันไรก็ถูกนางเจอตัวทุกที ดังนั้นเทียบกับการต้องหลบซ่อนอย่างอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่สู้คอยตามซย่าอีดีกว่า เช่นนี้ข้าก็สามารถรู้ได้ตลอดว่านางไปที่ใด ทั้งสามารถไม่ให้นางหาข้าเจอได้ตลอด”

ที่จริงข้าไม่ชอบวิธีนี้ของเขา แต่ก็รู้สึกว่าคนที่หัวทึบคนหนึ่งสามารถคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้นับว่าไม่เลวจริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยชม “วิธีนี้เรียบง่ายตรงไปตรงมาเหมือนตัวเจ้าเลย”

สือต้าจ้วงเกาหัวยิ้มเขินอาย

พูดคุยกันมาตลอดทางจนกลับถึงบ้านแล้ว เมื่อมาถึงประตูหน้าเป็นยามเย็นพอดี ไม่รอให้ข้าพูด สือต้าจ้วงก็เป็นฝ่ายเอ่ยลาจะจากไป ท่าทางรีบร้อนราวกับกลัวข้าจะรั้งเขาไว้

ข้าก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ ขณะที่กำลังจะโบกมือลาจากพลันได้ยินเสียงตะโกนดังออกมาจากภายใน

“ขุนนางบุ๋นหน้าใหม่อย่างเจ้าอย่าได้ใจให้มันมากนัก!”

น้ำเสียงนี้วางอำนาจเผด็จการถึงที่สุด ทั้งประโยคที่พูดฟังแล้วยังเป็นการด่าโม่ซี ข้าพลันหน้าเคร่งผลักประตูเข้าไป

ในลานบ้านมีคนสี่คนยืนอยู่ ฝั่งหนึ่งคือโม่ซี ส่วนอีกฝั่งเป็นเจ้านายกับองครักษ์สองคน องครักษ์ทั้งสองดูแล้วองอาจน่าเกรงขาม เพียงแต่เจ้านายคนนี้หงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง ข้าปรายตามองเขานิ่งๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เลือกเมินพวกเขาไป เพียงเอ่ยกับโม่ซี “อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงสุนัขเห่า เป็นเดรัจฉานบ้านไหนไม่ล่ามโซ่ไว้ให้ดีอีก”

อันที่จริงข้าจำเจ้าตัวนี้ได้ หลายครั้งที่ไปเอาเครื่องประดับในจวนแม่ทัพบังเอิญเห็นคนผู้นี้เข้า เขาก็คือบุตรชายตุ่มหนอง คนที่สามของแม่ทัพใหญ่ เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของซือเชี่ยนเชี่ยน ซือหรงอาศัยความสัมพันธ์ของบิดาปะปนเข้าไปในราชสำนักครองตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ว่างงาน เป็นตุ่มหนองอย่างแท้จริง

แม้ข้าไม่รู้ว่าเขามาหาโม่ซีทำไม แต่โม่ซีของข้าหาใช่มาเพื่อให้คนรังแก แม้เป็นเพียงทางคำพูดก็ไม่ได้

โม่ซีได้ยินคำพูดข้า ใบหน้าปรากฏความจนใจอยู่บ้าง เขาเดินมาทางข้าสองก้าว จับมือข้าไว้แล้วพูดเสียงเบา “ซานเซิงเข้าไปในบ้านก่อน ที่นี่ให้ข้าจัดการเองก็พอ”

แต่เขายังพูดไม่จบ ตุ่มหนองหรงนั่นกลับส่งเสียงหัวเราะน่ารังเกียจออกมา “ข้านึกว่ามีเหตุผลอะไรที่ไม่ยอมรับเรื่องแต่งงานกับจวนแม่ทัพเรา ที่แท้ก็ซ่อนหญิงงามเอาไว้แล้วนี่เอง”

เสียงของเขาเหมือนเป็ดถูกบีบคอ ฟังแล้วระคายหูยิ่งนัก ข้านึกอยากใช้เวททำให้เขาพูดไม่ได้สักสามวันสามคืน

“เฮอะ แต่ว่าสตรีผู้นี้ของเจ้าหน้าตาพอดูได้ นิสัยกลับเหม็นโฉ่ยิ่ง ไหนเลยจะเทียบความอ่อนโยนเพียบพร้อมของน้องสาวข้าได้ อีกอย่างเจ้าหย่าหญิงร้ายกาจคนนี้แล้วรับเรื่องแต่งงานของจวนแม่ทัพข้า วันหน้ารับรองว่าเจ้าจะรุ่งเรืองมั่งคั่งไม่สิ้นสุด ส่วนภรรยาที่ถูกหย่าของเจ้าคนนี้ ข้าจะฝืนช่วยเจ้าทำให้ว่านอนสอนง่ายเอง”

มายังโลกมนุษย์สิบกว่าปี แม้ข้าจะพบเรื่องประหลาด ได้ฟังคำพูดแปลกๆ มาไม่น้อย แต่คนประหลาดเช่นนี้นับว่าได้พบเห็นเป็นครั้งแรก น้ำคำกำเริบเสิบสานนี้ปลุกปั่นให้ข้าพ้นขอบเขต ‘เดือดดาล’ แล้ว ข้าตัดสินใจมองตัวประหลาดนี้ให้ดี อย่าให้วันหน้านึกอยากเจอคนพรรค์นี้แล้วทำไม่ได้ ได้แต่ต้องถอนหายใจเสียดาย

ระหว่างที่ข้ากำลังชื่นชมสิ่งประหลาด โม่ซีพลันเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ทัพ ต่อให้ท่านบอกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ดีอย่างไร ในสายตาข้าน้อยก็เทียบภรรยาข้าไม่ได้ คุณหนูนิสัยสุภาพเรียบร้อย ข้าน้อยกลับชมชอบนิสัยดุร้าย คุณหนูสามารถมอบความรุ่งเรืองมั่งคั่งให้ข้า ข้าน้อยกลับรักชอบการกินอยู่เรียบง่ายร่วมกับภรรยาข้า ในสายตาข้าน้อย ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของภรรยาข้า ไม่ว่าทำอะไรล้วนน่าประทับใจยิ่งกว่าคุณหนู หวังว่าท่านแม่ทัพจะเลิกมาเอ่ยเรื่องแต่งงานนี้กับข้าอีก เลี่ยงไม่ให้ข้าน้อยเอ่ยคำพูดไม่คู่ควรกับฐานะของคุณหนูยิ่งกว่านี้”

คำพูดนี้ของเขาทำเอาตุ่มหนองหรงปากอ้าตาค้าง และทำให้ในใจข้าราวกับบุปผาเบ่งบาน ดูคำเรียก ‘ภรรยาข้า’ นี้ของเขาสิ เป็นธรรมชาติขนาดไหน!

เสียงโม่ซียังไม่หยุด กล่าวต่อว่า “ส่วนความคิดเลยเถิดที่ท่านแม่ทัพมีต่อภรรยาข้า ข้าน้อยพูดได้เพียงว่าน่าเสียดาย ทั้งในและนอกราชสำนักใครไม่รู้บ้างว่าท่านแม่ทัพเป็นตุ่มหนองไร้ประโยชน์ ตำแหน่งนี้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่คิดสารพัดวิธีผลักดันท่านขึ้นมา ท่านดำรงตำแหน่ง แต่กลับไม่คิดถึงหน้าที่ ยังคงทำตัวเป็นตุ่มหนองดังเก่า แม้เบื้องหน้ามีแม่ทัพใหญ่คอยปูทางให้ เบื้องหลังมีขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งคอยคุ้มครอง แต่ท่านกลับไม่เลื่อนขั้นตลอดสามปี ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ เห็นแจ้งปรุโปร่ง รู้จักใช้คน ขอเพียงเป็นคนที่มีผลงานแม้เพียงเล็กน้อยล้วนแล้วแต่ถูกใช้สอย เห็นได้ว่าท่านแม่ทัพไม่มีความสามารถอะไรที่ทำให้ฝ่าบาทเลื่อนขั้นให้ ภรรยาข้าเฉลียวฉลาดหลักแหลม ข้าน้อยเชื่อว่าในใจนางย่อมต้องมีคำตัดสินของตัวเอง”

ซือหรงราวกับถูกคำวิจารณ์รุนแรงแหลมคมของโม่ซีแทงจนเป็นรูพรุน ยืนตะลึงค้างอยู่กับที่ลืมตอบโต้ไปจนสิ้น องครักษ์สองคนข้างหลังเขาต่างหันหน้าไปอีกทาง เหลือบเห็นท่าทางคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ ดูท่าปกติพวกเขาคงเคยด่าเจ้าตุ่มหนองหรงอยู่ในใจไม่น้อย

“เจ้า…เจ้า…เจ้ากล้าตีฝีปากกับข้า!”

“ข้าน้อยเพียงแต่ตักเตือนท่านแม่ทัพอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ยาดีย่อมขมปาก หากท่านแม่ทัพฟังแล้วไม่สบายใจ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่าท่านแม่ทัพรู้สึกว่าข้าน้อยพูดไม่ถูกต้อง สามารถไปกล่าวโทษข้าน้อยเบื้องหน้าพระพักตร์ ถึงยามนั้นข้าน้อยจะเล่าคำตักเตือนที่มีต่อท่านในวันนี้ให้ฝ่าบาทรวมทั้งขุนนางใหญ่ทุกคนเอง จะได้ให้เหล่าขุนนางและฝ่าบาทร่วมกันตัดสินว่าที่แท้คำพูดนี้ของข้าน้อยพูดได้มีเหตุผลหรือไม่”

“เจ้า…เจ้า…”

ตุ่มหนองหรงโมโหจนเอ่ยคำพูดไม่ออก

ข้ายิ้มตาหยีกวักมือเรียกสือต้าจ้วงที่ตะลึงมองละครฉากนี้อยู่ข้างประตู ต้าจ้วงเดินเข้ามาแล้ว กล้ามเนื้อกำยำล่ำสันทั้งร่างมองดูแล้วพาให้องครักษ์ข้างหลังซือหรงดูอ่อนแอไปเล็กน้อย

ข้าเอ่ย “ข้าว่าพูดคุยกันได้พอสมควรแล้ว ต้าจ้วงช่วยพวกเราส่งแขกเถอะ”

สือต้าจ้วงพยักหน้า กล่าวเจตนาข้าออกไปตรงๆ อย่างรู้ใจเป็นอย่างยิ่ง “เอ้า ไล่พวกเจ้าแล้ว”

ตุ่มหนองหรงได้ยินก็โมโห ใบหน้ายาวราวกับช้อนรองเท้าบวมพองจนจะกลายเป็นไตหมูเน่าในพริบตา เขาตะคอก “บังอาจ! กำเริบ! ข้ารับใช้ไม่รู้ชื่อแซ่คนหนึ่งถึงกับกล้าพูดเช่นนี้กับแม่ทัพอย่างข้า!”

สือต้าจ้วงมองข้าอย่างจนปัญญา “พวกเขาไม่ไป”

ข้าโบกมือ “หิ้วออกไป”

ดังนั้นสามคนนี้จึงถูกหิ้วออกไปอย่างไร้ทางต่อต้าน…

ข้าหันมาตบบ่าโม่ซี กำลังคิดจะชมเขาสักสองประโยคกลับเห็นโม่ซียังคงขมวดคิ้วจ้องมองประตูใหญ่ ข้ามองตามสายตาเขาไป สือต้าจ้วงหิ้วสามคนนั้นไปแล้วก็กลับมา กำลังปิดประตูอยู่

พอเขาหมุนตัวสายตาก็สบเข้ากับโม่ซี สือต้าจ้วงถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ‘พลั่ก’ และชนเข้ากับประตูใหญ่ที่เพิ่งปิดเมื่อครู่

คิ้วของโม่ซีคลายออก แต่ดวงตากลับไม่ย้ายออกจากร่างสือต้าจ้วง บรรยากาศขัดแย้งคุกรุ่นเมื่อครู่ลุกลามแผ่ขยายอยู่ภายในลานบ้านทีละน้อย “พี่สือจากกันหลายปีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใช่หรือไม่” ท้ายประโยคน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ข้ายังฟังความนัยอันตรายที่แฝงอยู่ออก

สือต้าจ้วงกลืนน้ำลาย แม้จะอยู่ห่างกันมาก ข้าก็ยังเห็นลูกกระเดือกที่ขยับเคลื่อนได้อย่างชัดเจน

เขาไม่กล่าววาจา

โม่ซีก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวจะเอ่ยคำ ข้าจึงดึงเขาไว้ ข้ารู้ว่ายามนี้สือต้าจ้วงจำว่าข้าเป็น ‘ผู้มีคุณ’ อย่างสุดใจ และดีต่อข้าจริงๆ คนสัตย์ซื่อเช่นนี้ข้าไม่อาจปล่อยให้โม่ซีรังแกเขาอยู่เสมอได้ จึงเอ่ยกับโม่ซี “วันนี้ข้าบังเอิญเจอเรื่องยุ่งยากกลางทาง เขาช่วยข้าไว้จึงกลับมาด้วยกันกับข้า”

โม่ซีหันไปมองเขา สือต้าจ้วงรีบเร่งพยักหน้า “เป็นความบังเอิญๆ! ข้าไม่คิดอะไรกับซานเซิงจริงๆ!”

โม่ซีไม่สนใจเขา หันมามองข้า “ใครหาเรื่องยุ่งยากให้ซานเซิง”

ข้าอ้าปากกำลังจะตอบตามจริง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หากตอบความจริงไปนั่นไม่เท่ากับว่าเมื่อครู่ข้าโกหกหรือ ข้ากลอกตารอบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร เพียงแค่มีปากเสียงกับผู้อื่นนิดหน่อยยามดูละคร” ข้าชิงจับมือโม่ซีขึ้นมาก่อนเขาจะเอ่ยถามอีกประโยค ยิ้มตาหยีมองเขา “โม่ซีหึงหรือ”

โม่ซีนิ่งงันเบี่ยงหัวออกกระแอมเสียงหนึ่ง

“ข้าจะไม่หนีไปกับใคร” ข้ากล่าว “ข้าชอบเพียงโม่ซี”

หนึ่งพันปีกว่า ข้าเพียงได้พบโม่ซี เพียงหวั่นไหวให้โม่ซี

ไม่ว่าคำพูดนี้ของข้าจะพูดมาแล้วกี่ครั้ง ใบหน้าโม่ซีก็ยังคงเป็นสีแดง สีหน้าเขาอ่อนโยนลง ความเป็นปรปักษ์และไอสังหารกลางหน้าผากเลือนหายไป

ท้องฟ้ามืดแล้ว ท้องร้องแล้ว ข้าจูงโม่ซีพลางว่า “พวกเรากินข้าวกันเถอะ” แล้วหันไปมองสือต้าจ้วง “อยากมาด้วยกันหรือไม่”

สือต้าจ้วงจมูกขยับ ดวงตาที่จับจ้องข้าแทบจะเปล่งประกายแล้ว แต่จังหวะสุดท้ายที่กำลังจะตกลงใจ เขากลับมองโม่ซีคราหนึ่ง จากนั้นก็หดหัวปฏิเสธอย่างร้อนรน “ไม่ๆๆๆๆ! ไม่เด็ดขาด!” เขาดึงประตูเปิดออกอย่างหางจุกตูดแล้ววิ่งเงื่องหงอยจากไป

ข้าหันกลับมามองโม่ซี “โม่ซี เจ้าไล่คนที่กำลังหิวจากไปเช่นนี้ช่างใจร้ายนัก”

โม่ซีเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่หากรั้งให้เขาอยู่ก็เท่ากับโม่ซีใจร้ายต่อตัวเอง ซานเซิงอยากให้โม่ซีใจร้ายกับใคร”

ข้าจูงมือโม่ซีอย่างแน่วแน่ “ปล่อยเขาร้องไห้อีกพักแล้วกัน”

บทที่แปด

 ยามเย็นขณะที่กินข้าวข้าเอ่ยชมโม่ซีอย่างดีรอบหนึ่ง “คำพูดโม่ซีล้วนสามารถมอบไออุ่นแก่ดวงใจข้าเสมอ แต่หมู่นี้พูดจาเพื่ออบอุ่นดวงใจข้าเป็นพิเศษ” ข้าคีบน่องไก่ข้างหนึ่งใส่ชามเขาเป็นรางวัล “โดยเฉพาะคำที่พูดกับตุ่มหนองหรงในวันนี้ เป็นคำพูดที่ข้าชอบฟังที่สุดในระยะนี้”

โม่ซีฉีกเนื้อบนน่องไก่ให้ข้าไปด้วยเอ่ยไปด้วยว่า “ข้ายังจำได้ว่าสมัยเด็กขอเพียงข้าถูกรังแกมา ซานเซิงเป็นต้องแก้แค้นให้ข้าเสมอ ยามนี้ซานเซิงถูกรังแก ข้าย่อมต้องแก้แค้นแทนเจ้า หากต่อไปยังมีเรื่องพรรค์นี้ข้าก็จะคอยปกป้องเจ้าให้ดีแน่นอน” เขาชะงักไป “เพียงแต่ข้าหวังให้ซานเซิงไม่ต้องถูกรังแกตลอดไป”

ข้าอึ้งงันไปเล็กน้อยกับคำพูดของเขา แล้วพลันยิ้มกล่าว “โม่ซี เดิมข้าคิดพูดว่าสิ่งที่ข้าชอบวันนี้ไม่ใช่เจ้าด่าตุ่มหนองหรง แต่ชอบที่เจ้าเรียกข้าว่า ‘ภรรยาข้า’ ” เขาได้ยินแล้วตกตะลึง ข้ายิ้ม “เดิมข้าก็เป็นภรรยาเจ้า กำหนดไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยออกมาต่อหน้าคนนอกมาก่อน เจ้าเอ่ยขึ้นมาในยามนี้ข้าดีใจเป็นอย่างมาก” ก่อนโม่ซีจะอธิบายข้าก็ชิงพูดต่อ “แต่คำพูดเมื่อครู่ของเจ้ากลับทำให้ข้าดีใจยิ่งกว่าที่เจ้าเรียกข้าว่าภรรยา”

ข้าก้มหน้ากินเนื้อ “เจ้าจะปกป้องข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้า”

 

วันรุ่งขึ้นโม่ซีไปร่วมประชุมเช้าตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนก่อนหน้านี้

ข้าหมกตัวเผาถ่านอ่านนิทานอยู่ในห้อง หลายวันก่อนข้าบังเอิญพบซย่าเฉินบนถนน เมื่อวานไปหอน้ำชาก็ยังถูกซย่าอีเจอตัว ข้าคิดว่าช่วงนี้คงเป็นวันที่ไม่เหมาะเดินทาง วันนี้จึงตัดสินใจนอนเกียจคร้านอยู่ในบ้านรอโม่ซีกลับมาอย่างว่าง่าย

ข้ากำลังดูภาพอย่างมัวเมา พลันได้ยินเสียงจอแจดังอยู่นอกลานบ้าน ข้ากะพริบตาสองหน ความนึกคิดค่อยๆ ถอยออกมาจากเรื่องในนิทาน พูดได้เพียงว่าเมืองหลวงเป็นสถานที่อัปมงคล ไม่ออกจากบ้านก็มีเรื่องมาหาถึงบ้านได้ ข้าถอนหายใจคราหนึ่งแล้วปิดหนังสือ จัดเสื้อผ้าเตรียมเป็นฝ่ายออกไป ‘หาเรื่อง’ เสียงจอแจพวกนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อฟังอย่างละเอียดแล้วกลับเป็นเสียงฝีเท้าเข้าจังหวะเป็นระเบียบอย่างยิ่ง

ทหาร?

ตั้งแต่ข้ามีจิตวิญญาณเป็นต้นมาก็เป็นวิญญาณที่รักษากฎระเบียบตนหนึ่ง ข้าเคยถูกผีจับ เคยถูกท่านพญายมด่า เคยถูกพระไล่ตาม เคยถูกนักพรตตามล่า ทว่ายังไม่เคยถูกทหารโอบล้อมโจมตีมาก่อน

นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ทำให้ข้าตื่นเต้นอยู่บ้าง

ข้าออกจากบ้านไปยืนอยู่ในลาน เฝ้ารอให้พวกเขาพังประตูเบียดเข้ามาแล้วล้อมข้าไว้อยู่ตลอด ให้ข้าได้มีโอกาสเห็นว่าทหารจัดวางรูปแบบการรบอย่างไรกันแน่ ไม่คาดว่ารออยู่นานกลับได้เพียงเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทเท่านั้น ข้าอดผิดหวังไม่ได้ จึงได้แต่ไปเปิดประตูตามระเบียบ

ทหารน่าจะไปซ่อนตัวแล้ว หน้าประตูมีเพียงแม่นางน้อยที่สวยสดงดงามยืนอยู่คนหนึ่ง ข้ามองนางอยู่นานกว่าจะจำได้ นี่ไม่ใช่ซือเชี่ยนเชี่ยนที่หลายวันก่อนถูกโม่ซีทิ้งไว้บนถนนหรอกหรือ!

นางเห็นข้าเปิดประตูก็พลันมีท่าทางราวกับถูกฟ้าผ่า เอ่ยงึมงำกับตนเอง “มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งจริงๆ ท่านพี่ไม่ได้หลอกข้า…เขาพาผู้หญิงกลับบ้านมาจริงๆ”

นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ตุ่มหนองหรงมาเซ้าซี้ให้โม่ซีแต่งซือเชี่ยนเชี่ยนขึ้นมาได้ ในใจข้ามีแผนการขึ้นมาเลือนราง นี่นางมาเพราะคิดจะสืบเรื่องโม่ซีด้วยตนเองสินะ

ข้าคิดในใจ ชอบเป็นเรื่องหนึ่ง ให้ผู้อื่นมาเป็นแขกในบ้านเป็นเรื่องหนึ่ง ตนเองตามติดพันถึงบ้านด้วยตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยามนี้ข้าเฝ้ารอให้โม่ซีแต่งข้าอยู่ทุกวัน ในช่วงเวลาจวนเจียนนี้ไม่อาจปล่อยให้แม่นางคนนี้ตามพัวพันจนโม่ซีไม่อาจแต่งข้าได้ ดังนั้นข้าจึงกอดอก เอนพิงขอบประตูแล้วเลิกคิ้วกล่าว “ไม่ผิด ข้าเป็นผู้หญิงของเขาจริงๆ ตั้งแต่เด็กก็หลับนอนร่วมกับเขา เจ้ามีอะไรจะชี้แนะ”

แม่นางน้อยประสบการณ์น้อยไปหน่อย ถูกคำพูดนี้ของข้าถล่มจนตกตะลึงไปทั้งตัว ซวนเซถอยหลังสองก้าวแทบจะล้มลงบนพื้น เห็นใบหน้าซีดขาวของนาง ข้าก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้อ่อนแอเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเทียบกับข้า ลำพังเทียบกับซย่าอีก็พ่ายไปหลายขุมแล้ว หญิงวัยกลางคนแต่งงานแล้วคนหนึ่งกระโดดออกมาจากด้านข้างทันเวลา ประคองซือเชี่ยนเชี่ยนไว้แล้วชี้หน้าตะคอกด่าข้า “อย่าได้คิดรังแกคุณหนูของบ้านข้า! อย่าเอาคำพูดหยาบโลนสกปรกพรรค์นี้มาทำร้ายใบหูคุณหนูของพวกเรา!”

ข้าถูกปรักปรำจริงๆ “นางถาม ข้าตอบ เป็นความจริงทุกประโยค มีตรงไหนสกปรกกัน”

สีหน้าซือเชี่ยนเชี่ยนยิ่งขาวซีดลงอีกส่วน หญิงแต่งงานแล้วเอ่ยด่า “นางปีศาจหน้าด้าน! ถึงกับกล้าเสียมารยาทต่อคุณหนู! ทหาร เอาตัวไป!”

ข้านวดหน้าผากหน่ายใจ เห็นอยู่ว่าหญิงแต่งงานแล้วคนนี้จงใจหาเรื่องชัดๆ ข้ายังคิดเอ่ยเหตุผลกับนาง แต่ทางด้านข้างมีทหารชุดเขียวกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาในพริบตา

ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอก็มาแล้ว! ทหารกลุ่มนี้เข้ามาล้อมแล้ว!

ดวงตาข้าเปล่งประกาย ร้อง “โอ้!” อย่างดีใจเสียงหนึ่ง หญิงแต่งงานแล้วคนนั้นกลับตวาดเสียงดัง “นางกำลังใช้อาวุธลับ! คุ้มครองคุณหนู!”

ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงชักกระบี่ออกจากฝักดังเช้งๆ นั้น ขนอ่อนข้าลุกชันขึ้นเล็กน้อย

ข้าอ้าปากแต่ ‘ออมมือด้วย’ สามคำนี้ยังไม่ทันเอ่ย ดาบใหญ่เล่มหนึ่งก็ฟันลงมาที่หัวข้า การผ่านการขัดเกลาในโลกมนุษย์ทำให้ข้าสำรวมอาการได้มากกว่าเมื่อแรกมาถึง แต่หาใช่ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกเช่นนี้ ดวงตาข้าสาดประกายกร้าวทันที จ้องทหารที่บุกเข้ามาหาข้าอย่างดุร้าย

คนธรรมดาที่ไม่เคยบำเพ็ญเพียรฝึกวิชาเวท ถูกไอหยินของข้าจ้องให้หยุดชะงักก็พลันเข่าอ่อน คุกเข่าลงดังตึงคารวะข้า

คนข้างหลังกลับไม่รู้จักเรียนรู้ ยกโขยงพุ่งเข้ามาทางข้า

ข้าทำมุทระ แล้วโบกแขนเบาๆ เหล่าทหารที่กลุ้มรุมเข้ามาล้วนถูกตีลอยไป ข้าถอนหายใจเอ่ย “เป็นคนควรรู้จักสังเกต พิจารณา และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์”

ซือเชี่ยนเชี่ยนกับหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นถูกไอหยินกวาดโดนจนล้มนั่งกับพื้น มองข้าอย่างตกตะลึง ข้ายื่นมือก้าวเข้าไป คิดจะดึงตัวหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นขึ้นมา นางกลับร้องเสียงดังว่าปีศาจแล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ข้าจึงได้แต่หมุนตัวหันไปพยุงซือเชี่ยนเชี่ยน นางกลับให้ข้าดึงขึ้นมาอย่างว่าง่าย

ข้าช่วยนางเช็ดฝุ่นผงบนใบหน้าพร้อมเอ่ย “ต่อให้ชอบคนคนหนึ่งก็ควรมีศักดิ์ศรีของตน การมาหาเรื่องถึงบ้านเช่นนี้ทีหลังอย่าทำเลย ไม่ต้องพูดถึงเสียเกียรติ ยังได้ไม่คุ้มเสีย อ้อ แล้วก็สามชาตินี้ของโม่ซีล้วนถูกข้าจับจองเอาไว้แล้ว หากเจ้าคิดเกี้ยวเขาจากใจจริง หลังจากสามชาติค่อยมาใหม่เถอะ”

คำพูดนี้ของข้าเป็นความจริง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อนางฟังแล้วจะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง นางพลันตาแดง หันหน้าวิ่งจากไปด้วยท่าทางราวกับใกล้จะร้องไห้

ข้าทำความสะอาดหน้าประตูให้ดีรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปพลิกนิทานของข้าต่ออย่างไม่ยินดียินร้าย ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่อ่านถึงตอนที่หญิงงามบังคับจูบชายหนุ่มในการพบหน้ากันครั้งแรก ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

พลบค่ำโม่ซีรีบร้อนกลับมาบ้าน ข้ากำลังนอนเอนพิงตั่ง เมื่อเหลือบสายตามองเขาคราหนึ่งค่อยหันไปอ่านนิทานของข้าต่อ

เขายืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง สายตาคล้ายว่าพิศมองร่างข้ากลับไปกลับมาอยู่นาน เขาเดินเข้ามาในบ้านเงียบๆ แล้วนั่งลงบนตั่ง นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าวันนี้มีทหารของทางการมา”

“อืม”

“บาดเจ็บหรือไม่”

“เปล่า”

ตอบเสร็จสองประโยค โม่ซีก็นิ่งเงียบไปอีก ข้าโยนนิทานไปอีกด้าน ลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วจ้องมองเขาตรงๆ “เจ้าอยากถามอะไร”

เขาอ้าปากเล็กน้อย แต่ยังคงไม่พูดอะไร ข้าจึงกล่าวขึ้น “ทหารเป็นข้าไล่ตีหนีไป ซือเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นข้าไล่ไป”

เขามองข้าครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มจนปัญญาออกมา

ข้าเลิกคิ้วพูด “ทำไม หรือที่จริงเจ้าอยากแต่งบุตรสาวแม่ทัพคนนั้น อ้อ เป็นข้าไม่ดีเอง ทำลายบุพเพสันนิวาสนี้ของเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าท่าทางทำใจไม่ได้ถึงเพียงนี้ ข้าไปพาแม่นางคนนั้นกลับมาก็สิ้นเรื่อง ดูแล้วความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้าก็ลึกซึ้งอยู่” ข้าพูดพลางมุ่งหน้าออกไปด้านนอก

เขาดึงข้าไว้ แก้มแดงซ่าน “ซานเซิง เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าหาได้หมายความเช่นนี้ เจ้า…เจ้ากินน้ำส้มเพราะข้าได้ อันที่จริงข้าดีใจมาก เพียงแต่…”

“เพียงแต่?”

“ทหารพวกนั้นพูดว่าเจ้าเป็นปีศาจ…”

ข้าส่ายหัว “ข้าไม่ใช่ปีศาจ”

โม่ซีจ้องมองข้า ส่วนลึกในดวงตาซ่อนความจนใจบางๆ

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ข้าก็พลันกระจ่างแจ้ง “โม่ซี เจ้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นปีศาจหรือ” เสียงพูดหยุดชะงักไปเล็กน้อย “หรือว่าเจ้ามองข้าเป็นปีศาจมาโดยตลอด”

โม่ซีขมวดคิ้ว

ข้าพยักหน้าพูดงึมงำกับตนเองอย่างลืมตัว “ไม่ผิด ข้าใช้ชีวิตร่วมกับเจ้ามาหลายปี แต่หน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ตอนที่อยากจุดไฟก็สามารถจุดได้ ตอนที่อยากเรียกลมก็สามารถเรียกได้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นปีศาจก็สมเหตุสมผลแล้ว” ลำคอจุกแน่น ในหัวใจรู้สึกอดสูและผิดหวังอยู่บ้าง ข้าจ้องมองนัยน์ตาของเขาแล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้เจ้ากลัวข้า? รังเกียจข้า?”

พอคำพูดหลุดออกมา สีหน้าของโม่ซีก็เปลี่ยนแปลงไป ดวงหน้าที่อ่อนโยนกับข้าเสมอเผยความโกรธออกมาอย่างหาได้ยาก “ทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วย! ทำไมต้องรังเกียจเจ้า! เจ้าเป็นปีศาจแล้วอย่างไร ข้ารู้เพียงว่าซานเซิงของข้าไม่เคยทำร้ายข้า โม่ซีหาใช่คนไร้หัวใจ ในโลกนี้ใครปฏิบัติต่อข้าอย่างไรข้าล้วนรู้ดี! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซานเซิงหาใช่ปีศาจชั่วร้าย ต่อให้เจ้าเป็นปีศาจ ชาตินี้ของข้าก็ยังชอบปีศาจเช่นเจ้า!”

‘ชอบ’ คำนี้ทำให้มุมปากของข้ายกขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ความอดสูพวกนั้นกลายสภาพเป็นควันลอยหายไปในบัดดล ข้ามองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง รู้ว่าโม่ซีเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด กับข้ายิ่งอ่อนโยนจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ยากจะเห็นเขาฉุนเฉียวถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนัก “เช่นนั้นเจ้ากลัวอะไร”

สีหน้าเขาชะงักค้าง ถูกคำพูดกระแทกใจของข้าทำให้อึดอัดอยู่บ้าง เขาเงียบไปพักหนึ่งค่อยถอนหายใจเสียงเบาแล้วกล่าว “ซานเซิง ข้ากลัวเจ้าถูกรังแก”

ข้าฟังแล้วรู้สึกว่าน่าขัน “เจ้ายังจำลานหลังบ้านของเจ้าอ้วนหวังได้หรือไม่”

เขาเหล่มองข้า “หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ”

ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถูกรังแกไม่เห็นเป็นไร ขอเพียงรังแกกลับไปก็พอแล้ว ภรรยาของเจ้าอย่างข้ากินได้ทุกอย่าง มีก็แต่เรื่องขาดทุนที่กินไม่ลง เจ้ากลับเป็นห่วงเรื่องนี้แทนข้าเสียได้”

โม่ซีถูกข้าหยอกจนยิ้มแล้ว ไม่พูดอะไรอีก

ตอนที่บ้วนปากล้างหน้าข้าเห็นบนแขนเสื้อเขามีรูไม่เล็กไม่ใหญ่รูหนึ่งจึงกล่าวอย่างแปลกใจ “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ”

โม่ซีซ่อนแขนเสื้อ “ไม่มีอะไร แค่วันนี้มีปากเสียงกับทหารสองสามคนแล้วไปเกี่ยวโดนเสื้อเกราะของพวกเขาเท่านั้น”

ข้ายื่นมือออกไป “ถอดเสื้อให้ข้า ข้าช่วยเย็บให้เจ้า”

ข้าจุดเทียนแล้วเย็บปิดรูนั้นทีละเข็มๆ โม่ซีนั่งลงด้านข้าง ผินหน้ามองข้าช่วยเย็บเสื้อให้เขา แววยิ้มบนมุมปากไม่จางหายไป ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนพึงพอใจยิ่ง

“เสร็จแล้ว” ข้าส่งเสื้อคลุมยาวให้เขา ครั้นเห็นใบหน้าเขาแผ่ซ่านไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก็พลันเอ่ยถาม “ฮ่องเต้คนปัจจุบันเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่”

โม่ซีรับเสื้อคลุมยาวไปแล้วตอบ “เป็นฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยม”

ข้าพยักหน้า “แล้วแม่ทัพใหญ่ที่กุมอำนาจทางทหารอยู่ในมือผู้นั้นเป็นแม่ทัพที่ดีหรือไม่”

โม่ซีขมวดคิ้ว “หากพูดถึงยามนำทัพสู้รบย่อมเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่เมื่อใต้หล้ามั่นคง บ้านเมืองที่สุขสงบกลับไม่จำเป็นต้องมีความกระหายเลือดของเขา”

ข้าพยักหน้าอีกครั้ง “กำจัดเขา ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็จะยิ่งดีขึ้น?”

“หากไม่มีการควบคุมของแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทสามารถปฏิรูปการปกครองได้เต็มที่ ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรย่อมต้องดียิ่งขึ้น” โม่ซีมองข้าอย่างประหลาดใจ “ซานเซิงสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ข้าถามต่อ ไม่ได้ตอบเขา “หากตัวเจ้าได้ช่วยประชาราษฎร์กำจัดแม่ทัพใหญ่ เจ้าจะเบิกบานใจหรือไม่”

ดวงตาของโม่ซีเปล่งประกายวาบ ทว่าก็หลุบตาลงบดบังประกายแสงนั้นทันที “ย่อมต้องเบิกบานใจ”

ข้ายังคงพยักหน้า “ดึกแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องยุ่งอีก รีบไปนอนเถอะ”

หลังจากแสงเทียนในห้องโม่ซีดับลงแล้ว ข้ายังคงนั่งอยู่บนเตียงดังเดิม ลืมตามองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง

โม่ซีจะมีปากเสียงกับผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร ข้าครุ่นคิดเรื่องในวันนี้แล้วก็เข้าใจ จะต้องเป็นเขาได้ยินคนพูดว่าข้าเป็นปีศาจ จึงทะเลาะกับผู้อื่นอย่างทนไม่ไหวเป็นแน่ โม่ซีเป็นคนอดทนอดกลั้นมาแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบันเขาก็เพิ่งเป็นขุนนางได้ไม่นาน แม้จะเป็นที่โปรดปรานไว้วางใจของฮ่องเต้ แต่กระทั่งบ้านสักหลังฮ่องเต้ก็ไม่ประทานให้เขา เห็นได้ว่าฐานะในราชสำนักยามนี้ของเขาเป็นตำแหน่งที่ลำบากอย่างยิ่ง

อีกทั้งเช้าวันนี้ข้าลงไม้ลงมือกับคนของจวนแม่ทัพพวกนั้น ยิ่งเป็นการผลักโม่ซีเข้าไปกลางพายุปลายยอดคลื่น

ข้าเองก็ไม่เหมือนกับคนรอบข้างจริงๆ ราชครูซย่าเฉินพบว่าข้าอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ด้วยนิสัยที่สามารถคบหาเป็นสหายกับลาเฒ่าหัวโล้นได้โดยไม่ถืออายุของเขา เขาต้องไม่ปล่อยข้าไปโดยไม่สนใจแน่ รอเขาได้ยินเรื่องที่ข้าลงมือกับคนของจวนแม่ทัพ ไม่แน่ว่าจะสรรหาวิธีการใดมาเคี่ยวกรำข้า ยิ่งไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำร้ายโม่ซีด้วยการทูลอะไรบางอย่างต่อหน้าฮ่องเต้ ฐานเดิมของโม่ซีก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว หากถูกราชครูกล่าวตำหนิอีก ไม่รู้ว่าพวกโง่เขลาในราชสำนักเหล่านั้นจะขัดแข้งขัดขาเขาอย่างไร

ครั้นนึกถึงดวงตาเปล่งประกายยามที่โม่ซีเอ่ยถึงความคิดของตนเองเมื่อครู่ ข้าผนึกมุทระร่ายเวทพรางตนก่อนจะเข้าไปในห้องของโม่ซี บรรจงลูบแก้มของเขาซึ่งกำลังหลับลึกเหมือนดั่งที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน ข้ามองคิ้วที่ขมวดเข้าหากันโดยจิตใต้สำนึกของเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังฝันถึงเรื่องยากลำบากอันใด ข้ารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง โน้มกายลงจูบหว่างคิ้วของเขาแผ่วเบาอย่างทนไม่ได้ “โม่ซี” ข้าแนบแก้มเขาเบาๆ

“ซานเซิงจะไม่ทำตัวเป็นภาระของเจ้า”

 

เดิมข้านึกว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนเป็นเลวร้ายขึ้นมา จึงทำเรื่องที่ควรเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว แต่ไม่คาดว่าหลังจากวันนั้นทุกคนและทุกเรื่องดูราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะโดยพลัน ซือเชี่ยนเชี่ยนกับซือหรงไม่ได้มาอีก สองพี่น้องซย่าอีซย่าเฉินก็ไม่ได้ปรากฏกายในครรลองสายตาข้า กระทั่งสือต้าจ้วงเองก็ไม่เห็น

โม่ซีไปราชสำนักตอนเช้าและกลับบ้านตอนเย็นทุกวัน ทุกอย่างคล้ายกลับไปเหมือนเมื่อครั้งข้ากับเขาอาศัยอยู่นอกเมืองเล็ก สงบเงียบและเป็นสุข

แต่ข้ารู้ดีว่านี่อาจเป็นเหมือนที่กล่าวขานกัน ความเงียบสงบก่อนพายุมา

วันนี้ฟ้าที่มีหิมะตกมาตลอดหลายวันปลอดโปร่งแล้วในที่สุด แม้จิตวิญญาณในปรโลกเช่นข้าจะไม่เหมาะกับดวงอาทิตย์นัก แต่ก็ยังย้ายเก้าอี้โยกไปในลานบ้าน ตั้งใจจะอาบแดดให้ทั่วร่างสันหลังยาวนี้ ทว่าอาบแสงอาทิตย์ได้ไม่เท่าไรก็พลันมีคนพลิกกายข้ามกำแพงเข้ามา

ข้าเหลือบตามองอย่างเกียจคร้านคราหนึ่ง เป็นซย่าอีที่ไม่ได้พบกันมาหลายวัน

นางมาหาถึงนี่ได้อย่างไร

“ข้าไม่เจอสือต้าจ้วงหลายวันแล้ว เขาไม่อยู่ที่นี่” ข้าโบกมือไปมา ไล่ให้นางจากไป

ซย่าอีกลับมองข้าไม่ยอมขยับ ผ่านไปนานถึงเอ่ยปาก “แม่ทัพใหญ่ส่งเทียบเชิญถึงพี่ใหญ่ข้าแล้ว เชิญเขาไปพูดคุยที่จวนแม่ทัพวันพรุ่งนี้ การพูดคุยครั้งนี้หากพบเจอเงื่อนงำเพียงน้อยนิด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็หนีไม่รอด”

จู่ๆ นางก็พูดขึ้นมาเช่นนี้ ข้าฟังแล้วมึนงงไปหมด หันหน้าไปมองนาง “พี่ชายเจ้า หรือว่า…” ข้าคาดเดา “เกิดความรู้สึกอะไรที่ไม่สมควรมีกับแม่ทัพใหญ่?”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เดิมเคร่งเครียดของซย่าอีก็พลันบิดเบี้ยว “เจ้าจริงจังหน่อย!”

ข้าย่อมจริงจังไม่ต่างกัน “นั่นเป็นเรื่องของพี่ชายเจ้ากับแม่ทัพใหญ่ เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่ชอบแม่ทัพใหญ่และไม่ชอบพี่ชายเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องหนี”

ซย่าอีขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่คิดยอมรับ?”

ข้าสับสนขึ้นมาแล้ว “ยอมรับอะไร”

“ระยะนี้จวนแม่ทัพมีวิญญาณร้ายก่อกวน คุณชายสามกับคุณหนูคนเล็กของจวนแม่ทัพล้วนป่วยด้วยอัปมงคล ว่ากันว่าไปเห็นสิ่งสกปรกเข้า” ซย่าอีมองข้าแน่วนิ่ง “ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาต่างได้พบเจ้า อีกทั้งพวกองครักษ์ก็เป็นพยานว่าเจ้าใช้เวทปีศาจจริง ไม่ใช่เจ้าหรือยังจะมีใครที่ไหนทำอีก”

ข้าเข้าใจในทันที ที่แท้เป็นตุ่มหนองหรงกับซือเชี่ยนเชี่ยนป่วยนี่เอง ข้าเอ่ยปากอธิบาย “หลายวันมานี้ข้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปรังแกพวกเขา เจ้าลองไปดูที่อื่นก่อนเถอะ”

ซย่าอีนิ่งเงียบมองข้าครู่หนึ่ง “ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่เจ้า ตอนนี้พวกเขาล้วนเจาะจงว่าเป็นเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้ายังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่อาจสบายใจได้ นิสัยของพี่ชายข้า เจ้าคงได้ยินมาบ้าง ขอเพียงเป็นมารปีศาจ เขาไม่มีทางยั้งมือไว้ไมตรี เจ้ามีแค่วันนี้ที่สามารถหนีได้” ซย่าอีเงียบไปชั่วขณะ “ข้าช่วยเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

แม้ในใจข้าจะรังเกียจการถูกคนไล่ตามฆ่า แต่กลับไม่ได้เกรงกลัวซย่าเฉินจริงๆ หากเอาจริงขึ้นมา มนุษย์ธรรมดาที่มีพลังเวทเพียงสิบกว่าปีไหนเลยจะเอาชนะไอหยินที่สะสมมาเป็นพันปีจากแม่น้ำลืมเลือนได้ แม้ท่าทางของซย่าอีจะเอาจริงเอาจัง น้ำเสียงหรือก็หนักหน่วง ทว่าข้าหาได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตสักเท่าใด

อย่างไรเสียก็แค่ถูกไล่สังหารอีกคราเท่านั้น

ข้ากลับสนใจข้อเรียกร้องของนางมากกว่า จึงส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ

ซย่าอีหลุบตากล่าว “ข้าต้องการให้เจ้ากับสือต้าจ้วงไปด้วยกัน ต้องการให้อยู่ด้วยกันกับเขาดีๆ…”

คำพูดนี้กลับทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งกว่า “เจ้าไม่ได้ชอบเขาหรือ”

“ข้าชอบเขา” ซย่าอียอมรับตรงไปตรงมา แต่ประกายตากลับมืดมนลงเล็กน้อย “แต่เขาชอบเจ้าถึงเพียงนั้น…ถูกข้ารังควานทำให้เขาไม่พอใจมาโดยตลอด ข้าอยากให้เขาเบิกบานใจ ถือว่าข้า…ทำเรื่องดีๆ แก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย”

แม่นาง นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย หากข้าเอ่ยกับสือต้าจ้วงว่าต้องการหนีตามกันไป ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจจนเป็นอย่างไร

ข้าโบกมือ “เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ต้องให้เจ้าช่วย เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”

ซย่าอีหน้านิ่ว “เจ้าไม่กลัวพี่ชายข้าจะจับเจ้าหรือ”

ข้าส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ ซย่าอีกล่าวอย่างข่มอารมณ์ไม่อยู่ “ได้ ต่อให้เจ้าไม่สนใจตนเอง เช่นนั้นเจ้าทำใจปล่อยให้คนที่เจ้าชอบถูกกีดกันและได้รับความอยุติธรรมอยู่ในราชสำนักเพราะเจ้าได้หรือ”

นิ้วของข้าอดชะงักแข็งไม่ได้

“ข้ารู้ ขุนนางบุ๋นคนใหม่โม่ซี ทุกวันนี้ในราชสำนักเขาต้องถูกคนประณามว่าให้ที่พักพิงแก่ปีศาจสาว นำหายนะมาสู่เมืองหลวง หากไม่ใช่ฝ่าบาทพยายามปกป้องเขาเต็มที่ ไหนเลยเขาจะมีที่ยืนแม้แต่น้อยในราชสำนัก แม่นางซานเซิง เจ้าไม่ปวดใจให้เขาหรือ”

ปวดใจสิ

ข้ายื่นมือลูบตราทองที่โม่ซีประทับไว้ให้ที่ข้อมือ

แม่นางซย่าอี เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าปวดใจเพียงไหน

บทที่เก้า

 ตอนบ่ายข้าไปซื้ออาหารจ่ายตลาด ไม่ได้ออกจากบ้านมาหลายวัน พอออกมากลับพบว่าที่ถนนใหญ่ตรอกน้อยต่างถกกันเรื่องวิญญาณร้ายก่อกวนในจวนแม่ทัพใหญ่อย่างออกรส ทั้งยังมีเรื่องที่เมืองหลวงมีปีศาจสาวหลบซ่อนตัวอยู่ด้วย เดินไปสิบก้าวก็ได้นิทานมาเรื่องหนึ่งแล้ว เล่ากันได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านักเล่านิทานในหอน้ำชาเสียอีก ข้ามีเวลาว่างพอฟังอย่างละเอียดอยู่สองสามคน ครั้นเห็นฟ้าเริ่มมืด ข้าคำนวณเวลาแล้วจึงซื้ออาหารกลับบ้าน

โม่ซีกลับถึงบ้านยามพลบค่ำ เขาล้างมือแล้วจึงมากินข้าวเหมือนปกติ ข้าคีบกับข้าวให้เขา จากนั้นถือชามพลางจับจ้องทุกรายละเอียดบนใบหน้าเขา ไม่มีความคับข้อง ไม่มีความวิตก ไม่มีความโกรธ โม่ซีแทบไม่เคยแสดงอารมณ์ด้านลบต่อหน้าข้า หัวใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างเย้าแหย่ ทั้งอ่อนทั้งยวบ ข้ารีบก้มหน้าลงพุ้ยข้าว

“โม่ซี” ข้าเอ่ย “ข้ารู้เรื่องจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว”

โม่ซีนิ่งงันไปชั่วพริบตาหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้น ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ ให้ข้า “ที่ถนนมีคนว่างงานพูดเรื่อยเปื่อยหรือ ซานเซิงไม่ต้องทุกข์ใจไป โม่ซีจะปกป้องเจ้าอย่างดี”

ข้ากะพริบตามองดูเขา “เจ้าเชื่อว่าข้าไม่ได้ทำ?”

“ต้องไม่ใช่ซานเซิงทำอยู่แล้ว”

“หากข้าเป็นคนทำเล่า” ข้าถามเขาเสียงเบา

โม่ซีชะงักน้อยๆ เขาเงยหน้า นัยน์ตาดำกระจ่างสะท้อนเงาร่างของข้าอย่างแจ่มชัด

“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องปกป้องเจ้า”

มีชีวิตอยู่มาเป็นพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเพราะคำพูดแผ่วเบาหนึ่งประโยค “โม่ซี” ข้ากล่าว “ข้าไม่ได้ทำ”

“อืม”

“หากเกลียดพวกเขาจริง ข้าคงเผาสวนหลังบ้านเขาไปแล้ว”

โม่ซีเผลอยิ้มออกมา “ใช่แล้ว” เขาพูด “ไม่ว่าชอบหรือเกลียด ซานเซิงล้วนตรงไปตรงมาที่สุด”

 

ยามดึกคืนนี้ ข้านั่งอยู่ในห้องกว่าครึ่งคืน แต่เมื่อได้ยินเสียงในห้องโม่ซีค่อยๆ เงียบสงบลง หลังลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นยาวสม่ำเสมอ ข้าทำมุทระไปปรากฏตัวที่จวนแม่ทัพใหญ่ในชั่วพริบตา

ตอนที่ตามหาโม่ซี ข้าเคยมาหยิบเครื่องประดับบางชิ้นจากห้องซือเชี่ยนเชี่ยนไปขาย จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับที่ทาง เลี้ยวผ่านเรือนเล็กสองสามหลังมุ่งหน้าไปเรือนของซือเชี่ยนเชี่ยน ประตูเรือนของนางปิดแน่น บนประตูใหญ่แปะทวารบาลสององค์ ร่องประตูตรงกลางแปะป้ายยันต์ไม้ต้นท้อเป็นแถว ข้าแกะออกมาดูป้ายหนึ่ง ชาดแดงนี้วาดได้อัปลักษณ์ยิ่งกว่าอักษรของท่านพญายมเสียอีก พลังเวทที่แทบจะไม่มีบนนั้น เกรงว่ากระทั่งผีน้อยก็ไล่ไปไม่ได้

ข้าแปะมันคืนไป ไล้นิ้วมือวาดอักขระไปตามรอยประทับชาด ชาดสีแดงสดเปล่งแสงราวกับพวยพุ่งออกมา แผ่คลุมเรือนหลังน้อยเอาไว้ ทำให้คนในจวนแม่ทัพไม่รู้สึกตัว ทุกคนยังคงอยู่ในความฝัน

หูข้าพลันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ สองเสียง ข้าคุ้นจนไม่อาจคุ้นไปมากกว่านี้ เป็นวิญญาณซึ่งห่วงเล่นไม่ยอมไปเกิดใหม่ของเด็กที่ตายตั้งแต่ยังเยาว์ รั้งอยู่ในโลกมนุษย์จนกลายสภาพเป็นผีน้อย โดยเฉพาะในบ้านของขุนนางเรืองอำนาจเช่นนี้ยิ่งง่ายต่อการให้กำเนิดผีน้อย ทุกปียมบาลจย่าอี่ล้วนต้องจับผีน้อยหลายร้อยตนกลับลงไปเกิดใหม่ พวกเขากระซิบกระซาบก่อเรื่องบนทางน้ำพุเหลืองตลอดทาง บางครั้งตนที่ซนเป็นพิเศษยังมาฉี่อยู่หน้าร่างจริงของข้า เป็นพวกเด็กดื้อด้านกลุ่มหนึ่งโดยแท้

ดูท่าซือเชี่ยนเชี่ยนกับตุ่มหนองหรงคงถูกเด็กดื้อสองสามตนนี้กลั่นแกล้งเอาจนตกใจ

ข้าทะลุกำแพงเข้าไป พริบตาก็เห็นผีน้อยสองตนรีบร้อนหมุนตัวอยู่ในลาน ข้าร่ายเวทเพิ่มไว้บนยันต์หน้าประตูปิดล้อมเรือนหลังนี้เรียบร้อย พวกเขาออกไปไม่ได้ เดิมก็ลนลานอยู่แล้ว ครานี้เห็นข้าจึงยิ่งตกใจเข้าไปอีก เด็กน้อยทั้งสองที่ผอมราวกับหนังหุ้มกระดูกกอดกันกลม ตัวสั่นงันงก

“เดิมข้าไม่ชอบยุ่งเรื่องพรรค์นี้” ข้าพูด “แต่พวกเจ้าสองคนเล่นพิเรนทร์จนให้ร้ายข้าแล้ว”

ทั้งสองแข้งขาอ่อน ล้มนั่งลงบนพื้นด้วยกัน

ข้าหรี่ตามองดูพวกเขาเหมือนกับมองผีน้อยที่มาฉี่รดร่างจริงของข้า ตอนนั้นข้าขู่พวกเขาว่า ‘พวกเจ้าคิดเอาว่าจะตักน้ำมาล้างให้สะอาดเอง หรือว่าอยากให้ต่อไปไม่อาจฉี่ได้อีก’ ผลที่ได้จากการข่มขู่ตอนนั้นดียิ่ง ดังนั้นข้าจึงใช้ประโยคแบบเดียวกันอีก “พวกเจ้าคิดเอาว่าจะไปเกิดใหม่เอง หรือว่าอยากให้ข้าทำให้พวกเจ้าไม่อาจเกิดใหม่ได้อีก”

ผีน้อยทั้งสองรีบหยัดตัวขึ้นมา อาศัยสัญชาตญาณของผีหาทางเข้าปรโลกกลางอากาศแล้วล้มลุกคลุกคลานเข้าไป

ข้าสะบัดมือเบาๆ ลบข่ายอาคมที่ล้อมเรือนนี้ไว้ ขณะกำลังคิดจะสลักว่า ‘ขจัดปีศาจสำเร็จ’ ไว้บนประตู บานประตูพลันถูกผลักเข้ามาโดยแรง ข้ารีบกระโดดถอยไปข้างหลังห่างไปสามจั้ง เห็นเพียงซย่าเฉินในชุดคลุมยาวของราชครูถือกระบี่ไม้ท้อก้าวข้ามประตูเข้ามา

สีหน้าเย็นชาของเขาจับจ้องข้า “เป็นเจ้านี่เอง เจ้าช่างขวัญกล้านัก หลังสังหารคงเฉินต้าซือ* แล้วยังเข้ามาก่อกรรมทำชั่วในเมืองหลวง”

คำพูดแรกที่ราชครูเอ่ยเมื่อเห็นข้าก็คือประโยคนี้ ข้างงงันไปครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าคงเฉินต้าซือที่เขาพูดถึงก็คือพระที่ไล่ตามข้าเก้าปีเต็มๆ รูปนั้น “ผิดแล้ว เป็นเขาที่ตามมาสังหารข้า ตนเองเอาแต่ไล่สังหารจนเหนื่อยตาย ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่ใช่ปีศาจ ยิ่งไม่ได้สังหารผู้ใด”

“เฮอะ! เหลวไหลสิ้นดี!” แขนเสื้อยาวของซย่าเฉินสะบัดคราหนึ่ง อักขระบนกระบี่ไม้ท้อเปล่งแสงน้อยๆ “ไอหยินเข้มข้นบนร่างเจ้าเหมือนกับปราณที่นี่ ยังคิดเล่นลิ้นว่าไม่ใช่คนทำร้ายเจ้าของบ้านนี้อีกหรือ”

ผีน้อยมีพลังเวทน้อยนิด ปราณบนร่างอ่อนจาง จะมีก็แต่ไอหยินเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนทั้งร่างข้าล้วนเป็นไอหยินพอดิบพอดี มิน่าซย่าเฉินถึงเอาปราณของข้ากับผีน้อยไปรวมกัน

ข้าอธิบาย “หากเจ้ามีเวลาลองไปดูที่ทางน้ำพุเหลืองสิ ทุกที่ในนั้นต่างก็มีปราณเช่นนี้”

“บังอาจ!” ซย่าเฉินขมวดคิ้วด่าว่าเสียงเข้มงวด “นางปีศาจกระจ้อยร่อยกล้าพูดจาอวดดี!”

ข้าคิดทบทวนคร่าวๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าประโยคไหนที่เป็นการอวดดี

ซย่าเฉินกลับขมุบขมิบริมฝีปากเริ่มบริกรรมคาถาในตอนนี้

ข้านึกในใจว่านักพรตคนนี้เหมือนกับลาเฒ่าหัวโล้นไม่ผิดเพี้ยน มีความคิดการกระทำไปในทางเดียวกัน ต่างเป็นพวกเผด็จการไม่ฟังคำพูดคนอื่น จิตใจก็ไม่บริสุทธิ์ คำพูดที่ข้าพูดพวกเขาล้วนสามารถตีความสองแง่สองง่ามออกมาได้

หากเมื่อก่อนพบสถานการณ์เช่นนี้ ปกติข้าล้วนจากไป หนีไปเป็นพอ แต่ตอนนี้ข้ากลับหนีไม่ได้ หากหนีไป จะมิใช่บอกว่าข้าร้อนตัวหรอกหรือ

เพิ่งคิดจะอธิบายกับซย่าเฉินดีๆ อีกครั้ง ก็พลันรู้สึกแน่นที่เท้า

ข้าตกใจก้มลงมอง ไม่คาดว่าจะเห็นหัวสือต้าจ้วงโผล่ออกมาจากในดิน ข้าใช้เท้าอีกข้างเหยียบลงไปบนหน้าเขาโดยแรงตามจิตใต้สำนึก “ทำอะไร!”

เขาก็ไม่ร้องโอดครวญ ดึงข้อเท้าของข้าและตะโกนเสียงดัง “ไป!”

“ปีศาจชั่วอย่าคิดหนี!”

“ไม่ๆ!” คำปฏิเสธของข้ายังพูดออกมาไม่จบ สือต้าจ้วงก็ใช้วิชาดำดินลากข้าลงไปใต้พื้น เพียงพริบตาเดียวพอลืมตาอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็กลายเป็นเงาต้นไม้แห้งเหี่ยวแน่นขนัด รอบด้านยังมีหิมะทับถม

สือต้าจ้วงนั่งลงด้านข้าง กุมหน้าอกหอบหายใจ “นับว่าหนีพ้นแล้ว”

ข้าโกรธจนแทบจะเหยียบหน้าเขาฝังหิมะ “เจ้าลากข้าออกมาทำไม!”

เขามองข้าอย่างงุนงง “ซานเซิง นั่นคือซย่าเฉินนะ! คืออัครราชครู! เมื่อกี้เขาเอาจริงแล้ว ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้อย่างไร!”

“เขาเอาจริงก็ไม่ใช่ว่าข้าจะสู้เขาไม่ได้ เจ้าไม่ควรช่วยข้า ข้ายังต้องไปอธิบายเหตุผลกับเขา”

สือต้าจ้วงรีบขวางข้าไว้ “ไม่ได้ๆ เจ้ากลับไปตอนนี้ คนในจวนแม่ทัพต้องตื่นหมดแล้วแน่ พวกเขาจะต้องล้อมเจ้าไว้ ต่อให้เจ้าอยากอธิบายเหตุผลกับพวกเขาก็ยิ่งทำไม่ได้แล้ว”

คำพูดนี้ของสือต้าจ้วงกลับเรียกสติข้า ตอนที่ซย่าเฉินมา ข้าลบข่ายอาคมที่กางไว้ไปแล้ว การมาก่อเรื่องของสือต้าจ้วงต้องทำให้คนในจวนแม่ทัพสะดุ้งตื่นแน่ ถ้ากลับไปอีกพวกเขาคงเตรียมตัวพร้อมรบเรียบร้อยแล้ว หากข้าปรากฏตัวกลางอากาศ ยิ่งเป็นการยืนยันว่าชื่อ ‘ปีศาจสาว’ เป็นความจริง

ข้านั่งลงอย่างรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง อดถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ พอข้าถอนหายใจ สือต้าจ้วงก็ถอนหายใจอยู่ข้างๆ ด้วย

ข้าหันมองเขา “เจ้ากลุ้มอะไรอีก”

“ซย่าเฉินเห็นแล้วว่าเป็นข้าช่วยเจ้า ในใจคงลงบัญชีแค้นไว้อีกกระทงเป็นแน่ ต่อไปไม่รู้จะทรมานข้าอย่างไรอีก”

ได้ยินคำพูดนี้ข้าก็คิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ “เจ้าไปอยู่ในเรือนซือเชี่ยนเชี่ยนได้อย่างไร”

“วันนี้ข้ายังคอยตามซย่าอีเหมือนที่ผ่านมา ข้าเห็นนางเข้าไปในเรือนเจ้า เดิมคิดว่านางไปหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว แต่ตอนอยู่นอกเรือนกลับได้ยินคำพูดพวกนั้นที่นางพูดกับเจ้า” สือต้าจ้วงหน้าขึงขังขึ้นเล็กน้อย ดูเคร่งขรึมต่างไปจากปกติอยู่บ้าง “ต่อมาตอนที่นางออกมาเห็นข้าเข้า ก็พูดว่ารู้อยู่ตลอดว่าข้าคอยตามนาง แต่นางรู้ดีว่าถ้าหากบอกเรื่องที่นางสัมผัสปราณของข้าได้ ข้าจะต้องหนีหายไปอีก ดังนั้นนางจึงแสร้งทำไม่รู้มาตลอด ให้ข้าคอยตามนาง”

สือต้าจ้วงพูดอย่างไร้อารมณ์ แต่ข้าสามารถจินตนาการถึงภาพที่ซย่าอีเดินอยู่ข้างหน้า สือต้าจ้วงเดินตามหลังทุกวันได้ คนหนึ่งกระหยิ่มใจว่าตนเองหลอกคนข้างหน้าได้ อีกคนกลับยินยอมให้เขาหลบหลีกเพียงเพื่อย่นระยะห่างเข้ามาอีกนิดเท่านั้น

ข้าถอนหายใจให้กับแม่นางที่ลุ่มหลงในรัก และการกระทำที่แสนเจ็บปวดถึงเพียงนี้

“นางบอกว่าท่าทางของเจ้าเหมือนคิดจะทำอะไรบางอย่าง ให้ข้าคอยดูเจ้าให้ดี แล้วยังถือโอกาสจัดการรอยตราที่ซย่าเฉินประทับไว้บนแขนข้า ให้ข้าพาเจ้าหนีหากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นตั้งแต่บ่ายถึงตอนนี้ข้าจึงคอยตามดูเจ้าตลอด

ข้าฟังอย่างอึ้งตะลึง

คิดไม่ถึงว่าซย่าอีจะทำใจให้สือต้าจ้วงจากไปได้จริงๆ

ข้าหันไปมองเขา “ต้าจ้วง ดังคำกล่าวว่าเมื่อตกทุกข์ได้ยากจึงรู้ใจตน เจ้าดูสิ ซย่าอียอมเสียสละตนถึงเพียงนี้แล้ว แม่นางที่ดีขนาดนี้ อย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบนางหรือ”

ต้าจ้วงเอ่ยเบาๆ “ข้าถูกพี่ชายนางตามฆ่านะ…”

ข้าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตบบ่าเขา “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจ” ข้าลุกยืน ปัดก้นเบาๆ “นี่คือชานเมืองของเมืองหลวงสินะ ตอนนี้พวกเรากลับกันเถอะ อีกไม่นานโม่ซีก็น่าจะไปประชุมเช้าแล้ว ข้าต้องรีบกลับไป”

ข้าหมุนตัวเตรียมกลับไป สือต้าจ้วงกลับนั่งบนพื้นหิมะไม่ลุกขึ้น

ข้าหันไปดู เห็นเขาจ้องมองพื้นหิมะด้วยสีหน้าสับสนยิ่ง “ซานเซิง เจ้าว่าเจ้าสามารถใช้ทั้งชีวิตไปชอบใครสักคนหรือไม่”

เขาถามถึงตัวเขากับซย่าอี แต่ข้ากลับไม่อาจไม่คิดถึงตัวเองกับโม่ซี ข้าพยักหน้าตอบ “ย่อมสามารถ”

เพราะชีวิตของข้ามีบางจุดที่ต่างกับพวกเขา ก็เหมือนเป็นการหลอกลวงนั่นละ

 

กลับถึงบ้านหลังน้อยของตน ข้าค่อยๆ ผลักประตูห้องตัวเอง พลันได้ยินเสียงเรียกเบาๆ จากในห้องโม่ซี “ซานเซิง?” เขาผลักประตูเปิด คลุมเสื้อตัวในชั้นหนึ่งแล้วเดินออกมา เขามองข้าอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “เจ้าออกไปข้างนอกมา?”

ข้ากลอกตารอบหนึ่ง กำลังคิดเรียบเรียงเหตุผลอยู่ในใจ หิมะในลานสะท้อนจนดวงตาของเขาโปร่งแสง โม่ซีรู้ทุกอากัปกิริยาของข้าเป็นอย่างดี หากวันนี้ข้าโกหกเขา เขาคงรู้ดีแต่จะไม่พูดอะไร แต่พอคิดถึงจุดนี้ข้าก็ไม่อาจโกหกเขาได้อีก

ข้าเอ่ย “ข้าไปจับผีที่จวนแม่ทัพใหญ่” เขาตกตะลึง ข้ากล่าวต่อ “ผีถูกจับแล้ว แต่ต่อมาได้เจอกับอัครราชครู”

โม่ซีรีบเดินขึ้นหน้ามาบีบไหล่ข้าแล้วมองสำรวจทั้งบนล่าง น้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อย “เขาทำร้ายเจ้ารึเปล่า เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

“ไม่เป็นไร เพียงแต่ภายหลังสือต้าจ้วงพาข้าหนีออกมา ข้าไม่อาจล้างมลทินได้ เกรงว่าจะทำให้พวกเขายิ่งเข้าใจผิดมากขึ้น” ข้าถอนหายใจ “โม่ซี ดูท่าคืนนี้ข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนแล้ว”

โม่ซีมองข้าเงียบๆ อยู่นาน กล่าวเสียงต่ำลึก “สำหรับโม่ซี มีเพียงซานเซิงเกิดเรื่องจึงจะเป็นความเดือดร้อนจริงๆ”

ข้าเงยหน้ามองเขา เขาลูบหัวข้าเลียนแบบตอนที่ข้าปลอบโยนเขาสมัยยังเด็ก จากนั้นกอดข้าเข้าไปในอ้อมอกเบาๆ “ข้ารู้ว่าซานเซิงล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อข้าแล้วยินยอมเหยียบย่างเข้าไปในอันตราย ยอมแปดเปื้อนบึงโคลน ความจริงซานเซิงไม่รู้ว่าขอแค่มีเหมยแดงหิมะขาว รวมทั้งมีซานเซิง ชาตินี้โม่ซีก็ไม่เสียใจแล้ว”

ข้าอยากบอกเขา ผู้ที่ไม่มีความเสียใจในชาตินี้คือข้า แต่ข้ากลับพูดประโยคนี้ไม่ออก

ตลอดเวลาที่ได้อยู่กับโม่ซี ข้าล้วนเป็นฝ่ายรุกเข้าหาเสมอ การที่เขาเปลี่ยนเป็นคนรุกเช่นในวันนี้หายากอย่างมาก หน้าอกของเขาเปลี่ยนเป็นกว้างใหญ่พอ ไหล่ก็เปี่ยมพลังพอ ฝ่ามือก็อบอุ่นพอ เขาเติบใหญ่เพียงพอแล้ว พอสำหรับแต่งข้า พอสำหรับปกป้องข้า

แต่ว่า…

ข้ากอดเขาเบาๆ “โม่ซี หากเจ้าสามารถกอดข้าไปตลอดได้คงดียิ่ง”

“ถ้าหากซานเซิงยินยอม ต่อไปโม่ซีก็จะกอดเจ้าบ่อยๆ ดีหรือไม่”

“อื้ม”

 

ก่อนโม่ซีไปประชุมเช้า มีขันทีคนหนึ่งมาถ่ายทอดราชโองการด่วนเรียกตัวโม่ซีเข้าวัง ก่อนตามขันทีจากไป เขาประทับจูบลงบนหน้าผากข้าเบาๆ “ซานเซิง วันนี้อย่าออกไปข้างนอก อ่านนิทานอยู่ในบ้านก็พอ ข้าวางเล่มใหม่ๆ ไว้บนหัวเตียงเจ้า ตอนเย็นกินอะไรง่ายๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องเปลืองสมองทำอาหารมากมายถึงเพียงนั้นทุกวัน”

ข้ายิ้มตาหยี “เช่นนั้น วันนี้ข้าก็ต้มเพียงโจ๊กเปล่าให้เจ้าแล้วกัน”

“ซานเซิงต้มอะไรข้าล้วนกินทั้งนั้น”

ข้าโบกมือส่งเขาจากไป มองเขาเดินห่างออกไปทีละก้าวๆ ตามโคมไฟที่ขันทีถือ ในใจข้าถึงกับรู้สึกทำใจไม่ได้

แต่ว่า…

โม่ซี ข้าเคยเห็นประกายแวววาวในดวงตาเจ้ายามเอ่ยถึงประชาราษฎร์บ้านเมือง ข้ารู้ว่าปณิธานในใจเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ข้าชอบเจ้า ที่อยากมาเกี้ยวเจ้าก็เพราะข้าชอบโม่ซีที่เป็นเช่นนั้น

ข้าไม่ควรกลายเป็นภาระของเจ้า

โม่ซีเดินไปไกลแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงหมุนตัวกลับมาโดยพลัน เห็นข้ายังยืนอยู่หน้าประตูบ้านใต้โคมไฟก็โบกมือกลับมาเป็นสัญญาณให้ข้าเข้าไปในบ้าน

ข้ายิ้มโบกมือให้เขาเหมือนเมื่อสมัยเด็กยามส่งเขาไปสำนักศึกษา จากนั้นจึงปิดประตูเข้าไปในบ้าน

ข้าหันหลังพิงประตู ถอนหายใจเสียงเบา มองไอสีขาวที่ออกมาจากปากลอยวนเป็นวงกลางอากาศหนาวเหน็บ

พูดถึงที่สุดแล้ว สามชาตินี้ก็เป็นเจ้ามอบให้ข้า ใช้ชาติหนึ่งมาปัดป้องเคราะห์ร้ายแทนเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งกว่านั้นชาตินี้ข้ายังเป็นภรรยาเจ้าด้วย สามีอยากทำอะไร ข้าย่อมสนับสนุนเต็มกำลังจึงจะถูก

บทที่สิบ

ใกล้เที่ยง โจ๊กที่ข้าตุ๋นให้โม่ซีได้ที่แล้ว ข้าดับไฟตักมาชิมชามหนึ่ง เพิ่งกินไปคำเดียวพลันได้ยินเสียงประตูบ้านถูกผลักเข้ามาดังปัง อัครราชครูซย่าเฉินที่ท่วงท่าราวกับเทพเซียนก้าวเข้ามาในบ้าน ด้านหลังเขามีเด็กรับใช้สองคนท่าทางดูกังวลอยู่บ้างติดตามมาด้วย

ข้าถือโจ๊กเดินออกไป กลืนของที่อยู่ในปากแล้วเลียมุมปากเอ่ยถาม “ผู้มาย่อมเป็นแขก อยากได้สักชามหรือไม่”

ราวกับไม่คิดว่าข้าจะต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางเป็นปกติถึงเพียงนี้ ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองจึงต่างตะลึงงันไปเล็กน้อย รอบด้านเงียบลงครู่หนึ่ง ซย่าเฉินสะบัดแส้หางม้าในมือ ชี้หน้าข้าพลางว่า “ปีศาจชั่ว! เมื่อคืนเจ้าหนีไปได้ วันนี้ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีกแน่”

ข้าถอนหายใจ “นักพรตกับพระอย่างพวกเจ้าหัวแข็งยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก ข้าไม่ใช่ปีศาจ บอกจนเทพเทวาล้วนเชื่อกันหมดแล้ว พวกเจ้ากลับตีให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อ ความดึงดันนี้ของพวกเจ้า องค์ตรีวิสุทธิเทพ* กับพระพุทธองค์ของพวกเจ้ารู้หรือไม่”

ซย่าเฉินส่งเสียงเยาะ “ไอหยินเต็มร่าง หากไม่ใช่ปีศาจเจ้าลองว่ามาว่าเจ้าเป็นอะไร”

หากข้าบอกว่าข้าเป็นจิตวิญญาณที่แปลงมาจากก้อนหินริมแม่น้ำลืมเลือน เกรงว่าเขาคงพูดว่าข้าเป็นผีร้ายอีก ข้าขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นปีศาจ”

“ใช่หรือไม่ใช่ ทดสอบด้วยเพลิงกสิณl/ ของข้าก็รู้แล้ว”

ข้าคิดแล้วพยักหน้าตกลง “ได้ แต่เจ้าต้องหาที่ที่คนมากหน่อย แล้วเผาข้าบนยกพื้นให้ชาวบ้านมองเห็นกันทั่ว สุดท้ายหากเผาสำเร็จ พิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ใช่ปีศาจ เจ้าต้องใช้ฐานะอัครราชครูของเจ้าประกาศต่อใต้หล้าว่าเจ้าสังหารผิดคน”

เขาถูกคำพูดนี้ของข้าทำเอาตะลึง นิ่งอึ้งไปนานกว่าจะเอ่ย “อย่าได้คิดเล่นเล่ห์เพทุบาย!”

“เฮ้อ เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเจ้าจึงจิตใจไม่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ช่างเถอะๆ ข้าเองก็กำลังรีบเหมือนกัน ก็เอาตอนนี้เถอะ เจ้ารีบพาข้าไปเผาได้แล้ว” ข้าวางชามไว้บนมือเด็กรับใช้คนหนึ่งของเขาง่ายๆ “ช่วยข้าล้างหน่อย ขอบคุณ”

ข้าสาวเท้าเดินออกนอกประตูบ้าน กลับเป็นเขากับพวกเด็กรับใช้ที่อึ้งงันอยู่ข้างใน ข้าขมวดคิ้วอย่างแปลกใจแล้วกลับไปดึงแขนเขา “เหตุใดจึงเหมือนพวกผู้หญิงเช่นนี้ ครั้งก่อนตอนเจ้าร่วมมือกับพระเฒ่าไล่สังหารข้าไม่เห็นลังเลเช่นนี้”

 

ครั้นเดินไปถึงทางเข้าตลาด มีทหารตั้งแท่นยกพื้นคอยท่าไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นนายทหารคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน คล้ายว่าเป็นคนที่ตามซือเชี่ยนเชี่ยนมาหาเรื่องเมื่อวันนั้น ที่นี่คงจะเป็นคนของจวนแม่ทัพทั้งหมด ดูท่าแม่ทัพใหญ่คงคิดจัดการข้าให้ตาย

พวกทหารเห็นข้าดึงราชครูมาถึงที่นี่อย่างไร้บาดแผลก็พลันตกตะลึง ข้าพลิกกายกระโดดขึ้นไปบนแท่นยกพื้น เงาร่างพลิ้วไหวแผ่วเบาจนฝูงชนที่มองอยู่โดยรอบต่างร้องชื่นชม

ข้าใช้เชือกมัดตัวเองไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า กลับเป็นราชครูที่อยู่ด้านล่างโบกมือร้องกล่าว “นี่ พอแล้วๆ!”

อัครราชครูยังไม่ลงมือ เขาขมวดคิ้วมองดูข้า ข้าเองก็สบสายตากลับไปเช่นกัน

ฉับพลันนั้นหญิงแต่งงานแล้วผู้หนึ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านข้าง เป็นหญิงที่มายั่วยุถึงบ้านพร้อมกับซือเชี่ยนเชี่ยนวันนั้น

นางเห็นข้าก็ร้องตะโกนขึ้น “นางนี่แหละ! นางเป็นปีศาจ! นางล่อลวงสติของผู้ช่วยเสนาบดี แล้วยังลงมืออำมหิตกับคุณหนูและแม่ทัพน้อยบ้านข้า จนถึงตอนนี้คุณหนูของข้ากับท่านแม่ทัพน้อยก็ยังไม่ฟื้น ท่านอัครราชครู ท่านจะต้องช่วยพวกเรากำจัดปีศาจตนนี้ จะได้ไม่กลายเป็นเภทภัยในภายภาคหน้า!” นางดึงแขนเสื้อของราชครูไปด้วยร่ำไห้ไปด้วย เสียงคร่ำครวญนี้ฟังแล้วน้ำตาพานจะไหล เจ็บปวดหัวใจ หากว่าคนที่นางชี้หน้าด่าอยู่ไม่ใช่ข้า เกรงว่าข้าคงร่วมเคียดแค้นชิงชังไปกับนางด้วยแล้ว

ดวงตาของซย่าเฉินเย็นเยียบ ดึงแขนเสื้อสลัดนางออกไปแล้วถามข้าเสียงเย็น “มีอะไรจะอธิบายหรือไม่”

ข้าถอนหายใจ “ข้าไม่ใช่ปีศาจจริงๆ”

ไข่ไก่ฟองหนึ่งกระทบถูกชุดกระโปรงของข้า เด็กน้อยในชุดมีราคาทะลวงผ่านกลุ่มคนออกมา ยกมือขึ้นขว้างไข่ใส่ข้าอีกฟอง “เจ้ารังแกพี่สาวข้า! เจ้าเป็นคนชั่ว! เจ้าแย่งคนที่พี่สาวข้าชอบ! ทั้งที่พี่โม่ซีชอบพี่สาวข้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”

เห็นไข่สองฟองบนชุดกระโปรงของข้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ที่กระทบใจข้ายิ่งกว่ากลับเป็นสองประโยคนั้นของเขา ข้าหัวเราะหยัน เพียงขยับปลายนิ้ว เด็กคนนั้นก็ถูกข้ายกลอยไว้กลางอากาศ “เจ้าหนู พี่สาวเจ้าชอบเขา แต่คนที่เขาชอบคือข้า”

เด็กน้อยดิ้นรนอยู่กลางอากาศ เสียงร้องไห้ของหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นยิ่งดังขึ้น ร่ำร้องไม่หยุด “นางปีศาจอย่าได้คิดทำร้ายคุณชายน้อยของบ้านข้า!” ผู้คนรอบด้านต่างส่งเสียงเซ็งแซ่

“เลิกคิดทำร้ายคนได้เลย!” ราชครูส่งเสียงเย็นชา ข้ารู้สึกเพียงเชือกบนร่างกายมัดแน่นขึ้น ปลายนิ้วไร้แรง เด็กน้อยตกลงมาจากกลางอากาศและถูกหญิงแต่งงานแล้วผู้นั้นรับไว้ได้

จากนั้นก็รู้สึกร้อนลวกไปทั้งร่าง เพลิงกองหนึ่งลุกไหม้จากใต้ฝ่าเท้าข้าขึ้นมา

เพลิงกสิณ

มนุษย์ธรรมดาผู้นี้ถึงกับบำเพ็ญเพลิงกสิณได้จริง ไม่ใช่ง่ายเลยจริงๆ

ความจริงข้ากลัวไฟ จิตวิญญาณในปรโลกมีไม่เท่าไรที่ไม่กลัวไฟ เพียงแต่หากต้องการแยกความแตกต่างระหว่างปีศาจกับวิญญาณ การใช้ไฟตรวจสอบเป็นวิธีที่ดีอย่างแท้จริง เพราะปีศาจถูกไฟเผาแล้วจะเหลือลูกกลอนปราณ* ส่วนวิญญาณหรือมนุษย์ หลังจากถูกเผาแล้วจะไม่เหลืออะไรไว้ทั้งนั้น

ข้าหาได้กลัวตาย เพราะไม่ว่าจะพูดจากมุมไหนข้าล้วนไม่มีชีวิตมาตั้งแต่แรก ทางน้ำพุเหลืองและแม่น้ำลืมเลือนคือบ้านเกิดของข้า

เดิมข้าก็มีชีวิตในโลกแห่งความตายอยู่แล้ว

เปลวเพลิงเผาไหม้จนข้าเจ็บปวดไปทั่วร่าง ท่ามกลางสติที่สับสน ข้าคล้ายเห็นสือต้าจ้วงกำลังเกาหัวลนลานอยู่กลางฝูงชน เขาสู้ซย่าเฉินไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดับเพลิงกสิณนี้ได้ เขาเคลื่อนไหวอย่างร้อนใจ แต่กลับดึงดูดความสนใจของซย่าเฉิน

ซย่าเฉินโบกมือคราหนึ่ง ที่ข้างเท้าของสือต้าจ้วงพลันมีไฟสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นทันที สือต้าจ้วงสะดุ้งตกใจ ผู้คนรอบข้างเขาก็วิ่งหนีไปทันทีเช่นกัน ตอนที่ซย่าเฉินจะลงมือซ้ำอีกครั้ง ไม่รู้ซย่าอีโผล่มาจากไหนพุ่งเข้ากอดแขนของซย่าเฉินไว้ “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ท่านปล่อยพวกเขาเถอะ! ปล่อยพวกเขาเถอะ! ต่อไปเสี่ยวอีจะเชื่อฟังท่าน ท่านให้ข้าแต่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น! ข้าล้วนฟังท่าน!”

ซย่าเฉินสะบัดนางออกไป “เหลวไหล! ยังไม่กลับไปอีก!”

ซย่าอีพุ่งเข้าไปคว้าซย่าเฉินอีกครั้ง ในมือไม่รู้ทำมุทระคาถาไหนถึงสามารถควบคุมซย่าเฉินได้พริบตาหนึ่ง นางร้องตะโกน “ยังไม่หนีอีก!”

สือต้าจ้วงกัดฟัน ดำดินหนีลงไปไม่เห็นแม้แต่เงา

ช่างเป็นฉากที่ขมขื่นเหลือเกินจริงๆ…

และขณะที่อยู่ระหว่างละครฉากนี้ สัมผัสทั้งห้าของข้าก็ค่อยๆ ลอยจากไป ใบหน้าของผู้คนเบื้องล่างกลายเป็นเลือนราง เสียงจอแจสับสนกลายเป็นเสียงหึ่งๆ ข้างหูข้า

ข้าเงยหน้าเห็นคนคุ้นเคย พวกเขาอยู่กลางอากาศกำลังมองข้าถูกเปลวเพลิงร้อนลวกห่อหุ้ม ข้าคิดจะทักทายพวกเขา แต่กลับเจ็บปวดจนไม่อาจขยับไหว

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ความปวดร้อนจากเพลิงบนร่างข้าค่อยๆ เบาบางลง พอเฮยไป๋อู๋ฉางกวักมือข้าก็ไปถึงข้างกายพวกเขาแล้ว ร่างกายพลิ้วเบาอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน

“ฮ่าๆ!” เฮยอู๋ฉางตบบ่าข้าหัวเราะเสียงดัง “เห็นวิธีตายมาตั้งมากปานนี้ ซานเซิง สารรูปอาบเพลิงของเจ้าทำพวกข้าพี่ชายทั้งสองตะลึงไปหลายรอบเลยเชียว”

ใบหน้าของเขาแสดงอาการชื่นชมถึงเพียงนี้ ทำเอาข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่ประสานมือกล่าวเกรงใจไปสองสามประโยค ครั้นหันมองลงไป ฝูงชนโดยรอบกับหญิงแต่งงานแล้วคนนั้นต่างเปรมปรีดิ์เป็นที่ยิ่ง พากันโห่ร้องเรียกชื่ออัครราชครู มีเพียงซย่าอีที่หน้าซีดขาวทรุดนั่งลงกับพื้น

ส่วนราชครูผู้นั้นกลับเดินขึ้นมาบนยกพื้นเพียงลำพัง สอดส่ายสองตาไปทั่วกองขี้เถ้ารอบหนึ่ง ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวซีด

เฮยอู๋ฉางเรียกข้า “ไปเถอะ กลับไปเล่าให้พี่ชายทั้งสองฟังว่าชาตินี้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ช้าก่อน พวกท่านรอข้าที่นี่สักครู่หนึ่ง ข้า…ข้ามีบางเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ”

พวกเขาสองคนสบสายตากัน ไป๋อู๋ฉางกล่าวว่า “เทพสงคราม?”

ข้าพยักหน้า

“รีบกลับมาล่ะ”

 

ปราณมังกรของวังหลวงยังคงยิ่งใหญ่เช่นเคย ดีที่ตอนนี้ข้ากลายเป็นร่างวิญญาณแล้ว เข้าไปได้ง่ายกว่าเดิมมาก

ยามที่ข้าเห็นโม่ซี เขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือเผชิญหน้ากับฮ่องเต้

เขาโค้งกายลงเอ่ย “ขอฝ่าบาททรงคุ้มครองความปลอดภัยของภรรยากระหม่อมด้วย”

ฮ่องเต้จิบชาคำหนึ่งกล่าวว่า “สตรี ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงสตรี”

“ฝ่าบาท ซานเซิงยังเป็นจิตวิญญาณของกระหม่อมด้วย”

ใจข้าไหวกระเพื่อม ความอบอุ่นทะลักล้นออกมา ข้าพลิ้วกายลงข้างเขาแล้วโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง “โม่ซี ได้พบเจ้าเป็นโชคดีของซานเซิง”

โม่ซีชะงักร่างไปเล็กน้อย เขาค่อยๆ หันหน้ามาด้านหลัง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เห็นข้า แต่ไม่รู้เหตุใดจึงดูตะลึงงันอยู่บ้าง

ฮ่องเต้ที่หลังโต๊ะหนังสือวางถ้วยชาลง เอ่ยปากอีกครั้ง “เมื่อคืนอัครราชครูส่งฎีกาด่วนขอเข้าเฝ้า เขาบอกข้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพใหญ่ระยะนี้เป็นการกระทำของภรรยาคนนั้นของเจ้าจริงๆ ราชครูไม่มีทางมองผิด เจ้าเก่งกาจปราดเปรื่อง วันหน้าต้องดำรงตำแหน่งสำคัญเพื่อเรา หากถูกพวกขุนนางวิพากษ์วิจารณ์เกรงว่าจะไม่เหมาะ อย่าข้องเกี่ยวกับปีศาจพวกนั้นอีกเลย…”

“ซานเซิงหาใช่ปีศาจ” โม่ซีเงยหน้ามองฮ่องเต้

ขันทีข้างกายฮ่องเต้พลันตวาดเสียงสูง “บังอาจ!”

ฮ่องเต้โบกมือน้อยๆ “เมื่อคืนข้าสั่งลงไปแล้ว ให้อัครราชครูจับปีศาจมากำจัดที่ทางเข้าตลาดด้วยตัวเองในวันนี้…”

โม่ซีราวกับถูกแรงอะไรบางอย่างผลัก เขาถอยหลังก้าวหนึ่งโดยพลัน ไม่รอให้ฮ่องเต้พูดจบก็หมุนกายอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงเข้มงวดดุดันของฮ่องเต้ เขาเดินตะบึงทะลุผ่านร่างข้าออกจากตำหนักใหญ่ จากนั้นฝีเท้ายิ่งเร็วขึ้นทุกที ยิ่งมายิ่งเร็ว สุดท้ายกลายเป็นวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางในพระราชวังอันสง่างาม

เขาวิ่งเร็วถึงเพียงนั้น ราวกับแค้นที่ไม่อาจบินได้ก็ไม่ปาน

ข้าตามเขามาตลอดทาง

เขาทะยานไปทางเข้าตลาด ยิ่งเดินใกล้เข้าไปก็ยิ่งเห็นคนมากมาย ใบหน้าเขายิ่งขาวซีด ฝีเท้าซวนเซมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าแทบจะเดินไม่ไหวหายใจไม่ออกแล้ว

ในที่สุดก็มาถึงที่ที่ซย่าเฉินเผาข้าตาย ในเวลาเดียวกันซย่าเฉินกำลังยืนอยู่บนแท่นยกพื้น มือกำผงขี้เถ้าขาว สีหน้าเคร่งขรึมทว่าอึมครึมเอ่ยว่า “ข้าขอใช้ชื่ออัครราชครูล้างมลทินให้ซานเซิง หญิงผู้นี้ นางหาใช่ปีศาจ”

ฝูงชนเงียบโดยพลัน

ยามนั้นสำหรับข้า เสียงอึงอลทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนนิ่งเงียบ ข้าเห็นเพียงแค่โม่ซีดวงตาว่างเปล่า ถอยหลังไปสองก้าว

ข้าคิดจะเข้าไปพยุงแต่มือกลับทะลุผ่านร่างของเขา

ข้าถอนหายใจคราหนึ่ง

“ซานเซิง…” เขาเรียกชื่อข้าอย่างแผ่วเบา แฝงด้วยความปวดร้าวที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้

ข้าขานตอบ “อื้ม” แต่กลับเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงของข้าแล้ว มองไม่เห็นร่างข้าแล้ว

“ซานเซิง”

“ข้าอยู่นี่”

ทว่าในสายตาเขา ข้าไม่อยู่แล้ว

ชีวิตนี้ของโม่ซี ซานเซิงไม่อยู่แล้ว

เขามองเถ้าขาวที่ปลิวอยู่ในมืออัครราชครูบนยกพื้น ขยับเท้าก้าวตามส่วนที่ลอยไปสองก้าวอย่างเลื่อนลอย แล้วยื่นฝ่ามือว่างเปล่ารับขี้เถ้าที่ตกลงมาตามลม ข้าก้าวเข้าไปเบื้องหน้าเขาอย่างอดไม่อยู่ กุมมือของเขาไว้เบาๆ ผงขี้เถ้าตกผ่านมือที่โปร่งแสงของข้าลงมาบนฝ่ามือเขา ราวกับมันยังคงมีอุณหภูมิของเปลวเพลิง แผดเผาจนเขาร้าวราน ปลายนิ้วของโม่ซีสั่นเทา ทั้งร่างเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง

ผงเถ้าขาวซ่านกระจายลงมาดั่งหิมะ ปกคลุมลงบนไหล่โม่ซี เขากำหมัดแน่นวางแนบกับอก ก้มหน้าลงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่คือชั่วชีวิตที่เจ้าพูดถึงหรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ข้าไม่อาจคำนวณได้ “นี่น่ะหรือชั่วชีวิต”

ร่างเขาส่ายโอนราวกับยืนไม่มั่น “เจ้าโกหกข้า ซานเซิง…เจ้าโกหกข้า…”

โม่ซีล้มลงไปบนพื้นตรงๆ เหมือนกับหุ่นไล่กา ราวกับถูกชิงเรี่ยวแรงทั้งหมดไปอย่างไรอย่างนั้น ฝุ่นผงบนพื้นลอยตลบ หมุนวนผสมไปกับเถ้าที่ลอยอยู่ทั่วแล้วร่วงลงมาคล้ายกับว่าต้องการฝังเขาเอาไว้

ข้าก้มตัวลงคิดจะพยุงเขา แต่ไป๋อู๋ฉางกลับเอ่ยเสียงเย็นอยู่ด้านหลังข้า “ควรไปได้แล้ว”

ข้ามองดูโม่ซี สลักรูปร่างหน้าตาสุดท้ายของเขาในชาตินี้ที่ข้าสามารถมองเห็นได้ไว้ในใจเงียบๆ

“ไปเถอะ” ข้าหมุนกายก้าวเข้าไปบนทางน้ำพุเหลือง “พวกเราเดินช้าหน่อยเถอะ”

ให้ข้าได้ละโมบสูดอากาศในโลกเดียวกับเขาอีกสักคำ แม้จะแค่ชั่วขณะเดียวก็ตาม

 

พริบตาที่เหยียบเข้าสู่ปรโลก หลังคอของข้าก็อุ่นร้อนขึ้นมาน้อยๆ เป็นตราทั้งสามที่ท่านพญายมมอบให้ข้าเมื่อหายไปดวงหนึ่ง หมายความว่าสามชาติที่โม่ซีรับปากข้าจบลงแล้วหนึ่งชาติ

หลังกลับมาปรโลก ข้าไม่ชอบเดินเล่นข้างแม่น้ำลืมเลือนตามลำพังอีก เพราะไม่ว่าจะเดินอย่างไรก็มีเพียงคนเดียว ทุกวันข้านั่งข้างก้อนหินรอโม่ซีกลับเข้าสู่สังสารวัฏอีกครั้ง จากนั้นข้าก็จะไปโลกมนุษย์เผชิญคราวเคราะห์พร้อมกับเขา

เวลาในปรโลกมักผ่านไปเร็ว

ระหว่างนั้นข้าได้พบซย่าอี นางคล้ายว่าผ่านเวลาในโลกมนุษย์มาไม่ค่อยดี เพียงยิ้มให้ข้าเล็กน้อยก็ไปเกิดใหม่แล้ว ข้าถึงขนาดไม่ทันได้ถามสักประโยคว่าต่อมานางกับสือต้าจ้วงเป็นอย่างไร

ข้ารออีกพักใหญ่ ตอนที่เห็นเงาคนที่พอนับว่าคุ้นเคยอีกคนหนึ่ง ข้าถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์ผ่านไปแล้วหลายสิบปี

ข้ายิ้มมองเขา เขาเองก็มองเห็นข้าและตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้า?”

“ซย่าเฉิน ไม่เจอกันนาน หน้าตาเจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไร”

เขากลับไม่สนใจคำหยอกของข้า ขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดยังไม่เข้าสังสารวัฏ”

“ข้ารอคน”

คำพูดนี้ของข้าพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทว่ากลับทำให้เขาตะลึงไปอีกครั้ง นิ่งเงียบไปนานถึงถอนใจกล่าว “เป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าต้องพรากจากกันคนละโลก…”

ข้าโบกมือ ขณะกำลังจะบอกว่าทั้งหมดเป็นด่านเคราะห์ที่ฟ้ากำหนดไว้ เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้ารอเขาในปรโลกชั่วชีวิต ส่วนเขาใช้ทั้งชีวิตเฝ้าระลึกถึงเจ้า เป็นความผิดของข้า ข้าทำลายบุพเพในชาตินี้ของพวกเจ้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยปากอย่างแน่วแน่ “ด้วยผลของกรรมแห่งสังสารวัฏ ชาตินี้ข้าติดค้างพวกเจ้า ชาติหน้าจะต้องชดเชยมันให้ได้”

“ไม่ต้องๆ” ข้ารีบกล่าว “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับโม่ซี ไม่จำเป็นต้องดึงคนนอกเช่นเจ้าเข้ามาด้วย”

เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเยื้องกรายจากไป

ข้าคิดว่านี่เพราะมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นาน จึงไม่อาจเลี่ยงนิสัยเสียที่ใช้มุมมองตัวเองไปคาดคะเนและกำหนดความคิดของผู้อื่น

ต่อให้ชาตินี้เขาเป็นราชครูที่มีวิชาเต๋าแก่กล้า แต่พอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงท้อง ข้ามสะพานอนิจจัง และกระโดดลงบ่อเวียนว่ายตายเกิดไปแล้วก็จะลืมเรื่องราวในอดีตจนหมดสิ้น

ไม่อาจชดเชยความผิดในชาติก่อนได้ตลอดไป

หลังซย่าเฉินไปเกิดใหม่ ข้าใคร่ครวญว่าโม่ซีเองก็น่าจะใกล้มาปรโลกแล้ว ดังนั้นทุกวันจึงส่องดูเงาในแม่น้ำลืมเลือนพลางหวีผมแต่งตัว ดูแลตัวเองให้สะอาดสะอ้านจนแทบจะไม่เข้ากับปรโลกอันทึบทึม ยามไร้เรื่องราวก็จะเลียนแบบพวกมนุษย์ หยิบกิ่งไม้มาวาดวนไปมาอยู่ใต้ก้อนหิน ปากพึมพำว่า “โม่ซีรีบลงมาๆ”

อาจเพราะความจริงใจของข้าทำให้สวรรค์ซาบซึ้งในที่สุด วันนั้นข้าแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว ขณะกำลังจัดท่าทางบนก้อนหิน โม่ซีก็ย่ำผ่านดอกปี่อั้นบนทางน้ำพุเหลือง ก้าวพรวดๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามา

ใช่แล้ว เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ขณะที่ข้ายังตะลึงงัน ลูกไฟสว่างแวววาวคละเคล้าความร้อนกระทบถูกข้างเท้าข้า ข้าสะดุ้งรีบร้อนกระโดดหลบ

เหล่าวิญญาณและพวกยมบาลที่ชมความครึกครื้นอยู่รอบด้าน ครั้นเห็นไฟก็พากันสลายตัวไปทันที

ข้ามองโม่ซีอย่างไม่เข้าใจ ลักษณะหน้าตาของเขาในตอนนี้เหมือนกับเมื่อแรกที่ข้าได้พบไม่มีผิดเพี้ยน…รูปลักษณ์แห่งเทพสวรรค์

เพียงแต่เทพสวรรค์องค์นี้โกรธเกรี้ยวมาจากที่ใดไม่มีใครรู้จริงๆ

ในใจข้ารู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เฝ้ารอคอยให้เขามาตั้งนานขนาดนี้ พอพบหน้ายังไม่ทันเอ่ยอะไรเขาก็ลงมือกับข้าแล้ว ทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ ทำร้ายจิตใจข้า!

เขาโน้มตัวลงมา ที่กระทำคือจะจับยึดข้อมือของข้า ข้าปกป้องจุดตายเบี่ยงหลบออกไปด้านข้าง รอดพ้นกรงเล็บของเขาอย่างฉิวเฉียด

เขาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ครานี้รู้จักหลบรู้จักกลัวแล้วหรือ เหตุใดเจ้าไม่ปล่อยให้ข้าจับให้ข้าเผาเล่า รู้ว่าชีวิตนี้ของตนไม่ใช่ได้มาง่ายๆ จึงทำใจทิ้งไปไม่ได้แล้วหรือ”

ข้าขบคิดความหมายในคำพูดนี้ของเขาอยู่ครู่หนึ่ง “โม่ซี ท่านกำลังโกรธข้าหรือ”

“โกรธ?” เขาส่งเสียงฮึ “ข้าจะโกรธได้อย่างไร เจ้าปกป้องข้า ทั้งใช้ตนเป็นเกราะขวางกั้นเภทภัยแทนข้า ข้ายังขอบคุณเจ้าแทบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าโกรธ”

ข้าอ้าปากคิดจะบอกว่าข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร จากนั้นก็จิ้มนิ้วใส่คำพูดและการกระทำที่ไม่เข้ากันนี้ของเขา แต่เมื่อเห็นเพลิงโกรธกลางหว่างคิ้วของเขา ข้าปิดปากทนเอาไว้จะดีกว่า ความอดสูน้อยใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น

โม่ซีเห็นท่าทางได้รับความอยุติธรรมของข้าที่มองเขาด้วยน้ำตาคลอหน่วย สีหน้าเขาก็แข็งค้าง เอ่ยเสียงกระด้าง “ไม่อนุญาตให้ร้องไห้”

ข้ายังคงน้ำตาคลอมองเขา

เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นตุบๆ เขากุมหน้าผากอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว “ช่างเถอะ” สายตาเขาอ่อนโยนลง ยื่นมือมาตบหัวข้าเบาๆ ยิ้มอย่างอ่อนใจพลางว่า “พูดถึงที่สุดแล้ว ความจริงเป็นความผิดของข้า…” ที่ตามมาคือสีหน้าอึมครึม “เหตุใดไอหยินบนร่างเจ้าจึงเข้มข้นเพียงนี้”

ข้าปิดหน้าเขินอาย “เพราะคิดว่าท่านใกล้จะมาแล้ว ดังนั้นข้าเลยใช้น้ำในแม่น้ำหวีผมล้างหน้าทุกวัน ท่านเห็นหน้าตาตอนนี้ของข้าแล้วชอบหรือไม่”

โม่ซีเงียบไปครู่ใหญ่

ข้าเอ่ย “ทุกวันข้าล้วนเก็บของเตรียมไว้อย่างดี รอท่านลงมา โม่ซี ท่านจะไปเกิดใหม่ตอนไหน ข้าจะไปกับท่านด้วย”

เขาขมวดคิ้ว “ไปด้วย?”

“แน่นอน”

เขาพลิกข้อมือ ตราทองดวงหนึ่งแนบลงบนร่างข้า “ภายในห้าสิบปีมนุษย์ เจ้าไม่อาจออกจากปรโลกได้”

ข้าตกใจ “เพราะเหตุใด! ท่านเคยบอกว่าอนุญาตให้ข้าใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้สามชาติ”

“ไม่ผิด แต่ว่าให้เจ้าไปหลังจากห้าสิบปีแล้วเท่านั้น”

“แต่ท่านก็ตกลงให้ข้าเกี้ยวแล้ว”

“อีกห้าสิบปีเจ้าค่อยไปเกี้ยว”

“แต่ถึงตอนนั้นท่านก็กลายเป็นผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่งแล้ว หลังจากข้าหาท่านเจอ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับท่านก็จะน้อยลงมาก!”

“เช่นนั้นก็อย่าหาเลย”

พูดจบเขาก็สาวเท้าข้ามสะพานอนิจจังไป ข้าโมโหจนคว้าโคลนกำมือหนึ่งขว้างใส่หลังหัวเขา

เขาหันหลังให้ข้า ข้าไม่รู้ว่าเขามีสีหน้าอย่างไร เห็นก็แต่ยายเมิ่งพลันคุกเข่าลง โขกศีรษะพลางกล่าวอย่างนบนอบ “ท่านเทพโปรดอภัยให้ด้วย”

ข้าถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ในยามนี้ ดินโคลนบนทางน้ำพุเหลืองในแดนปรโลกถูกวิญญาณนับหมื่นเหยียบย่ำ เป็นของที่สกปรกอย่างยิ่งในสามภพนี้ ข้าขว้างโคลนนี้ใส่หัวเขา สำหรับท่านเทพบนสวรรค์แล้วเป็นการเหยียดหยามอย่างรุนแรง

เขาผินหน้าด้านข้างมา น้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “ข้าไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นด่านเคราะห์ของข้า”

คำพูดนี้ไม่รู้มาอย่างไร ข้าไม่อาจเข้าใจได้ชั่วขณะ เห็นเพียงเขาดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้วเข้าสู่สังสารวัฏไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

เขาต้องรังเกียจที่ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไม่อยากอยู่กับข้าอีกแล้วแน่ๆ พอคิดเช่นนี้ข้าพลันรู้สึกปวดใจไร้ได้เปรียบ หันหัวกลับเข้าไปในหิน สะอื้นไห้เต็มที่รอบหนึ่ง

หากคนอื่นรังแกข้า ข้าจะต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า แต่ว่าโม่ซีรังแกข้า…เขารังแกข้า ข้าทำได้แค่ปล่อยให้เขารังแก จะตีก็ไม่ชนะ จะปล่อยไปก็ไม่ได้

ไม่รู้ร้องไห้ไปนานเท่าใด นอกหินมีเสียงร้องเรียกเข้ามา “แม่นางซานเซิง อ๋า ท่านยายซานเซิงของข้า อย่าร้องเลยๆ”

ข้าโผล่หัวออกมาจากก้อนหิน ดวงตาบวมแดงมองผู้มา “เจ้าจย่า มีอะไร”

ยมบาลจย่ากุมหน้าผากส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ย “สองสามวันนี้น้ำที่ไหลออกมาจากก้อนหินท่านทำให้แม่น้ำลืมเลือนสูงขึ้นอีกหลายส่วนแล้ว ก้อนหินก้อนหนึ่งร้องไห้จนเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องจริงๆ วิญญาณสรรพชีวิตที่ข้ามสะพานอนิจจังล้วนถูกทำเอาตกใจจนขวัญแทบบินหายกันหมดแล้ว ท่านพญายมจึงให้ข้ามาเรียกท่านเป็นพิเศษ อยากจะปรับอารมณ์จิตใจของท่าน”

ข้าพยักหน้าน้อยๆ เดินซึมเซาตามเจ้าจย่าไปตำหนักพญายม

ท่านพญายมคนนี้รูปร่างผอมบางแต่กลับเป็นจอมตะกละผู้หนึ่ง ตอนที่เห็นท่านพญายม เขากำลังอ้าปากกัดขาหมูอย่างสำราญใจ

ข้าพยักหน้าให้เขา “ท่านพญายม”

“อ้อ ซานเซิงมาแล้ว” เขากวักมือ ยมบาลด้านข้างส่งขาหมูมาให้ข้าน่องหนึ่ง น้ำมันเยิ้มจนข้าพะอืดพะอมจึงโบกมือให้เขาเอากลับไป

ท่านพญายมมองข้าแล้วพูด “ได้ยินว่าสองสามวันมานี้เจ้าร่ำไห้โศกเศร้าเพราะท่านเทพโม่ซี”

พอได้ยินชื่อโม่ซี ข้าก็แสบจมูก ท่าทางน้ำตาจะหยดอีกรอบ

“อย่าๆๆ!” เขาเอ่ยหยุดข้าไม่ขาดปาก “วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อช่วยแก้ปมหัวใจนี้แทนเจ้า หากเจ้าร้องต่อไปอีก เกรงว่าน้ำในแม่น้ำลืมเลือนคงได้ท่วมเข้าจริงๆ แล้ว”

ท่านพญายมเช็ดปากกล่าวว่า “ซานเซิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านเทพโม่ซีลงมาจุติครั้งนี้เพื่อเผชิญด่านเคราะห์สามด่านไหน”

ข้าส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้

“พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบสิ่งที่ชัง ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง ด่านเคราะห์ทั้งสามก็คือทุกข์สามประการในทุกข์ทั้งแปด* ด่านเคราะห์ชาติที่แล้วของท่านเทพคือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เขียนไว้ในบันทึกชะตาของเทพดาราซือมิ่ง** คือท่านเทพโม่ซีกับซือเชี่ยนเชี่ยนบุตรสาวแม่ทัพใหญ่รักใคร่ชอบพอกัน ทว่าเพราะขัดผลประโยชน์จึงต้องพลัดพรากจากกันชั่วชีวิต นี่คือทุกข์แห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก แต่ชะตาของเขากลับถูกก่อกวนเพราะการปรากฏตัวของเจ้า เดิมเขาต้องเดียวดายชั่วชีวิต แต่เพราะได้พบกับเจ้า ได้อยู่กับเจ้านานหลายปีจนบ่มเพาะความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว เจ้าต้องการยับยั้งเคราะห์ของเขา ใช้ความตายปูทางที่ราบเรียบเบื้องหน้าให้เขา เขาต้องจากกับเจ้าเพราะความตายก็เป็นทุกข์แห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเช่นกัน เจ้าจึงนับว่ากลายเป็นด่านเคราะห์ของเขาไปโดยปริยาย”

ท่านพญายมหยุดไปครู่หนึ่งค่อยถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยเห็นท่านเทพโม่ซีในโลกมนุษย์จากกระจกอดีตชาติ จุ๊ๆ คนที่เดิมนิ่งเฉยโอนอ่อนคนหนึ่ง ทว่าเพื่อเจ้ากลับลงมือเหี้ยมเกรียมบีบให้ฮ่องเต้สั่งประหารจวนแม่ทัพใหญ่เก้าชั่วโคตร เขาคงมีใจต่อเจ้าอย่างลึกซึ้งจึงไม่แต่งภรรยาตลอดชีวิต หลังกลับมาปรโลกและจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้แล้ว ว่าตามเหตุผล เขาซึ่งเป็นท่านเทพบนสวรรค์ที่จิตใจสงบไร้ความทะยานอยาก เดิมไม่ควรยึดติดกับอดีต แต่เขากลับแสดงท่าทีดุจเดิมต่อเจ้า อืม…เห็นได้ว่ายังหลงเหลือเยื่อใย ตอนนี้ท่านเทพขังเจ้าให้อยู่ในปรโลกห้าสิบปีมนุษย์ ก็เพราะคิดเลี่ยงช่วงเวลาที่เจ้าไปโลกมนุษย์เท่านั้น เขาไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นด่านเคราะห์ของเขาอีก”

ท่านพญายมกล่าว “เขากำลังปกป้องเจ้า”

ข้าฟังจนอึ้งตะลึง

“พวกเทพเซียนบนสวรรค์ส่วนมากล้วนดูถูกพวกเราชาวปรโลก ซานเซิงเจ้าต้องทำให้ดี เกี้ยวท่านเทพโม่ซีผู้นี้ให้อยู่หมัด เพื่อพวกเราชาวปรโลก…ฮ่าๆๆๆ เจ้าเข้าใจนะ!”

เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของท่านพญายมกลายเป็นห่างไกลสำหรับข้า ในสมองข้ามีเพียงประโยคเดียวที่ลอยกระเพื่อมไปมา

‘เขากำลังปกป้องเจ้า!’

ประสบสิ่งที่ชัง

 บทที่สิบเอ็ด

 

ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีช่วงเวลาห้าสิบปีที่เรียกว่า ‘ทุกข์ทนถึงเพียงนี้’ ด้วย

ในที่สุดหลังจากครบการจองจำนี้ ข้าจึงบอกลาท่านพญายมแล้วไปเกิดใหม่

ข้าใคร่ครวญว่าถ้าชาตินี้ไม่ไปหาโม่ซี แล้วครั้งหน้าหลังจากเขากลับมาปรโลกเข้าสังสารวัฏ หากประทับตราห้าสิบปีให้ข้าอีกจะทำอย่างไรดี เอาเป็นว่าทำตามที่เขาต้องการ ไปตามเกี้ยวเขาที่แก่หง่อมแล้วนี่ละ ได้ยินว่าผู้ชายช่วงอายุนี้จะออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย มีกิจการ มีครอบครัวแล้ว ที่ควรเสพสุขก็เสพผ่านมาแล้ว ในชีวิตขาดก็แต่ความเร้าใจเท่านั้น

ข้าไปกระตุ้นเร้าเขาเบาๆ สักครั้ง ย่อมไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกี้ยวอะไรแล้ว

ข้าเพ้อฝันอย่างสวยงาม แต่ทุกเรื่องย่อมมีเหตุเหนือคาดหมาย

ช่วงเวลาร้อยปีที่ข้าอยู่ในปรโลก ไอหยินบนร่างข้าเทียบกับครั้งแรกที่มาโลกมนุษย์แล้วไม่ได้เบาบางกว่ากันเท่าไร อีกทั้งข้าเพิ่งมา ไอหยินจึงยิ่งสดใหม่ ไม่ทันไรก็ดึงดูดพวกนักพรตน้อยกลุ่มหนึ่งมาห้อมล้อมราวกับเนื้อเน่าล่อแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น

ช่างเป็นยุคสมัยที่วิชาเต๋าเจริญรุ่งเรืองและนักพรตชื่นชอบการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรมเหลือเกินจริงๆ อายุของนักพรตน้อยพวกนี้เอามารวมกันแล้วเพิ่มอีกสิบเท่าเกรงว่าก็ยังน้อยกว่าข้าอยู่สองสามปี ท่าทางพวกเขาสุขุมลุ่มลึก ข้าไม่ถนัดต่อกรกับเด็กที่เอาจริงเอาจังเช่นนี้ที่สุด จึงเลียนอย่างน้ำเสียงของท่านพญายมข่มขู่พวกเขา

“เจ้าพวกสารเลวไสหัวไป ไม่เช่นนั้นข้าจะตุ๋นพวกเจ้ากินให้สิ้น!”

“ปีศาจชั่วขวัญกล้าบังอาจพ่นวาจาเหลวไหล!” เด็กคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าชี้กระบี่ใส่ข้าพลางกล่าว “วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้ามอดไหม้จนหมดสิ้นให้จงได้!”

ข้าเลิกคิ้วมองเด็กคนนั้น อายุยังน้อยแต่จิตสังหารรุนแรงเพียงนี้ คงไม่ได้รับการสั่งสอนมาดีเท่าไรเป็นแน่ ข้าส่ายหัว ถอนหายใจพลางบ่นว่าอาจารย์เขารอบหนึ่ง ขณะกำลังคิดจะหลบหนีพลันมีเสียงร้องใสของหญิงนางหนึ่งดังมาจากไกลๆ

“ฉางอู่รีบถอยมา” คนผู้นั้นสวมใส่ชุดขาว แถบผ้าพลิ้วลอยละล่อง ดูราวกับเทพธิดาเยื้องกรายเข้ามา

ข้ามองอย่างยกย่อง ไม่คิดเลยว่าโลกธรรมดาๆ นี้ถึงกับสามารถบ่มเพาะมนุษย์ที่อรชรบอบบางถึงเพียงนี้ออกมาได้ แต่ข้ายังไม่ทันชื่นชมเสร็จ นางพลันปล่อยแถบผ้าขาวเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาตามลมมัดข้าไว้แน่น

ข้าดิ้นอยู่ครู่หนึ่งจึงพบว่าวัตถุดิบที่ใช้ดีจนพาให้ประหลาดใจ

พวกเด็กๆ รอบด้านล้วนคุกเข่าลงขานเรียกหญิงผู้นั้น “อาจารย์ย่า”

อาจารย์ย่า?

หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เรียกพวกเขาลุกขึ้น แล้วจึงเดินมาข้างหน้าพินิจมองข้ารอบหนึ่ง “ช่างเป็นปีศาจที่งดงามจริงๆ”

ข้ายิ้ม “เจ้าก็เป็นนักพรตหญิงที่งดงามเช่นกัน”

นางยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “แม้ข้าจะมองร่างเดิมเจ้าไม่ออก แต่ถูกผ้าผูกวิญญาณของข้ามัดไว้ ต่อให้เจ้ามีความสามารถมากมายเพียงใดก็หนีไม่รอด”

ข้าลอบประลองกับผ้าอะไรสักอย่างนี่ดูแล้ว รู้สึกว่าข้าไม่ได้มีความสามารถเลิศล้ำ และของสิ่งนี้ก็ใช้มัดได้ดีจริงๆ แต่หากต้องสู้กันขึ้นมามันคงมัดข้าไว้ไม่อยู่ คำพูดของแม่นางคนนี้ออกจะขาดประสบการณ์เกินไปหน่อย

“พานางกลับเขาหลิวโป มอบให้ผู้อาวุโสจัดการ” นางออกคำสั่งกับพวกเด็กๆ “ได้ยินว่าทางตะวันตกร้อยลี้จากที่นี่มีปีศาจตนหนึ่ง ข้าจะไปกำจัดมัน ไม่กลับไปพร้อมกับพวกเจ้า ปีศาจตนนี้แม้ถูกข้ามัดไว้แล้ว แต่ข้าไม่อาจคาดเดาพลังปีศาจของนาง ต้องคอยระวังให้ดี อย่าให้นางมีโอกาสหนีรอดไปได้”

เหล่าเด็กน้อยเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

ข้าไตร่ตรองดู ตอนนี้ข้าเพิ่งมาถึงโลกนี้ จะหาโม่ซีก็ไม่มีเบาะแสอะไร ไม่สู้ร่วมทางไปกับพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีนักพรตอื่นมารบกวน ยังสามารถถือโอกาสสืบหาข่าวคราวของโม่ซีได้ด้วย

ไม่ใช่การค้าขายขาดทุน

เหล่าเด็กแก่แดดที่เคร่งขรึม ‘กุมตัว’ ข้าเดินทาง เห็นท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา ข้ามักเอาไปเปรียบเทียบกับโม่ซีในชาติที่แล้ว ในหมู่พวกเขามีเพียงคนเดียวที่พอมีคุณธรรมอยู่บ้าง เขามีฉายาเต๋าว่าฉางอัน เป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยขี้อายไม่ชอบพูดคนหนึ่ง

ลักษณะของเขาคล้ายคลึงกับโม่ซีน้อยในชาติก่อนนิดหน่อย

ข้าชอบมองเขา แต่ทุกครั้งที่ข้าจ้องเขา เขามักตกใจจนหน้าซีดขาวโดยไม่รู้สาเหตุ พอสืบถามดูจึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้กลัวว่าวันไหนข้าหลุดรอดไปแล้วจะจับเขาสูบหยางเสริมหยิน

ข้ากระดากอายจนเหงื่อตก ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้าเป็นจิตวิญญาณ ไม่ต้องใช้วิธีน่าอายพรรค์นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กตัวแค่นี้มีพลังหยางอะไรให้ข้าสูบ หากข้าจะสูบ…ย่อมต้องสูบจากโม่ซีก่อน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าจึงต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้ลูกตาเปิดเปลือยถึงเพียงนั้นไปจ้องมองเขา

ระหว่างเดินทางข้าได้ยินพวกนักพรตน้อยคุยกันว่าฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ชื่นชอบถกหลักธรรมกับนักพรต แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านวิชาเต๋าก็เฟื่องฟูไม่น้อย ขุนนางใหญ่คนร่ำรวยจำนวนมากยินยอมส่งลูกไปบำเพ็ญเพียร ส่วนเขาหลิวโปที่พวกเรากำลังจะไปนี้ เทียบกับอารามเต๋าทั่วไปแล้วยังระดับสูงกว่ามาก

มันคือสถานที่บำเพ็ญเซียน

พวกเด็กๆ คุยกันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ราวกับว่าการเป็นศิษย์ของเขาหลิวโปเป็นวาสนาในรอบหลายร้อยปี แต่ข้ากลับคิดอย่างทดท้อ เรื่องจำพวกคนธรรมดาขึ้นสู่สวรรค์นี้ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่หลายพันปีที่ผ่านมามีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่สำเร็จผล อัครราชครูซย่าเฉินที่ข้าได้พบเมื่อชาติก่อนนับเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางวิชาเต๋าคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จเป็นเซียน เห็นได้ว่าอัตราความสำเร็จน้อยมากจนน่าสงสาร

ข้าเอาคำพูดนี้บอกกับพวกเขา เหล่านักพรตน้อยไม่พอใจ บ่นงึมงำว่าผู้วิเศษของพวกเขาใกล้จะกลายเป็นเซียนขึ้นสู่สวรรค์แล้ว บอกว่าผู้อาวุโสจ้งหวาคือนักพรตที่เก่งกล้าที่สุดในโลกนี้ ข้าไม่เห็นด้วย แต่คร้านจะเถียงกับพวกเขาจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ทว่าในใจกลับจดจำผู้อาวุโสจ้งหวาคนนี้ไว้แล้ว ขอนักพรตผู้นี้อย่าได้หัวแข็งดื้อดึงเหมือนเจ้าลาเฒ่าหัวโล้นกับซย่าเฉินในชาติก่อนเป็นดี

นักพรตน้อยพวกนี้ดูเหมือนก้อนแป้งถึงเพียงนั้น แต่ฝีเท้ากลับไวมาก ไม่กี่วันก็มาถึงเขาหลิวโปแล้ว

ตลอดทางข้าสืบไม่พบข่าวคราวใดของโม่ซี ก็รู้สึกเศร้าซึมอยู่บ้าง ขณะกำลังคิดว่าจะฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่เข้าไปในเขาฉีกผ้าอะไรสักอย่างนี่หนีไป ไม่คาดว่าตราทองบนข้อมือข้าจะมีปฏิกิริยาขึ้น

มันค่อยๆ ร้อนขึ้นเช่นนี้จนข้าร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่ง หางเสียงยังไม่ทันหายก็รู้สึกถึงปราณกล้าแกร่งสายหนึ่งวาดมาจากด้านบน ม้วนหอบจนเส้นผมบนหัวปลิวว่อนยุ่งเหยิง

รอจนข้าจัดผมที่บดบังเต็มหน้าออก กลับเห็นนักพรตน้อยรอบด้านพากันคุกเข่าหันไปทางหนึ่ง เปล่งเสียงขานพร้อมเพรียง “ผู้วิเศษ!”

โฮ่ เป็นลูกพี่ใหญ่ของหลิวโปนี่เอง

พอข้ามองให้ชัดก็พลันยิ้มออกมาอย่างโง่งม ช่างเป็นอย่างที่ว่าเดินจนรองเท้าอะไรสักอย่างพัง บทจะมาง่ายดายอะไรนั่นจริงๆ!

นี่ไม่ใช่โม่ซีหรอกหรือ!

แต่ดูเขาในยามนี้แล้วเหมือนอายุแค่ยี่สิบสามสิบปี ไม่คล้ายเฒ่าชราเลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วห้าสิบปี!

พอข้าย้อนกลับไปคิด ก็จริง ชาตินี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ที่บำเพ็ญก็คือวิถีเต๋าแห่งการเป็นเซียน แม้พูดไม่ได้ว่าไม่แก่ไม่ตายกลายเป็นเทพบนสวรรค์ แต่การคงสภาพหน้าตาก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าอดลอบยิ้มในใจไม่ได้ โม่ซีหนอโม่ซี ท่านคิดหาวิธีหลบข้า แต่ไม่คาดว่าสวรรค์เบื้องบนจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าการจัดเตรียมของท่าน คราวนี้ข้าจะดูซิว่าท่านจะหลบข้าอย่างไร

มุมปากข้าเพิ่งปรากฏรอยยิ้ม กระบี่ยาวสามเล่มก็พุ่งมาถึงข้างตัวข้าดัง ‘สวบ’ ไอสังหารรุนแรงบนกระบี่ทำเอาข้าสะดุ้ง เก็บรอยยิ้มมองโม่ซีอย่างงงงัน

กระบี่สามเล่มนี้ไม่ได้มาจากเขา แต่ถูกขว้างมาจากนักพรตคิ้วขาวหนวดยาวสามคนที่ตามเขามา ทั้งสามคนต่างขมวดคิ้วมุ่น จ้องข้าอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ

โม่ซีกล่าวเสียงเย็น “ตัวอะไรไอหยินเข้มข้นถึงเพียงนี้”

ข้าได้แต่อึ้งมองเขา สายตาเช่นนี้ของเขา…สายตาเช่นนี้…ชาติก่อน สายตาที่เขามองซือเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นเช่นนี้

ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจข้าจึงเกิดความกลัวขึ้นเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรข้าไม่ชอบอธิบาย แต่ครานี้กลับอดเอ่ยปากอธิบายไปเองไม่ได้ “แม้ไอหยินบนร่างข้าจะเข้มข้น แต่ไม่ใช่ปีศาจแน่นอน ข้าคือจิตวิญญาณที่กลายร่างมาจากก้อนหิน ข้าชื่อซานเซิง”

นักพรตหนวดขาวทั้งสามต่างมองกันไปมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใคร่เข้าใจคำพูดของข้า

โม่ซีมองมาอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ย่อมต้องมีใจที่แตกต่าง ต้องกำจัด”

เขาพูดประโยคนี้อย่างเด็ดขาด ความเจ็บปวดที่เหลืออยู่ของข้าแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาตินี้โม่ซีจึงมาเกิดเป็นคนหัวแข็งดื้อดึงเช่นนี้ได้ ข้ายังไม่ทันพูดอะไร ประกายกระบี่ที่ปักอยู่รอบตัวข้าพลันส่องแสงขึ้นอย่างรวดเร็ว แถบผ้าไหมขาวที่มัดข้าไว้ก็รัดแน่นขึ้นจนข้าเจ็บไปหมด

ความคุกรุ่นในใจข้ายิ่งเพิ่มสูง ข้ามีชีวิตอยู่มาพันกว่าปี นอกจากบางครั้งที่ข้ากระทำทารุณตนเองแล้ว ยังไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ จึงพลันเคลื่อนพลังวิญญาณแท้จริงประมือกับเขา

หากเขาคือเทพสงครามโม่ซี ยามนี้ข้าคงได้แต่ยอมรับความตายอย่างว่าง่าย แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงโม่ซีที่บำเพ็ญเซียน ในร่างมีพลังเวทไม่เกินสี่สิบปี ต่อให้วิชาเต๋าสูงล้ำขนาดไหน พรสวรรค์ดีเยี่ยมเพียงไร ใช้แข็งชนแข็งกับข้าก็ไม่อาจเอาชนะได้

เราคุมเชิงกันเพียงครึ่งเค่อ* สีหน้าโม่ซีก็ซีดขาวลงเล็กน้อย ข้าใคร่ครวญว่าหรือจะไม่ควรอาศัยอายุที่อยู่มาพันกว่าปีไปรังแกเทพเบื้องบนที่กำลังเผชิญคราวเคราะห์ผู้หนึ่ง ขณะกำลังคิดจะวางมือ โม่ซีพลันกระอักเลือดดำออกมาคำหนึ่ง

ข้าตกใจสะดุ้งโหยง รีบเก็บพลังวิญญาณทันที

นี่…นี่ คงไม่ใช่ว่าพลังวิญญาณของข้าแข็งแกร่งถึงระดับที่ข้าไม่อาจควบคุมได้แล้วหรอกนะ

ข้าประหลาดใจอย่างยิ่ง

นักพรตหนวดขาวสามคนนั้นต่างร้องเสียงหลง “ผู้อาวุโสจ้งหวา!” แล้วประคองโม่ซีโดยพลัน ช่วยจับชีพจรให้เขา พวกศิษย์หลิวโปรอบด้านเองก็กลุ้มรุมเข้ามาเช่นกัน

ข้ากลับไม่กังวลว่าเขาจะตาย ต่อให้เขาตาย ข้าก็อาจไม่กังวลเท่าไร ด่านเคราะห์ ‘ประสบสิ่งที่ชัง’ นี้ของเขาเกรงว่ายังไม่ผ่านไป ถ้ายังไม่ผ่านด่านเคราะห์ เขาก็ไม่สามารถเข้าสู่สังสารวัฏ

เด็กพวกนั้นรุมล้อมอย่างห่วงกังวลครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นพลันลุกยืนขึ้น ข้ารู้จักเขา เขาก็คือฉางอู่ที่ไอสังหารรุนแรงคนนั้น ไม่ผิดจากที่คาด เขาพลันชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้หน้าข้าแล้วกล่าวอย่างเหี้ยมโหด “นางปีศาจถึงกับกล้าฉวยโอกาสที่ผู้วิเศษบาดเจ็บลงมืออำมหิตต่อเขา! สมควรตายอย่างยิ่ง!”

เสียงตะคอกนี้ของเขาปลุกเร้าอารมณ์ได้ในพริบตา พวกนักพรตน้อยต่างพากันชักดาบออกจากฝักชี้มาที่ข้าอย่างเดือดดาล แม้แต่ฉางอันที่ขลาดกลัวเสมอมาก็หน้าแดงด้วยความโกรธ ร่วมร้องตะโกนว่าจะกำจัดข้า ปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรม

สิ่งที่ข้ารับไม่ได้ที่สุดก็คือการที่เด็กมาล้อมข้าโหวกเหวกโวยวายว่าจะเอาขนม ส่วนสถานการณ์ในตอนนี้แม้ต่างจากการเรียกร้องขอขนมอยู่มาก แต่สำหรับข้ากลับดูไม่ต่างกันเท่าไร

ข้ายอมแพ้โดยพลัน “ได้ๆๆ! จัดการตามใจพวกเจ้า ตามใจพวกเจ้าเลย!”

พอพูดออกไป พวกเด็กๆ ต่างมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครกล้าออกหน้าตัดสินใจ

สุดท้ายยังคงเป็นนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งสบช่องตะโกนออกมา “พาตัวนางไปขังไว้ในเจดีย์เชียนสั่ว* ที่ทะเลสาบหลิงหู!”

 

ในเขาหลิวโปมีทะเลสาบน้ำลึกแห่งหนึ่ง พื้นที่ไม่ใหญ่ ทว่าลึกจนน่ากลัว ในทะเลสาบนี้มีปราณวิญญาณลอยทั่ว ศิษย์หลิวโปจึงเรียกที่แห่งนี้ว่าทะเลสาบหลิงหู เหล่านักพรตใช้เวลาหลายร้อยปีสร้างเจดีย์เชียนสั่วองค์นี้ขึ้นมาใต้ทะเลสาบ เอาไว้ขังปีศาจที่เป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์โดยเฉพาะ

ข้ายืนดูอยู่ข้างทะเลสาบ เจดีย์ด้านล่างปรากฏวับแวมภายใต้ระลอกคลื่น ข้าลูบคางพลางคิดว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีต่อการขังปีศาจจริงๆ หนึ่งคือมีปราณวิญญาณรอบทิศ สามารถควบคุมและชำระล้างปราณปีศาจได้ สองคือที่แห่งนี้อยู่ใต้น้ำอย่างไรเล่า! ไม่สามารถหายใจได้ ต่อให้เป็นปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดไหน ภายในร้อยแปดสิบปีเป็นต้องตาเหลือกขึ้นอืดกันทั้งนั้น

แต่สำหรับจิตวิญญาณหินสามชาติอย่างข้ากลับไม่เหมือนกัน ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ใสสะอาดนี้เป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจของข้า เป็นสถานที่สะดวกแก่การบำเพ็ญตบะของข้าอย่างดี ข้าจึงไม่ขัดขืนใดๆ ปล่อยให้พวกเด็กๆ ใส่ตรวนข้อเท้าหินร้อยชั่ง* ให้ข้า แล้วใช้วิชากั้นน้ำพาข้าลงไปก้นทะเลสาบ

ทิวทัศน์ในทะเลสาบไม่เลวทีเดียว ข้าคิดในใจ

หลังจากถูกขังในเจดีย์เชียนสั่ว เด็กน้อยก็ตะคอกใส่ข้าจากอีกด้านของประตูเหล็กว่าในเจดีย์มียันต์ แข็งขืนพุ่งออกไปจะต้องตายอนาถอะไรจำพวกนี้ ข้าฉีกกระดาษยันต์ที่อยู่บนเสามาเล่นอย่างไม่ใส่ใจ

นี่เป็นที่ขังปีศาจ ทุกการจัดวางล้วนแล้วแต่ใช้รับมือปีศาจ บอกไปตั้งหลายพันครั้งแล้วว่าข้าไม่ใช่ปีศาจ มนุษย์พวกนี้เหตุใดจึงโง่ดักดานถึงเพียงนี้!

แม้แต่โม่ซีก็เป็นไปด้วย…

คิดถึงตรงนี้ข้าก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง จมูกแสบขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ยังอดกลั้นไว้

เดินวนด้านล่างเจดีย์แล้วหนึ่งรอบ ข้าพบบันไดทางเข้าแห่งหนึ่ง แสงของไข่มุกราตรีส่องขึ้นไปด้านบนจนถึงยอดเจดีย์ บนยอดเจดีย์คล้ายว่ามีของบางอย่างอยู่ห่างออกไป แสงส่องไปไม่ใคร่ถึงข้าจึงมองเห็นไม่ชัด ด้วยความอยากรู้ และถึงอย่างไรตอนนี้ก็ว่าง ข้าจึงปีนขึ้นไปตามบันไดช้าๆ

รอจนเห็นของสิ่งนั้นชัดเจน…เอ้อ ควรพูดว่ารอจนเห็นคนที่ถูกขังอยู่ในของสิ่งนั้นชัด ข้าก็พลันอยากหัวเราะขึ้นมา เทพดาราซือมิ่งเป็นเทพที่ชื่นชอบวาสนารันทดบดคั้นผู้หนึ่งจริงๆ คนผู้นี้ไม่ใช่อัครราชครูซย่าเฉินในชาติก่อนหรอกหรือ!

แม้ว่าตอนนี้ดวงตาเขาจะเป็นสีเขียว แผ่ไอเย็นออกมาบางๆ แม้ว่าตอนนี้เส้นผมเขาจะเป็นสีขาวเลื่อนไหลแปลกประหลาด แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ดูอย่างไรก็เป็นปีศาจอันตรายตนหนึ่ง เขาถูกโซ่เหล็กพันมือและเท้า แขวนห้อยไว้กลางอากาศ ด้านนอกยังครอบทับด้วยกรงเหล็กซี่ถี่ยิบแปะกระดาษยันต์ คุมขังอย่างแน่นหนา

คิดดูแล้วตอนที่เขาถูกจับมาคงเป็นปีศาจร้ายที่มากอานุภาพตนหนึ่ง

ในใจคิดถึงว่าชาติก่อนโม่ซีเกลียดพระนักพรตที่ชอบวางมาดภูมิฐานอย่างที่สุด ชาตินี้ตนเองกลับกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ชิงชังมารปีศาจเป็นที่สุดเช่นเดียวกับลาเฒ่าหัวโล้น ส่วนอัครราชครูซย่าเฉินที่ชาติก่อนเห็นการปราบปีศาจผดุงความเป็นธรรมเป็นหน้าที่ของตน ชาตินี้กลับกลายเป็นปีศาจร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ใต้ก้นทะเลสาบเขาหลิวโป เป็นการจัดการที่ถึงพร้อมด้วยเหตุและผลเสียจริง

“ไง! ไม่เจอกันนานเลย!” ข้าโบกมือทักทายเขา

“เจ้าเป็นใคร” เสียงของเขาแหบพร่า คำพูดแข็งทื่อ คาดว่าถูกขังอยู่ที่นี่นานมากแล้ว

ข้ายิ้ม “ข้าคือซานเซิง”

เขาขมวดคิ้ว “เรารู้จักกัน?”

ข้าลูบหน้าผากคิดเล็กน้อย “ไม่นับว่ารู้จักกระมัง”

จากนั้นก็ไม่มีคำพูดแล้ว เงียบจนไร้ความน่าสนใจ ข้ามองยอดหลังคาเจดีย์เชียนสั่วผาดๆ ด้านบนสว่างกว่าด้านล่างค่อนข้างมาก เพราะตรงยอดเปิดช่องว่างไว้ช่องหนึ่ง

ข้าแปลกใจ มัดปีศาจไว้แน่นหนาถึงเพียงนี้ แต่กลับเปิดช่องว่างไว้เบื้องหน้าเขา ไม่กลัวว่าเขาจะหาโอกาสหนีไปได้หรือ หรือว่าพวกนักพรตของหลิวโปล้วนเชื่อมั่นว่าเจดีย์เชียนสั่วแห่งนี้สามารถนี้กักขังปีศาจให้ตกตายอยู่ภายในได้ทั้งหมด เปิดช่องให้เขาเพื่อให้มองโลกภายนอกอย่างโหยหา คับแค้นทุกวัน อัดอั้นจนตาย

ข้าพูดไม่ออก นักพรตเต๋าพวกนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ชั่วร้ายถึงเพียงนี้!

ยังคิดเพ้อไม่เสร็จ เขาก็เอ่ยปากเสียงเบา “เจ้าถอยไป”

ข้าไม่เข้าใจเจตนาที่เขาเอ่ยคำนี้ชั่วขณะ แต่ก็ถอยไปยังส่วนมืดมิดตามที่เขาต้องการอย่างว่าง่าย

ไม่ทันไรเห็นเพียงน้ำในทะเลสาบนอกเจดีย์เปลี่ยนแปลงอย่างงดงามอลังการ แสงอาทิตย์สายหนึ่งส่องผ่านช่องเข้ามาภายในและตกลงบนใบหน้าเขาพอดี ลำแสงสว่างจ้าเกินไปขับเน้นใบหน้าซีดขาวของเขาจนดูน่ากลัว

ลูกตาสีเขียวรางค่อยๆ ปรากฏความเจ็บปวดสายหนึ่ง

ข้ามองดูผิวของเขาค่อยๆ บวมแดงราวกับถูกไฟเผาอย่างหวาดผวา แสงอาทิตย์ยิ่งมายิ่งแรง ผิวพองแดงของเขาขึ้นตุ่มน้ำ บางเม็ดถึงขนาดแตกออกหนองไหล

สีหน้าของเขานอกจากความเจ็บปวดที่ปรากฏในตอนแรกแล้วกลับนิ่งสงบยิ่งขึ้น

อยู่ในปรโลกเคยเห็นการลงโทษมากมายถึงเพียงนั้น แต่ภาพเบื้องหน้านี้ยังคงทำกระเพาะข้าปั่นป่วน ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงถอดเสื้อตัวนอกออกโยนขึ้นไปปิดช่องบนยอดเจดีย์นั้น แสงอาทิตย์ถูกบังเช่นนี้ก็อ่อนแสงลงไปไม่น้อย

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม* กว่า ดวงอาทิตย์จึงเคลื่อนออกจากยอดเจดีย์ช้าๆ

ข้าพลันนึกขึ้นได้ เมื่อครู่เป็นยามเที่ยงวันพอดี หมายความว่าปีศาจตนนี้ล้วนถูกแสงอาทิตย์แผดเผาเช่นนี้วันละครั้งทุกวัน?

“ยุ่งมากเรื่อง”

เขาวิจารณ์การกระทำของข้า

ข้าใจกว้างไม่ถือสาเขา “เจ้าถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไรแล้ว”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หัวเราะเย็นชาพลางว่า “อาจจะสิบปีหรือยี่สิบปี ใครเล่าจะรู้”

ข้าถอนหายใจ รู้สึกว่าเขาน่าสงสารมาก ทว่ากลับประหลาดใจกับชะตาชีวิตในชาตินี้ของเขา “เหตุใดจึงถูกจับเข้ามา ใครเป็นคนจับเจ้า”

เขาเงียบไม่สนใจข้าอีก ข้าคิดดูแล้ว ในใจของทุกสรรพชีวิตล้วนมีบางเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้อย่างไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นจึงไม่ถามเขาอีก แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เจ้าอยากออกไปหรือไม่”

“อยากแล้วอย่างไร ก็แค่เพ้อฝันเท่านั้น”

ข้ายิ้มอย่างได้ใจ “หากข้ามีวิธีช่วยเจ้าออกไปได้เล่า”

เขาเงยหน้ามองข้า ดวงตาเขียวเรืองรองเปล่งประกายวาบ

“อืม ข้าเห็นเจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงอย่างไรเมื่อครู่ตอนที่แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาเจ้ายังใจดีเรียกข้าให้หลบไป แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าถูกขังที่นี่เพราะเหตุใด แต่ถูกขังมานานขนาดนั้น ไม่ว่าลงโทษอะไรล้วนเพียงพอแล้ว จะว่าไปเจ้ากับข้านับว่าคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ข้าจึงใจบุญช่วยเจ้าสักหน่อย แต่ข้าไม่ใช่ช่วยเปล่าๆ วันนี้เจ้ารับน้ำใจจากข้า วันหน้าจะต้องตอบแทนคืนมา”

“เจ้าต้องการให้ตอบแทนอะไร”

“ช่วงนี้มีเด็กไม่รู้ความสองสามคนมาสร้างความหงุดหงิดให้ข้า ข้าเป็นแม่นางจิตใจงามผู้หนึ่งจึงลงมือกับพวกเขาไม่ลง หลังจากเจ้าออกไปก็ตีก้นพวกเขาแทนข้าที ไม่ต้องมาก แค่ลงจากเตียงไม่ได้หนึ่งเดือนเป็นพอ” ข้าคิดเล็กน้อย “จริงสิ ในนั้นมีคนหนึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ให้เขาลงจากเตียงไม่ได้สามเดือนจึงจะดี ข้าจะอธิบายกับเจ้าให้ละเอียด…”

บทที่สิบสอง

 ชื่อในชาตินี้ของอัครราชครูซย่าเฉินคือฮูอี๋ เป็นปีศาจหมาป่า

ข้ากระโดดขึ้นๆ ลงๆ ช่วยดึงยันต์ที่แปะอยู่ทั่วร่างเขาออกจนหมด สายตาที่ฮูอี๋มองข้ายิ่งตื่นตะลึงมากขึ้น สุดท้ายถึงกับมีความเกรงกลัวแทรกอยู่ด้วยรางๆ

“เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาออกปากถาม

ข้าสางผมตนเอง โบกมือตามอารมณ์คราหนึ่ง หักโซ่เหล็กใหญ่นับพันเส้น แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ข้าไม่ใช่คนจริงๆ นั่นล่ะ”

สายโซ่หักเป็นท่อนๆ ร่วงลงสู่เบื้องล่างเจดีย์เชียนสั่ว ฮูอี๋ลอยขึ้นมากลางอากาศ เส้นผมขาวแผ่สยาย ดวงตาเขียวเรืองรองส่องประกายเยียบเย็น ในใจเขามีความปลาบปลื้มยินดีเพียงไรข้าหาได้สนใจไม่ ดีดนิ้วกล่าว “ช่วยข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็เป็นอิสระโดยสมบูรณ์แล้ว ไปเถอะ!”

ฮูอี๋กลับนิ่งเงียบครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ย “เจดีย์เชียนสั่วแห่งหลิวโป เข้าได้ออกไม่ได้”

“ออกไม่ได้?” ข้ามองเขาอย่างขำขัน “ช่วงเวลาที่ข้าปะปนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่นับว่านาน แต่ดีชั่วก็รู้หลักไม่อาจบังคับค้าบังคับขาย ให้เข้ามาได้แต่ไม่ให้ออกไป ก็เหมือนสินค้ามีปัญหาแต่กลับพาลไม่ยอมให้คืนของ นักพรตหลิวโปไม่มีเหตุผลไปหน่อยแล้ว”

“พวกเขาพาลแล้วอย่างไร โลกนี้เดิมก็เป็นโลกที่คำพูดผู้แข็งแกร่งถือเป็นสิ้นสุด”

“คำพูดนี้ตรงใจข้าพอดี” ข้าหัวเราะกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้พวกเรามาทำลายเจดีย์นี้กันเถอะ”

เขามองข้าอย่างคาดไม่ถึง

ข้ายิ้มตาหยีกล่าวอย่างเบิกบาน “คำพูดผู้แข็งแกร่งถือเป็นสิ้นสุดไง”

หลังจากนี้อีกเนิ่นนาน ยามที่ท่านพญายมพูดถึงเรื่องในคราวนี้กับข้ายังคงมีสีหน้าปลงอนิจจังเหมือนเช่นเคย ‘เป็นนิสัยของก้อนหินจริงๆ ทะเลสาบหลิงหูเอย เจดีย์เชียนสั่วเอย เจ้าบอกว่าทำลายก็ทำลาย กวนจนทะเลสาบเนืองแน่นไปด้วยไอหยินเช่นเดียวกับแม่น้ำลืมเลือน เจ้าควรรู้ว่าท่านเทพโม่ซีต้องรับโทษแทนเจ้าลับๆ ตั้งเท่าไร และก็เพราะเหตุนี้ด่านเคราะห์ในชาติถัดไปของเขาถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงนั้น’

แต่ข้าในยามนี้กลับไม่รู้ว่าภายหลังจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร อาศัยแต่อารมณ์ของตนล้วนๆ แกว่งมือกวนน้ำทั้งทะเลสาบ

คืนวันนั้นเขาหลิวโปทั้งลูกสั่นสะเทือน ศิษย์หลิวโปต่างสะดุ้งตื่นจากฝัน จากนั้น…พวกเด็กๆ ในเขาหลิวโปถูกตีจนร้องไห้จ้าทั้งคืน

นั่นเป็นเสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันไม่หยุด

ฮูอี๋ลงมืออยู่เบื้องหน้า ข้ากุมปากแอบหัวเราะอยู่ข้างหลัง ยามพบตัวฉางอู่ ข้าตบบ่าฮูอี๋เบาๆ “สามเดือน! สามเดือน!”

ฮูอี๋เข้าใจ เรือนกายวิบไหวก่อนจะเดินไปถึงข้างกายฉางอู่ ถอดกางเกงเขาต่อหน้าทุกคน จากนั้นฟาดฝ่ามือลงไปดัง ‘เพียะๆ’ สองทีก้นของฉางอู่ก็บวมพองขึ้นมา ต่อให้ปกติเด็กน้อยดุดันเพียงไร ยามนี้ก็ตกตะลึงทึ่มทื่อไปหมด รอจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด น้ำตาก็ไหลพรากๆ ลงมา ร้องไห้โฮเสียงดังแล้ว

ข้าชมดูอย่างชอบใจยิ่ง ในใจรู้สึกอดไม่ได้จึงเข้าไปเหยียบก้นบวมแดงของเขาสองครั้ง ค่อยปัดมือเรียกฮูอี๋ปล่อยตัวไป

ฮูอี๋ขมวดคิ้ว

ข้าเอ่ยถาม “ทำไมหรือ”

“เช่นนี้ครึ่งปีเขาก็ไม่อาจลงจากเตียงได้”

“เอ๋!” ข้าปิดปากตกใจ “ข้าเหยียบแรงมากหรือ”

เขาหันมองข้า “เจ้าว่าไงล่ะ”

ข้าเกาหัว ยิ้มแหยไม่เอ่ยคำ

ฮูอี๋มองเด็กคนสุดท้ายซึ่งขดตัวอยู่ในมุมเรือนยังไม่ถูกตี หันกายจะเข้าไปจับเขา ข้ารีบยุดตัวฮูอี๋ไว้ “เด็กคนนี้…” อย่ายุ่งเลย

ยังไม่ทันได้พูด สายฟ้าสายหนึ่งพลันแหวกอากาศผ่าลงมา ข้ากับฮูอี๋กระโดดหลบโดยไวแล้วหันมองขึ้นไปกลางอากาศ

ที่จริงอาศัยเพียงตราประทับซึ่งร้อนขึ้นมาตรงข้อมือข้าก็รับรู้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร

โม่ซี หรือผู้อาวุโสจ้งหวาในชาตินี้

เขาเห็นพวกเด็กๆ ที่นอนคว่ำกุมก้นร้องไห้ทั้งเรือนแล้วหัวคิ้วขมวดมุ่น เคลื่อนสายตากวาดมองข้ารอบหนึ่ง สุดท้ายจึงตกลงบนร่างฮูอี๋ ทั้งสองสบสายตากัน ชั่วขณะนั้นข้ารู้สึกหนาวเยือกโดยไม่รู้สาเหตุ

ด้านหลังโม่ซีมีเงาวูบวาบของคนนับสิบคน เป็นผู้เฒ่ากับพวกอาจารย์แห่งเขาหลิวโปที่รีบเร่งมาถึง

พวกผู้ใหญ่เป็นห่วงเหล่าเด็กน้อยมาก พอได้ยินเสียงพวกเด็กๆ ร่ำไห้ แต่ละคนล้วนหน้าเขียวคล้ำ ครั้นเห็นข้ากับฮูอี๋สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกรอบ สถานการณ์ยุ่งเหยิงขึ้นมาโดยพลัน

พวกเขาส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมา ข้าแคะหูอย่างรำคาญใจ พูดกับฮูอี๋ว่า “อืม ข้าพูดได้ทำได้ เจ้าช่วยข้าระบายแค้นแล้ว ข้าก็จะช่วยเจ้าเรียกอิสระคืนมา ดูท่าทางของเจ้าแล้วก็รู้ว่าเจ้าไม่ชอบอยู่ที่นี่ อยากไปที่ไหนก็ไปเถอะ”

ฮูอี๋ยังไม่ทันตอบ ผู้เฒ่าหนวดขาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้นจากอีกด้าน ชี้หน้าด่าพวกเรา “หลิวโปไหนเลยจะเป็นที่ที่บอกว่ามาก็มาไปก็ไป! ปีศาจฮูอี๋! ผู้อาวุโสของข้าคิดถึงไมตรีเก่าก่อนจึงไว้ชีวิตเจ้า แต่วันนี้เจ้ากลับทำเรื่องเหยียดหยามหลิวโปของเราพรรค์นี้ มีเจตนาใดกันแน่”

ข้าขบคิดความนัยของคำพูดนี้แล้วพอจับอะไรได้นิดหน่อย ข้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้ฮูอี๋กับโม่ซีในชาตินี้เป็นคนรู้จักกัน ข้อสอง บางทีฮูอี๋คงถูกโม่ซีขังไว้ในเจดีย์เชียนสั่ว ข้อสาม…ด้วยนิสัยรังเกียจปีศาจถึงเพียงนี้ของโม่ซี แต่เขากลับไม่ฆ่าฮูอี๋ ต้องมีลับลมคมใน!

ข้ากอดอกคอยชมละครอยู่ด้านข้าง เสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่มีที่ให้นั่ง ทั้งไม่มีขนมขบเคี้ยวให้ข้าได้เอาใส่ปาก จึงขาดอรรถรสไปเล็กน้อย

ฮูอี๋ยกยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ย “ข้าหาได้ขอร้องให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าปล่อยข้า จับข้าคุมขังตลอดชาติ ไม่สู้ให้ข้าลงไปเกิดใหม่ในปรโลก อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น”

ข้าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เจ้าปีศาจไม่รู้คุณ!” เขาพูดพลางชักกระบี่ออกจากฝัก พลิ้วกายเข้ามาด้วยท่วงท่าต้องการสังหารฮูอี๋

ข้าดึงฮูอี๋มาข้างหลังแล้วพลิกฝ่ามือรับกระบวนท่าของผู้เฒ่าคนนั้น จากนั้นหิ้วคอเสื้อฮูอี๋โยนขึ้นไปกลางอากาศโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปากอันใด “ไป!”

ไอหยินกระทบแผ่นหลังของเขา พริบตาเดียวก็ผลักเขาออกไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด…

คนที่ดูมากฝีมือสองสามคนทำท่าจะตามไป ข้ารวบปราณแล้วตะโกนเสียงต่ำ คลื่นไอหยินรุนแรงแผ่ซ่านออกมากดทับคนพวกนั้นจนต้องกุมหัวครวญคราง ข้ากล่าว “หากพวกเจ้าคิดจะจับเขาก็รอวันหน้าเถอะ ในเมื่อวันนี้ข้าตกลงค้าขายกับเขาแล้วก็ควรค้าขายอย่างซื่อตรง ต้องคุ้มครองให้เขาออกไปได้อย่างปลอดภัยจึงจะถูก”

“นางปีศาจเลิกพูดจาอวดดีได้แล้ว!”

ข้าจ้องผู้เฒ่าปากมากคนนี้แล้วยิ้มอย่างได้ใจ “อวดดีหรือไม่ เจ้าลองดูก็แล้วกัน” สีหน้าของข้าทำเอาผู้เฒ่าที่เข้มงวดเอาจริงเอาจังโกรธจนเต้นเร่า กุมกระบี่จะเข้ามาฟันข้า

ฉับพลันนั้นเสียงร้องตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “อาจารย์! อาจารย์!” ศิษย์หลิวโปคนหนึ่งขี่ลมเร่งรีบเข้ามา แต่ตอนลงพื้นแข้งขาอ่อนไปชั่วขณะ พอยืนไม่มั่นจึงล้มดังโครม กลิ้งหกคะเมนตีลังกาหลายรอบจนมาถึงเบื้องหน้าผู้เฒ่าคนนี้

“ผู้วิเศษ! อาจารย์! จะ…เจดีย์เชียนสั่ว…เจดีย์เชียนสั่วพังแล้วขอรับ!”

ทุกคนต่างอึ้งตะลึง

ข้าเลิกคิ้วสงบนิ่ง สายตาเพียงกวาดมองเหล่านักพรตที่สีหน้าแปรเปลี่ยนจนแทบจะแปลกประหลาดกลุ่มนี้รอบหนึ่ง แต่เห็นพวกเขาย้ายสายตาหวาดผวามองมาทางข้าในที่สุด ข้ากะพริบตาปริบๆ ยักไหล่กล่าว “อ้อ ข้าไม่คิดว่าเจดีย์อะไรนั่นจะพังง่ายถึงเพียงนี้ ขยับเบาๆ ไม่กี่ครั้ง…” พวกเขายิ่งส่งสายตาแปลกประหลาดมองมาจนข้าประหม่า สุดท้ายได้แต่เกาหัวยิ้มแหย “แหะๆ มันก็กลายเป็นฝุ่นกองหนึ่งกระจายไปทั่วทะเลสาบแล้ว ฮะฮ่าๆๆๆ…”

พวกเขาแต่ละคนเดือดดาลยิ่งกว่าอีกคน แต่กลับไม่เห็นข้าขยับ ไม่แม้แต่จะหนี เหล่าผู้เฒ่าหลิวโปพวกนี้ก็ยุ่งยากใจขึ้นมา พวกเขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับข้าอย่างไร ขังก็ขังไม่อยู่ ตีก็ตีไม่ได้ ได้แต่กระทืบเท้าอย่างกลัดกลุ้ม

อันที่จริงข้าไม่คิดจะไปจากเขาหลิวโป แม้ว่าจะปล่อยปีศาจร้ายไปแล้ว ทำลายเจดีย์เชียนสั่วไปแล้ว กระทั่งตีนักพรตน้อยของพวกเขาทั้งกลุ่มจนร้องไห้ไปแล้วข้าก็ไม่คิดหนี

ข้าคิดว่าแม้โม่ซีในชาตินี้จะไม่ถูกกับความชมชอบของข้าถึงขนาดนี้ แต่ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อย่างน้อยก็ต้องให้ข้าคุ้มครองความบริสุทธิ์ของเขา คุ้มครองสำเร็จ ไม่แน่ว่าชาตินี้อาจจะให้ข้าได้ทำลายความบริสุทธิ์ของเขา กลายเป็นเรื่องรักอันแสนเจ็บปวดของหญิงสาวชาญฉลาดลุ่มหลงในรักฝืนบีบบังคับชายหนุ่มเก็บอารมณ์

ทางข้ากำลังแต่งเติมเรื่องราวในหัวอย่างมีชีวิตชีวา ด้านโม่ซีของข้าหลังจากไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งอย่างห้าวหาญยิ่ง “ขังไว้ด้านหลังเรือนนอนของข้า ข้าจะจับตาดูนางเอง”

ขณะที่คนอื่นๆ ยังลังเล ข้าก็พยักหน้าลงร้องว่าดี ทำเอาคิ้วกระบี่ของโม่ซีขมวดเข้าหากัน สายตาแฝงความสงสัย พิจารณาดูข้าทั้งบนล่างรอบหนึ่ง

พอคิดถึงว่านับจากนี้จะได้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับเขา ข้าจึงใจกว้างไม่เอาเรื่องพฤติกรรมในยามนี้ของเขา

หลิวโปเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญเพียรในปัจจุบันนี้ และผู้อาวุโสจ้งหวาก็เป็นประมุขของหลิวโป เป็นธรรมดาที่เรือนนอนของเขาย่อมไม่ย่ำแย่

แต่ตอนที่ข้าถูกพาตัวไปเรือนนอนของเขา มองสวนเล็กด้านหลังเรือนเขาแล้วสองตาพลันแดงก่ำ ซาบซึ้งจนแทบหลั่งน้ำตา

ด้านหลังเรือนนอนโอ่อ่าเป็นสวนดอกเหมยงดงามเงียบสงบที่ดูไม่เข้ากับหลิวโปอยู่บ้าง โลกมนุษย์ในตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อนพอดี เป็นช่วงฤดูที่สรรพสิ่งเจริญงอกงาม แต่ในสวนดอกเหมยของโม่ซีกลับยังคงปกคลุมไปด้วยหิมะขาว ดอกเหมยแดงบานอย่างสดสวย กลิ่นหอมอวลไปสิบลี้ เพียงมองก็รู้ว่าถูกร่ายเวทไว้

“นี่…ดอกไม้นี้…” เสียงข้าสั่นน้อยๆ

เรือนนอนของจ้งหวาไม่อนุญาตให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ดังนั้นยามนี้จึงเหลือเพียงข้ากับเขาสองคน เขาเห็นดอกเหมยเต็มสวน สีหน้าก็อ่อนโยนลงกว่าก่อนหน้านี้มาก ตอบข้าอย่างอารมณ์ค่อนข้างดี “ของจำนวนไม่มากที่รักชอบก็เท่านั้น”

ข้ากะพริบตาขับไล่หยดน้ำในดวงตา

โม่ซีหนอโม่ซี แม้ว่าท่านจะดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงไปแล้วก็ยังไม่ลืมเหมยแดงหิมะขาว ทั้งยังจำสวนดอกเหมยที่เงียบสงบงดงามได้หรือ…

ในใจท่าน…จดจำข้าได้

สวนดอกเหมยนี้ถูกจ้งหวาร่ายวิชาผนึกไว้ ผนึกเวลาในดินแดนนี้ รักษาดอกเหมยให้หยุดอยู่ในช่วงที่งดงามที่สุดในฤดูหนาวตลอดกาล ทั้งทำให้คนที่ก้าวเข้ามาไม่อาจออกไปได้อีก นี่คือกรงขังแห่งหนึ่ง เพียงเหยียบย่างเข้ามาก็เป็นสิ่งของในกรงของเขาแล้ว

แต่ซานเซิงยินยอมพร้อมใจถูกโม่ซีกุมขัง

เห็นข้าก้าวเข้าไปในข่ายอาคมของเขา จ้งหวาก็หมุนกายจากไปอย่างเรียบเฉยไม่พูดอะไรอีก ข้ามองเงาหลังของเขา ยื่นมือสัมผัสหิมะบนเหมยแดงเบาๆ หิมะเย็นเยียบกลับอบอุ่นห้องหัวใจข้า ทำให้ข้าไม่อาจไม่มั่นใจอีกครั้งว่านี่เป็นเคราะห์รักจริงๆ

หินสามชาติ เคราะห์รักของก้อนหิน…

 

ถูกขังมาหลายวันแล้ว ชีวิตข้าผ่านไปอย่างไร้รสชาติยิ่ง ต่อให้ทิวทัศน์งดงามเพียงไร มองดูสองสามวันก็พอให้ข้าเอียนแล้ว

ข้าใคร่ครวญดูว่าจะขอให้จ้งหวาส่งนิทานมาให้ข้าฆ่าเวลาสักหน่อย แต่วนเวียนอยู่ริมข่ายอาคมหลายวันติดต่อกันแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของโม่ซี ข้าผิดหวังเหลือหลาย ผิดหวังอย่างยิ่ง

ทุกวันจึงนอนคว่ำอยู่ริมข่ายอาคม วาดวงกลมเอ่ยเรียกชื่อของโม่ซีอย่างกึ่งเป็นกึ่งตาย แต่แน่นอนว่าชื่อของเขาที่ข้าเรียกในยามนี้ย่อมต้องเป็นจ้งหวา

แต่แม้ข้าจะเอ่ยเรียกอย่างทรหดอดทน เขาก็ยังคงไม่ปรากฏในขอบเขตสายตาข้า

กลับเป็นหลังจากที่ข้าล้มเลิกเรียกชื่อเขา ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ปรากฏกาย

ในตอนนั้นข้ากำลังละลายหิมะต้มชาเลียนแบบคนโบราณ แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใบชาอะไร ดังนั้นข้าจึงโค่นต้นเหมยมาต้นหนึ่ง ใช้กิ่งเป็นฟืน เอาดอกไปต้ม ดูว่าดอกเหมยมากมายเพียงนี้สามารถต้มโจ๊กออกมาได้สักหม้อหนึ่งหรือไม่

ขณะกำลังคิดว่าต้องตัดมาอีกต้นหรือไม่ จ้งหวาที่หน้าเขียวคล้ำก็ปรากฏตัวออกมา

ข้ายิ้มเจิดจ้ากวักมือเรียกเขา

เขาย่ำตะบึงเข้ามาถึงข้างกายข้า กวาดตามองต้นเหมยที่ถูกข้าถอนรากออกมาด้วยแล้วเอ่ย “ต้มดอกเหมย?”

ข้ากะพริบตา ยิ้มแย้มดีใจ “ผู้อาวุโสรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสง่างามหรือไม่”

เขาส่งเสียงหยัน “ในสายตาเจ้าเผาพิณต้มกระเรียน* เป็นเรื่องสง่างามหรือ”

ข้ากล่าวอย่างปกติ “นี่ต้องดูว่าพิณใช้ไม้อะไร ไม้ชั้นดีย่างออกมาแล้วเนื้อย่อมหอม ส่วนกระเรียนก็แก่ไปไม่ได้ แก่เกินไปฆ่าแล้วเนื้อคงไม่น่ากินเท่าไร”

มุมปากเขากระตุก บนดวงหน้าเมินเฉยคล้ายว่าพังลงมามุมหนึ่ง เขาระงับอารมณ์ น้ำเสียงยิ่งเย็นชากว่าก่อนหน้าสามส่วน “ไม่อนุญาตให้แตะต้องต้นเหมยของข้าอีก”

ข้าส่ายหน้ากล่าวเต็มปากเต็มคำ “ไม่ได้” เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวใกล้ระเบิดของเขาแล้วข้าจึงเอ่ยปากอธิบาย “หากไม่ใช่ข้าว่าง ว่างจนเบื่อหน่ายสุดๆ จริงๆ ข้าไหนเลยจะโค่นต้นเหมยของท่าน ดังนั้นคนร้ายตัวจริงที่สังหารดอกเหมยของท่านคือความเบื่อหน่ายของข้า ถ้าข้าไม่เบื่อแล้วย่อมไม่สนใจดอกเหมยของท่าน อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าร้องเรียกอยู่ริมข่ายอาคมหลายวันถึงเพียงนั้น ท่านล้วนไม่เคยสนใจข้า ผู้ที่บีบให้ข้ากระทำการในวันนี้ก็คือท่าน หากท่านไม่อยากให้ข้าแตะต้องเหมยของท่าน…”

“เจ้าจะเอาอย่างไร”

“ท่านต้องให้นิทานชาวบ้านกับข้า เล่มใหม่ล่าสุด ยังมีเม็ดแตงกับน้ำชา”

“แต่ไหนแต่ไรหลิวโปไม่ปรนนิบัติใคร” เขาทิ้งคำพูดไว้แล้วหมุนตัวจากไป

ข้ากล่าวเสียงเย็นเล็กน้อย “เหมยพวกนี้โตช้า สามารถเลี้ยงจนมีขนาดนี้ได้คงใช้เวลาไม่น้อยกระมัง ได้มาไม่ง่ายเลยนะ ข้าจะพยายามประหยัดให้ท่านหน่อย หนึ่งวันตัดหนึ่งต้น รับรองว่าใช้ประโยชน์ครบทุกส่วน ไม่สิ้นเปลืองแน่นอน”

เงาร่างที่จากไปชะงักเล็กน้อย

วันรุ่งขึ้นพอข้าตื่นขึ้นมา บนพื้นก็มีนิทานชาวบ้านโยนกองไว้ไม่น้อย

ข้าพลิกเรื่องพวกนี้ดูพลางปิดปากหัวเราะ

โม่ซีหนอโม่ซี ชาตินี้ท่านเป็นคนปากไม่ตรงกับใจจริงๆ!

ชีวิตของข้าผ่านไปด้วยดีขึ้นมากเมื่อมีนิทานชาวบ้านอยู่เป็นเพื่อน ดูเหมือนวันคืนในปรโลกเองก็ไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้เหมือนกัน ไม่สู้ข้าอยู่เฝ้าโม่ซีที่นี่ไปพลาง มีเหมยแดงหิมะขาวเป็นเพื่อนไปด้วยอย่างสุขเสรี

แต่วันคืนแห่งอิสรเสรีนี้มักยากจะเลี่ยงสิ่งของแปลกปลอมที่ผสมปนเข้ามาด้วย

 

วันนั้นสภาพอากาศไม่ดีเท่าไร ข้าไถลลื่นอยู่ในสวนน้อยรอบหนึ่ง ส่งเสียงก่อกวนจ้งหวาสองสามครั้งและไม่มีใครสนใจเหมือนเช่นปกติ ขณะกำลังคิดจะกลับห้องไปนอน บนฟ้าทางทิศตะวันตกนอกข่ายอาคมพลันมีคนผู้หนึ่งเหินลงมา ข้ามองอย่างละเอียด นี่มิใช่นักพรตหญิงคนงามที่พบเมื่อหลายวันก่อนหรอกหรือ นางกลับมาจากการกำจัดปีศาจแล้ว?

ข้ายังเดาไม่จบก็เห็นท่าทางนักพรตหญิงผู้นั้นเปลี่ยนไป พุ่งเข้ามาจะชนป่าเหมยทางฝั่งข้า

วิชาผนึกนี้ของโม่ซีไม่มีความสามารถแยกแยะผีวิญญาณมารปีศาจ มีเพียงได้รับอนุญาตจากเจ้านายเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ นอกเสียจากมีพลังแก่กล้าจนสามารถพังข่ายอาคมนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกกันไว้นอกเขตแดน ด้วยความเร็วที่นักพรตหญิงร่วงลงมาไม่ต่างอะไรกับการโหม่งหัวลงหินปูพื้น ต้องกลายเป็นเนื้อบดคาที่แน่ๆ ข้ารีบตีข่ายอาคมร้องตะโกน “นี่! นักพรตหญิงหลิวโปของท่านจะร่วงลงมาตายแล้ว! นี่! โม่ซี!”

สองคำสุดท้ายของข้าเพิ่งพูดออกไป พลันเห็นแสงสีขาวพุ่งออกมาจากในเรือนหลักตรงขึ้นไปยังขอบฟ้ารับนักพรตหญิงคนนั้นไว้ จากนั้นทิ้งตัวลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ดูแล้วน่าจะร่วงลงในข่ายอาคม กะประมาณดูคงใกล้กับกระท่อมของข้า

ข้าวิ่งเหยาะๆ เข้าไป ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงกระอักเลือดของนักพรตหญิง ข้าเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเพียงนักพรตหญิงขยุ้มแขนเสื้อจ้งหวาแน่น ส่วนจ้งหวาช่วยจับชีพจรให้นางพลางเอ่ยถามเสียงเย็น “ชิงหลิง ใครทำร้ายเจ้า”

นักพรตหญิงชิงหลิงเพียงพูดออกมาว่า “เขาหลิงอวี้*” สามคำอย่างยากลำบาก จากนั้นเลือดคำหนึ่งก็ทะลักอุดปากนาง นางหายใจไม่ได้ สำลักเลือดของตนเองสลบไป

จ้งหวารีบจับข้อมือของนาง ถ่ายเทลมปราณเข้าไปในร่างนักพรตหญิงอย่างต่อเนื่อง ทว่ายิ่งส่งสีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดชาว เลือดที่นักพรตหญิงอาเจียนออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน

ข้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “หากท่านไม่ปล่อยมือคงได้ทำร้ายนางจนตายจริงๆ แล้ว”

จ้งหวาเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน ข้าเพิ่งพูดออกไปเขาก็เก็บลมปราณกลับคืนมาแล้ว

เขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ไม่นาน คำนวณดูแล้วคงทนรับการเคี่ยวกรำได้ไม่เท่าไร ถ่ายลมปราณแค่ครู่เดียวก็ทำให้หน้าผากเขาหลั่งเหงื่อเย็นแล้ว ข้าฉีกเสื้อผ้าส่วนที่ยังสะอาดของนักพรตหญิงชิงหลิงยื่นส่งให้เขาอย่างใส่ใจ “เช็ดเหงื่อหน่อย”

จ้งหวาจัดการลมปราณในร่างดีแล้วค่อยลืมตามองข้า อุ้มนักพรตหญิงจะเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ข้าเองก็ไม่ไล่ตาม เพียงนั่งลงบนพื้นหิมะเอ่ยปาก “อาการของนาง นักพรตอย่างพวกท่านรักษาไม่ได้หรอก”

จ้งหวาชะงักเท้าหันมามองข้า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ดูจากที่ท่านรักษาให้นางเมื่อครู่ก็รู้แล้ว” ข้ากวักมือน้อยๆ “ท่านวางนางลง ข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนาง อืม หรือควรบอกว่าข้าสามารถแก้พิษกับเวทคำสาปบนร่างนางได้”

จ้งหวาขมวดคิ้ว ยังคงไม่อาจลดวางการป้องกันในใจที่มีต่อข้าผู้ ‘มีใจที่แตกต่าง’ ลงได้ แม้ข้าจะไม่ชอบใจท่าทางเช่นนี้ของเขา แต่เพราะเป็นโม่ซี ข้าจึงเก็บกลั้นความไม่พอใจทั้งหมดนี้ลงไป

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบนักพรตหญิงคนนี้ครั้งหนึ่ง ผิวขาวพักตร์งาม สีหน้าเปล่งปลั่ง รูปโฉมยอดเยี่ยม สามจุดนี้แม้นางเทียบข้าไม่ได้ แต่ในโลกมนุษย์นี้ก็นับว่างดงามโดดเด่นแล้ว ทว่ายามนี้หว่างคิ้วคล้ำดำ สองแก้มตอบ สีผิวเหลืองคล้ำ แค่มองก็เห็นถึงอาการถูกพิษภายใน อีกอย่างตอนท่านช่วยนางปรับลมปราณ ตนเองก็ได้รับผลกระทบด้วย เห็นได้ว่าอาการบาดเจ็บนี้ของนางสามารถส่งผ่านไปยังร่างผู้อื่นได้ และของอย่างพลังเวทพวกนี้พอทำร้ายใครสักคนแล้ว จะไม่ส่งต่อจากร่างคนผู้หนึ่งไปทำร้ายอีกคน ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือพิษ สุดท้าย ข้าเห็นนางลมหายใจสับสน พ่นไอขาวหนาวเย็น เลือดที่อาเจียนออกมามีสีดำปะปน จากความเห็นข้านี่คือหมอกพิษไอหยิน”

ความระแวดระวังในดวงตาจ้งหวาเลือนหายไปเล็กน้อย ดูท่าคงเชื่อคำพูดข้าสองสามส่วนแล้ว

ข้าตบพื้นหิมะเบื้องหน้าเบาๆ ให้จ้งหวาวางนักพรตหญิงลง “ท่านว่าพิษที่มาจากแดนปรโลกเช่นนี้ นักพรตหลิวโปอย่างพวกท่านสามารถแก้ได้หรือ”

ความจริงหมอกพิษไอหยินนี้ล้วนมีอยู่ทั่วในปรโลก บ้างล่องลอยอยู่กลางอากาศ บ้างไหลร่วงลงสู่แม่น้ำลืมเลือน เพียงแต่ผู้ที่มาปรโลกหากไม่ใช่ผีวิญญาณก็เป็นเทพเซียน หมอกพิษพวกนี้ไม่มีผลกระทบอันใดต่อพวกเขา ส่วนเหล่าจิตวิญญาณยมบาล ยิ่งคุ้นเคยจนสามารถบำเพ็ญตบะยกระดับความสามารถของตนท่ามกลางไอหยินไอหมอกพิษนี้ได้ สำหรับข้านี่เป็นไอปราณที่คุ้นจนไม่อาจคุ้นมากไปกว่านี้แล้ว

ดังนั้นพอนักพรตหญิงผู้นี้ร่วงลงมาข้าก็มองร่องรอยภายในออกแล้ว ที่พูดจาใหญ่โตถึงเพียงนี้ให้จ้งหวาฟัง ก็แค่อยากอวดความรอบรู้กว้างขวางของตน ทำให้เขาทึ่งตะลึง จากนั้นก็มอบไมตรีจิตให้เท่านั้น

“นอกจากนี้ท่านดูหน้าผากนาง ในจุดแดงที่คล้ายถูกยุงกัดนั่นดูเหมือนมีร่องรอยคำสาปอยู่ หากข้าไม่ได้มองผิด นี่คงเป็นเวทคำสาปที่ทำให้ความจำเลอะเลือน ปีศาจตนนี้ดูท่าจะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่นักพรตหญิงพบเจอมากระมัง”

จ้งหวามองหน้าผากของชิงหลิงอย่างละเอียด “เจ้ารู้จักเวทคำสาป?”

“ในกองนิทานที่ท่านหอบมาให้ข้าไม่กี่วันก่อนมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทคำสาปอยู่เล่มหนึ่งพอดี ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงพลิกอ่านไป ช่วยไม่ได้ที่ความสามารถในการทำความเข้าใจยอดเยี่ยม จึงเรียนไปได้กว่าครึ่งแล้ว”

ประโยคในครึ่งหลังนี้แน่นอนว่าต้องเป็นคำโอ้อวดตน ก่อนหน้านี้ข้าเคยเรียนพื้นฐานเวทคำสาปมานิดหน่อยในปรโลก เพียงแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ที่ลืมก็ลืมไปไม่น้อยแล้ว สองสามวันก่อนเปิดอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเวทคำสาปในกองหนังสือซึ่งจ้งหวาเอามาให้ทั้งเล่มแล้ว พอนับได้แค่ว่าเป็นการทบทวนความรู้เก่ารอบหนึ่งเท่านั้น หากจะพูดว่า ‘เรียนไปได้กว่าครึ่ง’ จริงๆ เกรงว่ายังขาดอีกสักหน่อย…

แต่ยังดีที่คำสาปซึ่งติดตัวนักพรตหญิงอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเวทคำสาประดับค่อนข้างต่ำ ด้วยความสามารถของข้าน่าจะพอแก้ได้อยู่…กระมัง?

จ้งหวาขมวดคิ้วถามข้า “เจ้ารู้ว่าจะช่วยนางแก้คำสาปขับพิษอย่างไร?”

“ย่อมต้องรู้แน่นอน” ข้าแปลกใจ “ท่านเป็นถึงผู้วิเศษแห่งหลิวโป กลับไม่เคยเรียนเวทคำสาปหรือ”

เขานิ่วหน้า “ข้าศึกษาแต่วิถีบำเพ็ญเซียนกับวิชากระบี่”

ความนัยในคำพูดกลับเป็นไม่ใคร่เห็นเวทคำสาปอยู่ในสายตา ข้าเบะปากไม่เห็นด้วย แต่ไม่ต่อปากกับเขาอีก

ทุกอย่างพลันเงียบลงในชั่วขณะ

นักพรตหญิงชิงหลิงแขนขาทั้งสี่กระตุกไม่หยุดและอาเจียนเลือดดำอยู่กึ่งกลางระหว่างเราสองคน

จ้งหวาคล้ายรอให้ข้ายินยอมรักษานักพรตหญิงชิงหลิงด้วยตัวเอง แต่เหตุใดข้าต้องยอมไปช่วยนางด้วยเล่า ข้าอยากให้โม่ซีในชาตินี้ละวางท่าทีลงขอร้องข้า

ในที่สุดภายใต้กลิ่นคาวเลือดที่ทิ่มแทงจมูก จ้งหวาย่นคิ้วเป็นฝ่ายเอ่ยปากเจรจาเงื่อนไขกับข้า “เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมรักษานาง”

ประโยคนี้ถามได้ดีจริงๆ

“ข้าต้องการให้ท่านเป็นคนของข้าไง”

หัวคิ้วจ้งหวาขมวดแน่น ตะคอกเสียงดุดัน “เหลวไหล!”

อืม ข้อเรียกร้องนี้มากเกินไปหน่อยดังคาด ข้านิ่งคิดชั่วครู่แล้วทนเจ็บยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง “เช่นนั้นท่านก็จูบข้าแล้วกัน”

มุมปากจ้งหวากระตุก ข้าเห็นสีหน้าเขาครึ้มดำขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนจะทำลายการเจรจาสงบศึกจึงรีบถอยให้อีกก้าว “เอาล่ะๆ เช่นนั้นเรื่องนี้พักไว้ก่อน ท่านจำไว้ว่าท่านติดค้างข้าเรื่องหนึ่งเป็นใช้ได้ ข้าช่วยนางถอนพิษก่อน อาเจียนเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงได้อาเจียนเอาอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง* ออกมาด้วย”

ข้าวางฝ่ามือลงบนหน้าผากนักพรตหญิง หมอกพิษไอหยินบนร่างนางพวกนั้นยังไม่พอให้ข้านำมาเล่น ขยับมือเพียงครั้งเดียวก็ดูดไอพิษในร่างนางทั้งหมดออกมาให้สลายไปเองได้แล้ว “เรียบร้อย”

จ้งหวามองข้าอย่างติดจะประหลาดใจ “เท่านี้ก็เสร็จแล้ว?”

ข้าพยักหน้า “ใช่แล้ว แก้พิษแล้ว แต่คำสาปนี้ ตอนนี้ยังแก้ไม่ได้

“เพราะเหตุใด”

ข้าเอ่ยอธิบาย “การแก้คำสาปจำเป็นต้องใช้ของสิ่งหนึ่งบนร่างผู้ร่ายเวทมาเป็นกระสายยาจึงจะดำเนินการได้ พวกเราต้องไปหาผู้ร่ายเวทที่เขาหลิงอวี้อะไรนั่นที่นางเพิ่งพูดออกมาด้วยกันถึงจะได้”

จ้งหวามุ่นหัวคิ้ว “ด้วยกัน?” น้ำเสียงนี้ไม่แยแสเหมือนกับเมื่อครั้งในปรโลกที่เขาสั่งให้ข้า ‘ไม่อาจออกจากปรโลกได้ภายในห้าสิบปี’ ไม่ผิดเพี้ยน “ข้าไปก็พอแล้ว” กล่าวจบเขาก็อุ้มนักพรตหญิงชิงหลิงขึ้นมา ยกเท้าเตรียมก้าวออกไปนอกข่ายอาคม

ข้ารีบเร่งตามไป “เหตุใดไม่ให้ข้าไป!”

เขาไม่ตอบคำถามข้า เพียงกล่าวเสียงเย็น “วิชาผนึกจะไม่อ่อนลงเพราะข้าไม่อยู่ ศิษย์หลิวโปเองก็หาได้ไร้ความสามารถ หากเจ้าคิดฉวยโอกาสหนี…”

“ข้าไม่หนี ข้าจะไปปราบปีศาจด้วยกันกับท่าน” ข้าเอ่ยขัดคำพูดเขาตรงๆ พยายามผลักดันตนเองสุดใจ “ท่านดูสิ นักพรตหญิงคนนี้ทั้งถูกพิษทั้งต้องคำสาป เห็นได้ว่าคนที่ทำร้ายนางฝีมือร้ายกาจ ท่านพาข้าไป ข้าสามารถถอนพิษทั้งยังแก้คำสาปได้ เป็นผู้ช่วยปราบปีศาจชั้นดีโดยแท้ พาข้าไป ท่านลงแรงเพียงครึ่งก็ได้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวแล้ว”

“ปราบปีศาจเป็นหน้าที่ของหลิวโปของข้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยืมมือปีศาจตนอื่น” เขาไม่หยุดฝีเท้า ข้าร้อนรนจนดึงเข็มขัดของเขาไว้

พูดตามจริงข้าเป็นกังวลว่าความสามารถของโม่ซีในตอนนี้ไม่อาจสู้ปีศาจตนนั้นได้ ใช้คำสาปได้ไม่แปลก ที่แปลกคือสามารถปล่อยหมอกพิษไอหยินในโลกมนุษย์ได้ เพียงคิดก็รู้ว่านั่นไม่ใช่พวกที่คบหาด้วยดีได้ แม้ข้าไม่กลัวว่าโม่ซีจะตาย แต่ข้ากลับกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ กลัวเขาเจ็บปวด กลัวว่าเขาจะถูกรังแก

แต่เมื่อข้าดึงเขาไว้ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จ้งหวาพลันชะงักเท้าหันกลับมาด้วยดวงตาเยียบเย็น ลมปราณสายหนึ่งตีถูกมือข้าอย่างรุนแรง “บังอาจ!”

ลมปราณครั้งนี้ของเขาตีมาแรงมาก พาให้หลังมือข้าแดงเป็นปื้นใหญ่เจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่ประกายเย็นเยียบที่ราวกับกระบี่ในดวงตาเขากลับทิ่มแทงหัวใจข้าให้เจ็บยิ่งกว่า ชั่วขณะนั้นคำพูดที่ข้าคิดเอาไว้ในใจล้วนแล้วแต่หายไปในลำคอ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรวางมือของตนไว้ที่ไหน ตระหนกจนไม่รู้แม้แต่ว่าต่อไปต้องแสดงอาการอย่างไร

โม่ซีในชาตินี้ เขารังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียว

เขา…

ไม่มีความสงสารเห็นใจให้ข้าแม้แต่เสี้ยวเดียว

บทที่สิบสาม

 ข้ามองดูเขา แต่กลับไม่สะอื้นไห้เหมือนเมื่อครั้งมองโม่ซีที่กำลังโกรธในปรโลก เพราะข้ารู้ว่าโม่ซีในตอนนี้จะไม่รวดร้าวเพราะข้าเจ็บปวด จะไม่ทุกข์ตรมเพราะข้าโศกเศร้า เขาคือผู้อาวุโสจ้งหวา เขาชิงชังความชั่วช้าเหมือนดั่งอริศัตรู ปีศาจก็คือความชั่วช้า ข้าก็คือปีศาจ

เขารังเกียจข้า

เห็นข้าถูกเขาตีจนทึ่มทื่อเช่นนี้ จ้งหวาก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เขากลับไม่เอ่ยขอโทษสักประโยคก็หมุนตัวจากไป

คิดไปแล้วก็ถูก ตีปีศาจตนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมีอะไรให้ต้องขอโทษเล่า

แต่แม้ว่าเขาจะตีข้าจนเจ็บ ข้าก็ยังทนปล่อยให้เขาถูกผู้อื่นตีไม่ได้

ดังนั้นข้าจึงคว้าหินใกล้มือมาก้อนหนึ่ง เล็งขว้างไปที่หลังหัวเขาอย่างแรง ตัดสินใจว่าตีเขาให้เจ็บก่อนค่อยว่ากัน

จ้งหวาเอียงหัวหลบราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้า หลบหลีกก้อนหินที่ข้าขว้างไปอย่างง่ายดาย เขาผินหน้ามองข้า ทว่าไม่คาดว่าหินที่ข้าขว้างไปเมื่อครู่จะกระแทกเข้ากับต้นเหมยด้านหลังเขา และเพราะใส่แรงไปมากจึงกระเด็นถูกต้นเหมยข้างกายเขาด้วย ลำต้นสั่นไหว หิมะที่ทับถมอยู่บนกิ่งเหมยทั้งสองต้นร่วงกราวใส่ร่างจ้งหวา พาให้นักพรตหญิงชิงหลิงที่เขาอุ้มอยู่ถูกทับด้วยหิมะทั้งร่าง หิมะทำให้ร่างของนักพรตหญิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างฉับพลัน จ้งหวาประมาทไปชั่วขณะจึงถูกชิงหลิงดึงร่วงลงไปในหิมะ

ใบหน้าหลังผ่านการเจิมหิมะของเขาดูไม่ได้อยู่บ้าง เขาเหลือบมองข้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง โค้งเอวจะพยุงชิงหลิงขึ้นมา

ข้าบุ้ยปากกล่าว “แม้ว่าท่านลงมือกับข้าทำให้ข้าเสียใจและโกรธเคืองมาก แต่ข้ายังต้องการไปกำจัดปีศาจด้วยกันกับท่าน เพียงแต่ครั้งนี้ข้าจะเปลี่ยนวิธีพูด” ข้ากระแอมให้คอโล่ง

“วิชาผนึกนี้ของท่านจะเปลี่ยนเป็นอ่อนแอลงเพราะท่านไม่อยู่หรือไม่ ศิษย์หลิวโปจะมีความสามารถจับตาดูข้าหรือไม่ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ก็เหมือนเจดีย์เชียนสั่วที่ก้นทะเลสาบนั่นแหละ ในสายตาพวกท่านมันร้ายกาจเพียงใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกัน คือข้าอยากออกไปหรือไม่เท่านั้น”

คำพูดนี้ของข้าครึ่งหนึ่งคือยั่วยุอีกครึ่งคือเหยียดหยาม ในใจจ้งหวาราวกับโมโหเดือดดาล ไม่พยุงนักพรตหญิงชิงหลิงแล้ว เพียงยืดตัวตรงหน้าเคร่งมองข้า

“ตอนนี้ท่านสามารถ ‘สู้กับข้ายกหนึ่งก่อนไปกำจัดปีศาจ’ หรือ ‘ไปกำจัดปีศาจด้วยกันกับข้า’ ในสองข้อนี้ท่านเลือกเอาเถอะ”

น้ำเสียงจ้งหวาเย็นเยียบ “ข้าไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า”

“ข้าย่อมไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับท่าน” ข้ากล่าว “ข้าเพียงแค่อยากไปดูว่าปีศาจตนนั้นมีหน้าตาอย่างไร และถือโอกาสช่วยท่านไปด้วย” ข้าสลับลำดับสองข้อในใจแล้วพูดให้เขาฟัง จากนั้นเอ่ยรับรอง “หากท่านเกรงว่าข้าจะหนีไปกลางทาง ท่านสามารถใช้คำสาปกับข้าได้ เช่นคำสาปที่ไม่ว่าเวลาใดล้วนสัมผัสได้ว่าข้าอยู่ที่ไหน หรือคำสาปที่เพียงเอ่ยเรียกข้าก็ต้องปรากฏตัวข้างกายท่านทันที”

ข้าเดินเข้าไปใกล้แล้วเลิกแขนเสื้อขึ้น พลิกข้อมือเผยจุดตายแก่เขา “ขอเพียงมีคำสาปที่สามารถทำให้ท่านวางใจได้ ท่านก็ร่ายมาเถอะ”

จ้งหวานิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อน

ข้าพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดว่าใช้เวทคำสาปไม่เป็น กำลังคิดจะบอกให้เขาส่งมือมาให้ข้าลงมือเอง กลับเห็นสายตาเขาหลุบต่ำนิ่งมองบริเวณจุดตายบนข้อมือข้า ดูชะงักงันอยู่บ้างในชั่วขณะนั้น

ข้ามองตามสายตาเขาลงไป สิ่งที่เขากำลังมองอยู่ที่แท้คือตราทองที่โม่ซีประทับบนข้อมือข้า เป็นตราทองที่โม่ซีอนุญาตให้ข้ามีอิสระสามชาติเมื่อแรกพบกัน ตอนนั้นเขาให้ข้าปกป้องจุดตายของตนเองให้ดี แต่การกระทำของข้าในวันนี้เป็นการผิดต่อคำกำชับของเขาจริงๆ

แต่ว่าล้วนเป็นโม่ซี แล้วจะเกี่ยวอันใดกัน ต่อให้วันนี้เขาต้องการชีวิตข้า…

เขาก็เอาไปไม่ได้!

เพราะดูท่าตอนนี้เขาเอาชนะข้าไม่ได้

จ้งหวายื่นมือกุมข้อมือข้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางบนตราทองที่จุดตายของข้าพอดี

เขามองอยู่ครู่หนึ่ง “รอยตรานี้…”

ข้าเงยหน้ามองเขา นึกว่าเขาจดจำอะไรขึ้นมาได้ แต่เขากลับพูดเพียงสามคำนั้นแล้วนิ่งเงียบไป ผ่านไปอีกครู่เขาคล้ายเรียกสติคืนมาได้ คิดจะดึงมือกลับไป ข้ากลับจับเขาไว้แล้ววาดตราลงกลางฝ่ามือเขาอย่างว่องไว จากนั้นดึงมือเขาเข้ามาแล้วยื่นหน้าผากชนฝ่ามือเขา จ้งหวารีบร้อนชักมือคืนไป แต่หน้าผากข้าสัมผัสฝ่ามือเขาเรียบร้อยแล้ว

รอยยันต์ประทับกลางหว่างคิ้วข้า หลังจากความรู้สึกร้อนลวกจางหายไปใต้ผิวข้าจึงกล่าว “เวทคำสาปนี้สามารถทำให้ท่านรู้ได้ตลอดเวลาว่าข้าอยู่ที่ใด ทั้งยังสามารถเห็นสิ่งที่ข้ามองเห็น ดังนั้น…” ข้ายิ้มเผล่ “ขอเพียงท่านต้องการ ข้าก็จะอยู่ในสายตาท่านไม่ว่าที่ใด”

เขากำมือแน่น ดูเหม่อลอยเล็กน้อย

ข้ากล่าว “ข้าจะไม่หนี และจะไม่จากท่านไป ข้าจะอยู่กับท่านตลอด” ชาติที่แล้วทำไม่สำเร็จ ชาตินี้ข้าต้องพยายามทำให้ได้ ข้ามองเห็นเงาตนเองในลูกตาดำลึกล้ำของเขา เอ่ยราวกับสาบาน “ข้าจะปกป้องท่านตลอดไป” ข้าพูดอย่างเชื่องช้าเพียงนั้น รักและห่วงใยอย่างชัดแจ้งจนตนเองแทบจะซาบซึ้งตามไปด้วย

ทว่าจ้งหวากลับเอ่ยถามข้าอย่างเย็นชาหลังได้สติ “อาศัยเจ้า?” น้ำเสียงสูงเล็กน้อยแฝงแววเหยียดหยามอยู่บ้าง

“อาศัยข้า”

คำตอบจริงจังของข้าทำให้จ้งหวาอึ้งไปชั่วขณะ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”

ข้ากะพริบตามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “ยังต้องถามอีก!” ข้าเอ่ย “ข้าแทบจะมอบชีวิตให้ท่านแล้ว การกระทำชัดเจนถึงเพียงนี้เหตุใดท่านยังไม่เข้าใจ! นอกเสียจากข้าต้องการเกี้ยวท่านแล้วยังจะต้องการอะไรอีก!”

สีหน้าจ้งหวาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียว หมุนกายแบกนักพรตหญิงชิงหลิงบนพื้นแล้วจากไป

ข้าไล่ตามหลังตะโกนถาม “ท่านยังดึงดันไม่คิดพาข้าไปหรือ เมื่อกี้ท่านไม่เห็นข้าแก้พิษให้นางหรือ แค่พลิกฝ่ามือก็เสร็จแล้ว ข้ามีประโยชน์เพียงนั้นท่านไม่ใช้ให้ดีเล่า ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นการเสียประโยชน์เปล่า!”

เมื่อข้าตามไปถึงริมข่ายอาคม จ้งหวาก็แบกนักพรตหญิงชิงหลิงเข้าโถงหน้าไปแล้ว ข้าได้แต่นั่งลงตรงขอบข่ายอาคม รู้สึกขุ่นเคืองเหลือทนจึงเอาหิมะปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะ บนใบหน้าเขียนว่าจ้งหวาสองคำ จากนั้นเริ่มใช้นิ้วจิ้มพุงตุ๊กตาหิมะเป็นรู ขณะที่จิ้มจนตุ๊กตาหิมะใกล้พังลงมา ด้านหลังพลันมีเสียงเย็นชากล่าวขึ้น “นี่ก็เป็นเวทคำสาปหรือ”

ข้าตบทำลายหัวตุ๊กตาหิมะแล้วลุกขึ้นยืน หันไปมองกลับเห็นจ้งหวาเปลี่ยนชุดแล้ว ดูแตกต่างจากการแต่งตัวเมื่อพักผ่อนอยู่ในเรือนนอนตามปกติ เสื้อผ้าชุดนี้บ่งบอกประโยชน์ใช้สอยอย่างชัดเจน ปกตั้งแขนสอบ เป็นการแต่งตัวเพื่อเดินทางไกล ข้างหลังสะพายกระบี่ยาวสามเชียะ* แผ่ประกายเย็นเยียบจู่โจมผู้คน ระลอกคลื่นพิสุทธิ์งดงามรุนแรงจนข้าขนลุกทั้งตัวไม่หยุด ดูท่าจะเป็นของล้ำค่า

ข้าสังเกตเขาทั้งบนล่างผ่านข่ายอาคมครู่หนึ่ง กำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจาจ้งหวากลับโบกมือคราหนึ่ง บนข่ายอาคมพลันปรากฏทางออก เขามองดูข้าด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเก่า “รอให้ข้าแก้เหตุยุ่งยากนี้สำเร็จ เจ้าจะถูกคุมขังอยู่ที่นี่”

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจใช้ข้า เช่นนี้ดูท่าแล้วยังไม่นับว่าดื้อด้านถึงขีดสุด

ข้ายิ้มกว้าง “ข้าบอกแล้ว ท่านอยู่ไหนข้าก็อยู่นั่น”

ไปปราบปีศาจด้วยกันกับโม่ซีหรือ ข้าตั้งตารอคอยยิ่ง

 

ทางไปเขาหลิงอวี้ข้ายิ่งเดินก็ยิ่งคุ้น แต่กลับนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงคุ้นเคยเช่นนี้ ได้แต่คิดว่าชาติแรกของตนคงเคยจับพลัดจับผลูเดินผ่านมา

แต่ได้ยินว่าบนเขาหลิงอวี้มีหินหยกวิญญาณ แต่เพิ่งถูกพวกมนุษย์พบเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ เมืองเล็กที่ตีนเขาก็เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เพราะอาศัยหินหยกพวกนี้หากิน ดังนั้นทุกบ้านในเมืองน้อยล้วนแต่เป็นร้านขายหยก แต่ละแห่งล้วนมีช่างหยกหัวไวมือคล่อง

ข้าเดินตามโม่ซีตลอดทาง แต่เห็นข้างถนนเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์หยาบกร้านกลุ่มหนึ่งใช้เครื่องมือขัดถูหินเสียงดัง ‘แซ่กๆ’ ทำเอาก้อนหินอย่างข้าหัวใจหดรัด

“โม่ซี พวกเรารีบเดินหน่อยเถอะ” ข้ามองชายสองคนในบ้านหลังหนึ่งใช้เลื่อยแบบเจ้าผลักข้าดึงช่วยกันตัดก้อนหินกลมก้อนหนึ่ง ในใจพร่ำรำพันว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ก้อนหินควรมา จิตใต้สำนึกสั่งให้คว้าแขนเสื้อโม่ซี แต่คนข้างกายพลันถอยหลบก้าวหนึ่ง

พอคว้าไม่ได้ข้าจึงได้สติมองด้านข้าง แต่เห็นจ้งหวาย่นหัวคิ้วถลึงตามองข้าอย่างไม่พอใจยิ่ง

“อย่าได้คิดขยับแขนขยับขาอีก!” เขาพูดจบก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า

ข้ายืนอยู่ที่เดิม มองเขาอย่างไร้เดียงสาน้อยๆ

จ้งหวาเดินไปแล้วครู่หนึ่ง ข่มกลั้นอารมณ์หันหน้ามามองข้าที่ยืนนิ่งเป็นสาก “มีอะไรอีกเล่า!”

ข้ากล่าวอย่างไร้ความผิด “เป็นท่านที่ห้ามข้าขยับแขนขยับขาอีก พอข้าไม่ขยับ ท่านก็โมโหอีก”

จ้งหวาจนคำพูด

ขณะที่ข้าพูดหยอกเขาอยู่ พลันมีปราณที่ข้าคุ้นเคยสายหนึ่งจากด้านข้างลอยเข้าจมูก ข้าพยายามสูดดม นี่เป็นไอหยินของปรโลกไม่ผิดแน่ เพียงแต่ในนั้นยังผสมกลิ่นเน่าด้วย

ข้าสอดส่ายสายตามองหาภายในร้านน้อยข้างทาง แต่เห็นในห้องมืดมิดด้านหลังสองพี่น้องที่กำลังลากก้อนหินมีเงาสีขาววูบไหวอย่างรวดเร็ว ข้าขมวดคิ้ว กางนิ้ววาดฝ่ามือ ในช่วงเสี้ยวเวลาที่ไอหยินกำลังจะลอยออกจากฝ่ามือไป ร่างจ้งหวาพลันเคลื่อนย้ายมาเบื้องหน้าข้า รวบมือข้าไว้ ขวางการโจมตีที่ยังไม่ทันได้ปล่อยออกไป

เงาสีขาวในห้องมืดนั่นก็กลายเป็นควันขาวสลายไปในช่วงเวลานี้

“อ๋า หนีไปแล้ว ท่านขวางข้าทำไม” ข้าไม่พอใจกับการขัดขวางของจ้งหวาอย่างมาก แต่หลังจากมองดูเขาแล้วข้าก็เข้าใจ “ท่านคิดว่าข้าจะพังร้านค้าผู้อื่นหรือ ข้าอ่อนโยนยิ่ง จะทำเรื่องรุนแรงเช่นนั้นได้อย่างไร”

จ้งหวานิ่งเงียบ หน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเห็นสิ่งใด”

“ปีศาจน่ะ” ข้าชี้ไปทางสองพี่น้องที่กำลังพิศดูข้ากับจ้งหวาอย่างแปลกใจแล้วเอ่ย “ในห้องด้านหลังพวกเขา หากข้าคิดไม่ผิดน่าจะเป็นปีศาจที่พวกเรามากำจัดในครั้งนี้” ข้ามองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านไม่สังเกตเห็นหรือ”

สีหน้าจ้งหวายิ่งเครียดเกร็ง

นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก ว่าตามระดับของจ้งหวาในตอนนี้ สำหรับมนุษย์ธรรมดาเรียกได้ว่าเป็นระดับสูงแล้ว แต่กระทั่งปราณของฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยังสัมผัสไม่ได้…

ข้ายิ้มอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นทันที “การกำจัดปีศาจครั้งนี้ของท่านต้องพึ่งดวงตาของข้าแล้ว!” ข้าตบเขาเบาๆ “รีบมากอดขาข้าเร็ว”

จ้งหวาริมฝีปากกระตุก เหล่มองข้าคราหนึ่ง เขายกเท้ามุ่งหน้า ท่าทางแข็งกร้าวชนิดตีให้ตายก็ไม่ยอมขอร้องข้า

ข้าก็ไม่ฝืนบังคับ กล่าวตามหลังเขา “ไม่กอดก็ไม่กอดเถอะ แม้ว่าท่านจะไม่ดีต่อข้า แต่ข้ายังต้องบอกท่านอย่างรับผิดชอบต่อหน้าที่ ท่านเดินไปผิดทางแล้ว ปราณของเขาที่ข้าสัมผัสได้รำไรมาจากในเขาหลิงอวี้”

จ้งหวากลับไม่โวยวาย หมุนเท้ากลับมาแล้วเอ่ย “นำทาง”

ในเขาหลิงอวี้ทุกที่เต็มไปด้วยหินหยกวิญญาณจริงๆ ข้าเห็นพวกมันแล้วก็เหมือนได้เห็นอนาคตเผ่าก้อนหินอันรุ่งเรืองเผ่าหนึ่ง แต่พอคิดถึงพวกคนที่เลื่อยหินแซ่กๆ ใต้เขาแล้วก็เป็นทุกข์กับวันข้างหน้าขึ้นมาทันที ข้ากำลังใจหายกับโชคชะตาของวงศ์ตระกูล จ้งหวาที่ตามหลังมาพลันเอ่ย “เจ้ากำลังหาปราณปีศาจจริงหรือ”

“จริงแน่นอน” ข้าว่า “เพียงแต่ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว” ข้าลูบคางครุ่นคิดพลางเอ่ย “ปีศาจตนนี้ปิดบังปราณได้ดี เวทมนตร์ก็ใช้ได้ดี ดูท่ายากต่อกรอยู่บ้าง แต่ว่ามีจุดที่น่าสงสัย เวทคำสาปบนร่างนักพรตหญิงชิงหลิงไม่คล้ายปีศาจตนนี้ลงมือ เพราะปราณไม่ถูก…”

คำพูดนี้ของข้ายังไม่จบจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ไอหยินมืดมิดด้านหลังพุ่งเข้าจู่โจมข้า ให้ความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ใช้น้ำในแม่น้ำลืมเลือนล้างหน้า สดชื่นยิ่งนัก

ข้าสูดหายใจอย่างรื่นรมย์ ขณะกำลังคิดจะหมุนตัวทักทายปีศาจตนนั้น กลับสัมผัสได้ว่าในไอหยินสอดแทรกไว้ด้วยจิตสังหารรุนแรง

เอาเถอะ ไม่ทักทาย มาตีกันแทนก็ได้

ข้าหมุนกายยกฝ่ามือขึ้น หมอกพิษไอหยินที่โหมซัดเข้ามาถูกข้ารับไว้กลางฝ่ามือทั้งหมด

ในช่วงที่ข้าลงมือ จ้งหวาเองก็ชักกระบี่ยาวสามเชียะบนหลังออกมาอย่างว่องไว บนตัวกระบี่มีอักษร ‘ชิงซวี’ สองคำปรากฏเลือนรางวาบประกายเยียบเย็น พอเขาชักกระบี่ ปราณเซียนสยบผู้คนบนร่างก็ผสมกับจิตสังหารน่าหวาดหวั่นบนตัวกระบี่ตัดผ่านกลางกลุ่มก้อนไอหยินอันมืดมิดนั้น

ไอหยินที่ซัดสาดเข้ามาถูกความสะอาดบริสุทธิ์กวาดหายไปหมดสิ้น

กระบี่เล่มนี้ร้ายกาจดังคาด!

หลังจากไอหยินนั้นสลายไปก็เห็นผู้หญิงในชุดขาวคนหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น นางกุมหัวไหล่ที่ดูเหมือนถูกจ้งหวาฟันใส่ เส้นผมสีขาวที่ยาวอย่างดียิ่งลู่ลงปิดใบหน้าของนาง ทำให้มองหน้าตานางไม่ชัด

“ไสหัวไป…” นางเอ่ยเสียงที่ฟังไม่ชัดอย่างยิ่งออกมาเบาๆ ราวกับว่าในปากถูกอะไรบางอย่างอุดไว้จนพูดไม่ชัด

จ้งหวาไม่แน่ใจที่มาของนางจึงไม่สะเพร่าลงมือ

ข้าค่อยๆ โค้งเอวลงอยากดูหน้าตาของนาง

พริบตานั้นกระบี่ชิงซวีในมือจ้งหวาครวญครางสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที รอบด้านเนืองแน่นไปด้วยไอหยินโดยพลัน “ไสหัวไป!” เสียงแหลมคมราวกับฉีกออกมาจากกลางอากาศ ร่างของหญิงผู้นั้นหายไปในพริบตา รอจนข้าสัมผัสได้อีกครั้งนางก็ขยับมาอยู่ข้างหลังข้าแล้ว!

ปีศาจตนนี้รวดเร็วยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้ถึงสามส่วน พอกรงเล็บแหลมคมของนางตวัดลงมา ข้าก็ยกมือขึ้นต้านตามจิตใต้สำนึก เล็บที่คมเหมือนมีดไม่มีผิดกรีดผ่านหลังมือข้า ข้าตั้งใจจะจับข้อมือนางตรงๆ แต่ไม่คาดว่ากระบี่ชิงซวีจะแทรกเข้ามาด้านข้างแยกปีศาจสาวออกไป

จ้งหวาเหลือมองหลังมือข้าคราหนึ่ง โยนขวดหยกขาวใบเล็กจากในแขนเสื้อให้ข้าแล้วเอ่ยสั้นๆ ง่ายๆ “หยุดเลือด” ยังพูดไม่จบเขาก็เข้าไปสู้กับปีศาจสาวตนนั้นแล้ว

ข้ารับขวดหยกที่ยังแฝงไออุ่นจากร่างของเขา โรยยารักษาแผลลงบนปากแผล

ความจริงแผลนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หมอกพิษไอหยินของนางทำร้ายข้าไม่ได้ อย่างมากก็นับเป็นรอยสุนัขข่วนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาแผลชั้นดีนี้ของจ้งหวา แต่เพราะเป็นโม่ซี ดังนั้นสำหรับข้านี่ไม่ใช่ยา แต่เป็นความใส่ใจ เขาเพียงแค่ใส่ใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ปัดเป่าความคับข้องหมองใจในช่วงหลายวันมานี้ของข้าหายไปราวกับควันได้อย่างปาฏิหาริย์

นอกเสียจากต่อว่าตนเองในใจว่าไม่เอาไหนแล้ว ข้ายังจะโทษอะไรเขาได้เล่า…

ขณะที่ข้าเหม่อลอยพลันได้ยินเสียงร้องอู้อี้ของปีศาจสาว พอเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นจ้งหวาใช้กระบี่ชิงซวีแทงผ่านท้องของนางแล้ว ปีศาจตนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมาในทันที ดวงหน้าน่ากลัวจนข้าที่เติบโตในปรโลกยังต้องสูดหายใจหนาวเยือก

นางไม่มีลูกตา ไม่มีจมูก ไม่มีหู คิดดูแล้วลิ้นในปากก็คง…

จ้งหวาเองก็ตะลึง ทว่าชั่วพริบตาที่เขาชะงัก ไอหยินที่รวมไว้กลางฝ่ามือปีศาจสาวก็กระแทกเข้ากับหน้าอกจ้งหวา ตบจนเขาปลิวลอยไป กระบี่ชิงซวีกระเด็นหลุดจากมือเขาปักเข้าไปในพื้นดินอีกด้าน

ข้ารีบร้องเรียกชื่อโม่ซีแล้ววิ่งเข้าไป แต่เห็นเขาสีหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากมีเลือดไหล เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทั้งหน้า ข้าเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง คิดแต่จะหักกระดูกคนที่ทำร้ายเขา แต่พอข้าหันไปมองที่นั่นก็ไม่มีใครแล้ว แม้แต่ปราณก็ล้วนหายไปสิ้น

จ้งหวาร้องครางเสียงหนึ่ง “ไม่ต้องสนใจข้า…” เขาพูดไปด้วยหอบไปด้วย “ปีศาจตนนี้ถูกข้าทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้ว รีบไปจับนางก่อน…”

“ท่านก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน อย่าขยับ”

ข้ากดตัวเขาไว้ ขยับมือจะแหวกสาบเสื้อดูบาดแผลให้เขา จ้งหวากลับไม่รู้เป็นอะไร กุมสาบเสื้อของตนเองแน่น “ไม่…ไม่ต้องมาแตะข้า!”

“ไม่แตะแล้วจะรักษาได้อย่างไร!” ข้าบังคับงัดมือเขาออก เปิดสาบเสื้อทันเห็นบนหน้าอกราบเรียบมีรอยฝ่ามือดำกำลังหายไปช้าๆ ข้ารู้ว่าหมอกพิษไอหยินพวกนี้กำลังแทรกเข้าไปภายในร่างกายเขาแล้ว หากว่าอวัยวะห้ากลั่นหกกรองถูกกัดกร่อน หากว่าข้าดูดออกมาไม่หมด ถึงตอนนั้นตายไปยังนับว่าดี ที่น่ากลัวที่สุดคือร่างกายจ้งหวาแข็งแกร่ง ยืนหยัดได้สามเดือนห้าเดือนไม่ตาย ความเจ็บปวดของการถูกไอหยินรุนแรงทิ่มแทงก็คือการทรมานผู้คนดีๆ นี่เอง

ข้าร้อนใจจึงคร้านจะเอ่ยปากบอกเขาแล้ว ก้มหัวลงเหนือหน้าอกเขา ริมฝีปากแนบเข้ากับแผ่นอกเบาๆ ร่างกายจ้งหวาแข็งเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เขาอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายผลักหัวข้า “เหลว! เหลวไหล!”

ข้าไม่สนใจเขา มือข้างหนึ่งจับกดมือของเขา อีกข้างอุดปากจมูกเขาไว้แน่น จากนั้นก็แนบปากกับหน้าอกเขาแล้วสูดหายใจเข้าลึก ไอหยินที่ยังไม่เข้าไปในทรวงอกเขาพวกนั้นค่อยๆ ถูกข้าสูบเข้าไปในปาก แต่ยังคงมีบางส่วนตกค้างอยู่ในเลือดและอวัยวะภายในของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าต้องหาสถานที่กรอกน้ำใส่เข้าให้มากหน่อยจึงจะได้

“จ้งหวา ข้าพยุงท่านไปหาน้ำดื่ม สองวันนี้ต้องกินให้มากถ่ายให้มาก” ข้าพูดออกมาเช่นนี้ แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ข้าเงยมองเขาอย่างงงัน ปล่อยมือที่อุดปากกับจมูกเขาแล้วตบหน้าเขาเบาๆ “ นี่…จ้งหวา? โม่ซี?” ข้าตบแรงขึ้นอีกสองทีเขาก็ยังไม่ฟื้น

ที่แท้…ถูกข้าอุดปากอุดจมูกจนสลบไปแล้ว

ก็ได้ สมน้ำหน้าข้าแล้วที่ต้องแบกเขาไปหาน้ำดื่ม

ข้าแบกจ้งหวาขึ้นมาแล้วไปเก็บกระบี่ชิงซวีที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อน แต่เมื่อมือข้าเพิ่งแตะถูกด้ามจับ ได้ยินแต่เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้นมา มือของข้าก็ถูกดีดออกไป ตามด้วยความรู้สึกปวดชาราวกับถูกฟ้าผ่า ข้าสะบัดมือ “จำคนได้อีก เป็นของล้ำค่าหายากจริงๆ”

ข้าฉีกชายเสื้อของจ้งหวาอย่างไม่เกรงใจ คิดจะใช้เสื้อผ้าของเขามัดกระบี่ชิงซวีแล้วลากไปด้วย แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผ้าชิ้นนี้ของข้าเพิ่งเข้าใกล้ด้ามกระบี่ ปราณเซียนที่รุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่ก็ตีมือข้าผ่านผืนผ้าดังเปรี๊ยะๆ ทำเอาสองมือของข้าถูกลวกแดงไปหมด

ข้าโยนผ้าทิ้งแล้วจ้องกระบี่เล่มนี้ครู่หนึ่ง “เอาเถอะ เช่นนั้นเจ้าก็รอที่นี่”

กระบี่ชิงซวีคล้ายว่ากำลังครวญครางด้วยความโกรธ

ข้ารู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้เย่อหยิ่งทะนงตนเหมือนจ้งหวาเจ้าของมันไม่มีผิด เพราะจ้งหวาคือโม่ซี ดังนั้นข้าจึงยอมให้อภัยโทสะของเขา แต่กระบี่เล่มนี้มีค่าแค่ไม่เท่าไรในใจข้า ข้าไม่จำเป็นต้องให้อภัยมัน

ดังนั้นข้าจึงแบกจ้งหวาจากไปโดยไม่ลังเล ปล่อยให้มันปักอยู่ตรงนั้นร้องครวญไปจนฟ้าร้างดินเก่า*

เดินไปถึงลำธารเล็ก คราวนี้ข้ากลับลำบากใจว่าจะเอาอะไรมารองน้ำให้เขาดี ใบไม้เล็กก็ตักน้ำได้ไม่เท่าไร ใบใหญ่ก็ไม่มี ใช้มือหรือ ไม่ทันเดินถึงข้างกายเขาก็รั่วหมดแล้ว

ข้าหงุดหงิดจึงลากตัวจ้งหวาไปที่ริมลำธาร ตั้งใจว่าเอาหัวเขาลงไปในน้ำให้เขาดื่มเองเสียเลย ผลคือเพิ่งจับหัวเขาวางลงไปในน้ำ น้ำใสสะอาดในลำธารก็ไหลเข้าไปในโพรงจมูกเขาจนสำลักไอไม่หยุด ข้าต้องรีบยกหัวเขาขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่งในที่สุดก็หาท่วงท่าที่ถูกต้องได้

ขาข้างหนึ่งของข้าคุกเข่าอยู่ในน้ำ ให้เขาหนุนอยู่บนเข่าข้า คลึงเปิดขากรรไกรล่างแล้ววักน้ำให้เข้าไปในปากเขา

ดวงอาทิตย์สาดส่องจนน้ำในลำธารอบอุ่น ยาบนหลังมือข้าไม่ทันไรก็ถูกน้ำพัดหายไปแล้ว ปากแผลฉีกเปิดอีกครั้งภายใต้การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ เลือดที่หลังมือปะปนลงไปในน้ำและถูกข้าตักเข้าปากจ้งหวา

กลิ่นเลือดอาจจะเข้มไปหน่อยทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เขาลืมตาเป็นเส้นเล็กๆ คงเพราะไม่มีแรงจะทำรังเกียจข้า ดังนั้นจึงได้แต่มองข้าอย่างกึ่งฝันกึ่งตื่น นิ่งสงบจนคล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน ไม่ต่อต้านและไม่ระแวดระวังแม้แต่น้อยเวลาพบข้า

เห็นเขาที่เป็นเช่นนี้ข้าก็ใจอ่อนยวบ ลูบหัวเขาเหมือนกับสมัยก่อน “ยังไม่สบายตัวอยู่หรือไม่”

เขาไม่ตอบข้า แสงอาทิตย์ในดวงตาเขาแตกพร่าน้อยๆ “เปียก…”

เปียก?

ข้าช้อนเส้นผมที่ร่วงลงน้ำของเขาขึ้นมาบิดเบาๆ “รออีกครู่ ช่วยท่านเช็ดให้แห้งก็ได้แล้ว”

สาบเสื้อของเขาเมื่อครู่ถูกข้าแบะออก ยามนี้ข้าขยับนิ้วมือเบาๆ ก็เห็นแผ่นอกเรียบลื่นของเขาแล้ว หมอกพิษไอหยินสีดำถูกข้าดูดออกมาได้ส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังหลงเหลือบางส่วนอยู่ในผิวของเขา “ไอหยินของปีศาจตนนั้นร้ายกาจน่าดู แต่ว่าท่านวางใจ มีซานเซิงอยู่ จะไม่ให้ท่านเกิดเรื่องใดขึ้นแน่”

เปลือกตาของเขาขยับน้อยๆ แล้วจึงปิดลง หลับไปอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาได้ยินคำพูดของข้าหรือไม่

บทที่สิบสี่

 ข้ารู้สึกว่าป้อนน้ำให้ดื่มไปไม่น้อยแล้ว จึงตั้งใจหาสถานที่สักแห่งให้เขาได้พัก แต่เพิ่งแบกเขาขึ้นมายังไม่ทันเดินเลยสักก้าว พลันสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจลอยมา ข้าหันมองไปตามทิศที่รู้สึก กลับเห็นปีศาจน้อยอายุราวสิบขวบตนหนึ่งแอบมองข้าอยู่หลังต้นไม้ริมลำธารอีกด้าน “ที่ท่านแบกอยู่บนหลังคือผู้บำเพ็ญเซียนใช่หรือไม่”

ปีศาจน้อยตนนี้น่ารักยิ่ง พลังปีศาจบนร่างก็ไม่เท่าไร ข้าจึงไม่ต้องระวังเขา พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด”

“คนที่สู้กับพี่สาวเซียนจิ้งจอกเมื่อครู่คือพวกท่านหรือ”

หญิงที่ไร้เครื่องหน้าทั้งห้าเมื่อครู่นี้ถึงกับเป็นปีศาจจิ้งจอก? ไม่ใช่ลือกันว่าปีศาจจิ้งจอกล้วนอาภรณ์โบกพลิ้วมีเสน่ห์งามล้ำหรอกหรือ เหตุใดจึงมีหน้าตาเช่นนั้นได้ ปีศาจน้อยเห็นข้ามึนงงจึงเกาหัวกล่าว “ก็คือพี่สาวที่ผมขาว ชุดขาว ใบหน้าถูกคนชั่วทำลายตนนั้น คนที่สู้กับนางคือพวกท่านหรือ”

ฟังเขาพูดเช่นนี้จึงเข้าใจ ข้าพยักหน้า “น่าจะพวกเราไม่ผิด ทำไมหรือ”

ปีศาจน้อยพยักหน้าหงึกหงัก กวักมือไปข้างหลัง “พวกเขานี่ละ!”

ในใจข้าพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดวาบขึ้นมา ยังไม่ทันได้แน่ใจก็เห็นเงาคนมากมายออกมาจากในต้นไม้ฝั่งตรงข้ามลำธาร มีทั้งแก่ทั้งเด็ก ทั้งชายทั้งหญิง แต่ปราณของพวกเขา ข้าดมดูแล้วล้วนเหมือนกัน เป็นปีศาจที่แปลงมาจากก้อนหินทั้งสิ้น

คนบ้านเดียวกันทั้งกลุ่มเลย!

เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าคนบ้านเดียวกันกลุ่มนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไร “เป็นนักพรตหน้าเหม็นอยากได้ชื่อว่ากำจัดปีศาจอีกแล้วรึ”

“ผู้บำเพ็ญเซียนที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

“ท่าทางวาดมาดภูมิฐานเช่นนี้พาให้คนสะอิดสะเอียนเสียจริง”

“ฆ่าพวกเขาเลย”

“ฆ่าพวกเขาเลย”

เสียงของพวกเขาเบา แต่ล้วนลอยเข้ารูหูข้าอย่างชัดเจน

ปีศาจพวกนี้ล้วนตบะไม่สูง หากประมือหนึ่งต่อหนึ่งพวกเขาย่อมเอาชนะข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคนมาก ส่วนข้ายังต้องคุ้มครองจ้งหวาที่สลบอยู่ สำแดงวิชาเวทได้ไม่เต็มที่ หากสู้กันขึ้นมาคาดว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก

ดังนั้นข้าจึงทำหน้านิ่งเอ่ย “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ไม่ใช่พวกเดียวกัน ข้าถูกเขาบีบบังคับ บีบจนไม่มีทางเลือกถึงต้องช่วยเขากำจัดปีศาจ ที่จริงในใจข้าไม่ยินยอมอย่างยิ่ง พวกท่านดู ที่ตอนนี้เขาสลบไม่ฟื้นเป็นเพราะเมื่อครู่ระหว่างที่ประลองเวทกับหญิงคนนั้น ข้าลอบทำร้ายเขาจากด้านหลัง นี่ข้าไม่ใช่กำลังคิดลากเขาไปฝังหรอกหรือ” พวกปีศาจฝั่งตรงข้ามมองข้าด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ลงมือจริงๆ ข้าถอยหลังเงียบๆ ก้าวหนึ่ง “ขุนเขาไม่แปรเปลี่ยน ธาราไหลชั่วกาล ทุกท่านไว้พบกันใหม่”

ข้าทำมุทระเตรียมจะหนี ทว่าลำแขนกลับถูกคนคว้าไว้ทันที ข้าปล่อยไอหยินออกไปตามจิตใต้สำนึกด้วยคิดจะบีบให้ผู้มาล่าถอย คนผู้นั้นกลับหลบพ้นการจู่โจมนี้ ใช้น้ำเสียงคึกคักยินดีร้องตะโกน

“ซานเซิง!”

ข้าตะลึง เพิ่งมองผู้มาเต็มตาเอาตอนนี้ “เอ๋ สือต้าจ้วง?”

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” เขาตื่นเต้นระคนดีใจ

“เจ้ายังไม่ตายหรือ” ข้าออกจะแปลกใจอยู่บ้าง

เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เกาหัวยิ้มซื่อๆ แล้ว เพียงแค่ยกริมฝีปาก ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงวิบวับ น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยเอ่ยหยอกเย้า “ฮ่า มีใครพบกันแล้วทักทายแบบพวกเราบ้าง”

ฮ้า การเปลี่ยนแปลงของเขาทำเอาข้าประหลาดใจอย่างแท้จริง

บุคลิกเยือกเย็นเช่นนี้ อารมณ์ขันที่เอ่ยเย้าตนเองเช่นนี้ ทั้งสองอย่างนี้เทียบกับเมื่อก่อนเป็นวิธีที่ไม่รู้ว่าเกี้ยวคนติดได้เพิ่มตั้งกี่เท่า ข้าตะลึงมองเขาอย่างละเอียดอีกครั้งและอีกครั้ง จากหัวจรดเท้า นอกจากใบหน้าของเขาเป็นสือต้าจ้วงแล้ว ข้าหาไม่เจอว่ายังมีส่วนไหนเหมือนสือต้าจ้วงเมื่อครั้งอดีตอีกจริงๆ ข้าประหลาดใจ “จากกันนานปี ต้าจ้วง เจ้าพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหรือ”

สือต้าจ้วงได้ยินสีหน้าก็นิ่งขึงชั่วขณะ ก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วยิ้มตาหยี “ดูเจ้าพูดเข้า ซานเซิง พวกเราจากกันครั้งนี้เกือบร้อยปี โลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมากมาย แล้วใครจะไม่เปลี่ยนไปได้เล่า”

ไม่ถูกๆๆ นี่ก็ไม่เหมือนคำพูดของสือต้าจ้วงเลยจริงๆ ข้ากุมหน้าผากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

ชาติก่อน หลังจากข้าตาย โม่ซียังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์อีกหลายสิบปี หลังจากชาติแรกของเขาจบลงก็ลงมาปรโลกประทับตราให้ข้า ข้ารออยู่ห้าสิบปี นับดูแล้วข้ากับสือต้าจ้วงก็แยกจากกันเกือบร้อยปีได้ แต่วันเวลาออกจะแล้งน้ำใจไปหน่อยแล้ว เหตุใดจึงทำให้สือต้าจ้วงที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เปลี่ยนเป็นมีท่าทางระทมทุกข์ทว่าตระการตาเช่นนี้ได้

“แต่พอดูให้ดี เจ้ากลับไม่เปลี่ยน ยังเปี่ยมไหวพริบเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด นี่…” สือต้าจ้วงมองคนที่ข้าแบกอยู่แล้วตะลึงงันเล็กน้อย “โม่ซี?”

“ตอนนี้เขาชื่อจ้งหวา…”

ข้ายังพูดไม่จบ ที่ฝั่งตรงข้ามก็มีปีศาจส่งเสียงมาอย่างแปลกใจ “ใต้เท้าเหยียนซิ่ว ท่านรู้จักพวกเขาหรือ”

เหยียนซิ่ว? แม้แต่ชื่อก็เปลี่ยนเป็นสง่างามขึ้น…

“สองคนนี้เป็นสหายเก่าของข้า เรื่องนี้เกรงว่าคงมีการเข้าใจผิด” สือต้าจ้วงหมุนตัวพูดกับพวกเขา “ข้าจะถามต้นสายปลายเหตุจากพวกเขาอย่างชัดแจ้งเอง วันนี้ทุกท่านก็แยกย้ายไปก่อนเถอะ” ท่าทางเขาจะมีบารมีและความน่าเชื่อถือยิ่งในหมู่พวกนี้ พูดเพียงสองสามประโยคก็ทำให้ปีศาจตนอื่นแยกย้ายไปได้แล้ว เขาหันหน้ามายิ้มมองข้า “ซานเซิง หากเจ้าไม่มีที่พักก็ไปที่ที่ข้าอยู่ก่อนเถอะ” สีหน้าเขาดูยากจะคาดเดาอยู่บ้าง “แต่หากว่ากันจริงๆ นั่นก็เป็นที่พักของเจ้า”

 

ชาติก่อนหลังจากโม่ซีไปเป็นขุนนาง ข้าเคยคิดว่าหากโชคชะตาปรานีให้โม่ซีผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ ข้าจะต้องอยู่กับเขาจนผมหงอกขาว แล้วตามเขาเกษียณอายุลากลับบ้านเดิม กลับไปยังบ้านที่เขาอาศัยอยู่เมื่อยังเล็ก ใช้ชีวิตอยู่กับเขาเหมือนสมัยก่อน

แต่ภายหลังข้ากลับไม่สามารถร่วมเดินกับเขาจนสุดหนทาง ความปรารถนาในชาติก่อนนั้นข้าปล่อยให้มันไหลรินร่วงลึกไปตามน้ำในแม่น้ำลืมเลือน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังมีวันที่ได้กลับมาที่บ้านเหมยแดง ดังนั้นตอนที่เห็นสวนด้านหลังของจ้งหวาถึงได้ตื่นตะลึงและซาบซึ้งถึงเพียงนั้น

แต่ความตื่นตะลึงและซาบซึ้งในวันนั้นกลับยังไม่เท่าตอนนี้

เมื่อมองเห็นบ้านหลังน้อยตรงหน้า ข้าเกือบจะโยนจ้งหวาลงกับพื้นแล้ว

มันไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยังคงเหมือนเมื่อแรกพบ

มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นเส้นทางมาเขาหลิวอวี้ถึงเพียงนั้น ที่แท้นั่นเป็นทางกลับบ้านนี่เอง ทุกก้าวที่เข้าใกล้บ้านหลังเล็กราวกับมีความทรงจำนับไม่ถ้วนแผ่กางขึ้นมาตรงหน้า เหมือนว่าเมื่อวานโม่ซียังอ่านหนังสืออยู่ข้างกายข้า เมื่อครู่ข้ายังเอนตัวอ่านนิทานชาวบ้านบนเก้าอี้โยก

ทว่าเมื่อหันกลับมาก็ผ่านไปร้อยปีแล้ว

ข้าผินหน้ามองจ้งหวาที่แบกอยู่บนหลัง หัวของเขาซบอยู่บนไหล่ข้า หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ข้าสูดจมูกอย่างเศร้าโศก ทอดถอนใจด้วยท่าทางใกล้จะร้องไห้ “คนไม่รับผิดชอบไร้มโนธรรม”

สือต้าจ้วงที่เดินอยู่ข้างหน้าสองเก้าพลันชะงักเท้า หันมามองข้าอย่างความรู้สึกไวไปหน่อย “พูดถึงข้า?”

ข้าเช็ดน้ำตา “ข้าพูดถึงเขาต่างหาก” ข้าก้าวตามสือต้าจ้วงพลางเอ่ยว่า “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ปีศาจพวกนั้นมันเรื่องอะไรอีก”

“หลังจากอัครเสนาบดีโม่ซีตายไป…” เขามองจ้งหวาคราหนึ่ง

ข้าอธิบาย “นี่คือโม่ซีกลับชาติมาเกิด ปัจจุบันคือจ้งหวาเจ้าสำนักหลิวโป ไม่ใช่โม่ซีที่เจ้ารู้จักสมัยก่อนแล้ว”

สือต้าจ้วงตะลึง ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นงดงามเผยประกายแปลกใจ “เช่นนั้นเจ้า…”

“ข้าก็มาเกิดใหม่เช่นกัน แต่ว่าข้ามีสัมพันธ์ภายในจึงไม่ต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง”

สือต้าจ้วงเงียบไปนาน “จริงสิ เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดว่าเจ้าเป็นยมบาล ตอนนี้มาคิดดูแล้ว แม้ฐานะยมบาลจะโกหก แต่เจ้าคงเกี่ยวข้องกับปรโลกอยู่บ้างจริงๆ”

แน่นอน เกี่ยวข้องลึกซึ้งเลยล่ะ

สือต้าจ้วงเงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนแรกเจ้าจึงไม่รีบกลับมาดูโม่ซีสักหน่อย เพื่อเจ้าแล้วเขา…” สือต้าจ้วงคล้ายว่าพูดต่อไม่ได้ และที่โม่ซีต้องทุกข์ระทมเพราะข้า เรื่องพวกนี้ข้ารู้แล้วจึงคร้านจะไล่ถามเขาอีก

“ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พูดกับเจ้าอีกก็ไร้ประโยชน์” เขากล่าวต่อ “ตอนนั้นหลังเจ้าจากไปแล้ว ข้ายังอยู่ในเมืองหลวงอีกสองสามปี ภายหลังข้าออกจากเมืองหลวงจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ คำนวณดูก็หลายสิบปีแล้ว พวกปีศาจเมื่อครู่กลายร่างมาจากหินหยกบนเขานี้ ล้วนแต่ก่อรูปร่างในช่วงยี่สิบสามสิบปีนี้ คงเพราะได้รับอิทธิพลจากปราณปีศาจบนร่างข้ากระมัง ดังนั้นพวกเขาเลยเรียกข้าว่าใต้เท้า ทั้งที่จริงข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นใด”

อันที่จริงข้าไม่เชื่อคำพูดเขา ไม่ได้ทำเรื่องใด แล้วคนที่เถรตรงสัตย์ซื่อคนหนึ่งเหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้

เขาผลักประตูบ้าน กลิ่นหอมสายหนึ่งพุ่งออกมาต้อนรับ หอมแรงจนฉุนไปบ้าง

“อาซิ่ว” เสียงอ่อนหวานดังตามกลิ่นหอมเข้าสู่รูหู ราวกับว่าจะเรียกให้กระดูกผู้คนอ่อนยวบไร้แรงไปด้วย

ข้าตัวสั่นคราหนึ่ง แต่กลับเห็นหญิงในชุดชมพูนางหนึ่งเกาะติดกับร่างสือต้าจ้วงราวกับไร้กระดูก

ข้ากะพริบตาปริบๆ พิจารณาคนทั้งสอง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเครื่องหน้าของหญิงผู้นี้คุ้นตาอยู่บ้าง

สือต้าจ้วงโอบเอวหญิงผู้นั้นอย่างคุ้นเคย “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าดื้ออีกแล้ว ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่าวันที่แปดเดือนหน้าข้าจะไปหาเจ้า” พฤติกรรมนี้ของเขาไม่แตกต่างกับชายเจ้าชู้ในนิทานเลยแม้แต่น้อยจริงๆ

ข้าชมดูอย่างตื่นตาตื่นใจ

หญิงสาวใช้นิ้วมือวาดวงกลมบนหน้าอกเขา ไม่มองข้าแม้สักนิด “ผู้อื่นคิดถึงท่านนี่นา”

“วันนี้มีสหายเก่ามาเยี่ยมเยียน รอวันที่แปดข้าค่อยไปหาเจ้า” พูดจบสือต้าจ้วงก็โยนหญิงในชุดชมพูออกไปนอกประตูบ้าน แล้วลากข้าเข้าไปข้างใน เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นพร้อมประตูที่ปิดลง

ข้ามองจนปากอ้าตาค้าง “เช่นนี้…ก็ได้หรือ”

“ย่อมได้อยู่แล้ว”

เยี่ยมยอด วิธีปฏิเสธผู้หญิงยังเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น เบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นความเด็ดขาดที่หาได้ยากจริงๆ

เขาเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย “ห้องที่เจ้าเคยอยู่เมื่อก่อน ตอนนี้ข้าใช้อยู่ ข้าจะจัดเก็บห้องอื่นสองห้องให้พวกเจ้าพัก”

ข้าตะแคงหูฟัง นอกบ้านถึงกับไม่มีเสียงคนงามตวาดด่าว่าชายใจโฉด ดูท่าคงคุ้นเคยกับวิธีปฏิบัติเช่นนี้แล้ว?

“ผู้กล้า!” ข้ารีบแบกจ้งหวาตามไปด้วย “ผู้กล้า ความสามารถในการสยบจิตใจคนพวกนี้เจ้าทำอย่างไรกันแน่ เจ้าสอนข้าที ช่วงนี้ข้ากำลังฝึกคนผู้หนึ่งให้เชื่องพอดี”

สือต้าจ้วงปูผ้านวมให้ข้าพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ง่ายมาก ไม่มีใจก็ได้แล้ว”

เห็นสีหน้าเขาขณะพูดประโยคนี้แล้ว ข้าพลันรู้สึกได้ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เขาต้องมีความในใจบางอย่างแน่ๆ ข้าครุ่นคิดอย่างละเอียด ในที่สุดก็นึกออกว่าเหตุใดเมื่อครู่จึงรู้สึกคุ้นดวงหน้าของผู้หญิงคนนั้น

ข้าวางจ้งหวาลงบนเตียงที่เขาปูผ้าดีแล้ว มองเขาอย่างจริงจัง “ซย่าอี…” ครั้นสองคำนี้หลุดออกมา แววตาของสือต้าจ้วงพลันอึมครึมลง ข้าเอ่ยถาม “เจ้ายังจำนางได้หรือ”

“จำได้สิ” เขายิ้มมองข้า “นางตายเพราะข้า” เขาพูดราวกับว่าการตายของซย่าอีไม่มีผลอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย แต่หลังพูดประโยคนี้จบเขาก็รีบร้อนทิ้งอีกประโยค “ข้าจะไปจัดอีกห้องให้” แล้วเดินจากไปราวกับกำลังหนี

ข้าลูบคางน้อยๆ หวนระลึกถึงสีหน้าของซย่าอีเมื่อครั้งกลับมาเกิดใหม่ในปรโลก รู้สึกอยากรู้เรื่องราวระหว่างทั้งสองขึ้นมาในทันที หนอนตะกละที่อยากชมดูความคึกคักในท้องถูกล่อออกมาแล้ว ขณะกำลังคิดจะออกไปจับตัวสือต้าจ้วงมาถามเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกเขาให้ดีๆ พลันได้ยินเสียงครางคราหนึ่งจากข้างหลัง เป็นจ้งหวาที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว

ละเว้นสือต้าจ้วงชั่วคราวก่อน ข้าเดินไปข้างกายจ้งหวา เห็นเขาพยายามประคองตัวขึ้นนั่งจึงยื่นมือออกไปคิดจะช่วยพยุง แต่กลับถูกเขาหลบโดยจิตใต้สำนึก เขาสำรวจทั่วห้องอย่างระแวดระวังรอบหนึ่ง “นี่คือที่ไหน”

‘บ้านท่าน’ สองคำนี้สุดท้ายข้าก็กลืนมันเข้าไปในท้อง ไม่ได้พูดออกไป ขณะกำลังไตร่ตรองกลับเห็นจ้งหวาที่กวาดตามองเครื่องตกแต่งภายในห้องเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง “ห้องนี้…”

ห้องนี้คือห้องที่โม่ซีอยู่สมัยก่อน เครื่องเรือนพื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่โต๊ะเก้าอี้ดูเก่ากว่าเมื่อก่อนมากเท่านั้น

เห็นสีหน้านี้ของเขา ในใจข้าซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่คิดฝ่าฝืนกฎสวรรค์บอกเรื่องราวในชาติก่อนกับเขา ข้าเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง “เป็นบ้านของสหายเก่าคนหนึ่งของข้า ท่านไม่ใช่บาดเจ็บหรือ ข้าจึงขอยืมสถานที่ของผู้อื่นพักผ่อนครู่หนึ่ง” เพิ่งเอ่ยคำไป สือต้าจ้วงก็หอบของเก่าชำรุดที่ค้นออกมาจากอีกห้องหนึ่งผ่านหน้าประตูพอดี

ครั้นจ้งหวาเห็นเขา จิตสังหารก็พวยพุ่งขึ้นทั่วทั้งร่าง ขยับมือคิดจะกำจัดปีศาจ

“นี่ ท่านบาด…” คำพูดขัดขวางของข้ายังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นจ้งหวาที่ยื่นมือออกไปด้านหลังจะหยิบกระบี่หยุดชะงักแข็งทื่อขึ้นมาพลัน

ย่อมต้องหยุดแน่นอน เพราะกระบี่ชิงซวีเล่มนั้นของเขาถูกข้าทิ้งไว้ในป่าแล้ว

สีหน้าจ้งหวาเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ชั่วขณะ เส้นเลือดที่เต้นตุบๆ บนหน้าผากแสดงออกเป็นนัยว่าเขากำลังข่มอารมณ์อย่างยิ่ง “กระบี่ชิงซวีอยู่ที่ไหน”

“ถูกข้าทิ้งไปแล้ว”

เขาเงยหน้าขึ้นมองข้า ดวงตาแฝงแววสังหาร “ทิ้งไว้ที่ใด”

“ในป่า” เห็นจิตสังหารรอบกายเขายิ่งหนักขึ้นข้าจึงเอ่ยอธิบาย “เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้จริงๆ กระบี่เล่มนั้นของท่านจดจำเจ้านาย ข้าแตะไม่ได้ ขนาดใช้เสื้อผ้าของท่านห่อมันยังไม่ยอม ข้าหมดปัญญาจึงได้แต่ทิ้งมันไว้ในป่า”

จ้งหวาข่มโทสะลงชั่วคราว นับว่าฟังคำอธิบายนี้ของข้าแล้ว

“พาข้าไปหามัน”

“ตอนนี้ท่านไม่ควรเคลื่อนไหวมั่วซั่ว” ข้าขวางเขา

“พาข้าไป”

“แต่ตอนนี้ท่าน…ไม่สามารถขยับได้”

เขาเงยมองข้า “กระบี่ชิงซวีเป็นของล้ำค่าของหลิวโป ไม่อาจสูญหายได้”

“แต่ท่าน…ก็ได้ ที่จริงท่านสามารถขยับได้เล็กน้อย แต่…” ข้าเอ่ยตามจริง “แต่ข้าหาป่าแห่งนั้นไม่เจอแล้ว” สีหน้าจ้งหวาขึ้นสีเขียว ข้าเกาหัว เสมองคานห้อง “เมื่อครู่บังเอิญพบสหายเก่า เดินไปคุยไปตลอดทาง ฮะๆๆ… ข้าก็เลยไม่ได้จำเส้นทาง ฮ่าๆๆ…”

เสียงสูดหายใจของเขาทั้งสะกดอารมณ์ทั้งหนักหน่วง “ปีศาจก้อนหินเมื่อครู่นี้คือสหายเจ้าสินะ ให้เขาพาข้าไป”

“เขาก็อาจหาที่นั่นไม่เจอเหมือนกัน” ข้ากล่าว “จุดที่ทิ้งดาบไว้ห่างจากจุดที่ข้าพบเขามากโขอยู่…”

จ้งหวาพลันไม่คิดพูดกับข้าอีก และไม่สนว่าหมอกพิษไอหยินในหน้าอกเป็นอย่างไร เขาผลักข้าออก มุ่งหน้าเดินเข้าไปในลานบ้าน แต่ไม่ถึงสองก้าวก็ต้องกุมหน้าอกคุกเข่าลงแล้ว คงเพราะไอหยินที่ตกค้างในร่างกระจายออกไป

“ได้ๆๆ ข้าไปหาๆ” ข้าทนเห็นเขาเคี่ยวกรำตัวเองไม่ได้จึงรีบเอ่ย “รอหาพบแล้วข้าก็จะอยู่เฝ้าข้างๆ กระบี่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช่ร่ายเวทคำสาปใส่ข้าหรือ พออาการท่านดีขึ้นบ้างแล้วค่อยตามมาทางที่ข้าอยู่เป็นใช้ได้”

“พวกเจ้ามีอะไร…” ขณะที่ข้ากำลังพูดกับจ้งหวา สือต้าจ้วงก็ยกน้ำชาเข้ามาในห้อง

จ้งหวาเงยหน้า สายตาเย็นเยียบจับจ้องสือต้าจ้วง ดูท่าคงเพราะความคิดแง่ลบที่ว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีใจแตกต่างอะไรนั่นอีกแน่ ข้าพยุงเขากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งแล้วห่มผ้าให้ “กระบี่ของเขาถูกข้าทิ้งไว้ในป่า ข้ากำลังจะออกไปหา เจ้าดูเขาให้ดี อย่าให้เขาจับเจ้าสังหารเสียล่ะ”

สือต้าจ้วงได้ยินแล้วหลุดขำ “ข้าไม่ใช่ปีศาจซื่อบื้อในสมัยก่อนแล้ว ตอนนี้หากคิดสังหารข้าก็ต้องงัดฝีมือออกมาหน่อย” เขาวางน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างไม่ร้อนรน “ส่วนเรื่องกระบี่เล่มนั้น ข้าไหว้วานคนช่วยพวกเจ้าหาก็ได้แล้ว”

ข้าคิดแล้วเห็นด้วย ปีศาจในเขานี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ล้วนวิ่งอยู่บนเขานี้ทุกวัน ซ้ำคนก็มาก ย่อมต้องหาได้ไวกว่าข้า แต่ทางข้ายังไม่ทันได้พยักหน้าตกลง จ้งหวาที่เอนนอนอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้น “กระบี่ชิงซวีไม่ต้องใช้ปีศาจอย่างพวกเจ้าไปหา…”

ข้านั่งลงข้างเตียงเขาอย่างซาบซึ้งยิ่ง กำผ้าห่มไว้แน่น “ท่านหมายถึง ท่านอนุญาตให้ข้าไปหา เท่ากับไม่มองข้าเป็นปีศาจแล้วใช่ไหม”

จ้งหวานิ่งเงียบ

เขาไม่ตอบอยู่นาน ในใจข้าอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้ ถอนหายใจเอ่ยกับสือต้าจ้วง “สมองเขาใช้การไม่ได้อีกแล้ว เจ้าอย่าจริงจังกับคำพูดไม่รื่นหูเมื่อครู่ของเขาเลย ก็ให้ปีศาจบนเขาไปหาเถอะ ให้พวกเขาหาไวหน่อย ผู้วิเศษจ้งหวาของพวกเรายังมีปีศาจร้ายต้องไปกำจัด”

“ข้ามาเพื่อพูดกับพวกเจ้าเรื่องปีศาจร้ายที่เจ้าพูดถึงนั่น” สือต้าจ้วงไม่รีบไปทันที แต่กลับเลื่อนเก้าอี้นั่งลงเอาเอง “จากที่ข้ารู้มา นิสัยเดิมของปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไม่ได้เลวร้าย ที่กลายเป็นเช่นตอนนี้ ความจริงเพราะถูกคนชั่วทำร้าย หากทำได้พวกเจ้าช่วยหลับตาข้างลืมตาข้างปล่อยนางไปได้หรือไม่ อย่างไรก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง…”

“ปีศาจไหนเลยจะน่าสงสาร…” ข้ายัดมุมผ้าห่มใส่ปากจ้งหวาแล้วอุดไว้แน่น ตอนนี้เขาร่างกายอ่อนแอ แม้จะเดือดดาลแต่กลับไม่อาจต่อต้านได้

ข้าเอ่ยถามต้าจ้วง “เจ้าเล่ามาหน่อยว่าเหตุใดนางจึงน่าสงสาร”

สือต้าจ้วงดื่มชาที่ตนยกเข้ามาซะเอง แล้วเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงดำดิ่งจับใจคนฟังราวกับนักเล่านิทานก็ไม่ปาน “พูดไปก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง สามปีก่อนปีศาจจิ้งจอกตนนี้ชอบพอบัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่เมืองตีนเขา จึงวางแผนจนได้แต่งให้เขา ภายหลังบัณฑิตสอบติด ถูกราชสำนักส่งไปเป็นนายอำเภอ ท่านเจ้าเมืองผู้เป็นเบื้องบนถูกใจบัณฑิตคนนี้มากจึงคิดยกลูกสาวของตนให้เขา บัณฑิตก็หาได้บอกเจ้าเมืองว่าเขาแต่งภรรยาแล้ว ทางหนึ่งแต่งเจ้าสาวคนใหม่ อีกทางส่งนักพรตมาภูเขาต้องการกำจัดปีศาจจิ้งจอก แต่นักพรตคนนั้นฝีมือไม่มาก ไม่สามารถสังหารปีศาจจิ้งจอกได้ แต่เพราะเก็บบาตรทองกลางป่าในชาติ…แค่ก หมายถึงบาตรทองของพระธุดงค์ในสมัยก่อน เขามีบาตรทองคุ้มกายจึงหนีออกจากเขานี้ได้”

จริงสิ ชาติก่อนตอนลาเฒ่าหัวโล้นนั่นตายในป่า อาวุธเวทร้ายกาจในมือพวกนั้นไม่รู้กลิ้งหายไปไหน ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะกลับมาปรากฏในชีวิตข้าอีกครั้งด้วยวิธีเช่นนี้

“แม้บัณฑิตจะทรยศแล้งน้ำใจ แต่ปีศาจจิ้งจอกกลับไม่คิดไปแก้แค้นเขา รู้สึกว่าอย่างไรก็เป็นตนที่ตัดสินใจแต่งให้เขาเองในตอนแรก ตอนนี้มีผลเช่นนี้นางก็ขอยอมรับ”

ความรู้สึกนี้ของนางคล้ายกับของข้า เป็นข้าที่ตัดสินใจเกี้ยวโม่ซี ดังนั้นไม่ว่าชาตินี้เขาจะโหดร้ายต่อข้าอย่างไรข้าล้วนยอมรับ ข้าถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจ พยักหน้าน้อยๆ ด้วยเข้าใจความรู้สึกของปีศาจจิ้งจอก

“เดิมทีเรื่องราวถึงตรงนี้ก็นับว่าจบสิ้นแล้ว แต่ไม่คาดว่าบัณฑิตคนนั้นจะมาหาถึงบ้าน คร่ำครวญว่าตัวเองถูกท่านเจ้าเมืองบีบจนต้องแต่งหญิงอื่นอย่างไร อ้อนวอนขอให้ปีศาจจิ้งจอกไปช่วยเขา ปีศาจจิ้งจอกชอบบัณฑิตอยู่แล้วจึงใจอ่อนชั่วขณะยอมตามเขาไป กลับไม่คิดว่าบัณฑิตคนนั้นจะให้นักพรตที่อยู่ในบ้านจัดวางค่ายกลไว้แล้วกักขังปีศาจจิ้งจอก คว้านลูกตา ตัดลิ้น เฉือนหู เก็บเอาลูกกลอนปราณไว้ในบาตรทอง เดิมเขายังคิดจะตีวิญญาณปีศาจจิ้งจอกให้แตกซ่านจนไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีกตลอดไป สุดท้ายนางหนีออกมาได้ มีเพียงหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตกับลูกกลอนปราณของนางที่ถูกขังเอาไว้ในบาตรทอง”

นี่…หากครึ่งแรกยังสามารถพูดได้ว่าเป็นโครงเรื่องในนิทานชาวบ้าน ความโหดเหี้ยมของบัณฑิตในครึ่งหลังก็เรียกได้ว่าแม้แต่ชายมากรักในนิทานยังไม่สามารถถึงขั้นนี้เลย

“ไม่กี่วันก่อนบัณฑิตคนนั้นเชิญนักพรตหญิงฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งมากำจัดปีศาจจิ้งจอกอีก ผลคือนักพรตหญิงคนนั้นก็ไม่ใช่คู่ปรับของปีศาจจิ้งจอก ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่รู้หนีไปที่ใด”

นักพรตหญิงคนนั้น ตอนนี้นอนพักอย่างดีอยู่ในเรือนของจ้งหวาน่ะ

ข้าจุปาก “มีความแค้นมากขนาดไหนนะ ฆ่านางไปเลยไม่ได้หรือ เหตุใดยังต้องทรมานนางถึงเพียงนี้”

“ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนั้นดูเหมือนปีศาจตนนั้นจะใช้แผนการทำให้บัณฑิตแต่งนาง บัณฑิตหยิ่งยโสโอหัง บางทีในใจอาจมีความขุ่นแค้นอยู่ตลอดก็เป็นได้ แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าก็ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ต่อจากที่เล่าเมื่อครู่ ตอนนั้นแม้ปีศาจจิ้งจอกจะรอดพ้นเงื้อมมืออำมหิตของบัณฑิต ไม่รู้เหตุใดกลับไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ได้แต่แบกร่างกายที่ตายไปแล้วของตนร่างนั้นลอยไปลอยมาในป่าบนเขานี้ กลายเป็นครึ่งปีศาจครึ่งผี นางคิดไปแก้แค้นบัณฑิตนั่น แต่บาตรทองที่อยู่ในมือบัณฑิตร้ายกาจเกินไปทำให้นางหมดปัญญาเข้าใกล้ นางจึงได้แต่อยู่ในโลกมนุษย์อย่างว่างเปล่า ใครเห็นต่างก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย…”

ข้าหันมองจ้งหวา เห็นเขาขมวดคิ้ว ไม่รู้กำลังคิดอะไร

สือต้าจ้วงเอ่ยโน้มน้าว “อย่างไรตอนนี้นางก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ปล่อยนางไว้ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้” น้ำเสียงข้าหนักแน่นอย่างไม่อนุญาตให้สอดปาก

สือต้าจ้วงตะลึงมองข้า แม้แต่จ้งหวาก็มีสีหน้าประหลาด

ข้าเกาหัว “เดิมทีหากนางเป็นปีศาจธรรมดาตนหนึ่ง ปล่อยนางไปก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ดูจากที่เจ้าพูด ตอนนี้นางไม่ใช่ปีศาจทั่วไปแล้ว นางไม่นับว่ามีชีวิต เพราะร่างกายตายไปแล้ว ดังนั้นไอหยินบนร่างถึงเข้มข้น แต่นางก็ไม่นับว่าตาย เพราะนางขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต วิญญาณกับจิตไม่สมบูรณ์ก็ไม่อาจเข้าสู่ปรโลก” ข้ามองจ้งหวาแล้วเอ่ย “ตอนนี้มาคิดดู ที่ท่านสัมผัสปราณนางไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะนางกลายเป็นตัวตนนอกเหนือวัฏจักรธาตุทั้งห้า* ยิ่งรวมกับความเคียดแค้นลึกล้ำในใจ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่แน่ว่าวันใดจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดถึง จำเป็นต้องส่งนางไปเกิดใหม่ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้จึงจะถูก”

“แต่หนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตของนางยังถูกขังอยู่ในบาตรทอง” สือต้าจ้วงถอนหายใจ “พูดไปก็น่าละอาย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้าไม่เคยคิดช่วยนาง เพียงแต่…เจ้าน่าจะรู้ดีถึงความร้ายกาจของบาตรทองนั่น บัณฑิตพกบาตรทองติดตัวทั้งวันเพื่อป้องกันการแก้แค้นของปีศาจจิ้งจอก ข้าลองมาหลายครั้งก็ยังไม่อาจเข้าใกล้เขาได้”

ความร้ายกาจของบาตรนั่นข้าย่อมตระหนักดี ชาติก่อนมันเพียงส่องใส่ข้าครั้งเดียว หลังข้าก็ถูกเผาจนบาดเจ็บแล้ว ทั้งยังทำให้โม่ซีเป็นกังวลอยู่นาน

ไอหยินที่ข้าบำเพ็ญมาพันปีในแม่น้ำลืมเลือนยังสู้ลำแสงธรรมในนั้นไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจที่มีพลังเวทไม่กี่ร้อยปีพวกนี้เลย ข้านิ่งคิดรอบหนึ่ง “ข้ามีวิธีดึงวิญญาณกับจิตของปีศาจจิ้งจอกออกมาจากร่าง ส่วนหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตที่เหลือของนาง…” ข้าหันมองจ้งหวา “ผู้วิเศษ เชิญท่านเถอะ”

จ้งหวาผลักมือของข้าแล้วคายมุมผ้าที่ถูกยัดไว้ในปากออก “หลิวโปของข้าไม่เคยช่วยปีศาจ…”

“เช่นนั้นกระบี่ชิงซวีท่านก็หาเองเถอะ” ข้าเอ่ย “ปีศาจจิ้งจอกนั่นท่านก็ตามเอาเองแล้วกัน แต่ดูเหมือนท่านจะสัมผัสปราณนางไม่ได้ อีกทั้งดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผู้ที่ทำร้ายนักพรตหญิงชิงหลิงคงเป็นปีศาจจิ้งจอกไม่ผิด เกรงแต่ว่าคนที่ร่ายคำสาปใส่นางจะเป็นอีกคน เพราะด้วยสภาพเช่นนั้นของปีศาจจิ้งจอกเป็นไปไม่ได้ที่จะร่ายเวทคำสาปใส่ผู้อื่น คนร่ายคำสาปนี้ท่านก็ค่อยๆ หาเอาเองเถอะ กลัวก็แต่นักพรตหญิงรอท่านหาตัวคนไม่ไหวเท่านั้น”

จ้งหวาพูดไม่ออกอีกครั้ง

ข้าโปรยดอกไม้ให้ตัวเองในใจ กดนิสัยยโสในชาตินี้ของเขาลงได้แล้ว ซ้ำยังแทงจุดปวดได้ทุกเข็มอย่างแม่นยำด้วย

สือต้าจ้วงปิดปากหัวเราะตัวสั่นอยู่ด้านข้าง “เช่นนั้นข้าจะไปบอกให้คนตามหากระบี่พร้อมกับหาร่องรอยของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ลงมือเก็บวิญญาณกับจิตของนาง”

“อืม ช่วงนี้จะได้ให้ผู้วิเศษจ้งหวาปรับลมปราณในร่างเขาพอดี”

สือต้าจ้วงจากไปทำให้ในห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง จ้งหวาหลับตาไม่มองข้า เดิมข้าคิดจะเปิดเสื้อผ้าเขาออกดูรอยดำบนหน้าอก แต่เห็นเขาขมวดคิ้วไม่ใคร่พอใจจึงไม่ขยับ เพียงเอ่ยว่า “อารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่ของท่านทำให้ไอหยินในร่างกระจายออกไปแล้ว แต่ว่าไอหยินนิดหน่อยพวกนั้นท่านน่าจะสามารถจัดการเองได้ ข้าไม่สอดมือยุ่งแล้ว หากท่านอยากดื่มน้ำก็บอกข้าแล้วกัน”

เขาหลับตาไม่พูดจา ขณะที่ข้านึกว่าเขาเริ่มปรับลมปราณอย่างจริงจังแล้ว จู่ๆ เขากลับเอ่ยปากออกมา “เจ้าเป็นใครกันแน่”

“เป็นหญิงดีงามที่มาเกี้ยวท่าน”

“เจ้าไม่ยอมพูดความจริงก็ช่างเถอะ” เขาหลับตากล่าว “ไม่ต้องเอาคำพูดไร้สาระพวกนี้มาหลอกลวงข้า”

ที่แท้คำสารภาพที่ข้ามีต่อเขา เขาล้วนมองเป็นว่าข้ากำลังพูดจาล้อเล่นแกล้งหยอกเขาเท่านั้น…

ข้าทอดถอนใจหดหู่อย่างอดไม่ได้ ชาติก่อนข้าพูดอะไรโม่ซีล้วนเชื่อทั้งนั้น ไม่ว่าคำโกหกหรือว่าความจริง แต่ชาตินี้ไม่ว่าข้าพูดอะไรโม่ซีล้วนไม่เชื่อแล้ว บางทีนี่อาจเป็นผลกรรมหลังจากที่ข้าหลอกลวงโม่ซีที่เชื่อใจข้าถึงเพียงนั้นในสมัยก่อนกระมัง

ข้าไม่อธิบายต่ออีก ลมหายใจของจ้งหวาเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแผ่วยาวเสมอกัน

ข้าย้ายเก้าอี้มานั่งลงด้านข้างเหมือนยามเฝ้าไข้เขาในสมัยก่อน มองดูใบหน้าเขาเงียบๆ เพียงแต่ต่อให้เป็นใบหน้าที่ถูกใจอย่างไรก็ไม่ใช่นิทานที่มากด้วยสีสันพัฒนาเรื่องราวต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจึงมองไปๆ แล้วค่อยๆ หลับลง

บทที่สิบห้า

 ข้าผ่านสองสามวันมานี้มาอย่างเหนื่อยยากจริงๆ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นรุ่งสางของวันใหม่แล้ว แสงยามเช้าอันอบอุ่นส่องลอดกระดาษหน้าต่างเข้ามาในห้อง พาให้ดูราวกับยังอยู่ในความฝัน

ข้าขยี้ตามองไปที่เตียงตามจิตใต้สำนึก ทว่ากลับสบเข้ากับดวงตากระจ่างคู่หนึ่งพอดี “โม่ซีตื่นแล้วหรือ” ข้ายื่นมือไปลูบหน้าอกเขา “ดีขึ้นหรือยัง” ข้าเคลื่อนมือ บนหน้าผากมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าร่างกายเขาแข็งแรงขึ้นแล้ว

กระทั่งมือถูกปัดออกข้าถึงเพิ่งสะดุ้งตื่น นี่ไหนเลยจะมีโม่ซีที่กำลังป่วยอยู่

ข้าหดมือกลับ ลูบข้อมือตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง เตรียมตัวรับคำด่าว่าของจ้งหวา แน่นอนว่าเตรียมสวนกลับวาจาร้ายกาจของเขาด้วย แต่ไม่คาดว่าเขากลับเพียงแค่เลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง กวาดมองข้าด้วยสายตาราบเรียบคราหนึ่ง “โม่ซีเป็นใคร”

ประโยคนี้มาอย่างกะทันหัน ถามจนข้ารับมือไม่ทัน ได้แต่นิ่งชะงักมองเขา

เห็นสายตาเช่นนี้ของข้า จ้งหวาคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน เขาคลึงหว่างคิ้วตนเองเบาๆ “ช่างเถอะ…ถือว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน…”

“โม่ซีคือสามีในสมัยก่อนของข้า”

จ้งหวานิ่งงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแปลกใจกับท่าทีที่ตอบคำถามอย่างแน่วนิ่งของข้า หรือตกตะลึงกับเนื้อหาในคำตอบ

“เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก” ข้าคิดๆ แล้วอดกล่าวเสริมอีกประโยคไม่ได้ “ท่านเทียบกับเขาแล้ว หน้าตาพอๆ กัน แต่นิสัยกลับห่างกันไกล”

เขาชะงัก ดูคล้ายไม่เชื่อถืออยากจะโต้แย้งอะไรกับข้า แต่สุดท้ายกลับเพียงทำสายตาเย็นชา เหลือบมองข้าอย่างไม่แยแสอยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ “วันนี้ต้องไปหาปีศาจจิ้งจอกตนนั้น บาดแผลบนมือเจ้ามีปัญหาอะไรไหม”

ข้ายกมือให้เขาดู บนหลังมือเหลือเพียงรอยแผลเป็นเล็กๆ เส้นหนึ่ง “ปีศาจตนนั้นสร้างบาดแผลให้ข้าได้ไม่เท่าไร หายดีแล้ว”

เพิ่งพูดไปประตูห้องก็พลันถูกผลักเข้ามาอย่างแรง สือต้าจ้วงพุ่งเข้ามาสีหน้าร้อนรน “ตามข้ามาเร็ว ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในป่านอกลานบ้าน”

จ้งหวาเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก ข้ารีบดึงแขนเสื้อเขาไว้ “กระบี่ชิงอะไรนั่นของท่านยังหาไม่พบ ไม่สามารถแข็งชนแข็งกับนางได้ พูดตามจริงตอนนี้ท่านก็ไม่มีความสามารถที่ว่า ดังนั้นพอเจอปีศาจจิ้งจอกแล้วอย่าหุนหัน ให้ข้าจัดการเอง หลังจากนี้ยังมีเวลาให้ท่านได้แสดงฝีมือ”

ข้าลากเขาไปข้างหลังแล้วชิงวิ่งออกไปกับสือต้าจ้วงก่อน คร้านจะสนใจสีหน้ากับอารมณ์ของจ้งหวาในตอนนี้แล้ว

เพิ่งออกมาลานบ้านข้าก็สัมผัสได้ว่ามีหมอกพิษไอหยินเข้มข้นตลบอบอวลในป่า เพียงแต่ไอหยินวันนี้เทียบกับวันก่อนแล้วลดความเคียดแค้นและจิตสังหารลงไปหลายส่วน ใกล้เคียงกับไอปราณในปรโลกยิ่งขึ้น

สือต้าจ้วงวิ่งไปพลางเร่งไปด้วย “เร็วหน่อย ข้าให้ปีศาจก้อนหินน้อยไม่กี่ตนพัวพันเล่นกับนาง อย่ารอจนนางคลุ้มคลั่งขึ้นมา ไม่เช่นนั้นก้อนหินน้อยพวกนั้นต้องโชคร้ายแน่”

ข้าแปลกใจ “นางเล่นกับปีศาจก้อนหินน้อยด้วย?”

“ได้ยินว่าเมื่อก่อนนางชอบเด็ก แม้ปัจจุบันจะกลายเป็นเช่นนี้ก็ยังชอบอยู่ หากมีเด็กไปรบเร้าขอเล่นซ่อนหากับนาง ปกตินางจะไม่ปฏิเสธ ต่อให้กลายเป็นแบบนี้ก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับปีศาจน้อยบางตนอยู่ แม้ข้าไม่รู้จักตอนนางมีชีวิต แต่คนที่รักเด็กแบบนี้คิดดูแล้วน่าจะเป็นคนดี ดังนั้นถึงบอกว่านางน่าสงสาร”

ห่างจากไอหยินตรงนั้นมาไม่ไกลแล้ว ข้าผ่อนฝีเท้าลงดึงสือต้าจ้วงไว้แล้วกล่าวกระซิบ “อีกครู่หนึ่งเจ้าจำไว้ว่าต้องขวางจ้งหวา”

สือต้าจ้วงมองไปข้างหลังข้าเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตาม

ข้าหายใจเข้าช้าๆ สูดเอาไอหยินที่กระจายอยู่ในป่าลงท้อง

หญิงในชุดขาวหันหลังให้ข้า เล่นซ่อนหาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ปิดตาหันหน้าเข้าต้นไม้แล้วนับเลข เพียงแต่ลิ้นนางถูกตัดแล้ว จึงได้แต่เปล่งเสียง “อาๆ” ไม่ชัดเจนออกมา ฟังไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางนับถึงเท่าไร

ข้าหันไปดูข้างหลัง เห็นสือต้าจ้วงไล่พวกปีศาจก้อนหินน้อยไปแล้วและขวางจ้งหวาให้ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้าถึงวางใจเดินต่อไป แตะบ่าปีศาจจิ้งจอกเบาๆ

นางสะท้านไปทั้งร่างครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่ปราณบนร่างแปรเปลี่ยนทันควัน จิตสังหารเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว

คนทั่วไปอยู่ภายใต้การกัดเซาะของหมอกพิษไอหยินเกรงว่าคงขยับไม่ได้แล้ว ข้าเองก็ไม่พูดอันใด รอจนสูดเอาไอหยินรอบกายนางเข้าไปได้ไม่น้อยแล้วค่อยจิ้มกระดูกสันหลังนาง “แม่นาง” หลังนางเกร็งแข็งคล้ายไม่รู้ควรทำอย่างไรกับน้ำเสียงเอื่อยๆ และร่างกายที่ไร้อาการบาดเจ็บของข้า ข้าเอ่ย “ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าแล้ว รู้สึกว่าข้าน่าจะสามารถช่วยเจ้าได้ พวกเรามาคุยกันเถอะ”

นางค่อยๆ หันมา ผมขาวปิดบังใบหน้าทั้งหมดของนาง แต่ข้ายังพอมองเห็นเครื่องหน้าที่ถูกทำลายได้เลือนรางระหว่างเส้นผม นางส่งเสียงในคอราวกับเสียงขู่เตือนของสัตว์ ไอหยินในร่างยิ่งถาโถมมากขึ้น

ข้ารับของขวัญที่นางมอบให้อย่างไม่เกรงใจ อาจเพราะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนปกตินางจึงเก็บพลังรอบกายกลับไป

“เจ้าฟังข้าพูดหน่อยได้หรือไม่” ข้าพูดชัดถ้อยชัดคำ พูดเสียงดังเชื่องช้า พยายามไม่กระตุ้นยั่วนางเต็มที่

นางถึงค่อยพยักหน้าช้าๆ

ข้านั่งลงกับพื้นแล้วตบที่ว่างข้างตัว “มา ไม่ต้องเกรงใจ นั่งก่อนค่อยว่ากัน”

นางกอดเข่านั่งยองๆ ก้มหัวลงต่ำท่าทางเหม่อลอย ไม่เหมือนเมื่อตอนพบกันครั้งก่อนที่แยกเขี้ยวกางเล็บเปล่งจิตสังหารรุนแรง ดูท่าอารมณ์ความรู้สึกจะมีผลกระทบต่อนางค่อนข้างมาก หรือควรพูดว่านี่จึงจะเป็นท่าทางที่นางควรมี อย่างไรก็ขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิต การตอบสนองเฉื่อยชาเชื่องช้าอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ

“คราวก่อนเจ้าดุร้ายปานนั้นเป็นเพราะถูกข้ากับอีกคนหนึ่งขู่จนตกใจใช่หรือไม่ หรือเจ้าคิดว่าพวกเรามาทำร้ายเจ้า”

นางไม่ตอบสนอง ข้าจึงกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้ากึ่งตายกึ่งเป็น วิญญาณกับจิตในร่างก็ไม่สมบูรณ์ ข้าพอรู้ถึงความทุกข์ของเจ้า ตอนนี้ข้ามีวิธีช่วยเอาวิญญาณและจิตของเจ้าออกมา จากนั้นส่งเจ้าไปเกิดใหม่ เจ้ายินยอมหรือไม่”

นางเงียบอยู่นานค่อยส่ายหัว แม้การกระทำจะเชื่องช้าแต่แน่วแน่มาก

ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวโน้มน้าว “ข้ารู้ว่าเจ้าวางอดีตไม่ลง แต่โลกมนุษย์นี้ไหนเลยจะมีสิ่งที่วางไม่ลง ร่างกายของเจ้าตายไปแล้ว นี่ก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจบสิ้นแล้ว เกลียดก็ดี รักก็ดี ไม่ยินยอมก็ดี ทุกความรู้สึกล้วนควรดับสูญตามความตายของร่างกายเจ้า จากนั้นไปยังปรโลก ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งชามหนึ่ง พลิกหน้าหนังสือที่เขียนอักษรจนเต็มแล้วนี้ไป พอเจ้าลืมตาก็จะเป็นการเดินทางอันเชื่องช้าของชีวิตอีกหน ไม่ต้องจมดิ่งยึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”

นางไม่มีปฏิกิริยา

ข้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เมื่อก่อนข้าพบเห็นคนมากมายร่ำไห้คร่ำครวญเจ็บปวดไม่สู้ตายก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง แต่พอดื่มลงท้อง ไม่ว่าจะตัวประหลาดอะไรล้วนแต่ก้าวลงบ่อเวียนว่ายตายเกิดอย่างสงบนิ่ง นั่นเป็นภาพที่กลมเกลียวกันดียิ่งภาพหนึ่ง สภาพจิตใจที่สุขสงบเช่นนั้น เกรงว่าคงมีแต่ชั่วขณะที่ดื่มน้ำแกงจึงจะสามารถสัมผัสได้ ถึงรสชาติจะขมหน่อย แต่กลืนน้ำลายก็เปลี่ยนเป็นหวานแล้ว ไม่ได้ดื่มยากเหมือนที่เล่าลือกัน ท่านยายที่ต้มน้ำแกงยังทุ่มเทจิตใจ แม้ว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยมีผลต่อข้าเท่าไร…”

“อ่ะแฮ่ม!” สือต้าจ้วงที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ส่งเสียงเตือน

ข้ากลับเข้าเรื่อง “โบราณว่าตายเร็วเกิดใหม่เร็ว เจ้ารีบไล่ตามช่วงเวลาที่ผลิบานนี้ถึงจะเป็นเรื่องดี! สมควรยินดี อย่ามาเสียเวลาอยู่เลย ไปเถอะ เจ้าจะได้อยู่ในชะตาแห่งฟ้าดิน มีหน้าตาใหม่ ร่างกายใหม่ เหมือนพวกเด็กๆ ที่มาก่อกวนวุ่นวายอย่างไร้เจตนา วิ่งเล่นซุกซนทั่วทุ่งกว้างและภูเขา เจ้ายังจะได้รักคนอื่น บัณฑิตอะไรนั่นก็ไม่นับเป็นอะไรแล้ว”

หัวของนางขยับเล็กน้อย ค่อยๆ หันมองข้า ใบหน้าที่ถูกเฉือนจนเละเทะปรากฏชัดเบื้องหน้าข้าอีกครั้ง แม้จะได้เห็นเป็นครั้งที่สองข้าก็ยังตะลึงอยู่บ้าง

ปราณรอบกายนางเริ่มเปลี่ยนแปลง เห็นชัดว่าคำว่า ‘บัณฑิต’ ที่พูดถึงเมื่อครู่นี้ไปกระตุ้นนางเข้าแล้ว

ข้าสูดเอาหมอกพิษไอหยินที่นางปล่อยออกมาเงียบๆ พลางพูดไปด้วย “ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะยินยอมให้ข้าเก็บวิญญาณกับจิตเจ้าไปหรือไม่ สุดท้ายข้าก็ยังจะนำมันไปอยู่ดี แม่นาง เจ้าน่าจะเข้าใจ เพื่อคนที่ไม่คู่ควรคนหนึ่ง ต้องส่งผลต่อทุกๆ ชาติต่อจากนี้เป็นเรื่องขาดทุนเรื่องหนึ่ง”

“ไสหัวไป…”

มีเสียงคลุมเครือดังออกมาจากในคอนาง ทว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้วถึงเพิ่งพบว่านางถึงกับพูดด้วยท้อง

“แม่นางฟังข้าอีกสักประโยค…”

“แย่แล้ว! วิ่งเร็ว!”

เสียงสือต้าจ้วงดังมาแต่ไกล ไอหยินบนร่างปีศาจจิ้งจอกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทันใด สมาธิทั้งหมดของข้าจดจ่ออยู่กับการสูดมันเข้าไป แต่ไม่คิดว่าขณะที่ข้ากำลังสูดอยู่นั้นนางพลันกางกรงเล็บคว้าคอข้า ตะปบลำคอของข้าจนฉีกเปิดเลือดทะลัก เส้นโค้งที่พุ่งออกมาทำเอาข้านิ่งอึ้งไปด้วย

ข้ากุมปากแผลเงยหน้าขึ้น ปีศาจจิ้งจอกฟาดกรงเล็บใส่อีกครั้ง ในช่วงฉุกละหุกข้ายกมือข้างหนึ่งขึ้นสกัดแล้วคว้าแขนนางไว้ สูบเอาไอหยินในร่างนางอย่างเอาเป็นเอาตาย

ปีศาจจิ้งจอกบันดาลโทสะอ้าปากออก ในปากที่ไร้ลิ้นปรากฏเขี้ยวสองแถวบนล่างเหมือนกับของสัตว์ นางพุ่งหัวมาจะกัดข้า

ก่อนที่ข้าจะยื่นมือออกต้านพลันมีคนรวบเอวข้าอย่างว่องไว กอดข้าพลางลากให้ถอยหลังสองสามก้าว

ข้าปลาบปลื้มใจ รู้ว่าไม่ว่าโม่ซีจะกลับชาติมาเกิดอย่างไรก็ยังล้วนใส่ใจข้าเสมอ ความอิ่มเอมภาคภูมิในใจของข้าพุ่งตรงขึ้นสู่ยอดกะโหลกทันที ทว่าพอข้าหันกลับไปมองอย่างลิงโลดกลับพบว่าคนที่กอดข้าอยู่คือสือต้าจ้วง!

ก่อนหน้านี้มีความยินดีเท่าไร พริบตานี้ก็มีความผิดหวังเท่านั้น ข้าผลักสือต้าจ้วงออกไปอย่างเคืองโกรธ ชี้หน้าด่าเขา “ในนิทานไม่ได้เขียนเช่นนี้! เอาใหม่!”

สือต้าจ้วงถูกข้าด่าจนตะลึงงัน ข่มกลั้นครู่หนึ่งแล้วว่า “ได้ เรียกพวกเขาสองคนมาทำใหม่…”

ข้าพลันหันไปหาเงาร่างของจ้งหวา แต่กลับเห็นเขาประมือกับปีศาจจิ้งจอกโดยปราศจากอาวุธแล้ว

ร่างปีศาจจิ้งจอกที่ขาดหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตเดิมควรจะเชื่องช้า แต่อาศัยความเดือดดาลชั่วขณะใช้ไอหยินขับเคลื่อนร่างกาย เมื่อครู่ถึงได้ว่องไวราวกับลูกธนู แต่นางเพิ่งถูกข้าสูดเอาไอหยินไปไม่น้อย การเคลื่อนไหวคราวนี้จึงช้าลง มีแนวโน้มว่าจะสู้ไม่ชนะจ้งหวา

ครั้นเห็นท่าไม่ดีปีศาจจิ้งจอกก็ไม่คิดสู้พัวพัน หมุนตัววิ่งหนีไป จ้งหวายิ่งไล่ตามไปโดยไม่มีลังเล ไม่ได้แบ่งใจมามองข้าสักครั้ง

ไม่เลยสักครั้ง…

คอข้าเลือดยังพุ่งไม่หยุด พุ่งจนทั้งหัวทั้งตัวสือต้าจ้วงเป็นสีเลือด เขารีบร้อนฉีกเสื้อตนเองออกพันให้ข้า “อย่าขยับนะ เจ้าอย่าขยับสิ ข้ายังไม่ได้พันให้ดี ยิ่งเจ้าขยับเลือดยิ่งพุ่งแรงนะ!”

ข้าเลือดไหลจนแม้แต่ปีศาจที่เชื่องช้าอย่างสือต้าจ้วงเห็นแล้วยังร้อนรน แต่จ้งหวาถึงกับ…เขาถึงกับจากไปโดยทิ้งข้าไว้แบบนี้?

ไม่ผิด…ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการจับปีศาจจิ้งจอก ข้าเข้าใจการกระทำของจ้งหวา ข้าถึงขนาดเปลี่ยนความคิดก็หาเหตุผลนับไม่ถ้วนออกมาให้เขาได้ แต่เขาไปอย่างรวดเร็วเพียงนั้น เด็ดขาดเพียงนั้น…

“ขะ…ข้าเจ็บหน้าอกยิ่งนัก…” ข้าดึงมือสือต้าจ้วงร้อง “เจ็บยิ่ง!”

“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บที่คอหรือ” สือต้าจ้วงไม่เข้าใจ “หน้าอกก็ถูกตะปบด้วย?”

“ปวดใจ! ปวดหัวใจ! หมื่นธนูแทงใจ*! หมื่นอาชาห้อตะบึง!”

“เกี่ยวอะไรกับหมื่นอาชาห้อตะบึง…” สือต้าจ้วงจนใจ “พันแผลก่อนได้หรือไม่”

“ไม่ได้!” ข้ากล่าวอย่างโมโห “ปล่อยเลือดไหลไว้ ให้เขาไล่ตามปีศาจแล้วกลับมาเห็นด้วยตนเอง ตอนนี้ยิ่งพุ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งน่ากลัวยิ่งดี! ให้เขามาดูว่าตนเองทำอะไรลงไป!”

สือต้าจ้วงทอดถอนใจ “ซานเซิง…เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นจริงๆ เจ้าทำร้ายตนเองเช่นนี้เพื่ออะไร ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดเองว่าน้ำแกงยายเมิ่งเป็นของแบบไหน เจ้ารู้ทั้งรู้ว่า…เขาไม่ใช่โม่ซีคนก่อนแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะแลกสายตาห่วงหาจากเขามาได้ เหตุใดเจ้าต้องดึงดันถึงเพียงนี้ด้วย”

เหตุใดต้องดึงดัน?

คำถามนี้ถามจนข้าตื่นตะลึง

ดึงดันให้จ้งหวาดีต่อข้า ดึงดันเอาจ้งหวาในตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับโม่ซีเมื่อก่อน ดึงดันคาดหวังว่าจ้งหวาในตอนนี้จะอยู่ร่วมกับข้าเหมือนเขาในชาติก่อน

ข้าไม่ใช่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของน้ำแกงยายเมิ่ง ข้าเพียงแค่ปรารถนาให้โม่ซีสามารถกลายเป็นคนพิเศษที่สุดหลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ส่วนข้าคือเหตุผลที่ทำให้โม่ซีกลายเป็นคนพิเศษ พิเศษจนสามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากพลังของน้ำแกงยายเมิ่ง สามารถทำให้เขาสลักข้าลงไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณราวกับตราประทับ ไม่ว่าใช้วิธีใด ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใดก็ล้วนไม่มีวันลบล้างได้

ผู้ที่คุ้นเคยกับพลังการเวียนว่ายตายเกิดในปรโลกดีอย่างข้า ก็ยังรอคอยเรื่องเลื่อนลอยพรรค์นี้อยู่ในใจ

ที่แท้เหตุผลที่ทำไมต้องดึงดัน ก็แค่เพราะคนหนึ่งอยู่วงนอกเห็นชัด อีกคนเป็นคนในจึงสับสน

ในชั่วขณะนั้นข้าพลันเข้าใจความรู้สึกของปีศาจจิ้งจอกแล้ว ไม่ยินยอม วางไม่ลง ทนไม่ได้ ต่อให้ในใจกระจ่างแจ้งทุกเรื่อง แต่การกระทำที่แสดงออกมาในสายตาคนรอบข้างกลับมักไม่พ้นคำว่าโง่งมสองคำนี้

ข้านิ่งงันอยู่นานจนกระทั่งสือต้าจ้วงถอนหายใจข้างกายข้า “ในที่สุดก็หยุดเลือดได้แล้ว”

เพิ่งพูดออกมาก็เห็นปีศาจจิ้งจอกที่หนีไปร่วงลงมาจากฟ้า ถูกโยนลงมาอยู่ข้างหน้าข้า

จ้งหวาเดินกลับมาจากในป่า มองข้าคราหนึ่งแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ

เลือดบนคอของข้าแม้ถูกสือต้าจ้วงหยุดได้แล้ว แต่เลือดที่พุ่งออกมาเมื่อครู่ย้อมสีแดงให้ข้าไปกว่าครึ่งร่าง แม้แต่สือต้าจ้วงยังเปื้อนถูกเลือดจนไม่น่าดู สภาพสยดสยองน่าหวาดกลัว

ข้าตั้งตาคอยเขาอย่างเศร้าสลด รอให้เขาเอ่ยคำพูดห่วงใยอบอุ่นหัวใจข้า แต่ถึงที่สุดเขากลับพูดแค่เพียง “เจ้ายังมีแรงเก็บวิญญาณกับจิตในร่างนางหรือไม่”

ความอดสูในใจข้าทั้งหมดพรั่งพรูจากอวัยวะห้ากลั่นหกกรองขึ้นสู่ปลายลิ้นแล้ว แต่สุดท้ายกลับได้แค่พะงาบปากครั้งหนึ่ง ลิ้มรสขมขื่นนี้ด้วยตนเองก่อนขยับปากกล่าว “ไม่มีปัญหา”

เขาไม่ใช่ข้อยกเว้นหลังจากดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง

ข้าเตือนตนเองในใจ ค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ การเกี้ยวโม่ซีในชาตินี้เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ยังเร็วไป

ข้าถกแขนเสื้อที่ถูกเลือดย้อมจนเปียก “บาดแผลเล็กน้อย เลือดกระเด็นออกมานิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไร” ข้าพูดคำนี้จบรอบด้านก็เงียบไปนานมาก มีเพียงปีศาจจิ้งจอกที่ดิ้นขยุกขยิกคิดจะหนีไปอยู่บนพื้น

สายลมแผ่วเบาพัดเข้ามา สือต้าจ้วงเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น…เจ้าควรเก็บวิญญาณกับจิตนางออกมาแล้วใช่หรือไม่”

ข้ายังคงจ้องมองจ้งหวา ไม่ปล่อยให้สีหน้าใดๆ ของเขาหลุดรอดไป “ท่านไม่ห้ามข้าหรือ” ข้าถาม เห็นเขาขมวดคิ้วก็กล่าวต่อ “ข้ากำลังฝืนตัวเองอยู่นะ ท่านจะไม่ห้ามข้าหรือ”

สือต้าจ้วงกุมขมับอยู่ด้านข้าง มุมปากจ้งหวากระตุกน้อยๆ “เจ้าสามารถอดทนฝืนตนเอง ก็ควรมีความอดกลั้นอย่าพูดออกมา”

“ข้าไม่พูดออกมา ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าฝืนตัวเล่า” ข้าสั่งสอนเขา “จ้งหวา ข้ากำลังให้โอกาสท่านรักใคร่ข้า ท่านต้องทะนุถนอมไว้”

เขาเอือมจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดไม่ใช่หรือว่าปีศาจตนนี้ทำร้ายเจ้าไม่ได้!”

“ข้าพูดอะไรท่านก็เชื่อเช่นนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าตนเองไม่ใช่ปีศาจเหตุใดไม่เห็นท่านเชื่อ”

เส้นเลือดบนขมับจ้งหวาเต้นตุบๆ แล้ว

ตีฝีปากชนะแล้วในใจข้าค่อยนับว่าเบาสบายขึ้นมาก จึงหันไปมองปีศาจจิ้งจอกที่นอนอยู่บนพื้น

นางอาจรู้สึกว่าพวกเราล้วนไม่สนใจนางจึงพยายามกลิ้งหนีไปด้านข้างสุดชีวิต เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสขยับได้ไม่เร็วไปกว่าเต่า ข้าคว้าข้อมือนางแล้วกักตัวนางไว้ “ข้าเข้าใจความไม่ยินยอมของเจ้า และเข้าใจความรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าล้วนคิดไม่ตกเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรู้ว่าอาศัยคนอื่นเกลี้ยกล่อมก็กล่อมเจ้าไม่ได้” ข้าเอ่ย “ข้าลงมือนะ”

ข้าจรดนิ้วโป้งลงบนหน้าผากปีศาจจิ้งจอก นางต่อต้านสุดชีวิตด้วยแรงเฮือกสุดท้าย จ้งหวากับสือต้าจ้วงถูกไอหยินที่ทะลักออกมาจากร่างนางบีบให้ถอยหลังไปสองก้าว ปากข้าท่องคาถาเก็บวิญญาณ บนนิ้วโป้งมีแสงทองวาบผ่าน ขณะที่เปลี่ยนมือ กลุ่มไอสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ถูกข้าจับไว้ในฝ่ามือ

หนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตที่ขาดหายไปทำให้สภาพร่างวิญญาณไม่มั่นคง อาจสลายเป็นเถ้าได้ทุกเวลา

ข้าอ้าปากกลืนวิญญาณของนางลงไป ใช้ร่างกายตนเป็นที่พักพิง แบกรับวิญญาณและจิตที่ไม่สมบูรณ์นี้ของนาง

ทำเช่นนี้มีความเสี่ยง หากไม่ระวังก็อาจถูกวิญญาณของนางชิงร่างเนื้อไป แต่ข้าเชื่อมั่นในตนเองว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณกับพลังจิตใจของข้า อัตราการเกิดเรื่องเช่นนี้น้อยมากจริงๆ

จ้งหวาหรี่ตาเล็กน้อยถามข้า “เมื่อครู่เจ้ากินอะไรลงไป”

“แก่นแท้แห่งฟ้าดิน” ข้าเอ่ยอย่างใจกว้าง “รสชาติขมอมหวาน ท่านอยากกินหรือ ข้าสามารถคายออกมาให้ท่านชิมได้”

ดังนั้นจ้งหวาจึงไม่สนใจข้าอีก

ข้ามองร่างกายปีศาจจิ้งจอกที่แข็งทื่อในพริบตาและเริ่มเป็นสีดำช้าๆ สั่งกับสือต้าจ้วง “ให้ปีศาจน้อยตนอื่นเอาร่างนางฝังเถอะ พวกเราอาศัยช่วงนี้ไปหาบัณฑิตมากรักคนนั้น ชิงวิญญาณกับจิตที่เหลือกลับมาภายในวันนี้ จากนั้นค่อยส่งนางไปเกิด”

สือต้าจ้วงพยักหน้า “ข้ารู้จักจวนนายอำเภอ มุดดินไปก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้น หาตัวบัณฑิตเจอได้ง่ายมาก อย่างเดียวที่ตึงมือคือบาตรทองที่บัณฑิตพกติดตัวอยู่ตลอดนั่น”

ข้าหันมองจ้งหวาเงียบๆ สือต้าจ้วงเองก็หันมองเขาเช่นเดียวกับข้า

จ้งหวาเงียบไปครู่ มองปราดผ่านข้าคราหนึ่ง “บาดแผลบนคอเจ้ามีเลือดไหล”

ข้าเข้าใจว่าเขายังยึกยักเรื่องช่วยไม่ช่วยปีศาจอยู่เลยหาข้ออ้างหลบเลี่ยง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยรับรองจริงจัง “นี่แค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ดูแล้วน่ากลัว แต่ไม่ขัดขวางการขุดรากคนหยาบช้าปลอบโยนคนเมตตาของข้า”

เขาขมวดคิ้วเงียบอีกครู่หนึ่ง “ไปก็ได้”

สือต้าจ้วงโบกมือร่ายเวทหดระยะพื้นดิน เพียงชั่วพริบตาทัศนียภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไปแล้ว นี่คือสวนน้อยที่ล้อมด้วยกำแพงอิฐ ในสวนเงียบสงบไร้คน มองดูดอกไม้ใบหญ้าต้นไม้พวกนี้แล้วเห็นได้ว่าเป็นสวนภายในจวนนายอำเภอ

ข้ามองซ้ายมองขวาแล้วเอ่ยถามสือต้าจ้วง “ในเมื่อตอนนี้บัณฑิตคนนั้นเป็นนายอำเภอแล้ว ช่วงกลางวันย่อมควรทำงานอยู่ในศาลาว่าการ ต่อให้ไม่ได้ว่าการก็น่าจะอยู่ในห้องหนังสือ เจ้าพาพวกเรามาที่สวนดอกไม้ทำไม”

สือต้าจ้วงยิ้มลึกลับ “ข้าพาเจ้ามาย่อมต้องมีเหตุผล” ยังเอ่ยไม่จบกลับได้ยินเสียงฝีเท้าเชื่องช้าจากทางเดินเล็กที่ขวางกั้นด้วยภูเขาจำลอง สือต้าจ้วงยิ้มอย่างได้ใจ เอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนตอนที่คิดช่วยปีศาจจิ้งจอก ข้าเคยมาดูลาดเลาบ้างแล้ว”

เสียงฝีเท้านั่นยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งได้ยินเสียงแผ่วเบามากของชายหนุ่มคนหนึ่งดังมา “กลับไปพักผ่อนเถอะ เมื่อวานอาเจียนทั้งคืน เช้าวันนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไร…”

“นอนทั้งวันก็เพลียเช่นกัน เจ้าตัวน้อยนิ่งอยู่ในท้องก็น่าเบื่อ ข้าเดินบ้างเขาจะได้ไม่ซน”

คำพูดนี้ทำเอาข้าสามคนตะลึง ที่แท้บัณฑิตคนนี้ก็มีลูกกับคุณหนูบุตรสาวเจ้าเมืองแล้ว

ความคิดนี้เพิ่งปรากฏในหัว ข้าพลันรู้สึกได้ว่ามีปราณในร่างสายหนึ่งพวยพุ่ง รุนแรงจนข้าแทบยืนไม่มั่น เอนไปด้านข้างเล็กน้อย ข้าคว้าแขนเสื้อจ้งหวาเอาไว้ถึงค่อยตั้งสมาธิให้มั่น จ้งหวาขมวดคิ้วมองข้า ทว่าใจดีไม่ได้สะบัดข้าออกอย่างหาได้ยาก “เป็นอะไร”

ข้าตบหน้าอกสูดหายใจ “ปีศาจจิ้งจอกนางหึงจนโกรธแล้ว…”

แววตาจ้งหวาเข้มขึ้นเล็กน้อย ข้ายังไม่ทันเข้าใจความหมายในนั้น บัณฑิตก็นำภรรยาของเขาเดินผ่านภูเขาจำลองประจันหน้ากับพวกเราแล้ว

บัณฑิตดึงคุณหนูลูกเจ้าเมืองปกป้องไว้ด้านหลัง เอ่ยถามเสียงเคร่ง “พวกเจ้าเป็นใคร”

ข้ามองสองคนด้านข้างแล้วเอ่ยตอบเสียงเคร่งเช่นกัน “พูดอย่างรุนแรงหน่อยก็คือพวกเราล้วนไม่ใช่คน”

บัณฑิตได้ยินแล้วสีหน้าเย็นชา ปกป้องคุณหนูพลางว่า “เจ้าออกไปก่อน” คุณหนูลูกเจ้าเมืองหน้าซีดมองพวกเราสองสามครั้ง ท้ายที่สุดก็กัดฟันกุมท้องวิ่งจากไปไกล

ข้ามองแผ่นหลังคุณหนูลูกเจ้าเมืองแล้วลูบคางครุ่นคิดเล็กน้อย ปราณบนร่างคุณหนูคนนี้…แปลกนิดหน่อย

บัณฑิตหยิบของบางอย่างจากในแขนเสื้อกว้าง “ปีศาจชั่วที่ไม่รู้จักประมาณตน คงรับการไหว้วานจากนางปีศาจนั่นมารนหาที่ตายอีกแน่ ครั้งก่อนปล่อยให้นางปีศาจหนีไปได้ ครานี้ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้มีชีวิตรอดออกไปจากจวนนายอำเภอ”

จ้งหวาอ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา แต่บัณฑิตล้วงเอาบาตรทองออกมาแล้วส่องใส่จ้งหวาโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ จ้งหวาโบกมือคราหนึ่ง ใช้ปราณเซียนกำบังสกัดกั้นลำแสงธรรมสีทองทั้งหมดไว้ได้ ข้าหลบอยู่ข้างหลังเขา จิ้มกระดูกสันหลังเขาเบาๆ “คราวนี้ท่านคงรู้แล้วว่าการถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจ แล้วยังต่อยตีโดยไม่ฟังคำอธิบายมีรสชาติอย่างไรกระมัง”

จ้งหวาส่งเสียงฮึเย็นชา “เจ้าไม่ใช่ปีศาจแต่ก็ไม่ใช่คน ไหนเลยจะเปรียบกับข้าได้” เขาโบกแขนเสื้อ ปราณเซียนสลายลำแสงธรรมที่บัณฑิตส่องมา

แม้บาตรทองนั่นจะร้ายกาจ แต่บัณฑิตกลับไม่มีพลังเวท หากเป็นข้ากับสือต้าจ้วงคงถูกลำแสงธรรมส่องจนตายไปแล้ว แต่จ้งหวากลับไม่เหมือนกัน ปราณบริสุทธิ์น่าเกรงขามทั้งร่างเขามีรากฐานมาจากพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน บวกกับการบำเพ็ญหลายสิบปี การจะกลั่นแกล้งบัณฑิตจึงง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ

เห็นลำแสงธรรมถูกปะทะสลายไปบัณฑิตก็ตกใจหน้าถอดสี

จ้งหวาสาวเท้าขึ้นหน้าเอ่ยจริงจัง “ข้าคือเจ้าสำนักหลิวโป วันนี้หาใช่ได้รับการไหว้วานจากปีศาจจิ้งจอกจึงมาหาเรื่องท่าน เพียงต้องการให้ท่านคืนวิญญาณ จิต และลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอก ข้าก็จะจากไปเอง”

บัณฑิตกอดบาตรทองถอยหลังสองก้าวอย่างระแวดระวัง “เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลปีศาจอย่างพวกเจ้าหรือ!”

“เช่นนั้นข้าขอล่วงเกินแล้ว”

บัณฑิตตื่นตระหนก รู้ว่าลำแสงธรรมดูเหมือนจะทำร้ายจ้งหวาไม่ได้ เขาจึงหันมือส่องมาทางข้า เดิมข้านึกว่าหลบอยู่หลังจ้งหวาก็ไม่เป็นไรแล้ว ไหนเลยจะคิดว่ายามนี้จ้งหวาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว บัณฑิตถอยหลังสองสามก้าวแล้วสาดแสงอันโชติช่วงแยงตาเข้ามาจากตำแหน่งมุมเอียง

ข้าถูกส่องจนรับมือไม่ทัน นิ่งตะลึงอยู่กับที่ นึกถึงแผ่นหลังที่ถูกเผาในชาติก่อนขึ้นมาได้ ข้าร้องเสียงดังว่าแย่แล้ว คราวนี้ต้องถูกทำให้เสียโฉมแน่!

บทที่สิบหก

แต่ที่น่าประหลาดก็คือลำแสงธรรมนี้ส่องข้าเนิ่นนาน ข้ากลับไม่รู้สึกว่าบนร่างมีตรงไหนเจ็บปวด พอมองอย่างละเอียดถึงพบว่าเบื้องหน้าข้าสองชุ่น มีปราณเซียนเกาะตัวเป็นฉากกั้นขวางลำแสงธรรมไว้ มันห่อหุ้มข้าเอาไว้ราวกับเป็นผืนผ้า ปกป้องข้าอย่างแน่นหนาดีเยี่ยมถึงเพียงนั้น

ปราณอันอ่อนโยน เหมือนกับอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลกของชายคนนั้นในสมัยก่อน

ระหว่างที่ข้าเหม่อลอย จ้งหวาก็แย่งบาตรทองในมือบัณฑิตมาได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า

ลำแสงธรรมหายไป ฉากกั้นที่ล้อมรอบกายข้าก็ไม่เหลืออยู่เช่นกัน ในใจข้านึกเสียดายเล็กน้อย เพราะตอนนี้โอกาสได้รับความอบอุ่นจากเขาอย่างแท้จริงมันน้อยถึงเพียงนั้น…บัณฑิตคนนี้ขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ทั้งที่มีอาวุธเวทร้ายกาจขนาดนี้ กระทั่งสองกระบวนท่าง่ายๆ ของจ้งหวาก็รับมือไม่ไหวแล้ว

จ้งหวาถือบาตรทองอย่างลำบากใจ ข้าแปลกใจ “เหตุใดไม่ปล่อยวิญญาณ จิต กับลูกกลอนปราณข้างในออกมาล่ะ”

“ข้าใช้อาวุธเวทของฝ่ายพุทธไม่เป็น”

ข้าคว้าสาบเสื้อของบัณฑิตแล้วยกตัวเขาขึ้นเขย่า “ปล่อยวิญญาณ จิต กับลูกกลอนปราณออกมา”

บัณฑิตจ้องข้าอย่างเกลียดชัง “ต่อให้ตายข้าก็จะให้นางวิญญาณแตกซ่านไปด้วย”

“เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงขนาดไหนกันแน่ นางตายแล้ว ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ละครฉากนี้ควรสิ้นสุดลงแล้ว ปล่อยนางไปเกิดใหม่ อภัยให้นางและอภัยให้ตนเอง เพื่อสร้างสมบุญกุศลของตนและสร้างความสุขไว้ให้คนรุ่นหลังเถอะ”

“นางตายแล้ว?” บัณฑิตหัวเราะหยัน “ข้าเกลียดก็แต่นางตายสบายเกินไป ตอนนั้นเพื่อบีบให้ข้าแต่งกับนาง นางถึงกับทำร้ายน้องสาวกับท่านแม่ข้าให้ทยอยตายตามกัน เหตุใดนางไม่คิดสร้างบุญกุศลให้ตนเองบ้างเล่า!”

ที่แท้…ยังมีคดีเลือดของสกุลซ่อนอยู่ภายในด้วย…ข้าพึมพำในใจ

วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกกลับกระสับกระส่ายขึ้นมาในร่างข้า พลิกไปพลิกมาเช่นนี้ต่อไปข้าคงแบกรับไม่ไหวเช่นกัน จึงตัดสินใจรีบรบรีบจบ หิ้วบัณฑิตมาเผชิญหน้ากับข้าแล้วกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกนั่นตายแล้ว เจ้าไม่ปล่อยนาง ก็ได้ ข้าไม่สังหารเจ้า เมื่อครู่เจ้าก็เห็นความร้ายกาจของนักพรตคนนี้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะให้เขาสังหารภรรยาเจ้า ทำลายจวนของเจ้า พังห้องเจ้า ถมสระน้ำเจ้า แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าในสวนก็จะไม่เหลือให้เจ้าแม้แต่รากเดียว เจ้าคิดเอาเองว่าจะปล่อยไม่ปล่อย”

สีหน้าจ้งหวาไม่น่าดู บัณฑิตยิ่งเขียวคล้ำไปทั้งหน้า

“เจ้าไม่เชื่อ?”

ข้าหันหน้าไป พอดีกับที่มีองครักษ์ของจวนนายอำเภอกลุ่มหนึ่งเร่งเข้ามาจากข้างนอก ข้าใช้ศอกถองแขนจ้งหวา “ทุ่มพวกเขา” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกับสั่งโม่ซีไปซื้อซีอิ๊วในสมัยก่อน

จ้งหวายกมือข้างหนึ่ง ระหว่างที่โบกมือองครักษ์กลุ่มนั้นก็ร้องโหยหวน แต่ละคนพลิกคว่ำลงดินไม่เคลื่อนไหวอีก ลงมือตีคนไปแล้วจ้งหวาถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา จ้องมองฝ่ามือตนเองอย่างตื่นตะลึง คล้ายกับไม่เข้าใจการกระทำที่เชื่อฟังถึงเพียงนี้ของตนอยู่บ้าง

ข้าไม่สนใจเขา เพียงจับบัณฑิตเขย่า “เห็นหรือไม่ หากเจ้าไม่ทำตาม ที่จะถูกตีคนต่อไปก็คือคนใกล้ชิดของเจ้า”

บัณฑิตกัดฟันแน่น สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาอย่างคับแค้น “ได้…ข้าปล่อย”

ข้าปล่อยมือ ให้จ้งหวาส่งบาตรทองให้เขา บัณฑิตรับบาตรทองไปแต่ไม่ขยับอยู่นาน

จ้งหวาค่อยๆ ขยับมาขวางเตรียมป้องกันเบื้องหน้าข้า ข้าชะโงกหัวออกมาจากด้านหลังเขา พูดกับบัณฑิต “ช้าเร็วล้วนต้องปล่อย บาตรดีถึงเพียงนี้รีบทำให้ว่างเร็วหน่อยแล้วเอาไปบิณฑบาตจะดีเพียงไร เหตุใดต้องเอามันไปฆ่าๆ ฟันๆ ทุกวันด้วยเล่า”

จ้งหวาหันกลับมาขมวดคิ้วใส่ข้าคราหนึ่ง “อย่าได้ลบหลู่อาวุธเวท”

ข้าเบ้ปาก ไม่ใส่ใจคำพูดเขา

บัณฑิตลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ร่ายคาถาใส่บาตรทองแล้วพลิกมือคว่ำมันลง มุกสีทองวาววับเม็ดหนึ่งกับควันสีขาวกลุ่มหนึ่งร่วงออกมาจากภายใน

จ้งหวาเก็บมุกขึ้นมา ส่วนข้าคว้าควันขาวกลางอากาศกลืนลงท้อง ให้วิญญาณและจิตของปีศาจจิ้งจอกรวมตัวกันภายในร่างข้า

ทำเรื่องนี้เสร็จแล้วข้าจึงโบกมืออย่างเฉียบขาด “เอาล่ะ เรื่องนี้เลิกแล้วต่อกัน ยังมีอีกเรื่อง…”

ข้ายังพูดไม่จบ พลันรู้สึกว่าไอหยินในร่างตนเพิ่มพูนทันใด วิญญาณและจิตที่ครบสมบูรณ์ของปีศาจจิ้งจอกพยายามดิ้นรนวุ่นวายในร่างข้า ข้าเพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงสายหนึ่งในร่าง จากนั้นก็ตาลาย รอจนคืนสติกลับมาข้าก็ลอยอยู่กลางอากาศ มองดูร่างกายตนเองค่อยๆ ขยับภายใต้การบงการของวิญญาณปีศาจจิ้งจอกแล้ว

เจ้าปีศาจสารเลวนี่…

ข้าแค่ไม่ทันระวัง นางถึงกับ…ชิงร่างกายข้าไป! สลับเปลี่ยนวิญญาณภายในร่างข้า โดยที่สือต้าจ้วงกับจ้งหวาอยู่ข้างกายแต่กลับไม่ทันได้สังเกต

สือต้าจ้วงจับแขน ‘ข้า’ กำลังจะใช้วิชาดำดิน แต่กลับถูกปีศาจจิ้งจอกสะบัดออกโดยแรง เขาตะลึงไปเล็กน้อย “เป็นอะไร”

ปีศาจจิ้งจอกหาได้สนใจเขา เพียงหมุนตัวอย่างเฉยเมยจับจ้องบัณฑิต ข้าลอยอยู่กลางอากาศจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่ความผิดปกติของนางกลับทำให้จ้งหวาสังเกตเห็น เห็นเพียงจ้งหวายื่นมือออกมาคว้าข้อมือ ‘ข้า’ ตั้งใจจะควบคุมจุดตาย

ปีศาจจิ้งจอกพลิกมือสะบัดตัวหลุดแล้วแผ่ไอหยินรอบกายออกมา ผลักจ้งหวาจนถอยหลังไปสองก้าวอย่างรุนแรง ต้องกุมหน้าอกราวกับลมปราณภายในถูกตีสับสน ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

นี่ย่อมแน่นอน ก่อนหน้านี้ตอนประมือกับจ้งหวาข้าล้วนออมพลังไว้ส่วนหนึ่ง แต่ปีศาจจิ้งจอกตอนนี้กลับเป็นพวกไม่รู้จักเสียดายพลังทั้งที่ยืมใช้ร่างกายของข้า ทุกกระบวนท่าล้วนเต็มแรง จ้งหวาที่มีพลังเวทเพียงสี่สิบปีไหนเลยจะสู้นางได้

ข้ามองจนร้อนใจ ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดันนางออกมาจากในร่างข้าได้

แต่โชคดีที่นางผลักจ้งหวาออกไปแล้วไม่ได้ลงมือกับเขาต่อ เพียงจ้องบัณฑิตอย่างเอาเป็นเอาตาย เอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าสังหารมารดากับน้องสาวท่านตอนไหน” น้ำเสียงนางเย็นเยียบ

บัณฑิตได้ยินแล้วตื่นตะลึง

ปีศาจจิ้งจอกพลันฟาดไอหยินสายหนึ่งใส่มือบัณฑิตก่อนเขาจะทันตั้งตัว ตบจนบาตรทองในมือเขาร่วงหล่น ความเจ็บปวดพาให้บัณฑิตได้สติ เขาจ้องปีศาจจิ้งจอกอยู่นานจากนั้นใบหน้าก็เผยความชิงชัง “เจ้า นางปีศาจ!”

ปีศาจจิ้งจอกสาวเท้าเข้าหาบัณฑิต “ข้าเคยลงมือกับพวกนางที่ไหน!” นางกล่าว “การแต่งงานของข้ากับท่านมีแม่สามีเป็นเจ้าภาพ เหล้ามงคลของข้ากับท่านมีน้องสาวท่านคอยมองดูพวกเราดื่มลงไป! ตอนท่านเข้าเมืองหลวงไปสอบ ข้ากับพวกนางสองคนส่งท่านจนถึงหลักหินนอกเมือง! แล้วพวกนางจะถูกข้าทำร้ายจนตายก่อนข้าแต่งกับท่านได้อย่างไร!”

ปีศาจจิ้งจอกยิ่งพูดยิ่งดุเดือดราวกับว่าทุกคำล้วนหลั่งเลือด

แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่เพียงแต่บัณฑิต แม้แต่ข้าก็ตะลึงด้วย

เรื่องนี้ยังมีการพลิกผัน

วิญญาณเบามาก ข้าจึงเลือกท่วงท่าสบายๆ ลอยตัวกลางอากาศ ด้านหลังจู่ๆ มีคนตีข้าเบาๆ สองครั้ง ข้าหันไปดูเห็นยมบาลอี่มารับวิญญาณ ข้าทักทายเขาพลางถาม “เฮยไป๋อู๋ฉางเล่า”

“มีสองแคว้นกำลังสู้ศึก ใต้เท้าทั้งสองจึงยุ่งอยู่ที่นั่น” ยมบาลอี่ตอบแล้วหันมองคนข้างล่าง จากนั้นก็มองข้าอีก “ซานเซิง สถานการณ์นี้ของท่านคือตายหรือไม่ตายกันแน่ล่ะ”

“ข้ายังไม่ตายนะ ที่ตายคือคนที่แย่งร่างข้าไปเล่นละครอยู่ข้างล่างนั่น เจ้ามาดูกับข้าก่อน รอให้นางร้องรำจบแล้วคงเอาร่างมาคืนข้าเอง เจ้าค่อยนำนางไปปรโลก”

ยมบาลอี่ลิ้นจุกปาก “ข้ายังมีเรื่องอีกมานะ ไหนเลยจะมีเวลาชมนางเล่นละคร” เขาวาดมือง่ายๆ ดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกลางอากาศ พลิกไปสองสามหน้าอย่างหมดความอดทนแล้วเอ่ย “เรื่องพื้นๆ พรรค์นี้มีอะไรน่าดู”

ข้าถูกคำพูดนี้ของเขาดึงความสนใจเข้าแล้ว รีบลอยไปข้างกายเขาแล้วยื่นหัวดูบันทึกชะตา “พื้นจริงด้วย” ข้าเอ่ย “ช่วงนี้เทพดาราซือมิ่งเลือดลมติดขัดหรือไร เหตุใดจึงเขียนเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้”

ในบันทึกเขียนว่าเดิมบัณฑิตคนนี้ชอบปีศาจจิ้งจอกจริงๆ แต่ภายหลังคุณหนูลูกเจ้าเมืองถูกใจเขาตอนที่กลับมาเป็นนายอำเภอ จึงคิดยั่วยวนเขามาเป็นสามี แต่บัณฑิตนึกถึงภรรยารักในบ้านจึงไม่ยอมตกลง คุณหนูลูกเจ้าเมืองริษยาจนคลั่ง ถึงกับเกิดความคิดบิดเบือนความทรงจำของบัณฑิต! แถมยังทำสำเร็จจริงๆ ด้วย!

“แต่ได้ยินว่าหมู่นี้เทพดาราซือมิ่งบนสวรรค์กำลังเศร้าใจอีกแล้ว เห็นใครดีไม่ได้ จะเขียนเรื่องพรรค์นี้ออกมาก็นับว่าสมเหตุสมผล”

ข้ายู่ปากอ่านต่อไป ยื่นมือไปหายมบาลอี่แล้วเอ่ย “มีขนมไหม”

ยมบาลอี่ไม่สนใจข้า ก้มหน้าลงอ่านต่อไปด้วยกัน

พอดีกับที่บัณฑิตหลุดจากอาการตะลึงเมื่อครู่ ตะโกนว่า “เหลวไหลทั้งเพ!”

“เฮอะ! หากคำพูดวันนี้ของข้าเหลวไหล! ขอให้ฟ้าผ่าวิญญาณสลายจิตแตกซ่าน!” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวอย่างรุนแรง “เมื่อแรกพบข้าใช้มารยาล่อลวงท่านจริง แต่โลกนี้มีใครไม่เคยใช้มารยาล่อลวงคนรักบ้าง ภายหลังตอนที่แต่งงานกัน ท่านพบว่าข้าเป็นปีศาจ แต่กลับยืนยันจะแต่งข้าเหมือนเดิม…”

อาจเพราะเรื่องเมื่อแรกทำให้นางสุขใจ น้ำเสียงของนางจึงเนิบช้าลงเล็กน้อย “ข้าซาบซึ้งที่ท่านรักใคร่ลึกซึ้ง ยินยอมมอบชีวิตนี้ให้ท่าน ตอนท่านไปสอบ ท่านแม่กับน้องสามีพากันติดโรคระบาดจากโลกนี้ไป เหลือเพียงข้าอยู่ลำพังในบ้านว่างเปล่า ท่านได้รับชื่อเสียงกลับมา แต่กลับแต่งผู้อื่นไปแล้ว…” เสียงของนางสั่นเล็กน้อยราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ “บุพเพสันนิวาสในชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าก็ไม่เคยโทษท่าน แต่เหตุใดท่านถึงอำมหิตทำร้ายข้าถึงเพียงนี้! ท่านทำกับข้าถึงเพียงนี้ได้ลงคอ!”

ปีศาจจิ้งจอกเคียดแค้นไม่อาจสงบ ความโกรธรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร นางยกมือขึ้นคว้าคอบัณฑิตอย่างรุนแรง ออกแรงกดจนบัณฑิตร่วงลงพื้น แต่นางกลับเพียงสั่นมือ กดเขาไว้แต่หาได้ออกแรงบีบทำลายคอของเขาจริงๆ

บัณฑิตกลับไม่คำนึงถึงมือบนคอ แววตาเขาเลื่อนลอย เอ่ยพูดกับตนเองเสียงเบา “เป็นไปไม่ได้ เจ้าทำร้ายคนในครอบครัวข้า เจ้าใช้แผนการบีบให้ข้าแต่งเจ้า ข้าสังหารเจ้าเป็นเรื่องถูกต้อง! หนี้ชีวิตก็ต้องคิดกับเจ้า!”

ปีศาจจิ้งจอกโกรธจนเดือดดาล สูญเสียสติสัมปชัญญะสิ้น นางไม่พูดอีก บีบง่ามนิ้วเข้าหากัน

ครั้นเห็นบัณฑิตหน้าขึ้นสีเขียวม่วง ยมบาลอี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องขึ้นมา “เอ๋ ไม่ดีแล้ว นางใช้ร่างท่านฆ่าคน หนี้ชีวิตย่อมตกบนหัวท่าน”

ข้าตกใจ “นี่จะได้อย่างไร! ผิดศีลแล้ว! ชาติหน้าข้าจะไปเกี้ยวโม่ซีได้อย่างไร!”

ข้าตระหนกในใจ รีบกระโจนลงไปข้างล่าง ใช้พลังทั้งหมดกระแทกเข้าไปในร่างของข้า แต่กลับทำได้แค่ควบคุมร่างกายตนเองเพียงชั่วพริบตา ปล่อยมือที่บีบคอบัณฑิตอยู่ ต่อมาข้าก็ถูกผลักออกมาอีก ข้าร้อนใจร้องตะโกน “เจ้ายังไม่รู้สึกว่าเรื่องมันมีเลศนัยอีกหรือ!”

จ้งหวากับสือต้าจ้วงในยามนี้ล้วนไม่ได้ยินข้า พวกเขาคิดจะเข้ามาขัดขวางปีศาจจิ้งจอก แต่กลับถูกไอหยินที่นางปล่อยออกมารอบกายผลักออกไป

ข้าเอ่ย “ความทรงจำของเขากับของเจ้าไม่สอดคล้องกันสักนิด! หากไม่ใช่เจ้าสองคนมีคนหนึ่งบ้าไปแล้ว ก็ต้องมีคนเล่นสกปรก! เจ้ารีบไตร่ตรองดูเถิด!”

ไอหยินรอบกายปีศาจจิ้งจอกลดลงไปมาก ชะงักการกระทำโดยพลัน

บัณฑิตไอไม่หยุด ปีศาจจิ้งจอกพึมพำเหม่อลอย “ความทรงจำไม่ถูกต้อง…เหตุใดจึงไม่ถูก” นางดึงแขนเสื้อบัณฑิตเปิดออก เห็นรอยแผลเป็นถูกกัดรอยหนึ่งบนแขนเขา “นี่คือรอยกัดตอนที่ข้าทะเลาะกับท่านหลังแต่งงาน ตอนนั้นท่านยังหัวเราะด่าข้าว่าใช้เป็นแต่ปาก ข้าโมโหไม่ใส่ยาให้ท่าน เป็นน้องสาวท่านที่ช่วยใส่ยาให้ ข้าจำได้ชัดเจนเพียงนั้น จะกลายเป็นข้าจำผิดได้อย่างไร”

บัณฑิตฟังนางพูดหนึ่งประโยคสีหน้าก็ซีดลงหนึ่งส่วน จนกระทั่งสุดท้ายทั้งหน้าก็เผือดขาวไร้สีเลือด “เป็นไปไม่ได้…ไม่ใช่…” เขาคล้ายหัวสมองสับสนขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ความจริง!”

สภาพการณ์เงียบงันลงครู่หนึ่ง สือต้าจ้วงพลันลูบคางกล่าว “ไม่กี่วันก่อนข้าเคยได้ยินคนพูดว่ามีผู้บำเพ็ญฌานนอกรีตรู้วิชาเวทคำสาปสามารถแก้ไขความทรงจำของคนได้ ไม่ใช่ว่าเขาถูกเวทคำสาปนี้เข้าหรอกนะ”

“แก้ไขความทรงจำ? ฮ่า!” ปีศาจจิ้งจอกพลันหัวเราะอย่างเปล่าเปลี่ยว “แก้ไขความทรงจำ…”

“เจ้าไม่ได้บังคับข้า? ไม่…ไม่ถูก…เป็นเจ้าทำร้ายคนในครอบครัวข้า…” ความจำของบัณฑิตคล้ายว่าสับสนไปหมดแล้ว

เสียงของปีศาจจิ้งจอกยิ่งวังเวงขึ้นเรื่อยๆ “ท่านถึงกับถูกแก้ไขความทรงจำ…”

บัณฑิตไม่ได้ยินเสียงของผู้ใดแล้ว เขาทรมานยิ่ง ทุบตีหัวตนเองไม่หยุด “ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่เช่นนี้! ข้าต้องการให้เจ้าแต่งให้ข้า ข้ากับเจ้าทะเลาะกัน ใจข้าเป็นของเจ้า…ข้ารักเจ้า…”

ปีศาจจิ้งจอกได้ยินคำพูดพึมพำติดๆ ขัดๆ แฝงความเจ็บปวดนี้ พลันหลั่งน้ำตาสองสาย “ใจท่านเป็นของข้า? ท่านรักข้า?”

“ข้ารักเจ้า…”

ปีศาจจิ้งจอกยิ้มเบิกบานทั้งน้ำตา “ที่แท้เพียงแค่ชะตากลั่นแกล้ง ท่านไม่ได้รังแกข้า ท่านไม่ได้รังแกข้า…”

ความอาฆาตแค้นทั้งร่างค่อยๆ สลายหายไปภายใต้คำว่า ‘ไม่ได้รังแก’ นี้ นางไม่สืบเสาะหาว่าผู้ใดทำร้ายนาง และไม่คิดว่าจะแก้แค้นอย่างไร ยิ่งไม่รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองน่าสังเวชเพียงใด ราวกับว่าคำว่า ‘รัก’ คำเดียวก็สลายความไม่ยินยอมและความเกลียดชังทั้งหมดของนางได้

ราวกับได้รู้ว่าเขาไม่ได้ทรยศหัวใจของนาง ชาตินี้ก็ไม่มีความเสียใจอีกแล้ว

ที่แท้ปีศาจจิ้งจอกตนนี้เป็นผู้โง่งมคนหนึ่ง…

แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นรูปแบบเดิมๆ แต่ที่กำลังแสดงสดต่อหน้านี้ก็ยังอดทำให้สะท้อนใจไม่ได้ ข้าถอนหายใจในใจ แต่เสียงถอนใจนี้ พอเห็นการกระทำต่อมาของนางก็เปลี่ยนเป็นขึ้นเสียงทันที “หยุดปาก! อย่าใช้ปากที่จูบโม่ซีของข้าไปจูบบัณฑิตขี้ขลาดนะ!”

ข้ารีบดันตัวเองเข้าไปในร่าง ครั้งนี้กลับกระแทกปีศาจจิ้งจอกออกไปจากร่างข้าได้โดยง่าย

พอได้อำนาจควบคุมร่างกายตนเองใหม่อีกครั้งข้าก็ตบใบหน้าบัณฑิตออกไปทันที ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นจากร่างเขากลับรู้สึกว่าถูกคนดึงคอเสื้อด้านหลัง คนผู้นั้นดึงข้าขึ้นอย่างรุนแรง หิ้วข้าแยกจากร่างบัณฑิตราวกับหิ้วแมวแล้ววางไว้ด้านข้าง พอเท้าถึงพื้นข้าจึงหันไปมองดู กลับพบว่าเป็นจ้งหวาที่จับข้า

ข้าเห็นท่าทางตะลึงงันของตนเองในดวงตาลึกล้ำของเขา สี่ตาสบกันเงียบๆ ครู่หนึ่งจ้งหวาถึงค่อยปล่อยข้า “เมื่อครู่เจ้า…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ ข้าก็พุ่งร่างเข้าไปกอดเอวเขาแน่น “โม่ซี ข้าเกือบถูกคนทำลายความบริสุทธิ์แล้ว!”

ร่างจ้งหวาแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นถึงเพิ่งนึกออกว่าต้องดึงข้าออก “ชายหญิงแตกต่าง! อย่าคิดมายุ่มย่ามกับข้า! อีกอย่าง…” เขาขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้จักโม่ซีอะไรนั่น ยิ่งไม่ใช่เขา”

“นี่ย่อมแน่นอน” ข้ากะพริบตามองเขา “หากท่านรู้จักนั่นต่างหากที่ประหลาด เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป เรื่องเล็กน้อยก็ไม่ต้องใส่ใจหรอก”

จ้งหวาคล้ายคิดไม่ถึงว่าข้าจะตอบอย่างไม่สะทกสะท้านเพียงนี้ อ้าปากราวกับถูกอะไรบางอย่างอุดคอไว้

“ท่านพี่!” จังหวะนั้นด้านนอกสวนมีเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น

ข้าเงยหน้ามองกลับเห็นภรรยาท้องของบัณฑิตมา ด้านหลังยังมีนักพรตในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งตามมาด้วย นักพรตคนนั้นท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอะไร

แต่ครั้นเห็นลาดเลาทางฝั่งนี้นักพรตคนนั้นก็คิดหนีไปราวกับเท้าทาน้ำมัน สือต้าจ้วงดีดตัวออกไป กางนิ้วเป็นกรงเล็บคว้าหัวไหล่นักพรตเอาไว้ นักพรตหันกลับมาตอบโต้ แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าสือต้าจ้วงก็จับเขาได้แล้ว บังคับให้เขาคุกเข่าลง

นักพรตเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็รีบกอดหัว ร้องเสียงดัง “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย! ทุกเรื่องเป็นฮูหยินให้ผู้น้อยทำ!”

นักพรตถูกจับ หญิงสาวกัดฟันเบาๆ สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย แต่กลับยังข่มความกลัวเดินมาข้างกายบัณฑิต กอดบัณฑิตที่สติไม่แจ่มชัดลุกขึ้น เอ่ยเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก “ท่านพี่”

ข้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างทนไม่ไหว แต่เห็นยมบาลอี่คล้องโซ่บนมือปีศาจจิ้งจอกกลางท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังร้องเพลงเรียกวิญญาณ จูงนางเดินเข้าไปในทางเข้าสู่ปรโลกช้าๆ

ข้านึกว่าปีศาจจิ้งจอกน่าจะตัดใจไม่ลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่คิดไม่ถึงว่านางเพียงแค่เดินตามยมบาลจากไปทีละก้าวช้าๆ ไม่หันกลับมาและไม่มีความอาวรณ์

เดิมทีชาตินี้สำหรับนางจบสิ้นแล้ว ความคิดดึงดันทุกอย่างล้วนวางลงแล้ว เรื่องที่ผ่านไปไม่สำคัญ ผลลัพธ์ยิ่งไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง

ในใจข้าอดผิดหวังน้อยๆ ไม่ได้ หันกลับมาเห็นคุณหนูลูกเจ้าเมืองกอดบัณฑิตแน่น นางยื่นท้องโตฟังบัณฑิตพร่ำพูดชื่อปีศาจจิ้งจอกอย่างเลอะเลือนไม่หยุด คุณหนูลูกเจ้าเมืองกัดริมฝีปากแน่น ในดวงตาอึมครึมซ่อนแววไม่พึงใจ

“เจ้าแก้คำสาปให้เขาเถอะ” ข้ากล่าว “เป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงได้บ้าแน่”

หญิงสาวเงยหน้าจ้องข้าอย่างเกลียดชัง ความขุ่นแค้นในสีหน้าพาให้ข้าผงะ นางยิ่งกอดบัณฑิตแน่นขึ้น “ไม่แก้” นางว่า “แก้แล้วเขาก็ไปจากข้า ข้าไม่แก้ให้เขา”

ข้ามองนางพลางลูบคางครุ่นคิด นึกในใจว่าคุณหนูอย่างนางย่อมไม่เป็นวิชาชั่วร้ายในยุทธภพพวกนี้ ดังนั้นจึงหันมองนักพรตที่ถูกสือต้าจ้วงจับไว้

นักพรตรู้ตัวรีบกล่าว “ข้าเป็นคนร่ายคำสาปเอง เป็นข้าเอง ข้าแก้ๆ” เขาล้มลุกคลุกคลานเข้าหาบัณฑิต

ข้าสะกิดแขนจ้งหวา “ท่านยังจะกล้าดูถูกปีศาจอีกไหมนะ ดูคนร่วมอาชีพท่านสิ”

จ้งหวาส่งสายตาเยียบเย็นให้ข้าคราหนึ่งแล้วนิ่งเงียบต่อไป

ข้าเอ่ยเสียงสูง “ก่อนหน้านี้เจ้ายังร่ายคำสาปใส่นักพรตหญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่”

นักพรตชะงัก กะพริบตาย้อนคิดรอบหนึ่งจึงเอ่ย “ใช่ มีนักพรตหญิงคนหนึ่ง อ่า อันที่จริงผู้น้อยร่ำเรียนไม่แตกฉาน บิดเบือนความทรงจำนิดหน่อยยังพอได้ แต่ให้แก้ความทรงจำส่วนมากอย่างใต้เท้านายอำเภอนี้กลับไม่ค่อยช่ำชองนัก ดังนั้นทุกวันจึงต้องร่ายเวทคำสาปกับใต้เท้านายอำเภอให้แน่นขึ้น วันนั้นตอนกำลังทำเรื่องนี้ถูกนักพรตหญิงล่วงรู้เข้า นักพรตหญิงกล่าวว่านางมาเพื่อกำจัดปีศาจ แต่ให้ข้าอย่าได้ทำร้ายคนเช่นนี้อีก เดิมข้าคิดหยุดมือ!” นักพรตรีบแสดงความบริสุทธิ์ “แต่ล้วนเป็นนาง!” เขาชี้คุณหนูลูกเจ้าเมืองพลางว่า “ล้วนเป็นนางบังคับข้านะ! นางให้ข้าฉวยจังหวะที่นักพรตหญิงเผลอ ร่ายเวทคำสาปเปลี่ยนความทรงจำให้นางไปกำจัดปีศาจ…”

จ้งหวาขมวดคิ้วถาม “เวทคำสาปเพียงแค่แก้ความทรงจำ? มีภัยต่อชีวิตหรือไม่”

“ไม่มีๆ!” นักพรตรีบพูด “ข้าไหนเลยจะกล้าทำอันตรายนักพรตหญิง เพียงแต่ผู้น้อย…ฝีมือไม่ถึงขั้นจริงๆ เวทคำสาปนั่นหากปล่อยนานไปไม่แก้ เกรงว่าสมองจะ…ไม่ค่อยดี…”

ข้าพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าเฉือนเนื้อตัวเองออกมาส่วนหนึ่ง พวกเราจะเอาไปช่วยคน”

นักพรตกลัวจนหน้าขาวแล้ว “ไม่ต้องๆ ในเมื่อแม่นางเป็นเวทคำสาป ผู้น้อยให้เส้นผมกับท่านก็สามารถแก้คำสาปของนักพรตหญิงได้แล้ว”

ข้าพยักหน้าตกลง สือต้าจ้วงถอนผมเขาออกมากระจุกหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ นักพรตเจ็บจนต้องคลึงหัว แต่กลับไม่กล้าด่าว่าออกมาแม้ครึ่งคำ

สือต้าจ้วงเตะเขาทีหนึ่ง “คำสาปของบัณฑิตคนนี้ยังไม่รีบแก้อีก!”

“แก้เดี๋ยวนี้ๆ!” นักพรตยื่นมือคว้ามือบัณฑิต คุณหนูคนนั้นกลับปัดมือเขาออกอย่างรุนแรงราวกับเสียสติไปแล้ว “ไม่อนุญาตให้แตะเขา!” นางร้องตะโกน “เขาเป็นของข้า! ของข้าเท่านั้น! ความทรงจำของเขาไม่ผิด! สิ่งที่ข้าให้เขารู้ก็คือชีวิตของเขา! ข้ามีลูกของเขาแล้ว! พวกเจ้าพาเขาไปจากข้าไม่ได้!”

ข้าขมวดคิ้ว

นักพรตเห็นสีหน้าเช่นนี้ของข้าก็พลันตระหนก ตะคอกด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่าหญิงสาว “นางหญิงบ้า! เวลาใดแล้วยังคิดจะอยากได้ผู้ชายอีก! เขาแทบถูกเจ้าทำร้ายจนเป็นบ้าแล้ว! เมื่อก่อนข้าหลงผิดจริงๆ ถึงได้ช่วยเจ้า ถ้าเจ้าไม่ถอยอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” นักพรตหันมายิ้มให้ข้า “แหะๆ แม่นาง ท่านว่าใช่หรือไม่”

ข้าไม่พูดอันใด

หญิงสาวราวกับบ้าไปแล้ว กอดบัณฑิตแน่นไม่ปล่อย ตาแดงก่ำเอ่ยว่า “ไม่ได้! เอาเขาไปไม่ได้! ไม่ใช่ง่ายกว่าข้าจะทำให้เขาอยู่กับข้า! ไม่ใช่ง่ายกว่าจะมีชีวิตเช่นตอนนี้…” นางจ้องข้าอย่างแค้นเคือง “ทำไมพวกเจ้าต้องมา! พวกเจ้าอาศัยอะไรมาทำลายชีวิตข้า!”

ข้าจ้องดวงตานางตรงๆ “แม่นาง เจ้าเองก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็ทำลายชีวิตของแม่นางจิ้งจอกแบบนี้เช่นกัน”

นางอึ้ง กัดฟันเอ่ย “เดิมนางเป็นปีศาจ คนกับปีศาจต่างเส้นทาง…”

ข้านิ่งเงียบ มองจ้งหวาที่ด้านข้าง เขาสัมผัสถึงสายตาข้าจึงหันมองมา สี่ตาประสาน ข้ามองเห็นเงาร่างของตนในดวงตาใสกระจ่างของเขาได้อย่างชัดเจน ข้าเบะปากกล่าว “ใช่สิ ปีศาจคือความชั่วช้า” นัยน์ตาของจ้งหวาเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่กลับไม่พูดอะไร ข้าหันกลับไปกล่าวต่อ “แต่เจ้าไม่ใช่เกลียดปีศาจ และไม่ใช่ชิงชังความชั่วช้าเหมือนดั่งอริศัตรู เจ้าไม่มีจิตใจงามกับความเป็นธรรมอย่างที่เจ้าคิด เจ้าเพียงแค่ริษยา”

เดิมข้าคาดว่าประโยคนี้สามารถเรียกสติของหญิงสาวหลังจากตื่นตระหนกได้ แต่กลับไม่คิดว่าแววตาจ้งหวาที่อยู่ในครรลองสายตาข้าจะตื่นตะลึงยิ่งกว่านาง เขาตะลึงจนข้าไม่อาจไม่หันกลับไปถาม “คำพูดของข้ากระทบตรงไหนของท่านหรือ”

จ้งหวาค่อยๆ เก็บสีหน้าตื่นตะลึงช้าๆ หลังจากนั้นกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งกว่าเก่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“เช่นนั้นท่านตกใจทำไม” ข้าเบ้ปาก เลียนอย่างท่าทางเหล่มองของเขาจากนั้นค่อยพูดกับหญิงสาวต่อ “ตอนมีชีวิตทำเรื่องชั่วช้ามากเกินไป หลังตายแล้วจะต้องตกนรก ที่นั่นทัศนียภาพไม่งดงาม เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

“มีชีวิตเหตุใดต้องครุ่นคิดถึงเรื่องหลังตายไปแล้ว”

มนุษย์มักขาดการมองการณ์ไกลเช่นนี้ แต่ว่านี่ก็เป็นธรรมชาติของพวกเขา ข้ากวักมือ “สือต้าจ้วง พวกเราไปเถอะ”

ต้าจ้วงแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไร เพียงขู่สำทับนักพรตอย่างดุดัน “หากคราวหน้าให้ข้าได้ยินอีกว่าเจ้าใช้วิธีนี้ทำเรื่องชั่วช้า ข้าจะมาเด็ดหัวเจ้ากับมือ”

นักพรตพยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด

ข้าหมุนตัวจากไป เดินไปได้สองสามก้าวกลับเห็นจ้งหวาไม่ขยับ จึงหันกลับไปเรียกเขา “จ้งหวาไปเถอะ ท่านยังต้องกลับไปหากระบี่อีกไม่ใช่หรือ”

เขาจ้องมองข้านิ่งภายใต้ระยะห่างไม่กี่ก้าวอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกเท้าตามมา

ยังไม่ทันเดินออกจากสวนก็ได้ยินเสียงหญิงสาวนางนั้นสั่ง “เพิ่มเวทคำสาปของเขาให้มากขึ้น…”

“เอ๋…แต่…”

“ช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้ายเถอะท่านนักพรต ถือเสียว่าทำเรื่องดี เห็นแก่ลูกข้า…”

คำพูดข้างหลังฟังไม่ได้ยินแล้ว สือต้าจ้วงใช้วิชาดำดิน ไม่ถึงชั่วพริบตาพวกเราก็มาอยู่ในลานบ้านป่าเหมยแล้ว

“นับว่าสำเร็จไปเรื่องหนึ่งแล้ว” ข้าบิดเอว “ต้าจ้วง ปีศาจน้อยที่เจ้าให้ไปหากระบี่เจอร่องรอยบ้างหรือยัง”

“พวกเจ้าพักก่อน” สือต้าจ้วงเอ่ย “รอข้าไปถาม”

จ้งหวากล่าวว่า “ข้าจะตามเจ้าไป หากพวกเขายังหาไม่พบข้าจะหาด้วยตนเอง”

ข้าทุบหลังเขาแรงๆ ทีหนึ่ง จ้งหวาพลันไอออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาจ้องข้าอย่างโมโห แต่กลับไอจนแม้แต่คำตำหนิสักคำยังพูดไม่ออก ข้าเอ่ย “ไม่กี่วันก่อนท่านเพิ่งได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดีเลย วันนี้ก็ถูกทำให้ลมปราณปั่นป่วน เวลาแค่ชั่วครู่เดียวไหนเลยจะดีขึ้นได้ ท่านก็อย่าอวดดีเลย หลังจากหากระบี่เจอยังต้องขี่ลมกลับหลิวโป ก็เก็บแรงเอาไว้หน่อย พักก่อนเถอะ”

สือต้าจ้วงหลุดขำออกมาแล้วออกจากลานบ้านไป

ข้าไม่สนใจจ้งหวาอีก เดินกลับห้องที่ตนพักอยู่

 

สือต้าจ้วงกลับมาในยามฟ้าทอแสงแดง วิหคกลับรัง

ข้ากำลังพลิกอ่านนิทานชาวบ้านที่ค่อนข้างเก่าสองสามเล่มอยู่ในห้องเดิมของตน ขณะหวนคิดถึงอย่างได้ที่ พลันได้ยินเสียงเง้างอดของผู้หญิงดังมาจากนอกเรือน ฟังเสียงแล้วไม่ใช่หญิงที่ติดพันสือต้าจ้วงในคราวก่อน ข้าปิดนิทาน ถอนใจเฮือกใหญ่ที่ยามนี้จิตใจคนไม่สัตย์ซื่อเหมือนเก่า จากนั้นเปิดประตูห้อง แนบตัวกับประตูใหญ่ฟังเสียงครึกครื้นอีกด้าน

ผู้หญิงด้านนอกคล้ายว่าสะอึกสะอื้นพูดอะไรบางอย่าง สือต้าจ้วงเพียงพูดว่า “เจ้ากลับไปเถอะ” ช่างไร้น้ำใจถึงที่สุดโดยแท้!

ข้าฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่คาดว่าประตูใหญ่จะถูกผลักเข้ามา บานประตูตีเข้าหน้าข้า ข้ารีบถอยเท้าติดๆ กัน ขณะที่เกือบยืนไม่มั่นกลับถอยเข้าไปในอ้อมอกหนึ่ง

ไม่ใช่จ้งหวาแล้วจะเป็นใคร

เขาขมวดคิ้วเหมือนที่ผ่านมา ข้ายิ้มกล่าว “ท่านนี่แย่จริง มาแอบฟังผู้อื่นเช่นเดียวกับข้าด้วย”

เส้นเลือดบนหน้าผากจ้งหวาปูดโปน ปล่อยข้าแล้วเดินไปหน้าประตู สังเกตสือต้าจ้วงที่เดินเข้ามา จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “ยังหากระบี่ชิงซวีไม่เจอหรือ”

หญิงนอกประตูจากไปแล้ว สือต้าจ้วงปิดประตูเบาๆ แล้วเอ่ย “คืนนี้ข้าให้พวกเขาเร่งหาแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะหาเจอ เพียงแต่นอกจากเรื่องนี้ข้ายังมีอีกเรื่องอยากปรึกษาพวกเจ้า” สือต้าจ้วงว่า “วันนี้ตอนที่ไปสอบถามเรื่องกระบี่ชิงซวีกับพวกปีศาจก้อนหิน มีปีศาจก้อนหินน้อยตนหนึ่งพูดว่าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นดูเหมือนจะมีน้องสาว แต่ว่าความสามารถของน้องสาวนางไม่เหมือนปีศาจตนอื่น พวกนางสองพี่น้องบำเพ็ญตบะด้วยกัน พี่สาวสามารถกลายร่างเป็นคนได้นานแล้ว น้องสาวกลับไม่เปลี่ยน ได้แต่คงรูปร่างจิ้งจอก พวกปีศาจก้อนหินปรึกษากับข้าว่าสามารถนำลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกที่ได้กลับมาวันนี้มอบให้น้องสาวนางได้หรือไม่ หากสามารถช่วยให้น้องสาวนางกลายร่างเป็นคนได้ก็นับเป็นน้ำใจ ทั้งไม่เสียตบะที่ปีศาจจิ้งจอกบำเพ็ญมาหลายปี”

นับเป็นวิธีที่ดี ข้าหันมองจ้งหวา เขาหลุบตาลงคิดครู่หนึ่ง “ตามข้อปฏิบัติของหลิวโป ข้าต้องนำลูกกลอนปราณของปีศาจกลับไปผนึกที่หลิวโป”

สือต้าจ้วงตะลึง “นี่…”

ข้าสุ่มเก็บหินขึ้นมาก้อนหนึ่งและเปลี่ยนมันบนมือ ก้อนหินก็เปลี่ยนสภาพเหมือนลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอก ข้ากล่าว “นี่ถึงจะเป็นลูกกลอนปราณปีศาจจิ้งจอก ท่านเอากลับไปผนึกเถอะ ในเอี๊ยมท่านนั่นเป็นของปลอม”

จ้งหวาหางตากระตุก ส่งเสียงเฮอะเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

ข้าเบะปากทิ้งก้อนหินในมือ สือต้าจ้วงยิ้มถาม “เจ้ายั่วโมโหเขาแบบนี้ยิ่งไม่ได้ลูกกลอนปราณมาง่ายๆ”

ข้าถอนหายใจเสียงเบา “ที่แท้โตมาอย่างไรแน่ ถึงได้ไม่มีความรู้สึกของมนุษย์เพียงนี้” พ่อแม่ของเขาในชาตินี้คงเลี้ยงดูได้ไม่ดีเท่าข้า

“ไม่ให้ก็ช่าง อย่างไรก็แค่น้ำใจเท่านั้น” สือต้าจ้วงโบกกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งในมือ “เจ้าก็อย่าโกรธเลย คืนนี้มากินเนื้อย่างก่อนแล้วนอนให้เต็มที่”

ข้าดีใจ “ดีๆ! ไม่ต้องเรียกจ้งหวา! ให้เขาอดไป!”

สือต้าจ้วงยกยิ้ม “เจ้าพูดดังขนาดนี้ใครๆ ล้วนได้ยินหมด…แต่ว่าเนื้อย่างมีน้อย พวกเราสองคนแบ่งกันกำลังดี”

ข้ารับกระดาษน้ำมันพลางถามไปด้วย “เหล้าที่ข้าฝังไว้ใต้ต้นเหมยในลานบ้านเจ้าขุดออกมาดื่มหรือยัง”

“เจ้าฝังเหล้าไว้ที่ไหน”

ข้ากับสือต้าจ้วงสบตากัน จากนั้นก็ขุดเหล้าที่หมักไว้ร้อยปีสองไหใหญ่ออกมาอย่างเบิกบาน

กระดกเหล้า ถือเนื้อ ร่วมดื่มกินใต้แสงจันทร์ในส่วนลึกของป่าเหมย

บทที่สิบเจ็ด

 ดื่มไปแล้วสามรอบ พระจันทร์บนฟ้าเปลี่ยนเป็นพร่ามัวเล็กน้อยแล้ว ข้ากัดเนื้อพลางฟังสือต้าจ้วงกล่าว “ข้ายังนึกว่าด้วยนิสัยของเจ้าจะต้องทำให้นักพรตนั่นแก้คำสาปแน่ ไม่คิดว่าเจ้าจะยอมจากมาเช่นนี้เลย”

“แก้คำสาปแล้วมีอะไรดี” ข้าสั่นจอกเหล้าในมือเบาๆ มองดูดวงจันทร์ที่ถูกข้าเขย่าในนั้น “ปีศาจจิ้งจอกตายแล้ว แก้คำสาปไปบัณฑิตก็ไม่สามารถกลับไปมีชีวิตเช่นแต่ก่อนกับนางได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจนึกโทษตัวเองและสูญเสียจิตใจไปนับแต่นี้ ส่วนคุณหนูลูกเจ้าเมืองคนนั้นก็มีลูกแล้ว ความผิดของผู้ใหญ่ไม่ควรให้เด็กมาแบกรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลังแก้คำสาปบัณฑิตจะมองเด็กคนนั้นยังไง และถ้าหากไม่มีบัณฑิต คุณหนูลูกเจ้าเมืองจะคลอดเด็กออกมาได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา หากแก้คำสาปไป พวกเราอาจจะดูเหมือนรักษาความเป็นธรรมเอย ความยุติธรรมเอยอะไรพวกนี้ แต่ว่าไม่มีความหมายเลยสักนิด หนึ่งการกระทำทำร้ายคนสามคน ข้าไม่ทำเรื่องไร้คุณธรรมพรรค์นี้”

สือต้าจ้วงหัวเราะเบาๆ “ซานเซิงคิดได้กระจ่างแจ้ง”

“เจ้าเล่า?” ข้าหันไปถามสือต้าจ้วง “ที่จริงข้าอยากถามมาตลอด ก่อนหน้านี้ระหว่างเจ้ากับซย่าอีผลสุดท้ายเป็นเช่นไรกันแน่”

สือต้าจ้วงจิบสุราคำหนึ่ง “พี่ชายนางหมั้นให้นาง แต่นางหนีการแต่งงาน นางถูกคนไล่ตามตลอดทาง นางยังไล่ตามข้ามาตลอด สุดท้ายแล้วนางกลับตายแทนข้า” เป็นเรื่องที่สั้นมาก ทว่าหลังจากเล่าจบก็พาให้แสงจันทร์ยิ่งเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน

“ดังนั้น…ตอนนี้เจ้า…” ข้าทำไม้ทำมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะบรรยายถึงผู้หญิงสองคนก่อนหน้านี้อย่างไร “วางอดีตลงได้และเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว?”

สือต้าจ้วงหัวเราะ “เปล่า” เสียงของเขาแหบแห้งอยู่บ้าง “ซานเซิง เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนข้าซื่อบื้อมาก ซย่าอีตายในอ้อมแขนข้า ข้าถึงขนาดอธิบายความรู้สึกตัวเองในตอนนั้นไม่ออก เพียงแค่เกลียดตนเอง ทว่ากระทั่งเหตุใดถึงเกลียดตนเองก็ยังไม่รู้ เมื่อก่อนข้าเคยถามเจ้าว่าสามารถใช้ทั้งชีวิตไปชอบใครสักคนหรือไม่ ซย่าอีสามารถ นางทำได้…นางยังเริ่มทำให้ข้าเกลียดชังตนเอง ข้าได้เห็นความขี้ขลาดและหยาบช้าของตนเองในสมัยก่อน ข้าเริ่มรู้ว่าไม่ใช่ง่ายที่นาง…”

เขาหยุดชะงักราวกับพูดไม่ออกแล้ว

ข้ากรอกเหล้าคำโตอย่างเศร้าใจ “ไม่ใช่ว่าไม่ง่าย ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจนาง ชาตินี้ในที่สุดตนเองก็ได้เข้าใจแล้ว คนที่ตนเองชอบไม่ชอบตน ยังจะหน้าไม่อายไล่ตามเว้าวอน…ทำเรื่องโง่งมพรรค์นี้ต้องการความกล้ามากถึงเพียงนั้น อา…ความกล้าที่ข้ากักตุนเอาไว้เกือบใช้ไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะสามารถยืมได้ที่ไหน”

“หึ แต่ซย่าอีไม่เคยหยิบยืมจากผู้ใด นางก็เหมือนหิ่งห้อยในคืนฤดูร้อน ใช้แสงทั้งหมดของตนแผดเผาจนสิ้นแล้วพุ่งเข้าหาความตายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้ผู้อื่นรับมือไม่ทันโดยสิ้นเชิง…” สือต้าจ้วงเอ่ย “หลังจากฝังซย่าอีข้าต้องการช่วยนางล้างแค้นตัวข้าเอง ข้าคิดวิธีมากมายมาลงโทษตัวเอง แต่ข้ารู้สึกว่าล้วนไม่พอ ต่อมาข้าเริ่มพยายามทำให้ตนเองไปรักใครสักคน ข้าอยากจะแบกรับความทุกข์ที่นางเคยรับมาทั้งหมด…”

“ต้าจ้วง…” ข้าเอ่ยอย่างทนไม่ได้ “ข้าไม่อาจไม่เอ่ยจริงๆ เจ้าในตอนแรกซื่อบื้อ…เกินไปจริงๆ…นี่ใช่เรื่องที่คนควรทำหรือ”

สือต้าจ้วงเองก็ยิ้มเช่นกัน “ดังนั้นจึงไม่ผิดจากที่คาด ตลอดมาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าใครข้าก็ไม่รัก ไม่สามารถช่วยนางแก้แค้นตนเอง กลับยิ่งช่ำชองการสานสัมพันธ์กับสตรีมากขึ้น ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่สามารถชอบใครได้”

ข้ากัดเนื้อเคี้ยวพลางถาม “เจ้าคิดถึงซย่าอีหรือไม่”

สือต้าจ้วงมองจอกเหล้าอยู่นาน “คิด”

“เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับการลงโทษแล้วละ” ข้ากลืนเนื้อลงท้องไปแล้วชนจอกกับต้าจ้วงที่ตกตะลึง “พูดเรื่องเจ็บปวดเช่นนี้ในเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์ ดื่ม ไม่เมาไม่กลับ!”

ข้าแหงนหน้ากรอกเหล้าลงไปอีกจอก ไม่รู้ดื่มไปนานเท่าไร พระจันทร์บนฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสองสามดวง ลมเย็นในคืนฤดูร้อนพัดใส่หน้าผากข้า ข้ารู้สึกว่าชีวิตคนช่างสุขสบายอย่างยิ่งแล้ว

สือต้าจ้วงกอดไหเหล้าหลับ กรนครอกๆ อยู่ข้างกายข้าไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าลมพัดเบาๆ กำลังดี จึงคิดจะเดินเล่นในป่าสักหน่อย ไม่แน่ว่า…ไม่แน่ว่าข้าอาจจะบังเอิญพบโม่ซีน้อยอีกครั้ง กำลังใช้ไม้กวาดกวาดพื้นอย่างน่าสงสาร จากนั้นข้าก็สามารถเอาลูกกวาดไปเกี้ยวเขาอีก นั่นช่างง่ายดายยิ่งนัก

ไม่รู้ว่าส่ายเอนอยู่นานเท่าไร ข้าพลันเห็นที่ต้นเหมยด้านหน้ามีเงาคนเงาหนึ่งในชุดขาวลายฟ้า เป็นเครื่องแต่งกายของหลิวโป ข้าขยี้ตาเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ยังไม่ทันมองหน้าเขาชัดๆ ก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า “คิดจะอ้างว่าเมาหนีไปหรือ เจ้าคงยังจำได้ว่าตัวเจ้าประทับตราใส่ตนเองไว้ใช่ไหม”

ข้าพยายามมองเขาชัดๆ แต่เขากลับเอาแต่ส่ายไปส่ายมาตลอด ข้าร้อนใจอยากคว้าจับเขาไว้แต่ไม่คาดว่าเขาจะหนีหลบไป

“อย่าขยับ!” ข้าตะโกน “ให้ข้ามองท่านดีๆ”

ข้าก้าวเข้าไปอีกก้าว แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัว ต่อมาก็รู้สึกว่าฟ้าหมุนดินพลิก แหงนหน้าล้มลงไปที่พื้น แต่ที่น่าแปลกคือหลังหัวข้ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ข้ายื่นมือลูบมั่วซั่วแต่กลับลูบเจอมือของใครอีกคนอย่างน่าประหลาด ข้าลูบจากหลังมือของเขาไปจนถึงปลายนิ้ว ข้อต่อกระดูกชัดเจน ขนาดกำลังพอดี เอาไปย่างได้แล้ว “กีบอันนี้โตได้ที่ดีเลย”

คนผู้นั้นคล้ายว่าถูกหยอกจนโกรธแล้วจึงชักมือคืนไปโดยแรง ข้ากลับคว้ามือเขาไว้ไวยิ่งกว่า

ตอนนี้ข้านอนอยู่บนพื้น แม้หัวจะยังมึนอยู่นิดหน่อยแต่อย่างน้อยตัวเขาก็ไม่ส่ายแล้ว ในที่สุดข้าจึงค่อยๆ มองเห็นเครื่องหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ในดวงตาเขาแฝงแสงจันทร์อันพร่างพราวเย็นใส มองจนดวงใจข้าสั่นไหวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ทำไมจึงแสบจมูก เบ้าตาร้อนแดง น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมามากมาย

“โม่ซี…” ข้าเอ่ยเรียก “โม่ซี ข้าคิดถึงเจ้า”

มือข้างหนึ่งของข้าจับมือเขาแน่น อีกมือคิดจะโอบคอเขา แต่กลับถูกมือข้างที่ว่างของเขาปัดออกอย่างไร้เยื่อใย

การปฏิเสธของเขาทำให้ข้าน้อยใจจนรับไม่ไหว “เหตุใดไม่ให้ข้าแตะเจ้า!”

หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “เจ้าดื่มมากไปแล้ว”

“เจ้าบอกว่าจะดีต่อข้าตลอดไป! เจ้าเคยพูดว่าเจ้าจะอ่านนิทานให้ข้าฟัง เจ้าบอกว่าจะให้ข้ารังแกไปชั่วชีวิต เจ้าบอกว่าเจ้าชนะข้าไม่ได้ชั่วนิรันดร์ เจ้าบอกตั้งมากมายเพียงนั้นแต่กลับไม่มีสักประโยคเป็นความจริง เจ้าเป็นคนหลอกลวง พูดไม่เป็นคำพูด”

“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการหา”

“เจ้าใช่!”

“ไม่ใช่”

“เช่นนั้นเจ้ายืนยันได้หรือว่าเจ้าไม่ใช่!”

“…”

“เจ้านั่นแหละ” ข้าแนบใบหน้ากับฝ่ามือเขาพลางถูเบาๆ “เจ้าคือโม่ซี โม่ซีที่ข้าชอบที่สุด”

โม่ซีไม่ดิ้นรนเถียงข้างๆ คูๆ อีก ปล่อยให้ข้าดึงมือเขาไปคลอเคลียและจูบเบาๆ ที่ฝ่ามือเขา “แต่ว่าไม่เป็นไร” ข้าเอ่ยเสียงเบากลางฝ่ามือเขา “เป็นข้าที่ตั้งมั่นเกี้ยวเจ้า พวกนี้…ล้วนไม่เป็นไร”

โลกเงียบสงัด ข้างหูข้านอกจากเสียงแมลงแล้วเสียงอื่นๆ ล้วนถอยห่างไปช้าๆ…

 

วันรุ่งขึ้น

ข้าตื่นด้วยเสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆๆ’ ด้วยจังหวะเร่งร้อน ภายนอกหน้าต่างแสงอาทิตย์กำลังดี ข้าหาวคราหนึ่ง กำลังคิดจะเปิดประตูออกไปนอกลานบ้าน แต่หลังจากหาวเสร็จปิดตาลง กลับรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นคาวเลือดประหลาดๆ ดวงตาก็ตึงแน่น ข้าลูบปากลูบตาเบาๆ ตีหัวอย่างมึนๆ เหตุใดจึงมีความรู้สึกไม่ถูกต้องในบางที่

ข้าใส่รองเท้าสวมเสื้อคลุม เคลื่อนตัวลงจากเตียงช้าๆ แล้วดึงประตูห้องเปิดออกเป็นช่อง ภายในช่องประตูเห็นจ้งหวาเดินไปเปิดประตูแล้ว แต่ที่หน้าประตูคล้ายว่าเป็นปีศาจก้อนหินน้อยตนหนึ่ง เมื่อเห็นจ้งหวา ปีศาจน้อยตะลึงงันไปชั่วขณะค่อยเอ่ยถามอย่างขลาดกลัว “ใต้เท้าเหยียนซิ่วไม่อยู่หรือ”

“ไม่รู้” ข้าไม่เห็นสีหน้าจ้งหวา แต่พอฟังออกถึงความไม่พอใจจากน้ำเสียง พบเรื่องไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ความโมโหร้ายของเขาคงหนักกว่าเดิมอย่างไม่อาจเลี่ยง

ปีศาจก้อนหินน้อยตื่นกลัวอยู่บ้าง “เช่นนั้น…เช่นนั้นอีกครู่ข้าค่อยมาดีกว่า” เขาหมุนกายสาวเท้าไปสองก้าว ก่อนที่จ้งหวาจะปิดประตูก็ถอยหลังกลับมาใหม่ ใช้มือดึงประตูไว้ ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องมองจ้งหวาตรงๆ ความหวาดกลัวกับความมุ่งมั่นพากันฉายวาบผ่านในแววตา “คือว่า…” เสียงของเขาเบามาก จ้งหวากลับไม่ได้ปฏิบัติต่อปีศาจอย่างไม่เกรงใจแม้สักน้อยเหมือนปกติ แต่อดทนรอฟังคำพูดต่อมาของปีศาจน้อยอย่างผิดคาด

“ใต้เท้าเหยียนซิ่วบอกว่าลูกกลอนปราณของพี่สาวจิ้งจอกน้อยอยู่กับ…กับท่านใช่หรือไม่”

“อื้ม”

เขาราวกับปลุกความกล้าทั้งหมดเอ่ยว่า “สามารถมอบให้จิ้งจอกน้อยได้หรือไม่…”

จ้งหวาไม่ตอบ ปีศาจก้อนหินน้อยคล้ายกลัวว่าจะถูกโดนไล่ตีให้จากไป รีบยื่นมือจับเสื้อคลุมจ้งหวาอย่างน่าสงสาร “ขอร้องท่าน…”

ข้าถูกท่าทางของปีศาจน้อยล่อลวงเข้าแล้ว ขณะกำลังคิดจะพุ่งไปค้นเสื้อจ้งหวาแย่งลูกกลอนปราณมาให้ปีศาจก้อนหินน้อย กลับได้ยินจ้งหวากล่าวว่า

“ได้”

ปีศาจก้อนหินน้อยสะท้านไปทั้งตัว เงยหน้ามองจ้งหวาอย่างไม่อยากเชื่อ

จ้งหวาล้วงของสีทองวาววับชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก เป็นลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น ข้ากะพริบตาอย่างตกตะลึง แต่ไม่ใช่เพราะประหลาดใจที่เขามอบลูกกลอนปราณให้ปีศาจก้อนหินน้อย เมื่อวานข้าเห็นสายตาของเขาก็เดาได้แล้วว่าเขาจะต้องนำลูกกลอนปราณออกมา ดังนั้นข้าจึงหาได้รู้สึกเหนือคาดในการกระทำนี้ของเขา ที่ทำให้ข้าตกตะลึงก็คือบนมือจ้งหวาพันผ้าพันแผลสีขาว ยังมีรอยเลือดซึมออกมาจากในผ้าพันแผลด้วย ดูแล้วคงเลือดไหลไม่น้อย

นี่เขาได้รับบาดเจ็บตอนไหน

“นี่คือลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น” ระหว่างที่ข้ากำลังคิดถึงบาดแผลของเขา จ้งหวาก็เอ่ยเรียบๆ กับปีศาจก้อนหินน้อย “ต่อไปหากมีคนถามว่าได้ของสิ่งนี้มาอย่างไร เจ้าก็บอกไปว่าเก็บได้ที่พื้น ไม่อนุญาตให้เอ่ยถึงข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายมันซะเดี๋ยวนี้”

ปีศาจก้อนหินน้อยถูกขู่จนตัวสั่น แต่เห็นจ้งหวาไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นจึงค่อยรับลูกกลอนปราณมาอย่างกริ่งเกรงแล้วมองสังเกตอย่างถี่ถ้วน “เป็นลูกกลอนปราณของพี่สาวเซียนจิ้งจอกจริงๆ ด้วย!” เขากะพริบตาปริบๆ มองจ้งหวาตาโต “ท่านไม่กำจัดข้า ยังยอมมอบลูกกลอนปราณให้จิ้งจอกน้อย นักพรตเช่นท่านไม่เลวร้ายมากมายเหมือนอย่างที่พวกเขาพูดกัน…”

จ้งหวาหันหลังให้ข้า ข้ามองไม่เห็นสีหน้าของเขา เพียงได้ยินเขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “กลับไปเถอะ” พอเขาหมุนตัวจึงเห็นข้าที่เปิดช่องประตูอยู่ สี่ตาประสานกัน เขาเห็นว่าถูกข้าล่วงรู้เรื่องนี้แล้วสีหน้าจึงกระอักกระอ่วนขึ้นมาชั่วขณะ

“ท่านจริงใจต่อพวกเรา ข้าเองก็ต้องเป็นก้อนหินดีที่จริงใจต่อท่าน” ปีศาจก้อนหินน้อยตรงหน้าประตูยังไม่จากไป กอดลูกกลอนปราณพูดอย่างหนักแน่น “ข้าบอกท่านแล้วกัน แม่นางที่มาด้วยกันกับท่านคนนั้นไม่ใช่แม่นางที่ดี”

ข้าเบิกตาโต นี่ๆ! ใส่ร้ายกันอย่างชั่วช้าสามานย์! ข้าทำเรื่องที่หญิงสาวดีงามไม่ควรทำตอนไหน!

ปีศาจก้อนหินน้อยหลุบตาไม่มองข้า พร้อมอีกทั้งยังพูดเองเออเองต่อ “ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านประมือกับพี่สาวเซียนจิ้งจอกจนสลบไป แม่นางคนนั้นพูดยืนยันกับทุกคนกับปาก นางบอกว่านางถูกท่านบีบบังคับ บีบจนไม่มีทางเลือกถึงต้องมาช่วยท่านกำจัดปีศาจที่นี่”

หลังคอข้าพลันแข็งทื่อ เมื่อนึกคำพูดมั่วซั่วคราวนั้นออก คราวนี้กลับถูกคนเปิดโปงออกมาต่อหน้า ได้แต่กัดปากลูบจมูกแล้ว

จ้งหวากลับหรี่ตาลงพินิจมองข้าอย่างลุ่มลึก

“นางยังพูดว่าที่ท่านสลบเป็นเพราะระหว่างที่ท่านสู้กับพี่สาวเซียนจิ้งจอก นางลอบทำร้ายท่านจากด้านหลัง จากนั้นยังคิดจะเอาท่านไปฝังด้วย”

เจ้าปีศาจก้อนหินน้อยหัวสมองมีปัญหาตนนี้จำคำพูดข้าได้อย่างชัดเจน! แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จ้งหวามองข้ายิ่งลุ่มลึกมากขึ้น จากอายจึงกลายเป็นโกรธ ม้วนแขนเสื้อตะโกนเสียงดัง “หน็อย! เจ้าตัวเล็กขี้ฟ้องหน้าไม่อาย! ดูสิว่าวันนี้ข้าจะไม่จับเจ้าหวด!”

ปีศาจก้อนหินน้อยสะดุ้ง มองข้าอย่างหวาดกลัวคราหนึ่งแล้ววิ่งโกยแน่บจากไป แต่ยังไม่ลืมร้องตะโกน “ท่านเป็นนักพรตที่ดีข้าถึงช่วยท่านหรอกนะ! ต่อไปอย่าสังหารปีศาจมั่วๆ ล่ะ!”

ข้าก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไปจริงๆ เพียงมองดูสีหน้าจ้งหวา เขากลับไม่โมโห บนใบหน้าไม่เห็นความรังเกียจและเยาะหยันเหมือนที่ผ่านมา ปกติเสียจนพาให้ข้าไม่รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง

ข้าปล่อยแขนเสื้อลงอย่างสุภาพ “ท่านฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องไม่ใช่แบบที่ท่านคิด…” จ้งหวาสาวเท้าจะกลับห้อง ข้ารีบผลักประตูออกพุ่งไปขวางหน้าเขา “ท่านฟังข้าอธิบายนะ” เขาไม่สนใจข้า ดังนั้นพอเขาไปทางซ้ายข้าก็ไปทางซ้าย พอเขาไปทางขวาข้าก็ไปขวา ขวางอยู่ข้างหน้าเขาตั้งแต่ต้นจนจบ “ความจริงตอนนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ ข้าถึงไม่อาจไม่พูดออกไปเช่นนั้นได้ ท่านคิดดูก็รู้ ข้าไหนเลยจะทำร้ายท่านได้…”

“ข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าทำร้ายข้า” คล้ายถูกข้ารังควานจนหมดความอดทนแล้ว ในที่สุดเขาก็หันหน้าพูดเสียงเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย”

ข้าอึ้งไป

อาจเพราะข้าจ้องเขานานเกินไป เขาถึงมีท่าทางคล้ายเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย กระแอมเสียงหนึ่งอ้อมตัวข้าแล้วสาวเท้ากลับห้องอย่างรวดเร็ว

นี่หมายความว่าอย่างไร

เขาเชื่อว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา? หรือว่าเบื่อจนไม่คิดพูดกับข้าแล้ว? ดูจากท่าทางเมื่อครู่ของเขา ข้อแรกกลับดูเป็นไปได้มากกว่า

ข้ากะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาเชื่อว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา ไม่ได้ใช้ท่าทางที่ราวกับว่า ‘ปีศาจคือความชั่วช้า ไม่มีทางทำเรื่องดีเด็ดขาด’ เขามองข้าอีก การ ‘ปราบปีศาจ’ ครั้งนี้จ้งหวาได้ยกระดับจิตใจขึ้น! นี่คือความก้าวหน้าในชีวิตโดยแท้!

ข้าหวนคิดอีกครั้ง ในตอนที่ปีศาจก้อนหินน้อยกล่าวอย่างมั่นใจขนาดนั้น จ้งหวายังเลือกเชื่อข้า เห็นได้ว่าหลายวันนี้ภาพลักษณ์ข้าในใจของเขาค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อยๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขา…

“เฮ้อ ข้ายังลงแรงไม่เท่าไรท่านก็ถูกข้าเกี้ยวติดซะแล้ว ดูท่าข้าคงหน้าตาน่าลุ่มหลงเหมือนกัน”

“ฮ่า!”

ด้านหลังพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ข้าหันไปดูแต่เห็นสือต้าจ้วงก้าวเข้ามายิ้มกล่าว “นี่ข้ารบกวนแม่นางกำลังกล่าวชื่นชมตนเองอยู่หรือ”

“ข้าให้อภัยเจ้า” ข้าโบกมืออย่างใจกว้างแล้วถามต่อ “เช้าขนาดนี้เจ้าไปไหนมา”

“ย่อมต้องไปเก็บกวาดที่พวกเราดื่มกันเมื่อวานอยู่แล้ว” สือต้าจ้วงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้ากลับก่อกวนสบายใจ เดินเรียกหาโม่ซีไปทั่วทั้งคืน ทำเอาบริเวณลานเละเทะไปแถบหนึ่ง สุดท้ายยังจับเอาผู้อาวุโสจ้งหวามากัดเต็มแรงอีกคำ เนื้อบนมือเขาเกือบถูกเจ้ากัดขาดแล้ว เจ้าเกลียดเขามากขนาดไหนเนี่ย…”

ข้าอ้าปากนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “เจ้าบอกว่าเมื่อคืนข้าทำอะไรนะ”

“ล้มต้นไม้สองสามต้น กัดคนหนึ่งคน จากนั้นกอดม้านั่งหินร้องไห้อยู่หลายชั่วยาม…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว…” ข้ายกมือหยุดเขา

สือต้าจ้วงหัวเราะ “เป็นอะไร ครานี้เสียใจไม่น่าทำแบบนั้นแล้วหรือ”

ข้ากำหมัดอย่างแอบตื่นเต้น “เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่า…” ข้าเงยหน้ามองประตูห้องที่ปิดสนิทของจ้งหวา ในดวงตาราวกับมีแสงส่องออกมาเผากระดาษบนบานประตูให้ทะลุ “ข้าก่อกวนเช่นนี้ เช้าวันนี้จ้งหวายังไม่โมโหข้า หากไม่ใช่เขาทุ่มเทความรักให้ข้าแล้ว ข้าก็หาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ออก”

สือต้าจ้วงเงียบไปชั่วขณะ “ยังดีที่เมื่อก่อนโม่ซีทำให้ข้ากลับตัวกลับใจ” พูดแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมาเจอปีศาจก้อนหินน้อย เขาบอกว่าหากระบี่ชิงซวีพบแล้ว อีกครู่เจ้าลองถามจ้งหวาดูว่าคิดจะพักสักครู่ค่อยไปเอาหรือว่า…”

‘แอ๊ด’ ประตูเปิดออก จ้งหวาปรากฏกายราวกับลม “นำทาง ไปตอนนี้เลย”

ดูท่าเขาคงหวงกระบี่ยโสนั่นมาก ไม่เช่นนั้นจะรีบร้อนจนเผยเรื่องแอบฟังพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไร…

 

กระบี่ชิงซวียังปักอยู่ในที่ที่ข้าทิ้งมัน มันกำลังครวญครางอย่างมีใจแต่ไร้แรง ข้ากวาดตามองโดยรอบ “ใช่แล้วๆ เป็นที่นี่แหละ”

จ้งหวาถือกระบี่พลางใช้แขนเสื้อเช็ดมันอย่างปวดใจ ท่าทางเช่นนี้คล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน เหมือนสีหน้ายามกลัวว่าข้าจะถูกผู้อื่นรังแก ทำให้ข้าอดหึงหวงกระบี่เล่มนี้ไม่ได้อยู่บ้าง

เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วจ้งหวาก็กำหมัดคารวะตามธรรมเนียมให้สือต้าจ้วง “ขอบคุณมาก ข้าขอลาแล้ว”

ข้าตะลึง “จะไปแล้วหรือ”

“ยังจะรั้งอยู่ทำไม”

ที่จริงข้ายังคิดอยากกำจัด ‘ปีศาจ’ เป็นเพื่อนจ้งหวาอีกสองสามตน เป็นคู่รักแนบแน่นที่ผดุงความเป็นธรรม แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นคู่รักแนบแน่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นคู่รักคู่แค้นที่ต้องคุมขังทรมานก็ได้ ข้าที่อ่านนิทานมาแล้วทั่วหล้า แนวทางที่ชมชอบก็นับว่ากว้างมากอยู่

ข้าพยักหน้า “เช่นนี้ก็ไปเถอะ” ข้าบอกลาสือต้าจ้วง “ความจริงเจ้าไม่ต้องเอาจิตใจไปไว้ที่หญิงอื่นก็ได้ เจ้าน่าจะไปหาซย่าอี ไม่แน่ว่าบุพเพของพวกเจ้ายังไม่สิ้นสุด พอหันไปก็ได้พบแล้ว คราวนี้ขอเพียงเจ้าไม่รนหาที่ก็คงจะไม่มีใครต้องตายแล้ว”

สือต้าจ้วงเผยยิ้มออกมา “ได้”

จ้งหวาใช้วิชาขี่กระบี่ กระบี่ชิงซวีอยู่ใต้เท้าเขา รองรับเขากับข้าบินขึ้นมา ข้าก้มดูข้างล่างเมื่อถึงครึ่งท้องฟ้า เห็นเพียงปีศาจน้อยที่มาก่อนหน้านี้กำลังคุกเข่าเบื้องหน้าจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งข้างลำธาร ป้อนลูกกลอนปราณของปีศาจจิ้งจอกให้จิ้งจอกน้อย

จิ้งจอกน้อยกลืนลูกกลอนปราณลงไป บนร่างเปล่งแสงทองออกมารางๆ รูปร่างเริ่มพร่าเลือนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างคนช้าๆ เครื่องหน้านั้น…

กระบี่ชิงซวีบินสูงขึ้นอีก รอบด้านพลันกลายเป็นชั้นเมฆ

“อ๊ะ…” ข้าร้องเบาๆ

จ้งหวาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อย “มีอะไร”

“เปล่า…” ข้ามองลงไปข้างล่าง แต่มองไม่เห็นเงาของเขาหลิงอวี้แล้ว ข้าพูดได้แม่นยำจริงๆ บุพเพยังไม่สิ้น ที่เหลือต้องดูว่าเจ้าสองคนจะรนหาที่ตายเองหรือไม่แล้ว…

บทที่สิบแปด

 ขี่กระบี่กลับหลิวโป ยามที่ผ่านทะเลสาบหลิงหู ข้าเห็นบนทะเลสาบยังมีคนกำลังจัดการกับฝุ่นของเจดีย์เชียนสั่วที่กลายเป็นแป้งละเอียด ข้าพูดออกมาจากใจจริงอย่างอดไม่ได้ “ตอนข้าพังเจดีย์เชียนสั่วไม่ได้รู้สึกว่ามันใหญ่เท่าไรนะ เหตุใดศิษย์หลิวโปของพวกท่านเก็บกวาดตั้งนานขนาดนี้แล้วยังเก็บไม่สะอาดอีก”

จ้งหวาไม่ตอบคำถามข้า แต่กลับโยนข้าเข้าไปในข่ายอาคมด้านหลังเรือนของเขา แม้แต่นักพรตหญิงชิงหลิงก็แบกเข้ามาในกระท่อมน้อยของข้าในข่ายอาคม ให้ข้าถอนคำสาปให้นาง

เวทคำสาปของข้าเรียนได้ไม่ค่อยดีนัก ยังต้องใช้เวลาวันแล้ววันเล่าค่อยๆ แก้คำสาปให้นักพรตหญิงชิงหลิง และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าแก้คำสาปได้ช้าก็เพราะ ที่นี่ข้ากุมตัวศิษย์น้องของเขาที่นับว่าเป็น ‘ผู้อาวุโส’ ของหลิวโป ทุกวันอย่างไรเขาก็ต้องหาเวลามาดูสักหน่อย หากข้าแก้คำสาปของชิงหลิงเสร็จแล้ว เช่นนั้นต่อไปจ้งหวาจะมาหาข้าหรือ

ระหว่างขั้นตอนแก้คำสาปของนักพรตหญิง ข้าพยายามดิ้นรนเพื่ออิสรภาพตนเองเต็มที่ สบถสาบานว่าตนจะไม่ทำลายต้นไม้ต้นหญ้าของหลิวโปอีกสักต้น แต่จ้งหวาก็ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย

เขาทิ้งนักพรตหญิงชิงหลิงให้อยู่กับข้าที่นี่ ส่วนตนเองง่วนอยู่กับการจัดการเรื่องราวในสำนัก ทุกวันข้ารักษานักพรตหญิงนิดหน่อยแล้วก็เดินเล่นว่างๆ อยู่ในสวน พอจ้งหวามาดูชิงหลิง ข้าค่อยหยอกเขานิดๆ หน่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างนับว่าสบายใจได้

วันนี้ตอนที่กำลังแก้คำสาปบางส่วนให้ชิงหลิง ข้าเห็นท้องฟ้าแจ่มใส จู่ๆ ก็นึกสนุกหยิบนิทานขึ้นมา สูดดมกลิ่นเหมยพลางเดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางเงาดอกไม้

ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่ากลับไปยังชาติก่อนอีกครั้ง ข้าเกียจคร้านอยู่ในห้องทั้งวัน หลังโม่ซีกลับจากสำนักศึกษา ผลักประตูเข้ามาพร้อมแสงอาทิตย์ที่พร่างพราว เอ่ยเรียกข้าเบาๆ ‘ซานเซิง’

ข้าดื่มด่ำกับความทรงจำอันหาได้ยากที่เหลืออยู่นี้ หลับตาลงจินตนาการว่าโม่ซีในชาติก่อนอยู่เคียงข้างข้า ข้าเดินหนึ่งก้าวเขาก็เดินหนึ่งก้าวไม่มากไม่น้อย อยู่ด้านหลังในจุดที่ข้าสามารถเอนพิงได้พอดี

ข้าเดินๆ หยุดๆ ราวกับว่าทุกย่างก้าวล้วนมีโม่ซีตามมาด้วย เมื่อลืมตาขึ้นเบื้องหน้ายังคงเป็นเหมยแดงกลางหิมะ ข้าหันกลับไปมองแต่กลับต้องสะดุ้ง โม่ซีเอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างต้นเหมยจริงๆ จับจ้องมองมาทางข้าไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว

ข้ายิ้มแย้มดีใจ คำว่า ‘โม่ซี’ สองคำนี้มาถึงริมฝีปาก ก่อนจะกลืนกลับลงไป แล้วเปลี่ยนเป็นเอ่ยเรียก “จ้งหวา”

ไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ ยังคงนิ่งงันไม่ได้สติ

ข้ากระโดดโลดเต้นเข้าไปหาอย่างร่าเริง กางสองแขนออกคิดจะกอดเขา ทว่าไม่คาดว่าที่กอดได้จะเป็นร่างเล็กๆ ที่สั่นอย่างรุนแรง ข้าเลื่อนของเล็กๆ ในอ้อมกอดออกมาดูแล้วต้องประหลาดใจมาก “ฉางอันนี่! เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

เจ้าสิ่งนี้ก็คือนักพรตน้อยที่นึกว่าข้าจะจับเขามาสูบพลังหยางคนนั้น เขามีหน้าตาคล้ายกับโม่ซีในชาติก่อน ข้าเห็นเขาแล้วมักเอ็นดูอย่างอดไม่ได้

แต่เขากลับเอาแต่สั่น ไม่ตอบคำถามข้า

ข้ามองจ้งหวาที่ยืนอยู่อีกด้าน สีหน้าเขากลับมาเย็นชาเหมือนปกติในยามนี้ เขาเหลือบมองฉางอันคราหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ “ทบทวนตัวเองให้ดีๆ” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจะเดินจากไป

ฉางอันเห็นเขาจะจากไปก็ดิ้นหนีจากข้าสุดชีวิต วิ่งเข้าไปฟุบกับพื้นกอดต้นขาจ้งหวา น้ำมูกน้ำตาไหลจนดูไม่ได้ “ผู้วิเศษ! ผู้วิเศษ! อย่าทิ้งฉางอันอยู่ที่นี่คนเดียว! ฉางอันไม่อยากตาย! ฉางอันไม่อยากตาย!”

ข้าปาดเหงื่อ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าที่แท้แล้วตนเองไปทำเรื่องให้ฟ้าพิโรธคนโกรธแค้นอะไรไว้ ถึงได้ทำให้เด็กคนนี้กลัวจนเป็นเช่นนี้ คราวก่อนตีนักพรตน้อยทั้งเขาก็เว้นเขาไว้คนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ เด็กคนนี้เหตุใดไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณ ยังกลัวข้าถึงปานนี้อีก ข้าจิ้มน่องเล็กๆ ของเขาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กลับได้มาซึ่งแววตาหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิมของฉางอัน ราวกับว่าข้าจะดึงกางเกงเขาลงแล้วกระทำเรื่องมิดีมิร้าย ณ เดี๋ยวนั้น…

จ้งหวาดึงแขนเสื้อสะบัดฉางอันออก เหล่มองข้าแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ทะเลาะกับเพื่อนร่วมสำนัก กระทั่งทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บ ลงโทษเจ้าให้อยู่ลำพังคนเดียวหนึ่งเดือนก็นับว่าเมตตามากแล้ว อย่ามาร่ำไห้คร่ำครวญให้อับอายขายขี้หน้า”

ข้ากะพริบตาปริบๆ นับว่ากระจ่างแจ้งเจตนาของเขาแล้ว

ดูท่าการตกทุกข์ได้ยากร่วมกันสั้นๆ ในช่วงนั้นทำให้เขารู้สึกว่าความจริงข้าเป็นคนดีที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง ดังนั้นจึงวางใจทิ้งลูกศิษย์ที่ทำผิดของตนไว้ที่นี่ คิดอาศัย ‘ชื่อเสียงเลวร้าย’ ของข้าขู่เขา

ข้าได้แต่เรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ตนเองในใจ

จ้งหวาจัดแจงเสื้อคลุมยาวและยังคงจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งฉางอันให้ฟุบอยู่บนพื้นคนเดียว ร้องไห้จนสั่นระริก สีหน้าอ้างว้าง

ข้าจิ้มหัวเขาเบาๆ ฉางอันตาถลนเงยหน้ามองข้า ข้ายิ้มอย่างอ่อนโยน “เรามาคุยกันหน่อยไหม”

เปลืองแรงคุยกับเจ้าหนูนี่ครึ่งวัน ทั้งกล่อมทั้งขู่จนเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เขาถูกลงโทษให้มาที่นี่ในที่สุด

เรื่องนี้ต้องพูดย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่ข้าทำลายเจดีย์เชียนสั่วปล่อยปีศาจหมาป่านั่นออกมา เดิมข้านึกว่าข้าปล่อยปีศาจหมาป่าแล้วเขาจะหนีไปให้ไกลอย่างรู้ตัว ลืมบุญคุณความแค้นที่นี่ ทำตัวเป็นปีศาจที่ดี แต่ไม่คิดว่าปีศาจหมาป่านั่นจะเป็นพวกหัวรั้น เขาไม่เพียงไม่หลบซ่อน ยังรวบรวมปีศาจที่อาฆาตแค้นหลิวโปกลุ่มหนึ่ง คิดจะกลับมาทำลายหลิวโป

ในเมื่อรู้ว่าปีศาจหมาป่ามีการเคลื่อนไหวมุ่งร้ายเช่นนี้ หลิวโปย่อมไม่สามารถนั่งรอความตาย ดังนั้นจึงตัดสินใจเชิญเหล่าเจ้าสำนักเต๋าต่างๆ มาร่วมหารือวางแผนรับมือศัตรู

เรื่องของฉางอันก็เกิดขึ้นภายใต้เรื่องราวเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่นี้

ได้ยินว่าระหว่างที่นักพรตน้อยแห่งหลิวโปกำลังเตรียมงานรับรองของวันพรุ่งนี้ ฉางอู่ที่คราวก่อนถูกข้าตีอย่างหนักต้องพักฟื้นอยู่บนเตียงจนเบื่อหน่าย โวยวายว่าอยากกินขนมสำหรับแขกในงานรับรองพรุ่งนี้ พอดีกับที่เห็นฉางอันยกขนมผ่านมาก็คิดจะขอมาชิมสักชิ้น แต่ฉางอันเป็นเด็กซื่อตรงคนหนึ่งจึงไม่ยอมให้เขา เด็กน้อยทั้งสองต่อปากทะเลาะวิวาทกัน ฉางอันทนไม่ไหวผลักฉางอู่ทีหนึ่ง

ฉางอู่กำลังบาดเจ็บ ไม่ทันระวังก็ถูกฉางอันผลักตกลงมาจากเตียงหน้าแนบพื้น หัวแตกเลือดไหล ฉากนี้ถูกผู้อาวุโสที่ผ่านมาพอดีเห็นเข้า ฉางอู่ร้องไห้เสียงดังไม่หยุด ฉางอันมีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย…

ดังนั้นแล้วเขาจึงมาอยู่ที่นี่

หน้าตาของเขาที่คล้ายโม่ซีในชาติก่อนมากหลั่งน้ำมูกน้ำตาจนข้าปวดใจทนไม่ไหว ข้าจึงเอ่ยปลอบเขาอย่างดีๆ สองสามรอบ สาบานว่าจะล้างแค้นให้เขา ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ สะอื้นอยู่ครู่ใหญ่แล้วถามข้า

“จะ…เจ้าดีต่อข้าขนาดนี้เพราะคิดจะล้างข้าให้สะอาด จาก…จากนั้นสะ…สูบพลังข้าใช่ไหม”

มุมปากข้ากระตุก อยากรู้จริงๆ ว่าปกติอาจารย์เขาถ่ายทอดความคิดแบบไหนให้

ข้าหนีบแก้มอวบอูมของเขาแล้วหัวเราะชั่วร้าย “สูบ ต้องสูบแน่นอน แต่ว่าข้าอยากสูบแค่ผู้วิเศษของพวกเจ้า สูบเขาจนเกลี้ยง สูบจนหมดเรี่ยวหมดแรงตาย!”

“ผะ…ผู้วิเศษ…”

ข้ากุมอกเอ่ยอย่างเปี่ยมความรู้สึก “ใช่แล้ว เดิมรูปร่างเจ้าก็ดูไม่เลว เสียแต่เล็กไปสักหน่อย และในใจข้าก็มีผู้วิเศษของเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว ทั้งใจล้วนเป็นเงาร่างของเขา ทั้งสมองล้วนเป็นท่าทางอันโดดเด่นของเขา ที่คิดถึงก่อนนอนคือเสียงของเขา ที่คิดถึงในยามตื่นคือใบหน้าของเขา ยามไม่เจอเขาก็คะนึงหาเจียนคลั่ง แต่เมื่อเจอแล้วใจข้าก็เต้นระรัวราวตีกลอง ขณะที่ข้าไม่ทันสังเกตข้าก็ทุ่มเทใจให้เขาไปแล้ว ทุ่มเทจนจิตวิญญาณกลับหัวกลับหาง ไม่อาจถอนตัว อารมณ์รักรุนแรงไม่อาจควบคุมจนอยากจะมอบตัวเองให้…”

“ผู้วิเศษ” ฉางอันยื่นนิ้วเล็กๆ ของเขาชี้ไปข้างหลังข้า

ข้าหันกลับไปมอง เห็นเพียงเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีน้ำเงินขาววาดผ่านข้างต้นเหมย ไล้ผ่านหิมะขาวบนเหมยแดงกิ่งหนึ่ง เขาเดินเร็วเกินไปจนแม้แต่เงาร่างข้าก็แยกแยะไม่ได้

ถึงกับหนีไปแล้ว…

“เป็นผู้วิเศษของพวกเจ้าจริงหรือ ผู้อาวุโสจ้งหวา?”

ฉางอันพยักหน้าน้อยๆ แล้วคิดอีกครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ตอนที่ผู้วิเศษจากไปใบหน้าขึ้นสีแดง”

ข้าตะลึงครู่หนึ่ง ถอนหายใจเสียงเบาพึมพำกับตนเอง “จ้งหวาหนอจ้งหวา ไม่คิดเลยว่าท่านจะยังมีท่าทางประหม่าใช้ไม่ได้เช่นนี้ ข้าไม่ใช่สารภาพรักกับท่านไปแล้วหรือ…”

 

กลางคืนในข่ายอาคมแม้จะเย็นแต่ก็หาได้หนาวยะเยือก ข้าใช้ชีวิตอยู่ข้างแม่น้ำลืมเลือนมานานจึงไม่กลัวความเย็นนิดหน่อยนี้ แต่ฉางอันไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นเด็กที่มากพรสวรรค์อย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์ ข้าจึงให้เขานอนข้างนักพรตหญิงชิงหลิง ช่วยเขาห่มผ้าห่มให้ดีและจุดฟืนที่ปกติไม่จุด ส่วนตนเองปิดประตูเดินออกไปทางป่าเหมย ตั้งใจว่าจะหาที่เรียบๆ บนพื้นหิมะถูไถนอนสักคืน

เหตุใดต้องออกมานอนในป่าเหมยน่ะหรือ ย่อมต้องเป็นเพราะเด็กคนนั้นเห็นข้าอยู่ข้างกายเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ!

ข้าเลือกที่ดีๆ กอดแขนนอนลง นึกในใจว่าตนเองช่างเป็นจิตวิญญาณที่เมตตาโดยแท้

เช้าวันรุ่งขึ้น ยามที่ข้าตื่นกลับเห็นฉางอันถือผ้าห่มผืนหนึ่งห่มให้ข้าอย่างเบามือ ครั้นเห็นข้าลืมตาเขาก็สะดุ้งโหยง ตัวสั่นถอยไปข้างหลังติดๆ แต่ฝีเท้าเกิดซวนเซล้มลงพื้นอย่างแรง ข้าลุกขึ้นคิดจะพยุงเขา เขากลับทั้งกลิ้งทั้งปีนวิ่งจากไป

ข้ายื่นมือค้าง เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากนูนเด่น พยายามอดทนแต่กลับทนไม่ไหว อ้าปากกำลังจะด่าคน เจ้าเด็กผีนั่นกลับหลบอยู่หลังต้นเหมย ยื่นหัวออกมากล่าว “คือ…คือว่า คืนนี้เจ้าเข้ามานอนในกระท่อมเถอะ ข้างนอก…หนาว”

ข้าจ้องเขาเงียบๆ พักหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ย “ข้าชื่อซานเซิง”

เขากะพริบตา ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยเรียกข้าอย่างขลาดกลัวเสียงหนึ่ง “ซาน…ซานเซิง”

ข้าพยักหน้าอย่างชื่นใจ หานิทานที่จ้งหวานำมาให้เมื่อหลายวันก่อนจากในห้องแล้วนั่งพิงใต้ต้นเหมยอ่านอย่างสบายใจ นี่เป็นเรื่องราวการกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง พบพานกันอีกหนหลังแยกจากมานานของชายหนุ่มเก่งกาจกับหญิงสาวงดงาม เข้ากับสภาพจิตใจในยามนี้ของข้ายิ่ง ดังนั้นจึงจดจ่ออ่านอย่างมาก

เป็นวันอากาศดีอีกวัน คำสาปของนักพรตหญิงชิงหลิงต่อให้ข้าจะแก้ช้าแต่ก็แก้เสร็จแล้ว ทว่าข้ากลับไม่คิดให้นางฟื้นขึ้นมา ข้ากับจ้งหวาไม่มีการพัฒนาเป็นจริงเป็นจังแม้แต่น้อย ปล่อยเหยื่อไปแล้วข้าจะเอาอะไรตกปลาเล่า

ดังนั้นวันนี้หลังแก้คำสาปเสร็จข้าจึงสกัดจุดหลับของนาง ให้นางนอนหลับต่อไป

ยามเที่ยงจ้งหวาคล้ายหาเวลาว่างจากงานยุ่งมาได้ มาถึงกระท่อมน้อยของข้าก็เอ่ยปากถาม “คำสาปของชิงหลิงยังแก้ไม่ได้หรือ”

ดวงตาข้ากลอกวนรอบหนึ่ง “ข้อเรียกร้องที่ข้าเอ่ยกับท่านตอนที่แก้พิษให้นางตอนนั้นท่านยังจำได้หรือไม่”

จ้งหวามุ่นหัวคิ้ว

“ตอนนั้นข้าให้ท่านเป็นคนของข้าท่านไม่ยอม ให้ท่านจูบข้าท่านก็ไม่ทำ ข้าใจกว้าง ไม่เถียงเรื่องพวกนี้กับท่านแล้ว แต่ดีชั่วอย่างไรท่านก็ควรตอบรับข้าสักเรื่องสิ ไม่เช่นนั้นข้ามิใช่ช่วยงานท่านตั้งมากมายโดยเสียเปล่าหรือ การค้าขายเช่นนี้ไม่คุ้มทุน”

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

ข้ายิ้ม “ข้าต้องการให้ท่านยิ้มเพื่อแม่นางเช่นข้า”

เส้นเลือดบนหน้าผากจ้งหวาเต้นตุบๆ ยังไม่ทันพูดพลันได้ยินเสียงขลุกขลักจากด้านข้าง

เราสองคนหันไปมอง เห็นฉางอันตัวน้อยตะลึงงันมองข้ากับผู้วิเศษของเขา ที่กอดอยู่ในมือเขาคือนิทานก่อนหน้านี้ที่ข้าอ่านจบแล้ววางทิ้งมั่วซั่วในป่า เด็กคนนี้เป็นคนซื่อ มักชอบช่วยข้าเก็บสิ่งของต่างๆ พอตกใจคราวนี้หนังสือในมือจึงร่วงลงพื้น “เจ้า…” ใบหน้าเล็กๆ ของเขาขึ้นสีแดง “นี่เจ้ากำลังทำเหมือนผู้ชายที่เที่ยวหอนางโลมอย่างที่ท่านอาจารย์พูดถึงพวกนั้น…เย้าหยอกผู้วิเศษ!”

ข้าดวงตาเปล่งประกาย “ฉางอัน อาจารย์เจ้าเยี่ยมยอดจริงๆ!”

ดูคำอธิบายนี้สิ เหมาะสมยิ่งนัก!

จ้งหวากลับกระดากอายจนกลายเป็นโกรธ ตะคอกข้าเสียงดุดัน “พูดจาเหลวไหล!” เขาตีฝีปากสู้ข้าไม่ได้จึงหันไปหาเรื่องฉางอัน “อย่าคิดว่าถูกขังอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องบำเพ็ญเพียร ยังไม่รีบกลับไปอ่านตำราฝึกจิตใจอีก!”

ฉางอันกลัวจ้งหวามาก พอถูกเขาตะคอกใส่ก็รีบเก็บหนังสือบนพื้นแล้ววิ่งจากไปอย่างร้อนรน

ข้าเหล่มองเขา “โมโหใส่เด็กหาใช่ผู้กล้าโดยแท้จริง”

จ้งหวานวดหว่างคิ้วอย่างอดกลั้น “เมื่อไหร่ชิงหลิงจะฟื้น อีกไม่นานหลิวโปจะเรียกประชุมใหญ่ นางเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส จำเป็นต้องอยู่ด้วย”

“ท่านยอมรับข้าเรียกร้องของข้า ข้าก็จะทำให้นางฟื้น”

ข้าพูดอย่างตรงไปตรงมา เดิมนึกว่าจ้งหวาจะโกรธยิ่งกว่าเดิม แต่เขาคล้ายคุ้นชินกับการกลั่นแกล้งของข้าอย่างไรอย่างนั้น เพียงถอนหายใจอย่างหน่ายใจแล้วเอ่ย “ขอเพียงไม่ผิดต่อคุณธรรม ไม่ฝ่าฝืนมารยาทประเพณี…”

ไม่อยากฟังคำพูดเลื่อนลอยของเขาอีก ข้าโบกแขนเสื้อ โต๊ะหินหนึ่งตัวกับเก้าอี้หินสองตัวก็ปรากฏกลางอากาศ บนโต๊ะวางกระดานหมากไว้ ข้าเอ่ย “ท่านมาเดินหมากกับข้าเถอะ”

เขาอึ้งงัน

ข้าเลือกนั่งลงฝั่งหนึ่ง “พวกเราทำเหมือนเมื่อก่อน ข้าถือหมากดำ ท่านถือหมากขาวดีหรือไม่” ข้าดันหมากขาวไปทางเขา จ้งหวากลับยังยืนนิ่งไม่ไหวติง

“ข้าเคยเดินหมากกับเจ้าเมื่อไร”

ข้ายิ้มกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเวลาข้าเดินหมากกับผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้” ข้าเงยมองเขา “คงไม่ใช่ว่ากระทั่งเดินหมากกับข้า ท่านก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดต่อคุณธรรม ฝ่าฝืนมารยาทประเพณีหรอกนะ”

ในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงข้ามข้า

ข้าส่งเม็ดหมากให้เขา “ท่านคิดซะว่าเป็นการฆ่าเวลาก็ได้”

จ้งหวารับเม็ดหมากไป

ทว่าหนึ่งกระดานใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ผลแพ้ชนะบนกระดานก็ตัดสินแล้ว จ้งหวาเคาะกระดานพลางยกมุมปากอย่างอารมณ์ดีเบื้องหน้าข้าอย่างหาได้ยาก “ฆ่าเวลา?” คำพูดนี้แฝงแววเหน็บแนมไว้ด้วย

ข้าก็ไม่โกรธ “ข้ารู้ว่าข้าชนะท่านไม่ได้” ข้าส่งเม็ดหมากดำในมือให้เขา “ดังนั้นท่านมาสอนข้าเถอะ ทำอย่างไรจึงจะชนะท่าน”

เขามองข้า นิ่งเงียบจ้องเม็ดหมากในมือข้าเนิ่นนาน ในดวงตาแน่วนิ่งมีอารมณ์บางส่วนที่ข้ามองไม่ออก สุดท้ายเขายังคงไม่ขยับ เพียงเอ่ยเรียบๆ “ช่วยเจ้าชนะ มีเหตุผลพรรค์นี้ด้วยหรือ”

“ท่านกับข้าเดินหมากก็เพื่อเหตุผลนี้”

“เจ้าแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ข้าจะไม่ช่วยเจ้าเอาชนะข้าเด็ดขาด”

ท่าทีและน้ำเสียงนี้ของเขาแตกต่างจากในความทรงจำของข้ามากเกินไป พาให้ข้าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับชั่วขณะ

ข้าวางหมากดำในมือลงในที่สุด คิดเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ก็ได้ กระดานนี้นับว่าข้าแพ้แล้ว” ข้าโยนหมากออกไปง่ายๆ กล่าวว่า “แต่ว่าช้าเร็วข้าต้องเอาชนะได้ นักพรตหญิงชิงหลิงก็ควรฟื้นแล้ว ไปดูนางกันเถอะ”

พูดจบข้าก็ลุกขึ้นเดินออกมา

เมื่อเข้าไปในกระท่อม ข้าโบกมือคราหนึ่งแก้คำสาปที่ร่ายให้นางหลับก่อนหน้านี้ ไม่ทันไรก็เห็นนักพรตหญิงขมวดคิ้วครางเสียงแผ่ว จากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆ

จ้งหวาที่ก้าวเข้ามาในกระท่อมแล้วเดินมาข้างกายชิงหลิง พอนักพรตหญิงลืมตาเห็นเขาก็กล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่?” นางยกมือคลึงขมับ “นี่ข้า…เป็นอะไรไป”

จ้งหวาเอ่ย “ก่อนหน้านี้เจ้าไปกำจัดปีศาจที่เขาหลิงอวี้ทางตะวันตกและได้รับบาดเจ็บกลับมา”

“งั้นหรือ…” นางปิดตาส่ายหัว “ข้ารู้ว่าข้าไปกำจัดปีศาจที่หลิงอวี้ แต่ได้รับบาดเจ็บอย่างไรข้ากลับจำไม่ได้แม้แต่น้อย”

จ้งหวาหันกลับมามองข้า ข้าเบ้ปากผายมือ สามารถแก้คำสาปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังหวังให้ข้าแก้ได้ดีกว่านี้อีกหรือ

จ้งหวาเองก็ไม่ได้โทษข้า “จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ร่างกายยังมีปัญหาใดอีกหรือไม่”

“เพียงแค่ล้ามากเท่านั้น คงไม่มีปัญหาใด” นักพรตหญิงเงียบไปชั่วขณะ เอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ”

จ้งหวากำลังจะเอ่ยปาก ข้าก็ชิงพูดขึ้นก่อน “ต้องขอบคุณศิษย์พี่เจ้าให้ดีจริงๆ อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ทันหายดีก็รีบหาวิธีรักษาเจ้าแล้ว”

จ้งหวาได้ยินสีหน้าก็ประหลาดไปเล็กน้อย

นักพรตหญิงชิงหลิงเคลื่อนสายตามามองข้าในยามนี้ “เป็นเจ้า?”

ข้าพยักหน้า “เป็นข้า หลังจากเจ้ากำชับให้นักพรตน้อยกลุ่มนั้นพาข้ากลับหลิวโป ตอนนี้ข้าถูกขังอยู่ในป่าเหมยแดงด้านหลังเรือนนอนของศิษย์พี่เจ้าน่ะ”

ชิงหลิงยังคิดจะพูดอะไร แต่จ้งหวาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ไว้คุยทีหลังก็ยังไม่สาย ข้าจะให้คนมาพาเจ้าไปพักฟื้นก่อน” เขาออกไปจากกระท่อม ข้าไม่อยากยืนจ้องตาอยู่กับนักพรตหญิงชิงหลิงสองคน ดังนั้นจึงตามหลังเขาออกมาด้วย

จ้งหวาเดินไปเงียบๆ ตลอดทาง ขณะใกล้จะออกจากข่ายอาคมเขาพลันเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าตนเองช่วยนาง”

“ข้าไม่ชอบนาง และไม่ต้องการดึงนางเป็นพวก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้นางจดจำว่าข้าช่วยนาง แต่ท่านเป็นเจ้าสำนักหลิวโป ท่านจำเป็น การช่วยโม่…ช่วยท่านดึงดูดจิตใจผู้คนเป็นเรื่องที่ข้าควรทำ”

ข้ายังจำได้ ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นโม่ซีในชาติก่อน เขาไร้คนช่วยเหลือถึงเพียงนั้น ขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องบน พ่อค้าคนงานเบื้องล่าง ไม่มีใครยอมเอ่ยเพื่อเขาสักประโยค ดังนั้นชาตินี้ข้าหวังให้ไม่ว่าเวลาใดล้วนมีคนสามารถช่วยโม่ซีของข้า อย่างน้อยอย่าให้เขาต้องโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

จ้งหวาผินหน้ามา ดวงตาจับนิ่งอยู่บนใบหน้าข้า ข้ามองสีหน้าในแววตาเขาไม่ออก เพียงรู้สึกว่านัยน์ตาลึกล้ำนั้นราวกับจะดึงข้าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น หลังจากนิ่งเงียบเนิ่นนานเขาก็หันกลับไป น้ำเสียงเยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่โม่ซีที่เจ้าต้องการหาคนนั้น เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า” เขาเดินออกนอกข่ายอาคม เสียงเบาจนเลือนรางอยู่บ้าง “เจ้าไม่ควรนำสิ่งดีๆ ที่มอบให้คนผู้หนึ่งมาให้ข้าราวกับสมเหตุสมผล”

“เหตุใดจึงไม่ควร” ข้าเอ่ยเสียงสูง “ข้าไม่เพียงนำสิ่งดีๆ ที่มอบให้เขามามอบให้ท่าน ข้ายังอยากมอบตัวเองให้ท่านด้วย”

จ้งหวาที่เบื้องหน้าชะงักเท้า ก่อนจะกำหมัดเดินจากไป

ฝีเท้าในครั้งนี้ย่ำอย่างโมโหยิ่งกว่าเมื่อครู่ซะอีก ข้าถอนหายใจ ไม่ว่ากลับชาติมาเกิดอย่างไร โม่ซีล้วนคล้ายชอบโมโหโดยไม่รู้สาเหตุตลอด

ข้าหมุนตัวเดินกลับไป ขณะผ่านจุดที่เดินหมากกับจ้งหวาเมื่อครู่เห็นฉางอันฟุบกับโต๊ะมองดูกระดานหมากพอดี ข้ายิ้ม เดินเข้าไปตีก้นที่กระดกขึ้นของเขาเบาๆ “เจ้าหนูเข้าใจหมากล้อมด้วยหรือ”

ฉางอันกุมก้นมองข้าอย่างตกใจทันที แต่เห็นข้าไม่ทำอะไรอื่นถึงค่อยยู่ปากเอ่ย “อาจารย์ชมว่าข้าฉลาดบ่อยๆ เคยสอนฉางอันเดินหมาก”

ข้ายิ้ม “หืม เช่นนั้นเจ้าว่ากระดานนี้ใครชนะล่ะ”

ฉางอันนับเม็ดหมาก “หมากดำชนะแล้ว”

ข้าหัวเราะเยาะเขา “ยังอวดว่าตนเองฉลาดอีก เห็นชัดๆ ว่า…” ข้าหันมองกระดานหมากแล้วต้องตกตะลึง “หมากดำชนะจริงๆ ด้วย…”

เป็นจ้งหวา เขา…ช่วยข้าวางหมากหลังจากข้าเดินไปแล้ว…

ข้ามองเรือนนอนนอกป่าเหมยของจ้งหวา พูดอย่างเหม่อลอย “ฉางอันเอ๋ย” ข้ายื่นฝ่ามือประกบใบหน้าเขาแล้วถูแรงๆ “เจ็บไหม”

ใบหน้าของเขาในฝ่ามือข้าดิ้นรนเอาเป็นเอาตาย ข้าพยักหน้า “ดูท่าคงเจ็บ”

ฉางอันสลัดหลุดจากข้าแล้ววิ่งไปหลบอีกด้านของโต๊ะทันที “ย่อมเจ็บสิ! ไม่ใช่ฝันเสียหน่อย!”

ใช่แล้ว ไม่ใช่ฝันเสียหน่อย

ข้าปิดหน้า กลิ้งตัวบนพื้นภายใต้สายตาตื่นตระหนกของฉางอัน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานก็ยังไม่อาจสงบจิตใจที่เต้นระห่ำลงได้

แต่งให้จ้งหวา…เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจไม่ใช่แค่ฝัน

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: