X
    Categories: ทดลองอ่านพราวพร่างบุปผาตระการมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่หนึ่ง

 ยามเที่ยงวันกลางคิมหันตฤดูที่ปราศจากสายลมโชยพัด ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าบาดตา ทั้งคนและแมวหากไม่นอนกลางวันอยู่ในห้องพัก ก็จะหาที่ที่มีร่มเงาหลบร้อน ทำให้อารามปี้อวิ๋นที่กว้างใหญ่เงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด

ฟู่ถิงจวินใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้านวล สวมหมวกไม้ไผ่สานบนศีรษะ กำลังเดินเลียบเลาะกำแพงรั้วด้านหลังของอารามซึ่งมีพงหญ้าพงหนามขึ้นอยู่รกทึบแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างเชื่องช้า

พื้นดินถูกแดดเผาจนแห้งผาก แผ่กระไอร้อนระอุอวลขึ้นมาจนนางหลั่งเหงื่อดุจสายฝน ไม่นานนักอาภรณ์ก็เปียกชื้นแฉะแนบติดลำตัว กระโปรงของนางยังถูกพุ่มไม้หนามต่ำเตี้ยเกี่ยวไว้เป็นพักๆ อีกทั้งพอสาวเท้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็จะมีแมลงตัวเล็กบินกรูออกมาจากพงหญ้าเป็นฝูงดำทะมึนส่งเสียงดังหึ่งๆ หญิงสาวตกอยู่ในสภาพทุลักทุเลเต็มที ประเดี๋ยวต้องก้มตัวลงแกะชายกระโปรงที่เกี่ยวติดกับกิ่งหนามออก ประเดี๋ยวก็ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาคอยปัดไล่แมลงที่ไม่รู้จักชื่ออีก

ทว่าฟู่ถิงจวินไม่มีเวลาคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นางหันรีหันขวางก่อนจะหยุดฝีเท้าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในที่สุด

ต้นไม้ต้นนั้นใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ จะเป็นเพราะมีลมกระโชกแรงหรือว่าถูกฟ้าผ่าก็สุดจะรู้ได้ มันหักโค่นตรงกลาง ลำต้นท่อนบนล้มลงไปทับกำแพงรั้วด้านข้างแห้งตายเน่าผุกลายเป็นโพรงรังมด ขณะที่ลำต้นใหม่ซึ่งแตกออกจากส่วนโคนต้นอวบหนาเท่าปากชามข้าวแล้ว ซ้ำยังผลิใบหนาทึบทอดตัวยาวออกไปนอกกำแพง

ที่เห็นจากชั้นสองของหอพระธรรมวันนั้นก็คือต้นนี้ล่ะ!

หญิงสาวลอบยินดีอยู่ในใจ ดวงหน้าที่เครียดขรึมอยู่แต่เดิมมีรอยยิ้มจางๆ

นางเตะที่ลำต้นใหม่แรงๆ

ใบไม้สั่นระริกดังซ่าๆ ระลอกหนึ่ง แต่ลำต้นยังพาดอยู่บนกำแพงอย่างมั่นคงดุจเดิม

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วถอดหมวกสานออก เผยให้เห็นเรือนผมดกดำงามสลวย

นางเอามุมหนึ่งของชายกระโปรงเหน็บกับผ้าคาดเอว จากนั้นยกเท้าไต่ขึ้นต้นไม้อย่างระมัดระวัง

ลำแสงสว่างจ้าทอลอดผ่านใบไม้ทอดเงาวูบวาบเป็นวงๆ ทาทาบไปตามใบหน้า เรียวมือ และอาภรณ์ของนาง

หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาปีนป่ายขึ้นไปถึงบนขอบกำแพงในเวลาอันรวดเร็ว แหวกใบไม้ที่บดบังสายตาออก แต่แล้วไม่มีทั้งวี่แววและสุ้มเสียงใดๆ บอกให้รู้ตัวล่วงหน้า ด้านหลังใบไม้ก็มีใบหน้าบุรุษผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน

ทั้งสองอยู่ใกล้กันขนาดนั้น ใบหน้าประชิดใบหน้า ปลายจมูกแตะปลายจมูก นางถึงขั้นได้กลิ่นสาบเหงื่อจากตัวอีกฝ่าย และรับรู้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดใส่ริมฝีปากของตนเอง

“ว้าย…” หลังจากชะงักค้างไปอึดใจหนึ่ง ฟู่ถิงจวินร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณโดยลืมเลือนไปว่าขณะนี้นางกำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้เหนือพื้นดิน ยามฝ่าเท้าสัมผัสกับความว่างเปล่า ตัวนางก็ร่วงหล่นลงบนพงหญ้าใต้ต้นไม้ไปแล้ว

กำแพงสูงอย่างนั้น ไฉนมีคนปรากฏกายอยู่บนขอบกำแพงได้

หญิงสาวคิดคำนึงพลางตะกายลุกขึ้นอย่างงุนงง นางรู้สึกหน้ามืดวูบๆ วาบๆ และจุกแน่นตรงลำคอ พร้อมกับถูกกระชากตัวขึ้นมาแล้วผลักไปชิดติดกำแพงในชั่วพริบตา

ฟู่ถิงจวินเจ็บแปลบอย่างรุนแรงตรงกลางหลังซึ่งกระแทกเข้ากับผิวกำแพงขรุขระ ทำให้ลมหายใจติดขัดไปในทันใด

“ปล่อยข้านะ!” นางคิดว่าตนร้องตะโกนออกมา ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงดังอู้ๆ อี้ๆ แล้วพอคิดจะออกแรงเตะต่อย มือเท้าก็อ่อนปวกเปียกจนยกไม่ขึ้น คล้ายเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมดตัวก็ไม่ปาน

จบกัน จบกันตอนบ่ายเงียบสงัดไร้ผู้คน ในลานกว้างด้านหลังที่เปลี่ยวร้างห่างไกล มีบุรุษปีนกำแพงด้านหลังอาราม…นางถึงคราวชะตาขาดแล้ว!

ทั้งที่ในใจรู้แจ้งดี หากแต่ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้

ฝ่ามือที่กำอยู่รอบคอผ่อนแรงเล็กน้อย มีอากาศบางเบาแทรกผ่านเข้ามา

ฟู่ถิงจวินอ้าปากสูดหายใจอย่างตะกรุมตะกราม

เสียงทุ้มต่ำห้วนกระด้างเจือรอยเหี้ยมเกรียมของบุรุษดังขึ้นที่ริมหู “หากเจ้ากล้าส่งเสียงแม้สักนิด ข้าจะหักคอเจ้าทันที”

สุ้มเสียงของเขาไม่ดังไม่เบา ทั้งยังเนิบนาบราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าแผ่รังสีคุกคามข่มขวัญได้มากกว่าเสียงร้องตวาดดุดัน

หญิงสาวอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นางพยักหน้าสุดแรงอย่างหวั่นกลัวสุดใจว่าคนผู้นั้นจะไม่เชื่อถือ แต่ในสายตาเขาเห็นนางแค่ผงกศีรษะน้อยๆ เท่านั้น

ฝ่ามือบนลำคอค่อยๆ คลายออกอย่างลองหยั่งเชิงอยู่บ้าง

นางเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ยกสองมือกุมคอพลางกระอักกระไออย่างอึดอัดทรมาน ครั้นนึกถึงถ้อยคำของบุรุษผู้นั้นขึ้นได้ก็รีบกลั้นไอเอาไว้แล้วเงยหน้ามองพินิจอีกฝ่ายอย่างตื่นกลัว

บุรุษตรงหน้ามีอายุราวยี่สิบ เรือนกายสูงใหญ่ทว่าผอมเกร็ง เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างหลวมโพรกเพรกทำจากผ้าเนื้อหยาบเก่าซีดจนมองสีเดิมไม่ออก ดวงตาลึกเป็นเบ้าชัดคู่นั้นเปล่งประกายคมปลาบอย่างน่าพิศวง ส่วนริมฝีปากแตกแห้งเม้มเข้าหากันแน่น สายตาเขาที่เพ่งมองนางเย็นชาและดุดัน ท่วงท่าประหนึ่งพญาอินทรีก้มลงมองนกกระจอก

ในใจฟู่ถิงจวินหนักอึ้ง หางตาชำเลืองดูเท้าเขาแวบหนึ่งอย่างว่องไว

ไม่ใส่รองเท้า ขากางเกงพับปลายขึ้นสั้นข้างยาวข้าง เผยผิวกายที่กรำแดดจนเป็นสีทองแดง

หัวใจหญิงสาวดิ่งวูบลงไม่หยุด

คนที่ดุร้ายอำมหิตเยี่ยงนี้ ถึงเกิดในครอบครัวยากจนข้นแค้นอย่างไรก็ยังมีพวกเจ้าหนี้อันธพาลหรือพ่อค้าคหบดีว่าจ้างให้ทำงาน แต่เขากลับขัดสนจนไม่มีปัญญาแม้แต่จะสวมรองเท้าฟางสักคู่…เว้นเสียว่า…เขาเผยตัวไม่ได้!

นางตัวสั่นเทาอย่างสุดระงับ!

จะเป็นโจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับ หรือเป็นนักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิด?

ไม่สำคัญว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง นางเปิดเผยร่องรอยของเขาแล้ว…คงต้องถูกฆ่าปิดปากกระมัง!

แขนขาของนางหมดสิ้นเรี่ยวแรง สายตาหยุดอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ดุจคีมเหล็กที่ข้อนิ้วปูดโปนชัดเจนอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่ถิงจวินยังจดจำความรู้สึกยามที่มันกำรอบคอตนเองได้ดี

ไม่ถูกสิ หากเขาคิดจะฆ่าคนก็สามารถบีบคอนางให้ตายได้เลย ไยต้องข่มขู่นางด้วยวาจา

นางนึกถึงตอนเขาคลายมือออกเพื่อหยั่งเชิง แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นในหัว

หรือว่า เขากริ่งเกรงอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน!

นางค่อยๆ ใจชื้นขึ้นทีละน้อย พร้อมกับกำลังกายที่ฟื้นคืนกลับมา นางรีบเร่งขบคิดหนทางรับมือ

หากเดาไม่ผิด ในเมื่อเขาไม่อาจเผยตัวได้ คงไม่แยแสว่าจะสังหารใครเพิ่มอีกสักคนเป็นแน่…อย่างมากก็กลัวว่าหลังจากนั้นจะมีคนพบศพ หรือญาติพี่น้องคนตายแจ้งทางการ และส่งผลให้เบาะแสของเขาถูกเปิดโปงออกมาเพราะเหตุนี้…

ในเวลาเช่นนี้ ลังเลมากขึ้นส่วนหนึ่งก็มีอันตรายมากขึ้นส่วนหนึ่ง!

“ท่านผู้กล้า” นางไม่ชักช้ารีรอ ฝืนทนอาการเจ็บเคืองลำคอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ในหวาอิน อารามปี้อวิ๋นแห่งนี้เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลข้าเอง เพราะอากาศร้อนอบอ้าวข้าก็เลยพาสาวใช้มาพักผ่อนที่นี่ ข้าได้ยินมาว่าลานด้านหลังมีป้ายหินสลักลายมือนักเขียนพู่กันเลื่องชื่อของราชวงศ์ก่อนอยู่หลายป้าย เลยอยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย เพียงแต่ครั้งก่อนๆ รีบมารีบกลับทำให้ไม่มีโอกาส พอคราวนี้ได้มาอยู่พำนักที่นี่ชั่วคราว นึกว่าได้โอกาสแล้ว แม่นมกลับรู้สึกว่าอากาศร้อนมากเกินไป กลัวข้าจะเป็นไข้แดดจึงไม่ยอมให้มา ข้าถึงต้องสบช่องปลอดคนมาดูเงียบๆ…”

สีหน้าเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดังเก่า แต่ดูเหมือนแววตามีรอยลังเลไม่แน่ใจผุดวาบขึ้น

ฟู่ถิงจวินลอบยินดี น้ำเสียงยิ่งอ่อนหวานขึ้น “ชายหญิงไม่พึงพบปะพูดคุยกันตามลำพัง ถ้าแม่นมพบว่าข้าอยู่กับบุรุษสองต่อสอง กลัวว่าจะถูกนางว่ากล่าวตำหนิ…” นางก้มหน้าหลุบตาลงแสร้งทำทีเป็นเศร้าสลด แต่แอบดูสีหน้าเขาทางหางตา “แล้วถ้านางบอกกับท่านแม่ คงต้องทำให้ท่านผู้กล้าเดือดร้อนไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้…”

เขาเบะมุมปาก ตัดบทนางกะทันหัน “เจ้าบอกว่าเจ้าคือสตรีสกุลฟู่ในหวาอินรึ” เสียงของเขาเรียบเฉย จับความรู้สึกไม่ออก

“ใช่!” นางรีบนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย สองมือกุมประสานกันวางบนหัวเข่า “ข้าเป็นบุตรสาวคนที่เก้าของตระกูล”

“อ๋อ” เขาส่งเสียงคำหนึ่ง หางเสียงที่สูงขึ้นน้อยๆ แฝงรอยเยาะหยันอย่างบอกไม่ถูก “สกุลฟู่ที่มีซุ้มประตู* ห้าช่องอยู่ด้านหน้า นอกจากป้ายพระราชทานบรรดาศักดิ์ราชครูขององค์ชายรัชทายาทกับบัณฑิตชั้นเอกแล้ว สามป้ายที่เหลือล้วนเป็นป้ายสดุดีภรรยาผู้ซื่อสัตย์นั่นน่ะหรือ?”

ฟู่ถิงจวินสัมผัสได้ทันทีว่าเขาเหยียดหยามสกุลฟู่มากพอดู หางคิ้วนางเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย

มาตรว่าหลายชั่วคนที่ผ่านมาสกุลฟู่จะไม่มีลูกหลานเป็นขุนนางใหญ่โตอีกแล้ว แต่ประเพณีของวงศ์ตระกูลยังยึดถือในความใจซื่อมือสะอาด เคร่งครัดสำรวมตนเฉกเดียวกับในกาลก่อน จึงได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้คน

เขาถึงกับดูแคลนสกุลฟู่เชียวหรือนี่!

นางตั้งท่าจะเอ่ยวาจาแต่ชะงักไป

เวลานี้โต้เถียงกับเขาด้วยเรื่องนี้มิใช่ความคิดที่ฉลาดอย่างเห็นได้ชัด

คนพรรค์นี้เช่นเขา หากเข้าใจว่าอันใดคือศีลธรรมจรรยาและความละอายใจ ไหนเลยจะตกต่ำอยู่ในสภาพแบบนี้ การพูดเรื่องความซื่อสัตย์กตัญญูและเมตตาคุณธรรมกับเขา เกรงว่าจะเป็นการดีดพิณให้วัวฟัง มิสู้บอกเขายังดีเสียกว่าว่าถ้าเขาปล่อยนางไปนางจะมอบเงินให้เขาก้อนหนึ่งโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้เห็น ดีที่นางพอมีเครื่องประดับติดตัว ถ้านำไปแลกเป็นเงินน่าจะได้สักร้อยสองร้อยตำลึงเงิน แม้ไม่เพียงพอจะทำให้เขาอยู่อย่างสุขสบายเป็นอิสระ ทว่าอย่างน้อยสามารถแก้ขัดในยามนี้ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากเสนอเงื่อนไขนี้ออกมาแล้วเขาจะได้คืบเอาศอกหรือไม่ แต่นางมาที่นี่อย่างฉุกละหุก ไม่มีอะไรให้มากกว่านี้แล้ว

ฟู่ถิงจวินตัดสินใจไม่ถูกอยู่บ้าง

คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลฟู่หรือ”

นางรีบหยุดความคิดลง “อื้อ!”

“อย่างนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่าเรือนครัวอยู่ที่ใดกระมัง” เขากล่าวเสียงเรียบ “เจ้าหาเส้นทางเล็กๆ เปลี่ยวๆ หลบหลีกผู้คนในอารามพาข้าไปที่นั่นที!”

ไป…เรือนครัว!

ฟู่ถิงจวินตกใจมากแต่ไม่กล้าถามอะไร นางเกาะตอไม้เก่าๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน

อาจเป็นเพราะลุกพรวดพราดเร็วเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ชนถูกที่ใดเข้า นางจึงตาลายเห็นดาวระยับจนต้องหลับตาลงพัก ครู่หนึ่งถึงผ่อนลมหายใจเป็นปกติได้ จากนั้นก็เดินไปทางทิศตะวันออกอย่างช้าๆ

เขาตามอยู่ด้านหลังนางเงียบๆ ย่างเท้าออกจากลานกว้างด้านหลังเข้าสู่ทางเดินแคบๆ ด้านข้าง

ทางเดินสายนี้ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ ดวงอาทิตย์ส่องแสงตรงลงมากลางศีรษะ เปลวแดดไหวระริกจนฟู่ถิงจวินวิงเวียนตาพร่า กระนั้นยังเทียบมิได้กับประกายตาคมกล้าจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงของคนด้านหลังที่คลับคล้ายจะส่องทะลุร่างให้เป็นรู นางไม่กล้าคิดมาก ทั้งยิ่งไม่กล้าเดินพลาดแม้สักก้าวเดียว แต่ยังดีที่ไม่พบเจอใครระหว่างทาง

เรือนครัวตั้งอยู่ตรงมุมทิศตะวันออก ข้างในมืดสลัวและเงียบสนิทปราศจากผู้คน

เขารื้อค้นเรือนครัวอยู่นานพักหนึ่ง หยิบทั้งหมั่นโถว แป้งย่าง ผักดอง รวมกระทั่งข้าวสวยที่กินเหลือครึ่งชามมาวางกองรวมกันแล้วห่อด้วยเสื้อ

ฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงตอนที่เขาถอดเสื้อออก ผิวแก้มนางร้อนซู่

โตมาจนป่านนี้เป็นคราแรกที่นางเห็นบุรุษเปลื้องอาภรณ์เบื้องหน้าตนเอง

กิริยามารยาทหยาบกระด้างยิ่งนัก สมกับเป็นพวกชาวป่าชาวเขา!

“ไปเถอะ!” เวลาไม่ถึงชั่วพริบตา ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งถือเสื้อที่ห่อของกินไว้ อีกมือหนึ่งยกไหใส่ข้าวสารขนาดเท่าถังน้ำใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

ไป? ไปไหน ที่นี่กับที่พำนักของนางห่างกันแค่เรือนหลังหนึ่งกั้นกลาง

สีหน้านางซีดเผือดเมื่อความคิดหนึ่งแล่นวาบเข้ามาในหัว

เขาจะให้นางกลับไปที่ลานด้านหลังพร้อมกับเขา!

ไม่ ไม่ ไม่…นางหมดประโยชน์สำหรับเขาแล้ว หากกลับไปที่นั่นกับเขาก็เท่ากับรนหาที่ตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไปกับเขาไม่ได้

นางก็ช่างเลอะเลือนเสียจริง ในลานเรือนติดกันมีแม่ชีทำอาหารสองสามคนพำนักอยู่ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาพักเที่ยง นางสมควรฉวยโอกาสวิ่งหนีตอนเขารื้อหาของกินอยู่

“ท่านผู้กล้า!” หญิงสาวทางหนึ่งลอบก้าวถอยหลัง ทางหนึ่งเพียรรักษาน้ำเสียงของตนให้นุ่มนวลอ่อนน้อมเต็มที่ “ท่านก็รู้ทางออกไปแล้ว ข้างนอกแสงอาทิตย์กำลังแรงจัด ข้าตากแดดอยู่ที่ลานด้านหลังนานขนาดนั้นรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย คงไม่ส่งท่านออกไปละนะ…”

ส้นเท้าแตะถูกธรณีประตู

“ช่วยด้วย!” ฟู่ถิงจวินสาวเท้าจะออกวิ่ง

เพียงแต่เพิ่งตะโกนว่า ‘ช่วย’ ออกมาได้แค่คำเดียวก็รู้สึกจุกแน่นที่ลำคอเป็นคำรบที่สอง มือเขารวบคอนางหิ้วตัวลอยกลับเข้ามาแล้วลากไปตรึงกับเสากลางเรือนครัว หญิงสาวเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กายคล้ายกระดูกกระเดี้ยวหลุดออกเป็นท่อนๆ

นางพยายามแกะฝ่ามือใหญ่ที่กำอยู่รอบคอออกอย่างสุดชีวิต พร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ละสายตา ประหนึ่งว่ามีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะแสดงความชิงชังของตนเองออกมาได้

เขามองนางอย่างสงบนิ่ง สายตาฉายแววไม่อนาทรร้อนใจเหมือนกำลังบี้มดตัวหนึ่งตาย ราวกับว่าสำหรับเขาแล้วการเข่นฆ่าชีวิตคนตรงหน้าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเช่นเดียวกับกินข้าวดื่มน้ำ!

ฟู่ถิงจวินตัวสั่นสะท้านดั่งพลัดตกลงไปอยู่ในโพรงน้ำแข็ง นางดิ้นทุรนทุรายเฮือกสุดท้ายเสมือนปลาที่ถูกจับโยนขึ้นมาบนบก ค่อยๆ หายใจไม่ออกทีละน้อย และจมดิ่งลงสู่ความมืดมนอนธการ…

 

ฟู่ถิงจวินรู้สึกตัวตื่นเพราะความร้อน

พอนางลืมตาขึ้นก็มองเห็นคางคกสี่ห้าตัวกำลังพองตัวอวดท้องสีขาวเกลี้ยงอยู่ข้างๆ ใบหน้า นางกรีดร้องเสียงแหลมพลางพลิกตัวตาลีตาเหลือกลุกขึ้น

พวกคางคกตกใจ พากันกระโดดผลุบหายเข้าไปในพุ่มหญ้า

หญิงสาวระบายลมหายใจเฮือกยาว รู้สึกระคายเคืองในลำคอ ศีรษะหนักอึ้ง สองเท้าเบาหวิว ดวงตาพร่าลาย

นาง…นางตายแล้วมิใช่หรือ ไฉนยังมีความรู้สึก

ฟู่ถิงจวินนิ่งขึงไป จากนั้นรีบเร่งมองสำรวจไปรอบตัว

ดวงตะวันแจ่มจ้าอยู่เหนือศีรษะส่องแสงแยงตาจนลืมไม่ขึ้น กิ่งไม้ที่เหยียดออกไปนอกกำแพงแตกใบหนาทึบร่มครึ้มทอดเป็นเงาดำอยู่บนกำแพงสูงใหญ่แข็งแรง ส่วนด้านหลังพงหญ้าพงหนามรกชัฏเป็นดงไม้เขียวขจี

ที่นี่…คือลานด้านหลังของอารามปี้อวิ๋น! เหตุใดนางอยู่ที่นี่ หรือนางยังมีชีวิตอยู่?

ความคิดหนึ่งผ่านวาบเข้ามาในหัวอย่างว่องไว ฟู่ถิงจวินหยิกแขนตัวเองทีหนึ่งเต็มแรงจนทิ้งรอยแดงๆ ไว้

เจ็บเหลือเกิน

นางเดินไปอีกสองสามก้าว เงาก็ขยับตามนางไป

แม่นมเคยบอกว่าภูตผีวิญญาณไม่มีเลือดเนื้อ พอถูกแสงแดดก็จะสลายหายไป

ฟู่ถิงจวินยื่นมือออกไป

ใต้แสงอาทิตย์ มือเรียวขาวผ่องกระจ่างใส เล็บมือสีอมชมพูเปล่งประกายแวววาวดุจไข่มุก

นางหรี่ตามองเปลวแดดระยิบระยับ น้ำตารินอย่างสุดแสนปีติยินดี!

ยังมีชีวิตอยู่ นางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ

ทว่าความเบิกบานใจจากการรอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้คงอยู่ชั่วอึดใจก็เหือดหายไปหมดสิ้นเพราะความเจ็บปวดบนลำคอ

ภาพเหตุการณ์ก่อนสิ้นสติปรากฏขึ้นในห้วงความคิด…เรือนครัวที่มืดสลัวปลอดคน ฝ่ามือหนาใหญ่แข็งแกร่ง สายตาเยือกเย็นเฉยชา และความจนตรอกสิ้นหวังก่อนจบชีวิต!

นางเช็ดน้ำตาเป็นมือระวิง ก่อนจะเงี่ยหูฟังพลางมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวังหวาดกลัว

ลานกว้างด้านหลังเงียบสงัดไม่มีวี่แววผู้คน พงหนามรกทึบไม่ไกลนักมีแมลงบินฉวัดเฉวียนส่งเสียงดังหึ่งๆ หมวกสานที่โยนทิ้งไว้ยังคงนอนสงบนิ่งเดียวดายอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่เสมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน ขอแค่นางยกชายกระโปรงเหน็บเอวไว้แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ก็จะได้เห็นว่าสภาพภายนอกกำแพงเป็นอย่างไรกันแน่!

กระนั้นนางกลับใจฝ่อ ไม่เหลือความกล้าเช่นก่อนหน้านี้อีกสืบไป

คนผู้นั้นจากไปหรือยัง จะโผล่ออกมากะทันหันอีกหรือไม่

ถ้าเขาเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ จะลงมืออีกครั้งหรือไม่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็ขนลุกเกรียว คว้าหมวกสานขึ้นมาได้ก็วิ่งทะยานไปทางทิศตะวันออกราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง…

 

ที่พำนักของฟู่ถิงจวินมีชื่อว่าหอจิ้งเยวี่ย ตั้งอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระอุโบสถของอารามปี้อวิ๋น เป็นเรือนคั่นสอง มีหนึ่งประตูและลานเรือนเดี่ยว ปลูกต้นไผ่เงินไว้รอบสี่ทิศ ยามปกติไม่มีคนพัก จะเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสตรีในสกุลฟู่มาไหว้พระหรืออยู่พักอาศัยชั่วคราว

นางมิได้เข้าทางประตูหน้า แต่เดินอ้อมไปตามทางแคบๆ ด้านขวา

ห้องปีกตะวันออกมีหน้าต่างบานหนึ่ง เนื่องจากฐานพื้นห้องยกสูงมาก เป็นเหตุให้ฟู่ถิงจวินเขย่งปลายเท้าแล้วยังต้องเอื้อมสุดมือจึงจะแตะถูกกรอบหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษเกาลี่ สีขาว

นางเคาะเบาๆ สองที หน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดออกทันใด

“คุณหนูเก้า” สาวใช้นามลวี่เอ้อชะโงกหัวออกมา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีอกดีใจ “คุณหนูกลับมาแล้วจนได้!” นางกล่าวพร้อมกับยื่นม้านั่งตัวเล็กออกมาให้ “เมื่อครู่นี้ป้าเฉินมาที่ห้องเจ้าค่ะ นางยังเอาแตงโมที่แช่เย็นในบ่อน้ำมาหลายชิ้น บอกว่าให้คุณหนูรับประทานดับพิษร้อน” สาวใช้ช่วยดึงแขนของฟู่ถิงจวินให้นางปีนเข้ามา “ถ้าไม่ได้พี่หานเยียนพูดห้ามไว้ กลัวว่านางคงบุกเข้ามาแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบตายเลยเจ้าค่ะ!” นางทำท่าจะร่ำไห้ออกมาเต็มแก่ “หากคุณหนูยังไม่กลับมาอีก ข้าคงต้องออกไปตามหาท่านแล้ว!”

ฟู่ถิงจวินมึนศีรษะรู้สึกตื้อๆ ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ นางอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอดอย่างเดียวถึงวิ่งกลับมาได้ เวลานี้พอกลับมาถึงเรือนพำนักอย่างปลอดภัย ได้ยินสุ้มเสียงคุ้นหู จิตใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง เนื้อตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด กระทั่งจะยืนยังรู้สึกกินแรง วาจาสักคำก็คร้านจะเอื้อนเอ่ย เพียงอยากเอนตัวลงนอนบนเตียงโดยไว พอได้ยินว่าป้าเฉินมาหา นางจำต้องฝืนสติกล่าวโต้ตอบ “หานเยียนพูดอะไรบ้าง”

เสียงของนางแหบแห้งแตกพร่า ต่างจากเสียงกังวานใสรื่นหูตามปกติไปไกลคนละโยชน์

“คุณหนูเก้า!” ลวี่เอ้อมองฟู่ถิงจวินอย่างตกอกตกใจ นางเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่ารอบลำคอผู้เป็นนายมีรอยช้ำแดงตัดกับผิวกายขาวผ่องดูน่ากลัวอย่างยิ่ง “นะ…นี่คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ” ครั้นเพ่งสายตามองอีกคราก็เห็นฟู่ถิงจวินถูกแดดเผาจนผิวแดงก่ำ ส่วนผมเผ้าที่หวีจนเรียบตึงยามออกไปก็หลุดรุ่ยร่ายไม่เป็นทรง ยังมีเส้นผมสองสามปอยเปียกเหงื่อจนแนบติดข้างแก้ม ขณะที่แขนเสื้อสกปรกยับยู่ยี่ กระโปรงผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มยังฉีกขาดเป็นรูใหญ่ เผยให้เห็นกางเกงผ้าไหมสีฟ้านวลด้านใน

ไหนเลยฟู่ถิงจวินจะไม่รู้ว่าตนเองมีสารรูปมอมแมม แต่ขณะนี้มิใช่เวลาพูดคุยกัน นางจึงไม่นำพาเนื้อตัวที่สกปรกเลอะเทอะ ล้มตัวลงนอนบนเตียงไปเลย “อีกประเดี๋ยวค่อยว่ากัน!”

ลวี่เอ้อตั้งสติได้ ก้าวเข้าไปถอดรองเท้าให้นางไปพลางกล่าวตอบคำถามก่อนหน้านี้ไปพลาง “พี่หานเยียนนั่งรับลมคุยเล่นสัพเพเหระกับพวกป้าฝานอยู่ในโถงกลางตามที่คุณหนูกำชับไว้เจ้าค่ะ พวกนางบอกว่าอากาศร้อนเหลือเกิน เลยนั่งอยู่ในนั้นไม่ขยับตัวไปไหนตลอด แล้วก็ไม่มีใครเรียกใช้ข้า ตอนที่ป้าเฉินมา ป้าฝานคนนั้นยังช่วยพูดให้พวกข้าตั้งหลายคำด้วยนะเจ้าคะ”

“อื้อ” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบเบาๆ แล้วกำชับลวี่เอ้อ “ไปตักน้ำเข้ามา ข้าอยากล้างหน้าสางผมสักหน่อย!”

จะปล่อยให้ผู้อื่นเห็นนางในสภาพตอนนี้มิได้!

ลวี่เอ้อเอ่ยอย่างละล้าละลัง “ข้ากลัวว่าไปตักน้ำจะทำให้ป้าเฉินเอะใจ…”

“ก็ข้ากลับมาแล้ว” ฟู่ถิงจวินชักจะขุ่นใจ นางทนเจ็บคอเค้นเสียงพูดออกมา “เจ้าคลี่ม่านลงมาปิด ขอแค่อย่าให้พวกนางเห็นสภาพข้าก็เป็นอันสิ้นเรื่อง! นางจะกล้าเปิดม่านของข้าเชียวรึ”

ลวี่เอ้อนิ่งคิด

จริงสิ! ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูเก้าก็เป็นเจ้านาย ต่อให้พวกนางเป็นคนข้างกายของนายหญิงใหญ่ก็มิอาจไม่คำนึงถึงฐานะสูงต่ำได้

“อื้อ” นางขานตอบในลำคอ จากนั้นคลี่ม่านลงอย่างคล่องแคล่วแล้วเดินออกจากห้องไป

ภายในห้องเงียบสงบ ไม่มีแสงแดดจัดจ้าดุจเปลวไฟ ไม่มีไอร้อนเต้นระริก หมอนกระเบื้องหนุนศีรษะแผ่ไอเย็นๆ ออกมา เสื่อนอนใต้ร่างยังเจือกลิ่นหอมของไผ่เขียวไว้ ฟู่ถิงจวินพรูลมหายใจออกมายาวๆ สบายตัวเสียจนไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วมือ

ทว่าอาการบาดเจ็บตรงลำคอยังไม่ยอมละเว้นนาง ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าซูบผอม นัยน์ตาคมกริบ และแววตาเย็นชาของเขาปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอย่างไม่ทันตั้งตัว คลับคล้ายมีลมเย็นยะเยือกโชยเข้ามาในห้องระลอกหนึ่ง

กำแพงของอารามปี้อวิ๋นสูงใหญ่แข็งแรง แต่เหมือนเขาเดินผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ ยามกลางวันแสกๆ ก็ปีนกำแพงเข้ามาข้างในและเกือบบีบคอนางตาย เห็นชัดว่าที่นี่หาได้ปลอดภัยอย่างที่นางนึกไว้แต่เดิมไม่!

พอความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินสะท้านเยือกวูบหนึ่งอย่างกระวนกระวายใจ

มีเสียงฝีเท้าสับสนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตู

“ขอบคุณท่านป้าทั้งสองเจ้าค่ะ!” เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของหานเยียนดังลอดเข้ามา “วางอ่างน้ำตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ…หลายวันมานี้คุณหนูของพวกข้านอนหลับไม่สนิท เลยอารมณ์หงุดหงิดอยู่บ้าง…”

“รู้แล้วๆ!” แม้เสียงพูดกระโชกโฮกฮากของป้าฝานจะกดต่ำแล้ว มันยังคงดังก้องอยู่ดี นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ “หลายวันมานี้คุณหนูเก้าต้องกล้ำกลืนฝืนทน ก็เลยอารมณ์เสียพาลใส่พวกเจ้าเป็นธรรมดา เจ้าอดทนหน่อยก็แล้วกัน บ่าวไพร่อย่างพวกเราเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร” นางพูดตบท้าย “เช่นนั้นพวกข้ากลับก่อนล่ะ จะได้ไปรายงานป้าเฉิน นางกำชับไว้ว่าพอคุณหนูเก้าตื่นก็ให้ไปบอกนางสักคำ”

หานเยียนกล่าวลาป้าฝานอย่างมีมารยาท “ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะป้าฝาน!”

ฟู่ถิงจวินกลับประหลาดใจ ป้าฝานกับหานเยียนถูกคอกันดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

สาวใช้สองนางแบกถังน้ำเข้ามาแล้วหอบหายใจแฮกๆ

หานเยียนวิ่งมาที่หน้าเตียงทันที

“คุณหนูเก้า! ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” นางแหวกม่านออกด้วยความยินดีเต็มเปี่ยม แต่แล้วก็ต้องตะลึงลานอยู่กับที่ดุจเดียวกับลวี่เอ้อ

“ให้ข้าชำระกายสะอาดสะอ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ฟู่ถิงจวินยันตัวลุกขึ้นอย่างงุ่มง่าม

หานเยียนรู้เช่นกันว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คืออย่าให้คนจับได้ว่าฟู่ถิงจวินออกไปข้างนอกมา

นางประคองฟู่ถิงจวินไว้อย่างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย สองสาวใช้ช่วยกันเปลื้องชุดและสยายผมให้ผู้เป็นนาย จากนั้นพยุงนางลงนั่งในอ่างไม้สนแล้วสระผมให้

ฟู่ถิงจวินหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ทว่าภายในใจกลับว้าวุ่นปั่นป่วนไม่หยุดดั่งน้ำเดือดพล่านก็ไม่ปาน

เจ้าคนถ่อยไร้ยางอายจั่วจวิ้นเจี๋ย หากมิใช่เขาพูดจาเหลวไหล นางจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร!

พอหวนคิดขึ้นมา นางก็กัดฟันกรอดๆ อยากสาปแช่งเขาสักสองสามคำระบายความโกรธแทบใจจะขาด

 

เรื่องนี้ต้องเริ่มเท้าความจากพี่สะใภ้ใหญ่จั่วซื่อ

พี่สะใภ้ใหญ่นั้นถือป้ายวิญญาณของพี่ชายใหญ่ของนางแต่งเข้ามาในสกุลฟู่ ยี่สิบปีที่ผ่านมา นางกตัญญูต่อแม่สามี กลมเกลียวปรองดองกับคู่สะใภ้ รักใคร่น้องสามี อบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน เป็นกุลสตรีศรีภรรยาที่ใครๆ ยกย่องสรรเสริญ อย่าว่าแต่ชาวสกุลฟู่เลย ต่อให้เป็นชาวหวาอินเอง น้ำเสียงวาจายามเอ่ยถึงสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ล้วนแสดงความเคารพนับถือ ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย ฉะนั้นตอนที่จั่วจวิ้นเจี๋ยน้องชายคนเล็กของนางบากหน้ามาขอพึ่งพิงเพราะบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้ในจวนจะมีคนของสกุลฟู่หกครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยกันจนเต็มขนัด ลุงใหญ่ก็ยังจัดเรือนพำนักขนาดสามคูหาซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ไว้บริเวณมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเรือนด้านนอกให้เป็นที่พำนักของเขา และให้เงินใช้สอยส่วนตัวทุกเดือน รวมถึงค่าหมึกพู่กัน และเสื้อผ้าอาภรณ์สี่ฤดูตามส่วนของผู้เป็นทายาทของพี่สะใภ้ใหญ่ อีกทั้งยังให้เขาร่ำเรียนหนังสือกับท่านปู่ห้าในสำนักศึกษาประจำตระกูลฟู่

จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นก็เป็นเลิศสมดังนามของเขา อายุสิบเจ็ดได้เป็นซิ่วไฉ อายุยี่สิบสามได้เป็นจวี่เหริน

หากเป็นในเขตเจียงหนานที่มีบัณฑิตชั้นยอดมากมายดาษดื่น ผลสำเร็จชั้นนี้ไม่นับว่าน่าทึ่งเท่าไหร่ แต่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือที่มีการสอบขุนนางแบบแยกเขตเหนือใต้ กลับหาได้ยากเย็นยิ่งดุจขนหงส์เขากิเลน ส่งผลให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คน

เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ในสายตาคนภายนอก สกุลฟู่ได้รับชื่อเสียงด้านทรงคุณธรรมและอุปถัมภ์ผู้มีความสามารถจากการส่งเสริมบ่มเพาะคนเก่งกาจสามารถอย่างจั่วจวิ้นเจี๋ยออกมา ก็สมควรถือเขาเป็นความภาคภูมิใจ ขณะที่จั่วจวิ้นเจี๋ยได้สกุลฟู่สนับสนุนค้ำจุนจนมีอนาคตรุ่งโรจน์ ฟื้นฟูเกียรติยศให้แก่สกุลจั่วได้ ก็สมควรซาบซึ้งในพระคุณของสกุลฟู่จึงจะถูก แต่ในความเป็นจริงกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

สกุลฟู่เป็นวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดของหวาอิน หญิงในเรือนงามสมกุลสตรีจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ฉะนั้นนับแต่จั่วจวิ้นเจี๋ยมาพึ่งใบบุญก็อยากจะแต่งบุตรสาวสกุลฟู่เป็นภรรยา

ได้เป็นญาติกันอีกชั้นหนึ่ง ซ้ำมีตระกูลภรรยาช่วยเกื้อหนุน พี่สะใภ้ใหญ่ย่อมเต็มใจแน่นอน ทว่าแต่ไรมาบุตรสาวสกุลฟู่ไม่เคยต้องหนักใจเรื่องออกเรือน แม้จั่วจวิ้นเจี๋ยจะสูงใหญ่หล่อเหลา แต่เขาเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ไม่มีสมบัติพัสถานใดติดตัว แล้วยังอาศัยสกุลฟู่คอยเจือจานเงินทองให้ จะอย่างไรนางก็เอ่ยเรื่องการผูกดองออกจากปากไม่ได้

ถึงกระนั้นพอความคิดนี้บังเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้อีก ในใจนางอดมิได้ที่จะตั้งความหวังไว้บ้าง จึงมิได้ทาบทามสตรีใดให้จั่วจวิ้นเจี๋ยมาโดยตลอด

จวบจนเขาได้เป็นซิ่วไฉ พี่สะใภ้ใหญ่ถึงแย้มพรายออกมาเป็นเชิงทีเล่นทีจริงในงานฉลองครบรอบวันเกิดของท่านย่า

ท่านย่าเป็นคนชั้นใดเล่า ท่านปกครองเรือนหลังของสกุลฟู่มาหลายสิบปี มีหรือจะจับความนัยในถ้อยคำของหลานสะใภ้คนโตผู้นี้ไม่ออก

เพียงแต่ฐานะของจั่วจวิ้นเจี๋ยยากจนต่ำต้อยเหลือเกินจริงๆ

ถ้าเป็นคนอื่นคงสามารถกล่าววาจาสองสามคำตามมารยาทเป็นการรับหน้าพอให้พ้นๆ ไปก็เป็นอันจบเรื่อง แต่ผู้เอ่ยปากคือพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านย่าต้องตรึกตรองว่าจะรักษาหน้านางเช่นไรดี จึงเรียกป้าสะใภ้ใหญ่มาหารือ เพราะท่านมีความคิดจะยกพี่หญิงรอง บุตรสาวของลุงใหญ่ที่เกิดกับอนุให้แต่งงานกับจั่วจวิ้นเจี๋ย

พี่รองกับจั่วจวิ้นเจี๋ยมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มาตรว่าจะเป็นบุตรสาวที่เกิดกับอนุ แต่ได้ภรรยาหลวงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งอ่านออกเขียนได้ มีฝีมือเย็บปักถักร้อย และสามารถดูแลเหย้าเรือนทำบัญชีได้เฉกเดียวกับพี่หญิงใหญ่

ป้าสะใภ้ใหญ่สองจิตสองใจ

ต่อมามีคนส่งข่าวถึงป้าสะใภ้ใหญ่ว่าภรรยาคู่ยากของห่าวเจี้ยนเฟิงผู้ช่วยผู้ว่าการมณฑลส่านซีล้มป่วยจากไป ทั้งสองไม่มีทั้งบุตรชายบุตรสาว อีกทั้งเขากำลังจะไปรั้งตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลซานตงในอีกไม่ช้า คนผู้นี้หมายประจบสอพลอจึงคิดเป็นแม่สื่อแม่ชักให้พี่รองได้ตบแต่งกับเขา

แม้ว่าจะออกเรือนไปเป็นภรรยาของพ่อม่ายที่มีอายุมากกว่ายี่สิบปี แต่ห่าวเจี้ยนเฟิงเป็นจิ้นซื่อที่ผ่านการสอบเคอจวี่แล้วสองระดับ สั่งสมผลงานความชอบจนใกล้จะได้เป็นขุนนางขั้นสามอยู่รอมร่อ ทว่ากลับไม่มีทายาทสืบสกุล สำหรับสกุลฟู่ที่ไม่มีลูกหลานเป็นขุนนางใหญ่โตมาหลายชั่วรุ่น ไม่ว่าอย่างไรการได้ลูกเขยอย่างนี้ก็เป็นเรื่องดี

ป้าสะใภ้ใหญ่อยากตอบตกลงมาก แต่ตอนนั้นลุงใหญ่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกองชลประทานอยู่ในกรมโยธา ควบคุมดูแลงานด้านแม่น้ำลำธาร ห้วยหนองคลองบึง ถนนสะพาน รถเรือ การทอผ้า ตราสารต่างๆ รวมถึงเครื่องชั่งตวงวัด ได้รับความชื่นชมจากชวีหยางเสนาบดีกรมโยธาเป็นอันมาก ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมโยธา ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงถึงมิได้ให้คำตอบที่แน่ชัดกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด

 

 

ท่านย่ารู้เรื่องนี้เช่นกัน จึงกล่าวเตือนป้าสะใภ้ใหญ่ “อย่าได้ปรามาสคนหนุ่มเชียว! จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นมีสง่าราศี เรื่องศึกษาเล่าเรียนก็นับว่ามีความขยันหมั่นเพียรดี ไม่แน่ว่าวันหน้าจะได้เป็นบัณฑิตเอก ยิ่งกว่านั้นคนเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย* มีมาก คนส่งถ่านกลางหิมะ** มีน้อย สกุลฟู่มีบุตรสาวอีกเจ็ดแปดคนที่ยังมิได้หารือเรื่องการแต่งงานอยู่อีกนะ!”

รวมความแล้วก็คือหวั่นเกรงว่าการแต่งงานนี้จะกระทบต่อชื่อเสียงของสกุลฟู่ และทำลายอนาคตของลุงใหญ่

ระมัดระวังไว้สักหน่อยก็ไม่ผิดอะไร

ป้าสะใภ้ใหญ่เห็นว่าแม่สามีกล่าวมีเหตุผล จึงปฏิเสธสกุลห่าวไป

พอพี่สะใภ้ใหญ่รู้ข่าว ย่อมยินดีจนออกนอกหน้าแน่นอน

ด้านจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับไม่ยินยอม “เดิมข้าก็มีอยู่ตัวคนเดียว ทรัพย์สินในบ้านล้วนนำไปขายเป็นเงินมารักษาอาการป่วยของท่านพ่อท่านแม่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเป็นบุตรสาวของอนุ นอกจากสินเดิมเจ้าสาวหนึ่งร้อยตำลึงเงินจากกองกลางแล้วก็ไม่มีสมบัติส่วนตัวอื่นใดอีก…ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้ความกรุณาแล้ว มิสู้สู่ขอคุณหนูสามของนายท่านรองจะดีกว่านะขอรับ!”

สกุลเดิมของป้าสะใภ้รองเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดินในซื่อชวน ทั้งยังมีการค้าบ่อเกลือ ตอนนางออกเรือนมาที่สกุลฟู่ แค่ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างเดียวก็บรรทุกมาเต็มสามลำเรือ พี่หญิงสามเกิดจากภรรยาหลวง และเป็นบุตรสาวโทนของลุงรอง ดังนั้นป้าสะใภ้รองลั่นคำออกมาเนิ่นนานแล้วว่าภายภาคหน้าจะมอบสมบัติส่วนตัวของนางทั้งหมดให้พี่สามเป็นสินเดิมเจ้าสาว

“เรื่องนี้ไม่ได้!” พี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินแล้วทำสีหน้าขรึมลง กล่าวปฏิเสธจั่วจวิ้นเจี๋ยโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “สกุลฟู่ตอนนี้มีแค่ท่านพ่อกับท่านอาห้าที่เป็นขุนนาง ส่วนบุตรชายสองคนของท่านอารองล้วนไม่มีพรสวรรค์อะไรที่จะไปสอบรับราชการ สาเหตุที่ท่านอาสะใภ้รองลั่นคำออกมาว่าจะเก็บสมบัติส่วนตัวทั้งหมดให้คุณหนูสาม ก็เพราะอยากจะหาจิ้นซื่อสักคนเป็นลูกเขย หรืออย่างแย่ที่สุดก็ต้องเป็นจวี่เหริน เพื่อว่าวันหน้าจะได้มีคนดูแลและพึ่งพาได้ เจ้าเป็นแค่ซิ่วไฉ ท่านอาสะใภ้รองไม่ตอบตกลงเด็ดขาด”

“พวกท่านปักใจแล้วหรือว่าวันหน้าข้าจะไม่ได้เป็นจิ้นซื่อ” จั่วจวิ้นเจี๋ยกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “พี่ไม่ลองดูก่อนแล้วรู้ได้อย่างไรว่านายหญิงรองจะไม่ตอบตกลง”

พี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยไม่ใคร่จะรู้ความเอาเสียเลย “ต่อให้ท่านอาสะใภ้รองตอบตกลง แต่ท่านแม่บอกปัดทางสกุลห่าวไปแล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก เจ้าไม่ต้องพูดให้มากความ แค่รอข้าเชิญแม่สื่อมาเทียบดวงแปดอักษรกับคุณหนูรองแล้วก็แต่งงาน” กล่าวจบก็หมุนกายเดินออกไป

ฝ่ายจั่วจวิ้นเจี๋ยรู้สึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่มิได้ตั้งใจทำเพื่อตนจริงๆ เพราะกลัวจะล่วงเกินแม่สามี วันถัดมาเขาก็เชิญแม่สื่อไปทาบทามกับป้าสะใภ้รองโดยไม่บอกกล่าวพี่สะใภ้ใหญ่สักคำ

ป้าสะใภ้รองจะตอบตกลงได้อย่างไรกัน

แม่สื่อเดินคล้อยหลังออกไปไม่ทันไร นางก็เอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านย่าทันที

ท่านย่าโมโหจนตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็ไม่พูดไม่จากับพี่สะใภ้ใหญ่ดีๆ สักคำเป็นเวลานาน

พี่สะใภ้ใหญ่อับอายเหลือทน อยากจะมุดหัวแทรกแผ่นดินหนีใจจะขาด นางไปถึงเรือนของจั่วจวิ้นเจี๋ยด้วยสีหน้าถมึงทึงแล้วอบรมสั่งสอนเขายกใหญ่ ทว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับไม่เห็นพ้องกับนาง “เอาล่ะๆ ในเมื่อพี่ลำบากใจนัก ข้าจะเชื่อฟังพี่แต่งงานกับคุณหนูรองให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป!”

น้ำเสียงของเขาราวกับฝืนใจลดเกียรติตนเองเต็มประดา ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เอื้อนเอ่ยวาจาใดไม่ออกสักคำ นางฟุบหน้าร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงหัวเตียงของแม่สามี

ป้าสะใภ้ใหญ่ทั้งร้อนใจทั้งขุ่นเคือง ไม่ลุกลงจากเตียงนานสองวันด้วยเรื่องนี้ คนหนึ่งเป็นลูกสะใภ้ที่ครองตัวบริสุทธิ์ให้กับบุตรชายตน คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของอนุที่นางเลี้ยงดูมา จะมีน้ำโหสักปานใดก็ได้แต่เป็นเช่นคำกล่าวว่าไฟในอย่านำออก หลายเดือนต่อมานางก็ยกพี่รองให้กับนักศึกษาแซ่หวงในผูเฉิงซึ่งเป็นอำเภอติดกัน ไม่ถึงสองปีพี่เขยรองก็ป่วยตาย ทิ้งบุตรสาวที่เพิ่งครบเดือนไว้คนหนึ่ง ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน ต้องอาศัยสกุลฟู่คอยจุนเจือถึงมีข้าวสารกรอกหม้อ

ข้างฝ่ายห่าวเจี้ยนเฟิงกลับมั่งคั่งมีเกียรติมาตลอด เพียงไม่กี่ปีก็ได้เป็นถึงรองเสนาบดีกรมปกครอง

ต่อมาทำนบกั้นแม่น้ำหวงเหอในอำเภอเสียงฝู เมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนานแตกพัง ผู้ตรวจการมณฑลเหอหนานร้องเรียนและเปิดโปงการทุจริตในการก่อสร้างที่ใช้หินชั้นเลวแทนหินชั้นดี ชวีหยางกับลุงใหญ่ล้วนถูกดึงติดร่างแหไปด้วย ซ้ำร้ายลุงใหญ่ยังโดนปลดจากตำแหน่งเพราะเหตุนี้ ครั้นคลื่นลมสงบลง ลุงใหญ่เคยไปหาห่าวเจี้ยนเฟิงด้วยเรื่องขอกลับเข้ารับราชการใหม่ จะเป็นเพราะเขากลัวว่าจะต้องพัวพันกับปัญหายุ่งยากเหล่านี้ หรือว่ายังติดใจที่สกุลฟู่ปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนั้นก็สุดรู้ เขาถึงกับไม่ยอมพบหน้าลุงใหญ่สักครั้ง ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าจะช่วยเหลือ

ป้าสะใภ้ใหญ่คิดขึ้นมาแล้วยากจะคลายความขัดเคืองลงได้ ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปไม่น้อย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวต่อมาในภายหลัง

ส่วนเหตุการณ์ในตอนนั้นคือพี่สะใภ้ใหญ่ให้คนเช่าเรือนหลังหนึ่งในถนนสายเล็กๆ แล้วให้น้องชายย้ายออกไปในราตรีนั้นเลย

จั่วจวิ้นเจี๋ยทำสีหน้าบึ้งตึง เขาแค่นหัวเราะหลายเสียง ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่นำอะไรติดตัวไปอย่างหยิ่งผยอง

หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ไปเป็นอาจารย์ของครอบครัวแซ่หลิวในเมืองซีอาน

ปีถัดมาเขาสอบรับราชการระดับมณฑลไม่ผ่าน

ปลายปีนั้น จั่วจวิ้นเจี๋ยกลับมาที่หวาอิน เขาไม่นำพาหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก คุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนพี่สะใภ้ใหญ่เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ว่าใครมาฉุดก็ไม่ลุกขึ้น

เพื่อเห็นแก่มิตรไมตรี ทั้งป้าสะใภ้รอง ป้าสะใภ้สาม ป้าสะใภ้สี่ ท่านแม่ และอาสะใภ้หกพากันไปพบป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยพูดให้จั่วจวิ้นเจี๋ย

พี่สะใภ้ใหญ่เห็นใบหน้าซูบผอมซีดเซียวฉายแววท้อแท้ของน้องชายสายเลือดเดียวกัน กอปรกับคิดถึงว่าสกุลเดิมตนเหลือเขาเป็นทายาทคนเดียวก็ร่ำไห้ฟูมฟายน้ำตานอง

ป้าสะใภ้ใหญ่ถอนใจเฮือกๆ ไม่หยุด จากนั้นเป็นคนไปขอร้องท่านย่าให้รับเขากลับมาร่ำเรียนในสำนักศึกษาประจำตระกูลฟู่อีกครั้ง

นับจากนั้นจั่วจวิ้นเจี๋ยคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น สองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่าง ตั้งอกตั้งใจศึกษาหนังสือตำราของยอดปราชญ์ หลังจากเขาสอบผ่านเป็นจวี่เหรินก็ซื้อที่นากับบ่าวไพร่และตั้งเรือนอยู่ในตรอกกว่างเทา กลายเป็นว่าที่ลูกเขยเนื้อหอมในสายตาชาวหวาอิน

ป้าสะใภ้สี่ก็เริ่มหมายตาเขา

“ตอนนั้นที่พูดเรื่องแต่งงานไม่สำเร็จเป็นเพราะว่าคุณหนูรองเป็นบุตรสาวของอนุ ทั้งไม่มีสินเดิมเจ้าสาว คนเย่อหยิ่งถือตัวและมีความสามารถอย่างเขาย่อมไม่พึงใจเป็นธรรมดา” นางเอ่ยกับลุงสี่ “ลูกห้าของเราไม่เหมือนกัน ไม่เพียงเป็นบุตรสาวของภรรยาหลวง รูปโฉมก็สะสวย นอกจากสินเดิมเจ้าสาวจากกองกลาง ข้ายังมีที่นาอุดมสมบูรณ์สามร้อยหมู่* กับเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้อีกสองพันตำลึงเงินมอบให้ลูกสาวเราด้วยนะ”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!” ลุงสี่สั่นศีรษะ “หากคนอื่นรู้เข้าจะนึกว่าบุตรสาวสกุลฟู่เราตามตื๊อเขาเอาได้นะ!”

“โธ่เอ๋ย ไฉนท่านเถรตรงนักนะ!” ป้าสะใภ้สี่กล่าวเสียงขุ่น “ท่านลองคิดดู แม้ท่านลุงใหญ่จะถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็มียศถาบรรดาศักดิ์ติดตัว ตอนพบปะกับท่านนายอำเภอก็ยังมีที่นั่งให้ ยิ่งต้องไม่เอ่ยถึงท่านอาห้า ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต ซ้ำยังสอนคัมภีร์ของปราชญ์เมธีให้เหล่าองค์ชาย ไม่แน่ว่าวันใดอาจกลายเป็นถึงพระอาจารย์ มีอนาคตก้าวไกลเหลือประมาณ ส่วนคุณหนูสามของท่านลุงรองออกเรือนไปกับจวี่เหริน ปีนี้คุณชายเจ็ดของท่านลุงสามก็ได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ยังมีพี่ชายของสะใภ้หกก็เป็นจิ้นซื่อ…มีแต่เรือนเราที่ไม่มียศศักดิ์อะไรสักอย่าง หรือว่ายามอยู่ต่อหน้าพี่น้อง ท่านอยากโงหัวไม่ขึ้นตลอดชาติ ต่อให้ท่านไม่ใส่ใจ แต่วันข้างหน้าพวกลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร”

ลุงสี่ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้าตกลง

ป้าสะใภ้สี่ขอร้องให้ท่านแม่เป็นแม่สื่อให้

ท่านแม่รู้สึกว่าทั้งสองมิใช่คู่ที่สมน้ำสมเนื้ออะไรกัน จึงบอกปฏิเสธอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แล้วพูดกับนางลับหลังว่า “จั่วจวิ้นเจี๋ยเป็นแค่จวี่เหริน ทว่าทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา แม้แต่พวกเจ้าหนี้หน้าเลือดอย่างหวังเสี่ยวซยาเอาไร่นาสาโทมาฝากเป็นชื่อเขา เขายังกล้ารับ เกรงแต่ว่าจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นอีกน่ะสิ”

ป้าสะใภ้สี่ก็เลยไปเชิญอาสะใภ้หกออกหน้าเป็นคนกลาง

อาสะใภ้หกกล่าวเตือนนาง “ได้ยินว่าสกุลหันที่อยู่ทางเหนือของเมืองอยากจะยกบุตรสาวให้ตบแต่งกับจั่วจวิ้นเจี๋ย…”

สกุลหันค้าขายเครื่องใช้ไม้ไผ่

ป้าสะใภ้สี่ได้ยินแล้วเบะปาก “เรื่องจับคู่พรรค์นี้ จะอย่างไรก็ต้องเทียบคุณสมบัติของสองฝ่ายดูถึงจะรู้ว่าเหมาะสมกันหรือไม่!”

อาสะใภ้หกหมดปัญญา จำต้องไปพูดกับพี่สะใภ้ใหญ่

คราวนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจอีก นางส่งหญิงรับใช้วัยกลางคนข้างตัวไปที่ตรอกกว่างเทา ถือเป็นการทำตามความประสงค์ของป้าสะใภ้สี่

หญิงรับใช้กลับมารายงาน “นายน้อยพูดว่าสกุลหันเสนอเงินห้าพันตำลึงเป็นสินเดิมเจ้าสาวเจ้าค่ะ”

พี่สะใภ้ใหญ่โกรธจนเนื้อเต้น นางส่งคำตอบกลับไปให้ป้าสะใภ้สี่ว่า “เขาหารือการแต่งงานกับสกุลหันไปแล้ว!”

ใครกันที่ขอยอมแต่งบุตรสาวพ่อค้าเป็นภรรยาดีกว่าผูกดองกับสกุลฟู่?

ครั้นป้าสะใภ้สี่เห็นว่าพึ่งพาอาศัยพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ก็แอบส่งคนไปสืบข่าวเอง เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องสินเดิมเจ้าสาว จึงฝากคนนำความไปบอกจั่วจวิ้นเจี๋ยโดยตรงว่า “สินเดิมเจ้าสาวของคุณหนูห้า นอกจากเงินห้าพันตำลึงเงินแล้วยังมีที่นาผืนงามอีกสามร้อยหมู่”

สกุลหันหมายมั่นปั้นมืออยากจะมีลูกเขยเป็นจวี่เหรินสักคนไว้หนุนหลังครอบครัวตน เพื่อว่าวันหน้าจะได้พึ่งบารมีเขาในเรื่องทำการค้าตลอดจนการเกณฑ์แรงงานและเก็บภาษีอากรของทางการ เมื่อคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ให้แม่สื่อบอกกับจั่วจวิ้นเจี๋ยว่า “นอกจากสินเดิมเจ้าสาวห้าพันตำลึงเงิน ยังมีร้านค้าอีกหนึ่งร้าน ปีหนึ่งๆ ได้เงินกำไรถึงห้าร้อยตำลึง”

ป้าสะใภ้สี่เอ่ย “ร้านค้าที่กำไรปีละห้าร้อยตำลึงกับได้เป็นลูกเขยสกุลฟู่ อันใดสำคัญกว่ากัน?”

เรื่องนี้รู้ไปถึงท่านย่า

ท่านย่าตบหน้าป้าสะใภ้สี่ฉาดหนึ่งต่อหน้าคนรับใช้ในห้อง จากนั้นก็ตัดสินใจยกพี่หญิงห้าของนางให้บุตรชายของบัณฑิตจวี่เหรินแซ่เหยาในอำเภอถงหลิน

หลังจากจั่วจวิ้นเจี๋ยรู้เรื่องก็ไม่เหยียบย่างมาที่สกุลฟู่อีก มีครั้งหนึ่งเขาพูดกับคนอื่นด้วยความเมามาย “ยายเฒ่าผู้นั้นทำข้าเสียเรื่องหนแล้วหนเล่า สักวันข้าจะทำให้นางต้องเสียใจภายหลัง”

คำพูดนี้แพร่ไปถึงหูคนสกุลฟู่ได้เช่นไรก็สุดรู้ ทว่าไม่มีใครสักคนกล้าแพร่งพรายต่อหน้าท่านย่าสักคำ เพียงแต่เวลาออกไปข้างนอกล้วนพากันหลบเลี่ยงไม่ผ่านไปทางตรอกกว่างเทา

พี่สะใภ้ใหญ่อยู่ในสกุลฟู่ยิ่งต้องเจียมเนื้อเจียมตนมากขึ้น

จั่วจวิ้นเจี๋ยรู้เข้าก็ลั่นวาจาว่า “ไม่ใช่คุณหนูตระกูลขุนนางไม่แต่ง!” ด้วยเหตุนี้เรื่องแต่งงานกับบุตรสาวสกุลหันก็เป็นอันล้มเลิกไป

กระนั้นหวาอินเป็นอำเภอหนึ่งเท่านั้น แล้วจะมีตระกูลขุนนางสักกี่เรือนกันเล่า ที่พึงใจในตัวเขาก็มีสินเดิมเจ้าสาวไม่มากพอ ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า ส่วนที่เขาถูกใจ พอรู้ว่าเขาบาดหมางกับสกุลฟู่ก็เห็นว่าเขาแล้งน้ำใจไร้คุณธรรม ขณะที่ในเมืองหฺวาโจวกับซีอานมีตระกูลขุนนางมากกว่า แต่ก็มีสายตากว้างไกลยิ่งกว่า สุดท้ายไปๆ มาๆ เรื่องการแต่งงานของจั่วจวิ้นเจี๋ยจึงค้างคามาโดยตลอด

จวบจนสองเดือนก่อน จู่ๆ เขามาพบท่านแม่ของนาง กล่าวอย่างอ่อนน้อมว่ามีเรื่องหารือ

อันว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้* ท่านแม่สั่งให้คนรับใช้ข้างกายออกไป

“นายหญิงห้าขอรับ” เขาประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม สีหน้าท่าทางดูขึงขังจริงจัง “ข้ากับคุณหนูเก้ารักใคร่ชอบพอกัน อยากครองคู่กันไปชั่วชีวิต นายหญิงห้าได้โปรดส่งเสริมพวกเราด้วย”

ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ท่านแม่ตะลึงลานไปทันใด ไม่อาจดึงสติคืนมาได้อยู่นาน ครั้นตั้งสติได้ ท่านแม่เพียงรู้สึกว่าน่าขัน “ลูกเก้าของข้าหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่ของสกุลอวี๋ที่ตรอกเฟิงเล่อเมืองหนานจิงตั้งแต่เด็กแล้ว คุณชายจั่วเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

เมื่อครั้งนางอายุสิบขวบ เคยตามท่านย่าไปเยี่ยมเยียนท่านป้าซึ่งออกเรือนไปที่หนานจิง และได้พบกับซู่ซื่อฮูหยินรองของสกุลอวี๋ตอนไปไหว้พระที่วัดกงเต๋อ

คนของสกุลอวี๋เคยรั้งตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงกันมาแต่รุ่นทวดรุ่นเทียด จนมาถึงรุ่นปู่ซึ่งเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิตยังเคยดูแลการจัดสอบขุนนางระดับมณฑลมาแล้วสองครั้ง บัดนี้เป็นรุ่นของอวี๋กั๋วเฉิน อวี๋กั๋วเหลียง และอวี๋กั๋วไฉ สามพี่น้องก็ได้เป็นบัณฑิตเอกติดๆ กัน และได้รับตำแหน่งเป็นบัณฑิตหลวงของสำนักราชบัณฑิต ต่อมาอวี๋กั๋วเหลียงนายท่านรองของสกุลอวี๋สั่งสมความชอบจนได้เลื่อนขั้นเป็นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายของสำนักตรวจการนครหลวง มีหน้าที่ตรวจสอบและร้องเรียนการทำงานของเหล่าขุนนางข้าราชสำนัก ข้างฝ่ายนายท่านใหญ่อวี๋กั๋วเฉินกับนายท่านสามอวี๋กั๋วไฉต้องการหลีกเลี่ยงข้อครหา คนหนึ่งเดินทางไปรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเมืองจิงโจวในมณฑลหูกว่าง อีกคนหนึ่งไม่อยากไปจากเจียงหนาน เลยลาออกจากราชการกลับไปเป็นคหบดีในบ้านเดิม สกุลอวี๋จึงนับได้ว่าเป็นวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์โด่งดังลำดับต้นๆ ของเจียงหนาน

อาจเป็นได้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์ในทุกด้าน แม้นหลายปีมานี้สกุลอวี๋จะประสบความสำเร็จในเส้นทางการเป็นขุนนาง หากแต่ในเรื่องลูกหลานกลับร่อยหรอลงทุกที ในสามพี่น้อง มีนายท่านรองที่เพิ่งจะได้บุตรชายคนหนึ่งเมื่อล่วงเข้าวัยสามสิบสองปีแล้ว

ซู่ซื่อผู้นี้ก็คือมารดาแท้ๆ ของคุณชายใหญ่สกุลอวี๋นั่นเอง

แม้ว่านางจะมิใช่ลูกสะใภ้คนโต แต่มีคุณงามความชอบจากการมีทายาทสืบสกุลอวี๋ ทั้งสามียังเป็นผู้ที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในบรรดาพี่น้อง ฉะนั้นพูดได้ว่าซู่ซื่อไปที่ใดก็มีคนยกย่องให้เกียรติ ไม่มีผู้ใดหาญเทียบรัศมีนางได้

ครอบครัวสามีของท่านป้ากับสกุลอวี๋มีสัมพันธ์ไมตรีกันอยู่บ้าง ในเมื่อพบกันแล้วจึงรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

ไม่รู้เพราะเหตุผลกลใด ซู่ซื่อชมชอบนางเป็นอันมาก พูดคุยกับนางตลอดเวลา

ท่านย่าเห็นเช่นนั้นก็เล่าเรื่องชวนขันของนางในยามเยาว์วัย ทำให้ซู่ซื่อหัวเราะชอบอกชอบใจ

ไม่กี่วันต่อมา ซู่ซื่อก็ส่งแม่สื่อมาทาบทามนางให้กับบุตรชายอวี๋จิ้งซิว

ท่านย่าดีใจมากถึงขั้นไม่ถามไถ่ความเห็นของท่านแม่ก็ตกปากรับคำการแต่งงานครั้งนี้

การแลกเปลี่ยนเทียบหมั้นและของหมั้นล้วนจัดการจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยในหนานจิง

ท่านแม่ไม่พึงพอใจมาก เขียนสารถึงท่านพ่อเป็นเชิงบ่นว่ากลายๆ “ไม่เคยเห็นค่าตาคุณชายอวี๋ผู้นั้น ก็ไม่รู้เป็นคนอย่างไร”

ท่านพ่อตอบสารกลับอย่างว่องไว ความว่าคุณชายใหญ่สกุลอวี๋ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาดีแต่เยาว์วัย ห้าขวบเริ่มเล่าเรียน พอย่างสิบสองก็อ่าน ’อรรถาธิบายตำราทั้งสี่’* ได้เข้าใจ ขณะนี้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนวิชาความรู้อยู่ในสำนักของปราชญ์ใหญ่ฟั่นคุน มีอนาคตยาวไกลในภายภาคหน้า เป็นคู่ครองชั้นเลิศหาตัวจับยาก ให้ท่านแม่เลี้ยงดูนางดีๆ อย่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของสกุลฟู่ยามเมื่อออกเรือนไป

ท่านแม่คลายใจลงได้ จากนั้นให้นางอยู่ใกล้ชิดข้างกายแทบไม่เคยห่าง คอยสั่งสอนชี้แนะและอบรมบ่มนิสัย

ไฉนจู่ๆ บุตรสาวถึงมีสัมพันธ์ลับกับจั่วจวิ้นเจี๋ยได้เล่า

ท่านแม่ไม่เชื่อ

จั่วจวิ้นเจี๋ยดูเหมือนจะอ่านความคิดของท่านแม่ได้

“เป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ หากนายหญิงห้าเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะทราบเองขอรับ” เขาล้วงเสื้อเอี๊ยมตัวหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นของแทนใจที่ญาติผู้น้องมอบให้ข้า!”

ท่านแม่เป็นถึงประมุขหญิงของเรือนมานานหลายปี สะสางปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามามากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ยังหน้าถอดสีไปในชั่วอึดใจเมื่อดูเสื้อเอี๊ยมตัวนั้นซ้ำอีกครา มันทำจากผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินสดกลางเก่ากลางใหม่ ปักลายดอกจำปาแดงแย้มบาน และใช้ไหมสีชมพูเดินเส้นขอบกลีบดอก สีสันลวดลายล้วนเป็นแบบที่นางโปรดปราน อีกทั้งเป็นวิธีปักที่นางใช้เป็นประจำ

“ท่าน…” ท่านแม่สุดปัญญาจะรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก ลุกขึ้นยืนอย่างแตกตื่นลนลาน

หรือว่าบุตรสาวนางทำเรื่องเลอะเลือนถึงขั้นนี้จริงๆ…

ท่านแม่รีบยื่นมือจะไปหยิบ หมายพิศดูให้ละเอียดเพื่อแยกแยะว่าเป็นของจริงหรือของปลอม กลับชำเลืองเห็นทางหางตาว่าใบหน้าจั่วจวิ้นเจี๋ยมีรอยยิ้มกระหยิ่มใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง มันทั้งสะดุดตาและบาดตาปานนั้น คล้ายตบหน้านางฉาดหนึ่งเลยทีเดียว

ท่านแม่อับอายระคนโกรธเคืองเหลือหลาย แต่ไม่กล้าแสดงอาการกราดเกรี้ยวออกมา…

ใครๆ ล้วนชอบสอดรู้เรื่องผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องพรรค์อย่างนี้ กระทั่งเรื่องที่ไม่มีมูลยังถูกลือเป็นคุ้งเป็นแคว ไหนเลยจะหยุดยั้งจั่วจวิ้นเจี๋ยที่มากวนน้ำให้ขุ่นอย่างนี้ได้ ถึงเวลานั้นขอแค่มีข่าวระแคะระคายออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าชื่อเสียงนานนับร้อยปีของสกุลฟู่ต้องย่อยยับลงในวันเดียว แม้แต่นางกับท่านแม่ก็พลอยฉาวโฉ่ไปด้วย อย่างเบาถูกคนหัวเราะเยาะ ต้องก้มหน้าเจียมตัวไปตลอดชีวิต อย่างหนักก็ถูกขับไล่ออกจากสกุลฟู่ ไม่มีที่ยืนอีกต่อไป…

กระนั้นหากปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยบังคับข่มขู่ตามอำเภอใจ มีแต่จะส่งเสริมให้เขากำเริบเสิบสานมากขึ้น แล้วเรื่องราวก็จะยิ่งบานปลายจนสะสางไม่ได้

ท่านแม่ดึงมือที่ชะงักค้างไว้กลับมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำราบเขาไว้บ้าง

หาไม่แล้วเขาจะนึกว่าเรือนนายท่านห้ายอมให้รังแกได้ง่ายๆ

ท่านแม่นั่งลงอย่างช้าๆ “ถ้าพวกอนุกับเมียบ่าวโวยวายว่าตนเองทำแก้วแหวนเงินทองหล่นหาย ข้าก็สอบสวนสาวใช้กับบ่าวไพร่ในเรือนทันที ข้าว่าตำแหน่งนายหญิงนี่ ข้าก็อย่าเป็นมันเสียเลย” จากนั้นออกปากไล่เขาอย่างไม่ไว้หน้า “ข้ามีเรื่องคุยกับพี่สาวคุณชายจั่วพอดี คงไม่รั้งตัวท่านแล้ว!”

ท่านแม่ยังกล่าวเตือนเขา “แม้จะพูดว่าคุณชายจั่วมิใช่คนเดิมในอดีตอีกแล้ว แต่เรื่องที่จวี่เหรินจะฟ้องร้องจิ้นซื่อนี้ ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นคราแรกในชีวิต ถึงตอนนั้นคุณชายจั่วจะต้องมีชื่อกระฉ่อนไปไกลจนเป็นที่โจษจันในหมู่ขุนนางทั้งนอกและในเมืองหลวงเป็นแน่ จะว่าไปแล้วพวกเขาเหล่านั้น ถ้ามิใช่เพื่อนบัณฑิตก็เป็นขุนนางร่วมราชสำนักกับสามีข้า แต่ไรมาสามีข้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน หากรู้ว่าตนเองต้องเป็นหนี้บุญคุณสหายเก่าแก่เพราะเหตุนี้ เกรงแต่ว่าคงบันดาลโทสะเป็นการใหญ่ ข้าใคร่ครวญอยู่ว่าจะเขียนสารไปอธิบายกับสามีข้าล่วงหน้าก่อนสักหน่อยหรือไม่ หากเกิดเรื่องใดขึ้นจะได้ไม่ถูกสามีตำหนิว่าข้าเป็นภรรยาที่ปกครองเรือนไม่เข้มงวดกวดขัน ทำอะไรเหลวไหล!”

เส้นเลือดตรงหน้าผากจั่วจวิ้นเจี๋ยกระตุกริกๆ เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ถึงกับถากถางว่าเขาเป็นเหมือนพวกอนุกับเมียบ่าว หนำซ้ำยกพี่สาวเขาขึ้นมาข่ม แล้วยังพูดเป็นนัยอีกว่านายท่านห้าเป็นมิตรสหายกับขุนนางทั้งนอกและในราชสำนัก และจะทำลายชื่อเสียงของเขา…

สายตาของเขาทอประกายดุดัน

ท่านแม่เห็นแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน ทว่าหมดทางถอยหลัง ได้แต่ตะโกนเรียกหญิงรับใช้ด้วยสุ้มเสียงสั่นเทาเล็กน้อย “คุณชายจั่วจะกลับแล้ว พวกเจ้าช่วยไปส่งแทนข้าที!”

ประตูบานเฟี้ยมถูกดันเปิดออกทันใด หญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเดินเรียงแถวกันเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักๆ

จั่วจวิ้นเจี๋ยจับจ้องท่านแม่นิ่งๆ

เขาคิดไม่ถึงว่านายหญิงห้าที่ปกติไม่ช่างพูดช่างจา ใครว่าอะไรล้วนมีแต่คล้อยตามจะเป็นคนใจคอหนักแน่นเช่นนี้ กลับเป็นเขาที่ปรามาสนางเอง ดูท่าทางเขาต้องใช้ไม้แข็งบ้าง!

“ในเมื่อนายหญิงห้าเห็นว่าสมควรรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านห้าทราบสักคำ เช่นนั้นข้าก็จะรอข่าวของนายท่านห้าก็แล้วกันขอรับ” เขาเอ่ยอย่างขึ้งเคียด “หลังจากคุณหนูเก้าแต่งเข้าสกุลจั่วข้า นายหญิงห้าอย่าเสียใจในภายหลังก็พอ ของที่คุณหนูเก้าปักด้วยตนเองยังมีอยู่ในมือข้าอีกมาก ก็ทิ้งให้นายหญิงห้าไว้ดูต่างหน้าเถอะ!” กล่าวจบเขาก็วางเสื้อเอี๊ยมทิ้งไว้ เดินออกไปอย่างยโสโอหัง

ยังมีอีกมาก…

ท่านแม่ได้ยินวาจานี้แล้วเหมือนโดนฟ้าผ่า ท่าทางแข็งกร้าวยามอยู่ต่อหน้าจั่วจวิ้นเจี๋ยอันตรธานไปในเวลาอันสั้น นางพูดสั่งหญิงรับใช้ที่เข้ามาด้วยความร้อนรน “รีบไปเรียกคุณหนูเก้ากับภรรยาของปี้ปอมาหาข้าเร็วเข้า!”

ภรรยาของปี้ปอมีชื่อว่าหรูซือ เป็นสาวใช้ที่ติดตามท่านแม่ออกเรือนมา ภายหลังแต่งงานกับปี้ปอเด็กรับใช้ของท่านพ่อ เป็นคนที่ท่านแม่เชื่อใจมากที่สุด

นางกับหรูซือตามหลังกันมาถึงห้องของท่านแม่

“ปิดประตู!” ท่านแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ* ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สั่งคนรับใช้ด้านข้างเสียงกระด้าง จากนั้นเหวี่ยงมือโยนของที่ถูกขยุ้มเป็นก้อนกลมๆ มาทางพวกนาง

“เรื่องงามหน้าที่พวกเจ้าก่อไว้!” ของชิ้นนั้นลอยละลิ่วร่วงหล่นลงพื้น เป็นเสื้อเอี๊ยมสีน้ำเงินสดไม่เก่าไม่ใหม่ตัวหนึ่ง

พวกนางมองหน้ากันไปมา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่เสื้อเอี๊ยมตัวนั้นพร้อมกัน และเฉลียวใจขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“นะ…นี่มิใช่เสื้อเอี๊ยมของข้าหรือ…ไฉนถึงอยู่ที่นี่” นางสะดุ้งเฮือกใหญ่ นึกสังหรณ์ใจไม่ดีฉับพลัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”

ขณะที่ภรรยาของปี้ปอแลมองท่านแม่ด้วยสีหน้ากังขาเต็มเปี่ยม

ท่านแม่แค่นเสียงฮึแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดรอบหนึ่ง

หญิงสาวตกตะลึง คับแค้นใจระคนโกรธเคืองหวาดหวั่น “ท่านแม่ ข้าไม่เคยแม้แต่จะพูดจากับจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้น แล้วจะมีสัมพันธ์ลับกันได้อย่างไร” นางคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา “แม้สกุลฟู่จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง แต่ก็มิใช่ชาวบ้านต่ำต้อยยากจนอะไร ข้าเติบโตมาจนป่านนี้เคยขาดคนติดสอยห้อยตามเมื่อไรกัน อะไรที่เคยทำ อะไรที่ไม่เคยทำ ถึงปิดบังท่านแม่ได้ก็คงปิดบังคนข้างกายไม่ได้ หากท่านแม่ไม่เชื่อ สามารถไปถามแม่นม ถามอีถง อวี่เวย…” นางยังสาปแช่งสาบาน “หากข้ากระทำเรื่องไม่รู้จักยางอาย สร้างความอัปยศอดสูให้ครอบครัวเยี่ยงนี้ ก็ให้ข้าโดนฟ้าผ่าตาย…” ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ กลับถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยใส่ร้ายป้ายสี ซ้ำยังต้องมาพูดอธิบายต่อหน้าท่านแม่กับภรรยาของปี้ปอ ทำให้นางสะเทือนใจยากทานทนไหว

น้ำตานางไหลพรากด้วยความเสียใจ

“ลุกขึ้นมาพูดกันดีๆ” ท่านแม่มองนางตาขุ่นเขียว “ข้าถามเจ้าว่านี่เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

ฟู่ถิงจวินอึกอัก จะอย่างไรก็เอ่ยคำว่า ‘ใช่’ ออกจากปากไม่ได้

“ของของเจ้าไปอยู่ในมือจั่วจวิ้นเจี๋ยได้อย่างไร” ท่านแม่คาดคั้นไม่ลดละ สุ้มเสียงที่จงใจกดต่ำลงด้วยกลัวคนได้ยินเจือโทสะ “เจ้าไม่ลองตรึกตรองดีๆ ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ กลับรู้จักแต่ร้องห่มร้องไห้ ตะโกนโวยวาย วันหน้าออกเรือนไปที่สกุลอวี๋เจ้าจะปกครองเรือนอย่างไร จะเป็นประมุขหญิงของเรือนอย่างไร ข้าสอนเจ้ามาหลายปีอย่างนี้ถือว่าสูญเปล่า”

“ท่านแม่!” นางมองมารดาอย่างตะลึงงัน ดวงตาแดงก่ำ มีคราบน้ำตาเกาะอยู่บนหน้า

ท่านแม่เห็นแล้วใจอ่อนยวบลง

นางอายุยังน้อยไหนเลยจะเคยประสบผ่านเรื่องพวกนี้ พอพบปัญหาก็ช่วยมิได้ที่จะทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ท่านแม่คงรู้สึกว่าตนเองเข้มงวดบีบคั้นนางมากเกินไปแล้ว

“ต่อให้ข้าไม่เชื่อถือธรรมเนียมของสกุลฟู่ แต่มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจบุตรสาวที่สั่งสอนมาเองกับมือ!” นางเสียงอ่อนลงไม่น้อย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำเรื่องพรรค์นี้!”

นางกอดมารดาไว้แน่น

ในเวลาอย่างนี้จะมีอะไรที่ทำให้ซาบซึ้งและอบอุ่นใจได้มากกว่าความเชื่อใจของคนใกล้ชิดเล่า

แต่เพราะอะไรความโศกเศร้าขมขื่นในใจไม่อาจเลือนหายไปได้อยู่จนแล้วจนรอด…

ภรรยาของปี้ปอร้อนใจจนนั่งไม่ติดแต่แรก ตอนนี้ถึงกล้าเอ่ยปากพูด “นี่จะทำประการใดกันดีเจ้าคะ อีกไม่นานสกุลอวี๋ก็จะส่งคนมาหารือฤกษ์แต่งงาน หากให้พวกเขารู้เรื่องเข้า ไม่ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่ก็ตามที เกรงว่าก็ต้องบังเกิดข้อเคลือบแคลงใจ ถึงแม้จะไม่ถอนหมั้น แต่หวั่นใจว่าคุณหนูเก้าออกเรือนไปที่นั่นก็คงอยู่อย่างไม่มีความสุข ถึงตอนนั้นคุณหนูเก้าจะทำเช่นไรเจ้าคะ”

“ข้าตามพวกเจ้ามาก็เพราะเรื่องนี้” ท่านแม่ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้นางเช็ดหน้าพลางเอ่ยอย่างหนักอกหนักใจ “แม้จั่วจวิ้นเจี๋ยจะมีจิตใจชั่วช้าเลวทราม แต่เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง หาไม่แล้วตอนนั้นเขาคงไม่กลับมาที่สกุลฟู่อีกครั้งอย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ในเมื่อเขากล้าพูดจากับข้าแบบนี้เห็นทีว่าคงเตรียมการพร้อมพรักไว้ล่วงหน้า วันนี้เขาถูกข้าเหน็บแนมแดกดันจนหัวเสียกลับไป ดีไม่ดีวันพรุ่งนี้จะก่อปัญหาอะไรให้อีกก็เป็นได้ ส่วนคนที่รู้ความเคยชินของถิงจวินจะต้องเป็นคนข้างกายแน่ ถึงพวกนางไม่ได้ทำเรื่องนี้ ก็ต้องมีส่วนพัวพันอย่างหนีไม่พ้น” ท่านแม่ชิงชังพวกบ่าวไพร่ที่เล่นไม่ซื่อลับหลังเป็นที่สุด น้ำเสียงจึงดุดันมาก “เรื่องเร่งร้อนในตอนนี้คือหาตัวคนเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาผู้นี้ออกมา และตรวจสอบให้แจ่มแจ้งว่าในห้องของถิงจวินยังมีอะไรหายไปอีกบ้าง มิเช่นนั้นพวกเราอยู่ในที่แจ้ง จั่วจวิ้นเจี๋ยอยู่ในที่ลับ ยากจะป้องกันได้รอบด้าน มีแต่ตกเป็นฝ่ายถูกโจมตี”

“นายหญิงห้า มอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเองเจ้าค่ะ!” ภรรยาของปี้ปอเป็นเดือดเป็นแค้นแทน เอ่ยขึ้นทันควัน “ข้าช่วยท่านสะสางงานการต่างๆ มาหลายปี รู้ตื้นลึกหนาบางของสาวใช้กับบ่าวไพร่ในเรือนของคุณหนูเก้าทุกคน จะตรวจสอบอะไรก็สะดวก…”

“ไม่ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ดวงตาท่านแม่ทอประกายกร้าววูบหนึ่ง นางพูดกำชับภรรยาของปี้ปอ “เจ้าไปจัดของแล้วให้ทางเรือนหน้าเตรียมรถม้าไว้ พรุ่งนี้พวกเราจะไปไหว้พระที่อารามปี้อวิ๋นกัน”

เวลานี้ยังจะไปไหว้พระ…

ภรรยาของปี้ปอมองท่านแม่อย่างหลากใจ

ท่านแม่พยักหน้า “จั่วจวิ้นเจี๋ยกับท่านลุงใหญ่เป็นญาติกันจากการผูกดอง ตอนนั้นที่ให้เขาเข้ามาพำนักอาศัยก็เป็นความประสงค์ของท่านลุงใหญ่ ตอนนี้เขาก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าคงได้แต่ขอให้ท่านลุงใหญ่ออกหน้าปรามเขาไว้บ้าง” ท่านแม่เป็นกังวลอยู่บ้าง “จั่วจวิ้นเจี๋ยในตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่ยังปรามอยู่หรือไม่ ถ้าปรามไว้ได้ก็ดีไป แต่ถ้าปรามไม่อยู่ กลัวว่ายังต้องโกลาหลวุ่นวายกันอีก…มิสู้ให้ถิงจวินหลบไปที่อื่นดีกว่า”

ท่านแม่เอ่ยเสียงเบา “ลวี่เอ้อกับหานเยียนที่อยู่ในเรือนข้าทั้งซื่อสัตย์ภักดีและว่านอนสอนง่าย สองคนนี้ไว้ใจได้ ถึงเวลานั้นเจ้าพาพวกนางไปด้วย เพียงบอกว่าถิงจวินนั่งรถม้าตรากตรำจนจับไข้สูง จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบที่อาราม จากนั้นข้าจะพาคนอื่นๆ กลับมา ส่วนเจ้ากับลวี่เอ้อ หานเยียนก็อยู่ที่นั่นดูแลถิงจวิน รอให้เรื่องผ่านไป ข้าค่อยส่งคนไปรับพวกเจ้า”

เป็นความคิดที่ดี ถ้าเกิดจั่วจวิ้นเจี๋ยโวยวายขึ้นมาจริงๆ คุณหนูเก้าจะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ

“เจ้าค่ะ” ภรรยาของปี้ปอยอบกายขานตอบ แล้วถอยออกไป

ฟู่ถิงจวินยืนก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่ตลอด

ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมผ่านไม่ได้* ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงถูกลือออกไป

ในจวนมีพี่น้องตั้งหลายคน เหตุไฉนจั่วจวิ้นเจี๋ยถึงเจาะจงเลือกนาง

รอเมื่อภรรยาของปี้ปอออกไปแล้ว นางอดถามมารดามิได้ พร้อมกับน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสายอีกครา “ข้าไม่เคยล่วงเกินเขามาก่อน กับพี่สะใภ้ใหญ่ข้าก็เคารพนอบน้อม ทำไมเขาต้องให้ร้ายข้าด้วย”

ช่างเป็นคราวเคราะห์ของนางจริงๆ

ท่านแม่ก็ทำตาแดงๆ ขณะปลอบใจนาง “เขาเป็นสุนัขบ้าที่กัดคนไม่เลือกหน้า!”

นางมองหน้ามารดาตรงๆ “ท่านลุงใหญ่มีบุญคุณใหญ่หลวงกับจั่วจวิ้นเจี๋ย เขา…เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านลุงใหญ่เป็นแน่ใช่ไหมเจ้าคะ”

ถ้าจั่วจวิ้นเจี๋ยยังเห็นแก่ไมตรีแต่หนหลัง มีหรือจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้!

เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของบุตรสาว ไม่ว่าอย่างไรก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมามิได้ นายหญิงห้าฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉะนั้นข้าต้องขอร้องท่านลุงใหญ่ของเจ้า ให้ท่านลุงใหญ่ดุสั่งสอนเขาให้หนักๆ เขาก็จะสงบเสงี่ยมไปเอง”

อย่างนั้นหรือ?

เช่นนั้นเพราะอะไรสายตาของท่านแม่ที่มองนางถึงหลุกหลิกไปมา

“ท่านแม่ เขียนสารถึงท่านพ่อเถอะเจ้าค่ะ!” นางคว้าแขนเสื้อของมารดาไว้หมับพลางพูดอ้อนวอน “ท่านพ่อเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องทรงร่ำเรียนคัมภีร์ปราชญ์กับท่านพ่อ ท่านพ่อจะต้องมีวิธีแน่…จะต้องมีวิธีแน่…”

“ได้ ข้าจะเขียนสารถึงท่านพ่อเจ้า!” ท่านแม่กอดนางไว้ น้ำตาหยดลงมาเปียกซึมไหล่เสื้อของนาง “เจ้าพักอยู่ในอารามปี้อวิ๋นให้สบาย ไม่ต้องออกไปที่ใดทั้งสิ้น ถ้ามีคนไปพูดอะไรที่นั่น เจ้าแสร้งไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว แล้วข้าจะไปรับเจ้าโดยเร็ว!”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย รู้สึกปวดหนึบๆ ตรงกลางใจ

บทที่สอง

 ราตรีนั้น นางเฝ้ารอจวบจนพลบค่ำ ท่านแม่ถึงกลับมาจากเรือนลุงใหญ่

นางรีบเข้าไปช่วยมารดาผลัดอาภรณ์ “ท่านลุงใหญ่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สีหน้านางฉายรอยวาดหวังหลายส่วน

“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” ท่านแม่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วสวมเสื้อแพร “ท่านลุงใหญ่ของเจ้าส่งคนไปเรียกจั่วจวิ้นเจี๋ยแล้ว ส่วนพวกข้าทาสบริวารในจวน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะช่วยกวดขันไม่ให้พวกนางพูดจาส่งเดช เจ้าวางใจได้ ไปอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นสักพักทำใจให้สบายเถอะ”

เสียงเล่าลือนินทาประหนึ่งสายลม จะหยุดยั้งไว้ได้อย่างไร

แต่ผู้อาวุโสในจวนยอมออกหน้าแล้ว เรื่องนี้น่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็วกระมัง!

หญิงสาวกลับไปที่ห้อง

อีถงกับอวี่เวยสาวใช้รุ่นใหญ่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ในโถงกลาง มีพวกสาวใช้รุ่นเล็กอย่างเจ๋อหลิ่วกับเจี่ยนเฉาห้อมล้อมอยู่รอบตัว บ้างช่วยแยกเส้นไหม บ้างช่วยม้วนเส้นไหม ส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นนางเข้ามา ทุกคนล้วนเข้ามายอบกายคารวะด้วยรอยยิ้มละไม

นางไล่สายตามองใบหน้าคุ้นตาตรงหน้าพลางหวนคิดถึงเสื้อเอี๊ยมที่มารดาโยนมาให้ตัวนั้นแล้วเย็นวาบไปทั้งใจ

ท่านแม่เคยสอนนางว่าสามียังเอาใจออกห่างนางได้เพื่อตระกูลตนเองและอนุภรรยา มีแต่คนข้างกายเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพิงนางเพื่อความอยู่รอด เป็นตายร่วมกัน และรุ่งเรืองตกต่ำพร้อมกัน ขอเพียงเลือกใช้คนได้ดี พวกนางจะจงรักภักดีและรู้ใจมากที่สุดอย่างไม่มีใครเกิน

นางเชื่อว่าตนเองดีต่อพวกสาวใช้ไม่น้อย จึงนึกหาเหตุผลที่พวกนางหักหลังตนเองไม่ออกจริงๆ

ตกดึก หญิงสาวพลิกตัวกระสับกระส่าย ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

สาวใช้ผลัดดึกคืออีถง นางเอาเสื้อคลุมตัวถือตะเกียงเข้ามา “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

ใต้แสงตะเกียง แววตาของอีถงเปี่ยมล้นไปด้วยความห่วงใย

นางยังจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อน ตนเองเคยถามอีถงว่าเต็มใจติดตามนางไปหนานจิงหรือไม่

อีถงก้มหน้าอย่างขัดเขิน ’ข้าอยากอยู่ในหวาอินเจ้าค่ะ!’

ตอนนั้นนางเอ่ยถามสาวใช้ด้วยรอยยิ้ม ’คนผู้นั้นเป็นใครหรือ ก่อนข้าไปจะต้องเป็นธุระจัดการให้แน่นอน เจ้าจะได้ไม่ดีใจเก้อ’

อีถงยิ้มอายๆ ’คุณหนูไม่รู้จักหรอกเจ้าค่ะ เขาเป็นคนนอกจวน พ่อแม่ข้าตอบตกลงแล้ว เพียงรอเรียนให้นายหญิงห้าทราบเท่านั้น!’

หรือว่าจะเป็นอีถง? หักหลังนางเพราะบุรุษคนหนึ่ง

นางปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีทางเป็นอีถงไปได้

อีถงทำงานรับใช้อยู่ในเรือนนางตั้งแต่เจ็ดขวบ ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน เป็นกึ่งสหายกึ่งนายบ่าว อีถงถึงเป็นคนที่นางไว้วางใจมากที่สุด กระทั่งกุญแจห้องเก็บของของนางยังมอบให้อีกฝ่ายเก็บรักษา ถ้านางไม่เชื่อใจอีถงแล้วยังจะเชื่อใจใครได้อีก

หรือว่าจะเป็นอวี่เวย? หักหลังนางเพราะเรื่องเงินทอง

ครอบครัวอวี่เวยมีบิดาเป็นผีพนันขี้เหล้า แม้แต่มารดาของนางยังถูกขายแลกเป็นเงินซื้อสุรา หลังจากอวี่เวยได้เลื่อนขึ้นเป็นสาวใช้ชั้นสองได้ค่าจ้างทุกเดือนเขาก็มาขอเงินบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งอวี่เวยไม่ให้ยังเคยข่มขู่ว่าจะเอาน้องชายแท้ๆ ของอวี่เวยไปขาย

นางปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีทางเป็นอวี่เวยไปได้

อวี่เวยจะไปหนานจิงพร้อมกับนาง

หากโชคดีอวี่เวยอาจได้เป็นเมียบ่าว และถึงขั้นยกฐานะขึ้นเป็นอนุภรรยา หรืออย่างแย่ที่สุดก็ได้เป็นหัวหน้าคนรับใช้

ต้องเป็นเงินมากเท่าไรถึงทำให้อวี่เวยล้มเลิกความตั้งใจเดิมที่จะไปหนานจิง?

หรือว่าจะเป็นเจ๋อหลิว? เจี่ยนเฉ่า?

พอความคิดนี้ผุดขึ้น นางก็สะบัดหัวแรงๆ

นี่นางเป็นอะไรไปแล้ว ระแวงสงสัยใครต่อใครไปทั่ว

ดังคำกล่าวว่าเห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก* เกรงแต่ว่ายังหาตัวหนอนบ่อนไส้ไม่พบ นางจะคิดมากจนสติฟั่นเฟือนไปเอง

ท่าทางผิดแผกไปของนางทำให้อีถงเป็นห่วงขึ้นมา “คุณหนู ให้ข้าเอา ‘ศาสตร์แห่งงานสวน’ มาให้ท่านอ่านสองสามหน้าดีไหมเจ้าคะ”

‘ศาสตร์แห่งงานสวน’ คือตำราว่าด้วยการจัดสวนเล่มหนึ่ง

นางจะออกเรือนไปที่เจียงหนาน จึงตั้งใจค้นหาตำราเล่มนี้มาจากห้องหนังสือของบิดาโดยเฉพาะ ด้วยกลัวว่าจะไม่เข้าใจการตกแต่งสวนของเจียงหนานจนกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน

ทว่าใต้แสงตะเกียงสลัวๆ ในวันนี้ เรื่องที่ตนเองยังใฝ่ฝันถึงเมื่อวานกลับแปรเปลี่ยนเป็นความขมขื่นไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องหรอก!” นางพลิกกายหันหลังให้อีถง “รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปอารามปี้อวิ๋นแต่เช้าตรู่”

แต่ไรมาอีถงไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นนาย นางขานรับเสียงนุ่มและคลี่ม่านลงอย่างเบาไม้เบามือ

 

ยามฟู่ถิงจวินลืมตาขึ้นอีกครา เห็นฟ้าสางรำไรก็ลุกขึ้นผลัดอาภรณ์ จากนั้นติดตามมารดาไปอารามปี้อวิ๋น

อารามปี้อวิ๋นอยู่ห่างจากตัวเมืองสิบห้าลี้ สร้างอยู่ตรงเชิงเขาชีสยากลางดงไม้เก่าแก่ร่มครึ้ม ห้อมล้อมด้วยทิวเขาเรียงรายลดหลั่นกัน ทัศนียภาพงดงามจับตา เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนหลบร้อน กั่วฮุ่ยซือฟู่* ผู้เป็นเจ้าอารามย่างเข้าวัยห้าสิบกว่า ใบหน้าเมตตาใจดี อ่อนโยนเป็นกันเอง ครั้นได้ยินว่านางเป็นไข้แดดก็ยกน้ำดอกไม้หกชนิดที่ปรุงขึ้นเองมาให้ แล้วพอรู้ว่านางจะอยู่พำนักชั่วคราวก็ส่งแม่ชีน้อยสองคนมาช่วยปัดกวาดเช็ดถู อีกทั้งยังแวะมาดูเป็นระยะและสนทนาธรรมกับนาง ด้านลวี่เอ้อกับหานเยียนสาวใช้สองนางนั้นเล่า เมื่อได้รับเลือกจากบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหมดให้รั้งอยู่ในอารามปี้อวิ๋นก็ภาคภูมิใจเหลือหลาย พากันปรนนิบัติรับใช้นางอย่างระมัดระวัง ด้วยหวั่นเกรงว่าจะขาดตกบกพร่องอะไรไปแม้สักนิด

วันเวลาเช่นนี้สมควรผ่านไปอย่างผ่อนคลายเป็นอิสระและรื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง

ทว่านางมักคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ไม่วาย ส่งผลให้ลุกนั่งไม่เป็นสุข ยามดึกข่มตานอนไม่ได้ มีบางครั้งที่งีบหลับไป ก็ล้วนเข้าสู่ภวังค์ฝันร้ายที่ตัวเองยืนเดียวดายอยู่กลางวงล้อมของผู้คนทั้งชายหญิงทั้งเด็กและคนชรา ถูกประณามด่าทอ ตำหนิติเตียนจนถึงขั้นถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน

หญิงสาวทนผ่านวันเวลาเช่นนี้ไปได้แค่ห้าหกวันก็ซูบผอมลงไปผิดตา

ภรรยาของปี้ปอเห็นเข้าก็ร้อนใจ เพียรหาถ้อยคำมาพูดให้นางได้คิด

แรกเริ่มนางยังรับฟังด้วยความอดทนอดกลั้น ตอนหลังก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นบ้าง “ถ้าป้าหรูซือมีเวลาว่างอย่างนี้ มิสู้กลับไปสืบถามข่าวคราวทางจวนให้ข้าดีกว่า”

คิดไม่ถึงว่าภรรยาของปี้ปอนิ่งคิดแล้วถึงกับเห็นดีเห็นงามด้วย “เช่นนั้นข้าแอบกลับไปดูเงียบๆ นะเจ้าคะ!”

นางกลับกลายเป็นฝ่ายแตกตื่นเสียเอง “ถ้าเกิดถูกคนจับได้…”

“คุณหนูเก้าวางใจได้เจ้าค่ะ” ภรรยาของปี้ปอกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะไม่เข้าไปในจวน แค่เปลี่ยนใส่ชุดชาวบ้านเดินๆ อยู่ในเมือง ดูว่ามีเสียงซุบซิบนินทาอะไรบ้างหรือไม่แล้วก็จะกลับมา”

นางกล่าวชมภรรยาของปี้ปอที่ทำอะไรรอบคอบ

ด้วยเหตุนี้ภรรยาของปี้ปอจึงแจ้งให้กั่วฮุ่ยซือฟู่ทราบ อ้างว่าจะกลับจวนไปรายงานอาการป่วยของนางต่อท่านแม่ จากนั้นออกจากอารามเข้าเมืองไปตั้งแต่ย่ำรุ่ง

พอถึงยามเย็น นางกลับมาพร้อมรอยยิ้มระบายเต็มหน้า “คุณหนูเก้า ในเมืองสงบเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”

นางยังกระซิบพูดขึ้นอีกอย่างสะกดความยินดีปรีดาในใจไว้ไม่อยู่ “ข้ายังได้พบกับภรรยาของซิวจู๋โดยไม่ตั้งใจด้วยเจ้าค่ะ ข้าฝากนางส่งข่าวไปถึงนายหญิงห้า นายหญิงห้าพูดว่าอีกไม่กี่วันก็จะส่งคนมาเยี่ยมท่าน ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียดอีกที”

ภรรยาของซิวจู๋เป็นหัวหน้าคนรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่มากอีกคนหนึ่ง

นางยินดีจนออกนอกหน้า ในที่สุดก็นอนหลับอย่างเป็นสุขสักที

ไม่ถึงสองวัน ภรรยาของซิวจู๋ก็มาถึง

“ยาสมุนไพรพวกนี้ บางชนิดดับพิษร้อน บางชนิดช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ส่วนวิธีใช้เขียนไว้บนนั้นหมดแล้วนะเจ้าคะ” นางแย้มยิ้มพลางยื่นห่อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินส่งให้ลวี่เอ้อกับหานเยียนเอาออกไปเก็บ จากนั้นเล่าสั้นๆ แต่ได้ใจความ “สะใภ้ใหญ่ล้มป่วยเจ้าค่ะ คุณชายจั่วกังวลใจมาก พักอยู่ในจวนคอยถามไถ่เอาใจใส่เสมอๆ ส่วนเจ๋อหลิวสาวใช้ในเรือนท่านจู่ๆ ก็มีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ไปหาหมอมาหลายคนแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น พลอยทำให้อีถง อวี่เวย เจี่ยนเฉาเริ่มไม่สบายตามไปด้วย ดูทีว่าน่าจะเป็นโรคร้าย ฮูหยินผู้เฒ่าเลยให้ย้ายพวกนางไปอยู่ที่คฤหาสน์โรงนา แล้วยังเชิญนักพรตของอารามจิ่วเซียนกับพระจากวัดพัวอวิ๋นมาทำพิธี นอกจากนี้ในเรือนพำนักของคุณหนูก็โรยผงดินประสิวไว้ตามคำบอกของท่านหมอชื่อดังหม่าป๋อจวีอีกด้วย ตอนข้าเดินทางมา ฮูหยินผู้เฒ่ายังฝากคำพูดถึงท่านว่าให้พำนักอยู่ที่นี่สักพักอย่างสบายใจ รอให้กลิ่นดินประสิวจางหายแล้วค่อยกลับไปเจ้าค่ะ”

หญิงสาวตกใจระคนยินดี

ตกใจที่มารดาออกโรงด้วยตนเองแล้วยังสืบหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ สาวใช้มือดีหลายคนในเรือนของนางยังถูกดึงเข้ามาพัวพัน กระนั้นก็ยินดีที่ลุงใหญ่ปรามจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นไว้ได้ในที่สุด อีกทั้งท่านย่าออกหน้าเช่นกัน ซ้ำยังมีท่าทีปกป้องนางอีกด้วย…

“แล้วสืบได้กระจ่างชัดหรือยังว่าเป็นใครกันแน่” นางถามอย่างร้อนรน

“นายหญิงมิได้บอกอย่างละเอียด ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”

ขณะที่ภรรยาของซิวจู๋กำลังพูดอยู่ หานเยียนก็เดินเข้ามา

“ข้าวของจัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว ทางอารามก็ส่งอาหารมังสวิรัติมาให้แล้วเจ้าค่ะ”

สาวใช้ทั้งสองยังไม่รู้ว่านางมาที่อารามปี้อวิ๋นเพราะอะไร

ภรรยาของซิวจู๋หยุดสนทนาลงทันควัน

นางให้ภรรยาของปี้ปอออกไปกินข้าวเป็นเพื่อนภรรยาของซิวจู๋ ส่วนตนเองนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง แลมองต้นไผ่เงินด้านนอกอย่างเหม่อลอย

เมื่อภรรยาของปี้ปอส่งภรรยาของซิวจู๋กลับไปแล้วก็พูดปลอบนางเสียงเบาๆ “คุณหนู ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือเข้ามา พวกเราก็จะได้กลับไปในเร็ววันนี้แล้วเจ้าค่ะ!”

“ท่านไม่ต้องหลอกให้ข้าสบายใจหรอก” นางเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง “ข้าอยู่ข้างกายท่านแม่ หัดปกครองเรือนมาสามสี่ปี มีบางเรื่องที่ข้าพอจะกระจ่างแจ้งบางส่วน การที่ย้ายพวกสาวใช้ไปคฤหาสน์โรงนา หากมิใช่สืบไม่พบอะไรเลยได้แต่ใช้วิธีลงทัณฑ์ ก็คือช่วยกันปกปิดจนสืบสาวต่อไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใดข้าก็ทุกข์ใจมาก…” นางมีน้ำตาซึมตรงหางตา

ภรรยาของปี้ปอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

นานพักใหญ่ถึงกล่าวพึมพำขึ้น “รอภรรยาของซิวจู๋มาคราวหน้าก็ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”

ทว่าสิ่งที่พวกนางคาดไม่ถึงคือภรรยาของซิวจู๋ไม่ได้มาอีกเลย

มิใช่เพียงแค่ภรรยาของซิวจู๋ที่ไม่มาที่นี่ ภรรยาของปี้ปอก็ถูกป้าเฉินส่งตัวกลับไป

“นายหญิงห้ามีเรื่องสำคัญต้องการให้ภรรยาของปี้ปอช่วยไปสะสาง ส่วนคุณหนูเก้าทางนี้จะขาดคนไม่ได้แม้สักวันเดียว” ป้าเฉินที่ปกติพินอบพิเทาต่อหน้านางเป็นนิจ ยอบกายคำนับด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง มีหญิงคนงานร่างใหญ่ท้วมหนาเจ็ดแปดคนตามมาด้านหลัง “ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้ข้ามาดูแลรับใช้ท่านชั่วคราวเจ้าค่ะ!”

ป้าเฉินเป็นมือหนึ่งข้างกายป้าสะใภ้ใหญ่ เทียบได้กับภรรยาปี้ปอของท่านแม่ และป้าหลีของท่านย่า

หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบมาพากล

นางมาที่อารามปี้อวิ๋นมิใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอะไร ยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี ไฉนถึงส่งคนมามากมายอย่างนี้ ต่อให้ท่านแม่มีเรื่องที่ต้องให้ภรรยาของปี้ปอกลับไป ก็ขอให้ท่านย่าส่งป้าหลีมาได้ เพราะอะไรต้องให้เรือนนายท่านใหญ่ยื่นมือก้าวก่ายเรื่องในเรือนนายท่านห้าด้วยการส่งป้าเฉินมา แล้วแต่ละคนที่ติดตามป้าเฉินมาล้วนแข็งแรงบึกบึน ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงคนงานธรรมดาสามัญ และมิใช่พวกที่เข้าออกเรือนหลังบ่อยๆ

ในจวนเกิดเรื่องร้ายขึ้น!

อีกทั้งสถานการณ์ยังไม่เป็นผลดีต่อนางและท่านแม่

หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์อย่างว่องไว นางเหยียดแผ่นหลังตรง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองป้าเฉินเยี่ยงผู้อยู่เหนือกว่าโดยหวังว่าจะสามารถข่มบารมีอีกฝ่ายได้ “ข้าอยู่ทางนี้มีทั้งแม่ชีของอาราม และสาวใช้อีกสองคน คงไม่ต้องรบกวนป้าเฉิน”

“คุณหนูเก้า เช่นนี้ไม่ใคร่จะดีนะ!” แม้ว่าป้าเฉินทำสีหน้ายิ้มแย้ม แต่หาได้เคารพนบนอบตามประสาข้ารับใช้สักนิดไม่ “หากฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องคงจะตำหนิที่ข้าทำงานไม่ดี” กล่าวจบนางส่งสายตาไปให้หญิงคนงานหน้ายาวเหมือนม้าด้านข้าง

หญิงรับใช้สองคนยึดตัวภรรยาของปี้ปอไว้ทันที

สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไปถนัดตา

“คุณหนูเก้า!” ภรรยาของปี้ปอขยิบตาให้นางเป็นเชิงบอกว่าอย่าบันดาลโทสะ ป้าเฉินมีกำลังคนมากกว่า สู้ไปก็มีแต่เสียเปรียบ “ในเมื่อนายหญิงห้ามีงาน อย่างนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน” นางยังกล่าวขึ้นอีกอย่างกำกวม “นับวันดูแล้ว นายท่านห้าน่าจะได้รับสารของนายหญิงห้าแล้ว คุณหนูใจเย็นรออีกสักพักนะเจ้าคะ”

ป้าเฉินไม่เอ่ยอะไร เพียงถอยหลังไปหลายก้าว

หญิงสาวมองดูภรรยาของปี้ปอถูกหญิงคนงานสองคนกุมตัวออกจากอารามปี้อวิ๋นไปต่อหน้าต่อตา

พอครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฟู่ถิงจวินปวดขมับตุบๆ ไม่หยุด

นับแต่ภรรยาของปี้ปอจากไป นางก็ถูกกักบริเวณอยู่ในอาราม แม้เดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ นางสามารถอ่านตำราเขียนหนังสือได้ แต่จะต้องผ่านมือป้าเฉิน นางสามารถคุยเรื่องสัพเพเหระกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ แต่ต้องมีหญิงคนงานสองคนอยู่ด้วย ราวกับนางกะพริบตาทีเดียวก็จะติดปีกบินหนีไปได้

หลังจากภรรยาของปี้ปอกลับไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใดจากทางจวนอีก ยังมีสารฉบับหนึ่งที่กว่านางจะไหว้วานกั่วฮุ่ยซือฟู่ส่งให้มารดาได้มิใช่ง่ายๆ ก็ถูกป้าเฉินริบเก็บไว้เช่นกัน

“คุณหนูเก้า พวกข้าปฏิบัติตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกันนะเจ้าคะ” ป้าเฉินเห็นสายตาเย็นชาของนางแฝงรอยเหยียดหยันอยู่หลายส่วน “คุณหนูเก้าโปรดอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจเลย”

นางอับอายจนพานโกรธ ปิดประตูใส่หน้าป้าเฉินดังโครมใหญ่

ฟู่ถิงจวินเอนกายลงบนเตียงโดยไม่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เมื่อคิดคำนึงว่าในจวนเกิดเรื่องวุ่นวายไปถึงขั้นไหนแล้วก็ไม่รู้ นางซุกหน้ากับหมอนแล้วเริ่มต้นร่ำไห้อย่างกลั้นไม่อยู่

นอกจากเวียนหัวคัดจมูก นางยังรู้สึกสับสนงุนงง

ท่านย่าวางมือมานานแล้ว และให้ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนปกครองเรือนหลัง ป้าเฉินเป็นมือหนึ่งข้างกายป้าสะใภ้ใหญ่ ช่วยเก็บรักษากุญแจหีบเงินกองกลาง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวไพร่บริวารในจวนที่เคารพนบนอบนางมาก กระทั่งท่านแม่และป้าสะใภ้อาสะใภ้ทั้งหลายยังต้องให้เกียรตินางสามส่วน ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ สุภาพนอบน้อมต่อผู้อื่น แม้แต่ท่านย่ายังชื่นชมนางอย่างยิ่ง

ป้าเฉินหาใช่พวกที่ยกยอผู้สูงศักดิ์แล้วเหยียบย่ำคนต่ำต้อย ต่อให้นางเป็นแพะรับบาปก็ไม่มีทางที่ป้าเฉินจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเพราะเหตุนี้

พอความคิดนี้ผุดวาบในหัว นางลุกพรวดขึ้นนั่ง

แล้วถ้านางมิใช่แพะรับบาปเล่า

ป้าเฉินเป็นคนสนิทของป้าสะใภ้ใหญ่ ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่ก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านย่ามากที่สุด ถ้าจะพูดว่าป้าสะใภ้ใหญ่เชื่อฟังท่านย่าทุกเรื่อง เช่นนั้นป้าเฉินก็ต้องเชื่อฟังป้าสะใภ้ใหญ่ทุกเรื่องเช่นกัน

หรือว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยใช้อุบายอะไรทำให้คนในจวนเชื่อคำพูดของเขา?

หนังตาของหญิงสาวกระตุกไม่หยุด นางนั่งไม่ติดอีกต่อไป จึงไปหาป้าเฉิน

“…ก่อนเจ้ามาที่นี่ ท่านย่าพูดอะไรบ้าง” นางยืนตัวตรงอยู่กลางห้องพลางจ้องตาป้าเฉินเขม็ง

ป้าเฉินประสานสายตากับนางนิ่งๆ โดยไม่หลบหลีก “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่าอากาศร้อนอบอ้าว คุณหนูเก้าเพิ่งจะเป็นไข้แดด ถ้ากลับไปก็ต้องนั่งรถม้าตรากตรำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเกิดจับไข้ขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร มิสู้พักอยู่ในอารามต่ออีกสักพัก รอให้อากาศเย็นสบายขึ้นแล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า เพียงแต่อารามแห่งนี้เปลี่ยวไกลเกินไป พวกคนงานชายกับผู้คุ้มกันจะพำนักอยู่ที่นี่นานๆ ก็ไม่เป็นการดี เลยได้แต่ให้ข้าพาหญิงคนงานเรี่ยวแรงดีๆ สักสองสามคนมาดูแลรับใช้คุณหนูเก้าเจ้าค่ะ”

ถ้อยคำพรรค์นี้เอาไว้โกหกเด็กสาวไม่ประสีประสายังพอทำเนา!

ฟู่ถิงจวินไม่มีแก่ใจโยกโย้อ้อมค้อมกับป้าเฉิน นางพูดเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา “ป้าเฉิน จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นพูดอะไรบางอย่างใช่หรือไม่…”

เสียงพูดของนางเพิ่งลอดออกจากปาก ป้าเฉินก็เอ็ดเสียงเบา “คุณหนูเก้า แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว* หากท่านประพฤติตนอยู่ในร่องในรอย จั่วจวิ้นเจี๋ยจะพูดอะไรก็เปล่าประโยชน์ ในจวนมีคุณหนูสิบกว่าคน แต่คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบมากที่สุดก็คือท่าน หากท่านไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของสกุลฟู่ก็เห็นแก่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ มีอายุเกินครึ่งร้อย เป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีแล้ว ท่านต้องสำรวมตนบ้างจึงจะถูก!” นางพูดด้วยขอบตาที่แดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ “ท่านกลับไปเถอะ เก็บตัวอยู่ในห้องอย่างสงบยังรักษาเกียรติของคุณหนูไว้ได้ ถ้ายังพูดจาส่งเดชเช่นนี้อีก ถึงข้าต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไร้สัมมาคารวะก็จะขอสั่งสอนท่านแทนฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงใหญ่”

คิดไม่ถึงว่านางเป็นแบบนี้ในสายตาป้าเฉิน

ผู้อาวุโสในจวนก็คิดเฉกเดียวกันใช่หรือไม่

โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าพาให้หัวสมองของนางอื้ออึงไป “ป้าเฉิน ข้าเป็นคนอย่างไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ไฉนเจ้าถึงเชื่อคำคนนอกได้…”

ป้าเฉินกลับตรงไปเปิดประตู ทำท่าไม่เต็มใจพูดกับนางให้มากความ “คุณหนูเก้า อากาศร้อน ท่านกลับไปพักในห้องก่อนเถอะ!”

พวกหญิงคนงานยืนออดูอยู่ด้วยความสนใจใต้ชายคา คิดไม่ถึงว่าประตูจะเปิดออกกะทันหัน ครั้นจะเดินแยกย้ายกันไปทันทีก็ใช่ที่ ก็พากันหดหัวก้มหน้ามองไปทางอื่นเป็นทิวแถว แสร้งทำเป็นยืนคุยเล่นกันอยู่

นางไม่อยากกลับไปแบบนี้ ทั้งไม่อยากโต้เถียงกับป้าเฉินต่อหน้าหญิงคนงานพวกนั้น จึงกัดริมฝีปากยืนอยู่ที่เดิม

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินหันหลังให้ “บ่าวไพร่อย่างพวกข้า จะไปถึงที่ใดต้องก้มหน้าเจียมตนถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เมื่อผู้อื่นได้ยินว่าพวกข้าเป็นคนของสกุลฟู่ สายตาที่มองมาล้วนต่างไปจากเดิม คำพูดคำจาก็สุภาพขึ้นไม่น้อย ถึงท่านไม่แยแส แต่พวกข้ากลับถือสิ่งนี้สำคัญเท่าชีวิต…หวังแต่ว่าสกุลฟู่จะเจริญรุ่งเรือง นายท่านทั้งหลายได้เป็นจิ้นซื่อ เป็นขุนนางใหญ่ ส่วนนายหญิงทั้งหลายได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นสตรีชั้นสูง พวกข้าออกไปข้างนอกก็สามารถเดินยืดอกได้…”

“กระทั่งเจ้ายังหวังให้สกุลฟู่ก้าวหน้า นับประสาอะไรกับข้าเล่า” นางตัดบทป้าเฉินด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง จากนั้นเอ่ยแย้งอย่างร้อนรน “ในเมื่อป้าเฉินมีความคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งสมควรช่วยเหลือข้า”

“คุณหนูเก้า!” น้ำเสียงของป้าเฉินฟังดูเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง “ฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเข้ามาในสกุลฟู่ตอนอายุสิบห้า จากหลานสะใภ้อดทนจนได้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนนายหญิงใหญ่ปกครองเรือนตั้งแต่อายุยี่สิบเจ็ด เริ่มจากคิดบัญชีด้วยลูกคิดจนแค่ฟังก็รู้ว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ไม่รู้ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายปานใด…ท่านวางใจได้ ขอแค่มีความหวังแม้เพียงนิด นายหญิงทั้งสองต้องไม่ให้ท่านถูกปรักปรำแน่ ท่านก็อย่าทำให้นายหญิงทั้งสองต้องวุ่นวายใจเพิ่มขึ้นอีกเลย”

นางเน้นเสียงหนักขึ้นตรงคำว่า ’ปรักปรำ‘ ดูมีนัยอื่นแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายยังคงไม่เชื่อถือนางอยู่นั่นเอง

จู่ๆ นางก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

ใช่สิ คนหนึ่งคือนายหญิงใหญ่ คนหนึ่งคือนาง สำหรับป้าเฉินแล้วคำพูดของใครน่าเชื่อถือ ไม่ต้องตรองดูก็รู้ได้

ขืนพูดต่อไปรังแต่จะฉีกหน้าตัวเองเท่านั้น

นางลากฝีเท้าหนักอึ้งกลับห้องไป

หานเยียนกับลวี่เอ้อเดินเคียงคู่กันเข้ามา

“คุณหนูเก้า พวกข้าเห็นหลายวันนี้ท่านนอนหลับไม่สนิท อยากจะขอถั่วเขียวจากซือฟู่ในอารามทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วกวนให้ท่านสักหน่อย ใครจะรู้ว่าป้าฝานผู้ติดตามของป้าเฉินกลับขวางไว้ไม่ให้พวกเราออกไปเจ้าค่ะ!” ทั้งคู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลวี่เอ้อก้มหน้าลง ส่วนหานเยียนพูดพลางพินิจดูสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง “ป้าฝานนั่นยังบอกพวกเราว่าวันหลังอย่าทำอะไรไม่ยั้งคิด ให้อยู่ในหอจิ้งเยวี่ยอย่างสงบ ห้ามออกไปเพ่นพ่าน ถ้าต้องการอะไรให้บอกกับนางโดยตรง นางจะไปบอกกับป้าเฉินเอง พอป้าเฉินอนุญาตแล้ว ถึงต้องขึ้นเขาลงห้วยก็จะจัดการให้พวกเราอย่างเรียบร้อย แต่หากป้าเฉินไม่อนุญาตก็อย่าหาว่านางไม่ทำตามคำสั่ง…”

เกิดเรื่องขึ้นติดๆ กัน แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจความคิดของสาวใช้ตัวเล็กๆ สองนางนี้ ในที่สุดพวกนางก็รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้จนมาถามหาเหตุผลแล้ว

น่าเสียดาย นางถูกกักอยู่ในอารามไม่สามารถขยับตัวไปไหน กระทั่งเขียนสารกลับบ้านยังส่งออกไปไม่ได้ ทว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับพำนักอยู่ในสกุลฟู่ อยากพูดอะไรก็ได้

หญิงสาวแลมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของพวกนางแล้วจิตใจเลื่อนลอยไปชั่วขณะ

หานเยียนกับลวี่เอ้อมองนางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ราวกับว่านางจะต้องให้คำตอบที่ไขข้อกังขาของทั้งคู่ได้เป็นแน่

สาวใช้สองนางเจอเรื่องที่ฉงนสงสัยยังมีความกล้ามาถามไถ่ ขณะที่นางมีท่านแม่อบรมเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่มานานสิบกว่าปี หรือว่าพอเกิดเรื่องจวนตัวขึ้นนางยังสู้ไม่ได้แม้แต่สาวใช้ตัวเล็กๆ

นางนั่งรอความตายอยู่อย่างนี้ไม่ได้ จะปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยพลิกขาวเป็นดำ พูดจาส่งเดชไปทั่วได้อย่างไร

มีบางอย่างปั่นป่วนอยู่ภายในใจหญิงสาว

นางยืดอกขึ้น

ในเมื่อทางกั่วฮุ่ยซือฟู่ถูกป้าเฉินปิดตายไป ส่วนป้าเฉินนั้นคงหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้ นางจำต้องคิดหาหนทางเอาเองแล้ว

นางนิ่งตรึกตรอง จากนั้นเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้หานเยียนกับลวี่เอ้อฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

ทั้งสองตกใจจนหน้าถอดสี

“ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ตาม เมื่อท่านแม่ให้พวกเจ้ามารับใช้ข้า ก็แสดงว่าเชื่อใจพวกเจ้า” นางมองคนทั้งสองด้วยสายตาจริงใจ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะช่วยข้าได้ พอได้พบกับท่านแม่ ก็ย่อมจะแจ่มแจ้งเป็นธรรมดาว่าใครถูกใครผิด”

สายตาท่านแม่มองคนไม่ผิดจริงๆ ทั้งคู่คุกเข่าลงตรงหน้านางโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “คุณหนูเก้า พวกข้าเชื่อฟังท่านเจ้าค่ะ”

จิตใจที่ขุ่นมัวมาหลายวันปลอดโปร่งขึ้นบ้างในที่สุด

“ข้าอยากให้พวกเจ้าลอบออกไปส่งข่าวถึงท่านแม่”

ทั้งสองล้วนทำสีหน้าตกตะลึง ลวี่เอ้อยังถามอย่างหวาดกลัว “ขะ…ข้าไม่รู้จักทางเจ้าค่ะ”

หานเยียนใจกล้ากว่าบ้าง “มีปากกับตัวไม่กลัวหลงทาง ข้าไปเองเจ้าค่ะ”

นางหันไปส่งยิ้มให้กำลังใจหานเยียน แต่ครั้นนึกถึงสภาพจนตรอกในตอนนี้ก็พาให้สีหน้านางเครียดขรึมลงอีก “ข้าต้องกลับไปแก้ต่างให้ตัวเอง” เมื่อได้พูดสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจออกจากปาก ใบหน้านางก็เผยแววเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวให้เห็นรางๆ “ตอนนี้สถานการณ์ในจวนเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ข้ากลัวว่าบุ่มบ่ามกลับไปเองจะกลายเป็นอวดฉลาดจนเสียเรื่อง เจ้าบอกให้ท่านแม่ทราบถึงความตั้งใจของข้า ดูว่าท่านแม่จะว่าอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร”

หานเยียนผงกหัวหงึกหงัก

นางกระซิบกระซาบบางอย่างที่ริมหูสาวใช้ทั้งสอง

หลังจากนั้นหานเยียนกับลวี่เอ้อก็เริ่มสร้างความวุ่นวาย

ถ้ามิใช่จู่ๆ หายตัวไปจนทำให้หญิงคนงานพวกนั้นต้องตามหาตัวให้ควั่ก ก็เก็บตัวอยู่ในห้องนานสองนานไม่ออกมา ปล่อยให้พวกนางตบประตูอย่างไรก็ไม่เปิด

ทุกครั้งในเวลานี้ ฟู่ถิงจวินจะออกมาดุสั่งสอนพวกหญิงคนงานยกหนึ่ง

หลายวันเข้า ทุกคนเอือมระอาที่ต้องวิ่งวุ่นไปมา พากันโอดครวญไม่หยุด “ถึงอย่างไรคุณหนูเก้าก็เป็นคุณหนู พวกเราทำเช่นนี้กับนางก็โทษมิได้ที่นางจะอึดอัดคับใจ ข้าว่านะ ขอเพียงพวกคุณหนูไม่ออกจากอารามก็พอแล้ว”

ป้าเฉินเป็นคนรอบคอบ มาตรว่าในใจจะเห็นพ้องด้วยก็ยังคงเอ่ยว่า “พวกเจ้าคอยไปดูทุกๆ หนึ่งชั่วยามว่าคุณหนูเก้าทำอะไรบ้างก็แล้วกัน สำหรับสาวใช้สองคนนั้น หางานให้พวกนางทำเสียบ้างก็ไม่มีเวลาเถลไถลไปไหนแล้ว”

หลังจากฟู่ถิงจวินรู้เรื่องก็ลอบยินดี

เพียงแต่ยังหาวิธีดีๆ ที่จะออกไปไม่ได้เลย อารามปี้อวิ๋นมีทั้งเรือกสวนไร่นาและบ่อน้ำ ทำให้อยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร นอกจากทุกสิบวันจะมีแม่ชีสองคนแบกตะกร้าไม้ไผ่ลงเขาไปซื้อของใช้ประจำวันจำพวกน้ำมันกับเกลือแล้ว ยามปกติอารามปี้อวิ๋นจะปิดประตูสนิท ไม่ต้อนรับคนเข้ามาไหว้พระ ถ้าคิดจะแอบอยู่ในรถม้าที่ลงเขาไปซื้อของเพื่อแฝงตัวปะปนออกไปคงไม่สำเร็จ ภายในอารามยังมีแม่ชีร่างใหญ่กำยำเจ็ดแปดคน มีหน้าที่ลาดตระเวนยามดึกโดยเฉพาะ อีกทั้งเลี้ยงสุนัขไว้อีกสิบกว่าตัว พอตกเย็นก็จะปล่อยออกมา ฉะนั้นจะคลำทางออกไปตอนมืดก็คงไม่เป็นผลเช่นกัน

แต่แล้วนางก็พบโดยไม่ตั้งใจว่าลานกว้างด้านหลังมีต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่ยื่นออกไปนอกกำแพง ก็คิดแต่ว่าเห็นแสงรำไรในความมืดแล้ว

นางเรียกหานเยียนกับลวี่เอ้อมาหารือ “หานเยียนชวนป้าพวกนั้นคุยเรื่องสัพเพเหระโดยไม่ต้องสนใจอะไร ถ่วงเวลาพวกนางเอาไว้อย่าให้เรียกใช้พวกเจ้า ส่วนลวี่เอ้ออยู่โยงในห้องจะได้พร้อมช่วยเหลือข้าทุกเมื่อ ข้าจะอาศัยจังหวะตอนเที่ยงไปสำรวจเส้นทางลานด้านหลัง แล้วจะกลับมาในหนึ่งชั่วยามแน่นอน”

“ข้าไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ” หานเยียนเอ่ย “ตอนนี้พวกป้าฝานไม่ค่อยเรียกหาพวกข้าเท่าไหร่แล้ว”

“ยังไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่” นางส่ายหน้า “ถ้าเกิดถูกป้าเฉินจับได้ นางก็ทำได้แค่ว่ากล่าวข้าสองสามคำ หากเปลี่ยนเป็นพวกเจ้าเกรงว่าจะถูกโบย ให้ข้าไปดีแล้ว”

ด้วยเหตุนี้เอง นางถึงไปที่ลานด้านหลังตอนเที่ยง แล้วยังเกือบถูกบีบคอตายด้วย…

 

“น่าชังนัก!” ฟู่ถิงจวินกำมือเป็นหมัดแล้วทุบขอบอ่างน้ำทีหนึ่งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะเป็นการระบายความไม่พอใจที่มีต่อจั่วจวิ้นเจี๋ย หรือว่าบุรุษแปลกหน้าที่เกือบบีบคอนางตายผู้นั้นก็สุดจะรู้ได้

“คุณหนูเก้า!” หานเยียนกับลวี่เอ้อมองนางอย่างตะลึงลาน

“ไม่มีอะไร!” นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง พยายามสงบจิตใจลงเต็มที่ “ช่วยเช็ดผมข้าให้แห้งเถอะ ข้าอยากขึ้นเตียงนอนสักครู่หนึ่ง!”

เสียงของป้าเฉินดังมาจากนอกประตู “คุณหนูเก้าตื่นแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”

หานเยียนกับลวี่เอ้อมองฟู่ถิงจวินอย่างแตกตื่นอยู่บ้าง

เสียงของคุณหนูแหบแห้ง ซ้ำร้ายยังมีรอยแดงรอบลำคอ ทันทีที่ส่งเสียงพูดหรือให้พบหน้าก็จะส่อพิรุธ ถ้าป้าเฉินถามขึ้นมา พวกนางควรทำเช่นใดดี

ฟู่ถิงจวินปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน แต่นางนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่าในหีบสัมภาระของตนเองมีเสื้อผ้าฝ้ายโปร่งคอตั้งทอลายทแยงสีฟ้านวลตัวหนึ่ง จึงกระซิบสั่งหานเยียน “หยิบออกมาช่วยเปลี่ยนใส่ให้ข้า” นางเอ่ยขึ้นอีก “ประเดี๋ยวข้าแสร้งชักสีหน้าใส่ป้าเฉินโดยไม่ปริปากพูดอะไรก็สิ้นเรื่อง นางจะบังคับข้าได้หรือไร ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็พลิกแพลงไปตามสถานการณ์แล้วกัน”

ทั้งคู่ถอนหายใจพร้อมกัน จากนั้นรีบเร่งไปหาเสื้อผ้าฝ้ายโปร่งตัวนั้น พอหมุนตัวไปเห็นชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบที่ถอดเปลี่ยนออกมาก็ยัดใส่เข้าไปตู้ลิ้นชักด้านข้างอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วถึงได้ไปเปิดประตู

หน้าต่างปิดแน่น ทำให้ภายในห้องร้อนอบอ้าว เตียงสี่เสาสีดำสนิทแขวนม่านผ้าฝ้ายสีฟ้านวลเนื้อหนา ตรงกลางห้องมีอ่างอาบน้ำทำจากไม้สนสูงเท่าตัวคนวางตั้งอยู่ มีน้ำสาดกระเซ็นอยู่ตามพื้นอิฐสีเทารอบๆ เป็นคราบน้ำวงเล็กวงใหญ่

ภายในห้องไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ป้าเฉินยอบกายคำนับด้วยสีหน้าเฉยเมย “อากาศร้อนปานนี้ ไฉนคุณหนูเก้าไม่ออกไปรับลมในโถงกลาง ดีชั่วที่นั่นยังพอมีลมโกรกนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ข้างเตียงให้ลวี่เอ้อเช็ดผม พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองป้าเฉินปราดหนึ่ง ก่อนจะกระชากผ้าในมือสาวใช้มาลงมือเช็ดผมเอง

ลวี่เอ้อมองป้าเฉินอย่างเก้อกระดากจนวางมือวางไม้ไม่ใคร่จะถูก

บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ยังดีที่หานเยียนยกน้ำชามาให้ “ป้าเฉินเชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”

ป้าเฉินรับน้ำชามาพลางกล่าวขอบคุณ นางถามฟู่ถิงจวินว่านอนหลับสบายหรือไม่ หลายวันนี้อากาศร้อน จะให้เอายาเม็ดดับพิษร้อนมาให้หรือไม่

หญิงสาวไม่พูดไม่จาสักคำ

หานเยียนส่งยิ้มให้อยู่ด้านข้าง

ป้าเฉินแค่นึกว่าฟู่ถิงจวินกำลังโกรธเคืองตนอยู่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ ดื่มน้ำชาได้ครึ่งถ้วยแล้วอำลากลับไป

สีหน้าของทั้งสามคนล้วนผ่อนคลายลง

ฟู่ถิงจวินรีบพูด “ไปเปิดหน้าต่างเร็วเข้า ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”

ลวี่เอ้อขานตอบแล้วเดินไป

ทว่าไม่มีลมพัดสักนิด อากาศร้อนอ้าวจนทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยดุจเดิม

หานเยียนหาพัดมาด้ามหนึ่งแล้วนั่งบนม้านั่งตรงหัวเตียงโบกลมให้นาง

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะสนทนากันก็มีเสียงโหวกเหวกดังลอยมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระลอก

ในอารามไม่อนุญาตให้ทำเสียงดังเอะอะ ยิ่งกว่านั้นอารามปี้อวิ๋นยังเป็นศาลเจ้าประจำตระกูล ไม่ได้เปิดต้อนรับคนนอกเข้ามาไหว้พระ

ตอนแรกฟู่ถิงจวินทำหน้าประหลาดใจ แต่แล้วคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมกับเงี่ยหูตั้งใจฟัง

หานเยียนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน นางยื่นพัดส่งให้ลวี่เอ้อแล้วลุกขึ้นพูด “คุณหนูเก้า ข้าออกไปดูนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินลังเลชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า

หานเยียนสาวเท้าลิ่วๆ ออกจากห้องไป

เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป* นางหลั่งเหงื่อโซมหน้าเดินย้อนกลับมา “คุณหนูเก้า มีคนขโมยของกินในเรือนครัวไปหมดเลยเจ้าค่ะ แล้วมิใช่แค่นั้น แม้กระทั่งไหใส่ข้าวสารก็ยกเอาไปด้วย”

ฟู่ถิงจวินไม่กล่าววาจาใด ด้านลวี่เอ้อเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “เช่นนี้ก็ออกจะประหลาดเสียแล้ว อารามปี้อวิ๋นกินอาหารแค่มื้อเช้ากับมื้อเที่ยง หากบอกว่ามีแม่ชีน้อยหิวท้องกิ่วจนทนไม่ไหวแล้วไปขโมยของกินก็พอจะฟังขึ้น ไฉนแม้แต่ไหใส่ข้าวสารก็ยกเอาไปด้วย หรือว่ายังจะก่อไฟหุงหาอาหารกันอีก”

“นั่นน่ะสิ!” หานเยียนเห็นว่าเรื่องนี้ชอบกลเกินไปเหมือนกัน นางกล่าว “กั่วจื้อซือฟู่บอกว่า ภายในอารามมีกฎข้อห้ามเคร่งครัด แต่ไรมาไม่เคยเกิดเรื่องพรรค์นี้มาก่อน เดิมทีอาหารพวกนั้นเก็บไว้ให้พวกเรา แต่ตอนนี้ถูกขโมยไปแล้ว เกรงว่าอาหารเย็นคงต้องล่าช้าไปบ้าง”

“ไหนพูดว่าไหข้าวสารโดนยกเอาไปด้วยมิใช่หรือ แล้วยังจะมีข้าวให้หุงได้อีกหรือ”

“นั่นเป็นแค่ส่วนที่วางไว้ใช้ในเรือนครัวเท่านั้น ยังมียุ้งข้าวอยู่อีกเจ้าค่ะ!”

ฟู่ถิงจวินเห็นทั้งคู่ยิ่งพูดยิ่งออกนอกเรื่องไปทุกที จึงกระแอมไอเบาๆ แล้วถาม “พบเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีเจ้าค่ะ!” หานเยียนส่ายหน้าพลางพูด “แต่กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าจะต้องมีคนจงใจก่อกวนเป็นแน่”

หญิงสาวนิ่งงันไป “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”

“กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าถ้าเป็นแม่ชีน้อยขโมยของกิน คงหายไปแค่หมั่นโถวสักลูกหรือแป้งย่างสักชิ้น มีอย่างที่ไหนขโมยของในเรือนครัวจนหมดเกลี้ยง เอาไปก็กินไม่หมด ยังมีไหข้าวสารหนักตั้งห้าหกสิบชั่งที่ต้องใช้คนแบกสองสามคน ไฉนหายไปไม่เหลือร่องรอยอย่างนี้” นางยังพูดปลอบฟู่ถิงจวินให้สบายใจ “กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าทั่วทั้งอารามปี้อวิ๋นมีกันอยู่ยี่สิบสามสิบคนนี้เท่านั้น อาณาบริเวณก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กแค่เจ็ดแปดหมู่ ถ้าค้นหาทุกซอกทุกมุม ใช้เวลาสี่ห้าวันก็หาตัวขโมยได้แล้ว เว้นเสียว่านางจะกินไหข้าวสารไปด้วย!”

สิ้นเสียงนางไม่ทันไร เสียงของป้าเฉินก็ดังขึ้นนอกประตู “คุณหนูเก้า บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าค่ะ!”

ฟู่ถิงจวินส่งสายตาไปทางหานเยียน หานเยียนเข้าใจความหมายจึงเดินไปเปิดประตู

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินยอบกายคารวะนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กั่วฮุ่ยซือฟู่สงสัยว่ามีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาในอาราม เลยขอให้พวกเราระวังตัว หลายวันนี้อย่าได้ออกไปไหน นางจะให้คนจูงสุนัขสองสามตัวมาเฝ้าประตูให้ ประเดี๋ยวคุณหนูเก้าเห็นแล้วไม่ต้องตื่นตระหนกนะเจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินทำตาโต สีหน้าตะลึงลานเต็มที่

หานเยียนมองนางแวบหนึ่ง รู้ว่านางอ้าปากพูดไม่ได้ “ป้าเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ”

ป้าเฉินแลดูกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ ก็มิได้ใส่ใจว่าหานเยียนสอดปากขึ้นแบบนี้เป็นการผิดธรรมเนียมอย่างมาก นางเอ่ยตอบว่า “ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง มีชาวบ้านประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาในซางโจวกับถงโถวกลุ่มใหญ่ อีกทั้งยังเคยพบเจออยู่แถวนอกเมืองหวาอินของเราด้วย คนพวกนั้นเห็นอาหารก็แย่งชิง พวกเราระวังตัวไว้จะดีกว่า”

นางยังคิดจะกล่าวอะไรต่อ ป้าฝานก็เดินพรวดๆ เข้ามา พอยอบกายคารวะฟู่ถิงจวินอย่างขอไปทีแล้วพูดด้วยสีหน้าร้อนรน “ป้าเฉิน กั่วฮุ่ยซือฟู่เชิญท่านไปคุยด้วยเจ้าค่ะ”

“อื้อ” ป้าเฉินส่งเสียงตอบคำหนึ่ง และกล่าวสำทับฟู่ถิงจวินสองสามคำเช่นว่า “คุณหนูเก้าอยู่ว่างๆ ก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องเถิด” อะไรทำนองนี้ แล้วก็ออกไปกับป้าฝานอย่างรีบร้อน

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบเชียบ

หานเยียนมองลำคอของฟู่ถิงจวินด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ

ลวี่เอ้อกลับบ่นพึมพำ “คุณหนูเก้า พวกเราคงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนเร่ร่อน ที่นี่อยู่ห่างจากชิ่งหยางกับก่งชางตั้งหลายร้อยลี้เชียวนะ?”

หานเยียนทั้งละเอียดรอบคอบและเฉลียวฉลาด เห็นทีว่าคงรู้คำตอบอยู่ในใจแต่แรก มิสู้กล่าวให้กระจ่างแจ้งตามตรงอย่างจริงใจจะดีกว่า วันหน้ายังมีเรื่องต้องไหว้วานนางอีกมาก

ฟู่ถิงจวินลอบถอนใจ เอ่ยสั่งลวี่เอ้อ “เจ้าตามไปดูสักหน่อย มีเรื่องอะไรรีบกลับมารายงานข้าสักคำ”

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อขานตอบแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาป้าเฉิน

ฟู่ถิงจวินชี้ที่ม้านั่งข้างเตียง “นั่งลง”

หานเยียนนั่งหมิ่นๆ บนม้านั่งอย่างกระวนกระวายใจบ้าง

ฟู่ถิงจวินเล่าเรื่องทั้งหมดให้หานเยียนฟังว่านางพบบุรุษแปลกหน้าที่ลานด้านหลัง และถูกเขาบังคับให้พาไปที่เรือนครัวอย่างไร จากนั้นยังเกือบถูกเขาบีบคอตาย

หานเยียนยิ่งฟังยิ่งทำหน้าหวาดผวา สีหน้าเผือดขาวลงเรื่อยๆ พอฟู่ถิงจวินเล่าจบ นางก็ลุกขึ้นยืนทันที “เช่นนั้นพวกเรารีบไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่เถอะเจ้าคะ”

“ไม่ได้!” หญิงสาวคัดค้านทันควัน “ถ้ากั่วฮุ่ยซือฟู่ถามขึ้นมา พวกเราจะอธิบายเรื่องที่ไปเรือนด้านหลังอย่างไรเล่า”

หานเยียนนิ่งขึงอยู่กับที่

“ตอนนี้ข้ามีปัญหารุมเร้ารอบตัวจนเลี่ยงหลบแทบไม่ทัน” เสียงแหบแห้งของผู้เป็นนายละม้ายเสียงซอเก่าๆ ที่เจือไว้ด้วยความเศร้าโศก “ถ้าป้าเฉินรู้ว่าข้าเคยถูกบุรุษจับตัวไว้ ยังไม่รู้ว่านางจะคิดเช่นไร แล้วเรื่องจะบานปลายไปถึงไหน!”

มีหรือที่หานเยียนจะไม่รู้ ในใจนางหวาดกลัวเหลือหลาย นางเอ่ยเสียงอุบอิบ “ถ้าคนผู้นั้นเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ จะทำฉันใดเจ้าคะ แล้วเขาจะมาอีกหรือไม่ ในอารามมีแต่สตรี หากเขาคิดร้ายขึ้นมาจะทำประการใดดี”

ถ้าเกิดคนผู้นั้นเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ อารามปี้อวิ๋นตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวร้างห่างไกล ไม่มีคนงานชายเฝ้ายาม ทั้งยังมียุ้งฉางเป็นเนื้ออันโอชะที่ทำให้คนจับจ้องตาเป็นมันชิ้นหนึ่งจริงๆ

“คงไม่กระมัง!” ฟู่ถิงจวินพูดด้วยน้ำเสียงลังเลอย่างไม่ใคร่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ถ้าเป็นคนเร่ร่อน ไฉนมีเขาคนเดียว อย่างมากก็เป็นคนร้ายที่หนีหัวซุกหัวซุนมาถึงที่นี่ คนพรรค์นี้กลัวถูกทางการจับตัวไป ปกติจะไม่หยุดพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป”

หานเยียนตรึกตรองแล้วเห็นว่ามีเหตุผล นางกล่าวเสียงอ้อมๆ แอ้มๆ “เช่นนั้นพวกเรายังต้องไปที่ลานด้านหลังสำรวจเส้นทางอีกไหมเจ้าคะ” ในถ้อยคำมีนัยถอดใจกลางคัน

สมดังคำกล่าวว่าเรือนรั่วยังเจอฝนพรำทั้งคืน* โดยแท้

ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาอีกแล้ว

ลวี่เอ้อวิ่งเข้ามา พูดอย่างดีอกดีกใจ “คุณหนูเก้าๆ ป้าเฉินส่งคนกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าวแล้ว บอกว่าอารามปี้อวิ๋นไม่ปลอดภัย จะส่งคนงานชายกับผู้คุ้มกันมาได้หรือไม่”

คนงานชายกับผู้คุ้มกันจะนอนค้างอ้างแรมในอารามได้อย่างไรกัน ป้าเฉินจะถามว่ากลับจวนได้หรือไม่ต่างหากเล่า!

ฟู่ถิงจวินกับหานเยียนมองหน้ากันไปมา ต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี

นี่เป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้ายจริงๆ

ฟู่ถิงจวินพลอยรู้สึกว่าความเจ็บปวดตรงลำคอกลายเป็นสิ่งที่ทานทนได้ง่ายดาย

ทั้งสามเฝ้ารอด้วยความเบิกบานใจ

 

ทางจวนสกุลฟู่มีคำตอบมาอย่างฉับไว “ผู้ตรวจการมณฑลส่านซีส่งลั่วผิงหยาง ผู้ช่วยเจ้าเมืองส่านซีไปบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยในชิ่งหยางกับก่งชางแล้ว หวาอินห่างจากเมืองซีอานไม่ถึงสองร้อยลี้ จะมีคนเร่ร่อนได้อย่างไร พวกเจ้าพักอยู่ที่นั่นให้สบาย รอเมื่ออากาศเย็นลงแล้วก็จะรับพวกเจ้ากลับจวนแน่นอน”

ฟู่ถิงจวินมองหานเยียนอย่างงงงัน นานพักใหญ่กว่าจะรวบรวมสติคืนมาได้ นางเพียงรู้สึกเย็นวาบคล้ายมีงูเลื้อยขึ้นมาตามสันหลัง หนาวยะเยือกจนตัวสั่นสะท้านไม่หยุด

นางโบกมืออย่างอ่อนระโหยโรยแรง เป็นเชิงบอกให้หานเยียนกับลวี่เอ้ออย่ากวนใจ จากนั้นก็นั่งอยู่ตามลำพังตั้งแต่เช้ายันเย็น

กลางดึก นางเอ่ยถามหานเยียน “เจ้ายังเต็มใจกลับไปส่งสารให้ข้าหรือไม่”

หานเยียนนิ่งเงียบไปเกือบหนึ่งถ้วยชา** ถึงกล่าวเสียงเบา “ขะ…ข้าเชื่อฟังคุณหนูเจ้าค่ะ”

แต่ในใจยังคงไม่เต็มใจอยู่ดี

นั่นสิ ใครจะเต็มใจไปเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเล่า!

ทว่านางมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

ยิ่งประวิงเวลาออกไป ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อนาง

ถ้าปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยสมดังใจหมาย ถึงนางตายก็ตายตาไม่หลับ!

วันรุ่งขึ้น นางเตรียมตัวไปสำรวจเส้นทางที่เรือนด้านหลังเป็นคำรบที่สอง

กั่วฮุ่ยซือฟู่ให้คนจูงหมาเหลืองตัวเขื่องหลายตัวเดินยามวนเวียนไปมาอยู่ในอารามโดยไม่หยุดสักชั่วขณะ เป็นเหตุให้นางไม่มีโอกาสจะก้าวออกจากประตูลานเรือน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลานด้านหลัง

ทุกมื้อนางจะเหลือซาลาเปาไส้ผักสองสามลูกไว้เลี้ยงสุนัข หมายใจว่าจะทำความคุ้นเคยกับพวกมันก่อน

ป้าเฉินเห็นแล้วขมวดคิ้วอยู่ด้านข้างหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งอดกล่าวขึ้นไม่ได้ “คุณหนูเก้า ข้างนอกบางคนไม่มีแม้แต่น้ำจะดื่มนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินจ้องหน้านางครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเข้าห้องไป

ไม่ถึงชั่วครู่ หานเยียนออกมาพูดเสียงดังกับแม่ชีน้อยที่มาส่งอาหาร “คุณหนูของพวกข้าบอกว่าพวกเจ้าทำซาลาเปาไส้ผักอร่อย ให้เอามาอีกสามสิบลูก”

แม่ชีน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหันไปมองป้าเฉิน

ป้าเฉินเคืองน้อยๆ แต่ยังคงกล่าวว่า “เจ้าทำตามที่คุณหนูเก้าสั่งก็พอ”

ตอนอาหารเย็น ซาลาเปาไส้ผักสามสิบลูกถูกนำมาส่งให้จริงๆ

หานเยียนเห็นซาลาเปาครึ่งชามอ่างแล้วตะลึงไป

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม รอยยิ้มใต้แสงตะเกียงสีเหลืองสลัวๆ ฝืดเฝื่อนสุดจะเปรียบ “ตักน้ำในบ่อมารองใต้ชาม พรุ่งนี้เอาไปให้พวกแม่ชีน้อยที่กวาดพื้นกิน”

หานเยียนออกไปตักน้ำเข้ามา จากนั้นจุดธูปอ้ายเฉ่า* แล้วปูเตียงอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา

ฟู่ถิงจวินตาจ้องมองแสงจันทร์สีเงินยวงที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษเกาลี่

เป็นวันที่สิบห้าอีกแล้ว นางมาอยู่ที่นี่นานหกสิบสองวันเต็มๆ ออกไปไหนไม่ได้

แล้วท่านแม่เล่า? เพราะอะไรไม่เขียนสารถึงนางเลย หรือจะถูกกักตัวเช่นกัน

พอคำถามนี้ผุดขึ้น นางสั่นศีรษะทันที

จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านแม่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอันเหริน** ขั้นหก นอกจากท่านย่าแล้วก็เป็นท่านแม่ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุด ใครจะกล้าดีกักตัวท่าน?

ดวงจันทร์แจ่มกระจ่างอับแสงไปชั่ววูบแล้วกลับมาส่องสว่างดังเดิมละม้ายแสงเทียนต้องลม

ฟู่ถิงจวินพลิกกายคราหนึ่ง

ทันใดนั้น ลำคอก็ถูกคนตรึงไว้ “อย่าส่งเสียง!”

เสียงนั้นราบเรียบเนิบนาบไม่แฝงอารมณ์ใดๆ ถึงนางจะอยู่ในความฝันก็ไม่มีทางจำผิด

บทที่สาม

 ประหนึ่งห้วงฝันร้ายปรากฏขึ้นซ้ำอีกครั้ง

หัวสมองของฟู่ถิงจวินว่างเปล่า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ถึงกุมสติไว้ได้

เขาหานางพบได้อย่างไร

ในใจหญิงสาวร้อนรนเต็มที หากแต่ร่างกายกลับอ่อนระทวย ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้

ความรู้สึกหวาดกลัวตอนเขาบีบคอนางไว้ไหลบ่าเข้ามาในความทรงจำ

ตอบตกลงเขาเร็วเข้า พยักหน้าเร็วเข้า…ไม่อย่างนั้นจะมีภัยถึงชีวิต

ทว่านางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกระดิกตัวราวกับกำลังกายถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

นางร้อนใจดุจไฟลน

ฝ่ามือที่ปิดปากนางไว้คลายออกช้าๆ

นางปล่อยลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง แผ่นหลังเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าธัญพืชในอารามเก็บไว้ที่ไหน” เขานั่งอยู่ตรงหน้าเตียงนางอย่างสงบนิ่ง

ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาเขาเปล่งประกายวาววามเหมือนแมวที่นางเคยเลี้ยงไว้เมื่อก่อน ไม่สิ ดวงตาของแมวเชื่องกว่า ดวงตาเขาเฉยเมยและเย็นชาไร้ไมตรีจนน่ากลัว

“มะ…ไม่รู้!” ฟู่ถิงจวินพูดตะกุกตะกักอย่างตกประหม่า

ชายหนุ่มค่อยๆ ยืดหลังตรง ดูท่าทางผิดหวังอยู่บ้าง ตัวเขากลืนเข้าไปในความมืดทีละน้อยจนนางเห็นสีหน้าไม่ถนัดตา จึงจับความรู้สึกเขาไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นพลันกระด้างขึ้นเสมือนฉาบด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง มันทอแววสุกใสวาววับ ทั้งยังปึ่งชายิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ทำให้นางเย็นยะเยือกจับใจ

ฟู่ถิงจวินตัวสั่นสะท้านวูบหนึ่งคล้ายถูกน้ำเย็นจัดราดรดจนสติแจ่มใสขึ้นไม่น้อย

เขามาหาอาหารกระมัง!

นอกห้องมีสุนัข ส่วนในห้องมีสาวใช้ผลัดดึก เขากลับปีนเข้ามาอย่างปราศจากสุ้มเสียงได้อย่างไร

คนที่อยู่เฝ้าคืนนี้คือลวี่เอ้อ นางนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่สานด้านข้างนี่เอง นาง…

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว พร้อมกับภาพของลวี่เอ้อนอนจมกองโลหิตปรากฏขึ้นทันควัน

“ท่านทำอะไรกับสาวใช้ของข้า” นางปัดผ้าม่านที่เขาเลิกขึ้นออกอย่างเร่งร้อน

ความโกรธแค้นที่ลวี่เอ้ออาจถูกทำร้ายมีมากกว่าความหวาดกลัวที่มีต่อเขา

แสงจันทร์ส่องกระทบบานหน้าต่างอย่างเงียบงัน ลวี่เอ้อมีสีหน้าสงบเป็นสุข นอนตะแคงงอตัวอยู่ตรงหน้าเตียงหันหน้ามาทางนาง

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป

“ข้าจี้สกัดจุดนางไว้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่หากเลยเวลาแล้วไม่คลายจุดก็ตายเช่นกัน”

นางถลึงตามองเขา สายตาฉายแววหวาดผวาอยู่หลายส่วน

มิได้คร่าชีวิตใครก็เข้ามาได้อย่างนี้ ช่างร้ายกาจจริงๆ ยากจะโทษที่เขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตา

ทว่าตอนนี้จะทำฉันใด

ฟู่ถิงจวินหายใจไม่ทั่วท้อง

เขานั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน นิ่งเงียบดุจเดียวกับราตรีกาล

ความคิดสว่างวาบขึ้นในหัวนาง

ถ้านางมีประโยชน์กับเขา เขาไม่น่าจะเอาชีวิตนางง่ายๆ อย่างนั้นกระมัง!

ครั้นมีความหวังรำไรอยู่ในใจ หญิงสาวเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย

“ในเรือนครัวไม่มีอาหารแล้วหรือ” นางกระซิบถาม

เขาไม่ปริปากพูด เพียงมองนางด้วยแววตาสุขุมราวกับกำลังถามว่านางหมายความว่าอะไร

ขอแค่เขายินยอมรับฟังนางพูดก็มีความหวัง

ฟู่ถิงจวินกลัวเป็นที่สุดว่าเขาจะสังหารนางโดยไม่พูดจาสักคำ

“พอข้าตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน กั่วจื้อซือฟู่ของอารามแห่งนี้ก็พบว่าอาหารกับไหข้าวสารในเรือนครัวหายไปหมด” นางกล่าวอ้อมๆ “ทุกคนพากันนึกว่าเป็นฝีมือของแม่ชีน้อยที่หิวโหย แต่กั่วจื้อซือฟู่พูดว่าถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างมากที่สุดคงขโมยแป้งย่างแผ่นเดียวหรือว่าหมั่นโถวลูกเดียว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำชอบกล ก็เลยไปรายงานกั่วฮุ่ยซือฟู่เจ้าอาราม ผลปรากฏว่ากั่วฮุ่ยซือฟู่พูดว่าระยะนี้ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง ทำให้มีชาวบ้านประสบภัยหลั่งไหลเข้าไปในซางโจวกับถงโจวเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วสองเมืองนี้ห่างจากหวาอินแค่ไม่กี่ร้อยลี้ น่าจะมีคนหนีความอดอยากมาถึงที่นี่ และฉวยจังหวะยามเที่ยงที่คนในอารามกำลังพักผ่อนหลบร้อนกันอยู่ ขโมยอาหารในเรือนครัวไป ส่วนยุ้งฉาง เห็นทีว่าจะมีการเตรียมการป้องกันอย่างรัดกุมไว้แต่แรกแล้ว”

นางจะเอ่ยเตือนเขาว่าแม่ชีอาวุโสทั้งสองในอารามล้วนระวังรอบคอบ มีความคิดอ่านเฉียบไว มิใช่มือชั้นธรรมดาเด็ดขาด ทั้งบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าอย่าทำอะไรส่งเดช หากเอาชีวิตนาง เขาก็อย่าได้หมายว่าจะหนีรอดไปได้โดยง่าย

“ถ้าจู่ๆ ข้าก็ไปถามไถ่อย่างนี้ กั่วฮุ่ยซือฟู่กับกั่วจื้อซือฟู่จะต้องสงสัยแน่นอน” แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ไม่กล้าตัดความหวังเขาเสียทีเดียว รักษาท่าทีมีน้ำใจไมตรีที่พึงมีไว้ดีกว่า “ข้ายังมีซาลาเปาไส้ผักสามสิบลูกที่เหลือจากอาหารเย็น หากท่านผู้กล้าไม่รังเกียจก็นำไปประทังหิวชั่วคราว รอเมื่อข้าค่อยๆ สืบถามจนได้ความว่าธัญพืชในอารามเก็บไว้ที่ไหนก็ยังไม่สาย”

เขาเพ่งมองนาง ดวงตามีแววบางอย่างวาบผ่านไป “มองไม่ออกว่าเจ้ายังพอมีความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ”

น้ำเสียงผ่อนคลายคลับคล้ายจะเจือรอยสัพยอกจางๆ

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป

เขากำลังว่านางอยู่ใช่ไหม นี่ถือว่าเป็นอะไร ชมเชย? ประชด?

ระหว่างที่หญิงสาวยังงุนงงอยู่ เขาลุกขึ้นยืนแล้ว

ในยามราตรีที่เงียบสงบไร้ผู้คน เสียงสวบๆ สาบๆ ยิ่งฟังดูดังกังวานชัดเจนเป็นพิเศษ

ฟู่ถิงจวินร้อนรนเป็นการใหญ่

ค่ำมืดดึกดื่นชายหญิงอยู่กันตามลำพัง หากมีคนพบว่าเขาอยู่ในห้องของนาง ต่อให้นางมีร้อยปากก็พูดให้กระจ่างไม่ได้แล้ว ประกอบกับตอนนี้ยังมีเรื่องของจั่วจวิ้นเจี๋ยอีก นางเตรียมรอถูกคนติฉินนินทาลับหลังเถอะ!

นางอยากจะจับชายเสื้อเขาไว้ใจแทบขาด

“เจ้าบอกว่ามีซาลาเปาไส้ผักมิใช่หรือ” เขาไม่กริ่งเกรงระวังอันใด แม้เสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบาลงสักนิด “ข้าจะเอาไป”

เขาออกคำสั่ง

ฟู่ถิงจวินกลับยินดีเหลือประมาณ

ได้ซาลาเปาแล้ว เขาก็สมควรออกไปได้แล้วกระมัง!

เมื่อคิดถึงว่าสามารถไล่เขาไปได้ นางก็ย่องลงจากเตียง ค้นหาผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มสำหรับห่อของผืนหนึ่งจากในตู้ลิ้นชัก

“นี่คืออะไร” ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น นางถึงขั้นได้กลิ่นกายของเขา

ฟู่ถิงจวินกระอักกระอ่วนมาก รีบเอ่ยขึ้น “นี่เป็น ‘ยาลูกกลอนสี่สมุนไพร’ ที่นำมาจากบ้าน”

นางลุกลนพูดอธิบายต่อด้วยกลัวเขาไม่เข้าใจ “ก็คือเอาน้ำแกงสี่สมุนไพร* มาทำเป็นยาลูกกลอน จะได้พกติดตัวสะดวก”

ผ้าผืนที่อยู่ในมือเป็นผ้าห่อสมุนไพรตอนภรรยาของซิวจู๋มาที่นี่คราวก่อน เมื่อครู่นี้ขณะรื้อหาผ้าห่อของเลยหยิบยาลูกกลอนสองสามขวดติดมือออกมาด้วย

เขานำขวดกระเบื้องคู่นั้นยัดเก็บเข้าไปในอกเสื้อโดยไม่บอกกล่าวสักคำเสมือนสิ่งของในตู้นี้เป็นของตนเอง

หญิงสาวนิ่งงันไปนานครู่หนึ่ง

ยาจะกินส่งเดชไม่ได้ มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดโทษมหันต์

นางคิดๆ แล้วยังคงเอ่ยขึ้น “ยานั่นมีสรรพคุณบำรุงเลือดลม”

เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้ว

ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง เมื่อความคิดที่น่ากลัวอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัว

เขาขโมยของกินไปเยอะแยะ แต่เว้นระยะไปแค่สองสามวันก็มาหาของกินอีก กระนั้นเขาไม่รื้อค้นหีบคันฉ่องบนโต๊ะของนาง กลับยึดยาลูกกลอนสองขวดไปเป็นของตัวเอง…หรือว่าเขาไม่ได้มีตัวคนเดียว

แล้วเขาเป็นใครเล่า

โจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับ หรือว่านักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิด

แต่คนจำพวกนี้ปกติล้วนอยู่ตัวคนเดียว

คนเร่ร่อน?

ในสภาพอากาศร้อนระอุ เขาพาครอบครัวรอนแรมอพยพย้ายถิ่นแต่ไม่มีอาหารน้ำดื่ม จนมีคนทนไม่ไหวล้มป่วยลง ดังนั้นของกินมากมายขนาดนั้นถึงประทังไปได้เพียงแค่สองสามวัน ซ้ำพอได้ยินว่าเป็นยาลูกกลอนมีสรรพคุณบำรุงเลือดลมก็รีบยัดเก็บเข้าไปในอกเสื้อทันที

ทว่าคนเร่ร่อนมีวรยุทธ์ดีอย่างเขาด้วยหรือ

ลำพังอาศัยแค่ว่ามีพละกำลังมากสักหน่อยคงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในหอจิ้งเยวี่ยอย่างปราศจากสุ้มเสียงได้หรอก

นางยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งไม่กระจ่างแจ้ง

เขาถือห่อผ้าไว้แล้ว “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”

พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่?

ฟู่ถิงจวินคล้ายถูกสาปให้กลายเป็นหิน ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เขาผลักบานหน้าต่างเปิดออกอย่างคล่องแคล่วง่ายดาย กระโจนขึ้นลงสองสามทีอย่างพลิ้วเบาดุจนกนางแอ่นหายลับไปในทิวต้นหลิว

เรื่องราวของจอมยุทธ์ที่เล่าขานกันในตำนานปรากฏจริงๆ ต่อเบื้องหน้าสายตานางแล้ว

ฟู่ถิงจวินอ้าปากตาค้าง

มีเสียงสุนัขเห่าหอนลอยแว่วอยู่ไกลๆ

สุนัขในลานเรือนของนางได้ยินเสียงก็ร้องเห่าตามไปด้วย

ลวี่เอ้อสะดุ้งตื่น

นางขยี้ตาอย่างงัวเงีย “คุณหนูเก้า ท่านลุกขึ้นมาทำไมหรือเจ้าคะ มีเรื่องอะไรเรียกบ่าวก็ได้”

“อื้อ” ฟู่ถิงจวินขานรับในลำคอ นางมองสาวใช้อยู่เป็นนานด้วยสีหน้าเลื่อนลอย จากนั้นขึ้นไปบนเตียงเหมือนคนละเมอ

ลวี่เอ้อเกาหัวอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้หญิงสาว แต่เพิ่งเดินไปถึงข้างเตียง ฟู่ถิงจวินกลับลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“คุณหนูเก้า นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ลวี่เอ้อถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีอะไร!” ฟู่ถิงจวินพูดเสียงอุบๆ อิบๆ สองสามคำแล้วดื่มชาไปครึ่งถ้วย…แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มพลุ่งพล่านเสมือนน้ำหยดลงในน้ำมันเดือด

เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่

นั่นมิใช่เกาะติดนางไม่ปล่อยหรือไร

ถ้านางสืบถามไม่ได้ความอะไรจะทำฉันใด

นางพลิกตัวคราหนึ่งอย่างกระสับกระส่าย

หรือนางต้องรู้เห็นเป็นใจกับโจรขโมย ช่วยเขาสืบหาว่ายุ้งฉางอยู่ที่ใดจริงๆ อย่างนั้นหรือ

เมื่อเช้านี้ป้าเฉินยังบอกอีกว่าคนเร่ร่อนพวกนั้นพเนจรไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นอาหารก็แย่งชิง เพื่อมันแล้วแม้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต

ถ้าเขารวบรวมคนเร่ร่อนมาปล้นสะดมยุ้งฉางของอารามปี้อวิ๋นจะทำอย่างไร

ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีแต่สตรี ถ้ามีคนจบชีวิตเพราะเหตุนี้จะมิใช่ความผิดของนางหรือ

หากรู้เช่นนี้แต่แรก ก็สมควรนำเรื่องนี้ไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงในใจพลางพลิกกายอีกคราหนึ่ง

ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปจะได้ประโยชน์อันใด ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกลับมาหานางอีก เวลานี้หากไปเล่าให้กั่วฮุ่ยซือฟู่ฟัง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องไปที่ลานด้านหลัง แค่กั่วฮุ่ยซือฟู่ถามคำเดียวว่า ‘ไฉนเจ้าเพิ่งมาบอกในเวลานี้’ นางจะตอบเช่นไร

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฟู่ถิงจวินตื่นมาด้วยหน้าตาซีดเผือดอิดโรย

ทุกคนรู้ถึงความวิตกกังวลของนาง เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครทักถาม

ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจอยู่ตลอดยามเช้า สุดท้ายนางเรียกตัวหานเยียนมา บอกให้อีกฝ่ายช่วยสืบถามเรื่องยุ้งฉาง ส่วนตัวนางเองยังไม่หายเจ็บคอ จึงไม่กล้าเปล่งเสียงพูด

หานเยียนวิ่งวุ่นอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ไม่ได้เรื่องอะไรสักนิด

จะทำประการใดดี

พอฟู่ถิงจวินคิดคำนึงว่าเขาจะกลับมาอีกในราตรีนี้ก็ผุดลุกผุดนั่งไม่หยุด

ครั้นสายตามองเห็นดวงตะวันคล้อยลับหลังเขาทางทิศประจิม นางก็อับจนหนทาง ได้แต่ให้หานเยียนไปขอซาลาเปาไส้ผักมาอีกสามสิบลูกด้วยความคิดที่จะใช้สิ่งนี้ทำคุณไถ่โทษ

หญิงสาวนอนลืมตาโพลงถึงกลางดึก เขามาถึงตรงเวลา

ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือลวี่เอ้อที่นอนเฝ้าอยู่ ล้วนไม่ส่งเสียงอะไรสักแอะ

ในใจนางยิ่งหวั่นกลัว

เมื่อชายหนุ่มรู้ว่านางเตรียมซาลาเปาไส้ผักไว้ให้สามสิบลูก และส่งสาวใช้หัวไวออกไปวิ่งวุ่นสืบถามทั้งวันแล้วยังไม่รู้ที่ตั้งของยุ้งฉาง เขาหาได้มีน้ำโหไม่ ทั้งมิได้จ้องนางเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบ หากแต่พูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่” แล้วก็ถือซาลาเปาสามสิบลูกจากไป

ประเดี๋ยวโหดเหี้ยมดุร้าย ประเดี๋ยวเป็นคนง่ายๆ ตรงๆ แล้วยังพูดว่า ’พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่‘ ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองเจียนจะคลั่งอยู่แล้ว

 

ยามเช้าตรู่ ป้าเฉินตามตัวลวี่เอ้อไป “ซาลาเปาไส้ผักพวกนั้นหายไปไหนหมด”

ลวี่เอ้อไม่รู้เช่นกัน แต่ยังพูดปกป้องฟู่ถิงจวิน “คุณหนูเก้าให้พวกข้าเอาไปเลี้ยงสุนัขเจ้าค่ะ”

ป้าเฉินนั่งดื่มชาไม่พูดไม่จาอยู่ที่เดิม บรรยากาศอึมครึมเหมือนดังพายุฝนตั้งเค้าทำให้นางขาสั่นไม่หยุด

ขณะที่นางรู้สึกว่าตนเองใกล้จะควบคุมสติไม่อยู่แล้ว ป้าฝานเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่ริมหูป้าเฉิน

ลวี่เอ้ออดเงี่ยหูฟังมิได้

แม้จะยืนอยู่ตรงหน้าป้าเฉิน แต่เสียงของป้าฝานเบาเกินไป นางแค่ได้ยินแว่วๆ อย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ทางจวนมีสารมา…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า…อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว…ให้ท่านระมัดระวัง…”

ไม่รอให้ป้าฝานกล่าวจนจบ ป้าเฉินบุ้ยใบ้บอกให้นางหยุดพูดแล้วบ่นขึ้นว่า “ตอนนี้ราคาข้าวสารในหวาอินเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งตั้น* สามตำลึงเงินสองเฉียน** แล้ว พวกเจ้าอย่าทำเหลวไหลตามใจคุณหนูเก้า เมื่อไหร่สมควรปรามก็ปรามๆ กันบ้าง” อะไรทำนองนี้ จากนั้นก็ให้ลวี่เอ้อออกไป

ลวี่เอ้อมองประตูบานใหญ่ที่ปิดแน่นแวบหนึ่ง ก่อนวิ่งตัวปลิวไปทางเรือนใหญ่อันเป็นที่พำนักของฟู่ถิงจวิน

 

’ทางจวนมีสารมา…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า…อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว…ให้ท่านระมัดระวัง…’

นี่หมายความว่าอะไรนะ

ใครเป็นคนเขียนสาร ป้าสะใภ้ใหญ่ต้องการให้ป้าเฉินทำอะไร แล้วใครจะกลับมา ทำไมต้องกำชับกำชาให้ป้าเฉินระมัดระวังเป็นพิเศษ

ฟู่ถิงจวินเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความร้อนรนหงุดหงิดระคนโกรธเกรี้ยวน้อยๆ

สาวใช้ทั้งสองมองนางตาละห้อย “คุณหนูเก้า พวกเราจะทำอย่างไรเจ้าคะ”

ฟู่ถิงจวินหยุดฝีเท้าลง

เรื่องนี้ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไหร่ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อนางเท่านั้น

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าลังเลใจอีก

ถึงคราวเด็ดขาดแต่ไม่เด็ดขาด จะกลายเป็นความยุ่งยากตามมาไม่สิ้นสุด

นางมองหานเยียนพลางเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าไปในยามเที่ยงวันนี้เลย”

“หา!” หานเยียนกับลวี่เอ้ออ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง

ฟู่ถิงจวินพยักหน้า พูดเสียงเบาๆ “หนนี้ให้ลวี่เอ้อพูดคุยกับพวกป้าฝานในโถงกลาง ถ้ามีคนถามถึงหานเยียน เจ้าก็บอกว่าถูกข้าเรียกตัวมาที่ห้อง ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่”

“ถ้าเกิดป้าเฉินจะเข้ามาดูเหมือนคราวก่อนล่ะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อมองหานเยียนแวบหนึ่ง ถามอย่างเป็นกังวล

“ข้าจะรับหน้าเอง” สีหน้าของฟู่ถิงจวินฉายแววมุ่งมั่นกล้าหาญประหนึ่งพร้อมจะทุบหม้อจมเรือ

ป้าเฉินจับตาดูพวกนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ พอหานเยียนหายตัวไป คงเป็นไปไม่ได้ที่คิดจะปิดบังป้าเฉิน และทันทีที่ป้าเฉินจับได้จะต้องมีเรื่องมีราวกันแน่ ในเมื่อถึงอย่างไรก็ต้องหมางใจกัน เรื่องอาการเจ็บคอกับแผนการที่อุตส่าห์วางไว้มาตลอดหลายวันนี้ ป้าเฉินจะล่วงรู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญแล้ว อีกทั้งยิ่งทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ผู้ดูแลอย่างป้าเฉินก็ยิ่งปลีกตัวออกไปไม่ได้โดยง่าย จะยื้อเวลาให้หานเยียนได้บ้างพอดี

ขอแค่ได้พบท่านแม่ เรื่องนี้ก็มีโอกาสพลิกสถานการณ์

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อขานรับเสียงหนัก

ฟู่ถิงจวินพูดกำชับหานเยียนอีก “พวกสุนัขอยู่ในลานด้านหน้า เจ้าปีนออกไปทางหน้าต่างห้องปีกตะวันออก แต่ถ้าเกิดเจอสุนัขก็โยนซาลาเปาให้มันกิน ข้าเคยฟังแม่นมเล่าว่าคนชนบททำแบบนี้กับสุนัขดุๆ แล้วก็ต้นไม้ต้นนั้น ข้าเคยปีนขึ้นไปแล้ว แข็งแรงมาก มันมีกิ่งยื่นออกไปนอกกำแพงรั้ว เจ้าพกผ้าคาดเอวไปหลายๆ ผืน พอถึงตอนนั้นเอาผูกยึดกับกิ่งไม้ทำเป็นเชือกไต่ลงไปก็จะออกจากอารามปี้อวิ๋นได้แล้ว พอออกไปด้านนอกจะเป็นถนนหลวงสายหนึ่ง มีรถม้าแล่นผ่านเป็นระยะ เจ้าไม่ต้องตระหนี่เงินทอง เร่งรุดกลับเข้าเมืองให้ได้โดยไว

ส่วนทางนี้ข้าสามารถถ่วงเวลาได้อย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม แม่นมข้ามีพี่น้องบุญธรรมคนหนึ่งเป็นคนงานหญิงอยู่เรือนหน้าแซ่หมี่ นางยังเคยได้รับความเมตตาจากข้าด้วย ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งตรงกลับไปที่จวน ให้ไปหาป้าหมี่แล้วไต่ถามสถานการณ์ในจวนก่อน หากไม่เข้าทีจริงๆ ก็ให้นางหาทางส่งข่าวไปบอกท่านแม่ข้า ท่านแม่จะคิดวิธีพาเจ้าเข้าไปในจวนเอง ข้ายังจะเขียนสารถามไถ่ทุกข์สุขของผู้อาวุโสในจวนสักฉบับให้เจ้าพกติดตัวไว้ ถ้าเกิด…” นางกล่าวเสียงขรึม “มีสารเป็นหลักฐาน เจ้าจะได้ไม่ถูกใส่ความว่าเป็นทาสที่หลบหนี”

หานเยียนคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อยที่คุณหนูเก้าจะไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบมาก โดยเฉพาะยังเขียนสารฉบับหนึ่งให้นางพกติดตัวไว้

นางตื้นตันใจน้อยๆ “คุณหนูวางใจได้ ข้าจะต้องหาทางพบนายหญิงห้าให้ได้เจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะ

ลวี่เอ้อไปที่เรือนครัว ขอให้ทำซาลาเปาไส้ผักจานหนึ่งมาให้ตอนมื้อกลางวัน

หานเยียนหาผ้าคาดเอวหนาๆ หลายผืนมาผูกต่อกันเป็นเชือกยาวๆ เส้นหนึ่ง

หลังจากฟู่ถิงจวินเขียนสารจบก็ใช้ผ้าสีขาวผืนหนึ่งห่อเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ราวๆ ห้าหกตำลึง นางยังหยิบกำไลเงินกับตุ้มหูเงินอย่างละคู่หนึ่งในหีบคันฉ่องออกมามอบให้หานเยียน “ถ้าเกิดเงินไม่พอ กำไลกับตุ้มหูพวกนี้ยังใช้เป็นประโยชน์ได้ในยามจำเป็น” หานเยียนรับมาเก็บไว้เป็นอย่างดี

ทุกคนกินอาหารมื้อเที่ยงกันอย่างเงียบๆ

หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกป้าฝานมานั่งคุยกันในโถงกลางโดยอ้างว่าอยากรับลมเช่นเคย ลวี่เอ้อยกน้ำชาไปให้และนั่งลงร่วมวงกับพวกนางได้อย่างแนบเนียนไร้พิรุธ ขณะที่ฟู่ถิงจวินกลับไปที่ห้องนอนกับหานเยียน นางช่วยหานเยียนปีนข้ามหน้าต่างห้องปีกตะวันออกไปแล้วก็งับหน้าต่างปิดแล้วนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบเพื่อรอป้าเฉินมา

 

วันนั้น ฟู่ถิงจวินรอคอยจนถึงยามโหย่ว* ป้าเฉินจึงเพิ่งมาถึงอย่างล่าช้ากว่าปกติ

ข้างหลังนางยังมีหานเยียนซึ่งอาภรณ์ยับยู่ยี่ ทำหน้าม่อยเดินกะเผลกๆ ตามมา

ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไปในพริบตา

“คุณหนูเก้า” ป้าเฉินทำสีหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ หากแต่แฝงไว้ด้วยโทสะอย่างปิดไม่มิด “ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”

ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!’ จะมีอะไรน่าพูดอีก

ฟู่ถิงจวินยืนขึ้นอย่างแช่มช้า มองป้าเฉินปราดหนึ่งด้วยสายตาปึ่งชาแล้วเอ่ยถามหานเยียน “บาดเจ็บตรงไหนบ้าง เป็นอะไรมากหรือไม่”

น้ำเสียงนางติดจะแหบพร่า หากเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

ป้าเฉินนึกว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์พลุ่งพล่าน สุ้มเสียงถึงเปลี่ยนไปบ้าง เลยมิได้เก็บมาใส่ใจ

หานเยียนกลับมีน้ำตาเอ่อท้นขอบตา “คุณหนู บ่าวไม่เอาไหนเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ความพยายามอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า” ฟู่ถิงจวินกล่าวปลอบสาวใช้พร้อมทั้งมองสำรวจตัวนาง “ตกลงว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่ อย่าอดทนไว้ไม่พูดนะ ถ้ามีอาการเรื้อรังอะไรขึ้นมาจะแย่เอาได้”

หานเยียนส่ายหน้า เริ่มร่ำไห้เบาๆ

ฟู่ถิงจวินเอ่ยสั่งลวี่เอ้อ “ให้ป้าฝานตักน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้หานเยียน แล้วค่อยไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่ว่าหานเยียนได้รับบาดเจ็บ เชิญท่านมาดูอาการ”

กั่วฮุ่ยซือฟู่รู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ในฤดูร้อนนางจะต้มน้ำดอกไม้หกชนิด ส่วนในฤดูหนาวจะทำยาเม็ดสมุนไพรรวมแล้วส่งมาให้สกุลฟู่ พวกบ่าวไพร่พอเป็นไข้แดดในฤดูร้อนจะขอน้ำดอกไม้มาดื่ม เมื่อโดนความเย็นในฤดูหนาวก็จะกินยาเม็ดสมุนไพร

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อซึ่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ขานตอบอย่างลุกลน นางชำเลืองมองป้าเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะสะกิดเรียกป้าฝานที่ยืนงงอยู่กับที่ดุจเดียวกันอย่างขลาดๆ “ทะ…ท่านช่วยตักน้ำมาให้พวกข้าเถอะ!”

ป้าฝานทำสีหน้าละล้าละลังมองไปทางป้าเฉิน

ฟู่ถิงจวินแลมองพลางแค่นเสียงฮึ เอ่ยเสียงแข็งกร้าว “เจ้าไม่ต้องมองป้าเฉิน นางจะใหญ่โตสักแค่ไหนก็เป็นบ่าวของสกุลฟู่ข้า เว้นเสียว่าสกุลฟู่กำลังจะล่มจม ไม่เช่นนั้นอย่างไรก็ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง”

นางหันไปมองป้าเฉิน “ป้าเฉิน ข้ากล่าวถ้อยคำนี้ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่”

ป้าเฉินไม่ปริปาก จ้องตานางอย่างพินิจ

ฟู่ถิงจวินสบตานางตรงๆ

ความเงียบงันทำให้บรรยากาศตึงเครียดคุกรุ่น

พวกป้าฝานล้วนขยับเปลี่ยนท่ายืนอย่างกระสับกระส่าย

แววตาของฟู่ถิงจวินคมปลาบยิ่งขึ้น

ดวงตาป้าเฉินอ่อนแสงลงน้อยๆ นางหลุบตาลง มีรอยยิ้มเอือมระอาผุดขึ้นบนริมฝีปาก นางย่อเข่าคารวะอย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาๆ “คุณหนูเก้า ท่านรับผิดชอบผลที่ตามมาเองเถอะ” ว่าแล้วก็หมุนกายออกไป

ป้าฝานเรียกคนไปตักน้ำเป็นการใหญ่

ลวี่เอ้อระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นวิ่งไปทางเรือนพำนักของกั่วฮุ่ยซือฟู่

ฟู่ถิงจวินทดท้อใจ

หานเยียนคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง

“คุณหนูเก้า เป็นเพราะข้าคนเดียวที่ทำให้คุณหนูเสียเรื่อง” นางหลั่งน้ำตาดุจสายฝน “ระหว่างทางลงจากเขา ข้าหกล้มจนข้อเท้าแพลง ต้องลำบากแทบแย่กว่าจะไปถึงเชิงเขา ข้ารออยู่เป็นนานถึงมีรถม้าผ่านมาคันหนึ่งเลยทำให้เสียเวลาไป พอเพิ่งออกจากเขาซีเสียไม่ทันไรก็ถูกป้าเฉินสกัดเอาไว้แล้ว…”

“พวกเราต่างพยายามเต็มที่แล้ว” ฟู่ถิงจวินพยุงนาง “พักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน สวรรค์ย่อมชี้ทางออกให้เสมอ ข้าจะคิดหาวิธีอื่นอีก”

“เจ้าค่ะ” หานเยียนขานรับด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

พวกป้าฝานตักน้ำเข้ามา หลังจากนั้นไม่นานกั่วฮุ่ยซือฟู่ก็รุดมาถึง

หานเยียนข้อเท้าแพลง ซ้ำยังมีบาดแผลตามตัวเล็กน้อย กั่วฮุ่ยซือฟู่ใช้น้ำบ่อประคบให้นางแล้วทิ้งยาขี้ผึ้งไว้ให้หลายก้อนโดยมิได้ซักถามอะไรสักคำเดียว “แปะบนแผลสองสามเทียบก็จะหายดี”

เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ใต้ชายคาหอจิ้งเยวี่ยแขวนโคมไฟสีแดงสดใสไว้แล้ว

ลวี่เอ้อออกไปส่งกั่วฮุ่ยซือฟู่แล้วเข้ามาปรนนิบัติฟู่ถิงจวินกินอาหารเย็น

ไหนเลยหญิงสาวจะกินลง ในใจนางคิดคำนึงว่าขณะนี้ทุกคนคงกำลังหัวเราะเยาะตนเองอยู่ ฉะนั้นนางยิ่งต้องสุขุมเยือกเย็นและจะว้าวุ่นใจแม้แต่น้อยนิดไม่ได้

หญิงสาวบังคับตัวเองให้กินโจ๊กไปชามหนึ่งกับผักดอง จากนั้นไปเยี่ยมหานเยียน ไถ่ถามอาการของนางแล้วถึงกลับห้อง

ทำอย่างไรดี

แผนการล้มเหลวแล้ว ต่อไปป้าเฉินต้องเฝ้านางอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

คนที่จวนทำเช่นนี้หมายความว่าอะไรกันแน่ ให้นางพักอยู่ในอารามปี้อวิ๋นไปเรื่อยๆ กระทั่งป้าเฉินส่งสารกลับไปบอกว่าอาจจะมีคนเร่ร่อนมารบกวนก็ยังไม่คิดจะให้นางกลับไป

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินกลั้นหายใจ

พวกเขาไม่กลัวว่านางจะพบกับอันตราย…

ไม่! ไม่! ไม่!

ปีที่นางเกิด ฤดูใบไม้ผลิมาถึงช้าเป็นพิเศษ จวบจนกลางเดือนสามแล้ว ลมพัดกระทบใบหน้ายังปราศจากกระไอความเย็น

ในเรือนของท่านย่าปลูกต้นจำปาแดงที่อาหญิงส่งมาให้ท่านเป็นของขวัญวันเกิดจากหนานจิง มันแตกหน่อเต็มต้นแล้วแต่ไม่ออกดอกสักที

ครั้งแรกที่มันออกดอก มีข่าวส่งจากเมืองหลวงว่าท่านพ่อสอบขุนนางผ่านได้เป็นฮุ่ยหยวน* ต่อมาเหลนชายคนโตของสกุลออกมาลืมตาดูโลก ท่านย่าซึ่งล้มป่วยมานานก็หายสนิท ลุงใหญ่กับท่านพ่อได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในช่วงดอกไม้บาน ท่านย่าจึงถือมันเป็นของมงคลนำโชคเสมอมา

ท่านย่าอดนึกกังขามิได้ ’เป็นเพราะไปล่วงเกินเทพบุปผาเข้าหรือเปล่านะ‘ กระนั้นในใจกลับลอบตรึกตรอง หรือว่าจะถึงอายุขัยแล้ว

ท่านไม่เพียงส่งป้าหลีไปดูแลต้นจำปาแดงต้นนั้นด้วยตนเอง ยังไปขอผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์จากอารามจิ่วเซียน อีกทั้งเชิญกั่วฮุ่ยซือฟู่มาทำพิธีด้วย

ต้นจำปาแดงก็ยังคงไม่ออกดอกดังเก่า

ท่านย่าค่อยๆ หมดกำลังใจลงทุกที

พอผ่านเทศกาลตวนอู่** ไป ท่านก็ลุกจากเตียงไม่ไหวแล้ว

แต่แล้วบุปผากลับเบ่งบานในชั่วข้ามราตรี

ดอกชูช่องามดุจดอกบัวมีขนาดใหญ่เท่าจอกชา กลีบดอกสีแดงเพลิง โชยกลิ่นหอมแรงฟุ้งกระจาย บานสะพรั่งสวยงามจับตายิ่งกว่าปีกลายสามส่วน

ท่านย่ายินดีสุดจะกล่าว

สาวใช้ตัวน้อยเข้ามารายงาน ’นายหญิงห้าได้บุตรสาวเจ้าค่ะ’

วันนั้นเป็นวันที่สิบแปดเดือนห้า

ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงนางอยู่ในลำดับที่เก้า

วิถีฟ้าเก้าขั้น***

’หรือว่ามันกำลังรอคอยหลานเก้าคลอดออกมา‘ ท่านย่าคิดคำนึงในใจ

นับจากนั้นท่านก็ปฏิบัติต่อนางต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ

ยังมีท่านแม่อีกคน

ท่านให้กำเนิดบุตรชายสี่คน บุตรสาวสี่คน ทว่ามีแค่พี่ชายคนโตถิงกุ้ยกับนางที่เลี้ยงรอดมาจนเติบใหญ่

พี่ชายคนโตอายุมากกว่านางสิบสองปี

ท่านแม่มักโอบนางพลางพูด ’ถิงจวินเป็นเหมือนเสื้อนวมอุ่นอกมารดา****!’

นางต้องคิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะไปเองเป็นแน่

ใช่…คิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะไปเอง

แต่ครั้นความคิดบังเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็หยุดยั้งไว้ไม่อยู่

สกุลอวี๋กับสกุลฟู่ล้วนเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา ถ้าปราศจากเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะสมจะถอนหมั้นไม่ได้

ถ้าสกุลฟู่อยากให้นางออกเรือนไปกับจั่วจวิ้นเจี๋ย ก็ต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลอวี๋

จะอย่างไรสกุลฟู่คงบอกกับสกุลอวี๋ไม่ได้ว่าคุณหนูเก้าของสกุลเรามีสัมพันธ์ลับกับคนอื่นกระมัง แล้วก็พูดไม่ได้ว่าคุณหนูเก้าของสกุลเราเป็นโรคร้ายกระมัง

จั่วจวิ้นเจี๋ยเอาเสื้อเอี๊ยมของนางมาข่มขู่คนสกุลฟู่ บ่งบอกว่าเขาไม่ไว้หน้าเกรงใจแล้ว ในรูปการณ์อย่างนี้ สกุลฟู่จะตีมุสิกก็เกรงข้าวของแตกหัก ไหนเลยจะกล้าคัดง้างกับจั่วจวิ้นเจี๋ย หาไม่แล้วเกิดเรื่องลุกลามใหญ่โตขึ้นมา สกุลฟู่จะตอบสกุลอวี๋เช่นไร แล้วสกุลฟู่กับสกุลอวี๋จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน โดยเฉพาะสกุลอวี๋ซึ่งเป็นตระกูลโด่งดังทรงเกียรติ หากได้รับความอัปยศขนาดนี้จะยอมเลิกราแต่โดยดีหรือไร เมื่อนั้นไม่เพียงผูกดองไม่สำเร็จยังกลับกลายเป็นศัตรูกัน สกุลฟู่แบกรับผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ไหว

คิดถึงตรงนี้ฟู่ถิงจวินรู้สึกลำคอแห้งผาก เหงื่อผุดเต็มศีรษะ

ถ้านางเป็นประมุขสกุลฟู่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นท่านย่า จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นท่านแม่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นลุงใหญ่ จะทำอย่างไร

ฟู่ถิงจวินยิ่งคิดยิ่งตระหนก ยิ่งคิดยิ่งหวั่นใจ

บานหน้าต่างกรุด้วยกระดาษเกาลี่เป็นสีขาวสะอาด ถูกแสงโคมไฟใต้ชายคาอาบย้อมเป็นสีแดงสด

มีเงาดำสายหนึ่งโฉบผ่านไป หน้าต่างเปิดออกแล้วปิดลงดังเก่าอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ในกาลก่อนความกลัดกลุ้มข้อใหญ่ที่สุดของฟู่ถิงจวินก็แค่กลัวว่าหลังจากออกเรือนไปยังสกุลอวี๋จะปรับตัวให้คุ้นเคยกับชีวิตในเจียงหนานไม่ได้ นางไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะมีคนใช้วิธีโสมมใส่ร้ายป้ายสีตนเช่นนี้ แม้ว่านางจะตกที่นั่งลำบากถึงเพียงนี้แล้ว แต่พอนางคิดถึงท่านแม่ที่รักนางและท่านย่าที่เอ็นดูนางก็ยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องนี้ยังมีโอกาสกู้สถานการณ์คืนมาได้ มิได้ย่ำแย่ถึงขั้นจนตรอก

ทว่าชั่วขณะนี้ นางไม่หลงเหลือความมั่นอกใจมั่นอย่างนั้นอีกสืบไป

หญิงสาวย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มไม่เป็นสุข

ฟู่ถิงจวินยังจำได้ว่าเมื่อสมัยยังเยาว์วัย พวกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงชอบเล่นกันอยู่ในเรือนท่านย่า

ท่านย่าจะมองดูพวกนางด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นเป็นนิจ อยากกินอะไรก็จะรีบเรียกบ่าวไพร่ให้ไปทำ อยากใส่อะไรก็ไปเปิดห้องเก็บของหยิบมาให้ทันที ทำจานชามแตกหักก็ไม่โกรธเคือง ทำของหายก็ไม่ร้อนใจ ทว่าถ้ามีคนใดทำผิดธรรมเนียมที่อยู่ใน ’คำสอนสตรี’* ของสกุลฟู่ ท่านย่ากลับไม่ยกโทษให้โดยง่าย

พวกนางพี่น้องล้วนเคยถูกท่านย่าลงโทษให้คุกเข่ากันมาแล้วถ้วนหน้า

ทุกคราที่โดนลงโทษให้คุกเข่า ป้าหลีที่รับคำสั่งจากท่านย่าจะพร่ำบ่นอยู่ด้านข้าง ’พวกคุณหนูได้สวมใส่แพรพรรณชั้นดี ได้กินอาหารเลิศรส ยามออกนอกจวนมีรถม้า มีบ่าวไพร่ติดสอยห้อยตาม ทุกวันแค่ต้องตื่นนอนทันทีตอนยามเฉิน** ท่องตำรา ’จรรยาสตรี’*** ฝึกหัดวิชาการบ้านการเรือนเท่านั้นเอง ไฉนทนไม่ไหวเสียแล้วเล่า! อย่าลืมว่าสกุลฟู่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาโดยอาศัยธรรมเนียมนี้ พวกท่านเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ ในเมื่อได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่ ก็สมควรรักษาธรรมเนียมสกุลฟู่ถึงจะถูก จะเอาแต่สุขสบายถ่ายเดียวโดยไม่ลงแรงมีที่ไหนกันเล่า คนใดที่ทำลายธรรมเนียมสกุลฟู่ คนผู้นั้นก็คือผู้ทำลายความบากบั่นพากเพียรมาหลายชั่วรุ่นของสกุลฟู่ คนผู้นั้นไม่คู่ควรเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ แล้วก็ไม่คู่ควรได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่เช่นกัน!’

เมื่อก่อนนางมีฝีมือเย็บปักถักร้อยดีที่สุด และร่ำเรียนตำราเก่งที่สุด แต่ไรมาจึงไม่เคยขบคิดถ้อยคำของป้าหลีมาก่อน

บัดนี้เพียงรู้สึกว่าสันหลังเย็นวาบๆ

ฉับพลันนั้นก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกคอ ศีรษะของนางก็ชนเข้ากับแผงอกแข็งๆ

มันเป็นแผงอกของบุรุษชัดๆ แต่ในห้องจะมีบุรุษได้อย่างไร

นางตกใจจนหน้าซีด อ้าปากตั้งท่าจะกรีดร้อง

มีคนปิดปากนางไว้

“เจ้ามีสติสักหน่อยมิได้รึ!” สุ้มเสียงทุ้มห้าวเจือความหงุดหงิดอยู่หลายส่วน

ฟู่ถิงจวินไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด

ใจนางหล่นดังตุบ

แย่แล้วๆ นางลืมเรื่องเขาไปสนิทใจเลย!

แม้แต่ซาลาเปาไส้ผักก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้

นางยิ้มเจื่อนๆ ลุกลนเอ่ยขึ้น “วันนี้สาวใช้ข้าข้อเท้าแพลง เลยไม่ทันได้สืบถามเรื่องยุ้งฉาง ส่วนซาลาเปาก็ไม่ได้เตรียมไว้…”

ฟู่ถิงจวินไม่ได้จุดตะเกียง มองเห็นอะไรไม่ชัด รู้แค่ว่าเขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างทำจากผ้าเนื้อหยาบ เนื้อตัวสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นเหม็นอะไร

ชายหนุ่มผงกศีรษะ แม้สีหน้าเรียบเฉยอ่านความรู้สึกไม่ออก แต่มิได้ถามอะไรต่อ ดูไม่มีท่าทีว่าจะตำหนิที่นางทำงานบกพร่อง

ฟู่ถิงจวินลอบระบายลมหายใจ

เขาโพล่งขึ้น “ยาลูกกลอนสี่สมุนไพรนั่น เจ้ายังมีอีกหรือไม่”

นางประหลาดใจมาก “ไม่มีแล้ว”

เขาเม้มปากน้อยๆ

นางสัมผัสได้ว่าเขาไม่สบอารมณ์

ครั้นคิดไปถึงว่าเรื่องที่เขาให้นางทำไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็พาให้กระวนกระวายใจกะทันหัน นางลุกลนเอ่ย “ท่านผู้กล้า ไม่ทราบว่ามีคนป่วยเป็นอะไรท่านถึงต้องการยานี้ กั่วฮุ่ยซือฟู่ในอารามนี้มีวิชาแพทย์สูงส่ง หรือไม่พรุ่งนี้ข้าจะขอยาที่ถูกโรคให้”

ดวงตาคู่นั้นมีรอยลังเลผุดวาบขึ้น เขากล่าวขึ้นอย่างฉับไว “ข้ามีพี่น้องคนหนึ่ง ถูกเสือตะปบได้รับบาดเจ็บ”

ที่แท้พวกเขาเป็นนายพราน

มิน่าสวมอาภรณ์เก่ามอซอแต่มีฝีมือยุทธ์ดีเช่นนี้

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในใจของฟู่ถิงจวินผ่อนคลายลง “ท่านผู้กล้าวางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะขอยาสมานแผลให้ท่านเอง”

เขาพยักหน้า หมุนกายออกเดินไป ทว่าเพิ่งย่างเท้าไปสองก้าวก็ชะงักกึก นางรู้สึกตาพร่าลายวูบหนึ่ง คนก็หายไปแล้ว

ฟู่ถิงจวินตกใจตาค้าง นางสอดส่ายสายตามองหา ก่อนจะพบว่าเขานั่งอยู่บนขื่อห้อง

นางคิดจะเอ่ยถามเขาว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ก็ดูเหมือนที่นอกห้องมีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง

พอนางเงี่ยหูฟังก็ดูเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก

ขณะที่กำลังนึกประหลาดใจ นางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา

ฟู่ถิงจวินเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง

เขาทำไม้ทำมือบอกนางว่าอย่าเหลียวซ้ายแลขวา

ฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกทีและหยุดลงตรงหน้าประตู “คุณหนูเก้า นี่ป้าเฉินเองเจ้าค่ะ”

นางมาทำอะไร

ถ้าจะพูดถึงผู้ที่ฟู่ถิงจวินไม่อยากพบหน้ามากที่สุดในยามนี้ คนผู้นั้นก็คือป้าเฉินนี่เอง

“มีเรื่องอะไร” สุ้มเสียงของหญิงสาวเย็นชา

“ลวี่เอ้อต้องดูแลหานเยียน ข้าเลยคิดขึ้นได้ว่าที่ห้องคุณหนูเก้าไม่มีบ่าวเฝ้าผลัดดึกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของป้าเฉินก็เฉยเมยพอกัน “เมื่อก่อนบ่าวเคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน ยังพอรู้ธรรมเนียมอยู่บ้าง ช่วงที่หานเยียนล้มป่วยอยู่นี้ให้บ่าวนอนเฝ้าคุณหนูเก้าเถอะเจ้าค่ะ” นี่มิใช่ถามความเห็นของนาง แต่เป็นการบอกให้รับทราบเท่านั้น

ภายในใจฟู่ถิงจวินเดือดพล่านด้วยไฟโทสะอย่างสุดระงับ

นี่เป็นการเฝ้าผลัดดึกที่ไหนกัน นางต้องการจับตาดูตนเองชัดๆ

“ป้าเฉินเป็นคนข้างกายท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าเป็นผู้น้อย ไหนเลยจะกล้าเรียกใช้” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงเยาะๆ “คงไม่รบกวนป้าเฉินแล้ว” นางกล่าวตบท้าย “ดึกแล้ว ข้ารู้สึกเหนื่อยๆ อยากเข้านอนแต่หัวค่ำ คงไม่คุยกับป้าเฉินมากมายแล้ว”

คนนอกประตูนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะบอกคนยกเตียงไม้ไผ่มาให้ข้านอนใต้ชายคาเรือนคุณหนูเก้าสักคืนก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

นี่ป้าเฉินคิดจะตั้งแง่กับนางให้ถึงที่สุดสินะ!

“ดีที่อากาศร้อนอบอ้าว ป้าเฉินเลยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องนอนหนาว” ฟู่ถิงจวินเบะปาก ลงดาลประตูเสียงดังปึงปัง แสดงให้รู้ว่าตนเองไม่ต้อนรับนาง

ป้าเฉินตะโกนเรียกป้าฝานให้ยกเตียงไม้ไผ่มา

ด้านนอกมีเสียงดังระลอกหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินโมโหจนตัวสั่น

เขากระโดดลงมาจากขื่อห้อง ไม่บังเกิดเสียงใดแม้แต่น้อย

นางมองเขาอย่างตะลึงลาน

เขาเลิกคิ้วสูงราวกับจะบอกว่านางตื่นตูมเกินกว่าเหตุ

จริงสิ ทั้งกำแพงสูงลิบของอารามปี้อวิ๋น ทั้งสุนัขตัวใหญ่ดุร้ายล้วนขวางกั้นเขามิได้ นับประสาอะไรกับหอจิ้งเยวี่ยเล็กๆ

ทว่าเขาอยู่ในห้องนางแบบนี้ก็ไม่เข้าที

นางกวักมือเรียกเขาให้ตามมา จากนั้นเดินไปผลักหน้าต่างห้องปีกตะวันออกให้เปิดออก

หน้าต่างไม่ขยับสักนิด

นางออกแรงเพิ่มขึ้น

หน้าต่างยังคงไม่ขยับเขยื้อน

นางแจ่มแจ้งในบัดดล

ในเมื่อความเคลื่อนไหวของหานเยียนถูกจับได้ เช่นนั้นหานเยียนออกไปอย่างไรป้าเฉินต้องรู้แน่นอนเหมือนกัน เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ป้าเฉินคงจะส่งคนมาตอกปิดหน้าต่างจากทางด้านนอก

ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้วน้อยๆ

ห้องนอนอยู่ทางด้านขวา นอกจากหน้าต่างบานที่หันไปทางทิศตะวันออกยังมีอีกบานหนึ่งหันไปทางทิศใต้อยู่ใต้ชายคาเรือน ซึ่งก็คือที่ที่ป้าเฉินวางเตียงไม้ไผ่อยู่ในเวลานี้ ยังมีอีกทางหนึ่งที่สามารถออกไปได้ก็คือประตูห้องนอน

นางแลลอดรอยแยกของประตูมองออกไป

ด้านนอกมีคนงานหญิงสองคนคุยกระซิบกระซาบกันไปพลางปูที่นอนกับพื้นไปพลาง

ดูท่าทางได้แต่รอพวกนางหลับแล้วค่อยว่ากันอีกที!

นางหันไปส่ายหน้ากับเขาเป็นเชิงบอกว่าเขายังออกไปไม่ได้ชั่วคราว

เขากลับชี้ไปที่หลังคา

ไม่ว่าแก้วหลากสีหรือสิ่งของจากดินแดนตะวันตกล้วนหายากและล้ำค่าอย่างมาก ต่อให้เป็นสกุลฟู่ก็เพิ่งจะกรุบานประตูหกบานในห้องโถงกลางด้วยแผ่นแก้วสีเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ขณะที่บ้านเรือนทั่วไปจะกรุด้วยกระดาษ แต่ถ้าภายในห้องทึมทึบแม้ในยามกลางวัน หลังคาส่วนหนึ่งจะมุงด้วยแผ่นกระเบื้องโปร่งแสง* ไม่กี่แผ่นเพื่อให้แสงแดดพอลอดเข้ามาได้

ฟู่ถิงจวินงุนงง

ชายหนุ่มเหินกายขึ้นไปบนขื่อห้อง จากนั้นแค่เขย่งส้นเท้าก็แตะถูกแผ่นกระเบื้องโปร่งแสง เขาดึงมันออกอย่างเบาไม้เบามือ

นางตะลึงพรึงเพริด

เรือนพำนักและห้องหับที่ตนเองนึกว่าปลอดภัย สำหรับเขาแล้วเปรียบดั่งที่รกร้างว่างเปล่า

ใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดขัดขวางเขาได้อีก

สมดังคำว่าแผ่นฟ้ากว้างวิหคโบยบินอย่างเสรี ท้องนทีไพศาลมัจฉาแหวกว่ายได้ดั่งใจ

สีหน้านางนิ่งขึงไป

ทำไมไม่…

นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ครั้นเห็นว่าเขาเจียนจะดึงแผ่นกระเบื้องโปร่งแสงออกหมดแล้ว นางก็กวักมือเรียกเขา

ภายใต้แสงจันทร์ เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน แต่ยังคงกระโดดลงมา

“ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านผู้กล้าเรื่องหนึ่ง” นางยืนตัวตรงหันหลังให้หน้าต่าง ใบหน้าซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด ทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัดถนัดตา “ท่านก็เห็นแล้วว่าสถานการณ์ข้ายังน่าวิตก เรื่องที่ท่านไหว้วานข้า เกรงว่าจะลำบากอยู่สักหน่อย”

“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็ยุติเท่านี้เถอะ” เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ขอแค่เจ้าไม่เปิดเผยเบาะแสของข้า ข้าก็จะไม่มารบกวนเจ้าอีก…”

คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนพูดง่ายอย่างนี้

ฟู่ถิงจวินโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ไม่ใช่ๆๆ ท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว” นางหยุดเว้นจังหวะก่อนพูดกระซิบ “หลายวันก่อนข้าผิดใจกับลูกผู้พี่ผู้น้องเลยถูกท่านย่าลงโทษ ส่งตัวมาสำนึกผิดที่อารามปี้อวิ๋น พอคิดถึงว่าท่านแม่อยู่ที่จวนต้องทุกข์ใจเป็นห่วงข้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ อยากเขียนสารถึงท่าน แต่บ่าวไพร่พวกนี้กลับได้รับคำสั่งของท่านย่า ไม่ให้ข้าออกนอกหอจิ้งเยวี่ย

ทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงช่วยมิได้ที่จะทำอะไรไม่ถี่ถ้วนไปบ้าง ตอนนี้แม้สาวใช้ของข้าคนหนึ่งไม่สบาย คนหนึ่งต้องดูแลคนป่วย แต่ข้าก็สามารถตั้งอกตั้งใจจัดการเรื่องที่ท่านผู้กล้าไหว้วานได้ ไม่ว่าท่านต้องการธัญพืชหรือยาสมุนไพร ข้าจะหาวิธีช่วยท่านเอง เพียงแต่ข้าห่วงใยท่านแม่จริงๆ ท่านจะช่วยส่งสารถึงท่านแม่ข้าได้หรือไม่” นางมิได้มีเจตนาโกหกเขา คนเรารู้จักกันผิวเผินย่อมไม่สะดวกจะบอกทุกอย่าง มีบางเรื่องที่นางเอื้อนเอ่ยออกจากปากไม่ได้จริงๆ

ยามอยู่เบื้องหน้าเขา นางเปราะบางเฉกเช่นเดียวกับเครื่องกระเบื้อง เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายนางได้ทุกเมื่อ การเอ่ยขอร้องแบบนี้ออกจะเพ้อฝันไปบ้าง นางได้แต่โน้มน้าวใจเขาอย่างละมุนละม่อม “บิดาข้าเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต ส่วนมารดาข้าเป็นแม่เหย้าแม่เรือนที่เก่งมาก หลายปีนี้ยังทำการค้าขายอีกด้วย หากท่านผู้กล้าสามารถยื่นมือช่วยเหลือ ท่านแม่จะต้องซาบซึ้งใจอย่างล้นเหลือ ถึงเวลานั้นท่านผู้กล้าก็นำพาพี่น้องลงหลักปักฐานได้ ในเมื่อทั้งคลี่คลายสถานการณ์ลำบากให้ข้าได้ ทั้งทำให้พี่น้องท่านมีที่พำนักอย่างสุขกายสบายใจ จะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายหรือไร”

เขาไม่พูดไม่จา เพ่งมองนางเงียบๆ

แสงไฟสีแดงนอกหน้าต่างตกกระทบใบหน้าเขา นางพบว่าขนคิ้วของเขาทั้งดกทั้งดำ นัยน์ตายังคมเข้มดั่งบึงน้ำลึกสุดหยั่งใต้ร่มเงาต้นหลิว มันลึกล้ำเสียจนเห็นประกายสีเขียวเรื่อๆ วูบหนึ่งชวนให้พรั่นพรึง

ฟู่ถิงจวินขลาดกลัวขึ้นมาฉับพลัน

หรือว่าตนเองใช้วิธีการผิด?

แต่เสี้ยวขณะนี้ลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยว ไม่อาจไม่ยิงออกไปได้ ขลาดกลัวไปจะมีประโยชน์อันใด

นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ในอารามมีคนมากขนาดนี้ แต่เรือนครัวไม่เคยเหลือข้าวข้ามคืน ฉะนั้นอาหารทุกวันจะต้องทำเท่าจำนวนคนอย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกนางก็ต้องไปหยิบข้าวในยุ้งฉางทุกวัน ขอแค่ข้าจับตาดูพวกแม่ชีในเรือนครัวตอนทำอาหาร ก็จะสืบได้ว่ายุ้งฉางอยู่ไหน…”

“สารอยู่ที่ใด” เขากล่าวโพล่งขึ้นตัดบทนาง

“เอ๊ะ!” ฟู่ถิงจวินคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ด้วยชายหนุ่มเอ่ยถามกะทันหันเกินไป

“ข้าถามเจ้าว่าสารอยู่ที่ใด” เขาเอ่ยเป็นจังหวะจะโคน ดวงตาเปล่งประกายประหลาดวูบหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินยินดีแทบคลั่ง แต่ยังไม่กล้าเผยออกมาทางสีหน้า กลัวจะเป็นการยั่วโทสะบุรุษที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตรงหน้าโดยไม่ระวัง ทำให้เรื่องของนางบานปลายออกไปอีก ไหนเลยจะมีแก่ใจไปขบคิดถึงประกายประหลาดๆ ในดวงตาเขา

“ท่านผู้กล้าโปรดรอสักครู่!” นางพูดพลางสาวเท้าฉับๆ ไปยังข้างเตียง หยิบหมึกพู่กันกับกระดาษใต้พื้นเตียงออกมา เทน้ำฝนหมึก เอาพู่กันจุ่มหมึกเขียนสารถึงบ้านอย่างว่องไวที่สุดแล้วยื่นส่งให้เขา

“ท่านผู้กล้านำสารฉบับนี้ส่งให้กับภรรยาของปี้ปอ แล้วขอให้นางมอบต่อให้ท่านแม่ข้าก็พอ” ฟู่ถิงจวินกล่าว

เขารับสารมาแล้วยัดเก็บไว้ในอกเสื้อ จากนั้นดึงแผ่นกระเบื้องออก พอปีนออกไปแล้วก็วางปิดกลับเข้าที่เดิม

หญิงสาวแหงนหน้ามองแผ่นกระเบื้องสีขาวเกลี้ยง พรูลมหายใจเฮือกยาว รู้สึกราวกับเบาสบายไปทั้งสรรพางค์กาย

บทที่สี่

 ราตรีนั้น ฟู่ถิงจวินหลับสนิทอย่างหาได้ยาก

วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่น แม้ไม่ถึงกับดูสดใสร่าเริง แต่สีหน้าหญิงสาวกลับแช่มชื่นผิดจากท่าทางหม่นหมองในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ป้าเฉินบังเกิดความสงสัย เฝ้าชำเลืองมองนางไม่หยุด

ปล่อยให้เจ้าเดาเสียให้พอ!

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วแอบดีใจ นางยกมุมปากโค้งขึ้น เสียงพูดยังแฝงความนุ่มนวลสามส่วน

ป้าเฉินขมวดคิ้วถี่ๆ

ฟู่ถิงจวินแสร้งทำไม่เห็นแล้วไปที่ห้องของหานเยียน

นางกำลังนอนพักอยู่บนเตียง พอเห็นฟู่ถิงจวินก็พยายามจะลุกขึ้น “คุณหนู!”

ฟู่ถิงจวินกดบ่านางไว้ “เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

หญิงสาวเลิกขากางเกงของสาวใช้ขึ้นเบาๆ ดูอาการ ทั้งแดงทั้งบวมจนน่าตกใจอย่างยิ่งยวด

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หานเยียนกลัวนางเป็นห่วง รีบดึงขากางเกงลงปิดแผล “กั่วฮุ่ยซือฟู่บอกว่าอีกสองวันก็ลงจากเตียงได้แล้วเจ้าค่ะ”

ลวี่เอ้อยกน้ำชาเข้ามา “คุณหนู ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนป้าเฉินนอนเฝ้าอยู่ที่ห้องของท่านหรือเจ้าคะ”

“ไม่ต้องสนใจนาง” หานเยียนเป็นแบบนี้ไปแล้ว นางไม่อยากดึงสาวใช้สองคนนี้เข้ามาพัวพันอีก “นางอยากทำอะไรก็ช่างปะไร เรื่องผ่านมาสองเดือนกว่า ข้าไตร่ตรองดูแล้วอีกระยะหนึ่งก็น่าจะมีข้อยุติสักที ถึงอย่างไรพวกเราไม่อาจพำนักอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นไปตลอดกระมัง! พักก่อนเป็นข้าใจร้อนเกินไปเอง”

สาวใช้ทั้งสองนั้นมีจิตใจใสซื่อ อีกทั้งฟู่ถิงจวินก็เป็นคุณหนูของพวกนาง เป็นธรรมดาที่จะเชื่อถือคำพูดของนางโดยไม่กังขา

ทั้งสามสนทนากันครู่หนึ่ง ฟู่ถิงจวินถึงไปที่เรือนของกั่วฮุ่ยซือฟู่

“ข้าดูรอยแผลตามตัวหานเยียนแล้ว น่าจะต้องใส่ยาบ้างถึงจะหาย” นางขอยาสมานแผลกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ “ถ้ามียาบำรุงเลือดลมมาฟื้นฟูร่างกายอีกสักหน่อยก็จะยิ่งดีเจ้าค่ะ”

กั่วฮุ่ยซือฟู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบขวดกระเบื้องพื้นขาวลายเขียวขวดหนึ่ง กับขวดกระเบื้องพื้นขาวลายแดงขวดหนึ่ง “ขวดนี้เป็นยาทา ขวดนี้เป็นยากิน ยาทาใช้ทาวันละหนึ่งครั้ง ส่วนยากินให้กินเช้าเย็นครั้งละหนึ่งเม็ด”

“ซือฟู่ช่างตระหนี่เหลือเกิน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยพลางกวาดเอาขวดยาทั้งสองอย่างในตู้ลิ้นชักทั้งหมดมาหอบไว้ในอ้อมแขน

กั่วฮุ่ยซือฟู่ประหลาดใจที่นางเสียมารยาท จึงเอ่ยขึ้น “อันยารักษาโรคนั้นใช่ว่ามากแล้วจะดีเสมอไป เดิมทีอาการของหานเยียนไม่หนักหนาอะไร จะใช้หรือไม่ก็ได้ คุณหนูเก้าอย่าให้ความหวังดีกลายเป็นผลร้าย”

ฟู่ถิงจวินหน้าชาเห่อ

ตนเองถึงกับมีพฤติกรรมเยี่ยงโจรตามอย่างคนผู้นั้น เข้าตำราว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิดโดยแท้ แต่นางก็สุดปัญญาเช่นกัน ใครจะรู้ว่ายังมีเรื่องต้องขอร้องเขาอีกหรือไม่ ในมือมียาหลายขวดก็มีเบี้ยต่อรองมากขึ้น

“ซือฟู่อย่าถือโทษข้าเลย” นางถอนใจ “ข้ากำลังคับอกคับใจ ซือฟู่ก็ปล่อยให้ข้าทำฤทธิ์ทำเดชไปเถอะ”

กั่วฮุ่ยซือฟู่มองนางปราดหนึ่งอย่างค้นหาความนัยโดยไม่กล่าววาจาใดอีก

ฟู่ถิงจวินไปที่เรือนครัว “ข้าอยากทำหมี่ผัดต้นหอมเอง”

พวกแม่ชีหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าในหอจิ้งเยวี่ยเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง รู้แค่ว่าอารามปี้อวิ๋นได้รับการอุปถัมภ์จุนเจือจากสกุลฟู่ คนของสกุลฟู่ก็เปรียบได้กับบิดามารดาผู้อุปการะเลี้ยงดู ฉะนั้นพวกนางบ้างก็ช่วยนวดแป้ง บ้างก็เช็ดเขียง บ้างก็ช่วยคลึงแป้งให้เป็นแผ่นกันด้วยความกระวีกระวาดอย่างยิ่งยวด

ฟู่ถิงจวินผสมแป้งไปพลางพูดคุยกับแม่ชีทั้งหลายไปพลาง “ข้าจำได้ว่าหลายวันก่อนทางจวนฟู่ยังส่งเส้นหมี่มาให้ที่อารามด้วย แล้วเหตุใดไหข้าวสารถึงว่างเปล่า”

“หลายวันก่อนมีขโมยเข้ามามิใช่หรือเจ้าคะ” แม่ชีกำลังต้มน้ำรอลวกเส้นหมี่ “ทุกวันจะหยิบออกมาเพียงเท่านี้ จะได้ไม่โดนขโมยไป ตอนนี้ราคาข้าวสารแพงขึ้นจนน่าใจหายเลยนะเจ้าคะ…”

พอทำเส้นหมี่เสร็จ ฟู่ถิงจวินก็ได้รู้เรื่องที่อยากรู้ นางกินสองสามคำ แล้วให้แม่ชีน้อยคนหนึ่งยกส่วนที่เหลือไปให้หานเยียนกับลวี่เอ้อ ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตนเอง

ป้าเฉินออกมาต้อนรับ “คุณหนูเก้า จะจัดสำรับอาหารกลางวันได้หรือยังเจ้าคะ”

“ข้ากินมาแล้ว” ฟู่ถิงจวินเหยียดยิ้มมุมปาก ปรายตามองคนงานหญิงสองคนด้านหลังแวบหนึ่ง “หรือว่าพวกนางมิได้บอกเจ้า” นางพูดจบก็ปิดประตูเสียงดังโครม

ป้าเฉินมองคนงานหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าเครียดขรึม

“ป้าเฉิน” สีหน้าของพวกนางกระวนกระวายเต็มเปี่ยม…

 

หน้าต่างยาวลงรักแดงเป็นรอยแตกลายงาครึ่งบาน หนังสือ ‘เรื่องปกิณกะ’ สองเล่มที่นำมาจากจวนวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง ม่านผ้าฝ้ายสีขาวถูกรวบเก็บแล้วเกี่ยวไว้ด้วยตะขอทองเหลืองลายนกสาลิกาดงเกาะกิ่งเหมย กำแพงอิฐสีเทายังหลงเหลือคราบน้ำจากการเช็ดถู

เห็นได้ชัดเจนอย่างมากว่าตอนที่นางไม่อยู่ ภายในห้องผ่านการปัดกวาดเช็ดถูหมดทุกซอกทุกมุม

ฟู่ถิงจวินเบะปาก นางคิดคำนึงในทางร้าย ไม่แน่ว่าป้าเฉินคงสบช่องรื้อค้นห้องของนางจนทั่วก็เป็นได้…

นางเอาขวดยาทากับยากินวางเก็บในตู้ลิ้นชักอย่างละหนึ่งขวด ส่วนที่เหลือเก็บลงในหีบ จากนั้นหมุนกายนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสือ

ตอนนี้เป็นยามเที่ยงตรง แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องผ่านหลังคา กำแพงรั้ว และต้นไผ่เงินที่พลิ้วสะบัดไหวไปตามลมร้อนผ่าวๆ ชายคาเรือนกับหน้าต่างยาวช่วยกั้นแสงแดดไว้ทำให้ภายในห้องสงบวิเวก

ความวิตกกังวลที่หลงลืมไปเพราะธุระวุ่นวายหวนกลับมาเกาะกุมใจหญิงสาว

นับๆ เวลาดู เขาน่าจะเข้าเมืองไปนานแล้ว

ไม่รู้ว่าเขาจะได้พบกับภรรยาของปี้ปออย่างราบรื่นหรือไม่

ท่านแม่จะฝากคำพูดอะไรมากับเขานะ

คนในเรือนของนางมีส่วนหนึ่งเป็นบ่าวเก่าแก่ในสกุลฟู่ และมีที่ซื้อมาจากชนบทอีกหลายคน คนกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นล้วนถูกส่งตัวไปอยู่คฤหาสน์โรงนาด้วยเหตุผลว่าเป็นโรคระบาด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีพ่อแม่หรือพี่น้องของพวกนางไปเยี่ยมเยียนโดยไม่คำนึงถึงโรคภัย…ก็ไม่รู้ว่าคำโป้ปดนี้จะถูกเปิดโปงหรือไม่

อีถง อวี่เวย เจ๋อหลิ่ว เจี่ยนเฉ่า…เป็นใครกันแน่ที่ทำเรื่องเลอะเลือนพรรค์นี้ขึ้นจนทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก…

ยังมีท่านย่ากับป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่เล่า

ท่านแม่เขียนสารถึงท่านพ่อหรือยัง

นางยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งร้อนรน จึงขึ้นเตียงนอนพักไปเสียเลย

ถ้าตอนออกจากจวนนำพิณติดตัวมาด้วยก็คงจะดี ยามจิตใจว้าวุ่นจะได้ดีดพิณสงบจิตใจ

แต่พิณคือสื่อเสียงแห่งใจ ในกาลก่อนมิได้ใกล้ชิดกับกั่วฮุ่ยซือฟู่มากนัก ตอนนี้เพิ่งรู้ว่านางเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก หากดีดพิณสักเพลงจริงๆ ไม่แน่ว่านางอาจล่วงรู้ถึงความในใจของตนจนหมดเปลือก…

ขณะที่ฟู่ถิงจวินกำลังคิดฟุ้งซ่าน มีคนเคาะบานหน้าต่างด้านทิศตะวันออกเบาๆ ดังก๊อกๆๆ

“ใคร” นางเดินไปริมหน้าต่างอย่างตื่นเต้น

“ข้าเอง” สุ้มเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

หากแต่ยามมันกระทบโสตประสาทของนางกลับเป็นเช่นเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์

คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมารวดเร็วปานนี้

“ท่านลงมาทางหลังคาเหมือนเดิมเถอะ” ฟู่ถิงจวินลิงโลดใจ “ประเดี๋ยวป้าเฉินจับได้ว่าแผ่นไม้ที่ตอกติดกับหน้าต่างถูกงัดออก จะเกิดเรื่องยุ่งยากมากขึ้นอีก”

เสียงนอกหน้าต่างเงียบหายไป

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไปเล็กน้อย

เขาคงมิได้มีน้ำโหเพราะเหตุนี้กระมัง

นางแนบหูฟังอย่างตั้งใจ

ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น

ทว่าด้านหลังพลันมีคนส่งเสียงขึ้น “เจ้าทำอะไรอยู่”

ฟู่ถิงจวินสะดุ้งโหยงหมุนตัวขวับ มองเห็นเขายืนอยู่ข้างหลังตนเอง พอแหงนหน้าขึ้น กระเบื้องโปร่งแสงบนหลังคาถูกดึงออกไป แสงแดดส่องลอดเข้ามาเป็นลำ บันดาลให้ภายในห้องสว่างไสวขึ้นมา

เหตุไฉนทุกคราที่เขาเข้ามาล้วนทำให้ขวัญหนีกระเจิงเช่นนี้นะ

นางลอบค่อนขอดในใจ แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าแม้สักนิด

หญิงสาวลุกลนไปปิดหน้าต่าง แนบหูกับประตูฟังเสียงชั่วครู่หนึ่งถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเชิญเขานั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ และรินน้ำชาให้ถ้วยหนึ่ง

ใบหน้าเขาถูกแดดเผาจนแดงก่ำ เส้นผมตรงจอนหูเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ เสื้อคลุมสั้นสีดอกติงเซียงม่วงตุ่นๆ บนตัวสะอาดเรียบร้อย เขายังสวมรวมรองเท้าฟางด้วย

ฟู่ถิงจวินมองรองเท้าฟางคู่นั้นซ้ำอีกครา

เขากระดกน้ำชาที่นางรินให้รวดเดียวหมดอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นยื่นถ้วยชาให้นาง “เปลี่ยนเป็นชามใหญ่ๆ แล้วรินมาอีกชามหนึ่ง”

ฟู่ถิงจวินข่มใจไว้ถึงได้ไม่ถลึงตาใส่เขา “ในห้องข้าไม่มีชามใหญ่ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยกกาน้ำชามา” เขากล่าวอย่างไม่เอาใจใส่

มุมปากของนางกระตุกริกๆ ขณะถือกาน้ำชามา

เขารินชาลงในถ้วยชาแล้วดื่มรวดเดียวหมด

ยังดีที่เขาไม่ยกกาน้ำชามากรอกเข้าปาก ไม่เช่นนั้นนางคงต้องอธิบายกับป้าเฉินว่าเพราะอะไรอยู่ดีๆ ตนเองถึงไม่ต้องการกาน้ำชาใบนี้แล้ว

ฟู่ถิงจวินบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าต้องรักษามารยาทตามปกติไว้ รอจนเขาดื่มชาหมดแล้วค่อยเอ่ยปากถามไถ่…

เขาวางถ้วยชาลง “ข้าไม่พบภรรยาของปี้ปอ คนของสกุลฟู่บอกว่านางปรนนิบัติคุณหนูเก้าที่เป็นไข้แดดอยู่ในอารามปี้อวิ๋น”

“อะไรนะ!” นางใจเต้นดุจรัวกลอง ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด

ป้าฝานร้องถามอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู “คุณหนู ท่านมีอะไรจะกำชับหรือเจ้าคะ”

ข่าวน่าพรั่นพรึงที่เขานำมา ประกอบกับความรังเกียจที่มีต่อพวกป้าเฉินซึ่งเก็บงำอยู่ภายในใจ ทำให้อารมณ์ของฟู่ถิงจวินเดือดพล่านขึ้นมากะทันหัน นางเอ่ยด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าอยากกินไข่ เจ้าทำได้หรือไม่เล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งเสียงดังจ้อกแจ้กหนวกหูข้า”

นอกประตูเงียบกริบ

พอได้ระบายความโกรธแล้ว ฟู่ถิงจวินเยือกเย็นลงมาก

ภรรยาของปี้ปอมิได้กลับไปที่สกุลฟู่ เช่นนั้นนางไปอยู่ที่ใด

ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าภรรยาของปี้ปอหายตัวไป แล้วรู้หรือไม่ว่านางถูกกักบริเวณอยู่ในอารามปี้อวิ๋น

ใจนางร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอยู่ “แล้วท่านได้พบท่านแม่ข้าหรือไม่”

ถ้อยคำหลุดออกจากปาก นางก็รู้ว่าตนเองพูดผิดไป!

เขาเป็นบุรุษ ส่วนท่านแม่อยู่เรือนหลัง ยามกลางวันแสกๆ เขาจะพบหน้าท่านแม่ได้อย่างไรกัน

แต่นางอยากพบกับท่านแม่เหลือเกินจริงๆ ไม่แน่ท่านแม่อาจถูกปิดหูปิดตาเช่นเดียวกับนาง

เป็นผู้ใดกันแน่ที่สั่งการเรื่องทั้งหมดนี้

ท่านย่า? ป้าสะใภ้ใหญ่?

ฟู่ถิงจวินร้อนรนจนใจคอไม่ดี

น่าเสียดายที่พี่ชายของนางพาพี่สะใภ้กับหลานติดตามท่านพ่อไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นนางจะได้ไปขอความเห็นจากพี่ชาย!

มาตรว่าบุรุษผู้นี้จะเหาะเหินเดินอากาศได้ ทว่าชายหญิงต่างกัน ฉะนั้นการไปพบท่านแม่ยามวิกาลจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง…

นางตรึกตรองแล้วถอดกำไลหยกเนื้อดีสีขาวใสบริสุทธิ์ข้างหนึ่งออกจากข้อมือแล้ววางบนโต๊ะชา “ท่านผู้กล้า ข้าสืบถามจนกระจ่างแล้วว่ายุ้งฉางอยู่ที่ห้องใต้ดินด้านล่างแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ในพระอุโบสถ ข้าอยากจะขอให้ท่านผู้กล้าไปที่จวนสกุลฟู่อีกครั้งหนึ่ง ท่านนำกำไลข้างนี้ไปจำนำแลกเงินซื้อเสื้อคลุมไหมสักชุด บอกว่าบิดาข้าส่งสารมาจากเมืองหลวง และขอพบกับมารดาข้าโดยตรง”

เขานั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาจับอยู่ที่กำไลหยกข้างนั้น ครู่ใหญ่ถึงเงยหน้าขึ้น “คุณหนูเก้า ดูเหมือนความคิดของท่านล้วนแล้วไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่!”

ชายหนุ่มชำเลืองตามองนาง ใบหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึก ดวงตาเขาดำสนิทปานบ่อน้ำลึก

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไปเป็นนาน

นี่เขาหมายความว่าอะไร

ประชดว่านางละเมอเพ้อพกหรือ?

ในเมื่อใช้ทางลัดไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นทางตรง บุกเข้าไปขอพบอย่างเปิดเผย…นี่มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ

“ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าคนที่จะได้รับมอบหมายให้นำสารส่งกลับบ้านต้องเป็นคนสนิท คนในจวนท่านนั้นไม่มีใครสักคนรู้จักข้า อีกอย่างตอนนี้ท่านลุงใหญ่ของท่านเป็นประมุขของสกุลฟู่ หากข้าไปส่งสาร สิ่งแรกที่ต้องกระทำก็คือไปคำนับท่านลุงใหญ่ของท่าน ถ้าเขาเอ่ยถามว่าบิดาท่านอยู่ในเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ข้าควรจะตอบเช่นไรเล่า” เขาถามนางเสียงเบา

ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้าง

แบบนี้อาจเสี่ยงอันตรายเล็กน้อย แต่นอกจากวิธีนี้แล้ว นางก็คิดหาหนทางที่ดีกว่า ตรงไปตรงมากว่า และได้ผลมากกว่านี้ไม่ออกแล้ว!

“เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวข้าให้ท่านฟังก็แล้วกัน” นางเอ่ยทันที “ท่านจะได้พูดโต้ตอบกับท่านลุงใหญ่สักสองสามคำ พอถึงเวลาเพียงบอกว่าเป็นเรื่องเร่งร้อนสำคัญ ยืนกรานขอพบท่านแม่ข้า ท่านลุงใหญ่จะขัดขวางท่านก็คงไม่ถนัดนัก…”

“ข้าแปลกใจมาโดยตลอด” เขาตัดบทนาง “ด้วยความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านมีอยู่ ต่อให้มีเรื่องผิดใจกับพวกลูกพี่ลูกน้องก็น่าจะเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดายจึงจะถูก ไยถึงตกอยู่ในสภาพถูกกักตัวในอารามปี้อวิ๋นได้เล่า” เขาเพ่งมองนาง “ข้าได้ยินคนในเมืองพูดว่าในครอบครัวท่านมีคนคบชู้สู่ชาย ซ้ำยังถูกจับได้คาหนังคาเขา ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเป็นความจริงหรือไม่…”

ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ…นี่จะชมเชยหรือประชดนาง?

ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้น ห้วงสมองของฟู่ถิงจวินก็อึงอลว่างเปล่าไปเพราะคำว่า ‘คบชู้สู่ชาย’ นานครู่ใหญ่กว่าจะดึงสติคืนมาได้

“ท่านว่าอะไรนะ” นางเข่าอ่อนล้มลงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือด้านหลัง

ความแตกแล้ว…ความแตกแล้ว สุดท้ายกระดาษห่อไฟไม่มิด* ตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องกันหมด สกุลฟู่มีคนอยู่สักกี่มากน้อยเชียว ช้าเร็วก็ต้องเดาได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง…ถึงตอนนั้นนางจะสู้หน้าใครได้!

จะทำอย่างไร ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี

มือเท้าของนางเย็นเฉียบ

ไยจึงเป็นเช่นนี้

ผู้อาวุโสในจวนเล่า?

เรื่องพรรค์นี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไหร่ยิ่งเกิดปัญหาได้ง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งนางยังรู้เหตุผลข้อนี้ มีหรือที่ผู้อาวุโสในจวนจะไม่รู้ เหตุใดจึงไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ เล่า

นางเป็นบุตรสาวของนายท่านห้า ถูกกักตัวอยู่ในอารามปี้อวิ๋น แต่คนที่ดูแลนางเป็นคนของป้าสะใภ้ใหญ่…ส่วนภรรยาของปี้ปอคนสนิทของท่านแม่ก็หายตัวไปไม่รู้เบาะแส ทั่วทั้งจวนมีคนเยอะแยะอย่างนั้นกลับไม่มีใครสักคนสังเกตเห็น ลุงใหญ่เคยเป็นนายอำเภอมาก่อน ทำคดีน้อยใหญ่และไต่สวนการฟ้องร้องป้ายสีมาตั้งมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไฉนแม้แต่จั่วจวิ้นเจี๋ยก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้ข่าวลือแพร่กระจายออกไป หรือลุงใหญ่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะก่อความเสียหายต่อสกุลฟู่อย่างรุนแรงปานใด

ฟู่ถิงจวินยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งคิดยิ่งหนาวเหน็บใจ มีบางเรื่องที่นางหลบเลี่ยงไม่อยากไปคิดมาตลอด ครั้นพอเริ่มต้นคิดมันก็ไหลบ่าเข้ามาทันใด

คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามขยับปากขึ้นๆ ลงๆ พูดอะไรบางอย่าง ทว่านางไม่ได้ยินสักนิด

เขาเคาะโต๊ะชาก๊อกๆ แต่เสียงของมันกลับดังก้องประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า ปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์

นางแลมองเขาอย่างงุนงง

“ข้าสืบข่าวมาได้เรื่องหนึ่ง” เขามองนางด้วยสีหน้าเฉยเมยปึ่งชา “เดือนหน้าสกุลอวี๋ที่ตรอกเฟิงเล่อเมืองหนานจิงจะส่งคนมาหารือฤกษ์หมั้นหมาย เพราะเรื่องนี้ทำให้สกุลฟู่รีบเร่งปัดกวาดเช็ดถู ตกแต่งประดับประดาคฤหาสน์…”

สกุลอวี๋จะมาหารือฤกษ์หมั้นแล้ว!

ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่ามีกระไอเย็นวาบๆ แผ่ซ่านรอบตัว

ถ้าพวกเขารู้ถึงความขัดแย้งระหว่างนางกับจั่วจวิ้นเจี๋ย จะต้องถอนหมั้นเป็นแน่

ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของนางคงย่อยยับป่นปี้ ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างมลทินไม่หมด…

“ก่อนหน้านี้ท่านกับข้าเคยตกลงรับปากกันไว้ ท่านช่วยข้าสืบถามที่ตั้งของยุ้งฉาง ส่วนข้าช่วยส่งสารไปถึงมารดาท่าน” เขาทำสีหน้านิ่งขรึมเย็นชา “ในเมื่อท่านทำตามคำสัญญาแล้ว ข้าก็มิใช่คนไม่รักษาคำพูด” ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นทอประกายคมปลาบดุจคมมีดเฉียดผ่านใบหู ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน “ข้าคิดว่ามีบางเรื่อง คุณหนูเก้าสมควรมีคำตอบให้ข้า หาไม่แล้ว หากข้าส่งสารไปไม่ถึง จะมิกลายเป็นคนถ่อยไร้สัจจะหรอกหรือ”

แล้วจะพูดอย่างไรเล่า

บอกว่าตนเองถูกคนป้ายสีว่าคบชู้? เขาจะเชื่อไหม

กระทั่งป้าเฉินยังกล่าววาจาทำนองว่า ’แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว‘ ออกจากปากได้…หากนางบอกออกไป จะมิเป็นการฉีกหน้าตนเองหรือไร

ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแดงก่ำเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอกระนั้น

เขาไม่เปล่งเสียงพูด เพียงนั่งอยู่ที่เดิมมองนางเงียบๆ

บรรยากาศค่อยๆ ตึงเครียดขึ้น บีบคั้นนางจนแทบหายใจไม่ออก

“หากท่านจะให้ข้าส่งสารไปถึงมารดาท่าน ข้ามีวิธีถมเถไป” เขาเอ่ยปากพูดทำลายความอึดอัด “แต่ถึงอย่างไรข้าเป็นบุรุษ ส่วนมารดาท่านเป็นสตรี อีกทั้งการไปส่งสารโดยไม่รู้สถานการณ์แจ่มแจ้งอย่างนี้ เกรงว่าข้าเองก็จนใจ ท่านให้ข้าช่วยเหลือเรื่องอื่นจะดีกว่า…”

ถ้าไม่มีเขา นางคงลำบากติดขัดไปทุกทาง

พอเห็นเขาจะถอนตัวกลางคัน ฟู่ถิงจวินร้อนใจขึ้นมา

“ไม่!” หญิงสาวตวัดเสียงสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าบอกท่าน…ข้าบอกท่าน…”

ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

นางก้มหน้าลงไม่อยากให้ตนเองหลั่งน้ำตา และยิ่งไม่อยากเห็นแววดูแคลนในดวงตาเขา

“น้องชายแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า เติบโตอยู่ในจวนตั้งแต่เล็ก…” เสียงของนางเอื่อยเฉื่อยไร้ชีวิตชีวาเหมือนดั่งกระแสธารที่ถูกกีดขวาง

เขารับฟังโดยไม่พูดอะไร รอเมื่อนางเล่าจบ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านกำลังสงสัยท่านลุงใหญ่ของท่านอยู่รึ” น้ำเสียงเขาไม่ต่างจากเดิม เรียบสนิทราวกับกำลังถามว่านางกินข้าวหรือยัง

ฟู่ถิงจวินเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง

เขาขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแล้วเป็นผลดีอะไรต่อเขา ต่อสกุลฟู่ ข้าว่ากลับเป็นจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นที่มีพิรุธมาก…”

เขาไม่เพียงไม่สงสัยนาง ซ้ำยังช่วยนางพินิจพิเคราะห์….

นางมองเขาตาลอย ไม่รู้ว่าควรเอื้อนเอ่ยคำใดดี

เขาไพล่พูดไปอีกทาง “ท่านวาดภาพเป็นหรือไม่”

นางผงกศีรษะอย่างฉงนสนเท่ห์

เขากล่าว “เช่นนั้นก็ดี ท่านวาดผังของจวนสกุลฟู่ให้ข้าที ตอนไปถึงที่นั่นข้าจะได้ไม่หลงทาง”

เขาจะเข้าจวนไปสืบข่าวหรือ

ฟู่ถิงจวินรีบหยิบหมึกพู่กันกับกระดาษออกมา หยุดความคิดต่างๆ ลงแล้วตั้งสมาธิวาดผังจวน

เขาไล่ชี้ตามจุดต่างๆ ในภาพพร้อมถาม “นี่เป็นเรือนของท่านย่าของท่าน? ส่วนนี่เรือนของท่านลุงใหญ่…”

นางพยักหน้าทุกครั้ง

เขาลุกขึ้น “ข้าจะกลับมาอีกทีตอนกลางดึก”

ฟู่ถิงจวินอยากจะดึงแขนเสื้อเขาไว้ พอเอื้อมมือออกไปก็รู้สึกว่าเสียมารยาท จึงหดมือกลับแล้วกล่าวเตือนเขา “ผังจวน!”

“ข้าจำได้แล้ว” เขาพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก่อนจะกระโจนตัวขึ้นไปบนขื่อห้อง

“ท่านผู้กล้า!” นางแหงนหน้าเรียกเขา

เขาก้มหน้ามองนาง

นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ข้า…ข้าถูกใส่ร้ายป้ายสี!”

เขาพยักหน้าแล้วพลิกกายขึ้นไปบนหลังคา

แผ่นกระเบื้องถูกวางเรียงกลับเข้าที่ทีละแผ่นกั้นแสงอาทิตย์ไว้ภายนอก ส่งผลให้แสงในห้องสลัวลงจนเห็นเงาร่างของนางได้เลือนราง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหวาดหวั่นว้าวุ่นใจจากการที่เรื่องราวเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ หรือเป็นความโกรธเกรี้ยวต่อเสียงเล่าลือที่ถูกต่อเติมเสริมแต่งพวกนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นความคับข้องหมองใจที่ถูกปรักปรำ หรือเป็นความตื้นตันใจที่บุรุษผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ

น้ำตาของหญิงสาวไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป นางซบหน้ากับเตียงเริ่มต้นร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง

ป้าเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก “คุณหนูเก้า คุณหนูเก้า…”

นางไม่อยากพบหน้า ไม่อยากสนใจใครทั้งสิ้น

“ข้าได้ยินเสียงร้อง…อีกอย่างดูเหมือนจะมีเสียงคนคุยอะไรกันอยู่…” เป็นเสียงของป้าฝาน น้ำเสียงของนางแฝงรอยกระวนกระวาย

“พังประตู!” เสียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนป้าเฉินพูดสั่งขึ้น “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด”

ด้านนอกมีเสียงคนขานรับ จากนั้นก็เริ่มกระแทกประตูดังปึ้งๆๆ

ฟู่ถิงจวินเอนตัวนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

บานประตูหลุดออกล้มลงกับพื้นดังโครม

ป้าเฉินเห็นนางนอนอยู่บนเตียงก็รีบวิ่งถลาเข้าไป

“ออกไป!” หญิงสาวนอนนิ่งๆ ไม่ขยับกาย ร้องตวาดออกมาคำหนึ่ง

ป้าเฉินประหลาดใจมาก แต่สีหน้าผ่อนคลายลง นางทำไม้ทำมือบอกพวกป้าฝาน จากนั้นถอยออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เหลือคนทิ้งไว้สองคนอยู่ช่วยกันซ่อมประตูให้เรียบร้อย

หลายวันต่อจากนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ฉะนั้นต้องตระเตรียมกำลังวังชาให้พร้อม

ฟู่ถิงจวินบอกเตือนตนเองแล้วนอนหลับตลอดยามบ่ายจนเต็มอิ่ม

พอกินอาหารเย็นเสร็จ นางไปเยี่ยมหานเยียนแล้วกลับห้องรอคอยเขาไปพลางอ่านหนังสือ ’เรื่องปกิณกะ‘ ไปพลาง แต่ทว่าอ่านไม่เข้าหัวสักคำ

เขาเป็นใครกันแน่

เหตุไฉนพอได้ยินว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยเอาหลักฐานชิ้นนั้นออกมาแล้วไม่ซักไซ้ไล่เลียงนางดังเก่า

เป็นเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลยไม่แยแส หรือเชื่อว่านางถูกปรักปรำจริงๆ?

ซ้ำเขายังคงช่วยนางส่งสารไปให้ท่านแม่ น่าจะเป็นเพราะเชื่อใจนางมากกว่าอยู่สักหน่อยกระมัง

บางทีเขาอาจแค่ทำตามคำสัญญา?

ขณะที่หญิงสาวปล่อยความคิดเตลิดเปิดเปิงไป มีหินก้อนเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาทางหลังคา

นางรีบวางหนังสือลงแล้วเป่าเทียนดับ

ด้านนอกมีเสียงดังระลอกหนึ่ง พวกป้าเฉินพากันเข้านอน

ท่ามกลางความมืด นางหยิบซาลาเปาไส้ผักสองสามลูกกับโจ๊กข้าวหอมชามหนึ่งในช่องเก็บของบนเตียงออกมา “ท่านผู้กล้ากินข้าวหรือยัง นี่เป็นส่วนที่ข้าเหลือไว้ให้ตอนมื้อเย็น…ท่านกินแก้ขัดไปก่อน”

เขาก็ไม่ได้เกรงอกเกรงใจ นั่งตรงเก้าอี้ไท่ซือแล้วเริ่มกิน

ฟู่ถิงจวินรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา

ทั้งสองสนทนากันไป

“…ตอนไปถึงเรือนพำนักของมารดาท่านเป็นเวลายามสองแล้ว ข้าจึงมิได้เข้าไปรบกวนให้ท่านตื่นตกใจ” เสียงพูดของเขาทุ้มห้าวแข็งกระด้าง แต่กลับทำให้นางสบายใจ “ในห้องเล็กๆ เชื่อมติดกับลานด้านหลังเรือนท่านลุงใหญ่ของท่าน มีบุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกคนหนึ่งพักอยู่ เขามีเรือนกายสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา แต่จมูกโด่งไปสักหน่อย ริมฝีปากค่อนข้างบาง ดูท่าทางหยิ่งทะนงถือตัวอยู่บ้าง…”

“คนผู้นั้นก็คือจั่วจวิ้นเจี๋ย!” ฟู่ถิงจวินลดสุ้มเสียงเบาลงเช่นกัน

“ดูเหมือนเขาถูกกักขังไว้เช่นกัน” เขากล่าว “มีชายร่างใหญ่สองคนเฝ้าอยู่หน้าประตู หน้าต่างห้องยังถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้อีกด้วย”

“คิดไม่ถึงท่านลุงใหญ่จะกักตัวเขาไว้ในจวน…” ในใจฟู่ถิงจวินสับสนเล็กน้อย

ที่แท้เป็นความเข้าใจผิดของนางเองที่สงสัยท่านลุงใหญ่มาโดยตลอด…แต่เพราะอะไรเรื่องราวยังคงลุกลามมาจนถึงขั้นที่สะสางไม่ได้อย่างนี้เล่า

นางเผยสีหน้าแปลกพิกลออกมา

คนสองคนที่พิพาทบาดหมางกัน คนหนึ่งอยู่ในเมือง คนหนึ่งอยู่นอกเมือง กลับตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

“ข้าสืบถามเรื่องในจวนท่านกับบ่าวสกุลฟู่หลายต่อหลายคน ไม่มีใครได้ยินว่าท่านแม่ของท่านมีอะไรผิดปกติ ยังมีบ่าวคนหนึ่งพูดว่าสองวันก่อนเห็นท่านแม่ของท่านกับสะใภ้สามยืนสนทนากันอยู่ใต้ชายคาเรือนท่านย่าของท่าน”

พอถามถึงข่าวลือในเมือง พวกเขามีสีหน้าเดือดดาล บอกว่ามีคนต้องการให้ร้ายสกุลฟู่ แต่ไรมาชาวสกุลฟู่ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย บุรุษอกสามศอกไม่เข้าเรือนหลัง แม้กระทั่งพวกหญิงรับใช้จะไปไหนยังต้องออกมาด้วยกันสองคนทุกครั้ง เรื่องคบชู้สู่ชายอะไรนั่นเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวทั้งสิ้น

ยังมีคฤหาสน์โรงนาที่กักขังคนในเรือนของท่านไว้ตามที่ท่านบอก ข้าก็ไปมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนละแวกนั้นก็ดี หรือคนในคฤหาสน์เองก็ดี ล้วนเชื่อสนิทใจว่าพวกนางเป็นโรคระบาด ว่ากันว่าเพราะเหตุนี้ทำให้มีคนติดโรคจนล้มหมอนนอนเสื่อถึงวันนี้” เขาเอ่ยอย่างลังเล “ข้าสงสัยว่ามิใช่คนในจวนท่านที่ปล่อยข่าวลือนี้ออกมา”

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาถึงกับสืบได้เรื่องมากมายขนาดนี้ภายในเวลาแค่ครึ่งวัน

ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างอัศจรรย์ใจ

“ท่านบอกว่าท่านแม่ข้าไม่เป็นอะไร?”

“อย่างน้อยข่าวที่สืบได้เป็นเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ขอให้เป็นอย่างนั้นเถิด!

ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจโล่งอก นางเว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสงสัยว่ามีคนใส่ร้ายป้ายสีสกุลฟู่?”

“บอกยาก!” เขาพูดอย่างไม่แน่ใจ “ผู้คนในใต้หล้าต่างดิ้นรนกระเสือกกระสน หากมิใช่เพื่อชื่อเสียงก็เงินทอง จะอย่างไรก็ต้องเป็นเหตุผลสักข้อหนึ่ง ฉะนั้นถ้าไถ่ถามผู้อาวุโสในจวนท่านได้ก็คงจะดี”

ฟู่ถิงจวินเข้าใจความหมายของเขา นางเล่าเท้าความ “ตระกูลข้าอาศัยอยู่ในหวาอิน แต่ไรมาเป็นมิตรกับผู้คน จะแจกทานข้าวต้มหรือซ่อมแซมถนน ไม่เคยบ่ายเบี่ยงบอกปัด เครือญาติที่ผูกดองกันก็สนิทแน่นแฟ้น ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเรื่องผิดใจกับสกุลใด…” นางคิดถึงจั่วจวิ้นเจี๋ย “จะเป็นเขาหรือไม่”

“นี่เป็นจุดที่ข้าคิดไม่ตกมาตลอด” เขาขมวดคิ้ว “ในเมื่อเขาต้องการแต่งท่านเป็นภรรยา ก็ไม่น่าจะทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต มิเช่นนั้นถึงแต่งงานได้สำเร็จก็จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนจนเขาโงหัวไม่ขึ้นทั้งชาติ จะว่าไปแล้วเขาก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง สมควรเข้าใจเรื่องกฎธรรมเนียมมากกว่าใครๆ ท่านหมั้นหมายกับคนของสกุลอวี๋แล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะถอนหมั้นโดยปราศจากเหตุผล เขาคงคิดว่าถ้าตนเองก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งสองตระกูลก็จะถอนหมั้นกันอย่างเงียบๆ กระมัง ยิ่งกว่านั้นบรรพชนสกุลอวี๋โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น สร้างบุญกุศลไว้มาก ส่วนเขาเล่าเรียนศึกษาด้วยความมานะพากเพียรนานนับสิบปี มิใช่เพื่อสอบขุนนางผ่านและเข้ารับราชการเป็นขุนนางหรือ แล้วการล่วงเกินสกุลอวี๋มีผลดีอะไรต่อเขา คุณหนูสิบเอ็ดกับคุณหนูสิบสองของสกุลฟู่ซึ่งอายุน้อยกว่าท่านสองปีล้วนเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก ทั้งยังมิได้หมั้นหมาย แล้วก็มีสินเดิมเจ้าสาวก้อนโต ไฉนเขาเจาะจงเลือกท่านคนเดียว”

ระหว่างที่กล่าววาจา เขาเหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ

โคมไฟสีแดงใต้ชายคาสาดแสงเรืองๆ ทะลุช่องหน้าต่างเข้ามา แลเห็นเรือนผมนางดำขลับดุจสีน้ำหมึก ผิวกายขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาเรียวยาวบนใบหน้ารูปไข่เปล่งประกายระยับมีเสน่ห์ดึงดูดใจ โฉมงามเฉิดฉันกว่าดอกโบตั๋นสามส่วน และอ่อนหวานกว่าดอกไห่ถังสามส่วน

เขาฉุกคิดในใจ หรือว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นถูกตาต้องใจในความงามของนาง!

นางเบิกตากว้างมองเขา พาให้ดวงตาคู่งามยิ่งสุกใสแพรวพราวน่าหลงใหล

ข้อกังขาของเขาทำให้ฟู่ถิงจวินหวนคิดถึงคำกล่าวของป้าเฉินที่ว่า ’แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว‘ ขึ้นมาอีก นางหลุบตาลงด้วยความอับอาย นิ้วมือเรียวงามดุจลำเทียนบดบี้ดอกชาภูเขาในถ้วยพักชาเบาๆ นางมิได้สังเกตเห็นเลยสักนิดว่าคนฝั่งตรงข้ามเบือนหน้าไปทางอื่นกะทันหันพลางยกถ้วยชาใกล้มือขึ้นจรดริมฝีปาก แต่พอพบว่าในถ้วยว่างเปล่า ใบหน้าเขามีรอยเก้อกระดากผุดขึ้นวูบหนึ่ง

ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จา ภายในห้องกึ่งมืดกึ่งสว่าง บันดาลให้บรรยากาศดูหม่นมัวไปบ้าง

นี่มิใช่มารยาทของการต้อนรับแขก

ฟู่ถิงจวินตรึกตรองแล้วนึกถึงยาในตู้ลิ้นชัก

นางลุกขึ้นยืน พูดพร้อมกับเปิดตู้ลิ้นชัก “ยาที่ท่านต้องการ ข้าได้มาแล้ว”

ขวดกระเบื้องสีแดงขวดหนึ่งสีเขียวขวดหนึ่งวางเรียงกันอยู่ในนั้น สีตัดกันฉับดูเด่นสะดุดตามาก

นางสองจิตสองใจครู่หนึ่ง

เขาเปิดเผยกับนางทุกอย่าง นางก็สมควรมอบยาที่เก็บไว้ในหีบให้เขาไปทั้งหมดด้วยความซื่อสัตย์เช่นกันใช่หรือไม่

กระนั้นในใจยังกระวนกระวายอยู่บ้าง

ช่างเถิด เพิ่งจะไปเปิดหีบเอาตอนนี้ ถ้าเกิดทำให้เขารู้เท่าทันความคิดของนางกลับไม่เป็นการดี

ครั้นคิดคำนึงเช่นนี้ นางถือขวดยาแล้วหมุนตัวกลับมาวางลงบนโต๊ะชา “ขวดลายสีเขียวเป็นยาทา ขวดลายสีแดงเป็นยากิน…” หญิงสาวบอกวิธีใช้คร่าวๆ

เขามิได้เอ่ยถามอะไรมาก หยิบยาสองขวดเก็บเข้าไปในอกเสื้อ

“เช่นนั้นข้าไปก่อนละ” สีหน้าเขานิ่งสนิท “พรุ่งนี้ยามบ่ายข้าถึงมีเวลาเข้าเมือง จะกลับมาตอนเที่ยงวันมะรืนเป็นอย่างช้า”

เพราะอะไรต้องรอถึงพรุ่งนี้ยามบ่าย

พอคำถามนี้ผุดขึ้นในหัว นางก็รู้คำตอบทันใด

นี่เขากำลังจะไปขโมยข้าวในยุ้งฉาง!

อารามปี้อวิ๋นเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลฟู่ นางกลับเป็นสายให้เขา นี่หาใช่เรื่องที่ถูกต้องดีงามอะไร นางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ขานตอบเสียงเบาๆ พลางมองดูเงาร่างเขาหายลับไปบนหลังคา

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฟู่ถิงจวินไปที่ห้องของหานเยียน

หานเยียนเอ่ยขึ้นทันที “บ่าวหายดีแล้ว ไม่ต้องให้ลวี่เอ้อคอยดูแลอยู่ข้างๆ แล้ว ให้นางกลับไปปรนนิบัติคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ!”

ลวี่เอ้อพยักหน้าอยู่ด้านข้าง

“เรื่องอะไรจะปล่อยให้พวกนางกินข้าวอิ่มไม่มีอะไรทำทุกวัน แต่พวกเจ้าต้องวิ่งวุ่นไปมาแทบขาขวิด” ฟู่ถิงจวินโบกมือไปมาอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “ต้องกลัวด้วยหรือว่าข้างกายข้าจะไม่มีคนรับใช้ พวกเจ้าพักผ่อนให้สบายเถอะ” นางเอ่ยต่อ “แต่ว่ามองหน้าพวกนางทุกวันก็น่าเบื่อมาก ถึงอย่างไรเจ้าขาแพลงอยู่คงไปไหนไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราคุยกันสักครู่เถอะ” นางให้ลวี่เอ้อไปชงชากาหนึ่งพร้อมกับหาขนมหวานมาสองสามชิ้น

ในเมื่อเขาบอกว่าตอนบ่ายถึงมีเวลาว่างเข้าเมือง เป็นไปได้มากว่าจะมาขโมยข้าวไม่ตอนเช้าก็ตอนบ่าย ฉะนั้นรั้งตัวสาวใช้สองคนนี้ไว้ในห้องดีกว่า จะได้ไม่ออกไปเดินเพ่นพ่านจนเจอะเจอเข้า ดีไม่ดีอาจเกิดอะไรขึ้นกับพวกนางก็เป็นได้

หานเยียนกับลวี่เอ้อมาที่นี่เพื่อรับใช้ฟู่ถิงจวิน พูดคุยเป็นเพื่อนก็ถือเป็นการรับใช้ พวกนางไม่เพียงไม่โต้แย้ง แต่ยังทำด้วยความกระตือรือร้นอีกด้วย

“ในห้องพวกบ่าวจะมีน้ำชากับขนมหวานดีๆ ที่ไหนกันเจ้าคะ” ลวี่เอ้อรีบพูด “ข้าไปหยิบใบชาที่ห้องท่านแล้วค่อยไปห้องครัวดูว่ามีของอะไรพอใช้แก้ขัดทำขนมหวานสักจานได้ ท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ”

ฟู่ถิงจวินย่อมไม่ปล่อยตัวนางออกไปแน่นอน

“ชาอะไรก็ได้ตามสบาย ไม่มีขนมหวานก็ไม่เป็นไร” นางนั่งลงบนม้านั่งหน้าเตียง “อากาศร้อนอย่างนี้เจ้าอย่าวิ่งไปวิ่งมาเลย กว่าเจ้าจะเตรียมของจนครบถ้วนก็น่าจะต้องกินมื้อเที่ยงแล้ว ข้าแค่ไม่อยากเห็นหน้าพวกป้าเฉินเท่านั้น”

ลวี่เอ้อส่งเสียงหัวเราะแล้วไปเตรียมน้ำชา ฟู่ถิงจวินถามถึงเรื่องในครอบครัวของทั้งคู่ และยกเรื่องสัพเพเหระของเหล่าวงศาคณาญาติที่คนทั้งสามรู้จักคุ้นเคยดีขึ้นมาคุยกันจนใกล้จะถึงเที่ยงวัน

ไม่มีความเคลื่อนไหว!

หรือจะบอกว่า…วางแผนลงมือตอนบ่าย

ฟู่ถิงจวินยิ่งไม่ปล่อยให้คนทั้งสองออกไป นางเรียกคนงานหญิงให้ยกอาหารกลางวันเข้ามา และกินข้าวอยู่ในห้องของหานเยียน จากนั้นเบียดขึ้นไปบนเตียงของหานเยียนนอนกลางวัน

ลวี่เอ้อรีบเร่งคลี่พัดโบกลมให้ และไม่ปลีกตัวออกไปแม้แต่เพียงชั่วเค่ออย่างที่เคยทำ

ตอนดื่มชายามบ่าย มีเสียงเอะอะดังมาจากทางทิศตะวันตกระลอกหนึ่ง

ลวี่เอ้อจะไปดู แต่ถูกฟู่ถิงจวินรั้งตัวไว้ “จะสนใจมากมายปานนั้นไปทำไม ถึงฟ้าถล่มลงมายังมีป้าเฉินทั้งคน” ลวี่เอ้อคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ทางนั้นมีเสียงอึกทึกมากขึ้นเรื่อยๆ ฟู่ถิงจวินอดครุ่นคิดในใจมิได้ หรือเจ้าคนผู้นั้นจะขโมยข้าวไปจนหมดเกลี้ยง นางเริ่มนั่งไม่ติด พอตอนลวี่เอ้อเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่าจะออกไปดู นางจึงมิได้ห้ามปราม “เจ้าระวังหน่อยนะ อย่ามัวห่วงแต่จะมุงดูจนพาตัวเองเข้าไปวุ่นวายด้วย”

“คุณหนูเก้าวางใจได้ ข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อกล่าวรับรอง ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องไป

ไม่ถึงชั่วครู่ นางวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา

“คุณหนูเก้า ไม่ได้การแล้ว ไม่ได้การแล้ว!” นางหายใจกระหืดกระหอบ “มีคนบุกเข้ามาในอาราม ไม่เพียงขโมยธัญพืชที่เก็บไว้ในหอต้าสยงเป่า ยังทำร้ายกั่วจื้อซือฟู่จนบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ!”

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!” ฟู่ถิงจวินทำหน้าเครียด ลุกขึ้นเดินออกไป

ลวี่เอ้อลุกลนตามไปพลางกล่าว “พอกั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ข่าวก็หามกั่วจื้อซือฟู่ไปที่หอชีเป่าเจ้าค่ะ”

หอชีเป่าเป็นที่พำนักของกั่วฮุ่ยซือฟู่หัวหน้าอารามปี้อวิ๋น

ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่น ทั้งเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของกั่วจื้อซือฟู่ ทั้งคับข้องใจว่าเขาทำร้ายคนเพราะอะไร นางลอบนึกเสียใจรางๆ แต่กลับไม่อยากขบคิดถึงมันต่อไปอย่างละเอียดนัก

จิตใจหญิงสาวสับสันว้าวุ่น นางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงห้องของกั่วฮุ่ยซือฟู่

ลานเรือนเงียบเชียบ ตรงใต้ชายคามีแม่ชียืนอยู่เจ็ดแปดคน ล้วนมีสีหน้าร้อนอกร้อนใจมาก

เมื่อเห็นฟู่ถิงจวิน พวกนางพากันประนมมือคารวะ ขณะที่แม่ชีสูงวัยหลายคนกล่าวขอบคุณนางเสียงเบาๆ “ทำให้คุณหนูเก้าต้องลำบากมาถึงที่นี่แล้ว!”

“ซือฟู่ทั้งหลายไม่ต้องมากพิธี” ฟู่ถิงจวินลดเสียงเบาลงกล่าวทักทายพวกนางแล้วเอ่ยต่อทันที “อาการของกั่วจื้อซือฟู่เป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังไม่ทราบเลย!” มีแม่ชีถอนใจ “ตอนพวกเราไปถึงก็เห็นอาจารย์อานอนหงายหลังอยู่บนพื้น สลบไสลไม่ได้สติแต่แรก ส่วนผ้าคลุมแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ถูกแหวกออกไปด้านข้างจนเห็นทางเข้าห้องใต้ดิน…”

ขณะที่นางพูดอยู่ สุ้มเสียงนุ่มนวลทว่ายังแฝงไว้ด้วยความเข้มงวดของกั่วฮุ่ยซือฟู่ดังมาจากในห้อง “ใครอยู่ข้างนอกรึ”

แม่ชีคนนั้นรีบหยุดสนทนา กล่าวอย่างเคารพยำเกรง “เป็นคุณหนูเก้าของสกุลฟู่เจ้าค่ะ นางได้ยินว่าอาจารย์อาถูกคนทำร้ายบาดเจ็บจึงตั้งใจมาเยี่ยมอาการ”

ยังมิทันสิ้นเสียง ประตูเปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าดพร้อมกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู

“เป็นคุณหนูเก้านี่เอง!” สีหน้าของนางอ่อนโยนใจดี หากแต่ยากจะเก็บงำความกังวลใจไว้ได้ “ศิษย์น้องเพียงถูกคนตีสลบ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้นางฟื้นแล้ว” นางเอ่ยแล้วเชิญหญิงสาวเข้าไปในห้อง

ฟู่ถิงจวินได้ยินเสียงถอนหายใจดังต่อกันเป็นทอดๆ ของเหล่าแม่ชีที่รออยู่ใต้ชายคา พลอยให้โล่งอกตามไปด้วย

ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยังลอบยินดีรางๆ

ในห้องไม่มีคนอื่น กั่วจื้อซือฟู่ฟื้นขึ้นมาแล้วตามที่กั่วฮุ่ยซือฟู่ได้บอกไว้ นางนอนพิงหมอนหนุนใบใหญ่ตรงหัวเตียงหลัวฮั่น* ยกมือคลำที่ศีรษะ

กั่วฮุ่ยซือฟู่เอ่ยอธิบาย “นางถูกคนใช้ไม้ตีที่ศีรษะ”

กั่วจื้อซือฟู่หันมาทักทายฟู่ถิงจวิน “คุณหนูเก้ามาแล้วหรือ!” นางพูดแล้วตั้งท่าจะลุกขึ้น

“ไม่ต้องลุกขึ้น รีบนอนลงเร็วเข้า!” ฟู่ถิงจวินเข้าไปห้าม “พักรักษาแผลสำคัญกว่า! ถ้าซือฟู่เกรงอกเกรงใจเยี่ยงนี้ ข้าว่าข้ากลับไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”

กั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ยินแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูเก้าเป็นคนง่ายๆ เจ้าไม่ต้องถือพิธีรีตองนัก เจ้าก็บาดเจ็บอยู่ นอนนิ่งๆ อย่าขยับตัวมากจะเป็นการดีที่สุด!” ถ้อยคำสุดท้ายกลับพูดให้ฟู่ถิงจวินฟัง ถึงอย่างไรนางยังคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่ากั่วจื้อซือฟู่เสียมารยาท

กั่วจื้อซือฟู่ไม่ยืนกรานจะลุกต่อ นางจึงกล่าวขอขมาแล้วนอนพิงหมอนดังเก่า

แม่ชีน้อยยกน้ำชาเข้ามา

ป้าเฉินซึ่งได้ยินเสียงเอะอะก็รุดมาถึงเช่นกัน

ทุกคนคำนับทักทายกันครู่หนึ่ง จากนั้นนั่งลงตามลำดับศักดิ์ฐานะ กั่วฮุ่ยซือฟู่ทำสีหน้าขึงขัง และเอ่ยเสียงเคร่งเครียด “นับจากคราวก่อนที่ของในเรือนครัวถูกขโมยไป อาตมากับศิษย์น้องก็คอยระมัดระวังอยู่ ทั้งยังพาลูกศิษย์หลายคนเดินลาดตระเวนภายในอารามบ่อยๆ วันนี้ก็ช่างปะเหมาะเคราะห์ร้าย เดิมทีศิษย์น้องลาดตระเวนเสร็จแล้ว คิดว่าหลายวันนี้อากาศร้อนแห้ง แต่ในพระอุโบสถยังจุดโคมประทีปไว้หลายดวงเลยรู้สึกไม่วางใจอยู่สักหน่อย นางคิดจะเข้าไปดู ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้าไปก็มองเห็นชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าปุๆ ปะๆ สิบกว่าคนมุดออกมาจากด้านล่างของแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ ศิษย์น้องรู้ว่าไม่เข้าทีแล้ว เพิ่งคิดจะวิ่งออกไปร้องเรียกคน ก็ถูกคนที่ดูต้นทางใช้ไม้ตีที่ท้ายทอยจนหมดสติไปทันที ส่วนธัญพืชในห้องใต้ดินก็ถูกขโมยไปมากกว่าครึ่ง” นางพูดพลางมองไปทางป้าเฉิน “อาตมาว่าแจ้งทางการดีกว่าเถอะ!”

“แจ้งทางการ?” ฟู่ถิงจวินกับป้าเฉินต่างนิ่งงันไป

“ใช่ แจ้งทางการ!” กั่วฮุ่ยซือฟู่มีสีหน้าหนักใจ “คราวก่อนของในเรือนครัวถูกขโมยไปครั้งหนึ่งแล้ว ขโมยคราวนี้น่าจะเป็นพรรคพวกเดียวกับคราวก่อน ถึงไม่ใช่พวกเดียวกันก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่คุ้นเคยกับสภาพภายในอารามถึงเพียงนี้ อีกอย่างพากันมาทีเดียวสิบกว่าคน เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนเร่ร่อน หากตกเป็นเป้าหมายของพวกนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากดึงดูดฝูงตั๊กแตนมา ถ้าไม่กวาดของที่กินได้ในอารามปี้อวิ๋นไปจนหมดเกลี้ยง พวกเขาคงไม่เลิกราแต่โดยดี และจะต้องมาใหม่อีกเป็นแน่ อารามปี้อวิ๋นตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คน ถ้าเกิด…เอ่อ…แล้วไม่มีใครให้ความช่วยเหลือแม้สักคน หากคนของจวนสกุลฟู่เป็นอะไรไป อาตมาตายหมื่นครั้งก็ยากจะไถ่ถอนความผิดได้!”

ฟู่ถิงจวินคาดหวังว่ากั่วฮุ่ยซือฟู่จะแจ้งทางการ เมื่อเป็นเช่นนี้สกุลฟู่ก็ไม่อาจไม่รับนางกลับไป

นางปิดปากเงียบ

ป้าเฉินดูลังเลใจมาก นานครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยขึ้น “ข้าว่าเรื่องนี้ควรหารือกับนายท่านใหญ่จะดีกว่า! ต่อให้จะแจ้งทางการก็ต้องรายงานนายท่านใหญ่สักคำจึงจะถูก”

“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน” กั่วฮุ่ยซือฟู่นิ่งคิดแล้วกล่าว “จะได้ขอให้นายท่านใหญ่แบ่งปันข้าวสารให้พวกเราบ้างพอดี ร้านข้าวสารในเมืองล้วนบอกว่าไม่มีข้าวแล้ว ตอนนี้ถึงมีเงินก็ซื้อธัญพืชไม่ได้ เช่นนั้นก็รบกวนป้าเฉินรายงานด้วย” นางโค้งคารวะให้ป้าเฉิน

“ข้าจะนำคำพูดของซือฟู่ฝากไปถึงนายท่านใหญ่แน่นอน!” ป้าเฉินถามไถ่อาการของกั่วจื้อซือฟู่แล้วนั่งอยู่ชั่วครู่ถึงลุกขึ้นอำลา “ฉวยจังหวะที่ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะส่งคนกลับไปแจ้งข่าว”

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วกล่าวขอตัวตาม “ในเมื่อกั่วจื้อซือฟู่ต้องพักรักษาตัวอย่างสงบ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว รอเมื่อท่านดีขึ้นข้าจะเยี่ยมอีกที” กั่วจื้อซือฟู่กล่าวคำขอบคุณ

กั่วฮุ่ยซือฟู่เดินออกไปส่งคนทั้งสองถึงนอกเรือนแล้วจึงกลับมาที่ห้อง

ภายในห้อง แม่ชีน้อยกำลังเก็บถ้วยชา

กั่วจื้อซือฟู่บอกให้นางออกไปแล้วเอ่ยถามกั่วฮุ่ยซือฟู่ “ศิษย์พี่ ท่านอ้างว่าธัญพืชถูกขโมย แล้วให้ข้าแกล้งทำเป็นถูกคนเร่ร่อนทำร้ายจนบาดเจ็บ ทั้งยังจะแจ้งทางการอีกด้วย ท่านอยากจะไล่คนของสกุลฟู่ไปหรือ”

กั่วฮุ่ยซือฟู่พยักหน้า ดวงหน้าใจดีมีเมตตากระด้างขึ้น ทำให้แลดูปึ่งชาไปบ้าง “เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือว่า สกุลฟู่หมายอาศัยอารามของเราเป็นที่ลงมือน่ะสิ!”

บุตรสาวของนายท่านห้าถูกคนของนายท่านใหญ่คอยเฝ้าอยู่ ไยนางจะมองไม่ออกเล่า

กั่วจื้อซือฟู่เอ่ยอย่างละล้าละลัง “ถึงอย่างไรหลายปีนี้พวกเราได้รับการอุปถัมภ์จุนเจือจากสกุลฟู่…มันออกจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่”

กั่วฮุ่ยซือฟู่เหยียดมุมปาก ตั้งท่าจะเอ่ยบางอย่าง ก็มีคนเคาะประตู “กั่วฮุ่ยซือฟู่ นี่ป้าเฉินเจ้าค่ะ!”

นับๆ เวลาดู นางคงจะแยกกับคุณหนูเก้าแล้วย้อนกลับมาอีกครา

นางมาทำอะไร

แม่ชีทั้งสองสบตากัน

กั่วฮุ่ยซือฟู่ไปเปิดประตู

ป้าเฉินสนทนากับกั่วฮุ่ยซือฟู่ในห้องนอน “ซือฟู่เจ้าคะ วันนี้เป็นวันที่สองเดือนเจ็ดแล้วกระมัง? หลายวันก่อนนายหญิงของข้าให้คนส่งสารมาบอกให้พวกเราต้องกลับจวนก่อนวันที่สี่เดือนเจ็ด ฉะนั้นอย่างมากก็รออีกแค่สองวันเท่านั้น ข้าว่าซือฟู่รออีกสองวันจะดีกว่านะเจ้าคะ”

กลับจวน! กลับอย่างไร

ทุกคนกลับไปพร้อมกันหมด หรือมีแค่ป้าเฉินพาคนไม่กี่คนกลับไป

ภายในห้องเงียบกริบดุจน้ำบ่อนิ่งสนิท

ฟู่ถิงจวินไม่รู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย นางกำลังครุ่นคิดถึงถ้อยคำของกั่วฮุ่ยซือฟู่ไปตลอดทาง

หรือว่าเขาจะเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ แต่ดูไปก็ไม่คล้ายจะใช่นี่นา!

ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าเขามีฝีมือวรยุทธ์ที่ดี เพียงดูเขาที่ใช้เวลาแค่ครึ่งวันสืบได้เรื่องต่างๆ มากมาย ความคิดอ่านก็เป็นเหตุเป็นผล แยกแยะความสำคัญก่อนหลังได้ชัดเจนชวนให้น่านับถือ แล้วเขายังสามารถนำพาคนสิบกว่าคนเสี่ยงลอบเข้ามาในอารามปี้อวิ๋นอย่างเงียบเชียบตอนกลางวันแสกๆ และขนธัญพืชออกไปได้อย่างปลอดภัย ความสามารถชั้นนี้ ไฉนจะรักษาทรัพย์สมบัติของตระกูลไว้ไม่ได้จนต้องมาเป็นคนเร่ร่อนเล่า

แล้วเขาก็ไม่ใช่โจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับหรือนักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิดแน่นอน เพราะคนสองจำพวกนี้โดยมากล้วนมีตัวคนเดียว พอเห็นของมีค่า หยิบฉวยมาได้ก็เผ่นหนี มีหรือจะกล้ารั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ เหนืออื่นใดข้างตัวเขาไม่เพียงมีพรรคพวกจำนวนมาก อีกทั้งทุกคราที่เข้าออกห้องนอนของนางกลับไม่แยแสสนใจเครื่องประดับในหีบคันฉ่อง และยังรู้จักขอหยูกยาให้พวกพ้องที่บาดเจ็บ

เขายังไม่ใช่นายพรานอีกด้วย นายพรานมักอาศัยอยู่บนภูเขา ท่องไปทั่วป่าดงพงไพรได้ประหนึ่งเดินอยู่บนที่ราบ ไม่คุ้นเคยกับความพลุกพล่านจอแจภายในเมือง ทว่าเขาอ่านออกเขียนได้ ดูภาพผังจวนที่นางวาดขึ้นอย่างลวกๆ หยาบๆ ปราดเดียวก็เข้าไปในจวนสกุลฟู่ได้อย่างราบรื่น นี่มิใช่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปจะกระทำได้เด็ดขาด

เคราะห์ดีที่เขามิได้ใช้ฝีมือวรยุทธ์สังหารคนหรือทำอันตรายต่อกั่วจื้อซือฟู่ที่มาพบเจอพวกเขาโดยบังเอิญ

พอหวนนึกขึ้นได้ นางชะงักฝีเท้ากึก

ตอนนั้นเขาแค่บีบคอนางจนสลบไปเฉกเดียวกับกั่วจื้อซือฟู่ หาได้ต้องการเอาชีวิตนางไม่!

หรือว่าเขาเจตนา!

ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้น นางก็ระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนไม่อยู่

ด้วยเหตุนี้เขาวางตัวนางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ตรงลานด้านหลัง ประการแรกมีร่มเงา นางจะได้ไม่ต้องตากแดดจนล้มป่วย ประการที่สองพอนางฟื้นขึ้นมา ต่อให้ร้องตะโกนโวยวาย คนในอารามก็ไม่ได้ยิน เป็นการถ่วงเวลาให้เขาหลบหนี!

ต้องเป็นเช่นนี้แน่!

ฟู่ถิงจวินกำมือเป็นหมัดแน่น

ไม่อย่างนั้น ด้วยวรยุทธ์ของเขา ถึงมีนางสิบคนก็ถูกเขากำจัดไปแต่แรกแล้ว

นางคิดต่อไปว่าเขาเป็นคนมีสัจจะ ทั้งที่รู้ว่าเป็นโคลนตม เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย เขาก็ยังช่วยส่งสารให้นางโดยไม่ลังเลใจ…นางอยากพบเขามากเพื่อถามว่าเขาเป็นใครกันแน่ เหตุไฉนจึงตกอับอยู่ในสภาพนี้ และมีอะไรที่นางช่วยเหลือได้บ้าง เขาช่วยเหลือนางมามากขนาดนี้ อย่างอื่นนางไม่กล้ารับปาก แต่ให้ท่านแม่มอบเงินทองให้เขาเป็นการขอบคุณยังพอทำได้อยู่

เอ๊ะ…นางยังไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่ของเขาเลย!

ครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกันนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป เป็นเหตุให้นางเห็นเขาก็เสียขวัญ หวังแต่จะหนีห่างจากเขาได้ยิ่งไกลยิ่งดี นับจากนี้ไปไม่ต้องเจอะเจอกันอีกจะดีที่สุด ไหนเลยจะอยากรู้ว่าเขามีชื่อแซ่ว่าอะไร

ฟู่ถิงจวินหน้าแดงน้อยๆ

“คุณหนูเก้า” ลวี่เอ้อซึ่งเดินตามหลังมาร้องเรียกนางไว้ “พวกเราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ”

นางดึงสติคืนมา ถึงพบว่าตนเองยืนอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ

แสงตะวันยามบ่ายจัดจ้าร้อนแรง ต้นแปะก๊วยเก่าแก่สองต้นแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมเป็นร่มเงาครึ้ม ลำพังแค่มองดูก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย

“เจ้ากลับห้องไปดูแลหานเยียนเถอะ!” นางพลันรู้สึกเบาสบายทั้งกายใจ “ข้าจะกลับห้องนอนพักครู่หนึ่ง หลังจากมื้อเย็นเจ้าค่อยมารับใช้ข้าตอนชำระกายก็พอ”

ลวี่เอ้อไม่ยอม ยังพร่ำพูดซ้ำๆ ทำนองว่า “แบบนี้จะได้อย่างไร” ฟู่ถิงจวินคร้านจะพูดกับนางให้มากความ หมุนกายสาวเท้าไปตามทางเดินที่ปูด้วยศิลาเขียวซึ่งเชื่อมสู่หอจิ้งเยวี่ย

ตอนเป็นเด็ก ท่านแม่เคยเล่าเรื่องของซูสวินที่เริ่มพากเพียรเล่าเรียนในวัยยี่สิบเจ็ดจนได้เป็นจิ้นซื่อในท้ายที่สุดให้นางฟัง

ฉะนั้นนางเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บัดนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไปกระมัง!

ฟู่ถิงจวินเดินเข้าไปห้องนอนพร้อมด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก

นอกห้องแสงแดดเริงแรงดุจเปลวไฟ ขณะที่ในห้องเงียบสงัด ไอร้อนผ่าวตามเนื้อตัวมลายหายไปอย่างรวดเร็ว พาให้จิตใจสงบตามไปด้วย

“เจ้าช่วยฝนหมึกให้ข้าเถอะ!” เมื่อก่อนในเวลานี้นางจะเย็บผ้าเสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีผ้าให้เย็บ มิสู้ฝึกคัดลายมือดีกว่า จะว่าไปแล้ว หลังจากนางมาอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นก็ไม่ได้ฝึกคัดลายมืออีกเลย

การคัดลายมือต้องฝึกปรือทุกวันไม่ขาดถึงจะก้าวหน้า

ลวี่เอ้อขานรับแล้วหยิบชามล้างพู่กันไปใส่น้ำเข้ามา

เมื่อปลายพู่กันอ่อนนุ่มจรดลงบนกระดาษ ฟู่ถิงจวินปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับการคัดลายมือทีละน้อย

 

วันถัดมาหลังอาหารมื้อเที่ยง ฟู่ถิงจวินบอกให้ลวี่เอ้อออกไปแล้วปิดหน้าต่าง จากนั้นนั่งอ่านหนังสือ ‘เรื่องปกิณกะ‘ อยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าวเงียบๆ คนเดียว

ป้าเฉินมาเคาะประตู “คุณหนูเก้า บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าคะ”

ฟู่ถิงจวินไปเปิดประตู

วันนี้อากาศร้อนจัด ป้าเฉินใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีขาว กลัดกระดุมถักลายผีผาครบทุกเม็ดอย่างเรียบร้อย มีเสื้อคลุมผ่าหน้ายาวเหนือเข่าปักลายดอกบัวนิลสีม่วงสวมทับด้านนอกอีกชั้น แลดูขึงขังเจ้าระเบียบ

นางยังพาป้าฝานกับหญิงรับใช้วัยกลางคนแซ่ซุนอีกนางหนึ่งติดตามมาด้านหลัง ทั้งสองมีเรือนร่างอวบหนาล่ำสัน สวมเสื้อตัวสั้นป้ายทับไปทางซ้ายกับกระโปรงทำจากผ้าฝ้ายโปร่งสีคราม ดูเหมือนประตูสองบานที่กีดขวางอยู่หน้าห้องนอน ป้าฝานยังประคองกล่องอาหารไม้ไผ่สานลงรักแดงใบหนึ่งไว้ในมือ

ฟู่ถิงจวินลอบนึกแปลกใจ นางหมุนกายไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือหน้าโต๊ะหนังสือ

“คุณหนูเก้ากำลังทำอะไรง่วนอยู่หรือเจ้าคะ” ป้าเฉินไต่ถาม ทว่าไม่ได้ยืนตรงหน้านางดังเช่นที่ผ่านมา หากแต่เดินวนในห้องรอบหนึ่ง พอเห็นหน้าต่างงับปิดเรียบร้อย ดูท่าทางนางประหลาดใจอยู่สักหน่อย

ฟู่ถิงจวินเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจป้าเฉิน จึงเอ่ยถามนางอย่างตรงไปตรงมา “ป้าเฉินมีเรื่องอะไร”

ป้าเฉินไม่ปริปากพูด เพียงยืนอยู่กับที่นิ่งๆ หลุบตาลงมองดูก้อนอิฐสีเทาบนพื้น

นี่จะทำอะไรกัน แสร้งทำลึกลับอมพะนำ!

ขณะที่ฟู่ถิงจวินรำพึงในใจก็มองเห็นป้าฝานเดินก้มหน้าเข้ามาแล้ววางกล่องอาหารลงบนโต๊ะตัวเล็กด้านข้าง

“คุณหนูเก้า อากาศร้อนมาก หลังจากท่านเป็นไข้แดดแล้วร่างกายยังไม่หายดีสักที สกุลอวี๋กำลังจะมาสู่ขอในเวลาอันใกล้นี้แล้ว นายท่านใหญ่ร้อนอกร้อนใจเลยให้คนส่งยาดับพิษร้อนมาให้เจ้าค่ะ” เสียงของนางเบามาก ซ้ำยังทุ้มต่ำน้อยๆ “ยายังร้อนอยู่ คุณหนูเก้ารีบดื่มเถอะเจ้าค่ะ!” นางพูดพลางเปิดกล่องอาหารออก

กล่องไม้ไผ่ลงรักแดงเป็นมันวาวจนเห็นเงาสะท้อน มีชามโคมลายครามวางอยู่หนึ่งใบ ยาต้มสีน้ำตาลที่อยู่ในชามสีครามแลดูเป็นสีดำๆ

นี่หมายความว่าอะไร

ฟู่ถิงจวินมองป้าเฉินอย่างงุนงง

ป้าเฉินมองที่ปลายเท้า ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่เสมือนหุ่นดินปั้น

ป้าฝานยืนค้อมกายอยู่ที่เดิม สองมือประสานกันไว้แน่นคล้ายระแวดระวังอะไรอยู่ก็ไม่ปาน

ภายในห้องที่เงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตกพื้นมีเสียงสวบสาบแผ่วเบาดังขึ้น

ฟู่ถิงจวินมองไปเห็นป้าซุนยืนอยู่หน้าประตูห้อง

ภาพบางอย่างผุดขึ้นในหัว นางกระจ่างขึ้นมาในบัดดล

สีหน้านางซีดเผือดในชั่วอึดใจ โลหิตทั่วกายพลุ่งขึ้นหน้า นางเงื้อมือจะปัดชามใบนั้นทิ้ง

ป้าฝานที่ไม่ขยับตัวมาโดยตลอดสืบเท้าก้าวหนึ่งเข้ามาขวางหน้านางไว้ แต่เพิ่งส่งเสียงเรียก “คุณหนูเก้า” ฟู่ถิงจวินก็หมุนกายปีนขึ้นเก้าอี้ไท่ซือแล้วพุ่งทะยานไปที่หน้าต่าง

คนในห้องล้วนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

ฟู่ถิงจวินใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนป่ายข้ามโต๊ะหนังสือจนไปถึงริมหน้าต่าง

“รีบสกัดนางไว้!” สุ้มเสียงของป้าเฉินร้อนรนระคนแตกตื่น

ป้าซุนที่เฝ้าอยู่ข้างประตูปรี่เข้าไปจับขาทั้งคู่ของหญิงสาว

นางตะเบ็งเสียงลั่น “ลวี่เอ้อ…หานเยียน…กั่วฮุ่ยซือฟู่…กั่วจื้อซือฟู่…” แต่แล้วก็ถูกคนปิดปากไว้

นางออกแรงกัดสุดชีวิตโดยไม่ปรานีใดๆ

“โอ๊ย!” คนที่ร้องโอดโอยคือป้าเฉิน

ฟู่ถิงจวินกัดแรงยิ่งขึ้น

ป้าฝานกับป้าซุน คนหนึ่งจับแขนนางไว้ คนหนึ่งจับมือของป้าเฉิน “คุณหนูเก้า รีบปล่อยเดี๋ยวนี้!”

พวกเจ้ายังหมายเอาชีวิตข้าได้ ข้ายังต้องกลัวทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บอีกหรือไร

ห้วงสมองของฟู่ถิงจวินอึงอลว่างเปล่า ทว่าใจนางมุ่งแต่จะกัดสิ่งที่อยู่ในปากชิ้นนั้นให้หลุดออกมาจากตัวป้าเฉิน

คนหนึ่งร้องห้าม คนหนึ่งยื้อยุดฉุดดึง คนหนึ่งสะบัดมือ คนหนึ่งกัดไม่ปล่อย ทั้งสี่คนมะรุมมะตุ้มนัวเนียกันอุตลุดชุลมุนประหนึ่งเกลียวเชือกที่พันกันยุ่ง

จู่ๆ ฟู่ถิงจวินก็อ้าปากปล่อยป้าเฉิน

ป้าเฉินกุมมือถอยหลังกรูดๆ

ฝ่ายฟู่ถิงจวินยังจะถลันตามไปพุ่งชนนาง

ป้าฝานกับป้าซุนเห็นฟู่ถิงจวินปล่อยป้าเฉินแล้วระบายลมหายใจโล่งอก มือที่ยึดตัวหญิงสาวไว้ก็คลายออกโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้จับนางไว้ไม่อยู่ในชั่วขณะ

ฟู่ถิงจวินดิ้นหลุดจากมือของทั้งคู่ได้ก็เอี้ยวตัวหนี ทางหนึ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย!” ทางหนึ่งพุ่งไปที่ข้างประตูห้องนอนแล้วเปิดออกด้วยความว่องไว

พวกป้าเฉินหน้าถอดสีไปถนัดตา ป้าฝานกับป้าซุนไล่ตามไปโดยไม่รอคำสั่ง

ในห้องโถงไม่มีใครสักคน ประตูใหญ่กับหน้าต่างปิดแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าคนงานหญิงพวกนั้นได้รับคำสั่งให้หลบออกไปแต่แรกแล้ว

พอฟู่ถิงจวินชักดาลประตู ป้าฝานก็ไล่ตามมาถึง ขณะที่ประตูเพิ่งเปิดอ้าออกเป็นช่องเล็กๆ มือของป้าฝานก็แตะถูกไหล่นาง

จังหวะได้เปรียบหลุดลอยไป ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

นางตัดสินใจวิ่งไปตรงกลางโถงทันควัน

ป้าซุนกับป้าเฉินวิ่งไล่ตามหลังกันออกมา

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินมองฟู่ถิงจวินที่ยืนชิดโต๊ะตัวยาวด้วยท่าทางตื่นกลัวกระสับกระส่าย สายตาฉายแววพรั่นพรึง “พวกข้าก็ต้องทำงานตามคำสั่งของนายท่านใหญ่…”

“เจ้าโกหก!” ฟู่ถิงจวินกระชากเสียงแหลมบาดหูอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน “ท่านเป็นลุงใหญ่ของข้า มีหรือจะปล่อยให้ข้าตายได้ลงคอ! อีกอย่างปกติเรื่องของเรือนหลังต้องให้ประมุขหญิงเป็นผู้สะสาง ท่านลุงใหญ่จะยื่นมือแทรกได้อย่างไร เป็นเจ้าแค้นใจที่ข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาชัดๆ ถึงได้หลอกให้เจ้านายหลงเชื่อ ปิดหูปิดตาบ่าวไพร่คนอื่น เพื่อหมายจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย…”

ตรงกลางอกหัวใจเต้นรัวดังตึกตักๆ ราวกับว่าทันทีที่นางสะกดไว้ไม่อยู่ มันก็จะกระดอนออกมา

ถ้านางต้องตาย ก็จะไม่ปล่อยให้ป้าเฉินที่กล้าเอายามาให้นางกินได้อยู่อย่างเป็นสุข

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินทำหน้าบึ้ง รอยลังเลที่ฉายขึ้นในดวงตารางๆ แต่เดิมเลือนหายไปทีละน้อย และแทนที่ด้วยแววตาเย็นเยียบ “คุณหนูเก้ากล่าวเรื่องใดกันนี่ นายท่านใหญ่แค่สงสารที่ท่านไม่สบายถึงส่งยามาให้เท่านั้น เป็นๆ ตายๆ อะไรกัน ไยท่านต้องพูดเสียน่ากลัวปานนี้ หรือว่าป่วยจนเลอะเทอะไปแล้ว”

“ในเมื่อข้าไม่สบายก็สมควรเชิญหมอมาจึงจะถูก” ฟู่ถิงจวินตะเบ็งเสียง วาดหวังว่าจะมีคนได้ยินแล้วบุกเข้ามาช่วยพลิกสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อนาง “แต่ไรมาไม่เคยยินว่าคนล้มป่วยไม่ตรวจชีพจรไม่ถามอาการก็สั่งยาให้เลย สกุลฟู่ของข้าไม่มีธรรมเนียมอย่างนี้ ป้าเฉินอย่าได้ยกท่านลุงใหญ่มาหลอกข้าให้ตายใจ”

คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเก้าจะปากคมปากกล้าเช่นนี้

เรื่องความเป็นความตาย จะอาศัยแค่ถ้อยคำวาจาก็ชักจูงให้หลงเชื่อได้แล้วหรือ

นางไม่สามารถหว่านล้อมคุณหนูเก้าได้ ส่วนคุณหนูเก้าก็ไม่มีทางยอมรับชะตากรรม

ป้าเฉินเฝ้าหน้าประตูไว้พร้อมส่งสายตาไปให้ป้าฝานกับป้าซุน ทั้งสองก็เดินรี่เข้าไปกระหนาบฟู่ถิงจวินทั้งซ้ายขวา

สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไป นางหันรีหันขวาง อยากจะหาอะไรสักอย่างป้องกันตัว พอเห็นกระถางธูป แจกันเหมย* แจกันดอกไม้ ฉากกั้นที่วางประดับอยู่บนโต๊ะตัวยาว ก็หยิบมาขว้างใส่ป้าฝานกับป้าเฉินหมดทุกชิ้น

เสียงแหลมกังวานของกระเบื้องแตกกับเสียงทุ้มหนักของระฆังบอกเวลาดังประสานกันเป็นทอดๆ แม้จะยับยั้งฝีเท้าของป้าฝานกับป้าเฉินได้บ้าง แต่พวกนางยังคงขยับเข้าไปใกล้ฟู่ถิงจวินทุกทีๆ

ใครก็ได้ ช่วยข้าด้วย!

ในใจฟู่ถิงจวินค่อยๆ สิ้นหวังลงทีละน้อย น้ำตาเอ่อคลอปริ่มขอบตา

เงาร่างบุรุษผ่ายผอมเงียบขรึมผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในหัว

นางลอบยินดี

นางลืมไปได้อย่างไรว่านางกับเขานัดหมายกันไว้!

บทที่ห้า

 ฟู่ถิงจวินบังเกิดความกล้าเพิ่มพูนขึ้น

นางวิ่งเลาะไปตามเก้าอี้ไท่ซือที่วางเรียงเป็นแถวทางซ้ายไปที่ห้องหนังสือ

หากจำไม่ผิด หน้าต่างห้องหนังสือทางทิศตะวันตกเปิดอยู่

ป้าฝานกับป้าซุนอยู่อีกด้านหนึ่งมีเก้าอี้ขวางอยู่ตรงกลาง กว่าพวกนางจะอ้อมไปได้ ฟู่ถิงจวินก็อยู่ห่างจากประตูบานเฟี้ยมของห้องหนังสือเพียงสองก้าว

หญิงสาวลืมไปว่าป้าเฉินยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนทางขวา เห็นนางไปที่ห้องหนังสือทางทิศตะวันตก ป้าเฉินวิ่งตรงเข้ามาดักนางตรงหน้าประตู

ด้านหน้ามีป้าเฉิน ด้านหลังมีป้าฝานกับป้าซุน ทางขวาเป็นกำแพงสีขาว ทางซ้ายเป็นแถวเก้าอี้ไท่ซือ

ฟู่ถิงจวินไม่หยุดคิดใคร่ครวญ ปีนขึ้นบนโต๊ะชาที่ตั้งคั่นระหว่างเก้าอี้ไท่ซือ ตั้งใจจะข้ามไปอีกด้านหนึ่ง แต่ถูกป้าเฉินรัดเอวไว้ “รีบมาช่วยกันเร็วเข้า!”

นางหน้าถอดสี ดิ้นขลุกขลักพลางตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วย!”

ป้าฝานกับป้าซุนล้วนร่างใหญ่กำยำ ไม่เพียงเรี่ยวแรงดี ซ้ำขายังยาวอีกด้วย พอเห็นฟู่ถิงจวินถูกป้าเฉินตะครุบตัวไว้ได้ก็ถลันเข้าไปโดยไม่รอคำสั่ง พริบตาเดียวพวกนางก็มาถึงตรงหน้า สิ้นเสียงป้าเฉินไม่ทันไร ทั้งคู่ยึดแขนของฟู่ถิงจวินไว้คนละข้าง แต่เพราะเสียงร้องของนางแหลมสูงเกินไป และดูจะดังก้องยิ่งขึ้นในลานเรือนอันเงียบสงัดไร้ผู้คนแห่งนี้ ป้าซุนหวั่นกลัวว่าจะมีคนมาจึงคิดจะปิดปากนางไว้ หางตาชำเลืองเห็นง่ามนิ้วโป้งของป้าเฉินแล้วก็อดสองจิตสองใจมิได้ ข้างหูมีเสียงทุ้มต่ำแฝงรอยเคร่งเครียดหลายส่วนของป้าเฉินดังลอยมา “เร็วเข้า พาตัวคุณหนูเก้ากลับไปที่ห้อง”

ป้าซุนไม่ลังเลอีกต่อไป นางแลมองป้าเฉินที่เตี้ยกว่าตนเองครึ่งศีรษะ ก่อนจะช้อนเอวฟู่ถิงจวินอุ้มขึ้นมา

ประเดี๋ยวเขาก็จะมาแล้ว!

ประเดี๋ยวก็มาแล้ว!

จะปล่อยให้พวกนางสมดังใจหมายไม่ได้

ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องถ่วงเวลาจนเขากลับมา…นางก็จะรอดชีวิต

ฟู่ถิงจวินกรีดร้องสุดเสียง ทั้งเตะทั้งถีบทั้งทุบทั้งข่วนอย่างไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น กระนั้นนางยังคงต้านทานพละกำลังที่ต่างกันลิบไม่ไหว ถูกกึ่งอุ้มกึ่งลากกลับไปที่ห้องนอน

ป้าเฉินยกยาชามนั้นมาด้วยตนเอง สีหน้านางขุ่นมัว “กดตัวคุณหนูเก้าไว้”

ป้าฝานไม่พูดไม่จา ก้าวเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของฟู่ถิงจวินไว้

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินเอ่ยเสียงพึมพำ ไม่รู้ว่าพูดกับนางหรือว่าปลอบใจตนเอง “ท่านอย่าโทษข้าเลยนะ จะโทษก็ต้องโทษที่ท่านชะตาไม่ดีถึงถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยหมายตา เช่นนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบเถอะ ส่วนทางจั่วจวิ้นเจี๋ย นายท่านใหญ่ย่อมชำระสะสางให้ท่านเอง” กล่าวจบป้าเฉินบีบปลายคางของหญิงสาวไว้แล้วกรอกยาเข้าปากนาง

ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่นสนิท พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากมือป้าเฉินสุดแรงเกิด พลางตะโกนร่ำร้องอยู่ในใจอย่างร้อนรน

ทำไมท่านยังไม่มาสักที ขืนท่านยังไม่มาอีกคงได้พบแต่ศพของข้าแล้ว

น้ำตานางไหลพรากลงมาอย่างสุดจะกลั้น

ป้าเฉินไม่ทันตั้งตัว ยาต้มในมือกระฉอกออกมาหกใส่เสื้อคลุมไหมหังโจวสีฟ้านวลของฟู่ถิงจวิน ทิ้งคราบเป็นวงใหญ่

หญิงรับใช้ยึดปลายคางฟู่ถิงจวินอีกครา แต่นางสะบัดหน้าหนีจนหลุดจากมือเป็นคำรบที่สอง

ป้าเฉินส่งสายตาไปทางป้าฝาน

ป้าฝานกับป้าเฉินทั้งสองคนมิได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นหนแรก เป็นธรรมดาที่ป้าฝานจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้ นางมองป้าซุนแวบหนึ่ง ทั้งคู่ก็ร่วมแรงกันตรึงตัวหญิงสาวไว้บนเตียง ป้าฝานยกมือข้างที่ว่างอยู่มาจับปลายคางเรียวไว้ ขณะที่ป้าเฉินกรอกยาเข้าปาก

ต้องยืนหยัดไว้!

ต้องยืนหยัดไว้ให้ได้!

บางทีเขาอาจเดินมาถึงกลางทางแล้วแค่เชือกรองเท้าฟางหลุดเลยก้มตัวลงผูกให้แน่น ถึงได้เสียเวลาไปบ้าง…ไม่แน่ว่าในอึดใจต่อมา เขาก็จะปรากฏกายขึ้นแล้ว

เวลานี้จะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด!

ยืนหยัดไว้ก็มีชีวิตรอดต่อไปได้

เสียงพูดแฝงรอยละล้าละลังของป้าฝานดังขึ้นริมหู “ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ได้! ป้าเฉิน ข้าว่าหาตะเกียบมาสักคู่ดีกว่า!”

ฟู่ถิงจวินรู้ทันทีว่าพวกนางคิดจะง้างปากตนเอง!

นางกัดฟันแน่นยิ่งขึ้น

ป้าเฉินเห็นว่ายื้อยุดกันไปเช่นนี้มิใช่วิธีการที่ดี เพียงแต่ในห้องนี้มีตะเกียบที่ไหนกัน ถ้าอยากได้สักคู่ก็ต้องไปที่เรือนครัว กว่านางจะหาข้ออ้างให้พวกแม่ชีในอารามไปสวดมนต์ขอพรที่หอพระธรรมทางทิศตะวันตกได้มิใช่ง่ายๆ หากคนอื่นไหวตัวขึ้นมาเพราะตะเกียบคู่เดียว เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกนางเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป ขืนยังไม่รีบจัดการให้เสร็จสิ้นโดยไว หวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาแทรกขึ้นมาอีก

นางนิ่งคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหาปิ่นหยกสักแท่งในหีบคันฉ่องของคุณหนูเก้ามา”

ป้าฝานขานรับแล้วเดินไปหาปิ่นหยกมาแท่งหนึ่งจริงๆ จากนั้นใช้มันง้างฟันของฟู่ถิงจวินซึ่งส่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ออกจากกันจนมีช่องเล็กๆ

ป้าเฉินรีบเร่งกรอกยาเข้าไปโดยไม่รอช้า

มีของเหลวรสหวานๆ ไหลผ่านเข้ามา…ฟู่ถิงจวินหนาวเยือกจับใจ

หรือว่านางจะจบชีวิตลงเท่านี้!

เป็นผู้ใดขโมยอาภรณ์ตัวในของนางออกไป ทำไมจั่วจวิ้นเจี๋ยต้องป้ายสีนาง ท่านแม่อยู่ที่ไหน ท่านรู้หรือไม่บุตรสาวของท่านกำลังจะตายแล้ว ยังมีเขาอีกคน ทำไมเขายังไม่มา เขากับนางนัดหมายกันเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะพบกันใหม่ตอนเที่ยง

ของเหลวท่วมทะลักเข้าสู่ปอดของฟู่ถิงจวิน

นางอยากสำลักออกมา แต่มีของเหลวไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น

หญิงสาวทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจ ใบหน้าของป้าเฉินดูคล้ายเปลวเทียนต้องลม เคลื่อนไหววูบวาบตรงหน้า…นางไขว่คว้าทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวอย่างสะเปะสะปะ ต่อมานางได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวาของสตรีดังขึ้นชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง พร้อมกับแรงที่กดทับนางไว้อันตรธานไปอย่างรวดเร็ว…มีคนร้องเรียกชื่อของนาง

เป็นเสียงของบุรุษที่เจือความตระหนกอยู่บ้าง ฟังแล้วแปลกหูเป็นอันมาก

เป็นใครกัน

หญิงสาวมีท่าทางมึนงงเลื่อนลอย นางเงยหน้าขึ้นมองให้ถนัดตาว่าเป็นใคร ทว่าสายตากลับพร่าเลือน…ตรงกลางอกอึดอัดหายใจติดขัด นางกระอักกระไออย่างรุนแรงจนเจ็บหน้าอกมากขึ้น จากนั้นตัวงอล้มพับลงกับเตียงอย่างทานทนไม่ไหว

 

ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ ฟู่ถิงจวินค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางสติที่เลือนราง นางอยากลืมตา แต่หนังตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่จนเปิดไม่ขึ้น

มีคนยกตัวนางขึ้นแล้วกอดไว้ในอ้อมแขน พูดล่อหลอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มา ดื่มยาเถิด! พอดื่มแล้ว ก็จะหายดีทันที” มีกลิ่นฝักเจ้าจย๋า* หอมสะอาดสดชื่นลอยอวลอยู่ตรงปลายจมูก

เขาเป็นใคร ทำไมต้องกอดนางไว้

ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน

นางเป็นสตรีที่หมั้นหมายแล้วด้วย

เป็นเขาใช่ไหม

ไฉนเขากล่าววาจากับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปานนี้

เขาไปไหนมา

เขารู้เรื่องที่นางถูกกรอกยาแล้วใช่ไหม

ในหัวสมองสับสนยุ่งเหยิง ของเหลวที่ไหลเข้าปากขมๆ ฝาดๆ

นางเพียรพยายามลืมตาขึ้น แต่หนังตากลับหนักอึ้งกว่าเดิม

คนผู้นั้นวางตัวนางลง

หมอนหนุนศีรษะแผ่ไอเย็นแสนสบาย

นางจมลงสู่ห้วงนิทราลึกไปอีกครา

 

หญิงสาวถูกเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้น “…ท่านเก้า เช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ! สตรีผู้นี้อ่อนแอผิวบาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลมีเกียรติ ซ้ำยังรูปโฉมงดงาม ถึงจะสวมอาภรณ์ชาวบ้านก็ปิดบังไม่อยู่ ถ้ามีคนเข้าใจผิดคิดว่าถูกพวกเราล่อลวงมาจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากนะขอรับ”

“ท่านเก้า ท่านรับฟังคำเตือนของพวกข้าสักคำเถอะ!” มีคนเอ่ยต่อ “ถ้าท่านคิดถึงสตรี พอถึงเมืองซีอานแล้ว จะยอดนางคณิกาโคมเขียว นางละครชื่อดัง หญิงชาวบ้านจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หรือแม้คุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่ ขอแค่ท่านเอ่ยปากคำเดียว รับรองว่าแต่ละนางล้วนโฉมงามกว่าสตรีผู้นี้ ท่านไม่จำเป็นต้องพาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยเพราะนางเลย!”

“นั่นสิขอรับ ท่านเก้า” มีคนเห็นพ้องด้วย “ตอนนี้มีคนเร่ร่อนไหล่บ่าเข้าสู่หวาอินกับผูเฉิงเป็นขบวนใหญ่ ทำให้เจ้าเมืองหฺวาโจวยังนั่งไม่ติด มิใช่แค่เจ้าหน้าที่และมือปราบของหวาอินกับผูเฉิงเท่านั้นที่ถูกระดมออกไปขับไล่คนเร่ร่อน แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่และมือปราบในหฺวาโจวก็ถูกเจ้าเมืองส่งตัวไปช่วยเหลือที่หวาอินกับผูเฉิง ยามนี้ใครยังจะมาสนใจพวกเราอีก ฉะนั้นพวกเราฉวยจังหวะนี้ไปซีอานได้พอดี เมื่อนั้นมังกรคืนสู่ท้องทะเล พวกเขาจะไปตามหาพวกเราที่ไหน…”

“พวกเจ้าไม่ต้องพูดอีกต่อไป ข้าตัดสินใจแล้ว” เสียงนี้ราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ถึงขั้นแข็งกระด้างเย็นชา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับแฝงความเด็ดขาดหนักแน่นไว้ระลอกหนึ่งชวนให้ยำเกรง “หยวนเป่า เจ้าพาพวกฟู่กุ้ยปะปนเข้าไปในกลุ่มคนเร่ร่อนจากชิ่งหยาง อวี้เฉิง เจ้าพาพวกซานฝูปะปนเข้าไปในกลุ่มคนเร่ร่อนจากก่งชาง จากนั้นมุ่งหน้าไปเมืองซีอานพร้อมกับพวกเขา ส่วนอาเซิน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่สิบสองเดือนเจ็ด พวกเราไปพบกันที่โรงเตี๊ยมหย่งฝูในอำเภอผิงอันหลี่เมืองซีอานในวันที่สิบห้าเดือนแปด”

วันที่สิบสองเดือนเจ็ด? วันนี้เป็นวันที่สิบสองเดือนเจ็ดแล้วหรือ นางนอนไม่ได้สติมานานถึงเจ็ดแปดวันเชียวหรือนี่

ฟู่ถิงจวินตกใจยกใหญ่ เค้นแรงยกเปลือกตาขึ้น

แสงสว่างพลันสาดเข้ามาแยงตาจนรู้สึกแสบเคือง

นางรีบหลับตาลง

มีคนหลายคนแย่งกันพูดเสียงดังขรม บ้างร้องเรียก ‘ท่านเก้า‘ บ้างพูดว่า ’ข้าขออยู่กับท่าน‘ บ้างพูดว่า ’จะไปต้องไปด้วยกัน‘ บ้างพูดว่า ’ทำแบบนี้ได้อย่างไร‘ บ้างพูดว่า ’อย่างมากพวกเราก็พาสตรีผู้นี้ไปด้วยก็สิ้นเรื่อง’…

“พอแล้ว!” สุ้มเสียงราบเรียบดังขึ้นอีกครา เสียงดังจ้อกแจ้กก็เงียบซาไปดุจคลื่นกระทบฝั่ง เหลือเพียงเสียงของคนผู้เดียว “หากพวกเจ้ายังนับถือข้าเป็นท่านเก้า ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” เขาเอ่ยต่อ “ในเมื่อปลอมตัวเป็นคนเร่ร่อนแล้ว จะทำอะไรก็อย่าหุนหันพลันแล่น สิ่งสำคัญที่สุดคือไปให้ถึงเมืองซีอานอย่างปลอดภัย แล้วถ้าเกิดพบเจอกับคนของเฝิงเหล่าซื่อ พวกเจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน”

หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง มีเสียงขานรับดังขึ้นเป็นห้วงๆ

“พวกเจ้าออกไปเตรียมตัวเถอะ หลังจากมื้อเที่ยงพวกเจ้าก็ออกเดินทางได้เลย” เมื่อคนผู้นั้นกล่าวจบก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ฟู่ถิงจวินพยายามลืมตาขึ้น

ร่างผ่ายผอมร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

แสงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องมาทางด้านหลังชายหนุ่มแผ่เป็นรัศมีสีทองเรืองๆ รอบกายเขา นางมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน แต่ฟังจากเสียงที่ราบเรียบแข็งกระด้างนั่นก็รู้ได้ว่าเป็นเขา…เป็นเขานั่นเอง

เขาช่วยนางไว้ได้อย่างไร เขาได้พบกับท่านแม่หรือไม่ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน คนที่พูดคุยกันพวกนั้นเป็นใคร เพราะอะไรต้องปะปนอยู่ในกลุ่มคนเร่ร่อนไปที่เมืองซีอาน แล้วเขาเป็นใคร ทำไมพูดว่าพอถึงเมืองซีอานแล้ว จะเป็นยอดนางคณิกาโคมเขียว นางละครชื่อดัง หญิงชาวบ้านจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หรือคุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่ล้วนให้เขาเลือกได้ตามแต่ใจ ส่วนสตรีคนที่ทำให้เขากับพรรคพวกโต้เถียงกันคือนางใช่ไหม คนที่กอดนางไว้แล้วป้อนยาให้เป็นเขาใช่หรือไม่

พอคิดถึงตรงนี้ ผิวแก้มนางร้อนซู่ ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากคำถามใดดี นางได้แต่มองดูเขาเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ก่อนจะหยุดห่างออกไปสองสามก้าวแล้วก้มลงมองนาง

ทั้งคู่ประสานสายตากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครคนใดเอ่ยปากพูด

ชายหนุ่มพลันยอบตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ท่านยังจำข้าได้หรือไม่” กล่าวจบเขาขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่ชอบใจน้อยๆ

จะเป็นเพราะนางทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย หรือว่าขุ่นเคืองที่นางทำให้เขากับพรรคพวกต้องโต้เถียงกัน?

ทว่าแม้เขาจะดูใจแข็งเป็นหิน แต่ยังยึดมั่นในคุณธรรมน้ำใจบางประการอย่างมั่นคง

ชั่วเสี้ยวขณะนี้ ฟู่ถิงจวินตื้นตันใจกับความมั่นคงเช่นนี้ของเขาสุดจะหาใดเปรียบ

“จำได้” นางพยักหน้าแล้วคิดจะส่งยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรี พอมุมปากเหยียดออกก็เจ็บเสียดๆ ที่กลางอก นางทำได้แค่กระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

เขาผงกศีรษะ แม้นใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ดังเก่า แต่นางกลับสัมผัสได้ว่าสีหน้าเขาผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ตอนข้ารุดไปถึง ยาต้มนั่นถูกกรอกเข้าปากท่านไปแล้วเกือบครึ่ง ไม่รู้ว่าพวกนางให้ท่านกินยาอะไร ข้าจำต้องบอกกับหมอว่าท่านพลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป” เขาพูดอธิบาย “ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นการถอนพิษ วิธีใช้ยาเป็นหลักการเดียวกัน น่าจะไม่เป็นไร” ท่าทางของเขาราวกับจะบอกว่า ข้าเดาไว้ไม่ผิด ท่านฟื้นขึ้นมาแล้วดังคาด

ฟู่ถิงจวินรู้สึกได้ว่าตนเองคงทำสีหน้าพิกลจนบรรยายไม่ถูกเป็นแน่

พลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป?

ใครกันจะพลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป

หมอท่านนั้นฟังแล้วเห็นทีว่าคงแอบหัวเราะในใจ นึกว่านางเป็นภรรยาที่ชอบหึงหวงอาละวาดของเหย้าเรือนไหน…

ประเดี๋ยวก่อน…หมอ…เขาเชิญหมอมา…พรรคพวกของเขาถูกเสือตะปบบาดเจ็บ เขาแค่หยิบยาจากตู้ลิ้นชักของนางไปง่ายๆ ส่วนนาง เขากลับเชิญหมอมา…

หญิงสาวมองเขาอย่างงงงัน มีกระแสอารมณ์แปลกๆ บางอย่างไหลผ่านกลางใจไปทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง

หรือมีสาเหตุมาจากที่นางนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้มารยาทและไม่สำรวมกิริยาต่อหน้าเขา?

ฟู่ถิงจวินลอบตรึกตรองแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงพบว่าบนตัวสวมเสื้อคลุมผ้าเนื้อดีสีฟ้านวลสะอาดสะอ้าน

สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปถนัดตา นางจำได้ว่าตอนนั้นนางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโจว แล้วขณะที่ป้าเฉินกรอกยาให้นางดื่ม ยาต้มยังหกรดบนอาภรณ์อีกด้วย

ราวกับอ่านความคิดของนางออก เขาเอ่ยขึ้นทันใด “ตอนนั้นสถานการณ์ไม่แจ่มชัด ข้าไม่กล้าพาท่านไปหาหมอในตัวเมืองหวาอิน เลยได้แต่พาท่านมาที่ถงกวน ส่วนอาภรณ์ของท่าน เป็นภรรยาของหมอคนนั้นช่วยผลัดเปลี่ยนให้”

ถงกวนอยู่ห่างจากหวาอินแค่ยี่สิบลี้ พวกเขาหนีมาไม่ไกลนัก

ฟู่ถิงจวินหน้าแดงเรื่อๆ

คาดเดาเช่นนี้ ดูเหมือนจะมองเขาในทางร้ายไปสักหน่อย นางนึกร้อนตัวน้อยๆ

หญิงสาวทางหนึ่งมองสำรวจไปรอบๆ ทางหนึ่งเปลี่ยนเรื่องสนทนา “นี่พวกเราอยู่ที่ไหน”

นางเอนตัวนอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่นที่ปูด้วยเสื่อสาน ตัวเตียงเก่าคร่ำครา ยางรักสีแดงหลุดร่อนกระดำกระด่าง เผยให้เห็นสีรองพื้นสีขาว ลวดลายบนซี่พนักกั้นลบเลือนไปจนไม่เห็นร่องรอย เหลือแค่ซี่ไม้เรียบเกลี้ยง แต่เสื่อสานกลับเป็นผืนใหม่ มีสีเขียวเข้ม ยังเจือกลิ่นหอมสดชื่นของไม้ไผ่ไว้จางๆ ส่วนหลังคาห้องรั่วเป็นรูใหญ่หลายรู ทำให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ตรงๆ ลมโกรกผ่านเข้ามาได้ทุกทิศ มุมกำแพงด้านตรงข้ามมีแมงมุมตัวหนึ่งกำลังชักใยเป็นตาข่าย ประตูไม้ทางซ้ายมือซึ่งใช้ตอไม้เก่ายันเอาไว้ผุพังหมดสภาพ ส่วนกำแพงทางขวามือก็ทลายลงมามากกว่าครึ่ง สามารถมองเห็นเสี้ยวพระพักตร์ด้านข้างของเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่ประดิษฐานอยู่ไม่ไกลนัก

“ที่นี่เป็นศาลเจ้าร้างหลังหนึ่งนอกตัวเมืองถงกวน” เขาเอ่ย “พวกเราไม่มีเงินพักในโรงเตี๊ยม ก็เลยค้างแรมอยู่ที่นี่”

อย่างนั้นหรือ?

ฟู่ถิงจวินนึกถึงคำสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่นี้แล้วลอบเบะปาก จากนั้นนางคิดถึงหานเยียนกับลวี่เอ้อขึ้นมาได้ “สาวใช้สองคนของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ตอนนั้นนางตะโกนเสียงดังขนาดนั้น แต่ทั้งสองคนล้วนหายเงียบไป ถ้ามิใช่ถูกป้าเฉินกักขังเอาไว้ก็ถูกจับมัด…หวังว่าพวกนางจะไม่เป็นอะไรมาก!

เขาได้ยินวาจานี้แล้วเม้มมุมปาก มองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “ตอนนั้นรีบร้อนหนีมา ข้าไม่มีเวลาคำนึงถึงพวกนาง”

ฟู่ถิงจวินละอายใจ ราวกับว่านางตำหนิเขาที่ไม่พาสาวใช้สองคนมาด้วย…สถานการณ์ในตอนนั้นฉุกละหุกขนาดนั้น เขาช่วยนางออกมาก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้วจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะพาแม่นางน้อยที่อ่อนแอไร้ทางสู้มาด้วยอีกสองคน

นางไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดจึงรีบกล่าวอธิบาย “ตอนนั้นป้าเฉินไล่คนรับใช้ในหอจิ้งเยวี่ยออกไปที่อื่นจนหมด พวกหญิงคนงานไม่มีปากเสียง น่าจะถูกเรียกใช้ให้ไปทำงานบางอย่าง ข้าก็เลยนึกเป็นห่วงหานเยียนกับลวี่เอ้อ…”

เขาผงกหัวเบาๆ ท่าทางไม่อยากพูดคุยอะไรมาก “จริงสิ ข้าได้พบมารดาท่านแล้ว” เขาตัดบทนางแล้วล้วงของสิ่งหนึ่งที่ห่ออยู่ในผ้าออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นของที่นางให้ข้านำมามอบให้ท่าน”

ฟู่ถิงจวินรับมาแล้วเปิดออกดูอย่างกังขาใจ

เป็นกำไลเงินวงหนึ่งที่มีรอยคราบมันติดอยู่เล็กน้อย

กำไลเงินประเภทนี้พบได้ดาษดื่นมากที่สุด ในตัวเมืองหวาอินมีวางขายอยู่ทั่วทั้งถนน หากจะพูดว่าท่านแม่ให้เขานำกำไลวงนี้มามอบให้นางมีสิ่งใดที่ผิดแผกไป นั่นก็คือจุดที่มีคราบมันตรงสลักลายดอกอวี้หลัน* เอาไว้ คนอื่นมองดูแล้วจะคิดว่าเป็นเครื่องหมายไว้สังเกตเท่านั้น แต่พอนางได้เห็นแล้วกลับวุ่นวายใจไปหมด

มันเป็นของที่ท่านแม่ตั้งใจสั่งทำที่หอแลกเงินในเมืองซีอานไว้ให้นางยามออกเรือน

ด้านในเป็นช่องกลวง ส่วนสลักเปิดปิดก็อยู่ตรงรอยคราบมันนั่นเอง

ตอนท่านแม่วางกำไลเงินลงในหีบคันฉ่องของนางเคยแอบพูดกับนางว่ามีของส่วนตัวสำคัญอะไรให้เก็บไว้ข้างในนี้ คนอื่นย่อมคาดไม่ถึงเด็ดขาด

นางไม่นำพาว่าเขาอยู่ด้วย หมุนสลักกำไลเงินเปิดออก

ในนั้นเก็บตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงซึ่งมีตราประทับของหอแลกเงินเป่าชิ่งไว้สองใบ

หอแลกเงินเป่าชิ่งจำตั๋วเงินไม่จำตัวคน สามารถนำไปขึ้นเงินทั้งสาขายี่สิบเจ็ดแห่งทั่วทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้ทุกเมื่อ

เวลานี้ที่นาผืนงามที่สุดของเมืองซีอานก็แค่หมู่ละแปดตำลึงเงิน

เหตุใดต้องให้เงินนางเยอะแยะขนาดนี้

ท่านแม่หมายความว่าเช่นไร

ตั๋วเงินในมือหญิงสาวสั่นระริก

เขามองดูแล้ว ในหัวพลันมีภาพใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฟู่ถิงจวินห้าหกส่วนปรากฏขึ้น

‘ท่านผู้มีคุณ ข้าขอร้องล่ะ ช่วยบุตรสาวข้าด้วย!’ ใต้แสงไฟดวงน้อย หญิงวัยกลางคนก็ตัวสั่นเทาเฉกเดียวกับบุตรสาว ขณะวิงวอนชายหนุ่มด้วยน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า ‘ชาติหน้าข้าขอเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนบุญคุณของท่าน’ นางกล่าวพลางถอดเครื่องประดับบนตัวออกมายัดเยียดใส่มือเขา ‘ส่วนชาตินี้ข้าจะตั้งป้ายหินสดุดีให้ท่านผู้มีคุณ ขอพรให้ท่านอายุมั่นขวัญยืน พรั่งพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญ มีลูกหลานสืบสกุลบริบูรณ์…’ เห็นเขาเอาพวกเครื่องประดับทั้งหมดใส่เข้าไปในอกเสื้ออย่างไม่เกรงใจ นางก็ยิ้มขื่นเป็นเชิงเยาะหยันตนเอง ของพวกนี้มีราคานับพันชั่ง เพียงพอที่จะให้ชาวบ้านคนหนึ่งซื้อที่นาปลูกเรือน และไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องปากท้องไปชั่วชีวิตที่เหลืออยู่

บุตรสาวนางไม่ได้รับความคุ้มครองจากตระกูลแล้ว ทั้งเรื่องที่นางไหว้วานก็เป็นความประสงค์ส่วนตัว เขาจะเอาเครื่องประดับพวกนี้แล้วหลบลี้หนีหายไปเลยก็ยังได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัยไปช่วยคนสักนิด และถ้าเขาใจไม้ไส้ระกำสักหน่อย ยังสามารถล่อลวงบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนของนางไปขายได้ด้วยซ้ำ…ต่อให้เรื่องแดงขึ้นมาแล้วจะมีอันใด เกรงว่าแม้แต่คนไล่เลียงเอาผิดก็ยังไม่มี! ถึงกระนั้นนางหมดหนทางแล้วจริงๆ จำต้องรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น*!

ยามเห็นกำไลเงินวงนั้น เขากระจ่างแจ้งในความคิดของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นทันใด

มุมปากเขาอดมีรอยยิ้มขมขื่นรางๆ ผุดขึ้นมิได้

“มารดาท่านให้ข้าพาท่านไปส่งที่บ้านน้าชายของท่านในอำเภอเฟิงหยวนเมืองเว่ยหนาน นับจากนี้อย่าได้กลับไปที่สกุลฟู่อีก” เขาพูดแล้วชี้ไปที่ห่อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินตรงข้างหมอนนาง “ในนั้นมีอาภรณ์สองสามชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนกับพวกเครื่องประดับเงินทองที่มารดาท่านมอบให้ ท่านเก็บไว้ดีๆ พอถึงยามพลบค่ำพวกเราก็ค่อยออกเดินทาง” เขาพูดจบก็หมุนกายจะเดินออกไป

“ช้าก่อน!” เสียงของฟู่ถิงจวินสั่นสะท้าน “ท่านบอกว่าท่านแม่ให้ข้าอย่ากลับไปที่สกุลฟู่หรือ”

เขาหันหน้าไป

สายตานางที่จับจ้องมองเขาทั้งวาดหวังทั้งหวาดกลัว

ฉับพลันนั้นชายหนุ่มกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจอยู่บ้าง น้ำเสียงเขาห้วนสะบัด “มารดาท่านกล่าวไว้อย่างนี้!”

ฟู่ถิงจวินมีสีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง

“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านแม่รู้แต่แรกแล้วว่าป้าเฉินจะกำจัดข้าทิ้งอย่างนั้นหรือ” นางกอดเข่า ทำเสียงพึมพำถามตนเองด้วยแววตาเลื่อนลอย “ทำไม ทำไมท่านแม่เต็มใจเชื่อจั่วจวิ้นเจี๋ยแต่ไม่ยอมเชื่อข้า ทำไมต้องพูดถ้อยคำปลอบประโลมใจว่า ‘แทนที่จะเชื่อถือธรรมเนียมของสกุลฟู่ มิสู้เชื่อใจบุตรสาวที่ข้าสั่งสอนมาเองกับมือ’ อย่างนี้ด้วย

ทำไมท่านแม่ไม่ถามไถ่ข้าสักคำก็ตัดสินโทษข้าแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมต้องส่งข้าไปที่บ้านท่านน้า หรือจะให้ข้าไปรับความอัปยศอีกครั้งหนึ่ง ข้าช่างน่าสมเพชนักที่ยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าจะได้พบท่านแม่…นึกแค่ว่าเมื่อได้พบท่านแม่แล้วก็จะล้างมลทินของข้าได้” นางยกมือปิดหน้า เอาศีรษะซบกับหัวเข่า

“มารดาท่านคงมีความจำเป็นบังคับเช่นกันกระมัง” เขาชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าไปตั้งหลายรอบล้วนไม่พบมารดาท่าน แต่เป็นเพราะบังเอิญได้ยินสาวใช้ส่งอาหารพูดขึ้นมา ถึงรู้ว่าตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนมารดาท่านย้ายไปที่เรือนท่านย่าของท่าน สวดมนต์อยู่ในหอพระเป็นเพื่อนท่านย่าของท่านทุกวัน เพื่อขอพรให้ท่านสุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน…”

“ท่านจะบอกว่าท่านแม่ข้าถูกกักขังเช่นกันหรือ” ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาฉายแววตะลึงลานระคนวาดหวังไว้เต็มเปี่ยม

เขาอ่านความรู้สึกนางได้แจ่มแจ้ง

ตะลึงลาน เพราะไม่กล้าเชื่อว่ามารดาของนางจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

วาดหวัง เพราะหวังว่ามารดานางมิได้ระแวงสงสัยนาง มิได้ทอดทิ้งนาง

เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ตามความเห็นข้า มารดาของท่านถูกกักขังจริงๆ!”

อารมณ์ของฟู่ถิงจวินพลุ่งพล่านขึ้นกะทันหัน

นางเปิดผ้าห่มเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มบนตัวออกแล้วลงจากเตียง

“ท่านผู้กล้า ข้ายังไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่ของท่านเลย” ฟู่ถิงจวินมองเขาด้วยแววตาคมกล้า

เขาละล้าละลังครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าแซ่จ้าว” แต่มิได้บอกชื่อของตนออกมา

“ท่านเก้าสกุลจ้าว” นางยิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนเรียกขานท่านว่า ‘ท่านเก้า’ ข้าขอเรียกท่านแบบนี้เถอะ”

ใต้แสงอาทิตย์ ดวงหน้านางเปล่งรัศมีเฉิดฉายดุจดอกโบตั๋นแรกแย้ม งามล้ำตราตรึงใจ

เขาพยักหน้าอย่างใจลอยเล็กน้อย

ฟู่ถิงจวินแย้มยิ้มอย่างแช่มชื่นยิ่งขึ้น

นางเอาตั๋วเงินสองพันตำลึงยื่นให้เขา

เขาชำเลืองมองตั๋วเงินในมือนางแวบหนึ่ง จากนั้นมองหน้านางพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงนใจ

“ข้าจะไปเมืองหลวงหาท่านพ่อข้า อยากขอให้ท่านเก้าคุ้มครองข้าไปตลอดทาง ส่วนนี่คือค่าตอบแทน” ดวงตาคู่งามของฟู่ถิงจวินทอประกายสดใส นางเอ่ยต่อ ”ข้ารู้เช่นกันว่าท่านเก้าต้องเร่งรุดไปที่เมืองซีอานก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าไม่กล้าขัดขวางงานใหญ่ของท่าน เพียงหวังว่าระหว่างนี้จะได้ติดตามอยู่ข้างกายท่าน รอหลังจากท่านทำงานลุล่วงแล้วจะเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้าได้ ที่พักและอาหารล้วนเอาเงินที่ข้าได้เลย ถ้าไม่พอ เมื่อไปถึงเมืองหลวง ข้าจะให้ท่านพ่อชดใช้คืนท่านอีกทีหนึ่ง!” น้ำเสียงของหญิงสาวจริงใจอย่างยิ่งยวด

เขาตรึงสายตาอยู่ที่ใบหน้านางเหมือนต้องการพิศดูท่าทางของนางให้แจ่มชัดด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมาก

ฟู่ถิงจวินรู้สึกอยู่ไม่วายว่าชายหนุ่มเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทั้งยังใช้วิธีการดุดันโหดเหี้ยมอย่างนั้นได้ จึงทำให้ผูกมิตรด้วยยากอย่างยิ่ง ขณะนี้เห็นเขาจ้องมองตนเองอย่างไม่ละสายตา ทำให้นางใจเต้นไม่เป็นส่ำอย่างสุดระงับ สุ้มเสียงก็ยิ่งอ่อนน้อมมากขึ้น “ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านแม่ทนคับข้องหมองใจเช่นนี้ จะอย่างไรก็ต้องไปพบท่านพ่อ ขอให้ท่านช่วยตัดสินความยุติธรรมให้ท่านแม่กับข้า…”

“แต่ว่า…” เขาเอ่ยขึ้นเนิบๆ “พักก่อนบิดาท่านกลับมาที่หวาอินแล้ว”

“อะไรนะ” ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

“สกุลฟู่แพร่ข่าวการตายของท่านออกมาแล้ว” เขาพูดเสียงเอื่อยๆ “ซ้ำยังจัดพิธีศพให้ท่านสิบสี่วัน และแจ้งข่าวมรณกรรมไปถึงบิดาท่านกับสกุลอวี๋แล้ว บิดาท่านกลับถึงหวาอินเมื่อห้าวันก่อน ส่วนคนของสกุลอวี๋มาถึงเมื่อสามวันที่แล้ว คนที่มาคือคู่หมั้นของท่านกับน้าสามของเขา หลังจากเซ่นไหว้หลุมศพของท่าน บิดาของท่านก็มอบเทียบหมั้นคืนให้แก่สกุลอวี๋…”

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!” ฟู่ถิงจวินตะโกนเสียงดัง ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะยืนยันได้ว่าเขาเข้าใจผิด ทว่าสีหน้าท่าทางของนางสับสนลนลานไปหมดแล้ว

ท่านแม่รู้ดีว่านางยังมีชีวิตอยู่ และถึงท่านพ่อยังเคลือบแคลงใจในตัวนางบางส่วน ขอแค่ตามนางกลับไปซักถามก็จะรู้เรื่อง ทำไมไม่สืบความจริงให้กระจ่าง ทำไมไม่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง ซ้ำร้ายยังถอนหมั้นกับสกุลอวี๋!

เช่นนั้นนางจะทำฉันใด

หรือจะเป็นอย่างที่ท่านแม่กล่าวไว้ ไม่ต้องกลับไปที่สกุลฟู่อีกใช่หรือไม่

ฟู่ถิงจวินนั่งลงบนเตียงอย่างสิ้นหวัง

นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนเองกลับสกุลฟู่ไม่ได้

นางเกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น

ต่อให้ต้องออกเรือนไปยังสกุลอวี๋อันโด่งดังลือลั่นแห่งเมืองหนานจิง เมื่อนางคิดถึงสกุลฟู่ คิดถึงว่าตนเองเป็นบุตรสาวที่ได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่ก็จะรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นแม่สามีที่เก่งกาจปราดเปรื่องก็ดี สามีผู้มีความสามารถรอบด้านทว่าไม่เคยพบหน้าค่าตาก็ดี หรือน้องสาวสามีมากมายหลายคนที่มีนิสัยใจคอต่างๆ กันไปก็ช่าง นางล้วนไม่ระย่อครั่นคร้าม เพราะว่านางมีสกุลฟู่ที่สามารถมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้แก่นางได้ทุกเมื่อ!

บัดนี้ แม้นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ในสายตาคนภายนอกคือตายไปแล้ว นางไม่ใช่บุตรสาวสกุลฟู่ ไม่ได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่อีกสืบไป…ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล นางกลับมีตัวคนเดียวโดดเดี่ยว เสมือนแพสวะที่ลอยไปตามน้ำ แสวงหาที่ทางลงหลักปักฐานมิได้…

ฟู่ถิงจวินยกสองมือกอดตัวเอง เพียงรู้สึกว่ารอบกายถูกห้อมล้อมด้วยไอเย็นยะเยือก

ฟู่ถิงจวินขดตัวอยู่ตรงมุมเตียงเฉกลูกแมวที่ได้รับบาดเจ็บ

ท่านเก้าเห็นแล้วใจอ่อนลงบ้าง “ท่านเพิ่งหายจากป่วยหนัก พักผ่อนให้มากๆ ข้าจะให้คนยกอาหารกลางวันมาให้…”

เขายังกล่าวไม่ทันจบ ฟู่ถิงจวินก็ผุดลุกขึ้นอีก “ท่านเก้า ได้โปรดส่งข้ากลับหวาอิน ข้าไม่อยากไปเว่ยหนาน”

เขาอดขมวดคิ้วมิได้ “ในเมื่อมารดาท่านเตรียมการให้ท่านไปเว่ยหนาน คงจะต้องจัดแจงทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว ไยต้องทำให้ความปรารถนาของมารดาท่านสูญเปล่าด้วย ท่านไปอยู่ที่นั่นก่อนชั่วคราวดีกว่า หากมีเรื่องใด น้าชายกับน้าสะใภ้ของท่านจะได้เตรียมลู่ทางให้ท่านสักนิด ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเคว้งคว้างไม่รู้จะบ่ายหน้าไปทางไหนเช่นนี้”

มีหรือที่นางจะไม่รู้!

ท่านน้าของนางได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าในการสอบขุนนางอีกหลายครั้งต่อมาล้วนพลาดหวัง ประกอบกับฐานะขัดสนลงเรื่อยๆ จึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับราชการไป และหันมามุ่งมั่นกับการค้าขาย หลายปีมานี้ท่านน้าหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจนมีวี่แววว่าจะเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนาน กระทั่งท่านลุงใหญ่ยังเอ่ยถึงด้วยความเลื่อมใสพอดู ท่านน้ามีบุตรชายสี่คนแต่ไม่มีบุตรสาว ก็เลยรักเอ็นดูนางอย่างยิ่ง ทุกคราที่ได้ของหายากอะไรมา แม้ว่าพวกพี่ชายยังไม่มี ก็ต้องส่งให้นางชิ้นหนึ่งเสมอ ฉะนั้นย่อมไม่มีวิธีใดดีกว่าฝากฝังนางไว้กับท่านน้าอีกแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามสถานการณ์ในคราวนี้ต่างออกไป บิดามารดาของนางเลือกที่จะประนีประนอม ส่งผลให้นางไม่มั่นใจเลยจริงๆ ว่าท่านน้าจะออกหน้าแทนนาง…

“ข้าไม่ไปเว่ยหนาน!” ดวงตาคู่โตของหญิงสาวที่มองเขาฉายแววดึงดัน “ข้าไปเว่ยหนานแบบนี้ไม่ได้!”

เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก นางกับลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงเล่นซ่อนหาอยู่ในเรือนท่านย่าแล้วทำโถดอกเหมยใบโปรดของท่านย่าแตก แต่ไม่มีคนยอมรับผิด ทำให้ถูกท่านย่าลงโทษด้วยการให้ไปคุกเข่าในห้องโถง ‘พวกเจ้าเป็นคุณหนูสกุลฟู่ มีศักดิ์ฐานะสูงส่งอยู่ในตระกูลมีเกียรติไม่มีเรื่องด่างพร้อย ไฉนพอเกิดเรื่อง แต่ละคนล้วนเป็นเหมือนคนชั้นต่ำที่เดินตามตรอก ขลาดเขลาไร้ความกล้า

กับแค่ทำโถกระเบื้องแตกใบเดียว ยอมรับผิดจะเป็นไรไป ก็แค่ชดใช้ในสิ่งที่ควรชดใช้ รับโทษที่ควรได้รับ หรือว่าแม้แต่เรื่องนี้พวกเจ้ายังทนไม่ไหว ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ ถ้าไม่กล้ารับก็อย่าทำ วันนี้ให้พวกเจ้าพี่น้องคุกเข่าเป็นการลงโทษ มิใช่เพราะพวกเจ้าทำโถกระเบื้องแตก หากแต่พวกเจ้าไม่กล้ารับผิด ไม่กล้าเชิดหน้ายืดอกเยี่ยงคนซื่อตรงทรงเกียรติ…’

คิดถึงตรงนี้ ขอบตาของฟู่ถิงจวินแดงเรื่อ

“ถ้าไปเว่ยหนานแบบนี้ แล้วข้านับเป็นอะไร” นางฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลลงมา “เพราะเรื่องที่มีสัมพันธ์ลับกับจั่วจวิ้นเจี๋ยถูกเปิดเผยออกมาจึงปลิดชีพตนเองด้วยกลัวความผิด เป็นสตรีไร้ยางอาย เป็น…” คำว่าหญิงใจง่าย ไม่ว่าอย่างไรนางก็เอื้อนเอ่ยออกจากปากมิได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากแล้วกล่าวต่อ “ดังนั้นจึงถูกกำจัดทิ้งลับๆ ดุจดั่งมุสิกในร่องน้ำครำ! ข้าไม่กลัวตายหรอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า แต่ต่อให้ข้าตายไปก็ต้องตายอย่างมีเกียรติ ตายอย่างบริสุทธิ์ไร้มลทิน จะให้ถ้อยคำสกปรกโสโครกพวกนั้นของจั่วจวิ้นเจี๋ยแปดเปื้อนติดตัวข้าไปทั้งชีวิตมิได้…”

ท่านเก้ามองนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทีละน้อย “ท่านอยากกลับไปเผชิญหน้ากับจั่วจวิ้นเจี๋ย?”

น้ำเสียงของฟู่ถิงจวินมีร่องรอยลังเล “ข้ารู้เช่นกันว่าข้ากลับไปตอนนี้มีแต่ทำให้สกุลฟู่กลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้คน ถึงในใจข้ามีความคับแค้นมากสักปานใด ท่านพ่อ ท่านแม่ อีกทั้งพี่ชาย พี่สะใภ้ หลานๆ และลูกผู้พี่ผู้น้องที่เติบโตมาด้วยกันแต่เด็กก็ยังต้องอยู่ในสกุลฟู่ต่อไป…ทว่าอย่างน้อย ต้องให้พวกผู้อาวุโสในตระกูลล่วงรู้…” นางก้มศีรษะ สีหน้าเคว้งคว้าง

ชายหนุ่มลอบถอนใจ

“ตอนนี้ท่านกลับไปที่หวาอินก็ไม่มีประโยชน์ใดแล้ว” เขากล่าว “พักก่อนสกุลฟู่มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า จั่วจวิ้นเจี๋ยกระทำเรื่องผิดศีลธรรมหลังเมาสุรา คิดทำมิดีมิร้ายต่ออนุของท่านลุงของท่าน นางทนรับความอัปยศไม่ไหว แขวนคอตายไปแล้ว สกุลฟู่ไปแจ้งทางการ นายอำเภอส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ตรอกกว่างเทาเพื่อเรียกตัวเขามาสอบสวน กลับพบกว่าที่นั่นว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ จั่วจวิ้นเจี๋ยก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้รู้ไปถึงกองตุลาการ และได้รายงานต่อกรมอาญากับกรมพิธีการให้ถอดตำแหน่งบัณฑิตของจั่วจวิ้นเจี๋ย ปลายเดือนน่าจะมีข่าวที่แน่นอนไปถึงเมืองซีอาน”

“ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” ฟู่ถิงจวินมองท่านเก้าด้วยสีหน้าตะลึงงันเต็มเปี่ยม

สละนางยังไม่พอ ยังต้องดึงอนุคนหนึ่งของท่านลุงใหญ่มารับเคราะห์ไปด้วย!

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ในห้วงความคิดของนางสับสนยุ่งเหยิง

เริ่มจากจั่วจวิ้นเจี๋ยบอกว่ามีสัมพันธ์ลับกับนางเหมือนคนบ้าบิ่นขาดสติ ต่อมาผู้อาวุโสของตระกูลไม่ถามไถ่นางสักคำก็ขังนางไว้ในอารามปี้อวิ๋น จากนั้นภรรยาของปี้ปอก็หายตัวไป ท่านแม่ถูกกักตัว นางถูกกรอกยา อนุของท่านลุงใหญ่แขวนคอตาย จั่วจวิ้นเจี๋ยหายตัวไป…ไฉนสกุลฟู่ที่อบอุ่นแสนสุขมาแต่ไหนแต่ไรถึงกลายเป็นนรกไปในชั่วข้ามราตรีได้นะ

นางขบคิดไม่แตก!

เดิมทีเรื่องราวไม่จำเป็นต้องดำเนินมาถึงขั้นนี้

ถึงจั่วจวิ้นเจี๋ยมีเล่ห์กระเท่ห์ต่ำช้า เหตุผลที่เขากล้าทำเรื่องพรรค์นี้เพราะคาดคะเนได้อย่างแม่นยำว่าสกุลฟู่ไม่กล้าป่าวร้องออกไป แทนที่จะคาดหวังว่าเขาจะบังเกิดมโนธรรมภายในใจยุติเลิกราไปเอง มิสู้เปิดอกพูดกันอย่างตรงไปตรงมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถ้าใครต่อใครพากันถือของชิ้นหนึ่งมาบอกว่ามีสัมพันธ์ลับกับบุตรสาวสกุลฟู่ เช่นนั้นบุตรสาวสกุลฟู่ไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันแล้วหรือไร ชื่อเสียงของสกุลฟู่มิกลายเป็นเรื่องชวนขันไปหรือไร! แม้ว่าถึงตอนนี้จะต้องมีเสียงเล่าลือนินทาเป็นแน่ แต่ก็ยังดีกว่าถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยมัดมือมัดเท้าแบบนี้ ทำให้มีคนจบชีวิตไปคนแล้วคนเล่า…

ท่านลุงใหญ่กริ่งเกรงอะไรอยู่กันแน่

พอเรื่องนี้ลุกลามมาถึงขั้นสะสางไม่อยู่ เหตุใดยังต้องอ่อนโอนให้จั่วจวิ้นเจี๋ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถึงกับยินยอมสละนาง สละอนุของตนเอง

มันมีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่ที่นางไม่รู้?

ละม้ายภาพที่ถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปะติดปะต่ออย่างไรก็ขาดชิ้นที่สำคัญมากไปชิ้นหนึ่ง ทำให้มองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วภาพนี้เป็นภาพอะไร

ร่างกายที่เพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยทานรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่ไหว

ฟู่ถิงจวินหลั่งเหงื่อเย็นไม่หยุด กลับดื้อรั้นไม่ยอมเอนตัวลงนอนพักผ่อน

ชายหนุ่มโคลงศีรษะน้อยๆ

แม้แต่เขายังคิดแล้วไม่เข้าใจ นับประสาอะไรกับสตรีในห้องหอที่เปราะบางคนหนึ่งเช่นนาง!

“มีบางเรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็อย่าคิดอีกเลย” เขาอดพูดกล่อมนางมิได้ “พักผ่อนสักหน่อยแล้วค่อยคิดอีกที ไม่แน่ว่าจู่ๆ ก็จะแจ่มแจ้งขึ้นมาเอง”

ฟู่ถิงจวินเม้มปาก

“ท่านเก้า!” มีเสียงเล็กใสของเด็กน้อยเรียกขานเขาอย่างขลาดๆ “ขะ…ข้าต้มโจ๊กมาให้แม่นางขอรับ”

ทั้งสองหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน

ฟู่ถิงจวินมองเห็นเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่ง หัวโตตัวผอมแห้งดั่งท่อนฟืน เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างเต็มไปด้วยรอยปุปะ มือหนึ่งประคองชามโคมหนาเทอะทะใบหนึ่ง มือหนึ่งถือตะเกียบคู่หนึ่ง กำลังเบิกตากว้างมองนางด้วยความสนใจใคร่รู้ ข้อมือของเขาเล็กเสียจนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเขามีแรงยกชามโคมใบเขื่องนั่นไว้ได้หรือไม่

“ยกเข้ามาเถอะ” ท่านเก้าเอ่ยสั่งเด็กน้อย จากนั้นหันหน้ามาพูดกับหญิงสาว “ท่านคิดจะทำอะไรก็ต้องพักรักษาตัวให้หายดีค่อยว่ากัน กินข้าวแล้วพักผ่อนสักครู่ พวกเราจะไปกันตอนพลบค่ำ”

ไป? ไปเว่ยหนานหรือ

คำตอบที่ก่อนหน้านี้เคยมั่นใจมาก ขณะนี้กลับตัดสินใจไม่ใคร่จะถูกเสียแล้ว

ไปเว่ยหนานตามที่ท่านแม่เตรียมการให้ นับแต่นี้ละทิ้งฐานะบุตรสาวสกุลฟู่ ก็เท่ากับยอมรับคำโกหกพกลมของจั่วจวิ้นเจี๋ยในทางอ้อม

ไม่ไปเว่ยหนาน จั่วจวิ้นเจี๋ยหนีไปเพราะบีบคั้นให้อนุของท่านลุงใหญ่ต้องตาย ส่วนคนที่ป่วยตายถูกฝังลงดินแล้วอย่างนางกลับโผล่ออกมาโต้แย้งถูกผิดกับจั่วจวิ้นเจี๋ยกะทันหัน ถึงตอนนั้นเรื่องที่สกุลฟู่ปกปิดไว้สุดกำลังจะเปิดเผยออกมาต่อหน้าผู้คน คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ในทีแรกก็จะได้รู้แล้ว…นี่มิใช่นางตบหน้าตัวเองอย่างนั้นหรือ!

เสียงสวบสาบแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง

ท่านเก้าออกไปแล้ว

เด็กชายยื่นโจ๊กให้นางอย่างระมัดระวัง “แม่นาง ข้าใช้พัดพัดให้แล้ว ไม่ร้อนเลยสักนิด”

เมื่อได้พิศดูถึงพบว่าเขาเป็นเด็กชายที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง

ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวโค้ง นัยน์ตากลมโต

ฟู่ถิงจวินส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร นางรับชามโจ๊กมาแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม “เจ้าชื่ออะไร”

“ข้าชื่ออาเซินขอรับ” เห็นหญิงสาวส่งยิ้มให้ เขาก็คลายยิ้มออกมา ดวงตาคู่โตหรี่ลงน้อยๆ แลดูน่ารักมาก “ชื่อนี้ท่านเก้าเป็นคนตั้งให้ บอกว่าเก็บข้าได้ตรงหน้าต้นไม้สามต้น ก็เลยเรียกข้าว่าอาเซิน*” เขาพูดพลางใช้เท้าวาดไปมาบนพื้น “อักษรคำว่า ‘เซิน’ มีคำว่าไม้สามตัว เขียนแบบนี้ขอรับ!”

ฟู่ถิงจวินคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินเขามอบหมายงาน ยังนึกว่าอาเซินเป็นหนุ่มฉกรรจ์บึกบึนแข็งแรง จึงคิดไม่ถึงว่าอาเซินจะเป็นเด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง

ความร่าเริงของอาเซินผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้ลงได้ บันดาลให้ฟู่ถิงจวินอารมณ์ดีขึ้นมาก

“ท่านเก้าเป็นคนบอกเจ้าหรือ” นางถือชามไว้ เอ่ยถามเขายิ้มๆ มิได้รีบร้อนจะกิน

“อื้อ!” อาเซินพยักหน้า “ท่านเก้ายังให้ข้าใช้แซ่จ้าวด้วย ข้าชื่อจ้าวเซิน” ตอนที่กล่าวถ้อยคำนี้ เขายืดอกด้วยความภาคภูมิใจสุดจะกล่าว

ฟู่ถิงจวินหัวเราะออกมา “แล้วท่านเก้าของพวกเจ้ามีชื่อว่าอะไร”

“ชื่อ…” เพิ่งหลุดปากออกมาคำเดียว อาเซินรู้ตัวทันทีว่าพลั้งปากแล้ว เขารีบปิดปากไว้ แต่ครั้นเห็นนางมองเขาด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายดูงดงามดุจบุปผา ทำให้เขาทำใจแข็งไม่ได้ เด็กชายอึกๆ อักๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะล้วงไข่ต้มฟองหนึ่งในอกเสื้อออกมาวางทิ้งไว้ให้ฟู่ถิงจวิน “นี่ท่านเก้าให้ข้าต้มให้ท่าน ข้ายังต้องต้มยาให้ท่านอีก!” ว่าแล้วก็วิ่งปรูดออกไปราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง

เด็กคนนี้ชวนขันจริงๆ!

ฟู่ถิงจวินผลิยิ้มงามเจิดจ้า จากนั้นก้มหน้ากินโจ๊ก

เม็ดข้าวนุ่มๆ เหนียวๆ ทิ้งรสหวานหอมอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงปาก

เป็นข้าวขาวหิมะเดือนหกชั้นดี

เขาหามาจากที่ใดกัน

บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารมานานหลายวัน มาตรว่าโจ๊กจะอร่อยมาก แต่นางกินได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่ม พอคิดจะเอาชามไปเก็บที่ห้องครัว ก็นึกขึ้นได้ว่าท่านเก้ายังมีพรรคพวกมากมาย นางเลยล้มเลิกความคิดนี้

หญิงสาวหยิบไข่ต้มมาคลึงอยู่ในมือเป็นนานถึงค่อยปอกเปลือกไข่ออก

ไข่ขาวนุ่มนิ่ม ไข่แดงเนียนละเอียด

อร่อยจริงๆ!

ฟู่ถิงจวินมองแสงแดดที่ส่องลอดหลังคาลงมา พลันรู้สึกว่าถ้าวันเวลาหยุดนิ่งลงในเสี้ยวขณะนี้ไปชั่วนิรันดร์คงจะดีสักปานใดหนอ!

พอความคิดผุดขึ้น พาให้นางนึกไปถึงการเดินทางตอนพลบค่ำ

ทำไมต้องไปตอนพลบค่ำ มืดมิดไร้แสงไฟจะเร่งรุดเดินทางอย่างไร แล้วจะไม่โดนจับเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ

นางพิงหลังกับหัวเตียง

ตกลงว่าจะกลับหวาอินหรือว่าไปเว่ยหนานดีนะ

ด้านนอกมีเสียงอึงคะนึงดังขึ้นระลอกหนึ่ง เป็นเสียงกล่าวอำลาดังบ้างเบาบ้าง

ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้นเห็นอาเซินแอบอยู่ด้านข้างเทวรูปพระโพธิสัตว์

นางยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกเขา “เจ้าบอกมิใช่หรือว่าจะไปต้มยาให้ ไฉนกลับมาอีกแล้ว”

อาเซินยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิมอย่างเก้อกระดาก

หญิงสาวคลี่ยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่บอกท่านเก้าหรอก”

“ข้ามิได้กลัวสักหน่อย!” อาเซินทำปากยื่น พูดแย้งนาง “เป็นท่านเก้าให้ข้าแอบมาดูท่าน บอกว่าเผื่อท่านคิดไม่ตกแล้วทำอะไรโง่ๆ ออกมา!”

ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน

อาเซินเดินเข้ามา

พอเห็นโจ๊กครึ่งชามที่นางวางอยู่บนหัวเตียง เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “ทะ…ทำไมท่านไม่กินโจ๊ก ข้าต้มไม่อร่อยหรือขอรับ”

นางหวนประหวัดถึงภาพท่านเก้ากวาดของกินในเรือนครัวไปตอนพบกันครั้งแรกแล้วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง กระซิบถามอาเซินอย่างอดใจไม่อยู่ “ตอนกลางวันเจ้ากินอะไร”

อาเซินหลบสายตานาง ตบท้องพลางพูด “ข้ากินอิ่มแล้ว! ไม่เชื่อท่านลูบท้องข้าดูได้เลยขอรับ”

บทที่หก

 ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศประจิมทีละน้อย ท่านเก้าสกุลจ้าวเดินเข้ามา

เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างสีน้ำเงินเข้มที่ซักจนสีซีด มีแถบผ้าผูกเอว แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอก ดูทะมัดทะแมงและคล่องแคล่วเจนจัดอยู่หลายส่วน “ท่านเก็บของเสร็จแล้วหรือยัง พวกเราจะไปกันแล้ว!”

ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจกับเรื่องนี้มาตลอดยามบ่าย พอได้ยินวาจานี้ ใบหน้าเผยรอยลังเลใจออกมา

ท่านเก้าเม้มปาก นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “สองเรื่องนี้หาได้ขัดแย้งกันไม่ ท่านไปอาศัยที่เว่ยหนานก่อน พอบิดามารดาท่านรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมาหาท่านแน่นอน ถึงเวลานั้นมีเรื่องใดค่อยถามท่านทั้งสอง ภายภาคหน้าจะทำอย่างไรก็มีคนที่ปรึกษาหารือได้ อีกอย่างร่างกายท่านยังอ่อนแอ ไม่เหมาะจะนอนกลางดินกินกลางทราย มีน้าชายน้าสะใภ้คอยดูแล จะได้หายเร็วขึ้นบ้าง”

สิ่งสำคัญที่สุดคือท่านเก้ากับนางพบกันโดยบังเอิญ เขาไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ ยังให้ความช่วยเหลือนางมากมายในยามที่ตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพลำบากอัตคัด เป็นความเมตตากรุณาเท่าที่เขาพึงทำได้แล้ว นางจะพลอยให้เขาเดือดร้อนไปด้วยอีกไม่ได้

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงแล้วพยักหน้าอย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นหยิบห่อสัมภาระข้างหมอนขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”

เขายืนนิ่งไม่ขยับ เหลือบตามองนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าชอบกลๆ “ท่านผลัดอาภรณ์ใหม่จะดีกว่า”

นางประหลาดใจมาก ก้มหน้ามองสำรวจชุดของตนเอง

เสื้อคลุมไหมเนื้อดีสีฟ้านวล กระโปรงบานสีน้ำเงินเข้มจับจีบซ้ายขวาข้างละหกจีบ รัดผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้ม บนตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น สะอาดสะอ้านเรียบร้อยหมดจด แล้วมีอะไรไม่เหมาะ!

นางมองเขาอย่างงุนงง

หญิงสาวมีผิวกายเนียนดุจเนื้อหยก รับกับเรือนผมดำดุจสีน้ำหมึก และริมฝีปากแดงนุ่มนิ่ม นางดูอ่อนหวานหยาดหยดดั่งดอกทับทิมกลางคิมหันตฤดู และงดงามติดตรึงใจเฉกเช่นทิวทัศน์อันสดใสเจิดจรัสของเดือนห้า แต่ดวงตาเรียวงามกลับทอประกายใสบริสุทธิ์ดุจธารน้ำกลางพงไพร เสมือนไม่รับรู้ถึงความงามของตนเองสักนิด รูปโฉมงามล้ำที่แฝงไว้ด้วยความสง่าเรียบง่ายสามส่วนอย่างนั้นยิ่งชวนให้จิตใจสั่นไหวมากขึ้น

ชายหนุ่มลอบถอนใจแล้วเอ่ย “ท่านหาผ้าสักผืนโพกศีรษะ แล้วเปลี่ยนใส่อาภรณ์สีเข้มสักหน่อย” เขามองเห็นมือที่ถือห่อสัมภาระไว้ขาวผ่องเนียนนุ่มดุจหยกเนื้อดี “ใช้ผ้าคาดเอวพันมือไว้ด้วย”

เมื่อครั้งที่ฟู่ถิงจวินไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องและมิตรสหายเคยมองลอดผ่านม่านหน้าต่างออกไปเห็นพวกคนชั้นต่ำ พวกเขาล้วนสวมเสื้อผ้าสีเข้ม โพกศีรษะ สวมรองเท้าฟางหรือเท้าเปล่า ผมเผ้าใบหน้ามอมแมมสกปรก

“ท่านจะให้ข้าปลอมตัวเป็นคนชั้นต่ำหรือ” นางเอ่ยเสียงลังเล “แต่ไรมาทางการไม่เกรงใจคนพวกนี้…”

ถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะถูกตรวจค้นก็เพิ่มขึ้นอีกมาก

“ขณะนี้ข้างนอกมีคนเร่ร่อนทุกหนแห่ง ทั้งในอันฮว่า เหอสุ่ย หล่งซี และอันติ้งล้วนเกิดการลุกฮือขึ้น เจ้าหน้าที่พวกนั้นยังจะกล้าตรวจค้นที่ไหนกัน” ท่านเก้ากล่าวอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ยิ่งสวมอาภรณ์สวยงาม ยิ่งมีโอกาสถูกปล้นชิง ทันทีที่มีคนถูกปล้นชิง คนที่อดอยากหิวโหยพวกนั้นได้ยินเสียงก็จะกรูกันเข้ามากลุ้มรุมโจมตี สองมือหรือจะสู้สี่มือได้ ถึงตอนนั้นข้าอาจคุ้มครองท่านไม่ไหว ท่านแต่งกายแบบนี้เด่นสะดุดตาเกินไป”

ฟู่ถิงจวินหน้าแดงเรื่อๆ

ไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่างจริงๆ แม้แต่จะเดินทางยังทำให้เขาเดือดร้อน

นางรีบพยักหน้า

ชายหนุ่มเลี่ยงออกไป

นางเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ตามที่เขากำชับไว้ มองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง รู้สึกไม่มีช่องโหว่ใดๆ แล้ว จึงส่งเสียงเรียก “ท่านเก้า”

เขาเดินเข้ามา ยังมีอาเซินที่แต่งกายแบบเดียวกันตามมาด้านหลัง

เมื่อเห็นฟู่ถิงจวิน ดวงตาของอาเซินนิ่งค้างไป

ชุดชาวบ้านสีน้ำเงินเข้มขับเน้นใบหน้าของนางให้ยิ่งกระจ่างผุดผ่องดุจหยก

ท่านเก้าจนปัญญาอยู่บ้าง เขากระแอมกระไอเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสำทับหญิงสาว “ตอนเดินทางท่านอย่าเหลียวซ้ายแลขวา พยายามก้มศีรษะไว้ มีใครพูดจากับท่าน ท่านไม่ต้องสนใจทั้งสิ้น ข้าจะเป็นคนรับหน้าเอง อย่าให้คนเห็นใบหน้าท่านจะดีที่สุด”

อาเซินได้ยินเสียงกระแอมกระไอนั่นก็สะดุ้งเฮือกราวกับตื่นจากความฝัน รีบเร่งเก็บเสื่อสาน หมอนกระเบื้อง ถ้วยดื่มน้ำ ตะเกียบกินข้าวของฟู่ถิงจวินทั้งหมดแล้วออกจากประตูไป

ในใจนางกลับรู้สึกขมขื่นจางๆ

เขากลัวว่าจะมีคนจำหน้านางได้กระมัง

คิดไม่ถึงว่านางจะมีวันที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จะพบปะพูดคุยกับผู้คนหรือทำอะไรล้วนเปิดเผยเกินไปไม่ได้

“ได้” นางก้มหน้าขานตอบเสียงอ่อยๆ อย่างห่อเหี่ยวใจ

ชายหนุ่มไม่รู้ว่านางเป็นอะไรไป แล้วก็ไม่อยากจะรู้ เขาแค่พาสตรีผู้นี้ไปส่งให้ถึงบ้านน้าชายของนางอย่างปลอดภัยก็ถือว่าทำตามที่ได้รับไหว้วานลุล่วงแล้ว จากนั้นเขาจะไปจากส่านซี นับจากนี้แยกกันไปคนละทาง ไม่มีวันได้พบกันอีก

เขาหมุนกายออกนอกประตูไป

ฟู่ถิงจวินปรับอารมณ์เป็นปกติได้แล้วติดตามออกไป

ภายนอกศาลเจ้าร้างเป็นป่าผืนหนึ่ง ทว่าต่างจากป่าร่มรื่นเขียวชอุ่มของอารามปี้อวิ๋น ต้นไม้ของที่นี่เหลือแต่กิ่งก้านหงิกงอคล้ายถูกแดดเผาจนแห้งเหี่ยว มีฝุ่นดินจับเขรอะแลดูหมองมัวไร้ชีวิตชีวา

อาเซินลำเลียงของใช้ของหญิงสาวขึ้นวางบนรถเข็นไม้ล้อเดียวคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าร้าง

แสงอัสดงทั่วฟ้าส่องกระทบใบหน้าพวกเขา อาบย้อมทิวไม้ให้เป็นสีแดง ชวนให้วังเวงใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน

“ไปเถอะ!” สุ้มเสียงของท่านเก้าฟังดูเคร่งเครียดระคนกังวลใจ “ที่นี่หาใช่ที่ที่ควรรั้งอยู่นาน พอพวกนั้นกินเปลือกข้าวกับผักป่าจนหมดเกลี้ยง ก็ถึงคราวกินเปลือกไม้รากไม้กันแล้ว”

ฟู่ถิงจวินตื่นตระหนก “มะ…ไม่จริงกระมัง”

“เหตุใดจะไม่จริง” อาเซินเดินเข้ามา “ข้ายังเคยเห็นคนกินดินเลยนะขอรับ” เขามัดของเสร็จแล้ว “ท่านเก้า พวกเราไปได้แล้วกระมัง” เขากล่าวรำพึง “ป่าใหญ่ขนาดนี้มีพวกเราแค่สามคน ข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ถ้าพวกคนเร่ร่อนนั่นตามมาละก็แย่แน่”

ท่านเก้าไม่เอ่ยวาจาใด สาวเท้าเข้าไปหยิบสายบังเหียนของรถเข็นขึ้นมาคล้องคอ และเอ่ยกับฟู่ถิงจวิน “ท่านขึ้นมานั่งเถอะ!”

“เอ๊ะ!” นางเบิกตากว้าง

รถเข็นไม้แบบนี้ใช้กันดาษดื่นในชนบท มีโครงไม้เพียงชิ้นเดียว อาศัยกำลังคนเข็นกับแรงหมุนของล้อไม้ด้านหน้าอย่างเดียวเท่านั้น ต่างจากรถลากด้วยม้า ลาหรือล่อ

นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเข็นรถให้นางนั่ง

“ข้าก็อยากหารถม้าให้ท่านสักคัน” เขากล่าวเสียงเรียบ “แต่ในเวลาอย่างนี้ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตล้วนถูกจับกินลงท้องไปจนหมด ท่านฝืนทนนั่งไปก่อนเถอะ”

พูดราวกับนางรังเกียจอย่างไรอย่างนั้น

“ข้ามิได้หมายความเช่นนี้!” ฟู่ถิงจวินลุกลนอธิบาย “ข้าเห็นอาเซินวางข้าวของบนรถเข็น เลยนึกว่าใช้มันบรรทุกของต่างหากเล่า”

อาเซินยิ้มกว้างจนตาหยีเมื่อได้ยินนางเอ่ยชื่อตนเอง เขาชี้ไปที่รถเข็นไม้ “สิ่งของล้วนวางกองไว้ทางขวา ส่วนทางซ้ายเหลือที่ไว้ให้ท่านนั่งขอรับ ข้าปูปลอกผ้าห่มบนพื้นรถ ท่านจะได้ไม่ถูกอะไรตำบาดเจ็บอย่างแน่นอน” เขากล่าวพลางจ้องนางตาเป๋งเป็นเชิงบอกว่า ท่านรีบขึ้นไปนั่งสิ สบายมากเลยนะ’

ฟู่ถิงจวินยังคงละล้าละลังเล็กน้อย

แม้นางจะไม่อวบอัดกลมกลึงอย่างพี่หก แต่ก็ไม่ผอมบางเป็นกิ่งหลิวลู่ลมเช่นพี่เจ็ด ทางขวามีของสัพเพเหระกองสุมอยู่แล้ว มีนางเพิ่มอีกคนไม่รู้ว่าเขาจะเข็นไหวไหม ถ้าเกิดตกลงไป…นางหวนนึกถึงครั้งนั้นที่ตนเองตกใจเพราะเขาจนตกลงมาจากต้นไม้ ทำให้เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวอยู่นานหลายวันแล้วยังขยาดไม่หาย

ท่านเก้าชักจะหงุดหงิดที่นางยืดยาดร่ำไร เขาชำเลืองมองนาง “หรือท่านอยากเดินไปจนถึงเว่ยหนาน”

“ไม่ใช่…” ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว อีกทั้งเป็นความปรารถนาดีของเขา ถึงแม้จะยังวิตกกังวล ฟู่ถิงจวินก็ทำแข็งใจขึ้นไปนั่ง

“ไปกันเลย!” อาเซินออกวิ่งนำหน้าไปตามทางดินลูกรังสายหนึ่งข้างป่าอย่างเริงร่าดีใจ

ท่านเก้าเข็นรถตามหลังเขาไป

รถเข็นไม้เขย่าโคลงเคลง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าจะถูกเหวี่ยงตกได้ทุกเมื่อ ยามล้อรถหมุนบดไปตามพื้นยังมีฝุ่นดินสีเหลืองฟุ้งเข้าจมูกไม่ขาดสาย

ฟู่ถิงจวินทรมานมาก ได้แต่กอดห่อสัมภาระไว้กับอกแน่นๆ

ท่านเก้ากระซิบเตือนนาง “จับเชือกที่มัดของไว้สิ”

“อื้อ” นางรีบขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็นั่งทรงตัวได้อย่างมั่นคงแล้ว

เมื่อออกจากป่าแล้วเป็นถนนหลวงสายหนึ่ง

ถนนกว้างขวางราบเรียบอย่างที่ทางดินลูกรังไม่อาจเทียบเคียงได้

ในเวลานี้ฟู่ถิงจวินค่อยรู้สึกว่าได้นั่งรถจริงๆ

นางมองสำรวจทัศนียภาพรอบกาย

สองข้างทางล้วนเป็นไร่นา ไกลออกไปยังมองเห็นกระท่อมชาวนาหลายหลังกับต้นไม้สูงพ้นหลังคา พลบค่ำแล้วกลับไม่เห็นควันไฟจากการหุงหาอาหาร ในผืนนาไม่มีต้นข้าว พื้นดินแห้งแตกระแหง ส่วนร่องน้ำด้านข้างมองไม่เห็นน้ำสักหยด ทั่วทั้งสี่ทิศเงียบสงัดวังเวง พาทำให้ผู้ที่ผ่านทางมาบังเกิดความหดหู่ใจ

“เหตุใดถึงแห้งแล้งขนาดนี้” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงพร่า “ปีนี้คงจะเก็บเกี่ยวผลไม่ได้เลย?”

แม้นนางเติบโตอยู่ในเรือนหลัง แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้เป็นประมุขหญิงปกครองเรือน ทำให้พอเข้าใจเรื่องการทำไร่ไถนาบ้าง สำหรับนางแล้ว เก็บเกี่ยวไม่ได้หนึ่งปีก็แค่ผลกำไรลดลง ทว่ากลับเป็นเรื่องสำคัญเท่าชีวิตของผู้ที่ทำนาประทังชีพ แม้จะกล่าวว่าที่ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรงจนมีคนเร่ร่อนทั่วทุกแห่งในซางโจวและถงโจว แต่นางยังใช้ชีวิตไปตามปกติ ส่วนเรื่องพวกนั้นก็แค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น ขณะนี้เมื่อได้เห็นเองกับตา เป็นธรรมดาที่จะตกตะลึงถึงขีดสุด

ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด

อาเซินกลับกระซิบบอก “หลายวันก่อนขายคนยังแลกแป้งหมี่ได้สามชาม หลายวันนี้ต่อให้ไม่เอาเงินยังไม่มีคนซื้อเลย ได้แต่มองดูให้หิวตายไปต่อหน้าต่อตา…”

นี่เป็นเรื่องที่ฟู่ถิงจวินไม่อาจนึกภาพออกได้อย่างสิ้นเชิง

“เหตุไฉนทางการจึงไม่เปิดยุ้งฉางแจกจ่ายธัญพืช” ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองตวัดเสียงแหลมไปบ้าง

ไม่มีคนกล่าวตอบนาง มีเพียงเสียงกงล้อบดกับพื้นถนนดังครืดคราด

ฟู่ถิงจวินหันไปมองชายหนุ่ม

สีหน้าเขาสงบนิ่งมาก แต่สันกรามที่ขบกันแน่นเผยถึงความรู้สึกในใจ

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จิตใจนางผ่อนคลายขึ้น พาให้อารมณ์สงบลงไม่น้อย

ไม่มีคำสั่งของราชสำนัก ที่ว่าการต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายธัญพืชโดยพลการ

“ท่านผู้ตรวจการสมควรถวายฎีกาต่อองค์ฮ่องเต้ให้ส่งคนมาดูแลเรื่องคนเร่ร่อนในส่านซีถึงจะถูก หาไม่แล้วหากเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้” นางกล่าว

ท่านเก้าเข็นรถไปเรื่อยๆ สายตามองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางกระนั้น

ฟู่ถิงจวินรออยู่เป็นนานก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขาจึงหันหน้ากลับไปอย่างผิดหวังอยู่บ้าง

“ฮ่องเต้ทรงมุ่งหมายแต่อยากจะเป็นยอดกษัตริย์ซึ่งสร้างคุณูปการต่อแผ่นดินทั้งด้านการปกครองและการทหารจนได้รับการสดุดีไปชั่วกาลนาน” เบื้องหลังกลับมีเสียงราบเรียบจนติดจะแข็งกระด้างของเขาดังขึ้น “นับแต่รัชศกซีผิงปีที่ยี่สิบแปดที่ยกทัพไปรบกับเหอเท่า* มีการระดมเสบียงอาหารไม่ต่ำกว่าพันหมื่นตั้น ส่านซีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญ จึงถูกเรียกระดมอยู่บ่อยครั้ง ต่งฮั่นเหวิน ผู้ตรวจการมณฑลส่านซีเป็นลูกศิษย์ของโม่อิงป๋อ เสนาบดีกรมพิธีการและอดีตมหาราชบัณฑิตประจำหอเหวินยวน เขามีเรื่องบาดหมางกับเสิ่นซื่อชงซึ่งปัจจุบันรั้งตำแหน่งราชเลขาธิการสภาขุนนาง ต่งฮั่นเหวินจำต้องคล้อยตามพระประสงค์เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ ธัญพืชใหม่ที่ยังไม่เก็บเข้ายุ้งฉางก็ถูกส่งไปสมทบเป็นเสบียงทางเหนือแล้ว ยามนี้เกิดภัยแล้งรุนแรง เกรงว่าถึงเขาอยากจะเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายก็คงไม่มีธัญพืชอยู่ดี!”

นี่หรือคือเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปจะล่วงรู้หรือพูดออกมาได้

ฟู่ถิงจวินอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านเก้าทำมาหากินอะไรหรือ”

“ข้าเป็นเพียงบุรุษป่าเถื่อนที่ท่องไปทั่วหล้าเท่านั้นเอง” เขาพูดพร้อมมีรอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นตรงมุมปากจางๆ “ได้ยินคนอื่นเล่าเรื่องงานบ้านงานเมืองมาจากโรงน้ำชา เลยจำคำเขามาเล่าต่ออีกทีเท่านั้น ท่านฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”

อย่างนั้นหรือ

ฟู่ถิงจวินนิ่งเงียบ

หากวันหนึ่งมีคนอื่นถามว่านางคือใคร เกรงว่านางคงได้แต่กล่าวตอบเช่นเดียวกับเขากระมัง!

ฉับพลันนั้น นางรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ชิดนางมาก

 

ม่านสนธยาคลี่คลุม ท้องนภาค่อยๆ มืดสลัวลง มองเห็นหมู่บ้านปรากฏเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ไกลลิบ

ท่านเก้าหยุดฝีเท้า ฉวยผ้าผืนยาวที่พาดอยู่บนมือจับขึ้นมาเช็ดเหงื่อพลางเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปดูทีซิ!”

“ขอรับ!” อาเซินขานรับอย่างเบิกบานแล้ววิ่งตัวปลิวไปทางหมู่บ้าน

ท่านเก้าหยิบถุงหนังออกมาจากด้านข้างยื่นส่งให้ฟู่ถิงจวิน “ดื่มน้ำสักอึกสิ”

มาตรว่าดวงอาทิตย์หลบเร้นไปทางทิศประจิมแล้ว แต่ความร้อนจากเมื่อตอนกลางวันยังหลงเหลืออยู่บนพื้น มันแผ่ไอระอุอบอวลจนเหงื่อไหลชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง ยิ่งกว่านั้นหญิงสาวสวมใส่อาภรณ์ปกปิดมิดชิด ทำให้คอแห้งเป็นผุยผงมานานแล้ว เพียงแต่เห็นท่านเก้ากับอาเซินต่างก้มหน้าก้มตาเร่งรุดเดินทาง จึงปริปากบอกไม่ถนัดเท่านั้นเอง

ฟู่ถิงจวินกล่าวขอบคุณแล้วรับถุงหนังมาดื่มน้ำติดๆ กันหลายอึก

เมื่อลำคอที่แห้งผากได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย

นางพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างสบายตัว แล้วยื่นถุงหนังส่งให้ท่านเก้าด้วยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยว่า ท่านก็ดื่มสักนิดสิ‘ พลันตระหนักขึ้นได้ว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน ก็รีบกลืนคำพูดกลับลงคอ ครั้นตั้งท่าจะดึงมือกลับอย่างขัดเขิน เผอิญเขาหันมามอง ทั้งคู่สบตากันพอดิบพอดี

ฟู่ถิงจวินหน้าแดงซ่าน จะประหม่าไปไย ทำขลาดอายไม่เข้าเรื่องแท้ๆ!

แต่นี่มิใช่เรื่องอื่น ถึงนางอยากใจกล้าก็ใจกล้าไม่พอ!

หญิงสาวอ่อนใจอยู่บ้าง

ท่านเก้ามิได้คิดอะไรมากอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยขึ้น “ตอนนี้บ้านเมืองโกลาหล ท่านอย่าได้เห็นว่าตอนนี้รอบตัวไม่มีผู้คน ไม่แน่ว่าถ้าพวกเราหยิบหมั่นโถวออกมาลูกเดียวก็จะมีคนรุมเข้ามาแย่งชิง ระวังตัวไว้สักหน่อยจะดีกว่า ท่านอดใจไว้สักครู่ รอเมื่อพวกเราหาที่หยุดพักได้ ท่านก็สามารถถอดผ้าโพกศีรษะออกเพื่อรับลมได้แล้ว”

ที่แท้เขาเข้าใจผิดคิดว่านางติติงว่าร้อน…

ฟู่ถิงจวินได้ยินเช่นนี้แล้วโล่งใจ

ยังดีที่เขาเข้าใจผิดไปแบบนี้ ไม่อย่างนั้น นางไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดีจริงๆ

“ท่านเก้าวางใจได้” นางกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าจะจดจำไว้”

“อืม” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่งแล้วไม่เอ่ยวาจาใดอีก สายตาจับอยู่ที่หมู่บ้านซึ่งไกลออกไป

รอบด้านเงียบสงัด ฟู่ถิงจวินได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจแผ่วๆ ของตนเอง

ไม่พูดคุยกันเลยเช่นนี้คงไม่ได้กระมัง! ดีชั่วเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้

ฟู่ถิงจวินคิดแล้วเค้นสมองหาเรื่องชวนสนทนา

“ท่านเก้า อีกนานเท่าไหร่พวกเราจึงจะไปถึงเว่ยหนาน”

“อีกราวๆ สิบวัน” ท่านเก้าเพ่งมองหมู่บ้าน เสียงพูดเรียบเรื่อยฟังดูใจลอยเล็กน้อย “ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์จะต้องส่งท่านไปถึงที่นั่นแน่นอน”

นางมิได้จะรีบไปบ้านท่านน้าเพื่อฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์สักหน่อย!

ฟู่ถิงจวินเม้มริมฝีปาก

ในเมื่อเขาเอ่ยถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว นางก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามตามมารยาท “ไม่รู้ว่าท่านเก้าชอบกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไร ถึงตอนนั้นข้าให้ท่านน้าสะใภ้ทำเพิ่มขึ้น ท่านเก้ากับอาเซินจะได้ลองชิม”

เขานัดพบกับพรรคพวกที่เมืองซีอานในวันที่สิบห้าเดือนแปด คงไม่รับปากอยู่ฉลองเทศกาลในเว่ยหนานเป็นแน่ อีกอย่างเขาอาจจะไม่เต็มใจให้นางล่วงรู้เรื่องนี้ก็เป็นได้ นางจำต้องแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอ่ยปากว่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์ให้เขาถือเป็นคำขอบคุณ

ท่านเก้าหันหน้ามามองนาง “ท่านไม่ต้องเกรงใจ ข้าส่งท่านถึงบ้านน้าชายแล้วก็จะไปเลย!”

“ท่าน!” ฟู่ถิงจวินโกรธจนตัวสั่น

พูดตรงก็แล้ว พูดอ้อมก็แล้ว ล้วนฟังไม่เข้าใจ คนอะไร…ทื่อเป็นท่อนไม้เลยทีเดียว!

หญิงสาวสะบัดหน้ากลับ ดื่มน้ำไปพลางระหว่างรอฟังข่าวจากอาเซิน

ท่านเก้าสัมผัสถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปรไปของฟู่ถิงจวินได้

แต่ไรมาสกุลฟู่เป็นที่โจษขานว่า ’ใจซื่อมือสะอาด หญิงในเรือนงามสมกุลสตรี‘ ฉะนั้นเรื่องที่นางแกล้งตายยิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดีเป็นธรรมดา หาไม่แล้วนางคงไม่ถามอ้อมๆ ว่าเขาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างไร ตอนนี้เขาบอกนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าไม่คิดจะข้องแวะอะไรกับนาง แล้วนางยังมีเรื่องใดไม่วางใจอีกเล่า

เขางุนงงอย่างมาก

ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครา

ไกลออกไป ปรากฏร่างเล็กๆ วิ่งกระโดดโลดเต้นมาตามคันนา

ฟู่ถิงจวินยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ชะเง้อคอมองไปอย่างอดใจไม่อยู่

ร่างร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาเซินที่มีเหงื่อเต็มหน้า

นางยินดีในใจ

“ท่านเก้า” อาเซินใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ในหมู่บ้านไม่มีคนเป็นเลยขอรับ”

ท่านเก้าพยักหน้า บอกกับฟู่ถิงจวิน “วันนี้เราพักแรมในหมู่บ้านก็แล้วกัน”

“อื้อ” นางขานรับในลำคอ พอเห็นว่าคันนากว้างพอเดินได้ทีละคน จึงลงจากรถเข็นไม้

เขาไม่ห้ามปราม เอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปนำทางอยู่ข้างหน้า”

“ขอรับ” อาเซินขานรับอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเสียงสดใสอย่างนั้นแล้วพาให้จิตใจปลอดโปร่งตามไปด้วย

ฟู่ถิงจวินเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากนั้นเดินไปบนคันนาตามหลังอาเซิน

ท่านเก้าเข็นรถเข็นไม้ล้อเดียวเดินตามอยู่ข้างหลัง

อาเซินเหลียวหลังเป็นระยะ ประเดี๋ยวก็ ’แม่นางระวังหน่อยนะ ตรงนี้มีร่องน้ำ‘ ประเดี๋ยวก็ ’แม่นางมองทางด้วย ตรงนี้แคบเล็กน้อย‘ อย่างหวั่นใจว่านางจะหกล้ม

ทุ่งนาแห้งแล้งเห็นแต่พื้นดินสีเหลือง ร่องน้ำด้านข้างไม่มีน้ำ ทำให้ฟู่ถิงจวินไม่กังวลใจ นางขานตอบอาเซินยิ้มๆ ตลอดทางจนเข้าสู่หมู่บ้าน

หมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่สิบกว่าถึงยี่สิบครอบครัว ปลูกเรือนตั้งเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ตรงปากทางหมู่บ้านเป็นกระท่อมฟางเตี้ยๆ คับแคบโกโรโกโสมากสองสามหลัง อาจเป็นเพราะไม่มีคนอาศัยอยู่ ทำให้เรือนพังทลายลงมา ด้วยตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นสภาพข้างใน แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าน่าคลื่นไส้ลอยมาระลอกหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินปิดจมูก

ด้านหลังมีเสียงพูดเร่งของท่านเก้าดังขึ้น “ไปเร็วๆ!”

นางที่นั่งอยู่บนรถเข็นไม้มานานหลายชั่วยามแล้วก็ยังอ่อนเพลีย นับประสาอะไรกับคนเข็นรถเล่า เห็นทีว่าเขาคงอยากจะหยุดพักแต่แรกแล้ว

หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

อาเซินชี้ไม้ชี้มืออยู่ข้างหน้า “แม่นาง วันนี้พวกเราจะพักที่นั่น เรือนหลังนั้นมีสภาพดีที่สุดในหมู่บ้านแล้วขอรับ”

นางมองตามไป เป็นเรือนหน้ากว้างสามช่วงเสา กำแพงสีขาวกระเบื้องสีเทา ดูโอ่อ่าเคร่งขรึม

“เรือนหลังนี้มีสภาพดีมากจริงๆ!” นางแย้มยิ้ม

แต่แล้วจู่ๆ มีสุนัขหลายตัวโผล่พรวดออกมาล้อมพวกเขาเอาไว้ พวกมันอ้าปากแสยะเขี้ยว คำรามเสียงต่ำๆ

ฟู่ถิงจวินตกใจสะดุ้งโหยง หลบไปอยู่ด้านหลังท่านเก้าโดยไม่รู้ตัว

อาเซินกลับตื่นเต้นดีใจมาก “ท่านเก้า มีสุนัขด้วย” เขาพูดพลางพุ่งเข้าใส่สุนัขตัวหนึ่งในนั้นอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ เจ้าสุนัขก็กระโจนเข้าหาอาเซินอย่างไม่กลัวเกรงใดๆ

นางร้องอุทานขึ้น

“กลับมา!” เสียงเย็นเยียบขึงขังของท่านเก้าดังขึ้น

อาเซินชะงักกึกทันควันแล้วเบี่ยงกายหลบ ส่งผลให้เจ้าสุนัขจู่โจมพลาดเป้าไป

ท่านเก้าดึงพลองเสมอคิ้ว อันหนึ่งออกมาจากในกองสัมภาระโยนไปให้อาเซิน “ตีตายให้หมด ไม่ต้องสนใจสุนัขพวกนี้”

อาเซินชูมือรับพลองที่สูงกว่าตัวเขามาแล้วเหวี่ยงฟาดออกไปโดยไม่ลังเลรีรอแม้แต่น้อย สุนัขตัวนั้นเพิ่งกระโดดขึ้นมาได้ก็ร่วงตกพื้นไปอีก มันส่งเสียงครางหงิงๆ แผ่วเบาสั้นๆ ก่อนจะหมอบไปกับพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง

ฟู่ถิงจวินมองอาเซินอย่างตกตะลึง

เขาเพิ่งมีอายุเจ็ดแปดขวบ ถึงกับมีฝีไม้ลายมือดีแบบนี้…การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วหมดจด ไม่งุ่มง่ามเงอะงะสักนิด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเลือดเย็นไร้ความปรานีอยู่หลายส่วน…นี่คล้ายเด็กน้อยที่ยังมัดผมจุกที่ไหนกัน

นางพลันรู้สึกว่าเด็กน้อยหน้าตาหมดจด ไม่ว่าเวลาใดล้วนร่าเริงสดใสผู้นี้ช่างดูน่าแปลกหน้าปานนั้น

ฟู่ถิงจวินมองไปทางท่านเก้า

กลางความมืด เขานิ่งสงบดุจภูผา

พวกสุนัขครางหงิงๆ พร้อมกับกระโดดเผ่นหนีไปทุกทิศทาง

อาเซินไล่ตามไปพลางเงื้อพลองฟาดใส่ สุนัขร้องเอ๋งๆ อย่างน่าเวทนา

นางเลี้ยงสุนัขพันธุ์จิงปา สีขาวไว้ตัวหนึ่ง ลูกตาของมันกลมโตดำขลับแวววาวดุจหยก ยามนางปักผ้าคัดลายมือ มันจะหมอบอยู่ข้างเท้า ขอแค่นางเงยหน้าขึ้น มันจะเห่าอย่างประจบประแจงและเข้ามาเลียรองเท้าของนาง แสนจะน่ารักเป็นนักหนา…

ฟู่ถิงจวินรู้สึกแปลบปลาบในใจ นางหลับตาลงอย่างทนดูไม่ได้

หลังจากเสียงพลองกระทบเนื้อดังผัวะๆ ประสานกับเสียงครางหงิงๆ หลายเสียง รอบด้านก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกคราหนึ่ง

“ไปเถอะ” ท่านเก้าเอ่ยเสียงเรียบๆ แล้วเข็นรถเข็นไม้เข้าไปในเรือน

ฟู่ถิงจวินไม่หันไปมองด้านข้าง ก้มหน้างุดๆ เดินตามเข้าไป

อาเซินตามมาถึงเมื่อไหร่ก็สุดรู้ เขาล้วงแท่งคบไฟออกมาจากอกเสื้อ แสงสีส้มสว่างวาบขึ้นในเรือน

นางมองสำรวจไปรอบๆ

หิ้งตั้งป้ายวิญญาณบรรพบุรุษในโถงกลางว่างเปล่าโหรงเหรง นอกจากโต๊ะบูชาตัวใหญ่แล้วก็ไม่มีเครื่องเรือนอย่างอื่นอีก มองออกได้ว่าเจ้าของเรือนไม่ได้จากไปอย่างรีบร้อน

ท่านเก้าเดินตรงไปยังด้านหลังโดยไม่หยุดฝีเท้า

ด้านหลังเป็นลานแจ้งกลางเรือน ตรงข้างกำแพงปลูกต้นไม้อะไรก็ไม่รู้แต่ทว่าแห้งตายไปแล้ว และมีบ่อน้ำอยู่ใต้ต้น

อาเซินวิ่งไปดึงเชือกชักรอกเหนือบ่อ

“ไม่มีน้ำ!” เขาผิดหวังมาก

ราวกับเห็นว่าเด็กน้อยโง่เขลามาก ท่านเก้าไม่มองหน้าเขาสักแวบเดียว เข็นรถเข็นไม้ไปวางไว้ด้านข้าง จากนั้นผลักประตูห้องปีกด้านหนึ่งเปิดออก

อาเซินชูแท่งคบไฟวิ่งเข้าไปอย่างกุลีกุจอ

“คืนนี้ท่านนอนที่นี่ก็แล้วกัน!” เขาส่งเสียงพูดมาจากในห้อง

ฟู่ถิงจวินสาวเท้าเข้าไป

ในห้องมีเพียงเตียงเตา ที่มีฝุ่นเกาะหนาเป็นชั้น

อาเซินโก้งโค้งมองหาอะไรบางอย่างไปทั่วห้อง

ท่านเก้าขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร”

“ข้าดูว่าจะหาตะเกียงน้ำมันสักดวงได้หรือไม่ขอรับ” เขามองฟู่ถิงจวินด้วยรอยยิ้มกว้าง “แม่นางจะได้มองเห็นชัดๆ”

ท่านเก้าไม่เอ่ยอะไรสักคำ แย่งแท่งคบไฟในมืออาเซินมาปักลงในช่องหน้าต่าง

อาเซินลูบหัวตัวเองยิ้มๆ

ใต้แสงไฟ รอยยิ้มนั้นขัดเขินกระดากอาย

ทว่าฟู่ถิงจวินกลับหนาวยะเยือกในอก ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความแช่มชื่นเบิกบานร่วมกันอย่างนั้นได้อีกแล้ว

อาเซินหักกิ่งไม้มาปัดฝุ่นในห้อง

ท่านเก้าเรียกนางไปที่ลานแจ้ง “ท่านดึงผ้าโพกหัวออกรับลมเถอะ”

ฟู่ถิงจวินขานตอบเสียงแผ่วๆ แล้วปลดผ้าโพกหัวออกเงียบๆ

แม้จะมีลมโชยมาอ่อนๆ แต่นางไม่ได้รู้สึกเย็นสบายเป็นพิเศษ

ท้องฟ้าสีเทาหม่นมีดวงดาวกะพริบแสงอยู่แค่สองสามดวง ท่านเก้ามองพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง

“ข้าจะไปดูรอบๆ” เขาเอ่ยบอกแล้วเดินวนในเรือนรอบหนึ่ง

อาเซินเก็บกวาดห้องเสร็จแล้วดันรถเข็นไม้เข้าไปข้างใน จากนั้นรื้อเอาหม้อไหจานชามออกมา “ท่านเก้า ข้าไปต้มยาให้แม่นางนะ!”

“อืม” ท่านเก้าขานรับในลำคอ นั่งลงที่หัวเตียงเตา “มุ่งหน้าต่อไปก็จะถึงเมืองหวาอิน ทางที่ว่าการส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้าหน้าประตูเมืองไว้ ดูทีว่าชาวบ้านหนีภัยล้วนชุมนุมอยู่ภายนอกเมือง ฉะนั้นพวกเราจะอ้อมไปอีกทาง ถ้าหาหมู่บ้านอย่างนี้ได้ก็ยังสามารถต้มยาให้ท่าน แต่ถ้าหาไม่ได้ คงได้แต่หยุดดื่มยาแล้ว” เขาพูดพลางล้วงไข่ต้มฟองหนึ่งออกมาจากรถเข็นไม้ “กินรองท้องก่อน”

ฟู่ถิงจวินมองดูไข่ต้มในฝ่ามือเขาด้วยจิตใจที่สับสน

เขาใส่ใจดูแลนางทุกอย่างได้เช่นนี้ แต่ก็สามารถตีสุนัขหลายตัวนั่นตายอย่างไร้ความเมตตาสักนิด แล้วหวนประหวัดเมื่อตอนครั้งแรกทั้งคู่พบกัน เขาบีบคอนางเกือบตายได้ แต่ก็สามารถเสี่ยงอันตรายช่วยนาง คุ้มครองนางไปตามหาญาติพี่น้อง…ตกลงเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่

นางมองเขาอย่างฉงนสนเท่ห์

เขาเพียงกระตุกมุมปาก “รีบกินเถอะ! อีกสองสามวันถึงอยากกินก็ไม่มีแล้ว”

“ข้าไม่อยากกิน” เห็นท่าทางสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของเขาแล้ว ไม่รู้เพราะอะไร ในใจฟู่ถิงจวินมีไฟโทสะลุกโชนขึ้นระลอกหนึ่ง นางนั่งลงตรงปลายเตียงเตา “ข้ายังไม่หิว”

ท่านเก้าเลิกคิ้วสูง วางไข่ต้มบนเตียงเตา

หญิงสาวนั่งตัวตรงคอแข็ง ไม่มองไข่ต้มใบนั้นสักแวบ

แท่งคบไฟเกิดสะเก็ดไฟปะทุเปรี๊ยะๆ อาเซินประคองชามยาเข้ามาอย่างระมัดระวัง “แม่นาง ท่านรีบดื่มเถอะขอรับ!” เขาพูดบ่นต่อ “ยังดีที่ต้นไม้พวกนั้นแห้งตายหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแม้แต่ฟืน” พอเห็นไข่ต้มบนเตียงเตา เด็กชายก็ตาเป็นประกาย กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “แม่นาง ทำไมท่านไม่กินเล่า”

ฟู่ถิงจวินรับชามยามา “ข้าไม่หิว เจ้ากินสิ”

“เอ๊ะ!” อาเซินเบิกตากว้างมองนาง

“เจ้ากินเถอะ” นางดื่มยา

อาเซินมองไปทางท่านเก้า

เขาชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงปลายเตียงเตาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

“จริงนะขอรับ” อาเซินลิงโลดใจ

ท่านเก้าเห็นแล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน พร้อมกับพยักหน้าอีกครั้ง

อาเซินฉีกยิ้มจนดวงตาคู่โตโค้งเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว เขาถือไข่ต้มไว้ในมือมองแล้วมองอีก ถึงกับปอกเปลือกไข่อย่างเบาไม้เบามือ

“สวยจริงๆ!” เขาพิศดูเนื้อไข่ต้มสีขาวเนียนนุ่มใต้แสงไฟอยู่นานสองนาน กว่าจะบรรจงกัดคำหนึ่ง “อร่อยมากๆ!” เขาหลับตาพริ้ม เผยสีหน้ามีความสุขออกมา

ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน

แค่ไข่ต้มใบเดียว อาเซินกลับทำท่าราวกับกำลังกินพระกระยาหารของฮ่องเต้อย่างตับมังกร ไขกระดูกหงส์ก็ไม่ปาน

มันยากนักที่นางจะเชื่อว่าอาเซินตรงหน้ากับอาเซินคนที่ถือพลองหวดสุนัขอย่างไม่ยั้งมือนั่นจะเป็นคนคนเดียวกัน

ใต้แสงไฟ ใบหน้าของเขายังคงแฝงความไร้เดียงสาไว้

ฟู่ถิงจวินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อาเซินเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เขาจะเข้าใจอะไรได้ นี่มิใช่เป็นเพราะผู้อื่นสอนเขาอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้นหรือ! ถ้าจะพูดว่ามีอะไรผิด เช่นนั้นท่านเก้าซึ่งเลี้ยงดูอบรมเขาก็คือคนผิด

พอคิดคำนึงไปอย่างนี้ นางยิ่งไม่อยากสนใจท่านเก้ามากขึ้น

รอเมื่อถึงเว่ยหนาน ขอให้ท่านน้าให้เงินเขาสักก้อนแล้วไล่เขาไปเสีย!

แต่ถ้าเกลี้ยกล่อมอาเซินให้อยู่กับนางได้จะเป็นการดีที่สุด อาเซินจะได้ไม่กลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำตามอย่างเขา…

 

ทั้งสามคนอยู่ในห้อง ท่านเก้านั่งอยู่ตรงหัวเตียง ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนอาเซินนั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง แต่ละคนดื่มน้ำครึ่งชามกับกินหมั่นโถวหนึ่งลูก นับว่าเป็นอาหารมื้อเย็นแล้ว

“ท่านรีบเข้านอนเถอะ!” ท่านเก้ากินเสร็จแล้วลุกขึ้นยืน “วันพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางตอนยามอิ๋น* ตรง”

ยามอิ๋นตรง ฟ้ายังไม่ทันสางเลยนะ!

ฟู่ถิงจวินยังกินไม่เสร็จ ได้ยินแล้วอดพูดขึ้นไม่ได้ “เช้าขนาดนั้น?”

“ยามเที่ยงวันแดดแรงเกินไป ท่านทนไม่ไหวหรอก” ท่านเก้ากล่าว “พวกเราจำต้องเร่งเดินทางแต่ตอนเช้ากับตอนบ่าย”

เป็นเพราะนางอีกแล้ว…

“อื้อ” หญิงสาวขานรับในลำคอด้วยความว้าวุ่นใจ

อาเซินหอบเสื่อสานเก่าๆ ขาดๆ ผืนหนึ่งมาจากรถเข็นไม้ “แม่นาง ข้าจะนอนอยู่ตรงลานด้านนอก หากท่านมีเรื่องอะไร ส่งเสียงเรียกข้าคำเดียวก็พอ”

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม พูดตอบเขา “ได้”

อาเซินเดินตามหลังท่านเก้าไปอย่างดีอกดีใจ

หมั่นโถวแข็งฝืดคอ หลังจากท่านเก้ากับอาเซินออกไป นางบังคับตัวเองให้กินได้สองสามคำก็กลืนไม่ลงแล้ว เพียงดื่มน้ำไปจนหมด

นางวางหมั่นโถวลงในชามเปล่า ขึ้นไปบนเสื่อสานที่อาเซินปูไว้ให้ ดึงแท่งคบไฟที่เสียบอยู่ในช่องหน้าต่างออกแล้วเป่าให้ดับ จากนั้นเอนตัวลงนอนโดยไม่ผลัดอาภรณ์

หมอนกระเบื้องแผ่ความเย็นน้อยๆ ทำให้นางอดเอาแก้มเข้าไปแนบไม่ได้

ยามราตรีเงียบเชียบ สรรพเสียงต่างๆ จะดังชัดเจนขึ้นเป็นพิเศษ

นางได้ยินเสียงอาเซินปูเสื่อแล้วเดินไปเดินมา

“เจ้าจะออกไปทำอะไร” ท่านเก้าถามเขา

“ท่านเก้า!” สุ้มเสียงของเขามีร่องรอยประจบเอาใจจางๆ “ข้าจะไปถลกหนังสุนัขพวกนั้นแล้วทำเป็นเนื้อแห้ง เอาไว้ต้มน้ำแกงให้แม่นางดื่มวันหลัง หมอคนนั้นบอกว่าแม่นางเลือดลมพร่องมิใช่หรือขอรับ พี่หยวนเป่าบอกว่าเนื้อสุนัขบำรุงดีนัก พอแม่นางได้ดื่มน้ำแกง ไม่แน่ว่าจะหายดีโดยไว”

“เหลวไหล!” ท่านเก้าดุอาเซินคำหนึ่งเบาๆ ก่อนเสียงของเขาจะค่อยๆ เงียบหายไป

เจ้าคนผู้นั้นจะบงการอาเซินไปทำอะไรอีกเล่า

เด็กดีๆ คนหนึ่ง ถูกเขาเสี้ยมสอนไปในทางผิดหมดแล้ว!

ภายในใจฟู่ถิงจวินมีไฟโทสะปะทุขึ้น นางแอบลุกขึ้นไปเอาหูแนบกับหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย

“…ทำไมจู่ๆ ถึงมีสุนัขจรจัดได้ เห็นทีว่าพวกมันคงมีชีวิตอยู่รอดด้วยการกินเนื้อศพของคนที่หิวตายพวกนั้น หาไม่แล้วคงไม่กระโจนเข้าใส่ทันทีที่เห็นพวกเรา…ระวังเนื้อของมันจะเป็นพิษ…อย่าว่าแต่กินแล้ว แม้แต่จะแตะก็แตะไม่ได้…”

สุนัขกินคน!

ศพของคนที่หิวตาย!

นางอยู่ที่ที่เดียวกับสองสิ่งนี้!

เพียงคิดยังชวนให้พะอืดพะอม ท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนคลื่นทะเล มีเสียงแหวะดังขึ้น หญิงสาวอาเจียนของที่กินเข้าไปเมื่อครู่นี้ออกมาจนหมด!

“เป็นอะไรไป” ท่านเก้าเคาะหน้าต่าง น้ำเสียงร้อนรนอยู่บ้าง “ข้าจะให้อาเซินเข้าไปนะ?”

ฟู่ถิงจวินเกาะขอบเตียงเตา เปล่งเสียงพูดไม่ออก

“แม่นาง!” อาเซินชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตู พอเห็นนางสวมอาภรณ์เรียบร้อย ถึงผลักประตูเปิดแล้ววิ่งเข้าไป “นี่ท่านเป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ทำไมถึงอาเจียนออกมา”

ท่านเก้าได้ยินก็รีบเรียกอาเซิน “เจ้าแตะหน้าผากของแม่นางว่าร้อนหรือเปล่า”

อาเซินเอามืออังหน้าผากฟู่ถิงจวิน “ร้อน!”

“ร้อนแค่ไหน” ท่านเก้าเอ่ยเสียงลุกลน

“ร้อนกว่ามือข้า” อาเซินกล่าว “แต่ไม่ร้อนเท่าหน้าผากข้า”

นี่มันคำตอบอะไรกัน

ท่านเก้าเอ่ยอย่างจนปัญญา “คุณหนูฟู่ เช่นนั้นข้าจะเข้าไปแล้วนะ”

“ไม่ต้อง!” ฟู่ถิงจวินผ่อนลมหายใจได้เป็นปกติแล้ว “ข้ารู้สึกแน่นหน้าอกนิดหน่อย” ก่อนหน้านี้นางหมดสติไปนานสิบกว่าวัน พอฟื้นขึ้นมาก็รีบรุดเดินทาง พออาเจียนออกมาเมื่อครู่นี้ทำให้เสียงของนางอ่อนระโหยไปบ้าง

ท่านเก้าไม่พูดอะไร เขาเว้นจังหวะไปนานครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบา “ในเวลานี้ติดโรคระบาดได้ง่ายที่สุด ท่านระวังตัวไว้สักหน่อยเป็นดี!”

ตอนนี้อาเซินประคองหญิงสาวขึ้นไปบนเตียงเตาแล้ว พอได้ยินก็รีบพูดเสริมขึ้น “ใช่แล้ว แม่นาง ในกระท่อมตรงปากทางหมู่บ้านมีคนตายตั้งหลายคนนอนเรียงกันอยู่ ล้วนมีหนอนชอนไช…”

มิน่าเล่าพอเข้าหมู่บ้านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าระลอกหนึ่ง ที่แท้เป็นกลิ่นศพ

ครั้นนึกถึงว่าตนเองเคยดมกลิ่นศพ ตรงกลางอกของฟู่ถิงจวินก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกระลอก นางเกาะหัวเตียงเริ่มอาเจียนออกมา

ท่านเก้าดูคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าหญิงสาวเป็นอะไร จึงมิได้ไถ่ถามอีกว่านางตัวร้อนหรือไม่ เพียงสั่งกำชับอาเซิน “รินน้ำให้แม่นางแล้วเก็บกวาดห้องให้สะอาด จากนั้นค่อยหยิบไข่ต้มออกมาอีกฟองหนึ่ง”

อาเซินรินน้ำ เก็บกวาดห้อง และหยิบไข่ต้มออกมาฟองหนึ่งอย่างคล่องแคล่วว่องไวตามคำบอกของท่านเก้า

ฟู่ถิงจวินดื่มน้ำแล้วถือไข่ต้มไว้อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย

“แม่นาง ท่านรีบกินสิขอรับ” อาเซินพูดเตือนนางอยู่ด้านข้าง “มิใช่ง่ายๆ กว่าท่านเก้าจะหาไข่ไก่มาได้ห้าฟอง มันช่วยบำรุงร่างกายได้นะ” เขาจ้องนางตาเป๋ง ซ้ำยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากคลับคล้ายกำลังหวนรำลึกถึงรสชาติของไข่ต้มฟองเมื่อครู่นี้

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วในใจกระสับกระส่าย รู้สึกคล้ายมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ พาให้อึดอัดตรงกลางอกไปหมด

“เอาล่ะ” ท่านเก้าส่งเสียงพูดจากด้านนอก “ให้แม่นางฟู่รีบพักผ่อนเถอะ! ดึกมากแล้ว”

“ท่านรีบๆ กินนะขอรับ!” อาเซินยิ้มร่า พลางพูดเร่งฟู่ถิงจวิน ก่อนจะหมุนกายวิ่งออกไป

หญิงสาวเป่าไฟดับแล้วเอนตัวลงนอนในความมืด

พัดใบลานหนาหนัก ถือโบกสองทีก็ปวดข้อมือแล้ว ส่วนเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะจากเหงื่อที่ไหลมาตลอดทางยังไม่ได้เช็ดล้างชำระ ทั้งเหม็นทั้งสกปรก…ในหัวหญิงสาวสับสนยุ่งเหยิง ประเดี๋ยวคิดถึงที่ท่านเก้ามีเหงื่อท่วมหัวตอนเร่งเดินทาง คิดถึงสีหน้าเฉยเมยตอนเขายื่นถุงหนังให้ตนเอง อีกประเดี๋ยวก็คิดถึงเสียงเย็นเยียบของเขาที่บอกให้อาเซินตีสุนัข คิดถึงไข่ต้มที่วางอยู่กลางฝ่ามือกว้างใหญ่ของเขา…ภาพที่ไหลประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายประหนึ่งรสชาติหลายหลากที่ผสมปนเปกันจนนางบอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสอะไร

หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมาอย่างไม่เป็นสุข ปลายจมูกได้กลิ่นหอมสดชื่นของเสื่อสานลอยอวลอ้อยอิ่งอยู่ตลอดเวลา

 

ดูเหมือนเพิ่งได้หลับตาลงก็มีเสียงของอาเซินดังลอยมา “แม่นางฟู่ แม่นางฟู่ ท่านตื่นหรือยังขอรับ พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว”

ฟู่ถิงจวินขานรับอย่างงัวเงีย

เสียงของท่านเก้าดังมาจากลานแจ้ง “แม่นางก็แม่นาง เรียกแม่นางฟู่อะไรกัน วันหลังห้ามเรียกอย่างนี้”

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” เสียงตอบของอาเซินระคนความเจ้าเล่ห์ “พี่อวี้เฉิงเคยบอกว่าห้ามพูดเรื่องแม่นางกับคนอื่น ข้าจำได้น่า!”

ฟู่ถิงจวินนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่ จากนั้นเก็บห่อสัมภาระอย่างเชื่องช้าแล้วออกมาจากห้อง

ฟ้ายังไม่สาง แสงจากแท่งคบไฟส่องกระทบใบหน้าท่านเก้ากับอาเซินราวกับถูกฉาบด้วยแสงสนธยาชั้นหนึ่ง

“แม่นาง!” อาเซินเดินมาทักทายอย่างร่าเริง และเข้าไปเก็บข้าวของในห้อง

ท่านเก้าผงกศีรษะให้เล็กน้อย

แต่ละคนได้ดื่มน้ำครึ่งชามและกินหมั่นโถวลูกหนึ่งเช่นเดิม พอกินเสร็จก็ออกเดินทางต่อในขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่

ยามที่ผ่านหมู่บ้าน ฟู่ถิงจวินก็ปิดจมูกเดินอ้อมไปอยู่ทางขวามือของท่านเก้า

เขามองนางแวบหนึ่ง ไม่เปล่งเสียงพูดอะไรทว่าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

เมื่อคืนหลับไม่สนิทแล้วยังต้องเร่งเดินทางแต่เช้าตรู่ ทำให้หญิงสาวมีท่าทางกะปลกกะเปลี้ย ขณะที่อาเซินกลับกระฉับกระเฉงมาก เขาถือกิ่งไม้ซึ่งเก็บมาจากที่ไหนก็สุดรู้ เดินพลางกระโดดพลางอยู่เบื้องหน้า ประเดี๋ยวเขี่ยก้อนหินเล็กๆ บนพื้น ประเดี๋ยวเอาไปจิ้มต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวข้างทางด้วยความสดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง

ฟู่ถิงจวินมองด้วยความวิตกห่วงใย

ครั้นถึงตอนหยุดพักระหว่างทาง ท่านเก้าไปที่ใดอีกก็สุดรู้ได้ นางจึงสนทนากับอาเซิน “ตอนท่านเก้าเก็บเจ้ามา เจ้ากี่ขวบแล้ว”

“ไม่รู้ขอรับ!” อาเซินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านเก้าบอกว่าดูท่าทางข้าน่าจะสักสี่ห้าขวบเลยนับว่าข้าห้าขวบ แล้วก็ถือวันที่เก็บข้าได้เป็นวันเกิดของข้า” เด็กน้อยไม่ได้เศร้าใจสักน้อยนิด

ฟู่ถิงจวินยิ่งสะทกสะท้อนใจ “เจ้ายังจำคนในครอบครัวได้ไหม”

“จำไม่ได้แล้วขอรับ!” อาเซินส่งถุงหนังให้นาง “ท่านเก้าบอกว่าคนทั้งหมู่บ้านล้วนตายหมดเกลี้ยง มีแต่ข้าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ส่วนพี่หยวนเป่าบอกว่าข้าดวงแข็ง วันหน้าจะต้องพบแต่ความโชคดีเป็นแน่” เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างกระหยิ่มใจอยู่บ้าง

ฟู่ถิงจวินกลับตกใจ “คนทั้งหมู่บ้านล้วนตายหมดเกลี้ยงแล้ว?”

“อื้อ” เขาพยักหน้า “ท่านเก้าเก็บข้าได้ที่เหลียงโจว ที่นั่นมีพวกต๋าจื่อ* เพ่นพ่านอยู่ พี่อวี้เฉิงบอกว่าน่าจะถูกพวกมันฆ่าล้างเมือง” พอพูดถึงตรงนี้ เขาทำหน้าม่อยลงบ้าง

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วสงสาร รีบพูดขึ้น “เจ้ารอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว!”

อาเซินยิ้มกริ่ม ผงกศีรษะหงึกหงัก “ใช่! ฉะนั้นข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป วันหน้ายังต้องอยู่อย่างสุขสบายด้วยขอรับ!”

ฟู่ถิงจวินยิ้มตามไปด้วย นางลูบหัวเขา

เขาเอียงคอหนี ฟู่ถิงจวินจึงยกมือค้างเก้อๆ “ท่านเก้าเคยบอกไว้ว่าศีรษะบุรุษ บั้นเอวสตรี ดูได้ห้ามจับ”

นางหัวร่อเต็มเสียง ละม้ายเสียงกระดิ่งเงินก้องกังวานไปในอากาศ

“แม่นาง เสียงของท่านไพเราะจริงๆ” อาเซินอุทานชมจากใจจริง

หญิงสาวไม่เคยได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน นางเอ่ยเสียงเบาๆ อย่างขัดเขิน “ขอบใจนะ”

ท่านเก้ากลับมาแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าระลอกหนึ่งมาแต่ไกล สายตาของเขามองคนทั้งสองสลับไปมา

อาเซินรีบวิ่งเข้าไปหา “ท่านเก้า พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางไหนขอรับ” สีหน้าเด็กน้อยประจบประแจงเต็มที่ เฉกสุนัขตัวน้อยกระดิกหางให้เจ้าของก็ไม่ปาน

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วนึกขัน เลยเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง

ท่านเก้าไม่ใคร่กระจ่างแจ้ง เขาเดินออกไปแค่ครู่เดียว ไฉนฟู่ถิงจวินที่ทำท่าเซื่องซึมอยู่ตลอดเวลาถึงได้หัวร่อต่อกระซิกกับอาเซินอย่างสนิทสนมขนาดนี้ แต่พอเห็นเขาก็หยุดสนทนากันเหมือนเขาเป็นคนนอก!

ดวงตาเขาฉายรอยงุนงงผุดขึ้นวูบหนึ่ง

“พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก” ท่านเก้าเอ่ยเสียงเรียบๆ “อ้อมผ่านหวาอินไป”

นี่ใกล้จะถึงหวาอินแล้วหรือ

ฟู่ถิงจวินหุบยิ้มลงทีละน้อย

นางเขย่งส้นเท้าขึ้นมองไปทางที่ท่านเก้าเดินมา

มีแต่ผืนดินสีเหลืองเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตากับต้นไม้แห้งโกร๋นที่ยืนต้นหร็อมแหร็มอยู่กลางทุ่งนา

ความเศร้าหมองไหล่บ่าเข้ากลางใจอย่างปราศจากสาเหตุ

จะไปเว่ยหนานจริงๆ หรือ ต่อแต่นี้ไป…

ลืมเลือนดรุณีน้อยคนที่ไล่จับผีเสื้อในฤดูใบไม้ผลิ

ลืมเลือนอ้อมกอดอันอบอุ่นของท่านแม่ เรือนผมสีดอกเลาของท่านย่า ใบหน้ายิ้มแย้มสุขใจของพี่น้องทั้งหลาย

ลืมเลือนดอกโบตั๋นข้างศาลารับลม ต้นแปะก๊วยหลังเรือน ดอกปิ่นหยกตรงลานแจ้งกลางเรือน…

ท่ามกลางผู้คนมากมาย นางจะเป็นใคร หรือนางจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นใคร

นับจากนี้หวาอินจะกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่ได้แต่ทอดสายตามองอยู่ไกลๆ!

ทางเลือกนี้ ถูกหรือผิดเล่า

บทที่เจ็ด

 ดวงอาทิตย์เคลื่อนสูงขึ้นทุกทีๆ จนลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะ มันสาดแสงแรงกล้าสว่างจ้า ทำให้อากาศรอบกายร้อนระอุราวกับจะแผดเผาผิวกายให้ไหม้เกรียม ไม่ว่าทอดสายมองไปทางใดล้วนเห็นเปลวแดดเต้นระริก

ฟู่ถิงจวินตากแดดจนหน้าแดงก่ำ หยดเหงื่อเม็ดโตไหลย้อยลงมาตามหน้าผากและจอนข้างหู ทำให้สายตานางพร่ามัวไป แต่นางยังมองไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่างดึงดัน

หวาอินอยู่ทางนั้น นางกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะมองดูมันเป็นครั้งสุดท้าย

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าสายตามีเพียงความแห้งแล้งอดอยากทุกหนแห่ง นอกจากผืนนาแตกระแหงและต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาตายแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

หากรู้เช่นนี้แต่แรก ตอนออกจากเมืองก็สมควรมองดูหวาอินให้เต็มตาอีกสักครั้ง

ตอนนี้นาง ‘ตายแล้ว’ ฉะนั้นพวกสาวใช้ในเรือนนางซึ่ง ‘ล้มป่วย’ อยู่ก็สมควรหายดีแล้วกระมัง

ไม่รู้ว่าเป็นคนใดกันที่ขโมยของส่วนตัวของนางออกไป

ยังมีลวี่เอ้อกับหานเยียนที่ประสบผ่านเรื่องในคราวนี้ไป ท่านแม่น่าจะให้พวกนางอยู่ใกล้ตัวเพื่อจะได้ดูแลควบคุมไว้ รอเมื่อเรื่องเงียบหายไปค่อยมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้อีกที ในสายตาคนอื่นคงเห็นว่าลวี่เอ้อกับหานเยียนก้าวเดียวถึงสวรรค์ ได้เป็นสาวใช้คนโปรดของท่านแม่ แต่พวกนางล้วนกระจ่างแจ้งดีแก่ใจ เกรงว่าจะหวาดวิตกจนใจคอไม่เป็นสุขมากกว่า!

ยังมีป้าเฉิน พอนางหายตัวไปไม่รู้ว่าป้าเฉินจะตอบคำถามท่านลุงใหญ่อย่างไร และพอท่านลุงใหญ่รู้ว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาช่วยนางไป กลัวแต่ว่าคงจะลอบตรึกตรองถ้อยคำของจั่วจวิ้นเจี๋ยอยู่ในใจเช่นกัน

ส่วนทางสกุลฟู่ ไม่รู้ว่าจะมีความเห็นต่อการ ‘หายตัว’ ของนางเช่นไร

แล้วตกลงว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยหนีความผิดไปอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกัน หรือว่าถูกสกุลฟู่กำจัดทิ้งเงียบๆ ไปแล้วกันแน่

คิดถึงตรงนี้ ฟู่ถิงจวินส่ายหน้าเบาๆ

จั่วจวิ้นเจี๋ยเป็นถึงจวี่เหริน ต่อให้คนของสกุลฟู่ใจกล้าสักปานใด แต่กับเรื่องการวางแผนสังหารจวี่เหรินพรรค์นี้ก็น่าจะต้องคิดหน้าคิดหลังบ้าง ยิ่งกว่านั้นพี่สาวแท้ๆ ของเขาคือพี่สะใภ้ใหญ่ อีกทั้งสกุลจั่วเหลือเขาเป็นทายาทคนเดียว…

นางยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มใจ อยากจะพบหน้ามารดาเสียตอนนี้แทบใจจะขาด จะได้ถามไถ่ให้รู้เรื่อง

ทว่าในใจนางก็แฝงความวิตกรางๆ อยู่อีก แน่ละว่าท่านแม่เป็นมารดาของนาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นลูกสะใภ้ของสกุลฟู่ด้วย ท่านแม่คงมิได้บอกข่าวเรื่องที่นางจะไปบ้านท่านน้ากับผู้อาวุโสสกุลฟู่หรอกนะ?

ไม่น่าจะบอก!

บางทีท่านแม่อาจเห็นว่าพอเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว ค่อยรายงานต่อพวกผู้อาวุโสอีกทีหนึ่งก็ไม่มีอะไรเสียหาย…

ทว่าท่านแม่ก็รู้เรื่องที่พวกผู้อาวุโสต้องการกำจัดนางทิ้งเช่นกัน ทำไมตอนนั้นท่านแม่ไม่หาทางส่งข่าวถึงนางเลยเล่า

ฟู่ถิงจวินใจหนึ่งมีความหวัง ใจหนึ่งก็กลัวผิดหวัง เป็นเหตุให้สับสนทำอะไรไปถูกไปชั่วขณะ

ท่านเก้ามองดูหญิงสาวที่ทำคอตกเสมือนดอกไม้ขาดน้ำหล่อเลี้ยงแล้วลอบกังวลใจน้อยๆ

ตลอดทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ทั้งไม่มีใบไม้กำบังแดดได้สักใบ เขาต้องหาที่สักแห่งหลบแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันจึงจะดี หาไม่แล้วถึงนางไม่เป็นไข้แดดก็ต้องอ่อนเปลี้ยและขาดน้ำ หากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องยุ่ง

ท่านเก้าเดินไปสอดส่ายสายตามองไป ในที่สุดก็แลเห็นเพิงหญ้าคาหลังหนึ่งที่ล้มพังพาบอยู่

ดูท่าทางน่าจะเป็นเพิงที่คนเฝ้าทุ่งนาสร้างขึ้นเพื่อใช้นอนชั่วคราว

เขาอดยิ้มอย่างอ่อนใจมิได้

อย่างไรก็ย่อมดีกว่าไม่มี!

ท่านเก้าปลอบใจตนเอง เขากับอาเซินช่วยกันออกแรงยกมุมหนึ่งของเพิงตั้งขึ้น จากนั้นให้อาเซินพยุงฟู่ถิงจวินเข้าไปนั่งพัก

พื้นดินร้อนระอุราวกับเตาไฟ แผงหญ้าคาเหนือหัวพอถูๆ ไถๆ บังแดดไว้ได้ แต่หญิงสาวไม่รับรู้ถึงความเย็นร่มรื่นแม้สักนิด ครั้นเห็นท่านเก้ากับอาเซินยืนกลางแดดจนเหงื่อไหลดุจสายฝนอยู่ด้านนอก นางก็ตื้นตันใจอย่างมาก

“ท่านเก้า อาเซิน ข้างในเพิงเย็นสบายกว่า พวกท่านเข้ามาหลบร้อนเถอะ!” นางพูดพลางกระเถิบตัวไปชิดมุมหนึ่งของเพิง

พวกเขาคุ้มครองนางอย่างสุดกำลัง หากนางยังถือธรรมเนียมหยุมหยิมพวกนั้นอีกก็ออกจะเป็นคนไร้เหตุผลเกินไปแล้ว

“ไม่ต้อง!” ท่านเก้ารื้อหาถุงหนังกับหมั่นโถวลูกหนึ่งในรถเข็นไม้ออกมา “กินอะไรแล้วพักผ่อนครู่หนึ่ง เราจะออกเดินทางต่อตอนยามโหย่ว” เขาสั่งกำชับอาเซิน “เจ้าอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนแม่นางฟู่ ในเมื่อที่นี่มีเพิงหญ้าคาก็น่าจะมีหมู่บ้าน ข้าจะไปดูสักหน่อย!”

“ขอรับ” อาเซินขานตอบเสียงดัง ท่านเก้าเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

แม้ว่าตอนยามอิ๋นจะได้กินหมั่นโถวครึ่งลูกกับดื่มน้ำครึ่งชาม แต่อากาศที่ร้อนจัดทำให้ฟู่ถิงจวินทั้งหิวข้าวทั้งกระหายน้ำมาตั้งนานแล้ว

นางกัดหมั่นโถวสองคำแล้วกลั้วคอด้วยน้ำ

เพราะถูกเก็บมานานเกินไปจนแห้งร่วน มีเศษหมั่นโถวร่วงพรูลงมาเหมือนผงแป้งที่จับเป็นก้อนแข็งๆ

ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้น เห็นอาเซินนั่งยองๆ อยู่ข้างรถเข็นไม้ กวาดตามองท้องนาที่ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นพลางใช้กิ่งไม้วาดรูปวงกลมอย่างเบื่อหน่าย

“อาเซิน เจ้าไม่ร้อนหรือ ไฉนไม่ดื่มน้ำเลย”

อาเซินเกาหัวพร้อมส่งเสียงหัวเราะแหะๆ

ฟู่ถิงจวินชูถุงหนังขึ้น “ไปเอาชามของเจ้าออกมา ข้าจะเทแบ่งให้”

อาเซินไม่ขยับ “แม่นาง นี่เป็นน้ำที่ท่านเก้าเตรียมไว้ให้ท่าน…ข้าต้องรอถึงยามโหย่วจึงจะดื่มน้ำได้ขอรับ”

นางนิ่งขึงไป

นางย่อมรู้ว่าน้ำมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย แต่เห็นทุกครั้งท่านเก้าให้นางทีละนิดก็นึกว่าพวกเขาประหยัดมากแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่า…นางมองดูน้ำกับหมั่นโถวในมือ เอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าต้องรอถึงยามโหย่วจึงจะกินหมั่นโถวได้ใช่หรือไม่”

อาเซินหัวเราะขลุกขลักในลำคอ

ฟู่ถิงจวินบิหมั่นโถวครึ่งหนึ่งส่งให้เขา “ข้ากินคนเดียวไม่ได้มากขนาดนี้ ครึ่งลูกนี้แบ่งให้เจ้า”

อาเซินไม่รับ “ท่านเก้าบอกแล้วว่ายามโหย่วถึงจะกินหมั่นโถวได้”

ฟู่ถิงจวินมองแสงแดดแจ่มจ้าแยงตาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านเก้าไม่มีขวดทรายบอกเวลาติดตัวนี่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาใดเป็นยามโหย่ว เร็วขึ้นหรือช้าลงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก!”

ราวกับนางกล่าวถ้อยคำอะไรที่สุดแสนจะเลวร้ายก็ไม่ปาน อาเซินฟังแล้วไม่ใคร่จะพอใจ “ท่านเก้ารู้ก็แล้วกัน ท่านเก้าบอกว่าเป็นเวลาไหนก็คือเวลานั้น แต่ไรมาล้วนไม่เคยผิดพลาด!”

อาเซินได้ท่านเก้าเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ มีความผูกพันและเห็นเขาเป็นทั้งบิดาและพี่ชาย เป็นธรรมดาที่เขาไม่อาจยอมรับคำพูดใดๆ ที่แสดงถึงความคลางแคลงในตัวท่านเก้า ฟู่ถิงจวินเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้แม้นางเห็นว่าอาเซินเทิดทูนบูชาท่านเก้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาไปบ้าง แต่ก็ไม่อยากจะกล่าวคำที่บั่นทอนความสำคัญของท่านเก้าในใจเขาลงอีก

“ข้าเพียงอยากจะล่อหลอกให้เจ้ากินอะไรสักหน่อย” นางมองอาเซินด้วยรอยยิ้มละไม “ใครจะไปรู้ว่าอาเซินจะรู้ทันเร็วขนาดนี้”

ยามฟู่ถิงจวินผลิยิ้ม นัยน์ตาทั้งคู่จะพราวระยับ ดวงหน้าที่อิดโรยห่อเหี่ยวยังเปล่งประกายสดใส เห็นแล้วเจริญตาเจริญใจ

อาเซินยิ้มอย่างกระดากอายอยู่บ้าง

ฟู่ถิงจวินยื่นถุงหนังไปให้อีกครั้ง “เดิมทีนี่เป็นส่วนที่ท่านเก้าให้ข้า แต่ข้ามิได้ต้องการมากมายอย่างนี้ เจ้าดื่มกินเข้าไปก็ไม่ต่างจากข้าเป็นคนดื่มกิน ใช่ว่าจะสิ้นเปลืองมากกว่าเดิม ไม่นับว่าผิดกฎของท่านเก้านะ”

อาเซินฟังแล้วตาเป็นประกาย เขากลอกตามองถุงหนังในมือนางกับหมั่นโถวสลับไปมา ชั่วครู่ใหญ่เขากัดฟันแน่น ฟู่ถิงจวินนึกว่าเขาไม่อาจต้านทานความยั่วยวนใจของอาหารได้แล้วยอมทำตามที่ตนเองบอก แต่ขณะที่นางกำลังนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ที่ไหนได้เขากลับเอ่ยโพล่งขึ้น “ท่านเก้าบอกแล้วว่ายามโหย่วถึงจะกินอาหารได้ขอรับ”

เป็นเวลานานกว่าฟู่ถิงจวินจะดึงสติคืนมา นางอดเลื่อมใสเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้

เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน ก็รู้จักยับยั้งชั่งใจแล้ว หากเขาได้รับการชี้แนะสั่งสอนที่ดี ภายภาคหน้าไม่แน่ว่าจะเป็นลูกผู้ชายที่รักษาสัจจะผู้หนึ่ง!

นางบังเกิดความเอ็นดูสงสารเขาเพิ่มขึ้นหลายส่วน

ฟู่ถิงจวินเอาหมั่นโถวกับถุงหนังวางกลับไปบนรถเข็นไม้

อาเซินไม่เข้าใจ

นางกล่าวยิ้มๆ “วันๆ ข้านั่งอยู่แต่บนรถ ส่วนท่านเก้าต้องเข็นรถให้ข้า มิสู้เก็บของกินไว้ให้เขา เจ้าว่าดีหรือไม่”

“ดีสิๆ!” อาเซินฟังแล้วชอบอกชอบใจเหลือหลาย กระทั่งสายตาที่มองนางยังแฝงรอยสนิทสนมขึ้นไม่น้อย แต่แล้วพริบตาเดียวเขาก็เอ่ยขึ้นอีกอย่างกังวลใจ “แต่ท่านเก้าพูดว่าร่างกายท่านอ่อนแอ ต้องบำรุงมากๆ…”

“แค่ไม่กี่วันนี้เอง” ฟู่ถิงจวินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไหนบอกว่าอีกแค่สิบวันก็ถึงเว่ยหนานแล้วมิใช่หรือ”

อาเซินพยักหน้า

นางกวักมือเรียกเขามานั่งข้างๆ “ข้างนอกร้อนอย่างนั้น เจ้าเข้ามานั่งเถอะ ถ้าเจ้าเป็นไข้แดด ท่านเก้ามิต้องดูแลเพิ่มขึ้นอีกคนหรือไร!”

อาเซินฟังแล้วโยนกิ่งไม้ทิ้งแล้วนั่งลงข้างกายนาง

เห็นได้ว่ายกกระบี่อาญาสิทธิ์อย่างท่านเก้าขึ้นมาใช้กับอาเซิน ไม่มีคราใดไม่ประสบผล

ฟู่ถิงจวินลอบขบขัน พร้อมกับนึกสะท้อนใจในความใสซื่อบริสุทธิ์ของอาเซิน ทำให้นางยิ่งตั้งใจมั่นว่าจะรั้งตัวอาเซินอยู่กับนางให้ได้

นางคุยเล่นกับอาเซิน “พอข้าถึงเว่ยหนานแล้วจะพำนักอยู่ที่จวนท่านน้า ที่นั่นมีทั้งเรือกสวนไร่นา ร้านค้า และสำนักศึกษา เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่”

อาเซินทำสีหน้าตะลึงลาน

“เช่นนี้เจ้าไม่ต้องระหกระเหินไปทุกที่กับท่านเก้า ซ้ำยังสามารถร่ำเรียนหนังสือกับหลานๆ ของข้า หากเจ้าไม่อยากร่ำเรียนก็สามารถทำการค้าหรือทำนากับคนดูแลงานต่างๆ ในจวน วันหน้าจะเป็นเถ้าแก่ร้านหรือซื้อที่นาปลูกข้าวก็ได้” ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “ถ้าท่านเก้าคิดถึงเจ้า สามารถมาเยี่ยมเจ้าที่เว่ยหนานได้ แล้วพอวันหน้าท่านเก้าแก่เฒ่าลง เจ้าก็สามารถปรนนิบัติดูแลเขาได้มิใช่หรือ”

อาเซินฟังแล้วลังเลใจอยู่บ้าง เขาเอ่ย “พอถึงที่นั่นแล้วข้ากับท่านเก้าไปเยี่ยมท่านได้หรือไม่”

ยังคงคิดถึงแต่ท่านเก้าอยู่ดี!

แต่หากอาเซินลืมท่านเก้าเพราะเรื่องนี้ ก็คงไม่ใช่อาเซินที่นางชมชอบเอ็นดูเช่นกัน

นางคาดว่าท่านน้าคงไม่ปฏิเสธที่จะให้ค่าตอบแทนแก่ท่านเก้า และต่อให้ท่านน้าไม่ยินยอม ถึงเวลานั้นตั๋วเงินสองพันตำลึงของนางก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ กระนั้นนางคิดว่าคนที่มีความสามารถรอบตัวอย่างท่านเก้า กลับนำพาพวกพ้องกลุ่มหนึ่งตระเวนท่องไปทั่ว อาจมิใช่คนที่จะยอมปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้

“ขอเพียงท่านเก้าเต็มใจ มีอันใดไม่ได้เล่า” ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ย “พอถึงที่นั่นข้าให้คนทำแป้งย่างให้เจ้ากิน”

“ดีสิๆ!” อาเซินได้ยินแล้วมีสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส “ท่านเก้าบอกว่าทำนาหาเงินไม่ได้ อย่างมากแค่ทำให้กินอิ่มท้อง ต้องทำการค้าถึงจะหาเงินได้ พี่อวี้เฉิงเคยสอนข้าดีดลูกคิด แล้วก็สอนข้าทำบัญชีอีกด้วย ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นผู้ดูแลร้านให้ท่านเก้าเองขอรับ!”

คำก็ท่านเก้า สองคำก็ท่านเก้า

ฟู่ถิงจวินดีดหน้าผากของอาเซินอย่างขันๆ

ท่านเก้ากลับมาแล้ว

อาเซินวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้าไปหา “ท่านเก้าๆ แม่นางฟู่บอกให้พวกเราอยู่กับนางที่เว่ยหนาน พวกเราไปพบพี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าแล้ว ไปอยู่ที่เว่ยหนานได้หรือไม่”

ท่านเก้าประหลาดใจมาก เขามองพินิจหญิงสาวปราดหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ยขึ้น “แม้จะมีคำกล่าวว่าอ่านตำราพันเล่มไม่เท่าเดินทางไกลหมื่นลี้ แต่อาเซินอายุยังน้อย ท่านเก้าฝากเขาไว้กับข้าดีกว่า ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดีเอง ถ้าเกิดวันใดท่านเก้าอยากลงหลักปักฐาน ค่อยมารับอาเซินไปก็ไม่ต่างกัน”

ท่านเก้าไม่พูดจา สายตาเขาที่เพ่งมองนางดุจบ่อน้ำลึก คลับคล้ายมีรอยกระเพื่อมเบาๆ บนผิวน้ำที่นิ่งสนิท

ฟู่ถิงจวินเบิ่งตากว้างหมายมองให้กระจ่างชัด

อาเซินด้านข้างเดินวนรอบตัวท่านเก้าอย่างกระวนกระวายใจ “ไม่ได้หรือขอรับ”

ท่านเก้าก้มหน้าเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง “ไว้ค่อยว่ากันอีกที!”

พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาเขากลับเป็นเยือกเย็นเฉยเมยดังเดิม

ฟู่ถิงจวินผิดหวังน้อยๆ

เขายังคงไม่เต็มใจลงหลักปักฐาน ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมันดีปานนั้นเชียวหรือ

นางไม่เข้าใจ

“ไม่ไกลนักมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนที่นั่นล้วนหนีภัยแล้งไปหมดแล้ว” ท่านเก้าหยิบสายบังเหียนรถเข็นไม้ขึ้นมาคล้องกับตัว “พวกเราหยุดพักที่นั่นเถอะ”

ฟู่ถิงจวินอยากถามเขาเหลือเกินว่าในหมู่บ้านมีศพคนตายที่ยังไม่ฝังลงดินหรือสุนัขจรจัดกินคนหรือไม่ แต่เมื่อแลมองแผ่นหลังที่สาวเท้าก้าวปราดๆ เดินไป นางกลืนคำพูดกลับลงไปดังเดิม

ท่านเก้าหันขวับกลับมาราวกับอ่านใจนางออก “ท่านวางใจได้ ในหมู่บ้านสะอาดมาก!”

 

ในหมู่บ้านสะอาดมากจริงๆ

พวกเขาเสาะหาเรือนหลังหนึ่งที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางเป็นที่พักแรม

ยามเที่ยงตรงในฤดูร้อนทำให้คนง่วงเหงาหาวนอน

พวกเขาลงดาลประตู ฟู่ถิงจวินอยู่ที่ห้องพักด้านหลังเรือน ส่วนท่านเก้ากับอาเซินอยู่ในห้องโถง ทุกคนนอนกลางวัน รอเมื่อแสงแดดอ่อนลง ต่างคนต่างดื่มน้ำเล็กน้อยกับกินหมั่นโถวครึ่งลูก จากนั้นเริ่มต้นเร่งเดินทางต่อ

ตกเย็น เมื่อไม่พบหมู่บ้าน พวกเขาจึงค้างแรมอยู่ริมทางกลางป่า

รถเข็นไม้กั้นอยู่ตรงกลาง ท่านเก้ากับอาเซินนอนอยู่ทางซ้าย ฟู่ถิงจวินนอนอยู่ทางขวา

เดินทางไปเช่นนี้สองสามวัน ท่านเก้าเพิ่งพบว่าฟู่ถิงจวินดื่มแต่น้ำสองคำ ไม่แตะหมั่นโถวสักคำเดียว

นางลุกลนอธิบาย “อากาศร้อนเกินไป ข้ากินไม่ลงจริงๆ”

“กินไม่ลงก็ต้องกิน!” ท่านเก้ายัดหมั่นโถวใส่มือนาง “อยู่ต่างบ้านต่างถิ่นย่อมไม่สุขสบายเท่าเรือนตน เวลาที่พึงฝืนทนก็สมควรฝืนทน”

พูดราวกับว่านางดื้อรั้น ไม่รู้จักความยากลำบากอย่างไรอย่างนั้น

ฟู่ถิงจวินไม่อยากโต้เถียงกับเขา ถือไว้ในมือเฉยๆ แต่ไม่กิน

ท่านเก้าขมวดคิ้วอยู่ตลอด

อาเซินทำหน้างุนงง มองฟู่ถิงจวินที่นิ่งเงียบไม่พูดจา แล้วก็มองท่านเก้าที่มีสีหน้าไม่ชอบใจ เขาสองจิตสองใจครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นอยู่ดี “แม่นางฟู่บอกว่านางไม่ต้องเดินเอง เลยจะเก็บหมั่นโถวให้ท่านเก้ากิน”

เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง

ฟู่ถิงจวินแค่นเสียงฮึ ลุกขึ้นยืนตะโกนเรียก “อาเซิน พวกเราไปเดินรอบๆ เนินเขากัน ฤดูใบไม้ผลิทุกปีท่านย่าจะพาพวกข้าไปท่องเที่ยวที่คฤหาสน์พักผ่อนที่ตำบลหฺวาซีและสอนพวกข้าพี่น้องเก็บผักป่า ข้าเห็นว่าต้นไม้ตรงเนินเขาตะวันออกยังไม่แห้งตาย ฉะนั้นน่าจะมีตาน้ำอยู่ ไม่แน่อาจหาผักป่าได้บ้างนะ! จะได้ไม่ต้องกินหมั่นโถวแกล้มน้ำทุกวัน” กล่าวจบนางหมุนกายเดินออกนอกประตูไป

ความไม่พึงใจที่มีต่อท่านเก้าเห็นได้จะแจ้งโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

เขานิ่งงันไปเป็นคำรบที่สอง

อาเซินเบิกตาค้าง จวบจนฟู่ถิงจวินลับร่างไปทางนอกประตู เขาถึงดึงสติคืนมาได้

คนหนึ่งคือแม่นางฟู่ที่เขาชมชอบมาก คนหนึ่งคือท่านเก้าที่เขานับถือที่สุด

“ท่านเก้า! ” อาเซินมองท่านเก้าอย่างไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าควรทำประการใดดี

“ไปเถอะ” ท่านเก้ายิ้มเจื่อนๆ “อย่าทิ้งให้แม่นางฟู่อยู่คนเดียว”

แม้เขาจะเลือกเฉพาะเส้นทางชนบทที่เงียบเปลี่ยว ต่อให้พบหมู่บ้าน ถ้ามีศพคนที่หิวตายก็จะเลี่ยงไม่ผ่านไป ถึงกระนั้นก็ตามที ระวังไว้จะดีกว่า เพราะย่อมมีคนที่ออกเดินทางพร้อมเสบียงและน้ำอย่างพอเพียง แต่กลัวถูกคนปล้นชิง จึงมีความคิดเช่นเดียวกับเขาและเลือกเส้นทางแบบเดียวกัน

อาเซินเบิ่งตากว้างยิ่งขึ้น

ท่านเก้า…ยิ้มเจื่อนๆ ด้วย!

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นท่านเก้ายิ้มเจื่อนๆ เป็นเมื่อใด

ถึงฟ้าถล่มลงมา ท่านเก้าได้ยินแล้วแค่พยักหน้าอย่างเฉยเมย เอามือไพล่หลังเดินวนไปวนมาในห้อง หรือไม่ก็นั่งอยู่ข้างแม่น้ำตามลำพังก็จะคิดหาหนทางได้แล้ว…แม่นางฟู่แค่เดินออกไปคนเดียว เพียงร้องเรียกกลับมาก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องยิ้มเจื่อนๆ ด้วยเล่า

อาเซินเห็นว่าตนเองจำเป็นต้องเอ่ยเตือนท่านเก้าสักคำ

ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเก้าพูดเร่งเขาเสียแล้ว “ยังไม่รีบไปอีก!”

แต่ไรมาอาเซินไม่เคยขัดขืนคำสั่งท่านเก้า เขาไม่หยุดคิดใคร่ครวญก็ขานรับว่า “ขอรับ” ครั้นรู้ตัวว่าตอบเร็วเกินไป ท่านเก้าก็ก้มหน้าจัดของบนรถเข็นไม้แล้ว

ทว่าแม่นางฟู่ออกไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ถ้าพบกับพวกสุนัขจรจัดละก็แย่แน่! อีกประเดี๋ยวตอนอยู่ระหว่างทางค่อยแอบบอกท่านเก้าก็ไม่ต่างกัน

อาเซินไตร่ตรองแล้ววิ่งออกนอกประตูไป กลับแลเห็นฟู่ถิงจวินยืนอยู่ในเพิงที่มีกองฟางวางสุมอยู่ตรงด้านนอกเรือน

“แม่นางฟู่!” เขารู้สึกประหลาดใจมาก

นางส่งยิ้มให้เขา “อากาศร้อนเกินไป เช่นนั้นพวกเรารอสักครู่ค่อยไปดูนะ”

แม้นจะโกรธเคืองที่ท่านเก้าถือความคิดตนเป็นใหญ่ แต่ในยามที่ทุกคนเร่งเดินทางจนเหน็ดเหนื่อยปางตาย นางคงไม่หนีไปที่เนินเขาปล่อยให้ทุกคนออกตามหาอย่างดึงดันเอาแต่ใจหรอก

 

ตอนนี้พวกเขาหยุดพักในหมู่บ้านตรงเชิงเขาลูกหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาส่วนใหญ่แห้งตายหมดแล้ว เหลือแค่ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าซึ่งเคยแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มไม่กี่ต้นตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ยังมีชีวิตอยู่ ใต้ต้นไม้มีหญ้าขึ้นหร็อมแหร็ม แต่จะบอกว่าเป็นจำพวกผักป่าอะไรนั่นนะหรือ เป็นไปมิได้เด็ดขาด

แม่นางฟู่พูดอะไรไม่พูด จำเพาะต้องพูดว่าจะมาหาผักป่า?

ฉะนั้นพอเห็นฟู่ถิงจวินยังไม่ไปที่เนินเขาตอนนี้ อาเซินย่อมดีใจเป็นธรรมดา เผื่อว่าหาผักป่าไม่ได้ แม่นางฟู่ก็ไม่ต้องอายจนวางหน้าไม่ถูกที่คุยโม้โอ้อวดต่อหน้าท่านเก้าอีก

ทั้งสองนั่งสนทนากันอยู่ในเพิงนั่นเอง

อากาศร้อน นางกับอาเซินคุยไปๆ แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว

รอจนเมื่อท่านเก้าปลุกทั้งคู่ในตื่นขึ้น เป็นเวลาที่แสงสนธยาส่องทั่วฟ้าแล้ว

เลยเวลาออกเดินทางไปแล้วหรือนี่

อาเซินลุกขึ้นอย่างฉับไว “ท่านเก้า…” สีหน้าเด็กน้อยแดงก่ำ

ฟู่ถิงจวินกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ตบฝุ่นบนตัวออก ก่อนจะเอ่ยถามท่านเก้าเสียงเรียบเรื่อย “ไปได้แล้วหรือ”

“อืม” ท่านเก้าส่งเสียงตอบคำหนึ่งแล้วหมุนกายเข้าประตูไปด้วยสีหน้าดุจเดิม

อาเซินเทิดทูนบูชาท่านเก้า และเลียนแบบทุกๆ อากัปกิริยาของเขามาโดยตลอด ทำให้รู้จักเขาเป็นอย่างดี สำหรับฟู่ถิงจวินแล้ว ชายหนุ่มอาจไม่ผิดแผกไปจากปกติ ทว่าในสายตาของเด็กน้อย กลับรู้สึกว่าดูเหมือนเขามีท่าทางจนปัญญาอยู่สักหน่อย

จนปัญญา? เพราะแม่นางฟู่หรือ!

อาเซินมองแผ่นหลังของหญิงสาวอยู่เนิ่นนานก็ขบคิดไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร!

 

นับแต่วันนั้น แม้ว่าตอนเที่ยงท่านเก้าจะยื่นหมั่นโถวส่งให้ฟู่ถิงจวินดังเก่า แต่ถ้านางไม่กินเขาก็ไม่ฝืนใจ ข้างฝ่ายฟู่ถิงจวินนั้นเล่า นางไม่เอ่ยปากพูดกับท่านเก้าก่อนดังเช่นที่ผ่านอีก กลับพูดคุยหัวเราะกับอาเซินเหมือนปกติไม่ต่างไปจากเดิม บางครั้งท่านเก้าพูดด้วย นางก็ถามคำตอบคำ ไม่พูดมากเกินจำเป็นแม้แต่คำเดียว บางครั้งหญิงสาวกำลังคุยกับอาเซินอย่างสนุกสนาน พอท่านเก้าเดินผ่านมานางจะหยุดพูดทันที รอเมื่อท่านเก้าเดินผ่านไปแล้วนางก็คุยกับอาเซินอย่างออกรสออกชาติต่อ

มาตรว่าอาเซินจะมีอายุน้อย ก็มองออกว่าฟู่ถิงจวินกำลังหมางเมินท่านเก้าอยู่

ท่านเก้าเป็นคนเงียบขรึมไม่ช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไร ยามมีเรื่องอะไร ทุกคนจะเป็นฝ่ายพูดกับท่านเก้าก่อนเสมอ

อาเซินเห็นว่าเรื่องนี้ฟู่ถิงจวินทำไม่ถูก

เมื่อสบช่องตอนท่านเก้าไปสำรวจเส้นทางข้างหน้า เขาเอ่ยถามนาง “ทำไมท่านไม่พูดคุยกับท่านเก้า ทั้งที่ท่านเก้าพูดคุยกับท่าน”

“เปล่านะ!” ฟู่ถิงจวินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ไม่มีเรื่องใด ย่อมพูดคุยกันน้อยเป็นธรรมดา”

อาเซินไม่เชื่อเลยสักนิด!

เขาเบ้ปากแล้วตั้งท่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากในป่าบนเนินเขา

ทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ มีกันเจ็ดแปดคน แต่ละคนผอมแห้งดั่งท่อนฟืน ใบหน้าซูบซีด ดวงตาลึกโหลขุ่นขวาง ในมือพวกเขาถือจอบบ้างท่อนไม้บ้าง พอเห็นอาเซินกับฟู่ถิงจวิน สายตาก็ลุกวาวละม้ายสุนัขบ้าที่หิวโหยมาหลายวันแล้วมองเห็นของกิน

หญิงสาวขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

อาเซินรีบดึงพลองเสมอคิ้วออกมาจากรถเข็นไม้ สาวเท้าขึ้นหน้าหลายก้าวแล้วเอ่ย “พวกเจ้าเป็นใคร” เขาเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าหญิงสาว

นางจะหลบอยู่ข้างหลังเด็กน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร

“อาเซิน…” ฟู่ถิงจวินเข้าไปดึงอาเซิน แต่คนกลุ่มนั้นกรูกันเข้ามาแล้ว

“ท่านรีบหลบออกไปเร็วเข้า!” อาเซินตะโกนขึ้น เขาสะบัดมือฟู่ถิงจวินออก จากนั้นกวัดแกว่งพลองพุ่งทะยานเข้าไปฟาดใส่ซอกคอคนที่นำอยู่ข้างหน้า

คนคนนั้นไม่ทันตั้งตัว ร่างทรุดฮวบล้มลงไปกองกับพื้น

คนที่ตามมาด้านหลังชะงักฝีเท้าหยุดอยู่กับที่ แลมองอาเซินอย่างตะลึงลาน

อาเซินไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหวี่ยงพลองหวดไปอีก ตีถูกศีรษะคนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด

คนคนนั้นกุมหัวร้องครางโอดโอย มีโลหิตไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว

คนอื่นๆ คล้ายสะดุ้งตื่นจากภวังค์ฝัน แผดเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมถลันเข้าใส่อาเซิน

อาเซินพุ่งเข้าไปปะทะอย่างไม่ครั่นคร้ามใดๆ

แม้ว่าพวกนั้นมีคนมากกว่าและเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ตัวโตสูงใหญ่กว่า กลับรู้จักแต่รุมกันเข้าไปใช้จอบบ้างท่อนไม้บ้างหวดตีใส่ร่างอาเซิน ไม่เพียงสะเปะสะปะไร้ระเบียบ ยังเคลื่อนไหวได้เชื่องช้ามาก ราวกับหิวจนหมดเรี่ยวหมดแรง ในทางกลับกันอาเซินซึ่งมีพลองเสมอคิ้วในมือ จะหวดฟาดกวาดแทงล้วนเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา กระบวนท่าโจมตีพลิกแพลงพิสดาร อีกทั้งอาศัยความเป็นคนร่างเล็กวิ่งมุดลอดไปมา ล่อหลอกจนคนกลุ่มนั้นหัวหมุน ไม่อาจเข้าประชิดตัวเด็กน้อยได้เลย

อาเซินฉลาดจริงๆ

ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจโล่งอก

ถึงกระนั้นก็ตาม สองมือยากจะต่อกรสี่มือ เหนืออื่นใดอาเซินเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

นางวิ่งไปหาท่านเก้าสุดฝีเท้าพร้อมกับร้องตะโกน “ช่วยด้วย!”

คนสองคนที่เดินวนเวียนอยู่รอบนอกวงต่อสู้โดยตลอดส่งสายตาให้กัน ก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปหาฟู่ถิงจวิน

นางมองหาของที่สามารถป้องกันตัวได้สักอย่างในรถเข็นไม้อย่างลนลาน แต่นอกจากเสื่อฟางเสื่อกก ตะเกียบกับชามแล้วก็คือหมั่นโถวกับถุงหนัง

นางร้อนใจจนหลั่งเหงื่อท่วมศีรษะ

สองคนนั้นวิ่งมาถึงตรงหน้านางแล้ว

“พวกเจ้าจะทำอะไร!” นางร้องตวาดแล้วหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่งของรถเข็นไม้ “นายท่านของพวกข้ากำลังจะกลับมาแล้ว ระวังชีวิตของพวกเจ้าไว้ให้ดี!”

พวกเขาทำสีหน้าเหี้ยมเกรียม หนึ่งในนั้นมีเรือนกายสูงปานกลาง สวมเสื้อคลุมนักพรตทำจากผ้าไหมสีเขียวหัวเป็ด ทว่าชายแขนเสื้อมีคราบเลือดแห้งกรังปื้นหนึ่ง ยามเขามองเห็นฟู่ถิงจวิน ดวงตามีแววตะลึงในความงามวาบผ่านไป จากนั้นใบหน้าเผยรอยยินดีปรากฏขึ้น “พี่ใหญ่ หญิงนางนี้โฉมงามเหลือหลาย อย่างน้อยก็ต้องขายได้สักห้าสิบตำลึงเงิน…”

ฟู่ถิงจวินตกใจจนหน้าซีดเผือด ตะลีตะลานคว้าของชิ้นหนึ่งมาได้ก็ถือกุมไว้กับอก

อีกคนหนึ่งตัวเตี้ยม่อต้อ หน้ายาวเหมือนม้า ตอนที่มองเห็นฟู่ถิงจวิน นัยน์ตารูปสามเหลี่ยมของเขาทอประกายละโมบออกมา แต่แล้วสายตาคู่นั้นเลื่อนไปหยุดอยู่ที่รถเข็นไม้อย่างว่องไว เขากล่าวขึ้น “ตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมัวคิดแต่เรื่องเพ้อเจ้อไม่เป็นสาระพวกนี้ ต่อให้หญิงนางนี้ขายได้ห้าสิบตำลึงเงิน พวกเราก็ต้องมีโชคมากพอจะพานางไปถึงหอชุนสี่ได้ มีชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่า! ช่วยข้าเข็นรถเข็นคันนี้ไปเร็วเข้า!” เขากล่าวพลางวิ่งไปฉวยด้ามจับรถเข็นไม้ไว้ รำพึงขึ้น “พอเห็นผู้หญิงก็รู้ว่าบนรถเข็นคันนี้ต้องมีของกิน ถ้าโชคดีไม่แน่ว่ายังมีของมีค่าอีกด้วย…”

ฟู่ถิงจวินคิดตามทันในที่สุด

เมื่อเทียบกับอาหารที่ประทังชีพได้แล้ว ตัวนางซึ่งขายได้ห้าสิบตำลึงเงินก็ไม่สำคัญปานนั้นอีก

ถ้าปล่อยให้พวกเขาแย่งชิงรถเข็นไม้ไป เห็นทีว่าพวกนางก็ไม่รอดชีวิตเช่นกัน

นางร้องโวยวายขึ้น “พวกเจ้าแย่งชิงอาหารของพวกข้าไปไม่ได้นะ พวกเจ้าเอาไปแล้ว พวกข้าจะกินอะไร”

พอพวกที่กำลังกลุ้มรุมอาเซินอยู่ได้ยิน ก็เลิกสนใจอาเซินแล้ววิ่งมาทางนี้ทันใด

ฟู่ถิงจวินรีบวิ่งไปหาท่านเก้า นางวิ่งไปตะโกนเรียกไป “ท่านเก้า ช่วยด้วย”

เสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ

เงาร่างของท่านเก้าปรากฏขึ้นบนคันนาแตกระแหง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกลำคอตีบตัน สายตาพร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา

นางเห็นเพียงท่านเก้าเคลื่อนกายฉับไวดุจสายฟ้าแลบ กระโจนตัวไม่กี่ทีมาถึงตรงหน้านาง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปรี่เข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่ นางได้ยินเสียงกร๊อบคล้ายเสียงกระดูกหัก พอหันหน้าไปก็มองเห็นคนที่หน้ายาวเหมือนม้านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

นางรีบถอยออกไปด้านข้าง

ท่านเก้าจับตัวเจ้าคนในเสื้อคลุมนักพรตสีเขียวทุ่มใส่คนที่มาปล้นชิงกลุ่มนั้น

เสียงโครมดังขึ้นพร้อมคนห้าหกคนล้มลงกับพื้นในเวลาเดียวกัน

“ท่านเก้า!” อาเซินมีกำลังใจขึ้นมาทันควัน ผละจากคนที่รุมโจมตีเขา วิ่งเข้าไปตวัดพลองตีหัวพวกที่นอนอยู่บนพื้นคนละหนึ่งที

ท่านเก้าชกพวกที่ไล่ตามอาเซินมาคนละหมัดจนล้มไปกองกับพื้น

“ท่านเก้า!” อาเซินเรียกเสียงเครือและวิ่งเข้าไปหา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านเก้าเหลือบดูคนบนพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะมองฟู่ถิงจวินพลางกล่าว

นางรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดรอบหนึ่ง

“ที่แห่งนี้รั้งอยู่นานมิได้!” ท่านเก้าเอ่ยทันที “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

ฟู่ถิงจวินกับอาเซินได้ยินแล้วพากันตื่นตระหนก รีบเร่งเก็บข้าวของที่ถูกคนกลุ่มนั้นรื้อกระจุยกระจายมาวางบนรถเข็นไม้จนมือเป็นระวิง จากนั้นสาวเท้าเร็วรี่ออกจากที่นั่นไปกับท่านเก้า

เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้แทรกขึ้นกลางคัน ท่านเก้าจึงไม่กล้าทิ้งอาเซินให้อยู่เฝ้าฟู่ถิงจวินตามลำพังอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่อาจไปสำรวจเส้นทางคนเดียว ครั้นจะพาทั้งสองคนไปด้วยก็ไม่สะดวกนัก จึงจำต้องเปลี่ยนเส้นทาง พยายามเลียบเลาะไปตามถนนหลวงเท่าที่จะทำได้

หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ฟู่ถิงจวินได้รับรู้แล้วว่าอันใดคือดินแดนรกร้างพันลี้ เช่นนั้น ณ ขณะนี้นางก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าอันใดคือซากศพเกลื่อนกลาด

“อย่าดู!” ท่านเก้าเอาตัวบังอยู่ข้างหน้านาง “ท่านมีผ้าเช็ดหน้าติดตัวมิใช่หรือ เอาผูกปิดหน้าไว้ กลิ่นศพฟุ้งตลบ ต้องระวังโรคระบาด”

“อื้ม” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบเบาๆ คำหนึ่ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วผูกผ้าปิดหน้า

อากาศร้อนระอุ เป็นเหตุให้มีเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ไม่มีที่ให้ชำระกาย ผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อเหม็นอับ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับว่าอาจติดโรคระบาดได้ ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง

นางเบนสายตาไปที่ข้างทางอีกคราหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่

ใต้แสงตะวันแรงกล้ายามเที่ยงตรง ต้นไม้ใหญ่ที่ปราศจากเปลือกหุ้มพากันเฉาตายไปนานแล้ว กิ่งก้านสีน้ำตาลแห้งโกร๋นเหยียดขึ้นสู่ฟ้าประหนึ่งวิงวอนขอความช่วยเหลือ ใต้ต้นไม้มีศพคนตายแห้งกรังเจ็ดแปดศพนอนระเกะระกะอยู่ ศพที่สูงวัยดูแล้วมีอายุราวสี่สิบห้าสี่สิบหก ดวงตาลึกโบ๋เบิกโพลง สีหน้าแฝงรอยไม่เต็มใจยอมรับ ส่วนศพที่อ่อนวัยยังถูกมารดาอุ้มไว้กับอก ร่างกายเปลือยเปล่า เห็นซี่โครงเรียงกันเป็นแถว แขนขาเล็กลีบเหมือนแท่งไม้ ศีรษะที่โตเกินตัวห้อยพับลงจากวงแขนมารดาซึ่งไม่รู้ถูกผู้ใดเปลื้องอาภรณ์ออกไป เผยให้เห็นร่างที่สวมแค่เสื้อเอี๊ยมตัวหนึ่ง…หมดสิ้นแล้วซึ่งเกียรติใดๆ

ฟู่ถิงจวินหนาวเยือกจับใจระลอกหนึ่ง นางก้มหน้าก้มตาควานหาเสื่อฟางได้ผืนหนึ่งยื่นส่งให้อาเซินโดยไม่นำพาว่าเป็นของใคร “ช่วยคลุมตัวให้ท่านน้าผู้นั้นเถอะ”

อาเซินรับมาไว้ในมือแต่ไม่ขยับ “แม่นางฟู่ พวกเราคลุมตัวให้นางแล้ว พอคล้อยหลังไปไม่ทันไรก็มีคนมาขโมยไปอีก…”

“บอกให้เจ้าไป เจ้าก็ไปสิ” ผู้เอ่ยปากคือท่านเก้า “พูดมากทำไม!”

อาเซินวิ่งไปทันที

ท่านเก้าถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “ไปเถอะ!”

ฟู่ถิงจวินพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา นางนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก

 

ตกดึก นางนอนไม่หลับ

พอหลับตาลง ภาพสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมอง

ผ่านไปแค่สองสามวัน หญิงสาวซูบผอมลงไปมาก

ท่านเก้าชำเลืองมองนางแวบหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “อย่างมากอีกสามวันก็จะถึงเว่ยหนานแล้ว”

ฟู่ถิงจวินฟังแล้วนึกยินดีในใจ นางคิดไปถึงเรือนของท่านน้าซึ่งมีห้องใหญ่กว้างขวางที่อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน น้ำสะอาดชำระกายหยดเครื่องหอมกลิ่นกุหลาบ และเสื้อผ้าอาภรณ์อบร่ำด้วยดอกไป๋เหอ* แล้ว พาให้จิตใจกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย

 

หลังจากเดินทางไปเช่นนี้อีกสามวัน ฟู่ถิงจวินไม่เห็นแม้แต่เงาของกำแพงเมืองเว่ยหนาน ถึงได้แจ่มแจ้งในบัดดล “ที่แท้ก็มองบ๊วยดับกระหาย** นั่นเอง!”

ท่านเก้าแย้มยิ้ม

รอยยิ้มทำให้วงหน้าเขาอ่อนละมุนลง แลดูเป็นมิตรเพิ่มขึ้นบ้าง

“เช่นนั้นยังต้องเดินทางอีกกี่วันกันแน่จึงจะถึงเว่ยหนาน” ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วชักใจกล้าขึ้น อดกล่าววาจาแบบโผงผางบ้างมิได้

“อีกสามวัน” ท่านเก้าพูด

“วันพรุ่งนี้ยังมีพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ!” ฟู่ถิงจวินยังมีอารมณ์ขันในยามลำบาก นางแสร้งถอนใจอย่างจนปัญญา พูดสัพยอกเขา

ท่านเก้าหัวร่อสุดเสียง ดวงตาทอประกายวาววับจับตาดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า บันดาลให้สีหน้าเขาแช่มชื่นผ่องใสขึ้น

ฟู่ถิงจวินอึ้งไป

ปกติท่านเก้ามักทำหน้าเคร่งขรึมถมึงทึง คิดไม่ถึงว่ายามเขายิ้มจะชวนมองอย่างนี้

“คราวนี้อีกสามวันก็ถึงแล้วจริงๆ!” ท่านเก้าพูด แววยิ้มในดวงตายังหลงเหลืออยู่รางๆ ละม้ายพรายน้ำระยิบระยับใต้แสงสนธยา ดูละลานตาน่าหลงใหลอยู่หลายส่วน จิตใจที่ตึงเครียดมาหลายวันนี้ของนางผ่อนคลายลงฉับพลัน

เพียงแต่พวกเขายิ่งมุ่งหน้าไป ยิ่งพบเจอผู้ประสบภัยมากขึ้น

ภาพชายหนุ่มยังเข็นรถเข็นไม้ไหว พร้อมกับเด็กชายยังเดินเหินไปมาได้ และหญิงสาวยังนั่งหลังตรงได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีน้ำดื่มมีข้าวกินอิ่ม ด้วยเหตุฉะนี้ทำให้ท่านเก้า อาเซิน และฟู่ถิงจวินเด่นสะดุดตาท่ามกลางกลุ่มผู้ประสบภัยหน้าเหลืองซูบซีด มีคนมองพวกเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ริษยา ถึงขั้นละโมบเป็นระยะ ประหนึ่งว่าพวกเขาซุกซ่อนสมบัติมีค่าควรเมืองสักอย่างที่ใครๆ จับจ้องตาเป็นมัน ฟู่ถิงจวินกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขคล้ายนั่งอยู่บนกองไฟ รู้สึกอยู่ไม่วายว่าจะมีเรื่องอันตรายอะไรบังเกิดขึ้น

ตอนเที่ยงวันหนึ่ง ขณะพวกเขาหยุดพักข้างทางก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ

เริ่มแรกมีชายฉกรรจ์สี่ห้าคนพุ่งเข้ามาที่รถเข็นไม้จากรอบทิศพร้อมๆ กัน จากนั้นมีชายฉกรรจ์อีกเจ็ดแปดคนตามมาด้านหลังติดๆ ท่านเก้าออกกระบวนท่าพลองเสมอคิ้วอย่างแข็งแกร่งทรงพลัง คนพวกนั้นกลับดาหน้ากันเข้ามาไม่หยุดราวกับไม่รักชีวิต พอคนหน้าถูกหวดล้มลงไปก็มีคนถลันเข้ามาอีก จนกระทั่งตีวงล้อมพวกเขาไว้

มีบุรุษมากมายจ้องมองพวกนางด้วยสายตาดุร้ายละม้ายหมาป่าหิวโหยที่มองเห็นอาหาร ส่งผลให้ฟู่ถิงจวินขาสั่นไม่หยุด

ท่านเก้าแค่นเยาะเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าคอยคุ้มครองแม่นางไว้ พวกเราจะตรงไปทางทิศเหนือกัน”

ทิศเหนือเป็นทิศทางไปยังเว่ยหนาน

อาเซินขานรับ ถือพลองเสมอคิ้วไว้ตรงระดับอก

ฟู่ถิงจวินรีบเข็นรถเข็นไม้ไป

ทั้งสามมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ อาเซินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านเก้าอยู่รั้งท้าย

คนพวกนั้นรู้ถึงความร้ายกาจของท่านเก้า จึงมุ่งจู่โจมแต่อาเซินกับฟู่ถิงจวิน

ท่านเก้าคล้ายมีดวงตาอยู่ข้างหลัง คนใดเข้ามาใกล้ก็ฟาดพลองใส่ คนผู้นั้นก็ล้มทรุดลงกับพื้นแน่นิ่งไปทันใด

หลายรอบผ่านไป คนพวกนั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เต็มใจเลิกรา เพียงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลางและเดินคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ไปทางทิศเหนืออยู่นานเกินครึ่งชั่วยาม จนมีคนเริ่มหมดความอดทน ถลันเข้ามาด้วยท่าทางดุดันก้าวร้าวอีกครั้ง

สีหน้าท่านเก้าพลันทอแววอำมหิตขึ้น นิ้วมือเขาคีบมีดโค้งบางๆ ขนาดเท่าใบหลิวสองเล่มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดรู้ มันลอยพุ่งออกไปแล้วก็เหินลอยกลับมาดุจลมกรดดั่งฟ้าแลบ

หนึ่งในคนที่พุ่งเข้ามาล้มลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก โลหิตสีแดงฉานไหลออกมาจากลำคอค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดิน ทิ้งคราบสีแดงเข้มเป็นวง

คนพวกนั้นชะงักค้างไปตามๆ กัน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จึงมีคนตั้งสติได้ ร้องตะโกนขึ้นระลอกหนึ่ง “ฆ่าคนตายแล้ว! เขาฆ่าคนตายแล้ว” พร้อมกับถอยหลังกรูด แต่มีคนยังไม่ละความพยายาม ยืนอยู่ที่เดิมมองหน้ากันไปมา

ความกระสับกระส่ายงุ่นง่านเริ่มแผ่กระจายไปในบรรยากาศรอบด้าน

แววตาของท่านเก้าเย็นเยียบยิ่งขึ้น มีดใบหลิวซัดพุ่งออกจากมือเขาเป็นคำรบที่สอง มีคนล้มลงไปอีกสองคน

คนพวกนั้นถึงเริ่มหวาดกลัว พากันแตกฮือไปคนละทิศละทางดุจฝูงนกกาตื่นตกใจ

หลังจากนั้นท่านเก้าซึ่งเข็นรถให้ฟู่ถิงจวินนั่งกับอาเซินพากันออกเดินทางต่อไปโดยไม่หยุดฝีเท้า

ระหว่างทางเผชิญกับการปล้นชิงอีกสองครั้ง

ครั้งแรกมีเจ็ดแปดคน ท่านเก้าจัดการด้วยมีดใบหลิวโดยไม่รอช้า

ครั้งที่สองมีคนเดียว เขาวิ่งโซๆ เซๆ ตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเขา ทว่าพลองเสมอคิ้วของอาเซินยังไม่ทันเงื้อขึ้น เขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

ฟู่ถิงจวินปิดตาไว้

พวกเขาเลือกเดินทางไปตามทางสายเล็กด้วยความรีบร้อนตลอดคืน พอย่ำรุ่งถึงหยุดพักข้างทาง

ฟู่ถิงจวินดื่มน้ำอย่างเซื่องซึม ท่ามกลางแสงอรุณรุ่ง จู่ๆ นางพบว่าต้นไม้ข้างทางต่างจากเดิมไปเล็กน้อย

“ท่านเก้าๆ ดูนี่สิ!” ฟู่ถิงจวินชี้ไปที่ต้นไม้ริมทางอย่างตื่นเต้นยินดี “มีใบไม้สีเขียว!”

ท่านเก้ากับอาเซินต่างเงยหน้าขึ้น

บนต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินมีใบไม้สีเขียวสองใบผลิออกมาบนกิ่ง

อาเซินวิ่งเข้าไปจับใบไม้ “ท่านเก้า ดูสิขอรับ!”

ท่านเก้าทำหน้าเครียด ลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วเหลียวมองไปรอบๆ

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วใจกระตุกวูบหนึ่ง “ท่านเก้า ไม่ดีหรือ?”

“แสดงว่าสถานการณ์ของภัยแล้งที่นี่บรรเทาลงบ้างแล้ว” สีหน้าของเขานิ่งขรึม “ไม่แน่ว่าในเมืองเว่ยหนานยังมีน้ำดื่มได้เป็นปกติ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ดูทีว่าในเมืองนั่นมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก พวกเราจะเข้าเมืองย่อมลำบากมากขึ้นด้วย”

“เหตุอันใดพวกเราต้องเข้าเมืองด้วยเล่า” ฟู่ถิงจวินกล่าวยิ้มๆ “พวกเราจะไปอำเภอเฟิงหยวน มิใช่ต้องการไปเมืองเว่ยหนานสักหน่อย พวกเราตรงไปที่นั่นผ่านทางหุบเขาสกุลหลี่ได้เลย!”

ท่านเก้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงบอกให้นางพูดให้กระจ่างขึ้น

“เมื่อก่อนตอนข้ามาเยี่ยมท่านน้า บางคราวท่านแม่เห็นว่าของขวัญที่เตรียมไว้ด้อยค่าเกินไปไม่อยากให้พวกท่านป้าท่านอาสะใภ้ซุบซิบนินทา ถึงได้เดินทางจากหวาอินตรงไปที่เว่ยหนาน รอเมื่อตระเตรียมของขวัญที่จะมอบให้ท่านน้าครบถ้วนแล้วค่อยไปที่เฟิงหยวนอีกที แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญล้ำค่าอะไรก็จะบ่ายหน้าลงใต้ไปตามถนนหลวง จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางเข้าสู่หุบเขาสกุลหลี่ตรงไปที่เฟิงหยวนเลย เช่นนี้ประหยัดเวลาไปได้หนึ่งวัน”

ท่านเก้าฟังแล้วตาเป็นประกายขึ้นน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าชอบใจกับข่าวนี้มาก

ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “แต่ข้าจำทางไม่ได้ รู้เพียงว่าสามารถไปแบบเช่นนี้ได้”

ท่านเก้ามองนางด้วยสีหน้าชอบกลๆ ดูเหมือนอยากหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวนึกอายจนวางหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง “ข้ามิใช่สารถีนี่นา ไหนเลยจะจดจำเรื่องพวกนี้ได้…” สีหน้านางไม่พึงใจ

“หาคนถามไถ่ดูก็หมดเรื่อง!” ท่านเก้าเอ่ยอย่างว่องไว จากนั้นสั่งกำชับอาเซินให้คุ้มครองฟู่ถิงจวินอย่างระมัดระวัง ส่วนตัวเขาเข้าไปที่ถนนหลวงเอง

ไม่ถึงชั่วครู่ ท่านเก้ากลับมาแล้ว

“ปากทางเข้าหุบเขาสกุลหลี่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากนี่” เขาเอ่ยเร่งให้ฟู่ถิงจวินกับอาเซินรีบๆ กินอาหารให้เสร็จ

“ไม่พักสักครู่หรือ” นางมองท่านเก้าอย่างตกใจ

เขาเข็นรถให้นางนั่งมาทั้งคืน

“เร่งรุดไปให้ถึงเฟิงหยวนโดยเร็วจะดีกว่า” ท่านเก้ากล่าว “ถนนสายนี้อันตรายเกินไป”

ฟู่ถิงจวินคิดถึงเรื่องที่ถูกล้อมปล้นแล้วปลายนิ้วมือเย็นเยียบ นางรีบกินหมั่นโถวกับดื่มน้ำนิดหน่อยแล้วออกเดินทางไปพร้อมท่านเก้า

 

หุบเขาสกุลหลี่เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในหุบลึกกลางเนินเขา ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นชาวสกุลหลี่จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านนี้

ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาพบเจอผู้คนไม่กี่คน ครั้นมาถึงหุบเขาสกุลหลี่ เห็นตรงปากทางเข้าหมู่บ้านสร้างแผงรั้วกั้นจากไม้ท่อนกลมสูงขนาดคนสองคนยืนต่อตัวกัน มีชาวบ้านร่างสูงใหญ่ล่ำสันหลายคนถือดาบใหญ่อยู่ในมือยืนเฝ้ายามอยู่หน้ารั้ว ท่าทางแข็งกร้าวเหี้ยมหาญอย่างมาก เหนือราวรั้วยังแขวนศีรษะคนไว้สิบกว่าหัว โลหิตที่ไหลย้อยลงมาแห้งกรังกลายเป็นสีแดงคล้ำติดอยู่บนนั้น

ที่นี่คล้ายหมู่บ้านเสียที่ไหน เป็นอาณาจักรอิสระกลางหุบเขาชัดๆ

ฟู่ถิงจวินหันไปมองท่านเก้าอย่างตื่นตะลึง

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ สีหน้าขรึมลง “ดูท่าทางหุบเขาสกุลหลี่มีน้ำมีธัญพืช”

หาไม่แล้วคงไม่ปิดทางเข้าออกหมู่บ้านเพื่อป้องกันตนเอง

ดีที่พวกเขาแค่จะเดินทางผ่านด้านหน้าหมู่บ้านไปเท่านั้น

ฟู่ถิงจวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

พอคนที่อยู่แถวๆ รั้วไม้แลเห็นพวกเขา ต่างกรูกันมาตรงข้างหน้ารั้วพร้อมดาบใหญ่ในมือ จับจ้องพวกเขาตาเขม็ง

ใบหน้าท่านเก้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ขณะเข็นรถพาฟู่ถิงจวินเดินไปไกลมากแล้ว แต่นางยังรับรู้ได้ถึงสายตาดุจคมดาบซึ่งเพ่งมองตามหลังมาของคนพวกนั้น

เบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มสองคนเดินสวนผ่านมา

พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมแบบเรียบง่าย คนหนึ่งเป็นสีฟ้าหม่น คนหนึ่งเป็นสีม่วงดอกบัว สองมือว่างเปล่า สีหน้าซีดขาว ท่าทางลุกลี้ลุกลน ไม่เหมือนคนที่หนีภัยมา

ท่านเก้าอดหันไปพินิจดูมิได้

เห็นเด็กหนุ่มสองคนนั้นสาวเท้าฉับๆ ตรงไปที่รั้วไม้ด้านหน้าหมู่บ้านหุบเขาสกุลหลี่ กล่าวเสียงดัง “พวกเราเป็นคนของเรือนท่านย่าสิบเอ็ดที่เฟิงหยวน ตอนนี้ที่นั่นถูกคนเร่ร่อนบุกเข้าปล้นสะดมเข่นฆ่า เหลือเพียงพวกข้าสิบกว่าคนที่หนีรอดมาได้ ได้โปรดช่วยเรียนท่านประมุขสกุลหลี่ด้วยว่าท่านย่าของพวกข้าแก่ชรามากแล้ว ท่านแม่กับพวกสตรีในเรือนกำลังพยุงท่านตามมาด้านหลัง ขอให้ท่านประมุขส่งคนไปรับด้วย…”

ในหัวของฟู่ถิงจวินอึงอลว่างเปล่า

เฟิงหยวนถูกคนเร่ร่อนบุกเข้าปล้นสะดมเข่นฆ่า!

นางกระโดดลงจากรถเข็น วิ่งลิ่วๆ ไปหาเด็กหนุ่มสองคนนั้น กลับมีคนชิงไปถึงตรงหน้าพวกเขาก่อนหน้านาง

“คุณชายทั้งสอง!” ท่านเก้าทำหน้าเสียเล็กน้อย “ข้าเป็นญาติของสกุลเซี่ยในเฟิงหยวน บ้านเกิดข้ามีภัยแล้ง ตั้งใจจะไปพึ่งพาอาศัย…”

เขายังเอ่ยไม่ทันจบ เด็กหนุ่มในเสื้อคลุมยาวสีฟ้าหม่นอุทานขึ้น “อะไรนะ! ท่านเป็นญาติกับท่านซิ่วไฉสกุลเซี่ยเองรึ…สกุลเซี่ยถูกคนเร่ร่อนฆ่าล้างเรือนจนไม่หลงเหลือแล้ว”

 

ปีนี้เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ อำเภอโดยรอบเมืองซีอานทั้งหลินถง เว่ยหนาน หลันเถียน ฮู่เซี่ยน เสียนหยาง จิงหยาง และเกาหลิงล้วนประสบทุพภิกขภัยรุนแรงมากน้อยไม่เท่ากันอย่างถ้วนหน้า แต่เมื่อเทียบกับอำเภอที่ขึ้นอยู่กับเมืองชิ่งอันกับก่งชางแล้ว ยังนับว่าสถานการณ์ดีกว่าบ้าง อีกทั้งหลินถงมีบ่อเกลือ ส่วนเว่ยหนานเป็นทางผ่านสู่เมืองหลวงเพียงสายเดียวจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ฉะนั้นสองอำเภอนี้มีการทำการค้าสืบทอดต่อๆ กันมา มาตรว่าปีนี้จะมีภัยพิบัติ แต่สำหรับตระกูลใหญ่ๆ ในสองอำเภอนี้ ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายดุจเดิม

ยามนั้นตระกูลที่ซื่อสัตย์สุจริตจะยึดถือคติที่ว่า ’ทำไร่ไถนา เล่าเรียนศึกษา เป็นมรดกตกทอดชั่วลูกชั่วหลาน‘ ไม่เว้นแม้แต่ท่านน้าของฟู่ถิงจวิน เมื่อเขาค้าขายมีกำไรก็คิดหาหนทางซื้อที่นาปลูกเรือน ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนาน ยังเป็นเจ้าของที่นามากที่สุดของเฟิงหยวนอีกด้วย

เห็นชาวบ้านหนีภัยมาไม่ขาดสาย ท่านน้าของฟู่ถิงจวินกับตระกูลเศรษฐีหลายๆ เรือนจุนเจืออาหารและเงินทองให้ทางที่ว่าการ ยังตั้งเพิงข้าวต้ม จัดที่พักพิงให้แก่ผู้ประสบภัยในเฟิงหยวนซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน

แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะกตัญญูรู้คุณ

โดยเฉพาะคนที่หิวโหยมาเนิ่นนานจนสองตามองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากอาหารที่ทำให้รอดชีวิตต่อไปได้

การให้ความเมตตาเช่นนี้กลับกลายเป็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่จ่อลำคอทุกคนในสกุลเซี่ย คนเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งฉวยจังหวะในยามวิกาลบุกเข้าไปในเรือนสกุลเซี่ย เห็นคนก็สังหาร เห็นของก็แย่งชิง สุดท้ายยังวางเพลิงเผาเรือน…เปลวไฟโหมแรงสาดแสงสีแดงอาบย้อมไปครึ่งแผ่นฟ้า!

ดวงตาของฟู่ถิงจวินแดงเรื่อ ฝ่ามือเนียนนุ่มกำแน่นเป็นหมัดทั้งสองข้าง นางถลึงตามองเด็กหนุ่มคนนั้นพลางถามซักไซ้ “เช่นนั้นท่านน้าข้า…”

นางยังพูดไม่จบก็ถูกท่านเก้าดึงตัวไปอยู่ด้านหลังเขา “คุณชายท่านนี้ แล้วนายท่านเซี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”

พระเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเมื่อสองราตรีก่อนคลับคล้ายยังประทับอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างชัดเจน คนหนึ่งมีน้ำตารื้นขึ้นขณะนิ่งฟังอยู่ด้านข้าง อีกคนหนึ่งเล่าต้นสายปลายเหตุด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทว่าพวกเขาต่างมิได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของฟู่ถิงจวิน

“คฤหาสน์สกุลเซี่ยถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน” เด็กหนุ่มมีน้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขายกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าราวกับทนคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นอีกไม่ไหว “สกุลเซี่ยอาศัยอยู่ในเฟิงหยวนมาหลายชั่วอายุคน นับแต่รุ่นนายท่านผู้เฒ่าเป็นต้นมาก็สร้างสะพานซ่อมถนน ทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเกิด ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องพบกับจุดจบเยี่ยงนี้…”

ทั้งด้านในด้านนอกของรั้วไม้ตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงร่ำไห้ของฟู่ถิงจวินดังขึ้นเรื่อยๆ

อาเซินทำตาแดงๆ วิ่งเข้าไปดึงแขนเสื้อนาง “แม่นางๆ อย่าร้องไห้เลย…” เขาอยากจะปลอบใจนางสักสองสามคำ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองไปทางท่านเก้าตาปริบๆ

สีหน้าของท่านเก้าบูดบึ้งยิ่งขึ้นทุกที เขายืนยกมือเท้าเอวอยู่ที่เดิม ท่าทางคล้ายมีไฟโทสะสุมแน่นอก แต่ข่มใจไว้ไม่แสดงออกมา

อาเซินยิ่งไม่รู้ว่าควรทำประการใดดี

ด้านในของรั้วไม้มีเสียงดังขึ้นระลอกหนึ่ง บุรุษร่างสันทัดวัยราวสามสิบปลายผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมสีน้ำเงินสดแบบเรียบง่าย สาวเท้าเดินมาโดยมีชายหนุ่มเจ็ดแปดคนล้อมหน้าล้อมหลัง

“เกิดเรื่องใดขึ้น!” เขาตวาดขึ้น สุ้มเสียงเข้มงวดหนักแน่นทรงพลังระคนความน่ายำเกรง

คนที่เฝ้ายามอยู่หน้ารั้วไม้พากันค้อมกายคำนับ ส่งเสียงเรียกอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านเจ็ด” จากนั้นถอยไปด้านข้างเปิดทางให้

เด็กหนุ่มสองคนตะโกนเรียกจากอีกฟากหนึ่งของรั้วไม้ “ท่านตาเจ็ด”

บุรุษผู้ถูกเรียกขานว่า “ท่านเจ็ด” เดินมาตรงหน้ารั้วแล้วเพ่งสายตามองไป สีหน้าเผยรอยยินดีออกมาทันใด “อาเป่า อาชื่อ พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน” ต่อจากนั้นเขาฉุกคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าขรึมลง “พี่สิบเอ็ดเล่า? ในเรือนยังมีใครหนีออกมาได้บ้าง” สายตาเขาเลื่อนไปที่ฟู่ถิงจวินซึ่งร้องไห้อยู่ด้านข้าง บุ้ยใบ้บอกให้คนเฝ้ายามพวกนั้นเปิดรั้วไม้ออก

เด็กหนุ่มทั้งสองค้อมกายคำนับท่านเจ็ดอยู่นอกรั้ว หนึ่งในนั้นพูดเล่าเหตุการณ์ในเรือน “…คนเร่ร่อนพวกนี้ดุร้ายโหดเหี้ยม กระทั่งสกุลเซี่ยยังพลอยประสบเคราะห์ภัยไปด้วยอย่างคาดไม่ถึง ท่านย่ากลัวว่าคนเร่ร่อนพวกนั้นจะบุกเข้ามาในเรือน นำพาพวกข้ามาพึ่งพาอาศัยท่านตาเจ็ดในราตรีนั้นเลย…”

ขณะที่สนทนากันอยู่ ชายฉกรรจ์สองคนช่วยกันออกแรงผลักรั้วไม้เปิดออกแล้ว

ท่านเจ็ดย่างเท้าออกมา พลางพูดสั่งตาเฒ่าไว้เคราแพะยาวคนหนึ่งด้านข้างให้จัดเตรียมรถม้าไปรับคน

เขาตบบ่าเด็กหนุ่มทั้งสองเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ “ไม่พบหน้ากันหลายปี อาเป่ากับอาชื่อล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แบ่งเบาภาระให้ตระกูลได้แล้ว”

เด็กหนุ่มทั้งสองค้อมกายคำนับอย่างเก้อเขิน คนที่สวมชุดสีฟ้าหม่นกล่าวขึ้น “ข้าจะไปพร้อมกับผู้ดูแลเฉิงนะขอรับ จะได้ช่วยนำทาง”

ท่านเจ็ดพยักหน้ายิ้มๆ ดวงตาฉายแววพึงพอใจชัดเจนยิ่งขึ้น

คนที่สวมชุดสีม่วงดอกบัวเห็นเช่นนั้นแล้วพูดตาม “ข้าจะไปด้วยขอรับ”

“ก็ดี!” ท่านเจ็ดหยักยิ้ม สายตาหยุดอยู่ที่พวกฟู่ถิงจวินอีกครา เขาเอ่ยอย่างลังเล “พวกท่านคือ…”

คนที่สวมชุดสีฟ้าหม่นรีบบอก “เพิ่งพบกันเมื่อครู่นี้ขอรับ บอกว่าเป็นญาติของนายท่านเซี่ย ที่บ้านเกิดของพวกเขามีภัยแล้ง จึงตั้งใจจะมาพึ่งพาอาศัย”

ท่านเจ็ดมองสำรวจคนทั้งสามด้วยสีหน้านิ่งสนิท กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมหนักแน่น “ข้ากับนายท่านเซี่ยเป็นคนถิ่นเดียวกัน ทั้งทำการค้าด้วยกันบ้าง ไม่ทราบว่าพวกท่านมาจากที่ใด”

สกุลฟู่แห่งหวาอินพอจะมีชื่อเสียงบ้างในแถบใกล้ๆ นี้ไปจนถึงส่านซี มิไยว่าถ้อยคำของท่านเจ็ดเป็นจริงหรือเท็จ ก็จะบอกว่ามาจากหวาอินไม่ได้แน่นอน หาไม่แล้วเขาแค่สืบถามดูเล็กน้อยก็จะความแตก แต่สกุลเซี่ยมีญาติพี่น้องเป็นใครบ้าง ท่านเก้าจะล่วงรู้ได้อย่างไร

ชายหนุ่มมองฟู่ถิงจวินแวบหนึ่ง

นางกำลังขบสันกรามแน่นด้วยความชิงชังและเจ็บปวดใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางยืนพิงกับรถเข็นไม้ น้ำตาไหลพรากลงมาดุจสายฝน กระนั้นจะเศร้าเสียใจสักปานใด ความว่างเปล่าในมุมหนึ่งของจิตใจก็ไม่อาจถมให้เต็มได้

ท่านน้าจากโลกนี้ไปแล้ว ซ้ำยังถูกพวกคนเร่ร่อนซึ่งได้รับความเมตตาจากท่านเผาตาย ไม่เหลือแม้แต่ศพ…

ยังมีท่านน้าสะใภ้ ทุกคราที่นางมาที่เฟิงหยวน ท่านจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างปีติยินดี ร้องสั่งคนครัวให้ทำโน่นทำนี่ไม่หยุด ราวกับว่านางไม่ได้กินอะไรมาตลอดทาง

พี่สะใภ้ใหญ่ผู้อ่อนโยนเป็นศรีภรรยา อบรมเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองได้ดีมาก สามขวบเริ่มเล่าเรียน พอห้าขวบก็ท่อง ’ตำราดรุณ*’ ได้คล่องปากแล้ว ทุกคราที่ท่านน้าเอ่ยถึงล้วนมีสีหน้าภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม บอกว่าสกุลเซี่ยฝากความหวังไว้ที่หลานชายสองคนนี้ ให้สอบขุนนางผ่านเป็นซิวไฉ่และก้าวไปถึงจิ้นซื่อ สร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล

พี่สะใภ้รองร่าเริงสดใส ถูกชะตากับนางมากที่สุด ไม่ว่าจะเก็บข้าวสาลีมาเคี่ยวเป็นน้ำตาลแท่งหรือว่าเก็บลูกท้อมาอบแห้ง แต่ไรมาไม่เคยลืมส่งมาให้นางลองลิ้มชิมรส น่าเสียดายว่าแต่งเข้าสกุลเซี่ยสามปีแล้วไม่มีลูกมาโดยตลอด ท่านน้าสะใภ้ยังตั้งใจไปไหว้พระถึงที่เขาหฺวาซาน จนเพิ่งได้รับข่าวดีเมื่อพักก่อน…

ทว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพลิงไหม้คราเดียวทุกอย่างล้วนสูญสิ้นไปหมด

เพื่อธัญพืช เพื่อให้ตนเองอยู่รอดต่อไป ก็ไปพร่าผลาญชีวิตผู้อื่น…เหตุอันใดคนเหล่านี้เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ไม่รู้จักละอายแก่ใจถึงเพียงนี้

ฟู่ถิงจวินยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจนแขนเสื้อร่นลง เผยให้เห็นหลังมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกงาม

ท่านเก้าลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะค้อมกายคารวะท่านเจ็ด “พวกเรามาจากผิงเหลียง นี่คือคุณหนูของข้า พอบ้านเกิดประสบภัยแล้ง พวกเราคิดจะมาพึ่งพาอาศัยนายท่านเซี่ย ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางพบกับโจรปล้นชิง มีแต่ข้าคุ้มครองคุณหนูหนีมาได้ ส่วนนายท่านเซี่ยกับนายท่านของพวกข้าเป็นญาติกันทางสายใดนั้น ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ก่อนเคยได้ยินนายหญิงของข้าบอกว่าเมื่อครั้งที่นายท่านเซี่ยทำการค้า นายท่านของข้าเคยให้หยิบยืมเงินทองก้อนหนึ่งไปหมุนเวียน แม้ภายหลังจะชดใช้คืนแล้ว แต่ถ้าไม่มีเงินก้อนนั้น การค้าของนายท่านเซี่ยคงไม่ใหญ่โตเช่นทุกวันนี้ได้!”

เรื่องแบบนี้พบได้เสมอสำหรับผู้ทำการค้า ยิ่งกว่านั้นเมื่อแรกที่นายท่านเซี่ยเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว พี่เขยของเขายังไม่ได้เป็นจิ้นซื่อ แม้สกุลฟู่จะมีชื่อเสียง แต่ตระกูลใหญ่พรรค์นั้นยึดถือธรรมเนียมเป็นที่สุด คงไม่เอาเงินกองกลางมาช่วยเหลือญาติพี่น้องของลูกสะใภ้คนหนึ่งเป็นอันขาด ท่านเจ็ดลอบครุ่นคิดในใจอยู่เช่นนี้จึงเชื่อถือคำพูดของท่านเก้าอยู่หลายส่วน ครั้นมองดูฟู่ถิงจวินอีกที เห็นนางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ ในวันที่อากาศร้อนอย่างนี้ ยังนับว่าแต่งกายได้มิดชิดเรียบร้อยดี หลังมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมานวลเนียนผุดผ่อง มิใช่มือของผู้ที่ทำงานหนัก ก็ยิ่งเชื่อถือมากขึ้นอีก

เขากล่าวปลอบใจฟู่ถิงจวิน “แม่นางหักห้ามใจบ้าง!”

นางฝืนสะกดความทุกข์ใจไว้ ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม

ยามยืดตัวตรง นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นใบหน้าขาวกระจ่างและดวงตาที่ร้องไห้จนบวมช้ำ ดูงามสง่าแฝงความอ่อนหวานบอบบางชวนให้สงสารเอ็นดูละม้ายดอกเหมยที่ร่วงหล่นบนผืนหิมะ

ท่านเจ็ดใจกระตุกวูบหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ถึงกับโฉมงามขนาดนี้ น่าเสียดายที่เผชิญกับช่วงเวลาที่บ้านเมืองวุ่นวาย ต้องเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง หากไปจากที่นี่ เกรงว่าคงยากจะหนีพ้นชะตากรรมของหญิงสาวอาภัพที่ต้องร่อนเร่ตกต่ำเกลือกกลั้วโคลนตม!

พอคิดถึงตรงนี้ ท่านเจ็ดพลันบังเกิดความเสียดายดังคำกล่าวว่าวัวเคี้ยวโบตั๋น* ด้วยข้างนอกนั่นมีแต่คนชั้นต่ำที่หิวโหยจนคลุ้มคลั่ง ไหนเลยจะรู้ค่าของคุณหนูตระกูลใหญ่ชั้นนี้!

พอความเศร้าใจพลุ่งขึ้นกลางอกเขาอย่างปราศจากเหตุผล ถ้อยคำนี้ก็หลุดออกจากปาก “หากแม่นางไม่รังเกียจ มิสู้อยู่พำนักในหุบเขาสกุลหลี่เถอะ”

ทุกคนพากันนิ่งขึงไปรวมถึงตัวท่านเจ็ดเอง

ไฉนถึงเอ่ยวาจาอย่างขาดความยั้งคิดเช่นนี้

เขาลอบนึกเสียใจทีหลัง

เขาได้รับมอบหมายจากผู้อาวุโสในตระกูลให้ดูแลสะสางเรื่องต่างๆ ที่นี่ หากเป็นยามปกติ รับคนสองสามคนไว้ไม่นับว่ามีอะไร ตอนนี้เกิดภัยแล้งรุนแรง เห็นชัดว่าปีนี้คงเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวปีหน้าจะเป็นอย่างไร ทุกเหย้าทุกเรือนในหุบเขาสกุลหลี่เอาธัญพืชที่สะสมไว้ทั้งหมดออกมารวมกัน จากนั้นให้เขาเป็นคนแบ่งปันแจกจ่ายตามจำนวนคนมากน้อยในครอบครัว พี่สิบเอ็ดเป็นสตรีในตระกูลเขา เอาเสบียงกองกลางส่วนหนึ่งออกมาเจือจานยังอาจสร้างความไม่พึงพอใจขึ้นมาได้ แม้กระนั้นเมื่อมีความผูกพันทางสายเลือดกันแล้วอย่างไรก็ชอบด้วยเหตุผล แต่สามคนนี้กับหุบเขาสกุลหลี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ถึงเวลานั้นเขาจะตอบคำถามของคนในตระกูลเช่นไรดีเล่า ทว่าเขาเอ่ยปากออกไปแล้ว หากทำไม่ได้ เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร

หรือจะเอาเสบียงอาหารในเรือนตนเองออกมาเจือจานพวกเขา?

เขากลอกสายตามองไปที่ตัวท่านเก้ากับอาเซิน

สำหรับสองคนนี้ยังพอหารือกันได้

คนหนึ่งรูปร่างผ่ายผอม แต่เรือนกายสูงใหญ่ ขอเพียงกินดื่มเต็มอิ่มจะต้องแข็งแรงมีพละกำลังดีเหมาะจะเป็นแรงงาน ส่วนอีกคนหนึ่งเยาว์วัย แต่แววตาฉลาดเฉลียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าคล่องแคล่วหัวไวพอดู มีหน่วยก้านเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวได้ เหนืออื่นใดในสถานการณ์ที่ประมุขของตระกูลล่วงลับไปแล้ว สองคนนี้ยังคุ้มครองคุณหนูมาจากผิงเหลียงซึ่งห่างจากที่นี่ไปหกเจ็ดร้อยลี้มาจนถึงเว่ยหนานได้อย่างปลอดภัย เห็นได้ว่าไม่เพียงมีความสามารถพอตัว ยังเป็นคนซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขอแค่ช่วยให้สองคนนี้ผ่านพ้นอุปสรรคตรงหน้าไป ภายภาคหน้าจะต้องเป็นบ่าวไพร่ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญได้แน่นอน

สตรีนางนี้สิที่เป็นปัญหา

ถ้ารูปโฉมสามัญกว่านี้จะเป็นเรื่องง่าย แต่หญิงงามสะคราญชั้นนี้ ถึงเขาเป็นคนใจคอกว้างขวาง นึกสงสารอยากยื่นมือช่วยเหลือ ก็ไม่อาจยับยั้งการคาดเดาส่งเดชของพวกคนสอดรู้สอดเห็นได้ น่าเสียดายที่หลานชายซึ่งอยู่ในวัยเหมาะสมล้วนหมั้นหมายไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้น หาคู่ครองสักคนให้นางออกเรือนนับเป็นการช่วยเหลือนางได้ทางหนึ่ง!

ท่านเจ็ดรู้สึกปวดเศียรปวดเกล้าเป็นกำลัง

ด้านฟู่ถิงจวินกลับมองท่านเก้าอย่างสับสน

อยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่?

นางมิได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในหุบเขาสกุลหลี่ อาศัยอะไรพำนักอยู่ที่นี่

ถึงกระนั้นนางไม่มีญาติพี่น้องให้พึ่งพาอาศัยแล้ว จะกลับหวาอินก็ไม่ได้อีก…เป็นคนไร้ชื่อไร้แซ่ ทั้งยังมีชนักปักหลัง แม้แผ่นดินกว้างใหญ่ แต่ที่แห่งใดเล่าถึงจะเป็นที่ที่นางพักพิงกายได้

เพราะมีท่านเก้าคุ้มครองมาตลอดทาง นางถึงได้ไม่อดตาย ถึงได้มาถึงเว่ยหนานโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่ปลายผม ทำให้เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือและพึ่งพิงได้มากที่สุดในใจนางไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

ในเวลานี้ นางหวังว่าเขาจะช่วยนางตัดสินใจได้!

เรียวปากบางของท่านเก้าเม้มเข้าหากันแน่น ใบหน้าเผยรอยเย็นชามึนตึงจางๆ

มารดามันเถอะ…

เขาลอบสบถในใจ

แค่ใจอ่อนชั่ววูบถึงพาสตรีผู้นี้มาพึ่งพาอาศัยญาติพี่น้อง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นแบบนี้!

ถือโอกาสทิ้งนางไว้ที่หุบเขาสกุลหลี่ไปเสียเลย?

ชั่วพริบตาหนึ่งเขามองเห็นแววขัดเคืองผุดวูบขึ้นในดวงตาท่านเจ็ดผู้นั้น

ในเมื่อหุบเขาสกุลหลี่แห่งนี้สามารถรวบรวมลูกหลานในตระกูลต้านทานคนเร่ร่อนได้ ย่อมประจักษ์ชัดว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทายาทชายมากมาย แม้ท่านเจ็ดนับเป็นคนรุ่นอาวุโส อีกทั้งเป็นที่เคารพนับถือของคนพวกนี้ แต่ดูจากอายุอานามของเขา ประกอบกับพอเขาได้ยินความเคลื่อนไหวก็ออกมาตรวจดู…คงมิใช่ประมุขตระกูลเป็นแน่

ยามนี้ธัญพืชคือชีวิต คนกินข้าวมากขึ้นหนึ่งคนก็มีภาระเพิ่มขึ้นหนึ่งคน และมีความเสี่ยงที่จะอดตายเพราะขาดเสบียงยิ่งขึ้นหนึ่งส่วน อย่าว่าแต่เขาไม่ใช่ประมุขตระกูล ต่อให้เป็นจริงๆ ก็จะผลีผลามรับคนแปลกหน้ามาปันส่วนอาหารกับคนในตระกูลไม่ได้

เห็นทีว่าการที่ท่านเจ็ดผู้นี้อยากให้ฟู่ถิงจวินอยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่เป็นเพียงความเวทนาวูบหนึ่งที่เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่น!

หากเป็นเช่นนั้นนางจะทำฉันใด…ออกเรือนไปกับลูกหลานสกุลหลี่คนหนึ่งคนใดไปก็ได้อย่างนั้นหรือ!

นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องที่หวาอินนั่นอีก

ถึงเวลานั้นสกุลฟู่ตั้งใจจะทำอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ถ้าเรื่องนั้นเปิดเผยออกมา คนของสกุลหลี่จะปฏิบัติต่อนางเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก

เขาหงุดหงิดเต็มที

ขณะที่หญิงสาวทำหน้าสลดลงทีละน้อยๆ

เขา…เขาไม่เต็มใจเอ่ยตอบสักนิด

พอตระหนักได้ถึงข้อนี้ น้ำตาของนางเอ่อท้นจากขอบตาไหลลงมาอย่างสุดจะห้ามอีกคราครั้งหนึ่ง

นางเป็นอะไรกับเขา

แค่คนที่ผ่านมาพบกันโดยบังเอิญ ส่วนเขาได้รับไหว้วานจากท่านแม่ให้พานางมาหาญาติที่เว่ยหนานเท่านั้น!

ตอนนี้นางไม่มีญาติให้พึ่งพาอาศัยแล้ว แต่นางจะตามติดเขาไปเรื่อยๆ เพราะว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่มีสัจจะและคอยดูแลนางเป็นอย่างดีมาตลอดทางไม่ได้กระมัง

ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องรุดไปที่เมืองซีอานก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด

ในเวลานี้ นางสมควรมอบเงินเป็นค่าตอบแทนให้เขาอย่างใจกว้าง และกล่าวอำลาเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มถึงจะถูก

แต่พอคิดถึงว่านับจากนี้นางจะเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยว คิดถึงสายตาตะลึงในความงามแกมละโมบของเจ้าคนพาลที่สวมเสื้อคลุมนักพรตสีเขียวผู้นั้น คิดถึงใบหน้าโหดเหี้ยมของคนเร่ร่อนพวกนั้นตอนปล้นชิงพวกนาง คิดถึงหญิงวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อเอี๊ยมตัวเดียวนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่คนนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัว…เงินตอบแทนก็ดี ถ้อยคำอำลาก็ดี จะอย่างไรนางทั้งหยิบออกมาไม่ได้ ทั้งเอ่ยปากไม่ออก

ฟู่ถิงจวินรับรู้ได้ว่าใบหน้ามีรอยน้ำเปียกๆ ก็นึกละอายใจอย่างสุดระงับ

นางไม่เอาไหนจริงๆ!

มันเรื่องอะไรกันถึงร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเขาตอนนี้! เขาต้องนึกว่านางแสร้งทำตัวอ่อนแอให้เขาสงสาร…

นางเบือนหน้าหนี เช็ดน้ำตาบนหน้าออกเป็นพัลวัน ทว่าน้ำตาเอาแต่ไหลออกมาไม่หยุดราวกับมีความคิดเป็นของมันเอง

บุรุษที่มีไฝตรงหว่างคิ้วผู้หนึ่งที่ยืนด้านข้างท่านเจ็ดมองฟู่ถิงจวินที่มีน้ำตานองหน้าประหนึ่งบุปผาต้องฝนแวบหนึ่ง แล้วมองท่านเจ็ดที่ทำสายตาสะทกสะท้อนใจแวบหนึ่ง สีหน้าเขาปึ่งชาเล็กน้อยขณะเอ่ยขึ้น “ท่านตาเจ็ด ในหมู่บ้านเสบียงอาหารฝืดเคือง เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องบอกกล่าวผู้อาวุโสในตระกูลสักคำก่อนจึงจะดี!” สุ้มเสียงเขาไม่หนักไม่เบาพอจะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน

คนของหุบเขาสกุลหลี่ไม่เปล่งเสียงพูด แต่ล้วนแสดงสีหน้าเป็นเชิงคล้อยตามว่าสมควรเป็นเช่นนี้

ท่านเจ็ดรู้ว่าหากขณะนี้เขาไม่อาจหาเหตุผลที่ฟังขึ้นสักข้อมาตอบคนในตระกูลได้ เห็นทีว่าจะต้องถูกตราหน้าว่าคิดหมายปองหญิงงาม เขาตรึกตรองแล้วพูดที่ข้างหูคนผู้นั้น “หลายวันก่อนผู้ประสบภัยจากอันฮว่ามาล้อมหมู่บ้านไว้ คนของหลานใหญ่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ตอนนี้ในหมู่บ้านขาดกำลังคนพอดี ในเมื่อผู้ประสบภัยกลุ่มนั้นเผาคฤหาสน์นายท่านเซี่ยที่เฟิงหยวนแล้ว ไม่แน่อาจมาที่หุบเขาสกุลหลี่ของพวกเรา สองคนนี้สามารถคุ้มครองคุณหนูของพวกเขาจากผิงเหลียงมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย คงต้องมีฝีไม้ลายมือติดตัวบ้าง หรือว่าพอพวกเขาอยู่ที่นี่กับเราแล้วจะเอาแต่กินโดยไม่ลงแรงทำงาน!”

สุ้มเสียงเขาไม่หนักไม่เบาพอจะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินเฉกเดียวกัน

คนผู้นั้นขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าแม้เขารู้สึกว่าท่านเจ็ดยกเหตุผลแบบกำปั้นทุบดิน แต่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ยามนี้ผู้คนศีลธรรมเสื่อมทราม ผู้ใดฆ่าฟันกับคนเร่ร่อนได้ ผู้นั้นคือวีรบุรุษ

คนอื่นๆ เห็นคนที่ไฝตรงหว่างคิ้วไม่พูดอะไร ก็พากันปิดปากเงียบตามไป

ฟู่ถิงจวินยิ่งเสียใจมากขึ้น

หรือว่าต้องรั้งท่านเก้าไว้ที่นี่ทำงานรับใช้คนในหุบเขาสกุลหลี่เพื่อแลกอาหารให้ตนเอง?

“ท่านเก้า!” นางฝืนเหยียดมุมปากโค้งขึ้น “ท่านส่งข้าไปที่เว่ยหนานเถอะ หาโรงเตี๊ยมสักแห่งให้ข้าพำนักแล้วค่อยหาคนส่งสารไปที่บ้านข้าอีกที ส่วนท่านมีธุระใดก็ไปสะสางก่อน สำหรับเรื่องของข้ามิใช่ว่าจะแก้ไขได้ในวันสองวัน”

ครั้นคิดถึงว่านับจากนี้นางต้องอยู่คนเดียวแล้ว นางทั้งหวาดกลัวอับจน ทั้งสับสนเสียใจ

เพราะเกี่ยวพันถึงความลับส่วนตัว หญิงสาวจึงกล่าวด้วยเสียงรัวเร็วและแผ่วเบา ท่านเจ็ดอยู่ห่างจากพวกเขา เพียงเห็นนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ท่านเก้าแล้วส่งเสียงกระซิบงึมงำ หาได้รู้ไม่ว่านางพูดอะไรบ้าง แต่ท่านเก้าซึ่งอยู่ข้างตัวนางนั้นได้ยินชัดถนัดหู

ใบหน้านิ่งขรึมของเขาแฝงรอยฝืดเฝื่อนจางๆ

ถ้านางดึงดันจะให้เขาส่งนางกลับไปยังหวาอิน หรือร้องไห้สะอึกสะอื้นขอให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะทำใจแข็งได้ ไม่แน่อาจพานางไปที่หลินถง หาสหายสักคนส่งนางกลับไปหามารดาที่หวาอินเป็นอันจบเรื่อง ส่วนว่ามารดาของนางจะให้นางอยู่ที่ใด หรือวันหน้านางจะเป็นเช่นไรนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกสืบไป

แต่นางกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งๆ ที่ดวงตาบวมช้ำฉายแววพรั่นพรึง ปากกลับฝืนกล่าววาจาไม่ตรงกับใจอย่างเห็นแก่ผู้อื่น ในความอ่อนแอแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น แล้วในความดื้อรั้นยังแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ชวนให้คนใจอ่อนยวบ

ช่างเถิด! ช่างเถิด!

ในเมื่อเขาเป็นคนพานางมา จะอย่างไรก็ไม่อาจทิ้งนางไว้ที่นี่โดยไม่ดูดำดูดีอย่างนี้

อีกทั้งเดิมทีนี่มิใช่วิสัยของลูกผู้ชาย ไม่ว่าจะฝากฝังนางกับสหาย หรือให้อยู่กับเขา ล้วนต้องหาคนส่งสารถึงมารดาของนางก่อน จากนั้นรอคนจากทางนั้นมารับนางดุจเดียวกัน

ฉะนั้น แทนที่จะรบกวนผู้อื่น มิสู้พานางติดสอยห้อยตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องติดค้างบุญคุณมิตรสหาย

สีหน้าท่านเก้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง

“ท่านเจ็ด ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่าน!” เขาค้อมกายคำนับท่านเจ็ด “ในเมื่อครอบครัวนายท่านเซี่ยประสบเคราะห์ภัยไปแล้ว เช่นนั้นพวกข้าไปที่เมืองซีอานจะดีกว่า นายหญิงของพวกข้ามีญาติผู้พี่ออกเรือนไปที่นั่น เพียงแต่หลายปีนี้มิได้ไปมาหาสู่กัน แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ คงได้แต่บากหน้าไปรบกวนแล้ว!”

ฟู่ถิงจวินแลมองท่านเก้าอย่างตะลึงพรึงเพริด

เขาบอกว่าจะไปหาญาติที่เมืองซีอาน แต่นางมีญาติมิตรในเมืองซีอานที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเขาจะไปสมทบกับพรรคพวกที่นั่น และจะพานางติดตามไปด้วย

ชั่วพริบตาเดียวความปีติยินดีอาบอิ่มไปทั่วร่างหญิงสาว ตรงกลางอกคล้ายมีอะไรบางอย่างไหลระรินเข้ามา ทำให้นางมีน้ำตาเอ่อคลอวาววับ

ท่านเจ็ดประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงที่เมื่อครู่นี้ฟู่ถิงจวินกระซิบบอกบางอย่างกับท่านเก้า นึกว่านางเป็นผู้ออกความคิดนี้ก็มิได้สงสัยอันใด การที่พวกเขาขอยอมมาพึ่งพาอาศัยนายท่านเซี่ยดีกว่าญาติผู้พี่ของมารดาที่มิได้พบหน้าค่าตานานหลายปีผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลหาได้สนิทชิดเชื้อไม่ แต่ในเมื่อฟู่ถิงจวินตัดสินใจแน่แล้ว เขาก็ไม่ฝืนใจเหนี่ยวรั้งไว้

เขาตั้งท่าจะกล่าวถ้อยคำตามมารยาทสักสองสามคำ ท่านเก้ากลับเอ่ยขึ้น “ความมีน้ำใจของท่านเจ็ด คุณหนูของพวกข้าจะจดจำไว้ในใจไม่ลืมเลือน แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยากขอให้ท่านเจ็ดเห็นแก่นายท่านเซี่ยที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทั้งยังเคยทำการค้าด้วยกันมาก่อน โปรดให้ความช่วยเหลือด้วย”

ในใจท่านเจ็ดถือท่านเก้าเป็นผู้กล้าที่ซื่อสัตย์ทรงคุณธรรมไปแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจาได้เหมาะสมเข้าที ก็บังเกิดความนับถือขึ้นมาหลายส่วน

เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่ามาได้เลย!”

ท่านเก้ากล่าว “ก่อนหน้านี้พวกข้านึกว่าขอเพียงมาถึงเว่ยหนานก็จะมีที่พึ่งพาอาศัย จึงตระเตรียมน้ำและเสบียงอาหารมาแค่สิบกว่าวัน ตอนนี้กำลังจะไปเมืองซีอาน…” เขาหยุดเว้นจังหวะก่อนเอ่ยต่อ “ขอให้ท่านเจ็ดโปรดช่วยบรรเทาความเดือดร้อนคับขันของคุณหนูด้วยขอรับ” เขากล่าวพลางล้วงปลาเหลืองเล็กสามแท่งออกมาจากแขนเสื้อ “พวกข้าต้องการหมั่นโถวห้าสิบลูก ถุงหนังใส่น้ำสิบถุง ฉะนั้นรบกวนท่านช่วยถามไถ่ดูว่าเรือนใดพอมีเสบียงอาหารกับน้ำเหลือบ้าง”

ทองแท่งมีคำเรียกติดบ้านชาวบ้านว่า ’ปลาเหลืองใหญ่‘ กับ ’ปลาเหลืองเล็ก‘ ปกติปลาเหลืองใหญ่หนึ่งแท่งเท่ากับสิบตำลึงทอง ส่วนปลาเหลืองเล็กหนึ่งแท่งเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง ดังนั้นปลาเหลืองสามแท่งก็คือสามตำลึงทอง ขณะที่หนึ่งตำลึงทองแลกได้สิบตำลึงเงิน และหนึ่งตำลึงเงินแลกได้หนึ่งพันอีแปะ ในยามบ้านเมืองสงบรุ่งเรือง สองอีแปะก็แลกหมั่นโถวได้หนึ่งลูกแล้ว…ทว่าตอนนี้ในเมืองเว่ยหนาน ต้องห้าร้อยอีแปะถึงจะซื้อหมั่นโถวได้หนึ่งลูก

ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง

นี่มิใช่เงินของนาง…แล้วเขามีสิ่งนี้ติดตัวได้อย่างไร

คนที่อยู่ข้างกายท่านเจ็ดเห็นแล้วตาเป็นประกายกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย

ท่านเจ็ดลอบชมท่านเก้าที่ไหวพริบดีมีชั้นเชิง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถตอบคำถามคนในตระกูลได้

เขากล่าวอย่างใจกว้าง “ข้าขอไปถามไถ่คนในหมู่บ้านว่าพอมีเสบียงอาหารเหลือบ้างหรือไม่” แต่มิได้รับปลาเหลืองเล็กนั่นไว้

ท่านเก้าเพียงแสดงท่าทีให้ชัดเจนเท่านั้น เพื่อว่าคนในหุบเขาสกุลหลี่จะได้ไม่เห็นพวกเขาเป็นผู้ประสบภัยที่สิ้นไร้ไม้ตอก เพราะถ้ารวบรวมเสบียงอาหารไม่ได้ พวกเขาคงต้องอดตายระหว่างทางไปเมืองซีอาน

เขากล่าวขอบคุณท่านเจ็ดอย่างขึงขังจริงจังอีกคำรบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากขอพักแรมที่นี่สองวันแล้วจะออกเดินทางต่อ

ท่านเจ็ดให้คนพาพวกเขาไปยังห้องพักที่อยู่ไกลออกไปตรงด้านข้างศาลบรรพชนในหมู่บ้าน ส่วนตนเองเข้าไปในเรือนเล็กคั่นสามซึ่งอยู่ห่างไประยะหนึ่งลูกธนู* พร้อมกับท่านย่าสิบเอ็ดของสกุลหลี่ผู้นั้นที่ตามมาถึงในทีหลัง

ฟู่ถิงจวินกับอาเซินมองเห็นห้องที่แม้จะเก่าทรุดโทรมไปบ้างแต่ปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน มีของใช้จำเป็นพร้อมสรรพแล้ว รู้สึกราวกับก้าวเดียวถึงสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน ต่างเผยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบานออกมา

ท่านเก้าหยักยิ้ม บอกให้อาเซินจัดของบนรถเข็นไม้ และกำชับให้ฟู่ถิงจวินพักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะออกนอกประตูไปโดยไม่บอกกล่าวอะไร

ภายในห้องเงียบเชียบ มีแต่เสียงอาเซินจัดของบนรถเข็นไม้

ฟู่ถิงจวินคิดถึงน้าชายกับน้าสะใภ้ที่ตายไป รอยยิ้มจางหายไปทีละน้อย และแล้วนางก็ปิดปากสะอื้นไห้เบาๆ

มีเสียงสตรีตะโกนถามมาจากนอกห้อง “ญาติของนายท่านเซี่ยอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

“ใช่แล้ว!” ฟู่ถิงจวินรีบเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มแล้วเดินออกไป นางเห็นหญิงซึ่งออกเรือนแล้วท่าทางซื่อๆ สองคนยืนหาบถังน้ำอยู่หน้าประตู

ท่านเก้าซื้อน้ำมาแล้ว!

หญิงสาวรีบเปิดประตูให้พวกนางเข้ามา “ลำบากอาซ้อทั้งสองแล้ว!”

“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก!” พวกนางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง พร้อมกับหาบถังน้ำตรงเข้าไปห้อง “สามีนางเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูล ส่วนสามีข้าเป็นคนที่หก หากแม่นางยังต้องการน้ำอีก ให้คนไปบอกพวกเราให้หาบมาอีกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” สตรีทั้งสองพูดพลางลอบพิศดูฟู่ถิงจวิน ดูท่าทางคล้ายสนอกสนใจนางมาก

อาเซินได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามา พอเห็นน้ำสี่ถังเต็มๆ เขาถลาเข้าไปกอดถังน้ำด้วยความดีใจ “น้ำเยอะแยะขนาดนี้ พวกเราจะดื่มหมดได้อย่างไร” สีหน้าเด็กน้อยเปี่ยมสุขเหลือหลาย

สะใภ้หลี่ทั้งสองแสดงสีหน้าแปลกใจก่อน ต่อจากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมา “พี่ชายน้อยท่านนี้ นี่มิใช่ให้พวกท่านดื่ม แต่เป็นน้ำที่ผู้ติดตามของพวกท่านซื้อมาให้คุณหนูใช้อาบน้ำ”

ฟู่ถิงจวินกับอาเซินตะลึงค้างไปชั่วขณะ อาเซินเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “นะ…นะ…นี่เป็นเงินเท่าไหร่”

สะใภ้หลี่หน้าแดงเรื่อๆ ขณะกล่าว “ปลาเหลืองน้อยแท่งหนึ่งสำหรับหนึ่งถัง!”

ฟู่ถิงจวินเข่าอ่อนล้มลงนั่งบนเตียงเตา

บทที่แปด

 ปลาเหลืองน้อยแท่งหนึ่งสำหรับน้ำชำระกายหนึ่งถัง

ถ้ามิได้ประสบผ่านเรื่องต่างๆ มาตลอดทางครานี้ บางทีฟู่ถิงจวินอาจรู้สึกว่ามันเป็นความสุนทรีย์ของชีวิตอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง นางจะต้องแช่น้ำอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ ผลัดใส่อาภรณ์สะอาดๆ สบายตัวแล้วค่อยนอนหลับให้เต็มตาสักตื่น…แต่บัดนี้เมื่อนางรู้แล้วว่าน้ำช่วยชีวิตคนได้ ก็สุดปัญญาจะเพิกเฉยไม่สนใจ ใช้มันอาบน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกสืบไป

อาเซินประสบผ่านเรื่องต่างๆ มามากกว่าฟู่ถิงจวินนัก

เขานั่งอยู่ข้างถังไม้ แลมองนางอย่างงงงันพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงละล้าละลัง “จะใช้มันอาบน้ำจริงๆ หรือขอรับ”

แน่นอนว่าใช้มันอาบน้ำไม่ได้!

ฟู่ถิงจวินนิ่งคิดแล้วกล่าว “หรือไม่พวกเรากรอกน้ำเก็บใส่ถุงหนังเอาไว้ใช้ดื่มระหว่างทาง?”

“ดีสิ!” อาเซินได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดตัวลอยด้วยความชอบใจ “แต่จะกรอกน้ำดิบใส่ถุงหนังเลยไม่ได้ ต้องต้มให้สุกก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราเดินทางนานหลายวันขนาดนั้น น้ำนิ่งไม่ไหลเวียนจะเน่าเสีย ดื่มแล้วทำให้ไม่สบาย”

ฟู่ถิงจวินรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกัน แต่มิได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น

นางหน้าแดงเรื่อๆ

มิน่าท่านย่ามักพูดเสมอว่า ’การเข้าใจชีวิตเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง การรู้ซึ้งถึงใจคนนั้นแลคือปัญญา‘ เห็นได้ว่าเรื่องที่นางต้องใฝ่ใจเรียนรู้ยังมีอีกมากนัก!

ทั้งคู่เดินวนไปทั่วเรือนพำนักรอบหนึ่ง พบห้องครัวอยู่ติดกับด้านหลังของห้องพัก มีฟางกับเศษท่อนไม้อยู่ข้างเตาไฟนิดหน่อย

อาเซินสอนวิธีใช้ฟางมัดท่อนไม้ทำเป็นฟืน จากนั้นใช้ที่คีบคีบเรียงกันแล้วก่อไฟให้ฟู่ถิงจวิน

นางยิ้มไม่หยุด “เจ้าคงมิได้นึกว่าข้าทำไม่เป็นแม้แต่หุงหาอาหารกระมัง”

เขาทำหน้าดูถูก “เช่นนั้นท่านมัดฟืนสักท่อนให้ข้าดูสิขอรับ”

ฟู่ถิงจวินไม่เคยทำเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ เสียด้วย

ตอนนางหัดทำครัวย่อมต้องมีบ่าวไพร่กับหญิงรับใช้จุดเตาล้างผัก นางเพียงรับหน้าที่ปรุงอาหารเท่านั้น

อาเซินสอนนางอย่างดูแคลนเอาการ “ฟางใช้เป็นเชื้อไฟให้ท่อนไม้ มัดเยอะไปก็สิ้นเปลือง มัดน้อยไปไฟก็ไม่ติดท่อนไม้…มีใครที่ไหนกันทำอาหารทีต้องมีคนหนึ่งเติมฟืนใต้เตา อีกคนหนึ่งผัดกับข้าวบนเตา ใครๆ ก็โยนฟืนใส่เตาแล้วตั้งกระทะ พอกะเวลาว่าไฟในเตาใกล้มอด ก็วางมือจากกระทะแล้วค่อยเติมฟืน…”

“…แรกๆ ที่ไฟในเตาเริ่มติดจะอ่อนเบา จากนั้นจะแรงมากในช่วงกลางๆ แล้วเบาลงตอนท้าย…ตอนฟืนท่อนแรก กระทะยังเย็นอยู่ พอไฟแรงขึ้น ฟืนท่อนที่สองก็เริ่มติดไฟ รอเมื่อกระทะร้อนแล้ว ถึงฟืนท่อนที่สองยังเป็นไฟเบาอยู่แต่กระทะจะร้อนมากกว่าตอนไฟแรงของฟืนท่อนแรก ที่นี้พอไฟแรงไปอาหารจะไหม้ ไฟอ่อนไปอาหารไม่สุก…ถ้าเป็นผัดผักยังพอทำเนา จะอย่างไรยังพอฝืนทนกินได้ แต่ถ้าเป็นหุงข้าว ข้าวก้นหม้อไหม้แล้วแต่ข้าวด้านบนยังไม่สุก ข้าวดิบๆ สุกๆ กินแล้วจะท้องเสียเอาได้”

ฟู่ถิงจวินฟังแล้วเวียนหัวไปหมด “ข้าแค่จะต้มน้ำ ไฟแรงไฟเบาไม่สำคัญกระมัง”

อาเซินถลึงตาใส่นาง “ท่านรู้หรือไม่ว่าฟางกับท่อนไม้ในเรือนนี้ทำเป็นฟืนได้กี่ท่อน แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าต้มน้ำหม้อหนึ่งต้องใช้ฟืนกี่ท่อน ขืนโยนเข้าไปในเตาตามชอบใจ พวกเรายังต้มน้ำไม่เสร็จ ฟืนก็หมดเสียแล้ว…ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไร”

นางเห็นว่าอาเซินพูดสาธยายเสียเกินจริงเพื่ออวดว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องจุดเตามาก จึงเอ่ยยิ้มๆ “ต้มน้ำหนึ่งหม้อก็มากพอจะให้พวกเรากรอกน้ำใส่ถุงหนังจนเต็มแล้วกระมัง”

อาเซินแค่นเสียงพูด “ถึงอย่างไรก็สิ้นเปลืองมิได้ขอรับ”

ฟู่ถิงจวินเม้มปากยิ้ม “ได้ ข้าเชื่อฟังอาเซิน!”

อาเซินกระตุกยิ้มตรงมุมปากอย่างภาคภูมิใจไม่น้อย

ฟู่ถิงจวินต้องกลั้นหัวเราะไว้แทบแย่

ทั้งคู่นั่งมัดฟืนอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่สานตรงหน้าเตา

ฟู่ถิงจวินเอ่ยถามเขา “ทำไมท่านเก้าถึงมีปลาเหลืองน้อยเยอะแยะอย่างนั้น”

อาเซินไม่ชอบใจเลยที่นางคลางแคลงใจในตัวท่านเก้า “สะสมเอาน่ะสิขอรับ!”

สะสม? ถ้าใครๆ ล้วนสะสมปลาเหลืองน้อยหลายแท่งได้อย่างง่ายดาย ผู้ใดยังจะเช่าที่นาคนอื่นปลูกข้าวอีกเล่า

“สะสมอย่างไร” ฟู่ถิงจวินถามเขายิ้มๆ “บอกให้ข้ารู้ที ข้าจะสะสมบ้าง!”

อาเซินมองนางแวบหนึ่ง “เหรียญอีแปะแลกเป็นตำลึงเงิน ตำลึงเงินแลกเป็นตำลึงทอง เก็บหอมรอมริบไปเรื่อยๆ!” เขากล่าวต่ออย่างหงุดหงิด “พวกเรารีบมัดฟืนเร็วเข้าเถอะ อีกประเดี๋ยวยังต้องหุงข้าวนะขอรับ”

เด็กคนนี้ปิดปากได้สนิทดีแท้!

ฟู่ถิงจวินทั้งผิดหวังทั้งอิ่มเอมใจ

มีคนเดินเข้ามา “นี่ทำอะไรกันอยู่”

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น มองเห็นท่านเก้ายืนหิ้วถุงผ้าใบหนึ่งอยู่หน้าประตูห้องครัว

อาเซินวิ่งเข้าไปหา พูดเหมือนทวงความชอบ “น้ำที่ท่านเก้าใช้ปลาเหลืองน้อยซื้อมา พวกเราหักใจใช้ไม่ได้ เลยคิดจะต้มให้สุกแล้วกรอกใส่ถุงหนังเอาไว้ดื่มระหว่างทาง” เขากล่าวพลางรับถุงผ้ามาจากมือท่านเก้า “ท่านเก้า นี่คืออะไรขอรับ”

ท่านเก้ามิได้สนใจอาเซิน หากแต่จ้องมองฟู่ถิงจวินซึ่งยืนอยู่หน้าเตา ในห้องครัวที่มีเพียงแสงสลัวๆ สายตาของเขาฉายแววลึกล้ำยากหยั่งถึงอยู่บ้าง

ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ฟู่ถิงจวินหวนประหวัดถึงตอนทั้งคู่อยู่ในเรือนครัวของอารามปี้อวิ๋น…รอบด้านไร้ผู้คน แสงไฟสลัวราง…แววตาของเขาลึกล้ำนิ่งสนิทเช่นเดียวกับเวลานี้

นางรู้สึกกระวนกระวายใจ

เขาคือท่านเก้า…ไม่ใช่บ่าวในตระกูลของนางจริงๆ

ตอนที่พูดว่าจะพานางไปหาญาติที่ซีอานต่อหน้าคนของหุบเขาสกุลหลี่ เขามีสีหน้าบูดบึ้งอย่างนั้น

เมื่อครู่นางมัวแต่ดีใจ จึงมิได้ขบคิดอย่างละเอียด ยามนี้พอนึกย้อนกลับไป เขาต้องไม่มีทางเลือกเป็นแน่

ขณะนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนใจไหม จะบันดาลโทสะไหม จะนึกว่านางตามติดเขาจนสลัดไม่หลุดเหมือนขนมตังเมหรือไม่

ท่ามกลางความเงียบงัน ฟู่ถิงจวินหลุบเปลือกตาลง

นางได้ยินเสียงตะโกนของอาเซินดังขึ้น “แป้งหมี่ ไข่ไก่ เต้าหู้ ฟัก…ท่านเก้า ท่านไปเอาของพวกนี้มาจากไหน” มีเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ดังจนนางได้ยิน

ฟู่ถิงจวินรีบเงยหน้ามองไป

จริงๆ ด้วย!

ถุงผ้าเปิดอ้าออก อาเซินเอาไข่ไก่หลายใบวางไว้บนเตาอย่างระมัดระวัง

น้ำสี่ถังก็ใช้ปลาเหลืองเล็กไปสี่แท่ง…

นางหลุดปากเอ่ยขึ้น “นี่ต้องใช้เงินไปเท่าไหร่กัน”

ผิวแก้มนางร้อนซู่ทันที

ในกาลก่อนยามเอ่ยถึงเงินทองล้วนต้องเลี่ยงไปใช้คำว่า ’ของนอกกาย‘ แทน ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เห็นอะไรก็อ้าปากถามว่าราคาเท่าไหร่…เห็นได้ว่านางเปลี่ยนไปมาก กระนั้นลึกๆ ในใจนางมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นอีก หากมิใช่เพราะนาง ท่านเก้าคงไม่ต้องซื้อน้ำซื้ออาหาร ตอนพบเขาครั้งแรก เขาไม่สวมแม้แต่รองเท้า ทั้งที่มิใช่ว่าไม่มีเงิน แสดงว่าเขาเป็นคนมัธยัสถ์มาก เห็นเขาใช้เงินแบบนี้ นางรู้สึกเสียดายมากจริงๆ

ท่านเก้าเม้มปาก แววตามีรอยยิ้มๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามสะกดกลั้นไม่ส่งเสียงหัวร่อออกมา “เงินทองมิใช่เอาไว้ใช้สอยหรอกรึ!”

ฟู่ถิงจวินไม่ชมชอบความคิดอ่านแบบนี้เอาเสียเลย

ท่านปู่สิบหกของนางก็เป็นเยี่ยงนี้ มีหนึ่งอีแปะใช้หนึ่งอีแปะ ยามหนุ่มสาวหาเงินทองได้ก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระสำเริงสำราญเต็มที่ พอถึงบั้นปลายชีวิตไม่มีเงินทองสะสมไว้ จากที่เคยสุรุ่ยสุร่ายต้องมากระเหม็ดกระแหม่ก็เป็นเรื่องยากลำบาก ตอนตายยังต้องให้ครอบครัวซื้อโลงศพให้

นางอดบ่นอุบอิบมิได้ “แล้วถ้าคนยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีเงินแล้วควรทำฉันใดเล่า”

ท่านเก้าตะลึงงันไปอย่างสุดระงับ ต่อจากนั้นหัวร่อออกมาดังลั่นทันที

สีหน้าเขาผ่อนคลาย นัยน์ตาเปล่งประกายระยับ ดูแจ่มใสเบิกบานอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง

“ข้าย่อมตระเตรียมน้ำดื่มระหว่างทางไว้แล้ว” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ตอนพลบค่ำเราจะออกจากหุบเขาสกุลหลี่ ท่านรีบไปเก็บข้าวของ อาเซิน เจ้าทำอาหาร!”

“ขอรับ” อาเซินขานรับอย่างดีอกดีใจ ถือของที่ท่านเก้าเอากลับมาออกไปข้างนอกทั้งหมด

ท่านเก้าบอกกับฟู่ถิงจวิน “ท่านคันตัวอยู่มิใช่หรือ รีบไปสางผมชำระกายเถอะ” เขายังพูดปลอบนางอีก “พอถึงเมืองซีอานก็จะสบายขึ้นแล้ว!”

เขารู้ได้อย่างไรว่านางคันตัว

ฟู่ถิงจวินแต่งกายมิดชิดมาตลอดทางจนมีผดผื่นขึ้นไปทั้งตัว แต่นางไม่อยากให้เขานึกว่าตนเองเป็นคุณหนูผิวบาง จึงแอบเกาในเวลาที่ปลอดคน คิดไม่ถึงว่าเขายังสังเกตเห็นจนได้ ในใจหญิงสาวเต็มตื้นขึ้นมาอย่างประหลาด

ท่านเก้าหมุนกายออกนอกประตูไป “ข้าจะไปพบประมุขของหุบเขาสกุลหลี่กับท่านเจ็ด ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา!”

 

เมื่อมีถ้อยคำนี้ของท่านเก้าแล้ว สุดท้ายฟู่ถิงจวินก็ต้านทานความเย้ายวนใจของการได้อาบน้ำไม่อยู่ นางชำระล้างร่างกายโดยไม่ลังเลอิดเอื้อน รู้สึกเบาสบายขึ้นไม่น้อยราวกับได้ปลดของหนักพันชั่งออกจากตัว นางหาผ้าสีขาวผืนหนึ่งฉีกเป็นผืนยาวๆ ผูกผมไว้ ถือเป็นการไว้ทุกข์ให้น้าชายกับน้าสะใภ้

ตอนนางออกมา อาเซินกำลังทอดเต้าหู้อยู่

เห็นเขาเอาหินก้อนหนึ่งมาต่อขาถึงจะถือกระทะไว้เหนือเตาได้ ฟู่ถิงจวินรีบเข้าไปช่วย

อาเซินไล่นางไป “ท่านเก้าบอกให้ข้าทำอาหาร”

“เจ้าไปช่วยเติมฟืนให้ข้า” นางแย่งกระทะในมือเขามาแล้วกลับเต้าหู้ด้วยท่าทางคล่องแคล่วงดงาม แม้จะไม่ชำนิชำนาญเท่าไหร่นัก

อาเซินไม่อาจไม่ยอมรับว่านางทำได้ดีกว่าตน เขานั่งช่วยเติมฟืนอยู่ตรงปากเตาแต่โดยดี

ไม่นานนักฟู่ถิงจวินก็ทำกับข้าวเสร็จสองอย่าง นางถามอาเซิน “ท่านเก้าชอบกินเส้นหมี่หรือว่าแป้งย่างมากกว่า?”

“พี่หยวนเป่าทำอะไรท่านเก้าก็กินอย่างนั้น!” อาเซินนิ่งคิด “แต่ตอนทำแป้งย่างจะกินมากกว่าบ้าง”

ดูท่าทางท่านเก้ามิใช่คนเลือกกิน

ฟู่ถิงจวินเริ่มผสมแป้งพลางเอ่ยกับอาเซิน “เจ้าก็ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดเถอะ! ได้ยินว่าจากที่นี่ไปถึงเมืองซีอานต้องเดินทางอีกเจ็ดแปดวันเชียวนะ!”

ด้วยคิดถึงว่าน้ำหนึ่งถังแลกมาด้วยปลาเหลืองเล็กหนึ่งแท่ง เป็นเหตุให้นางรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงใช้น้ำไปสองถังแล้วเหลือไว้อีกสองถัง

อาเซินพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน “เก็บไว้ให้ท่านเก้าเถอะ!”

“พวกเราเก็บไว้ให้ท่านเก้าหนึ่งถังก็แล้วกัน” ฟู่ถิงจวินคะยั้นคะยอเขาสุดกำลัง

เช่นนี้ไม่นับว่านางใช้น้ำตามสบายคนเดียวแล้ว

ทุกคนล้วนมีส่วนใช้ ในใจนางก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

อาเซินตัวเหม็นตุๆ อยู่แล้ว ทั้งทนการรบเร้าของฟู่ถิงจวินไม่ได้ เขาอิดออดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ร่วมแรงกับหญิงสาวแบกถังน้ำไปที่ห้องแล้วอาบน้ำที่นั่น

ตอนเขาออกมาอีกครั้ง ฟู่ถิงจวินทำแป้งย่างเสร็จแล้ว และกำลังต้มน้ำแกงฟักใส่ไข่

“ท่านเก้ายังไม่กลับมาอีกหรือ” เขาเอ่ยถามทั้งที่ผมยังเปียกแฉะ

“ยังเลย!” ฟู่ถิงจวินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ยังเช้าอยู่ พวกเรารออีกครู่หนึ่ง ถ้าเขายังไม่กลับมาอีก เจ้าค่อยไปดู!”

อาเซินย่อมไม่คัดค้านแน่ เขาถามนาง “เสื้อผ้าที่แม่นางผลัดออกมาอยู่ไหน ข้าจะเอาไปซักให้ก่อน!”

ฟู่ถิงจวินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก

เสื้อผ้าที่นางผลัดออกมายังมีชิ้นที่สวมแนบติดกายด้วยนะ…

“ไม่ต้องๆ! ข้าซักเองได้” นางคิดขึ้นได้ว่าใช้น้ำไปสามถังแล้วรีบพูดขึ้น “อีกอย่างก็ไม่มีน้ำแล้ว!”

อาเซินบอกด้วยรอยยิ้มระรื่น “ข้าเหลือน้ำไว้ครึ่งถัง”

“ยังคงเป็นอาเซินที่เก่งเสมอ!” ฟู่ถิงจวินกล่าวชมเขา จากนั้นให้เขาช่วยยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปวางบนโต๊ะในโถงกลาง

ท่านเก้ากลับมาแล้ว

ฟู่ถิงจวินรีบเดินเข้าไปหา “ประมุขของหุบเขาสกุลหลี่มิได้ว่าอะไรกระมัง”

ถึงอย่างไรเรื่องท่านเจ็ดให้ที่พำนักแก่พวกนาง ก็ไม่ได้ถามความเห็นชอบของประมุขตระกูลก่อน

“ไม่ได้ว่าอะไร” ท่านเก้าตอบง่ายๆ “เพียงไต่ถามว่าพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง”

ฟู่ถิงจวินโล่งอก นางให้อาเซินตักน้ำให้ท่านเก้าล้างมือเพื่อกินข้าว

ท่านเก้าจุ่มมือลงไปในน้ำ แต่กลับคิดคำนึงถึงถ้อยคำของประมุขหุบเขาสกุลหลี่เมื่อครู่นี้ ‘…พาคุณหนูของพวกเจ้าไปส่งที่เมืองซีอานก็ถือว่าเจ้าทำเรื่องที่เจ้านายเก่าฝากฝังไว้ลุล่วงแล้ว นางเป็นสตรีคนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องออกเรือนวันยังค่ำ เจ้าลองไตร่ตรองเรื่องมาตั้งรกรากในหุบเขาสกุลหลี่ดูก็ไม่เสียหาย…’

จู่ๆ มีคนแปลกหน้าหลายคนมาที่หมู่บ้าน ประมุขตระกูลต้องการพบหน้าก็สมเหตุสมผลดี แม้นนางได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย ทว่าเป็นอิสตรี จึงเป็นธรรมดาที่จะเรียกท่านเก้าซึ่งเป็น ’ผู้ติดตาม‘ ไปถามความ อีกทั้งตลอดทางที่ผ่านมา ความสามารถของท่านเก้ายังเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ฟู่ถิงจวินถึงได้วางใจมาก เมื่อได้ยินท่านเก้าบอกแบบนี้นางก็มิได้ถามอะไรมาก เพียงสั่งให้อาเซินตักน้ำให้ท่านเก้าล้างมือ ส่วนตนเองไปจัดชามกับตะเกียบ

อาเซินยิ้มย่อง หยิบแป้งย่างแผ่นหนึ่งไปนั่งกินอยู่ตรงธรณีประตูอย่างตะกรุมตะกราม

นายบ่าวไม่ร่วมโต๊ะอาหารกัน

ฟู่ถิงจวินถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ มีหรือจะไม่รู้ธรรมเนียมนี้ แต่อาเซินกับนางเป็นสหายในยามยาก ด้วยเหตุนี้ในใจของนาง เขาค่อนข้างต่างจากคนอื่น

นางหันไปมองท่านเก้า

เขาก้มหน้าดื่มน้ำแกง

ฟู่ถิงจวินลอบมองค้อนเขาวงหนึ่ง ก่อนจะคีบกับข้าวครึ่งชาม แล้วหยิบแป้งย่างเพิ่มอีกสองสามแผ่นส่งให้อาเซิน “กินหมดแล้วข้าค่อยตักเพิ่มให้เจ้า”

อาเซินรับชามไป แววตาเต้นระริกด้วยความยินดีปรีดา “ขอบคุณแม่นางมากขอรับ!”

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้

รอเมื่อกลับมาถึงโต๊ะ นางฉุกคิดขึ้นได้ว่าชายหญิงก็ร่วมโต๊ะกันไม่ได้…

นางแลมองท่านเก้าที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวพลางรำพึงอยู่ในใจ

เขานั่งครองโต๊ะอยู่เช่นนั้นแล้วนางจะนั่งที่ใดเล่า

หญิงสาวคิดถึงศักดิ์ฐานะของท่านเก้า แล้วนึกไปถึงอาเซินซึ่งเขาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ยังต้องนั่งยองๆ ตรงหน้าประตู นับประสาอะไรกับนาง

หรือว่านางต้องทำแบบเดียวกับหญิงชาวบ้านเหล่านั้น ถือชามไปนั่งกินข้าวอยู่หน้าเตาในห้องครัว?

ฟู่ถิงจวินรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง

เมื่อก่อนนางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนของสกุลฟู่ ไม่ว่ายามกินข้าวหรือชมการแสดง ถึงพวกพี่สะใภ้ไม่มีที่นั่งก็ยังต้องมีที่นั่งของนาง และต่อให้ออกเรือนไป ตระกูลของว่าที่สามีนางมีชื่อเสียงเลื่องลือในเจียงหนาน เขายังเป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบสี่ และได้เป็นจวี่เหรินเมื่ออายุสิบแปด…ฉะนั้นนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งนางไม่มีที่นั่งกินข้าว!

แต่นางถูกถอนหมั้นไปแล้ว…

สองไหล่ของหญิงสาวคู้ลง

เห็นฟู่ถิงจวินยืนร่ำไรอยู่ข้างโต๊ะเป็นนานไม่ขยับตัวสักที ท่านเก้าชะงักตะเกียบแล้วถามขึ้น “ไยไม่นั่งลงกินข้าว”

“เอ๊ะ!” ดวงตาเรียวยาวของฟู่ถิงจวินเบิกกว้าง

“เป็นอะไรไป” ท่านเก้าถามอย่างประหลาดใจ

“ไม่มีอะไรๆ!” นางรู้สึกอยู่ไม่วายว่ากินข้าวหน้าเตาเป็นเรื่องของบ่าวไพร่ นางไม่อยากตกอับถึงกับเป็นเช่นคนรับใช้ของท่านเก้า ครั้นตอนนี้ไม่ต้องไปกินข้าวหน้าเตาแล้ว ในใจพลันล้นปรี่ไปด้วยความยินดี

นางรีบนั่งลงแล้วยกตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่ง ดูท่าทางลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย

ท่านเก้านึกกังขาใจ เขาตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ท่านอยากจะแยกโต๊ะกินข้าวกับข้าหรือ” ครั้นถ้อยคำนี้ออกจากปาก เขารู้สึกได้ทันใดว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด จึงเอ่ยขึ้น “ภาวะคับขันต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง ยามนี้พวกเรากำลังหนีภัย ทั้งขออาศัยอยู่ในหุบเขาสกุลหลี่ อาหารการกินมีแค่กับข้าวง่ายๆ สองจานกับแป้งย่างไม่กี่แผ่นเท่านั้น ดังนั้นธรรมเนียมบางเรื่องก็ละวางลงชั่วคราวเถอะ รอเมื่อพวกเราปักหลักได้แล้วค่อยว่ากันอีกที” ถึงกระนั้นเขายังด่าตนเองในใจที่สะเพร่า เพราะอยู่กับหยวนเป่ากับอวี้เฉิงมานานทำให้ลืมเลือนธรรมเนียมบางอย่างไปนานแล้ว

“ไม่ใช่ๆ!” พอเห็นว่าท่านเก้าใช้น้ำเสียงอ่อนลงอย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก ทั้งคล้ายกำลังอธิบาย ทั้งคล้ายปลอบใจ ฟู่ถิงจวินกลับไม่สบายใจขึ้นมา นางอยากอธิบายบ้าง แต่ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดีไปชั่วขณะ เลยได้แต่เปลี่ยนเรื่องพูด “ข้าได้ยินอาเซินพูดว่าท่านเก้าชอบกินแป้งย่าง ไม่รู้ว่าท่านยังชอบกินอะไรอีก”

ท่านเก้ามองนางอย่างประหลาดใจ

ทำไมมองนางอย่างนี้…หรือนางพูดอะไรผิดไป…

พอความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินก็หน้าแดงน้อยๆ

เขามิใช่บิดาหรือพี่ชายของนางสักหน่อย นางเอ่ยถามอย่างสนิทสนมแบบนี้ออกมาได้อย่างไร มิน่าเขาถึงมองนางด้วยสายตาอย่างนั้น!

“ข้าคิดอยู่ว่าตลอดทางพวกเรากินแต่หมั่นโถวกับน้ำเปล่า…เอ่อ…” หญิงสาวพลันบังเกิดไหวพริบวูบหนึ่ง นึกข้ออ้างอย่างหนึ่งขึ้นได้ “ก็เลยว่าจะฉวยโอกาสที่พรุ่งนี้ยังมีเวลาพักอีกครึ่งวัน อยากทำกับข้าวสองสามอย่างให้ท่านเก้ากับอาเซินได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ”

ท่านเก้าไม่รับไม่ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าหงึกหงัก “ท่านอยากกินอะไร พรุ่งนี้ข้าจะไปดูในหมู่บ้านให้”

พูดผิดอีกแล้ว!

ฟู่ถิงจวินทำคอตกอย่างหดหู่

ตอนนี้เป็นช่วงทุพภิกขภัย อีกทั้งยังขออาศัยอยู่ในหุบเขาสกุลหลี่แล้วจะมีของดีๆ อะไรได้ ท่านเก้าไม่บอกว่าตัวเองชอบกินอะไร กลับถามแต่ว่านางชอบกินอะไร เห็นชัดว่าเข้าใจผิดคิดว่านางตะกละ!

“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ล้วนเป็นของโปรดข้าทั้งนั้น” ราวกับต้องการยืนยันว่าไม่ได้พูดตามมารยาท นางยังคีบฟักเขียวทอดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

ชายหนุ่มแลมองฟู่ถิงจวินที่เมื่อครู่นี้ยังตื่นเต้นคึกคัก แต่พอเขาพูดคำเดียวก็ทำหน้าตาห่อเหี่ยวเหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะเอาลมออก เขามองไปที่กับข้าวบนโต๊ะแล้วกล่าวขึ้น “ท่านเป็นคนทำกับข้าวพวกนี้หรือ”

ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะเบาๆ “ตอนอยู่บ้านข้าเคยหัดทำมาก่อน เลยขันอาสาทำอาหารเอง”

ที่แท้เป็นเช่นนี้

“อ้อ” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ทำได้ไม่เลว อร่อยกว่าที่อาเซินทำมากแล้ว”

อร่อยกว่าที่อาเซินทำมากแล้ว…

อาเซินอายุเท่าไหร่ แล้วนางอายุเท่าไหร่

อาเซินเป็นใคร แล้วนางเป็นใคร

อาหารตำรับสกุลฟู่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชามาก ทุกคราที่มีขุนนางมารั้งตำแหน่งในหวาอินล้วนต้องมาลิ้มรสที่จวนสกุลฟู่ นางนั้นตั้งใจร่ำเรียนวิชากับคนทำครัวเชียวนะ

ทว่าดีชั่วนี่นับเป็นคำชมกระมัง…นับตั้งแต่รู้จักกันมา ดูเหมือนนี่เป็นคราครั้งแรกที่เขากล่าวชมนาง เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ อย่าถือสาหาความคนอย่างเขาเลย!

ความขุ่นเคืองในใจนางสลายหายไปในพริบตาอีกครา

“ขอบคุณท่านเก้าที่ชม” ฟู่ถิงจวินกล่าวขึ้นคำหนึ่งแล้วก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ มิได้รู้ตัวเลยว่ามุมปากยกโค้งขึ้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ท่านเก้าซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโคลงศีรษะไปมา

ประเดี๋ยวโมโห ประเดี๋ยวดีใจ…นิสัยยังเป็นเด็กน้อยอยู่นั่นเอง!

มุมปากเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ

 

ตลอดทางที่ต้องประหวั่นพรั่นพรึง นอนหนุนอาวุธยันฟ้าสาง ทำให้จิตใจของทุกคนตึงเครียด บัดนี้เมื่อมาถึงสถานที่ปลอดภัย ได้กินอาหารเย็นและจัดเก็บข้าวของครู่หนึ่ง ทั้งสามคนหัวถึงหมอนก็หลับไป กว่าจะลืมตาตื่นขึ้น พระอาทิตย์ลอยพ้นเหนือยอดไม้แล้ว ท่านเก้าตรวจตรารถเข็นไม้ ขณะที่ฟู่ถิงจวินกับอาเซินต้มน้ำ ทำแป้งย่างและหมั่นโถว

ท่านย่าสิบเอ็ดของสกุลหลี่ซึ่งพักอยู่เรือนด้านข้างได้ยินเรื่องของฟู่ถิงจวินแล้ว พอรู้ว่านางจะจากไปวันนี้จึงให้คนนำไข่ต้มมาให้สิบฟองเป็นพิเศษ “เก็บไว้กินระหว่างทางนะ!”

นางซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด ตั้งอกตั้งใจทำแป้งย่างต้นหอมสิบแผ่นนำไปมอบให้

หญิงสูงวัยลูบมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกเนื้อดีของฟู่ถิงจวินพลางลอบถอนใจไม่หยุด แม้กระนั้นก็ตามทีนางไม่อาจเอ่ยถ้อยคำให้ความช่วยเหลือออกจากปากได้ ด้วยถึงอย่างไรยามนี้ตัวนางเองยังพาคนทั้งครอบครัวมาพำนักอาศัยอยู่กับสกุลเดิม จึงพร่ำกำชับให้หญิงสาวเดินทางด้วยความระมัดระวัง

เมื่อกลับถึงห้อง ท่านเจ็ดกับนายหญิงเจ็ดก็มาถึง

นายหญิงเจ็ดมอบยาหอมใบพิมเสนให้ขวดหนึ่ง “คนดีๆ อย่างเซี่ยไท่ไท่*…” นางพูดด้วยขอบตาที่แดงเรื่อพร้อมน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย เป็นเหตุให้ฟู่ถิงจวินร้องไห้อยู่พักหนึ่ง

ท่านเจ็ดซึ่งมีท่านเก้าสนทนาเป็นเพื่อนอยู่ในห้องโถงได้ยินเสียงก็กล่าวคำปลอบใจ จากนั้นสองสามีภรรยาถึงอำลากลับ “ตอนพวกท่านไป พวกเราคงไม่ไปส่งแล้ว”

ท่านเก้าเอ่ยขอบคุณติดๆ กันหลายคำ และเดินออกไปส่งพวกเขาจนถึงใต้ต้นหลิวนอกประตู

ฟู่ถิงจวินทำตนให้กระฉับกระเฉง นางเอาน้ำต้มที่เย็นแล้วกรอกใส่ถุงหนังกับอาเซิน

ท่านเก้าเดินเข้ามาบอกเสียงเบา “ที่นี่เป็นหุบเขาสกุลหลี่ ไม่เหมาะจะตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ รอถึงเมืองซีอานแล้ว พวกเราค่อยเชิญพระอาวุโสจากวัดต้าซิ่งซ่านมาทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้ครอบครัวนายท่านเซี่ย”

“ขอบคุณท่านเก้า” ฟู่ถิงจวินเก็บงำสีหน้าเศร้าหมอง ผลิยิ้มเจิดจ้าส่งให้เขา “ถึงเวลานั้นยังต้องรบกวนท่านเก้าพาข้าไปด้วย” ในดวงตานางมีประกายน้ำวาววับดุจหยาดน้ำค้าง

ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด นิ่งมองนางด้วยแววตาลึกล้ำยากจะบรรยาย

บรรยากาศภายในห้องเงียบงันลงตามสายตาของเขา

ฟู่ถิงจวินเก้อกระดากอยู่บ้าง

อาเซินซึ่งเอาถุงน้ำไปวางบนรถเข็นไม้แล้ววิ่งมาหา “แม่นาง พวกเราจะใส่เกลือลงในน้ำสักหน่อยไหมขอรับ ข้าเห็นอาซ้อซั่งใช้เกลือหมักเนื้อ สามารถเก็บไว้กินได้จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีถัดไป เนื้อก็ยังไม่เสียเลยนะ!”

เสียงของเขาทำลายความเงียบในห้อง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นอีกครา

“ดีสิ!” ฟู่ถิงจวินรีบหันหน้าไป “หน้าร้อนดื่มน้ำเกลืออ่อนๆ บ้างช่วยคลายพิษร้อนได้” นางเอ่ยต่อ “สายมากแล้ว พวกเราทำอาหารกลางวันเถอะ! กินแล้วพักผ่อนครู่หนึ่งก็สมควรออกเดินทางกันสักที”

“อื้อ!” อาเซินขานตอบ จากนั้นเดินเคียงคู่กับฟู่ถิงจวินข้าไปในห้องครัว

ท่านเก้ายืนอยู่ที่เดิมเนิ่นนานกว่าจะหมุนกายเข้าห้องไป

 

ดวงอาทิตย์คล้อยตัวลงทางทิศประจิมทีละน้อย แสงตะวันสีเหลืองทองส่องกระทบรั้วไม้สูงลิบของหุบเขาสกุลหลี่ รอบด้านเงียบเชียบและสุขสงบ

ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ออกจากที่นั่นอย่างเงียบๆ เริ่มต้นการเดินทางในตอนเช้ากับตอนเย็น และพักผ่อนตอนเที่ยงอีกคราครั้งหนึ่ง

กลางทางยังเผชิญกับการปล้นชิงหลายครั้งหลายคราดังเก่า แต่ล้วนถูกท่านเก้าขัดขวางไว้ได้ทุกคราวไป มีหนหนึ่งถึงกับเกิดขึ้นกลางดึก ฟู่ถิงจวินนั้นนับเป็นคนนอนไว จนเมื่อนางลืมตาขึ้น พลองเสมอคิ้วของท่านเก้าก็หวดลงบนขาของอีกฝ่ายแล้ว

หลังจากเดินทางไปเช่นนี้สี่ห้าวัน ทิวทัศน์ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลอกเปลือกออกไปบางต้นมีต้นหญ้าสีเขียวขจีงอกขึ้นมาหลายต้น

พวกเขาเข้าสู่เขตอำเภอหลินถงแล้ว

“ถัดไปเป็นเมืองซีอานแล้ว!” อาเซินตะโกนเสียงดัง วิ่งเข้าไปเด็ดต้นหญ้าต้นหนึ่งมาให้ฟู่ถิงจวิน

ความปีติยินดีเปี่ยมล้นโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

ฟู่ถิงจวินกระปรี้กระเปร่าขึ้นฉับพลัน “ยังต้องอีกกี่วันจึงจะถึงเมืองซีอาน” นางยกต้นหญ้าจรดที่ปลายจมูกบรรจงสูดดมกลิ่นของมัน

“มากที่สุดห้าวัน” ใบหน้านิ่งขรึมของท่านเก้าเผยรอยยิ้มออกมาบ้างเช่นกัน “เย็นนี้พวกเราจะหยุดพักที่หมู่บ้านตงอัน”

“ท่านเก้าคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยหรือ” ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างประหลาดใจ

“เมื่อก่อนเคยมาหลายครั้ง” ท่านเก้าเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ข้าจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากถนนหลวง”

ส่วนอาเซินตั้งท่าจะพูดแล้วก็ชะงักไป

ความลับอีกแล้ว!

ฟู่ถิงจวินเบ้ปาก

ท่านเก้าผลักรถเข็นไม้ออกจากถนนหลวงเข้าสู่ทางดินลูกรังสายหนึ่งด้านข้าง

มีคนเข็นรถเข็นไม้ตามหลังมา

ท่านเก้าไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น คนผู้นั้นก็เร่งฝีเท้าตาม

ท่านเก้าชะลอ คนผู้นั้นก็ชะลอตาม

ฟู่ถิงจวินหันไปชำเลืองมองแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

คนเข็นรถเป็นชายหนุ่มหน้าตาซื่อๆ อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด มีหญิงซึ่งออกเรือนแล้วมีผ้าคลุมศีรษะนั่งอยู่บนรถเข็น ในอ้อมแขนนางยังมีเด็กน้อยวัยสองสามขวบอีกคนหนึ่ง

มองปราดเดียวก็รู้ว่าหนีภัยมาไม่ต่างจากพวกนาง

“ท่านนั่งให้ดีๆ นะ!” จู่ๆ ท่านเก้าก็พูดกำชับฟู่ถิงจวินเสียงเบา จากนั้นหันขวับกลับไป ยืนอยู่กับที่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปึ่งชา

ชายหนุ่มผู้นั้นมีท่าทางคิดไม่ถึง เขาทำหน้าตะลึงงัน ชะงักฝีเท้ากึก

อาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ สตรีที่นั่งบนรถเข็นเงยหน้าขึ้น

ฟู่ถิงจวินมองเห็นดวงหน้าหมดจดสะสวยของนาง

พอสตรีผู้นั้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รีบก้มหน้าลง

ท่านเก้าเข็นรถเข็นถอยหลังหลบให้สองสามก้าวเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายนำหน้าไปก่อน

ใบหน้าที่มีสีผิวดำแดงของชายหนุ่มผู้นั้นเผยรอยกระอักกระอ่วนวูบหนึ่ง ก่อนจะเข็นรถเข็นไม้ผ่านข้างกายพวกเขาไป

ท่านเก้าหยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จวบจนอีกฝ่ายเข็นรถเข็นไม้เลี้ยวไปทางคันนาด้านข้าง เข้าสู่หมู่บ้านทางทิศตะวันออกแล้ว เขาถึงเข็นรถพาฟู่ถิงจวินออกเดินทางอีกครั้ง

“คนผู้นั้นต้องการทำอะไร” นางฉงนใจอยู่บ้าง

“ไม่รู้สิ!” ท่านเก้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดไม่ตอแยข้า ข้าไม่ตอแยผู้นั้น หากผู้ใดตอแยข้า…” เขามิได้กล่าวถ้อยคำหลังจนจบ

 

สุดทางดินลูกรังเป็นหมู่บ้านตงอัน

ตอนที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไป ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด

“ดูท่าทางคงหนีภัยแล้งกันไปหมดแล้วเหมือนกัน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงเบา

“ถึงอย่างไรหมู่บ้านอย่างหุบเขาสกุลหลี่ก็มีอยู่น้อยนิด” ท่านเก้ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนใหญ่ล้วนมิได้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีแบบเดียวกับพวกเขา”

นางพยักหน้า

อาเซินหาเรือนซึ่งสามารถใช้พักแรมได้แล้ว “ท่านเก้า ท่านว่าพวกเราพักแรมที่นี่ได้หรือไม่ขอรับ”

ทั้งสองเดินไปที่นั่น

ประตูใหญ่สีดำมีมือจับเป็นห่วงทองแดง กำแพงสูงก่อด้วยก้อนหิน พอเข้าไปด้านในเป็นลานกว้างมีเรือนโถงหน้ากว้างสามช่วงเสาก่อด้วยอิฐ เมื่อทะลุผ่านไปเป็นลานขนาดย่อมลงเล็กน้อยมีห้องเล็กสามห้อง ด้านหลังสุดเป็นลานแจ้งและห้องครัว ดูโอ่โถงภูมิฐานอย่างมาก

“พวกเราอยู่ในห้องเล็กด้านหลังก็แล้วกัน” ท่านเก้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนบุกเข้ามา ยังมีลานเรือนสองชั้นกับเรือนโถงคั่นขวางอยู่ พวกเขาก็จะมีเวลาตั้งตัวรับมือได้ทัน

อาเซินขานตอบเสียงดัง จากนั้นจัดเก็บห้องปีกตะวันออกให้ฟู่ถิงจวินพำนัก

หญิงสาวเห็นโต๊ะกับม้านั่งหินอยู่ใต้ระแนงเถาองุ่นแห้งเฉาตรงมุมหนึ่งของลานกว้างหน้าห้องแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านเก้า พวกเรากินข้าวเย็นกันด้านนอกเถอะ” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เขามิได้พิถีพิถันมากนัก นางเพียงบอกกล่าวให้รับรู้ พอพูดจบก็เริ่มหยิบอาหารออกมาตั้งโต๊ะ

สีหน้าของท่านเก้าตึงเครียดขึ้นกะทันหัน เขาหมุนตัวขวับสาวเท้าเดินออกไป แค่สองสามก้าวก็ถึงประตูหลังของเรือนโถง

ฟู่ถิงจวินตกใจยกใหญ่เมื่อร่างของชายหนุ่มหายลับเข้าไปในเรือนโถงด้านหน้า ต่อจากนั้นมีเสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น

อาเซินชะโงกศีรษะออกมาทางหน้าต่างห้อง

นางวางชามกับตะเกียบในมือลงแล้วเดินออกจากลานกว้าง

บุรุษผิวหน้าสีดำแดงที่พวกนางพบกลางทางตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดรู้ ขณะนี้เขาล้มคว่ำอยู่บนพื้น ถูกท่านเก้าจับแขนไพล่หลัง ส่วนสตรีหน้าตาหมดจดผู้นั้นจูงมือเด็กน้อยคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าสงสารอยู่ด้านข้าง “แค่เห็นว่าเรือนหลังนี้มีกำแพงรั้วแข็งแรงที่สุด จึงคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดถึงได้เข้ามา พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย ไปเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านผู้กล้าได้โปรดเมตตาละเว้นด้วย!” นางพูดไปพลางกดหัวเด็กน้อยลงโขกศีรษะให้ท่านเก้าไปพลาง

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วไม่สบายใจมาก

ไฉนต้องใช้เด็กเป็นเครื่องมือ!

สามีภรรยาคู่นี้มิใช่คนดิบดีอะไรอย่างเห็นได้ชัด

นางถอยหลังออกไปเงียบๆ สวนเข้ากับอาเซินพอดี

“มีอะไรหรือ” อาเซินถามนาง

“ไม่มีอะไร” ฟู่ถิงจวินกล่าว “มีคนถูกตาต้องใจเรือนหลังนี้เช่นกัน ท่านเก้ากำลังเจรจาต่อรองกับพวกเขาอยู่”

อาเซินไม่ติดใจสงสัย

นางกล่าว “ห้องปีกตะวันออกเก็บกวาดเสร็จแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวกินข้าวกัน”

“เสร็จตั้งนานแล้วขอรับ” อาเซินพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มร่า ท่านเก้าก้าวปราดๆ เข้ามา “อาเซิน ไปหาเรือนอีกหลังหนึ่ง พวกเราจะเปลี่ยนที่พักแรม!”

“ขอรับ” อาเซินไม่ไต่ถามแม้แต่คำเดียว ขานรับแล้วตั้งท่าจะออกไปทันที

ท่านเก้ากลับเอ่ยขึ้น “ออกทางประตูหลัง!”

ดวงตาอาเซินมีรอยงุนงงจุดวาบขึ้น แต่ยังคงหมุนกายออกทางประตูหลังไปอย่างว่องไว

ฟู่ถิงจวินรีบเร่งเก็บอาหาร “ท่านเก้า พวกเราจะสละที่นี่ให้คนผู้นั้นพำนักหรือ”

“ไม่ใช่!” ท่านเก้ากล่าว “ระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า”

หญิงสาวย่อมเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาอย่างเต็มที่แน่นอน นางเก็บของเรียบร้อยในเวลาอันสั้น

อาเซินกลับมาแล้วเช่นกัน “ถัดไปหลังที่สามก็ไม่เลวเลย เสียแต่เล็กไปหน่อยเท่านั้นขอรับ”

ท่านเก้าไม่กล่าวคำใด ส่งสายตาให้ฟู่ถิงจวินแวบหนึ่งแล้วเข็นรถเข็นไม้ไป นางตามหลังเขาไปยังเรือนหลังที่อาเซินบอก

หลังจากวุ่นวายกับการย้ายที่พักแรม พอกินอาหารเย็นเสร็จ ดวงดาวก็ทอแสงทั่วท้องนภาแล้ว

อาเซินอุทานขึ้น “พรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใสอีกวันหนึ่งแล้ว”

“คิดไม่ถึงว่าเจ้ารู้โหราศาสตร์ด้วย” ฟู่ถิงจวินชอบพูดหยอกอาเซินมาก

“เป็นท่านเก้าบอกข้าต่างหาก” อาเซินมองท่านเก้าที่นั่งกินหมั่นโถวโดยไม่พูดไม่จาแวบหนึ่ง “ท่านเก้ายังรู้ว่าดาวสาวทอผ้าอยู่ที่ไหน ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอยู่ที่ไหน พี่อวี้เฉิงยังเล่าตำนานเรื่องสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว* ได้ด้วย”

“แล้วเจ้าเคยฟังตำนานเรื่องเทพธิดาฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์** หรือไม่” นางถามเขายิ้มๆ “อยากให้ข้าเล่าให้ฟังไหม”

“ข้าย่อมเคยฟังมาแล้ว” อาเซินโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “พี่อวี้เฉิงยังเล่าเรื่องงานเลี้ยงทวนเดี่ยว*** ได้ด้วย ท่านรู้จักเรื่องนี้ไหมขอรับ เป็นเรื่องเล่าของท่านกวนอู สนุกมาก หรือไม่จะให้ข้าเล่าให้ท่านฟังไหม” ฟู่ถิงจวินหัวเราะอย่างขบขัน

‘แย่แล้ว’ นางอุทานในใจทันที

ท่านเก้าเก็บเรื่องของตนเองเป็นความลับมิดชิด นางพูดถึงพรรคพวกเขากับอาเซินแบบนี้ เขาจะมีน้ำโหหรือไม่นะ!

ดวงตานางชำเลืองมองไปทางเขา

ท่านเก้านั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองนางกับอาเซินด้วยรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเขาแจ่มกระจ่าง ทอประกายระยิบระยับอย่างเงียบงัน ดุจดวงดาวดารดาษกลางผืนราตรีมืดมิดด้านหลัง ยามเมื่อได้ทอดสายตามองไป พาให้จิตใจสุขสงบตามไปด้วย

ฟู่ถิงจวินนิ่งค้างไปชั่วขณะ

 

กลางดึก ฟู่ถิงจวินถูกอาเซินเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้น “แม่นาง ตื่นๆ!”

“เกิดเรื่องใดขึ้น” เพื่อความสะดวก หลายวันมานี้นางล้วนเข้านอนโดยไม่ผลัดอาภรณ์

“ท่านเก้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า” ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “กลัวจะเป็นโจรป่ามาปล้นหมู่บ้าน!”

“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าพวกเขาไม่ต้องส่งคนมาดูลาดเลาก่อนสักคน คนในหมู่บ้านนี้หนีหายไปไม่เหลือร่องรอยตั้งนานแล้วนะ!” ปากนางบ่นพึมพำไป มือเท้ากลับไม่เชื่องช้าสักนิด หญิงสาวสวมรองเท้าอย่างฉับไวแล้ววิ่งออกจากห้องตามอาเซินไป

ท่านเก้ายืนขมวดคิ้วอยู่ในลานกว้าง พอเห็นฟู่ถิงจวินกับอาเซิน ก็ชี้ไปที่ตุ่มน้ำใบใหญ่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลาน “ท่านไปซ่อนตัวก่อน!”

“ซ่อนอย่างไร” ตุ่มน้ำใบนั้นไม่มีน้ำ อีกทั้งแตกเป็นรูใหญ่แต่แรกแล้ว

ยามราตรีมืดมิดเงียบสงัดเช่นเคย นางเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินสุ้มเสียงใด

ท่านเก้ายกตุ่มน้ำวางคว่ำกับพื้นอย่างสบายมือ “ท่านเข้าไปซ่อนในตุ่มน้ำ” จากนั้นเอ่ยสั่งอาเซิน “เอาห่อสัมภาระ ถุงหนังกับหมั่นโถวของแม่นางออกมาแล้วซ่อนไว้ในตุ่มน้ำให้หมด”

ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

อาเซินออกไปตามคำสั่ง หยิบของที่ท่านเก้าบอกไว้มาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

“ท่านใช้ห่อสัมภาระเป็นที่รองนั่ง” ท่านเก้ากล่าวพลางแง้มขอบตุ่มน้ำขึ้น บุ้ยใบ้ให้นางรีบมุดเข้าไป “หากข้ายังไม่มา ท่านก็อย่าออกมา ฟังเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” ถ้อยคำหลัง เขาถามด้วยเสียงขึงขัง

ฟู่ถิงจวินพยักหน้าถี่รัว ก่อนจะคลานเข้าไปอย่างงุ่มง่าม อาเซินเอาถุงหนัง หมั่นโถว และแป้งย่างยัดตามเข้ามา

ท่านเก้ากับอาเซินขึ้นไปอยู่บนขื่อห้องครัว

ในที่มืดคับแคบและรอบตัวเงียบสนิท เวลากลับแปรเปลี่ยนเป็นเดินช้าลงไปด้วย

ฟู่ถิงจวินหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวท่านเก้า ทำให้นางขดตัวซ่อนอยู่ในตุ่มน้ำโดยไม่ขยับเขยื้อน

ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ ทันใดนั้นมีแสงไฟส่องลอดรูแตกของตุ่มน้ำเข้ามา

“จ้าวจิ่ว* ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่” เสียงตะโกนกระโชกโฮกฮากดังขึ้น “มีวาสนาแม้นไกลพันลี้ยังได้พบหน้า ไร้วาสนาแม้นใกล้แค่เอื้อมก็ไม่รู้จัก ในเมื่อข้าเจ้ามีวาสนาได้พบกันแล้ว สมควรสะสางบัญชีที่ติดค้างกันอยู่สักหน่อยหรือไม่ ข้านั้นคิดถึงเจ้ากระทั่งในยามฝันเชียวนะ!” ยามเขาเอ่ยถึงคำสุดท้าย น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมชวนให้ขนลุกเกรียว

บอกว่าหลบโจรป่ามิใช่หรือ ไฉนกลายเป็นคู่อริของท่านเก้าที่โผล่มา

ฟู่ถิงจวินเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องทันใด นางซ่อนตัวอยู่ในตุ่มน้ำมองอะไรไม่เห็น ทำให้ร้อนใจจนไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี!

“เฝิงเหล่าซื่อ ข้าเองก็อยากหาโอกาสคิดบัญชีระหว่างเจ้าข้ามาโดยตลอดเช่นกัน” ยามดึกสงัดเงียบกริบ เสียงเนิบนาบของท่านเก้าค่อยๆ ดังลอยมาใกล้หญิงสาวทีละน้อย “ในเมื่อวันนี้เจ้ามีอารมณ์สุนทรีย์ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นพวกเราก็มาชำระสะสางให้เสร็จสิ้นไปเลย!” นางรู้ว่าท่านเก้าเดินออกมายืนอยู่ในลานกว้างแล้ว “แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเคยบอกว่าพูดคุยก็ดีหรือกินข้าวก็ช่างล้วนต้องอาศัยกำปั้น ข้าว่าวันนี้พวกเรามาใช้กำปั้นคิดบัญชีกันเถอะ!” ต่อจากนั้นฟู่ถิงจวินได้ยินเสียงดังผัวะ ตามมาด้วยเสียงคำรามด้วยความโกรธของบุรุษ เสียงร้องของอาชา คละเคล้าเสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวของสตรีดังเซ็งแซ่ชุลมุนวุ่นวาย

ตอนท่านเก้ามองเห็นดวงหน้าสะสวยหมดจดของสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายเฝิงเหล่าซื่อก็รู้ว่าวันนี้เขาจำต้องเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่เสียแล้ว สตรีผู้นี้เคยพบเห็นฟู่ถิงจวิน ฉะนั้นเฝิงเหล่าซื่อย่อมรู้ว่าเขายังพาหญิงสาวกับเด็กน้อยมาด้วย และจะต้องคิดว่าเป็นครอบครัวของเขา ด้วยเหตุนี้เฝิงเหล่าซื่อคงต้องใช้เล่ห์เพทุบายสารพัดเพื่อจับเป็นคนทั้งสองมาต่อรองกับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งแล้ว! ส่วนว่าสตรีผู้นี้อยู่กับเฝิงเหล่าซื่อได้อย่างไร เขาไม่นึกสนใจแม้แต่น้อย

เขาเคลื่อนกายฉับไวดุจสายฟ้าแลบ เงื้อพลองเสมอคิ้วพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงเหล่าซื่อ

เฝิงเหล่าซื่อคาดไม่ถึงว่าท่านเก้าจะทำทีพูดจาโต้ตอบพร้อมกับจู่โจมเข้าใส่ตน เขารีบชักม้าถอยหนี

พอสายบังเหียนม้าถูกรั้งตึง เจ้าอาชากู่ร้องเสียงหนึ่ง ท่านเก้าก็ประทับฝ่ามือลงบนศีรษะมัน ม้าตัวนั้นล้มตะแคงลงกับพื้นโดยไม่ส่งเสียงร้องเสียงแอะ

เฝิงเหล่าซื่อตระหนกตกใจ ด้วยรู้ว่าขณะที่ท่านเก้าประทับฝ่ามือลงบนศีรษะม้าก็ยากที่มันจะหนีพ้นความตายไปได้ เขาไม่รอให้เจ้าอาชาล้มลงก็กระโดดลงจากหลังของมัน ชักดาบยกขึ้นป้องอกไว้บังเกิดเสียงดังเช้ง

ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเก้ามิได้สนใจเขาสักนิด หากแต่สะบัดปลายนิ้วคราหนึ่ง ฉับพลันนั้นมีประกายแสงสีเงินสว่างวาบกรีดผ่านอากาศไปดุจดาวตก

“นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าสังหารสตรี” ท่านเก้าพึมพำกับตนเอง สตรีซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเฝิงเหล่าซื่อเหลือกตาค้างกะทันหัน ใต้แสงคบเพลิงเห็นโลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาจากลำคอนางช้าๆ…

ทุกคนล้วนชักม้าถอยกรูดๆ

สตรีผู้นั้นล้มพับลงกับพื้น

“มีดใบหลิวของท่านเก้าสกุลจ้าวสมดังคำร่ำลือโดยแท้!” เฝิงเหล่าซื่อเหลือบตามองสตรีที่นอนตายอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “ข้าก็ใช้อาวุธมีคมเช่นกัน แต่ของข้าเป็นดาบใหญ่!” สิ้นเสียงเขา คมดาบวาววับพุ่งไปแทงใส่ท่านเก้าดุจเกลียวคลื่นซัด

ท่านเก้าถอยหลังก้าวหนึ่ง ยกพลองเสมอคิ้วขึ้นขวางด้านหน้า

เกลียวคลื่นสลายไปในชั่วพริบตา พร้อมกับพลองเสมอคิ้วหักเป็นสองท่อน ท่อนหนึ่งตกลงบนพื้นดังเคร้ง อีกท่อนหนึ่งยังอยู่ในมือของท่านเก้า

เฝิงเหล่าซื่อหรี่ตาลงมองท่านเก้า จากนั้นกระโจนตัวลอยพร้อมเงื้อดาบโถมฟันใส่ท่านเก้าประหนึ่งขุนเขาถล่มทับ

ท่านเก้ากวัดแกว่งพลองเสมอคิ้วครึ่งท่อนเข้าปะทะ

เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น พลองเสมอคิ้วหักกลางอีกครั้ง ทว่าเฝิงเหล่าซื่อคล้ายกระแทกใส่กำแพงเหล็กก็ไม่ปาน ตีลังกากลับหลังกลางหาวติดต่อกันหลายตลบ ตัวเซถอยไปหลายก้าวถึงยืนทรงตัวได้

ท่านเก้ามีสีหน้าหนักอึ้งขึ้น

เขาเพิ่งได้ประมือกับเฝิงเหล่าซื่อตรงๆ เป็นคราแรก ภายในสองกระบวนท่านี้ เฝิงเหล่าซื่อสำแดงเพลงยุทธ์หนึ่งอ่อนหนึ่งแข็ง เห็นได้ว่าฝึกปรือพลังยุทธ์แข็งอ่อนประสานกันจนบรรลุถึงขั้นล้ำเลิศแล้ว

เขาตั้งท่าเพลงมวย

เฝิงเหล่าซื่อพุ่งทะยานเข้ามา

ประกายดาบเย็นเยียบแผ่เป็นม่านชั้นแล้วชั้นเล่าห้อมล้อมท่านเก้าไว้ด้านใน

ท่านเก้าออกหมัดอย่างเชื่องช้า ขวาทีซ้ายที กระแสปราณหมัดผ่านไปทางใด ม่านประกายดาบขาดออกเป็นช่องโหว่ทันควัน

เฝิงเหล่าซื่อแค่นเสียงเยาะ ตวัดดาบฟาดฟันอุดช่องโหว่นั้นไว้ดังเดิม

ท่านเก้าค่อยๆ ออกหมัดเร็วขึ้นทุกที ขณะที่เฝิงเหล่าซื่อค่อยๆ สร้างม่านประกายดาบได้ช้าลงเรื่อยๆ

จู่ๆ มีเสียงเคร้งดังกังวานขึ้น เฝิงเหล่าซื่อเหินกายถอยหลัง

บนพื้นมีเศษสีเงินหล่นกระจัดกระจายดุจดังดวงจันทร์แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เฝิงเหล่าซื่อหน้าซีดเผือด ยืนกำด้ามดาบที่ปราศจากใบดาบอยู่กับที่ มุมปากมีของเหลวสีแดงเข้มไหลย้อยลงมา

รอบด้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงเปลวไฟลุกโชนดังพึ่บพั่บมาจากคบเพลิง ยิ่งขับเน้นให้ทั่วทั้งบริเวณวิเวกวังเวงดุจป่าช้า

“มีพิษสงอยู่พอตัวจริงๆ มิน่าถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” เฝิงเหล่าซื่อยิ้มเยาะ “แต่ว่าเจ้าหนุ่ม ความสำเร็จหาใช่อาศัยแต่กำปั้นเท่านั้น” เขาพูดพลางพลิ้วกายถอยหลัง “สังหารให้หมด!”

เขาโถมแรงกระโจนตัวขึ้นไปบนหลังม้า ทำให้มันตื่นตกใจจนแผดเสียงร้องระลอกหนึ่ง

“ใครสามารถบั่นศีรษะจ้าวจิ่วมาได้ ตกรางวัลให้ห้าหมื่น” เสียงของเฝิงเหล่าซื่อดังก้องอยู่กลางม่านราตรี

ฟู่ถิงจวินรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ

ห้าหมื่นตำลึงเงิน…ท่านน้าซึ่งถูกเรียกขานว่าคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนานยังมีทรัพย์สมบัติแค่ห้าหมื่นตำลึง นี่ยังต้องนับรวมเรือนชานบ้านช่อง ไร่นาสาโท และร้านค้า เงินรางวัลก้อนโตอย่างนี้จะมีสักกี่คนที่จิตใจไม่สั่นคลอนเล่า

ภายในลานกว้างมีเสียงม้าร้องอย่างกระสับกระส่าย เสียงอาวุธกระทบกันเคร้งคร้างบาดหู เสียงตะคอกกระโชกโฮกฮากยามบุรุษต่อสู้กันดังประสานกันอึงคะนึงกระหน่ำใส่โสตประสาทพร้อมกัน ทำให้หญิงสาวหวาดกลัวและไม่คุ้นเคย

ฟู่ถิงจวินประนมมือ สวดมนต์อ้อนวอนเสียงงึมงำอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าน้อยฟู่ถิงจวิน ขอให้พระโพธิสัตว์ทรงคุ้มครองให้ท่านเก้าแคล้วคลาดปลอดภัย…” ในใจนางยังบอกตนเองไม่หยุดว่าท่านเก้าจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน เขาเก่งกาจปานนั้น จากหวาอินมาถึงเว่ยหนาน จากเว่ยหนานมาถึงหลินถง ประสบความลำบากยากเข็ญมากมายอย่างนั้น เขายังพาทุกคนฝ่าข้ามมาได้ด้วยกัน คราครั้งนี้จะต้องไม่เป็นอะไรเช่นกัน

เสียงสวดมนต์อ้อนวอนด้วยความพรั่นพรึงอับจนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายเยือกเย็น

เสียงเอะอะเอ็ดตะโรด้านนอกก็เงียบลงอย่างช้าๆ

บางคราวยังได้ยินเสียงร้องของอาชากับเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของบุรุษ

รู้ผลแพ้ชนะแล้วหรือ

ฟู่ถิงจวินใจเต้นไม่เป็นส่ำ เงี่ยหูตั้งใจฟัง

มีบุรุษส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “จ้าวจิ่ว เจ้าดูสิว่าไอ้ลูกสุนัขในมือข้าเป็นใคร”

เป็นเสียงของเฝิงเหล่าซื่อผู้นั้น

พวกนางมีกันแค่สามคน นางอยู่ในนี้…เช่นนั้น อีกคนหนึ่งนั่นก็ต้องเป็นอาเซิน

ฟู่ถิงจวินลนลานขึ้นมา คลำเจอรูแตกบนตุ่มน้ำได้ก็คิดจะมองลอดออกไป เผอิญรูนั้นอยู่ต่ำเกินไป จะก้มตัวแค่ไหนก็ไม่ถึง บันดาลให้นางว้าวุ่นร้อนรุ่มใจ

เฝิงเหล่าซื่อผู้นั้นจะทำอะไรกับอาเซินกันแน่

ท่านเก้าจะตีมุสิกก็เกรงข้าวของแตกหัก แล้วจะพลิกกลับเป็นฝ่ายปราชัยหรือไม่

“เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเหลือทางรอดให้เจ้าสักสาย” เสียงเย็นเยียบระคนเหี้ยมเกรียมจางๆ ของท่านเก้าดังขึ้นข้างหู “ตอนนี้เห็นทีว่าไม่จำเป็นแล้ว!”

นางไม่เคยได้ยินท่านเก้าเอ่ยวาจาด้วยสุ้มเสียงเช่นนี้มาก่อน อดหนาวสะท้านเยือกหนึ่งมิได้

“ฮ่าๆๆ” เฝิงเหล่าซื่อกลับหัวเราะเสียงดังอย่างโอหังราวกับได้ยินเรื่องน่าขบขันจนท้องคัดท้องแข็งอะไร “เจ้าสังหารลูกน้องมือดีของข้าไปหมดแล้วค่อยเหลือทางรอดให้ข้าสายหนึ่ง?” เสียงของเขาเจือความชิงชัง “ท่านสี่สกุลเฝิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งซีเป่ย ไม่เหลือลูกน้องที่เชื่อมือได้ เช่นนั้นยังเป็นเฝิงเหล่าซื่ออีกหรือ เจ้านึกว่าข้าเป็นเด็กอมมือหรือไร” น้ำเสียงเขาปวดร้าวเยี่ยงคนจนตรอกอย่างปิดไม่มิด “จ้าวจิ่ว วันนี้มิใช่เจ้ามอดม้วยก็เป็นข้ามรณา!”

“ท่านสี่ ท่านจะเสียเวลาพูดกับเขาอีกทำไม” มีเสียงชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้น “พวกเราฆ่าไอ้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อน จากนั้นค่อยฝ่าออกไป ผู้ใดขวางทางก็ฆ่าทิ้งซะ ท่านสามยังอยู่ในเมืองหลินถง ขอแค่พวกเราเข้าเมืองได้ ต่อให้จ้าวจิ่วมีสามเศียรหกกรก็ได้แต่มองตาปริบๆ”

ท่านเก้าซึ่งไม่ยังพูดสักคำ ทำเสียงแค่นเยาะ “ท่านสามสกุลเฝิง? เขาหมายจะเป็นประมุขตระกูลแทนที่ท่านสี่มาโดยตลอดมิใช่หรือ แล้วท่านสามกับท่านสี่หันหน้าจับมือกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่าข่าวลือตามท้องถนนในซีเป่ยล้วนเป็นความเท็จ”

รอบด้านตกอยู่ในความสงัดวิเวก ทุกสรรพเสียงในลานกว้างเงียบลงกะทันหัน แม้แต่ฟู่ถิงจวินซึ่งซ่อนอยู่ในตุ่มน้ำยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้ง

“เจ้าชื่อต้าหู่กระมัง” เสียงเรียบเรื่อยของท่านเก้าดังขึ้นอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านสี่ของพวกเจ้าถึงเสียเวลาพูดกับข้า ก็เพราะเขาอยากเจรจากับข้านะสิ อยากใช้ชีวิตเด็กรับใช้ผู้นี้ของข้าแลกกับชีวิตตน เจ้าอย่าคอยขัดแข้งขัดขาอยู่ด้านข้างเลย หากท่านสี่ของพวกเจ้าหนีออกไปได้แล้วค่อยใช้ตำแหน่งประมุขสกุลเฝิงเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับท่านสามอีกทีหนึ่ง ด้วยท่านสามเห็นแก่ความเป็นพี่น้องก็ไม่น่าจะปฏิเสธเป็นแน่ เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาคงรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ถ้าจบชีวิตลงที่นี่ก็ไม่มีแม้แต่โอกาสแล้ว!”

ถึงฟู่ถิงจวินไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราว กลับอดมิได้ที่จะลอบร้องชมท่านเก้าอยู่ในใจ

ในเมื่อท่านสามกับท่านสี่แห่งสกุลเฝิงกินแหนงแคลงใจกันอยู่อย่างนี้ ลูกน้องของพวกเขาทั้งคู่จะต้องเป็นเช่นน้ำกับไฟแน่นอน กระนั้นเฝิงเหล่าซื่อซึ่งเป็นถึงประมุขตระกูลยังกำราบเฝิงเหล่าซานไว้ไม่อยู่ เห็นได้ว่าเฝิงเหล่าซานผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน* ขณะนี้ตกอยู่ภาวะคับขัน คนของเฝิงเหล่าซื่อมุ่งแต่จะคุ้มครองเขาหนีรอดออกไป ย่อมดุดันเหี้ยมหาญผิดสามัญเป็นธรรมดา ทว่าท่านเก้ากลับยุแยงให้พวกเขาแตกคอกัน บอกว่าถ้าเฝิงเหล่าซื่อหนีกลับไปได้ก็จะใช้ตำแหน่งประมุขตระกูลไปประจบประแจงเฝิงเหล่าซานดุจสุนัขกระดิกหาง ส่วนเฝิงเหล่าซานก็อาจจะไว้ชีวิตเขาเพราะเห็นแก่ความผูกพันทางสายเลือด อีกทั้งบอกเป็นนัยๆ ว่าพวกเขาซึ่งเป็นลูกน้องของเฝิงเหล่าซื่อไม่แน่ว่าจะหนีพ้นการคิดบัญชีของเฝิงเหล่าซานไปได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาต้องหมดแก่ใจจะเสี่ยงตายคุ้มครองเฝิงเหล่าซื่อหลบหนี เพียงเท่านี้ก็จะทำให้พวกเขาแตกความสามัคคีกันได้สมความตั้งใจ

ดังคาด นางได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกันทันควัน

“จ้าวจิ่วเจ้าเล่ห์แสนกลมาแต่ไหนแต่ไร พวกเจ้าอย่าได้หลงกลเขา!” เฝิงเหล่าซื่อกล่าวเสียงดัง แต่น้ำเสียงไม่เฉียบขาดเฉกเมื่อครู่นี้

ไม่มีคนขานตอบเขา

“ดี ข้าจะสังหารไอ้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อน…” เฝิงเหล่าซื่อเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อ๊ะ!” ฟู่ถิงจวินร้องอุทาน นางระงับใจไม่อยู่ ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน ศีรษะกลับชนเข้ากับตุ่มน้ำดังโป๊ก เจ็บจนได้ยินแต่เสียงอื้ออึงในหู

ด้านนอกมีเสียงคำรามกราดเกรี้ยวของเฝิงเหล่าซื่อดังลอยมาอีก “จ้าวจิ่ว! เจ้าคนถ่อยต่ำช้า…” แต่แล้วคล้ายมีลมพัดกรูเข้าไปในปาก เขายังกล่าวไม่จบ เสียงก็เงียบหายไป หญิงสาวได้ยินเสียงครางเบาๆ ของท่านเก้ากับเสียงตะโกนแหลมสูงของอาเซิน “ท่านเก้า!”

ฟู่ถิงจวินเจ็บแปลบตรงกลางใจ นางไม่นำพาอะไรอีกต่อไป ออกแรงยกตุ่มน้ำขึ้นอย่างสุดชีวิต

ถึงอย่างไรท่านเก้าตายแล้ว นางก็ไม่รอดชีวิตเช่นกัน มิสู้ฉวยจังหวะให้ท่านเก้าซึ่งยังมีลมหายใจเฮือกหนึ่งเป็นคนลงมือสังหารนางด้วยตนเอง ยังดีเสียกว่าถูกคนพวกนั้นพบตัว นอกจากจะร้องขอความตายไม่ได้ยังจะต้องถูกข่มเหงย่ำยีอีก

“ท่านเก้าไว้ชีวิตด้วย…” เสียงโอดครวญหยุดชะงักกลางคันดังลอยมาเข้าหูของฟู่ถิงจวินประหนึ่งดังเสียงสวรรค์

นางรู้สึกราวกับว่าตนเองฟื้นคืนชีวิตใหม่ก็ไม่ปาน หัวใจเริ่มเต้นตุบๆ ร่างกายมีเรี่ยวแรงกำลังขึ้นมา

ในเมื่อท่านเก้ายังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ นางจะต้องไม่กลายเป็นภาระของเขาจึงจะถูก

ฟู่ถิงจวินขดตัวอยู่ในตุ่มน้ำนิ่งๆ ได้ยินเสียงจากภายนอกค่อยๆ เงียบซาลง มีเสียงร้องโหยหวนลอยมาเป็นบางครั้ง ดูเหมือนว่าไร้กำลังตอบโต้กลับได้แล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มีคนเคาะตุ่มน้ำ “แม่นางฟู่!”

เป็นเสียงของท่านเก้า!

“ข้าอยู่ในนี้!” นางกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี

ตุ่มน้ำถูกยกแง้มขึ้น

แสงตะวันเรื่อๆ จับขอบฟ้าแล้ว

ชายหนุ่มเสมือนดั่งขุนเขาสูงตระหง่านมั่นคง ยืนเพ่งมองนางอยู่ตรงนั้นอย่างสุขุมเยือกเย็น ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของนางสงบลงได้

“ท่านเก้า!” ด้วยขดตัวอยู่ตุ่มน้ำนานเกินไป นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืน

ปลายจมูกได้แต่กลิ่นคาวโลหิตน่าคลื่นเหียน ครั้นหางตาชำเลืองเห็นศพหัวขาดศพหนึ่ง ฟู่ถิงจวินก้มตัวอาเจียนอย่างกลั้นไม่อยู่

ท่านเก้าถอนใจเฮือกหนึ่ง “อาเซินได้รับบาดเจ็บ พวกเรารีบเก็บข้าวของไปจากที่นี่เถอะ”

ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วรู้สึกคลับคล้ายว่าอาการพะอืดพะอมตรงกลางอกไม่ยากจะทานทนอย่างนั้นแล้ว

นางยืดตัวตรงทันใด ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “อาเซินอยู่ที่ใด”

ในดวงตาท่านเก้าเผยแววยิ้มรางๆ เขาชี้ไปที่รถเข็นไม้ซึ่งจอดอยู่หน้าประตู อาเซินนอนนิ่งๆ อยู่บนนั้น

ฟู่ถิงจวินวิ่งถลาเข้าไป

“อาเซินๆ!” นางจับมือของเด็กน้อยพลางร้องเรียกเขาเสียงนุ่ม “เจ้าอยากดื่มน้ำสักหน่อยไหม…ข้ายังเก็บไข่ต้มไว้ฟองหนึ่ง…”

อาเซินถูกตีจนหน้าบวมไปครึ่งซีก ขอบตาเขียว แก้มฟกช้ำ ปากบวมแดงจนนางเกือบจำหน้าเขาไม่ได้

“อาเซิน!” หญิงสาวน้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย

อาเซินลืมตาขึ้นแล้วกะพริบตาสองสามที สีหน้าเขาเลื่อนลอย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงทำหน้ารับรู้เหมือนว่าเพิ่งเห็นคนตรงหน้าชัดถนัดตาว่าเป็นใคร

เขาฉีกยิ้มแต่กระเทือนถูกแผลจนต้องขมวดคิ้วแน่น กระนั้นยังคงพูดอ้อมแอ้มขึ้น “แม่นาง พวกเขาตีข้า ข้าไม่ร้องสักแอะเลยนะ!” เด็กน้อยออกเสียงไม่ชัดอยู่บ้าง

“อื้อๆๆ!” ฟู่ถิงจวินพยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้าที่มีหยดน้ำตาเกาะอยู่ประดับด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ถ้าไม่ใช่อาเซิน ท่านเก้าต้องเอาชนะเฝิงเหล่าซื่อผู้นั้นไม่ได้แน่นอน”

อาเซินส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าทำให้ท่านเก้าเดือดร้อน…”

นางหวนนึกถึงตอนที่ตนเองตกลงมาจากต้นไม้ พอขยับศีรษะก็มึนงง จึงรีบพูดขึ้น “อย่าขยับ เจ้าหลับตาพักผ่อนสักครู่ก่อนนะ” จากนั้นคิดขึ้นได้ว่าคนพวกนั้นดุร้ายปานนั้น จะต้องไม่ตบหน้าอาเซินอย่างเดียวเป็นแน่ “เจ้ายังบาดเจ็บตรงไหนอีกบ้าง ข้า…” นางพูดต่อไม่ออก

ไม่มียา นางจะทำอย่างไรได้

ท่านเก้าเป็นศัตรูกับตระกูลเฝิงทว่ามีกำลังคนน้อยนิด แล้วเฝิงเหล่าซานผู้นั้นยังอยู่ในหลินถง จะไปหาหมอที่นั่นก็ไม่ได้อีก…พอคิดถึงตรงนี้ นางอดคอตกมิได้

“อาเซินมีแต่บาดแผลภายนอกเท่านั้น” เสียงราบเรียบของท่านเก้าดังขึ้นข้างหลัง “พวกท่านกรอกน้ำเกลืออ่อนๆ ไว้มิใช่หรือ เอามาใช้ล้างแผลให้เขาก็พอ เมื่อครู่มืดมิดไม่มีแสงไฟ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามากันกี่คน แล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนหนีรอดไปได้หรือไม่ พวกเราต้องรีบเร่งไปจากที่นี่ประเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่ถูกคนของเฝิงเหล่าซานปิดล้อมอยู่ที่นี่”

ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างตะลึงลาน “ไหนท่านบอกว่าเฝิงเหล่าซานกับเฝิงเหล่าซื่อไม่ลงรอยกันมิใช่หรือ” นางเพิ่งพบว่าบนตัวท่านเก้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด อาบย้อมอาภรณ์จนมองสีเดิมไม่ออกแต่แรก

ความรู้สึกพะอืดพะอมพลุ่งขึ้นกลางอกอีกครั้ง

ฟู่ถิงจวินฝืนทนไว้ถึงไม่อาเจียน

“ถึงจะไม่ลงรอยสักเพียงใดก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน” ท่านเก้ากล่าว “อันใดที่พึงแสดงให้ผู้อื่นเห็นก็ต้องแสร้งทำพอเป็นพิธี”

“อ้อ” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านไปผลัดอาภรณ์เถอะ…มี…มีแต่เลือดเต็มไปหมด”

ท่านเก้าไม่พูดอะไร หยิบเสื้อคลุมสั้นสีดำตัวหนึ่งในห่อสัมภาระออกมาแล้วเข้าไปในห้อง

ในเวลานี้ฟู่ถิงจวินเพิ่งพบว่ามีซากศพนอนระเกะระกะอยู่ทั่วทั้งลานกว้าง แม้แต่แดนอเวจีในความฝันยังไม่นองเลือดแบบนี้ ไม่สิ นางไม่เคยฝันถึงแดนอเวจีต่างหาก

นางตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย ในใจรู้ดีว่าสมควรเก็บของแล้วรีบจากไปที่นี่ แต่แขนขาอ่อนแรงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว

“ไฉนยังไม่เก็บของ” ท่านเก้าสาวเท้าออกมา สีหน้ามึนตึงขึ้นทีละน้อย เขาโยนเสื้อเปื้อนเลือดที่ผลัดออกมาทิ้งไว้ในลานกว้างแล้วยกของขึ้นรถเข็นไม้เงียบๆ

“ขึ้นมานั่ง!” สุ้มเสียงของเขาราบเรียบแข็งกระด้างเหมือนเมื่อแรกพบกันที่อารามปี้อวิ๋น “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

ไม่รู้เพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกเสียใจมาก

ทั้งๆ ที่เขาก็ยิ้มเป็น ทำไมต้องชักสีหน้าใส่นางอยู่ร่ำไป

นางกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองตาเขาตรงๆ “ข้ารู้ว่าถ้าท่านเก้าไม่สังหารพวกเขา พวกเขาก็จะสังหารพวกเรา ข้า…ข้าแค่ไม่คุ้นเคย…” จู่ๆ ขอบตาก็มีน้ำตารื้นขึ้น

บทที่เก้า

 รถเข็นไม้เคลื่อนโขยกเขยกออกจากหมู่บ้าน

ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่นเดินตามหลังท่านเก้า

อาเซินสลบไสลไม่ได้สติ นางไม่ฟังเสียงค้านของท่านเก้า สละที่บนรถเข็นให้อาเซิน

“ถ้าเดินไม่ไหวแล้วก็บอกข้าสักคำ” ท่านเก้าเหยียดแผ่นหลังตรงเดินอยู่ข้างหน้า เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ โดยไม่หันหน้ามา “เกิดเท้าพอง ข้ายังต้องดูแลท่านอีก”

ฟู่ถิงจวินไม่พูดไม่จา

หลังจากทำน้ำตาร่วงเผาะๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ต่อหน้าเขาเมื่อครู่นี้ นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่สนใจท่านเก้าอีกต่อไป

ถึงอย่างไรในสายตาเขามักเห็นนางเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ผิวบางที่ถูกตามใจมาแต่เยาว์วัย แล้วนางจะพูดมากไปไย

อีกประการหนึ่ง ในเมื่อเขารับปากว่าจะพานางไปเมืองซีอานก็จะต้องทำตามนั้นแน่นอน นางไม่มีอะไรน่ากังวลใจ

หางตานางเหลือบมองไปทางต้นไม้เก่าแก่ซึ่งยืนต้นแห้งตายตรงปากทางหมู่บ้านต้นนั้น กลับแลเห็นบุรุษผิวหน้าสีดำแดงที่เมื่อวานตามหลังพวกนางเข้าไปในหมู่บ้านคนนั้นกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้แอบดูอยู่

ฟู่ถิงจวินชะลอฝีเท้าลงอย่างประหลาดใจ

เมื่อวานมีเสียงต่อสู้ดังครึกโครมขนาดนั้น โดยปกติไม่ว่าเป็นใครล้วนต้องซ่อนตัวไว้ก่อนแล้วค่อยฉวยโอกาสตอนพวกนางยังไม่ออกมารีบเร่งหลบหนีถึงจะถูก คนตั้งมากขนาดนั้นยังรุมโจมตีท่านเก้าไม่สำเร็จ หรือเขาไม่กลัวถูกฆ่าปิดปาก

หรือว่าเขามิใช่ชาวบ้านทั่วไป!

ฟู่ถิงจวินกำลังตรึกตรองว่าจะส่งสัญญาณบอกให้ท่านเก้ารู้อย่างไรดี เขาก็หันขวับกลับมา “เป็นอะไรไป”

อย่างกับมีตาหลังกระนั้น!

นางค่อนขอดในใจแล้วชี้ไปที่ต้นไม้เก่าแก่

พอบุรุษคนนั้นพบว่าฟู่ถิงจวินชี้มาที่ตนเอง ก็อุ้มเด็กไว้แล้วสาวเท้าวิ่งอย่างลุกลี้ลุกลน!

น่าเสียดายที่ในช่วงภัยแล้ง ทุ่งนาไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสักต้น ส่งผลให้เขาไม่มีที่ซ่อนตัว ถูกถุงหนังเปล่าที่ท่านเก้าขว้างออกไปกระแทกเข้าที่ขาจนเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นดังตึง ทำให้เด็กน้อยหกล้มตามไปด้วย เด็กส่งเสียงร้องไห้จ้า

บุรุษผู้นั้นตะกายลุกขึ้นมาได้ก็คุกเข่า จากนั้นเดินเข่าพรวดๆ ไปตรงหน้าท่านเก้า “ไว้ชีวิตด้วย…ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย…นายท่านไว้ชีวิตด้วย…”

เห็นท่านเก้าก็ร้องขอชีวิต ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเรื่องของเฝิงเหล่าซื่อเกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคน

ประกายเย็นเยียบจุดวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม พอเขากำหมัด รอบตัวบังเกิดกระแสปราณสายหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นหยั่งรู้ถึงอันตรายได้ล่วงหน้าโดยสัญชาตญาณ คว้าตัวเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมแขน “นายท่านๆ ข้ามิได้มีเจตนาร้ายใด…เพียงเห็นนายท่านมีฝีมือสูงส่ง คนเดียวสู้กับคนเจ็ดแปดคนได้อย่างไม่คณามือ จึงอยากติดตามอยู่ด้านหลังขออาศัยบารมีท่านเท่านั้น!” เขาคุกเข่าร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพร้อมกับโขกศีรษะดังตุบๆ “คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับคนโฉดกลุ่มนั้น…พวกข้ามิได้เจตนาจริงๆ”

ท่านเก้าคลายหมัดออก แต่เงื้อเท้าถีบไปที่หัวไหล่เขา “คนที่โกหกข้าได้ ใต้หล้านี้มีอยู่ไม่กี่คน!”

ฟู่ถิงจวินตกตะลึง อดอุทานเบาๆ มิได้

บุรุษผู้นั้นหงายหลังล้มลงกับพื้น

เด็กน้อยตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยความตกใจ

“ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วยๆ…” บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าสะพรึงกลัวเต็มเปี่ยม เขาตะกายลุกขึ้นมาคุกเข่าตรงหน้าท่านเก้าอีกครั้ง “สิ่งที่ข้าพูดเป็นความสัตย์จริง…ข้าเป็นคนของคฤหาสน์สกุลหวังในเว่ยหนาน ข้ากับพี่น้องสกุลเดียวกันสองสามคนกำลังบ่ายหน้าไปขอพึ่งพาน้าเขยที่เมืองซีอาน แต่ถูกพวกคนเร่ร่อนปล้นชิงในตอนกลางคืน เลยพลัดหลงกับพวกพี่น้อง เสบียงอาหารก็ถูกแย่งไป ข้าหมดทางเลือกจำต้องติดตามอยู่ข้างหลังพวกท่าน หมายจะขอปันอาหารจากแม่นางน้อยท่านนี้ ถึงได้ตามพวกท่านมาตลอด…” เขาพูดพลางชำเลืองมองฟู่ถิงจวินแวบหนึ่งด้วยสีหน้าลนลาน

“ฉะนั้นพอพบกับพวกที่คล้ายโจรป่ากลุ่มหนึ่ง พวกเจ้านึกว่าพวกมันจะชิงเสบียง เลยกลัวว่าจะโดนพวกมันสังหารทิ้งเมื่อพบว่าพวกเจ้าไม่มีอาหาร?” ท่านเก้าแค่นเยาะ ใบหน้าแฝงรอยเย้ยหยันหลายส่วน “เจ้าก็เลยบอกคนกลุ่มนั้นว่ายังมีคนพักแรมอยู่ในหมู่บ้านนี้ และมีเสบียงอาหารติดตัวมามากมาย…”

บุรุษผู้นั้นหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดโตไหลซึมลงมาจากหน้าผาก “ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วยๆ…” น้ำเสียงเขาแหบโหยโรยแรง

ฟู่ถิงจวินเพิ่งกระจ่างแจ้งในตอนนี้

ที่แท้สาเหตุที่เฝิงเหล่าซื่อไล่ตามมาทันได้ ล้วนเป็นเพราะบุรุษผู้นี้

พอนึกถึงว่าเขายังคิดจะขอปันอาหารจากนางอีก หรือว่าหน้าตานางเหมือนคนหลอกง่ายปานนั้น

ฟู่ถิงจวินโมโหจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน

“ท่านเก้า รีบเดินทางต่อเถอะ!” นางลืมเลือนความตั้งใจแน่วแน่เมื่อครู่นี้ไปจนสิ้น “พวกเรายังต้องหาที่หยุดพักดูอาการให้อาเซินอีกนะ!”

หางตาของท่านเก้ากระตุกเบาๆ

“ได้!” เขาหมุนกายออกเดินไป

ฟู่ถิงจวินก้าวฉับๆ ตามไป

เดินไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ นางก็อุทานขึ้น “เอ๊ะ…ท่านเก้า ผู้ชายคนนั้นคงมิได้โกหกพวกเรากระมัง ไม่อย่างนั้นเหตุไฉนเขาไม่หนีไปล่ะ”

“มิใช่!” สุ้มเสียงของท่านเก้าไม่เร็วไม่ช้า ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นมั่นคงชวนให้สบายใจอย่างยิ่งยวด “แค่คิดว่าตรงหน้าประตูเรือนยังมีม้าตายหลายตัวใช้เป็นอาหารได้ ดีไม่ดีในกองศพนั่นอาจจะเจอของมีค่าบ้าง…” กล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดเว้นจังหวะ “ต่อให้เขาโกหกพวกเรา ข้าได้พิศดูหน้าตาเด็กผู้ชายคนนั้น มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงเขาหกเจ็ดส่วน มารดาเขาก็จากไปแล้ว ถ้าบิดาตายไปอีกคน ต่อจากนี้จะพึ่งพิงผู้ใดได้ หากเด็กคนนี้ต้องเป็นกำพร้า เกรงว่าคงมีแต่ตายสถานเดียว” เขาเอ่ยแล้วพลันหัวเราะเบาๆ “ท่านคงไม่คิดจะให้ข้ารับเด็กคนนี้มาเลี้ยงดูกระมัง ข้าเป็นศัตรูที่สังหารมารดาไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ อีกทั้งข้ายังไม่ใจกว้างพอจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งที่จะชิงชังข้าเข้ากระดูกดำในภายภาคหน้าอีกด้วย!”

“หยุดรถ!” ฟู่ถิงจวินทำหน้าตึง ดึงรั้งรถเข็นไม้ไว้ “ข้าเจ็บขา จะนั่งรถเข็น”

ท่านเก้านิ่งงันไป

หญิงสาวเห็นแล้วอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง นางนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนรถเข็นไม้ ซ้ำยังจับผ้าคลุมผมให้เข้าที่

ท่านเก้าเริ่มเข็นรถเข็นไม้ต่อไปอย่างจนปัญญา

ตอนแรกพวกเขาอยู่บนทางดินลูกรังนอกหมู่บ้าน จากนั้นเลี้ยวเข้าทางดินลูกรังอีกเส้นหนึ่ง ตรงไปตามทางอีกเล็กน้อยแล้วก็เลี้ยวเข้าทางดินลูกรังอีกเส้นหนึ่ง หลังจากเลี้ยวซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ ไม่นานนักฟู่ถิงจวินก็หลงทิศทาง

ในที่สุดรถเข็นไม้หยุดลงตรงหน้าศาลเจ้าประจำเมืองขนาดไม่ใหญ่นักหลังหนึ่ง

“อยู่ที่นี่ดูบาดแผลให้อาเซินก่อน” ท่านเก้าพูดแล้วอุ้มอาเซินเข้าไปข้างใน

เขาต้องคุ้นเคยกับหลินถงแน่ หาไม่แล้วไฉนถึงรู้ว่าที่นี่มีศาลเจ้าประจำเมืองอยู่

ฟู่ถิงจวินรำพึงอยู่ในใจขณะเดินตามเข้าไป

ม่านกั้น กระถางธูป และข้าวของอื่นๆ ในศาลเจ้าล้วนสูญหายไปหมดแล้ว บนพื้นมีเศษสิ่งสกปรกทุกซอกทุกมุม ส่งกลิ่นเหม็นสาบโชยมาระลอกหนึ่ง มองออกได้ว่าเคยมีคนพำนักอยู่ในนี้เป็นเวลาระยะหนึ่ง

ท่านเก้าวางตัวอาเซินบนแท่นบูชา ส่วนฟู่ถิงจวินหยิบถุงหนังที่บรรจุน้ำเกลืออ่อนๆ ออกมายื่นส่งให้เขาช่วยชำระกายให้อาเซิน

ไม่ว่าอย่างไรอาเซินก็เป็นบุรุษ ฟู่ถิงจวินจึงเดินเลี่ยงออกไป

ไม่ไกลจากศาลเจ้าประจำเมืองนักเป็นลำธารแห้งขอดสายหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านซึ่งมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายแน่นขนัด แต่กลับเงียบสงัด

นางยืนทอดถอนใจอยู่บนบันไดหน้าประตูศาลเจ้า คิดถึงน้าชายกับน้าสะใภ้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ท่านแม่ยังไม่รู้ข่าวเป็นแน่…รอเมื่อข่าวแพร่ไปถึงหวาอิน ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเสียใจสักเพียงใด

นางยังมีน้าหญิงอีกคนหนึ่งที่ออกเรือนไปที่อำเภอฮู่ แต่เสียชีวิตไปนานแล้ว

ท่านแม่ไม่หลงเหลือพี่น้องสายเลือดเดียวกันบนโลกนี้อีกแล้ว

แล้วยังเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นกับนาง…

จิตใจของฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นสลดหดหู่เหลือเกิน

นางยืนเพียงลำพังนานพักใหญ่ ทั้งยังระงับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างช้าๆ

ช่างเถิด เลิกคิดเรื่องพวกนี้ดีกว่า…มีชีวิตรอดมาได้ก็ไม่เลวแล้ว

ขณะที่นางยืดตัวตรงผ่อนลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง กลับมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าผ่านทางหมู่บ้านไป

ในช่วงทุพภิกขภัยที่ทุกคนไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ยังมีปัญญาเลี้ยงม้าได้…

“ท่านเก้าๆ!” ฟู่ถิงจวินร้องเรียกอย่างแตกตื่นพอดู “ท่านออกมาดูเร็วเข้า!”

ไม่ทันสิ้นเสียงนาง ท่านเก้ามาปรากฏตัวข้างกายแล้ว

เขามองปราดเดียวก็ทำสีหน้าหนักใจ

“หรือว่าเป็นคนของสกุลเฝิง” ในหัวฟู่ถิงจวินแจ่มกระจ่างขึ้นมาในเสี้ยวเวลาชั่วแล่น

“อืม” ท่านเก้าส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านกับอาเซินอยู่ที่นี่อย่าได้ไปเพ่นพ่านที่ไหน ข้าจะไปดูก่อน!”

ได้ข่าวรวดเร็วถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าสกุลเฝิงนี้มิใช่ธรรมดาเลย

“อันตรายเกินไป!” ฟู่ถิงจวินดึงชายเสื้อเขาไว้ “พวกเราหลบก่อนดีกว่า!” นางอยากพูดว่า ‘หนี’ แต่กลัวจะหยามศักดิ์ศรีท่านเก้า

สายตาของชายหนุ่มหยุดอยู่ที่มือซึ่งดึงชายเสื้อเขาไว้คู่นั้น

ขาวผ่อง นุ่มนิ่ม นวลเนียนดุจแกะสลักจากหยกขาว ท่วงท่าตอนคว้าชายเสื้อเขาไว้ ละม้ายกำลังคว้าว่าวที่จะลอยปลิวไปตามลมก็ไม่ปาน

ฟู่ถิงจวินสังเกตเห็นเขามองดูมือของตนเองถึงรู้ตัวว่าเสียกิริยาไป ลุกลนชักมือกลับราวกับถูกไฟลวก

ท่านเก้าแลดูชายเสื้อที่ปลิวไสวกลางลม พลันรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าตรงกลางอก

เขานิ่งขึงไป ก่อนจะระงับจิตใจอย่างรวดเร็ว

“ที่นี่ไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักต้น จะหลบไปอยู่ที่ไหนได้” ท่านเก้ากล่าว “แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกตามล่าต้องเปลี่ยนที่ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ มิสู้ออกไปประจันหน้าดวลกันให้รู้ดำรู้แดง มีบางคราวท่านต้องเล่นงานอีกฝ่ายให้หนักหน่วง เขาถึงจะหลาบจำ”

“ท่านจะต่อสู้กับคนของสกุลเฝิง?” การตัดสินใจของเขาทำให้ฟู่ถิงจวินตะลึงพรึงเพริดจนลืมเลือนความเขินอายเมื่อครู่นี้ไป ความคิดในหัวนางแล่นเร็วรี่ “ท่านบอกว่าเฝิงเหล่าซานกับเฝิงเหล่าซื่อขัดแย้งกันอยู่มิใช่หรือ ถ้าเฝิงเหล่าซานรู้ว่าเฝิงเหล่าซื่อตายแล้ว การสะสางความแค้นอะไรก็ตามคงทำพอเป็นพิธีเท่านั้นกระมัง! ท่านคิดหาหนทางนั่งลงพูดจากับเฝิงเหล่าซานจะดีกว่า ทุกคนเล่นละครสักฉากให้คนภายนอกดูเป็นอันสิ้นเรื่อง!”

นัยน์ตาของท่านเก้าฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่งจางๆ ขณะพูดอย่างตรึกตรอง “ข้าก็คิดจะไปพบหน้าเฝิงเหล่าซานพอดี จะได้สะสางปมนี้เป็นการตัดปัญหาให้สิ้นซากในคราวเดียวกันไปเลย” เขากล่าวต่อท้าย “ท่านรออยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าไปครู่เดียวก็จะกลับมา”

ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “ท่านเก้าวางใจได้ ข้าจะอยู่ที่นี่เฉยๆ ท่านไม่ต้องพะวักพะวน สนใจแต่เรื่องของท่านก็พอ”

ชายหนุ่มเพียงรู้สึกว่าถ้อยคำนี้เหมาะใจอย่างยิ่งยวด เขานิ่งคิดแล้วล้วงกริชฝักหนังฉลามออกมาจากรถเข็นไม้ “เก็บไว้ป้องกันตัว” ว่าแล้วก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

หญิงสาวคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีสิ่งนี้ติดตัวด้วย

กริชหนักอึ้ง ฟู่ถิงจวินกุมมันแนบอก ในใจหวาดกลัวเล็กน้อย

นับแต่ออกมาจากหวาอิน ไม่อาเซินก็ท่านเก้าต้องอยู่ข้างกายนางเสมอ

ดังคำว่า ‘ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวแต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น’* ถ้ามีคนบุกเข้ามา นางจะทำอย่างไรดี

พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของนางจับไปที่กริช

ด้ามของกริชใช้ผ้าแถบสีดำแดงพันไว้ ทว่าสีของมันค่อนข้างซีดจางดูเก่าคร่ำคร่าไปบ้าง

หรือว่าเป็นของคู่กายท่านเก้า

นางอยากดูว่ากริชคมกริบมากหรือไม่

ผู้ใดจะรู้ว่ามันคล้ายประกบติดเป็นเนื้อเดียวกับฝัก ดึงอย่างไรก็ไม่ออก

หรือจะเป็นของปลอม? ท่านเก้าแค่เอามาทำให้นางอุ่นใจเท่านั้น

ไม่น่าจะใช่กระมัง

หากมีคนบุกเข้ามาจริงๆ นางมิกลายเป็นเนื้อบนเขียงหรือไร!

จะต้องเป็นเพราะตนเองแรงน้อยเกินไปแน่นอน

นางลองสารพัดวิธีก็แล้ว ยังดึงกริชไม่ออกอยู่จนแล้วจนรอด

ฟู่ถิงจวินยัดกริชเข้าไปในรถเข็นไม้ด้วยท่าทางเนือยๆ ตอนมีคนบุกเข้ามาจริงๆ จะได้ไม่เล่นงานนางเพราะเข้าใจผิดคิดว่านางมีอาวุธป้องกันตัว ให้นางเจียมเนื้อเจียมตนเป็นสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้น่ะดีแล้ว

นางเข้าไปในศาลเจ้าดูอาเซิน

อาเซินหลับสนิทมาก หน้าผากก็ไม่ร้อนแล้ว

ฟู่ถิงจวินคลายใจลงได้ นางยืนพิงประตูศาลเจ้ารอคอยท่านเก้า

จวบจนพลบค่ำ เขาถึงปรากฏกายขึ้นที่ศาลเจ้าประจำเมือง

นางเข้าไปหาเขา “ท่านเก้า เป็นอย่างไรบ้าง”

ท่านเก้ามีเหงื่อออกเต็มหน้า ปากซีดเล็กน้อย ดูราวเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งมาเป็นเวลานาน

“วันนี้ยามเย็นพวกเราจะออกจากหลินถงทางถนนหลวง” เขาผลิยิ้มน้อยๆ สีหน้าอ่อนโยน “เฝิงเหล่าซานจะเรียกชุมนุมผู้อาวุโสในตระกูลมาหารือเรื่องของเฝิงเหล่าซื่อตอนเย็น ทำให้มีข้ออ้างนี้ดึงตัวคนของสกุลเฝิงกลับรังเก่าได้พอดี”

ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “พูดเช่นนี้ เฝิงเหล่าซานให้เวลาพวกเราหนึ่งคืนเพื่อไปจากหลินถงหรือ” กล่าวจบนางก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก “เวลาคืนเดียว พวกเราจะออกจากเขตหลินถงได้ไหม” เรียวคิ้วที่เส้นขนเรียงสวยดุจขนนกขมวดเข้าหากัน

ท่านเก้ามองนางพลางคลายยิ้มบางๆ “ถ้าจากที่นี่มุ่งหน้าตรงไปเมืองซีอานย่อมไม่ได้แน่นอน” ใบหน้าเขาฉายแววมีเล่ห์เหลี่ยมวาบผ่านไป “แต่พวกเราลงใต้ได้!”

“ลงใต้?” ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง

“ใช่ ลงใต้” เขาทำหน้ามั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม “จากที่นี่ลงไปทางทิศใต้แค่ห้าสิบกว่าลี้ก็จะถึงหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ในอำเภอหลันเถียน พวกเราจะไปเมืองซีอานผ่านทางหลันเถียน”

นางแจ่มแจ้งในบัดดล “เฝิงเหล่าซานเพียงบอกให้พวกเราออกจากหลินถงในราตรีนี้ แต่มิได้พูดเจาะจงว่าพวกเราต้องไปเมืองซีอานเท่านั้นนี่!” ดวงตาคู่โตของนางโค้งเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว “ท่านเก้า ท่านเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”

ใบหน้าอมยิ้มของท่านเก้าคลับคล้ายจะแข็งทื่อไปในชั่วพริบตา

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป จากนั้นฉุกคิดขึ้นได้ว่าดูเหมือนคำว่าเจ้าเล่ห์มิได้เป็นคำชมผู้อื่นสักเท่าไหร่ ควรจะพูดว่าฉลาดจึงจะถูก แต่จะเอ่ยแก้ในเวลานี้มิเป็นการกินปูนร้อนท้องอย่างนั้นหรือ กลับจะทำให้เขาเข้าใจผิด!

นางคลี่ยิ้มอย่างเก้อกระดาก ลุกลนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านเก้า จากหลันเถียนไปเมืองซีอานต้องเดินทางอ้อมหลายลี้หรือไม่ แล้วต้องจัดแบ่งน้ำกับเสบียงใหม่หรือไม่”

“เรื่องนั้นไม่จำเป็น” สีหน้าท่านเก้าดูคล้ายจะละมุนลงบ้าง “เมืองซีอานมีประตูเมืองสี่ด้าน พวกเราเปลี่ยนเส้นทางจากประตูหย่งหนิงไปยังประตูฉางเล่อเท่านั้น ถ้าจะเสียเวลาก็แค่คืนนี้คืนเดียว”

ค่อยยังชั่ว!

ไม่รู้ว่าหญิงสาวรู้สึกโชคดีที่ท่านเก้าไม่โมโหโทโส หรือว่านางเปลี่ยนเรื่องสนทนาได้ถูกต้อง

ฟู่ถิงจวินผ่อนลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเก้า เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยเถอะ”

“อืม!” ท่านเก้าพยักหน้า แต่มิได้ไปที่ศาลเจ้าทันที กลับพินิจดูนางแวบหนึ่ง “กริชที่ข้าให้ท่านไว้เล่า”

“อ๋อ” ฟู่ถิงจวินนึกขึ้นได้ รีบวิ่งไปหยิบกริชบนรถเข็นไม้ออกมายื่นให้ท่านเก้า “อยู่นี่!”

ท่านเก้าไม่รับไว้ เพียงตรึงสายตาอยู่ที่กริช “ไฉนท่านไม่พกติดตัว”

ฟู่ถิงจวินนึกอายอยู่บ้าง “ข้าใช้ไม่เป็น…”

เขารับกริชไปอย่างช้าๆ ใช้นิ้วโป้งกดตรงปากฝักทีหนึ่ง ใบมีดดีดขึ้นมาพ้นฝักท่อนหนึ่ง ใต้แสงแดดแรงกล้า มันเป็นสีเงินส่องประกายเจิดจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น

“เห็นชัดเจนแล้วนะ” เขากล่าวเนิบๆ แล้วเสียบกริชกลับเข้าฝักดังเดิม

แสงสว่างจ้าแยงตายังติดตาอยู่ ฟู่ถิงจวินมองไปทางไหนก็เห็นจุดแสงสีขาวสองจุดด้วย “เห็นชัดเจนแล้ว!”

ท่านเก้ายื่นกริชให้นาง “เก็บไว้ให้ดี!”

ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน

นางจะเอาเจ้าสิ่งนี้ไปทำอะไร

หนักก็หนัก ทั้งยังไม่มีที่เก็บ เกิดหล่นหายไปก็ยุ่งน่ะสิ!

ขณะที่นางลังเลใจอยู่นี่เอง สีหน้าของท่านเก้าขรึมลงเล็กน้อย เขาเอากริชคืนแล้วยัดเข้าไปในรถเข็นไม้สุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปอุ้มอาเซินออกมา!”

เอ๊ะ!

ฟู่ถิงจวินมองตามหลังท่านเก้าไปอย่างฉงนสงสัย

เขาคงมิได้จะให้กริชกับนางกระมัง…

พอนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ นางเหงื่อกาฬแตกพลั่ก

หากเป็นเช่นนี้ ท่าทางเมื่อครู่นี้ของนาง ออกจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป…

นางรื้อหากริชออกมาได้ก็สาวเท้าเร็วรี่ตามไป “ท่านเก้า ของสิ่งนี้มีค่าเกินไป ข้ากลัวทำหาย”

ท่านเก้าซึ่งกำลังก้มตัวลงตั้งท่าจะอุ้มอาเซินขึ้นมาชะงักไปน้อยๆ จากนั้นถึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นแล้วหมุนตัวไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ท่านเก้า!” นางประสานสายตากับเขาตรงๆ โดยไม่หลบหลีก “ข้าเห็นผ้าที่พันด้ามกริชไว้ล้วนลอกเป็นขุยๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้เห็นท่านพบเจออันตรายอะไรก็ไม่เคยหยิบออกมา เห็นทีว่าจะต้องเป็นของรักที่ติดตัวท่านมานานปี ยามนี้พวกเราระเหเร่ร่อนไปทุกที่ ถ้าสูญหายไปตอนอยู่ในมือข้า ข้าคงไม่สบายใจไปจนชั่วชีวิต” นางยื่นกริชให้ท่านเก้า “เช่นนั้นท่านเก็บไว้ดีๆ เถอะ!”

ดวงตาเรียวยาวของนางดำขลับแจ่มกระจ่างประหนึ่งลำธารใสจนมองเห็นถึงพื้นน้ำ ฉายแววจริงจังและจริงใจ

ท่านเก้าอดยิ้มมิได้

แต่ไรมานางเปิดเผยตรงไปตรงมา เป็นเขาต่างหากที่มีอคติกับนาง มักปรามาสน้ำใจนางเฉกคนใจแคบ เห็นได้ว่าหลายปีมานี้แม้เขาอายุมากขึ้น ทว่ามิได้ใจคอกว้างขวางขึ้นเลย

เขารับกริชไปด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง เอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ข้าใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง เช่นนั้นข้าจะเก็บกริชซ่อนไว้ใต้พื้นรถเข็น ยามท่านมีภัยค่อยหยิบออกมาใช้ก็แล้วกัน” เขาเอ่ยขันๆ “กลัวก็แต่ว่าท่านมีเรี่ยวแรงไม่พอ ไม่ทันได้ทำร้ายคนอื่นกลับทำตนเองบาดเจ็บเสียเอง”

หากเป็นในกาลก่อน ฟู่ถิงจวินได้ยินถ้อยคำแบบนี้จะต้องเห็นว่าท่านเก้าเยาะเย้ยนางเป็นแน่ แต่ครานี้ รอยยิ้มของเขาสดใสแฝงรอยสัพยอกจางๆ เหมือนพี่ชายที่ชอบหยอกล้อนางเป็นที่สุด ทุกคราที่อยู่กับนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกระเซ้านางสักสองสามคำถึงจะยอมเลิกราแต่โดยดี ทำให้นางรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเขา

นางคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

กลิ่นอายผ่อนคลายและชื่นบานลอยอวลอยู่รอบด้าน

ฟู่ถิงจวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เป็นแบบนี้ดีเหลือเกิน! ทำไมเขาต้องตีหน้าบึ้งอยู่เรื่อย ทำเอาทุกคนพากันตึงเครียดไปหมด

“ข้าไปช่วยปูเสื่อให้อาเซินนะ” นางออกนอกประตูไปด้วยรอยยิ้มละไม

มุมปากของท่านเก้าโค้งขึ้นอย่างเบิกบานใจ

 

พวกเขามุ่งลงใต้ในราตรีนั้น มีหมู่ดาวพร่างพรายเป็นเพื่อนตลอดทาง

ท่านเก้ากล่าวสำทับนาง “ถ้าเดินไม่ไหว อย่าได้ฝืนทนเป็นอันขาด!”

ฟู่ถิงจวินขานรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากเดินไปราวหนึ่งชั่วยาม เท้าของนางคล้ายถูกถ่วงด้วยหินก้อนโตมากขึ้นทุกที กระทั่งจะยกขึ้นยังรู้สึกกินแรง และเริ่มเจ็บที่ฝ่าเท้า

นางขึ้นไปบนรถเข็นไม้

ท่านเก้าเข็นให้พวกนางนั่ง ลมหายใจของเขาหอบถี่ไปบ้าง

“หรือไม่…ให้ข้าลงจากรถเข็นดีกว่า” ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจ

“ไม่ต้อง!” ท่านเก้าพูดเสียงกระหืดกระหอบ “ข้าอยากรุดไปให้ถึงหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ในคืนนี้เลย เช่นนี้ยังสามารถชดเชยเวลาที่เสียไปในวันนี้ได้ด้วย”

พรรคพวกของท่านเก้ารออยู่ที่เมืองซีอาน ฉะนั้นพวกเขาอยู่ใกล้ซีอานมากขึ้นเท่าใดก็ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ท่านเก้ารู้ดีแก่ใจ ฟู่ถิงจวินก็ไม่ต่างกัน ในสภาพการณ์เช่นนี้คำเกลี้ยกล่อมปลุกปลอบเหล่านั้นฟังดูทั้งไร้ผลและจนตรอก มิสู้ไม่พูดจะดีกว่า

นางปิดปากเงียบ ช่วยดูแลอาเซินไป

รอเมื่อแสงขาวปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า พวกเขาผ่านหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ไปแล้ว

ฟู่ถิงจวินยากจะเก็บงำความยินดีในใจ นางหยิบถุงหนังออกมาส่งให้ท่านเก้า “ท่านดื่มน้ำแล้วพักสักครู่เถอะ”

ท่านเก้าไม่ปฏิเสธ เขาจอดรถเข็นไม้ไว้ข้างทาง รับถุงหนังมายกกรอกใส่ปากหลายอึกใหญ่

ปกติมักดื่มจิบทีละน้อยๆ วันนี้กลับไม่กลัวสิ้นเปลืองเลย!

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงในใจพลางยื่นผ้าเช็ดเหงื่อผืนหนึ่งให้พร้อมรอยยิ้ม “ท่านเก้า เช็ดเหงื่อสิ” นางกลับพบว่าสีหน้าเขาขาวซีดอยู่สักหน่อย

การเดินทำให้คนหน้าแดงเหงื่อออก แต่ไม่เคยได้ยินว่าทำให้หน้าซีดมาก่อน…หรือว่าร่างกายเจ็บป่วย

ความคิดนี้ทำให้นางสะดุ้งเฮือกใหญ่ “ท่านเก้า ท่านคงไม่เป็นอะไรกระมัง” สายตานางมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ อย่างคลางแคลงใจอยู่บ้าง

“เหนื่อยนิดหน่อย” ท่านเก้าใช้ผ้าเช็ดเหงื่อแล้วกล่าวยิ้มๆ “ไม่ได้เร่งเดินทางทั้งคืนมานานมากแล้ว!”

อย่างนั้นหรือ?

แววกังขาในดวงตาของฟู่ถิงจวินทวีเพิ่มขึ้น

อาเซินพลันส่งเสียงครางออกมา

ฟู่ถิงจวินเอี้ยวตัวไปอย่างตื่นเต้นดีใจ “อาเซิน!”

อาเซินลืมตาขึ้น “ข้า…ข้าอยากดื่มน้ำ”

“ได้ๆๆ” ฟู่ถิงจวินขานตอบซ้ำๆ นางป้อนน้ำให้อาเซินดื่มแล้วปอกไข่ต้มที่มีอยู่ฟองเดียว “เก็บเอาไว้ให้เจ้า ขืนไม่กินอีกก็จะเสียแล้ว”

อาเซินยกมุมปากยิ้มได้ข้างเดียว จากนั้นกินไข่ต้มทีละคำ

สองสามคำผ่านไป ดูคล้ายเขาฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ผลักมือฟู่ถิงจวินออกแล้วหันซ้ายแลขวา “ท่านเก้าเล่า?”

“ข้าอยู่นี่!” ท่านเก้าเดินเข้ามา “เจ้าอย่าพูดให้มากนัก รักษาตัวให้หายไวๆ ข้าจะได้ไม่ต้องเข็นรถให้ทั้งแม่นางฟู่ทั้งเจ้าด้วย”

จริงๆ เลย เขาไม่รู้จักพูดแม้แต่คำปลอบใจสักคำ!

ฟู่ถิงจวินไม่มองเขาสักแวบ สนใจเพียงป้อนไข่ต้มใส่ปากอาเซิน “รีบกินสิ กินหมดแล้วจะได้ช่วยท่านเก้าเฝ้ายาม ท่านเก้าเข็นรถให้พวกเรานั่งแล้วเร่งเดินทางมาทั้งคืน สมควรให้เขาพักผ่อนได้แล้ว”

“เอ๊ะ!” อาเซินอ้าปากค้าง “ท่านเก้า บาดแผลของท่าน…”

บาดแผลอะไร

ฟู่ถิงจวินหันไปมองท่านเก้าอย่างตะลึงลาน

“ไม่เป็นอะไร!” เขากล่าวเสียงเรียบ “ดาบของเฝิงเหล่าซื่อฟันไม่โดนข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงล้มลงไปนานแล้ว!”

ทั้งคู่ต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียวกันโดยไม่พูดจา เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำพูดเขาสักกระผีก

ท่านเก้าดึงสาบเสื้อฝั่งซ้ายลงอย่างกะทันหัน

ฟู่ถิงจวินรีบปิดตาลง พร้อมกับถามอาเซิน “มีบาดแผลหรือไม่”

“ไม่มี!” อาเซินพูดด้วยความดีใจล้นเหลือ

“รีบกินซะ” ท่านเก้ากล่าวเสียงห้วนกระด้าง “ข้าจะพักสักครู่”

หญิงสาวกับเด็กน้อยสบตากันยิ้มๆ รอเมื่อท่านเก้านอนหลับอยู่ข้างรถเข็นไม้ ทั้งคู่พูดคุยกันเสียงเบาๆ พอรู้ว่าพวกเขาจะไปเมืองซีอานผ่านทางอำเภอหลันเถียน อาเซินพูดคำเดียวกับท่านเก้า “เพียงเปลี่ยนเส้นทางจากประตูหย่งหนิงไปยังประตูฉางเล่อเท่านั้น อีกสองสามวันพวกเราก็ถึงเมืองซีอานแล้ว”

ฟู่ถิงจวินนิ่งคิดในใจ สีหน้าฉายแววตรึกตรอง ไม่พูดคุยกับอาเซินเป็นนาน

 

ตกเย็นวันถัดมา พวกเขาหยุดพัก ณ ที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่าตำบลฉางซิ่ง

“พรุ่งนี้จะถึงตำบลเส้าหลิน” ท่านเก้าดูดีอกดีใจอยู่บ้าง นี่เป็นสีหน้าที่เห็นจากเขาได้ค่อนข้างยาก “มะรืนนี้พวกเราก็จะถึงเมืองซีอานแล้ว!”

อาเซินลงมาเดินเหินได้แล้วเช่นกัน

ฟู่ถิงจวินรู้สึกได้ว่าหนทางเบื้องหน้าสว่างไสว

ถึงกระนั้นหญิงสาวพลิกตัวกระสับกระส่ายอย่างไรก็นอนไม่หลับ

ประเดี๋ยวคิดว่าพอถึงเมืองซีอาน ไม่รู้ว่าท่านเก้าจะพานางไปพักในโรงเตี๊ยมหย่งฝูในผิงอันหลี่หรือไม่ แล้วเขาจะมอบหมายให้ใครไปส่งสารถึงท่านแม่ ท่านแม่ได้รับสารแล้วไม่รู้ว่าจะให้นางไปอยู่ที่ใด อีกประเดี๋ยวก็คิดว่านางถอนหมั้นกับทางสกุลอวี๋แล้ว ไม่รู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าควรดำเนินต่อไปอย่างไรดี แล้วก็วกกลับมาคิดอีกว่าพอถึงเมืองซีอาน ไม่รู้ว่าท่านเก้าตั้งใจจะทำอะไรต่อไป

ด้วยเหตุนี้ตอนรุ่งเช้าอาเซินมาปลุกให้ตื่นขึ้น ขอบตานางจึงมีรอยคล้ำจางๆ

ท่านเก้ามองนางแค่แวบหนึ่ง จากนั้นนั่งลงกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเยือกเย็น

แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกอยู่ไม่วายว่าดูเหมือนท่านเก้ามีความในใจหนักอึ้งดุจเดียวกัน

หรือว่าเขากำลังปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยเรื่องของนางอยู่

เรื่องที่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้ จะต้องเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก!

ฟู่ถิงจวินคาดคะเนไป จิตใจก็พลอยหดหู่ตามไปด้วย

อาเซินนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาด้วยสีหน้างุนงงครามครัน

นี่ใกล้จะถึงเมืองซีอานเต็มทีแล้ว ทุกคนสมควรดีใจถึงจะถูก เหตุใดในดวงตาของท่านเก้ากับแม่นางฟู่ถึงไม่มีรอยยิ้มสักนิดเลยเล่า

ผู้ใหญ่สองคนไม่พูดไม่จา เด็กน้อยก็ไม่กล้าพูดขึ้น

ทั้งสามเร่งเดินทางต่ออย่างเงียบๆ

ดวงตะวันแผดแสงแรงกล้าจนลืมตาไม่ขึ้น

ฟู่ถิงจวินซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นหลั่งเหงื่อดุจสายฝน นางใช้ผ้าเช็ดตามคอ คาง และหน้าผากไม่หยุด

“จะดื่มน้ำสักหน่อยไหม” นางหันหน้าไปถามท่านเก้า

ใต้แสงแดดยามเที่ยงวัน ใบหน้าโชกเหงื่อของท่านเก้าซีดขาวราวกระดาษ

“ไม่ต้อง!” สุ้มเสียงของเขาแหบแห้ง แต่แล้วยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของเขาเริ่มซวนเซไปมา

“ท่านเป็นอะไรไป!” ฟู่ถิงจวินร้องเสียงหลงพลางกระโดดลงจากรถเข็นไม้

ท่านเก้าล้มลงไปพื้นดินเสียงดังตุบ มีฝุ่นดินลอยฟุ้งขึ้นมาตลบอบอวล

“ท่านเก้า!” อาเซินถลันเข้าไปพร้อมตะโกนเสียงเครือ

“…จู่ๆ เฝิงเหล่าซื่อก็ชักดาบของต้าหู่ที่อยู่ด้านข้างมาฟันใส่ข้า ท่านเก้าเอาหัวไหล่สกัดถึงช่วยข้าไว้ได้!” อาเซินร้องไห้ไปพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ราวกับจะไหลไม่มีวันหมดไปพลาง “ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ตอนเฝิงเหล่าซื่อจับข้าไว้ ข้าควรจะกัดเขาสักคำ พอเขามีน้ำโหจะต้องสังหารข้าแน่…”

“พูดเหลวไหลอะไร!” ฟู่ถิงจวินกระซิบดุเด็กน้อย พร้อมทั้งแบะสาบเสื้อฝั่งขวาของท่านเก้าเปิดออกอย่างระมัดระวังไปด้วย “ในเมื่อท่านเก้ายอมเอาตัวรับดาบแทนเจ้า นั่นก็คือเห็นเจ้าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เจ้ากล่าวถ้อยคำพวกนี้ออกมาได้อย่างไร มิกลายเป็นท่านเก้ารับดาบแทนเจ้าอย่างสูญเปล่าหรือไร หากให้ท่านเก้าได้ยินเข้าจะเสียใจสักปานใด!” กล่าวจบนางอดใจหายวาบไม่ได้

หัวไหล่ข้างขวาของท่านเก้าใช้ผ้าผืนยาวที่เห็นชัดว่าฉีกมาจากอาภรณ์ตัวเก่าหลายผืนพันไว้ลวกๆ มีเลือดเปียกชุ่มไปทั้งผืนจนซึมเปื้อนเสื้อเต็มไปหมด

มิน่าเขาถึงสวมเสื้อสีดำแดง

หัวใจของฟู่ถิงจวินประหนึ่งถูกมีดกรีด

มิน่าเล่าหน้าตาเขาถึงซีดขาว ดื่มน้ำทีละอึกใหญ่ๆ

ตอนอยู่ที่ศาลเจ้าประจำเมือง เขาก็รู้สึกไม่สบายแล้วกระมัง

เวลานั้นเขายังมอบกริชให้นางป้องกันตัว

เขาน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอาการบาดเจ็บสาหัส เลยกลัวว่าไม่อาจไปถึงเมืองซีอานอย่างราบรื่น ถึงได้ทำเช่นนั้นกระมัง

นางกลับปฏิเสธความหวังดีของเขา ปัดหน้าที่คุ้มครองไปไว้ที่เขาคนเดียว น่าชังนักที่นางยังขึ้นไปนั่งบนรถเข็นไม้เพราะโกรธเคืองแง่งอนอีก

เข็นรถต้องใช้กำลังแขน แล้วเขาได้รับบาดเจ็บตรงหัวไหล่ ปกติเขาไม่เคยยอมให้นางเดิน ทว่านับตั้งแต่ตอนนั้น นางอยากจะลงเดินเขาก็มิได้ห้ามปรามเลย สาเหตุเป็นเพราะเจ็บแผลเกินไปกระมัง!

ฟู่ถิงจวินทั้งสำนึกเสียใจทั้งชิงชัง

สำนึกเสียใจที่ตนเองสะเพร่าเลินเล่อเกินไป และชิงชังที่ตนเองดื้อรั้นเอาแต่ใจ

ดวงตานางพร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา

ขณะนี้เขาได้รับบาดเจ็บนอนสลบไสลไม่ได้สติ เป็นคราวของนางคุ้มครองเขาบ้างเฉกเดียวกับที่เขาเคยทำมาก่อน

แม้จะคิดเช่นนี้ ภายในใจกลับกระจ่างแจ้งดีถึงกำลังความสามารถที่ต่างกันไกลลิบของทั้งคู่

ทำอย่างไรดี

นางจะเชิญหมอมาดูอาการให้เขาได้อย่างไร จะพาเขาไปจากที่นี่ได้อย่างไร จะไปถึงเมืองซีอานอย่างราบรื่นได้อย่างไร

ฟู่ถิงจวินคิดแล้วเข่าอ่อนไปทั้งสองข้าง

ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เขาจบชีวิตลงที่นี่ไม่ได้!

เขาหนุ่มแน่นเพียงนี้ ยังมีอนาคตอีกยาวไกล…

นางหวนคิดถึงชะตากรรมของครอบครัวท่านน้า

เดิมทีพอหลานชายสองคนซึ่งเป็นลูกของญาติผู้พี่เติบใหญ่ขึ้น อาจสอบขุนนางผ่านได้เป็นจ้วงหยวน และเข้ารับราชการเป็นขุนนางใหญ่โต แต่ทั้งหมดนี้ล้วนหายวับไปกับตาเพราะเด็กน้อยทั้งสองอายุสั้น…

นางจะปล่อยให้อนาคตของเขาดับวูบลงเท่านี้มิได้!

ฟู่ถิงจวินเช็ดน้ำตาเป็นการใหญ่

นางส่งเสียงเรียก “อาเซิน ข้าเห็นท่านเก้ากับเจ้าคุ้นเคยแถบนี้เป็นอย่างดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดคือที่ไหน”

“แม่นางต้องการทำอะไร” ดวงตาของอาเซินแดงก่ำ “ยามนี้ข้าวยากหมากแพง กลัวว่าในเมืองพวกนั้นมีแต่คนเร่ร่อนเต็มไปหมด ยังมีพวกอันธพาลที่คอยจ้องรังแกคนต่างถิ่น พวกเราไม่มีท่านเก้าคุ้มครอง ต่อให้ไม่ถูกพวกคนเร่ร่อนปล้นชิง แต่อันธพาลพวกนั้นก็ไม่ปล่อยพวกเราไปหรอก!”

“ข้ารู้!” ฟู่ถิงจวินกล่าว “แต่มีเมืองก็มีหมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปลองดูสักหน่อย พวกเราคงอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กระมัง ตอนเที่ยงตรงแสงอาทิตย์แรงจัดเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ที่หลบสักแห่ง ท่านเก้าตากแดดอยู่อย่างนี้ ข้ากลัวร่างกายเขาจะขาดน้ำ ถ้ามีคนเร่ร่อนผ่านมาแล้วเป็นพวกใจคออำมหิตคงปล้นชิงพวกเราเหมือนกัน อีกอย่างข้ามิได้ตั้งใจจะเข้าไปในเมืองเลย”

อาเซินมองนางอย่างงุนงง

“ในเมื่อคนเร่ร่อนพวกนั้นเข้าไปขอทานในเมือง ฉะนั้นศาลเจ้าประจำเมืองต้องไม่มีใครพักอยู่เป็นแน่” ฟู่ถิงจวินบอกแผนการของตนเองให้อาเซินฟัง “ข้ากับท่านเก้าจะไปรออยู่ที่ศาลเจ้า ส่วนเจ้าเข้าเมืองไปดูว่าเชิญหมอสักคนมาได้หรือไม่ หากเชิญมาได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ เจ้าก็ไปที่เมืองซีอาน ที่นั่นอยู่ไกลจากที่นี่แค่สองวัน พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าของเจ้าน่าจะอยู่ในเมืองซีอานแล้วกระมัง แทนที่พวกเราจะลากท่านเก้าไปถึงเมืองซีอานโดยไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรข้างหน้า มิสู้ขอให้พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าของเจ้ามารับท่านเก้าดีกว่า…”

หมู่บ้านที่ใหญ่กว่านี้ยังสร้างศาลเจ้า นับประสาอะไรกับตำบลเล่า

หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ อาเซินก็กระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจ “ใช่! ข้าลืมพี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าไปได้อย่างไร! ความคิดนี้ไม่เลวแม่นาง ถึงตอนนั้นพวกเราขี่ม้ามา ใช้เวลาวันเดียวก็ถึงเมืองซีอานแล้ว” เขากล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีตำบลหลินชุน เป็นทางผ่านสายเดียวจากเมืองซีอานไปยังอำเภอหลันเถียน มีหมอหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าทางทิศตะวันออกของตำบลมีศาลเจ้าอยู่”

ฟู่ถิงจวินฟังแล้วมีกำลังใจขึ้น “เจ้ายังจำทางได้หรือไม่”

“จำได้!” อาเซินกล่าว “ข้าเคยไปครั้งหนึ่งกับท่านเก้า”

“เช่นนั้นก็ดี!” นางลุกขึ้นยืน “พวกเราไปตำบลหลินชุนกัน”

อาเซินพยักหน้าแรงๆ

ทั้งสองช่วยกันแบกท่านเก้าขึ้นบนรถเข็นไม้ จากนั้นคนหนึ่งประคอง คนหนึ่งเข็น

รถเข็นไม้เคลื่อนเซไปเซมาสลับกับหยุดเป็นพักๆ จวบจนฟ้ามืดจึงไปถึงตำบลหลินชุน

ระหว่างทางฟู่ถิงจวินป้อนน้ำให้ท่านเก้าดื่มสามครั้ง ครั้งสุดท้ายเขาเปล่งเสียงถามว่ากำลังจะไปที่ใดด้วยสติที่พร่าเลือน

“ไปตำบลหลินชุน” นางตอบ “ได้ยินอาเซินบอกว่าที่นั่นเจริญมาก ไม่แน่ว่าอาจจะมีหมอก็ได้”

ท่านเก้าไม่พูดอะไร หลับคอพับคออ่อนไปอีกครา ไม่รู้ว่าเห็นพ้องกับการตัดสินใจของนาง หรือว่าฟังไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไรอยู่สักนิด

 

ศาลเจ้าทางทิศตะวันออกของตำบลหลินชุนไม่ใหญ่โตนัก ด้านหลังอุโบสถหน้ากว้างสามช่วงเสายังมีห้องเล็กห้าหกห้อง

ตอนที่พวกเขาเข้าไป ข้างในมีแค่บุรุษผู้หนึ่ง เขานั่งยองๆ อยู่ตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ กำลังต้มอะไรบางอย่างในหม้อเหล็กบนเตาซึ่งก่อด้วยก้อนหินสามก้อน แสงไฟส่องกระทบใบหน้าหยาบกร้านขรุขระแลดูดุร้ายเหี้ยมหาญ ยามเห็นพวกนางเข้ามา เขาเพียงเงยหน้ามองแวบหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้วก้มหน้าดูของในหม้อต่อไป

ฟู่ถิงจวินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกชอบกลในศาลเจ้า

นางมองสำรวจไปรอบๆ ลานโถงอย่างฉับไว

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ยังนับว่าเก็บกวาดได้สะอาดสะอ้าน ดูเหมือนมีคนพำนักอยู่ที่นี่บ่อยๆ อย่างไรอย่างนั้น

ไฉนมีแค่คนเดียว

นางส่งสายตาไปให้อาเซิน เห็นสีหน้าเขาค่อนข้างกระวนกระวาย

“เจ้าจับสังเกตอะไรได้บ้าง” ฟู่ถิงจวินถามเขาเสียงเบา

“แปลกมาก ไฉนจึงมีแค่คนเดียว” อาเซินกระซิบตอบ

พูดตรงกับที่นางคิด

อาเซินชำเลืองมองชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นแวบหนึ่งก่อนกล่าว “ข้าจำได้ว่าด้านหลังมีห้องพักหลายห้อง หรือไม่พวกเราเข้าไปอยู่ในห้อง เข้าออกได้ทางเดียว ป้องกันได้ง่ายกว่า”

ถ้าท่านเจ็ดอยู่ที่นี่ ฟู่ถิงจวินย่อมไม่คัดค้านแน่นอน แต่คนที่ออกความเห็นคืออาเซิน…เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทั้งยังมีบาดแผลบนตัว หากมียอดฝีมือบุกเข้ามาจริงๆ เป็นต้นว่าเจ้าคนหน้าเหี้ยมผู้นั้น ก็คงเป็นการจับตะพาบในไห* แล้ว!

“พวกเราไปพักในป่าด้านนอกศาลเจ้าดีกว่า!” ฟู่ถิงจวินกล่าว “แม้ต้นไม้ในป่าแห้งตายหมดแล้ว แต่ดีชั่วยังพอมีที่กำบังบ้าง…”

ขณะที่นางกล่าววาจา มีคนตะโกนพูดเสียงดังอยู่ด้านนอก “ข้างในมีใครอยู่ไหม!” พร้อมด้วยบุรุษสูงชะลูดผู้หนึ่งก้าวเข้ามา

เขามีอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผิวกายขาวกระจ่าง หน้าตาสุภาพมีมารยาท สวมเสื้อคลุมยาว ผ้าไหมที่เห็นสีไม่ชัดเจนเพราะแสงสลัวเกินไป คาดสายรัดเอวดูเรียบร้อยหมดจด มีลักษณะคล้ายๆ เถ้าแก่

เขาดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพภายในโถงกลางของศาลเจ้า หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาประสานมือคารวะให้พวกฟู่ถิงจวิน กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทุกท่านโปรดเมตตาเอื้อเฟื้อ พวกเราพลัดบ้านพลัดถิ่นมาอยากจะขออาศัยพักแรมที่นี่สักคืนหนึ่ง”

ฟู่ถิงจวินเองยังไม่ตกลงปลงใจว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ย่อมไม่อ้าปากพูดเป็นธรรมดา ที่น่าประหลาดคือยังมีชายหน้าเหี้ยมอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงขึ้น พาให้บรรยากาศยิ่งแปลกพิกล

คนผู้นั้นกลับไม่ใส่ใจ หันไปส่งเสียงบอกออกไปด้านนอกคำหนึ่ง ก็มีบุรุษสามคนเดินเรียงแถวกันเข้ามา พวกเขาอยู่ในวัยยี่สิบกว่า ล้วนสวมอาภรณ์ผ้าไหมคาดสายรัดเอว

คนหนึ่งมีเรือนกายสูงใหญ่กำยำกว่าใคร สายตาคมปลาบ เขาเข็นรถเข็นไม้ที่บรรทุกของสัพเพเหระเข้ามาเช่นกัน

คนหนึ่งร่างสันทัด รูปโฉมดาษดื่นทว่าท่วงท่าผึ่งผาย สองมือเขาว่างเปล่า

คนหนึ่งรูปงามเกลี้ยงเกลา ดูท่าทางอัธยาศัยดี เขาสะพายห่อสัมภาระห่อหนึ่ง

พอชายร่างใหญ่กำยำเข้ามาก็เอ่ยขึ้น “ที่แห่งนี้ไม่เลว” สุ้มเสียงเขาดังกังวานสะเทือนหูแทบหนวก

อาเซินขยับเข้าไปชิดฟู่ถิงจวินทันใด เอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่นาง คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์”

ฟู่ถิงจวินรู้สึกหนังศีรษะเย็นวาบ ชายร่างใหญ่กำยำผู้นั้นประสานมือคารวะนาง “แม่นางท่านนี้ พวกเรามีคนมาก อยากพักอยู่ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ทราบว่าแม่นางจะเอื้อเฟื้อให้กันได้หรือไม่”

เวลานี้หญิงสาวเพิ่งพบว่าจุดที่ตนเองยืนอยู่ขวางทางพวกเขาอยู่พอดี

นางรีบก้มหน้าถอยออกด้านข้าง

พวกเขาเดินผ่านข้างตัวนางไป

ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับชายร่างใหญ่กำยำเหลือบมองท่านเก้าซึ่งนอนอยู่บนรถเข็นไม้แวบหนึ่งอย่างสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง ส่วนชายร่างสันทัดกลับหยุดสายตาอยู่ที่ตัวฟู่ถิงจวินเป็นเวลานาน ขณะที่ชายรูปงามเกลี้ยงเกลามองไปที่ท่านเก้าตามสายตาของชายร่างใหญ่กำยำก่อน แต่พอเห็นชายร่างสันทัดพิศดูฟู่ถิงจวินก็หันมามองนางเช่นกัน

“แม่นาง” เสียงของอาเซินแผ่วเบาราวกับยุงบิน “หรือไม่ท่านก็อยู่ในนี้เถอะ ข้าว่าสี่คนนั่นไม่เหมือนคนเลว ข้าจะเข้าเมืองไปประเดี๋ยวนี้เลย อย่างมากครึ่งชั่วยามก็กลับมาแล้ว”

อยู่ในที่ที่คนมากมักรู้สึกปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่เว้นแม้แต่ฟู่ถิงจวิน

นางแลเห็นข้างนอกศาลเจ้ามืดสลัวรำไรแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็รีบไปรีบกลับ!”

อาเซินขานรับ

ฟู่ถิงจวินตรึกตรองดูแล้วเลือกมุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งห่างไกลจากบุรุษทั้งสองกลุ่ม

นางปูเสื่อสานแล้วช่วยกันกับอาเซินแบกท่านเก้ามานอนบนนั้น จากนั้นวางรถเข็นไม้ขวางไว้ด้านหน้า กั้นเป็นมุมพำนักส่วนตัว

พออาเซินเข้าไปในเมือง ฟู่ถิงจวินหยิบกริชออกมาวางไว้ใต้เสื่อ กระซิบเรียกท่านเก้า “ดื่มน้ำสักนิดเถอะ…”

ท่านเก้าลืมตาขึ้น สายตาดูเลื่อนลอย เขาส่ายหน้าอย่างมึนงงแล้วปิดตาลงหลับสนิทไปดังเก่า

นางสะท้านวาบในอก ไม่นำพาว่าชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เอามืออังหน้าผากเขา

ร้อนแทบลวกมือ!

ฟู่ถิงจวินร้อนใจ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากเขา เพียรทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยอย่างสุดความสามารถว่าตอนโดนอากาศเย็นจนเป็นไข้ แม่นมดูแลนางอย่างไร

ดีที่สุดคือเอาน้ำเกลือชำระล้างหัวไหล่แล้วพันแผลใหม่อีกที

แต่นางพันแผลไม่เป็น เลยไม่กล้าแตะต้องผ้าพันแผลพวกนั้น

ถ้าท่านเก้าฟื้นขึ้นมาแม้สักชั่วครู่ก็ยังดี จะได้บอกนางว่าพันแผลอย่างไร

นางบิดผ้าแล้ววางกลับไปบนหน้าผากเขา

แต่แล้วมีเสียงโหวกเหวกดังลอยมา

กลุ่มคนตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือปูที่นอนเรียบร้อยแล้ว พอได้ยินเสียงก็พากันมองออกไปทางด้านนอก

ด้านบุรุษซึ่งครองมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้กลับไม่เงยหน้าขึ้นสักครา

เสียงโหวกเหวกดังใกล้เข้ามาทุกที เป็นเสียงหยอกล้อด่าทอของบุรุษประสานกับเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของสตรี

แสงสว่างจากคบเพลิงส่องกระทบท้องฟ้าเป็นสีแดง

ฟู่ถิงจวินหวนประหวัดถึงเหตุการณ์ตอนเฝิงเหล่าซื่อปรากฏกายขึ้นในวันนั้น

นางกำกริชไว้ในมือด้วยสีหน้าตึงเครียด

ผู้ที่เข้ามาเป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเป็นโจรป่าเต็มตัวกลุ่มหนึ่ง ชูคบเพลิงไม้สนหอมส่องแสงสว่างไปทั้งโถงกว้าง แลเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของพวกเขาได้ชัดถนัดตา

พอเห็นว่ามีคนอยู่ในศาลเจ้า คนกลุ่มนั้นดูคาดไม่ถึงอย่างมาก

ยกเว้นชายหน้าเหี้ยมที่เติมฟืนลงไปในกองไฟเสมือนไม่รับรู้สิ่งใดคนนั้น พอฟู่ถิงจวินกับคนอื่นๆ ในศาลเจ้ามองเห็นผู้ที่เข้ามาเป็นกลุ่มคนเช่นนี้ ก็ดูคาดไม่ถึงอย่างมากเช่นกัน

ภายในโถงกว้างเงียบกริบไปชั่วขณะ ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ดิ้นขลุกขลักของหญิงสาวสองคนที่ถูกคนกลุ่มนั้นจับตัวไว้ พวกนางต่อสู้ขัดขืนจนอาภรณ์หลุดลุ่ยเผยให้เห็นเสื้อเอี๊ยมสีแดงบานเย็นกับสีเขียวใบไม้ด้านใน บันดาลให้ค่ำคืนในฤดูร้อนที่เงียบสงบแฝงไว้ด้วยความพิลึกพิลั่นอยู่หลายส่วน

“ฮ่าๆๆ!” มีคนส่งเสียงหัวร่ออย่างบ้าคลั่ง “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้ายึดครองที่ของพวกข้า!” สุ้มเสียงของเขาเย็นเยียบระคนอำมหิต

ฟู่ถิงจวินรีบมองไปทางต้นเสียง

เป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบกว่า ใบหน้าสี่เหลี่ยม สวมเสื้อคลุมสั้นแบะอก อวดแผงอกที่เต็มไปด้วยแผลเป็น เขายืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน พูดพลางเอี้ยวคอมองไปด้านหลัง

พวกคนที่อยู่ด้านหลังฟังแล้วหัวเราะดังครืนตามเขาทันที ราวกับว่าพวกฟู่ถิงจวินกระทำเรื่องที่แสนจะโฉดเขลาก็ไม่ปาน

ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เดินเข้าไปประสานมือคารวะชายหน้าเหลี่ยมพร้อมด้วยรอยยิ้มสุภาพ “พี่ชายท่านนี้ พวกเราเป็นคนทำมาค้าขาย พอดีเดินทางผ่านมาทางนี้แล้วหาที่พักแรมมิได้ ไม่ทราบจริงๆ ว่าที่แห่งนี้เป็นถิ่นของท่าน” กล่าวจบเขาพลันชักกระบี่อ่อนออกมาจากบั้นเอวดังเช้ง ทั้งที่มองไม่เห็นเขาขยับมือ กลับมีสะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบ จากนั้นบังเกิดเสียงขวับดังขึ้น กระบี่อ่อนเหยียดตรง ส่องประกายเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งไปทั้งสี่ทิศใต้แสงคบเพลิง

“อันใดที่เสียมารยาทไป โปรดอภัยให้ด้วย!” เขากล่าวจบแล้วตวัดปลายกระบี่กรีดพื้นที่ปูด้วยศิลาเขียวกดลึกเป็นทางยาวจนเห็นถึงเนื้อดิน ก่อนจะล้วงถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากที่ใดก็สุดรู้โยนไปให้ชายหน้าเหลี่ยม “นี่ถือเสียว่าข้าเลี้ยงสุราพี่น้องทั้งหลาย และเป็นคำขอขมาต่อพวกท่าน จอมยุทธ์ท่านนี้โปรดให้ที่พำนักแก่พวกเราสักคืน พอฟ้าสางพวกเราจะจากไปทันที”

ฟู่ถิงจวินตระหนกในใจ

อาเซินบอกว่าชายร่างใหญ่กำยำเป็นผู้ฝึกยุทธ์ คาดไม่ถึงว่าชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่พูดจาสุภาพคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน แม้นางจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่คนที่สามารถทำให้กระบี่อ่อนกลายเป็นเช่นทวนเหล็กแล้วกรีดรอยลึกขนาดนั้นบนพื้นได้ จะต้องมีฝีมือล้ำเลิศมากเป็นแน่

เห็นได้ชัดว่าชายหน้าเหลี่ยมผู้นั้นมองออกเช่นกัน เขามิได้รับถุงเงินไว้ หากแต่เพ่งมองรอยบนพื้นตรงหน้าไม่ไกลนักรอยนั้น สีหน้าเขาฉายอารมณ์หลากหลายอยู่บ้าง

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งด้านข้างก้าวเท้าออกมา

เขามีอายุราวยี่สิบกว่า ร่างท้วมหนาล่ำสัน หน้าตาซื่อๆ แต่โผงผาง เทียบกับชายร่างใหญ่กำยำตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว มีขนาดเรือนกายพอฟัดพอเหวี่ยงกัน เพียงแต่ท่าทางเขากักขฬะ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งองอาจผึ่งผาย คนหนึ่งคล้ายคนเชือดสัตว์ คนหนึ่งคล้ายจอมยุทธ์

เขาเก็บถุงเงินขึ้นมาเปิดดูแวบหนึ่ง สีหน้าเผยรอยยินดีออกมา

“พี่ใหญ่!” เขาตะโกนเรียกชายหน้าเหลี่ยมแล้วกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง “เงินหลวงของแท้สีขาววับ มีอยู่ร้อยตำลึง”

โถงกลางไม่กว้างใหญ่นัก ทุกคนได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง

แววตาของชายหน้าเหลี่ยมไหวระริก ขณะที่คนด้านหลังเขาส่งเสียงเอ็ดอึงไม่ได้ศัพท์

มีคนกระซิบว่า “พี่ใหญ่ พวกเราฆ่าพวกมันเลยดีกว่า เงินก็ตกเป็นของพวกเราเหมือนกัน”

มีคนกระซิบว่า “พี่ใหญ่ ร้อยตำลึงน้อยไป จะอย่างไรก็ต้องสองสามร้อยตำลึงนะ”

ยังมีคนพูดว่า “พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรพวกเราอยู่ในห้องพักด้านหลัง ก็ยกโถงกลางให้พ่อค้าเร่พวกนี้อาศัยพักแรมสักคืนไปเถอะ”

ฟู่ถิงจวินวุ่นวายใจไปหมด

เริ่มแรกคนผู้นั้นใช้กระบี่อ่อนกรีดรอยลึกบนพื้น นับเป็นการสำแดงความร้ายกาจให้เห็น ต่อมายังมอบเงินร้อยตำลึงให้อีก เรียกได้ว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เห็นทีว่าคนกลุ่มนั้นคงเลิกยุ่งกับพวกเขา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้กลับสร้างความลำบากให้คนอื่นในโถงกลางเสียแล้ว เพราะถ้าจะเอาเงินติดสินบนตามอย่างคนผู้นั้นก็ไม่มีวิชายุทธ์แบบเขา แต่ถ้าไม่เอาเงินติดสินบนแล้วคนพวกนั้นจะละเว้นนางด้วยเหตุผลใดเล่า…

นางอดหันไปมองชายหน้าเหี้ยมตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ผู้นั้นมิได้

เขากำลังยกหม้อเหล็กเทอะไรบางอย่างลงในชามอ่างใบหนึ่งบนพื้น ได้กลิ่นเนื้อหอมฟุ้งกระจาย ทำท่าทำทางราวกับธุระไม่ใช่ของตน

ฟู่ถิงจวินใจฝ่อลง

ดูท่าทางเขามีวิชายุทธ์ป้องกันตัวเช่นกัน!

ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว นางได้ยินชายหน้าเหลี่ยมตวาดลั่น “หุบปากให้หมด!”

เสียงจ้อกแจ้กด้านหลังเขาเงียบเป็นปลิดทิ้ง

“เห็นแก่ที่พวกเจ้าพอรู้ธรรมเนียมบ้าง ข้าจะผ่อนผันให้” ชายหน้าเหลี่ยมกล่าวด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิงแกมกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน “แต่พวกเจ้าต้องให้เพิ่มอีกสองร้อยตำลึงเงินจึงจะได้!”

“ขอบคุณๆ” ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เผยรอยยิ้มซาบซึ้งยินดีออกมา รีบเอ่ยสั่งชายร่างใหญ่กำยำ ชายร่างใหญ่กำยำก็หยิบตลับไม้สีแดงใบหนึ่งออกมาจากรถเข็นไม้ และล้วงถุงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้ เขาเปิดถุงเงินออกดู แล้วพูดบางอย่างกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาคนนั้น ชายรูปงามเกลี้ยงเกลาอิดเอื้อนครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงถุงเงินออกมาส่งให้เขาดุจเดียวกัน เขาเปิดถุงเงินออกดู จากนั้นวางถุงเงินทั้งสองใบลงในตลับไม้ใบนั้น สุดท้ายยื่นส่งให้ชายหน้าเหลี่ยมด้วยรอยยิ้มผุดพราย “นี่คืออีกสองร้อยตำลึงที่เหลือ”

ใจของฟู่ถิงจวินดิ่งวูบไปถึงก้นเหว

ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่แสร้งทำเช่นนี้เพื่อให้เห็นว่าบนตัวพวกเขาไม่มีเงินแล้ว พวกชายหน้าเหลี่ยมก็จะหมายตาในทรัพย์สินของพวกเขาน้อยลง เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาดูปลอดภัยกว่ามาก

ชายร่างท้วมหนารับถุงเงินมาแล้วนับอย่างถี่ถ้วน

ก้อนตำลึงเงินสีขาววาววับเปล่งประกายเย็นเยือกอยู่ใต้คบเพลิง

ฟู่ถิงจวินฉุกคิดในใจ

มีแต่เงินหลวงเท่านั้นถึงจะมีเนื้อเงินบริสุทธิ์แบบนี้!

พวกเขาบอกว่าตนเองเป็นคนทำมาค้าขาย ไฉนล้วนมีเงินหลวงติดตัว

อย่าลืมว่าเงินหลวงโดยมากจะเป็นเบี้ยหวัดบำนาญของทหารกับขุนนาง และใช้สอยในราชสำนักหรือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย เมื่อชาวบ้านสามัญชนได้รับไปต้องหลอมใหม่ถึงจะกล้านำมาใช้…แต่พวกเขามีติดตัวทีเดียวถึงสามร้อยตำลึง

“พี่ใหญ่!” ชายร่างท้วมหนาขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของฟู่ถิงจวิน “สองร้อยตำลึงถ้วนๆ”

ชายหน้าเหลี่ยมผงกศีรษะหงึกๆ สีหน้าฉายแววพึงพอใจ เขากลับมาวางท่าเหิมเกริมดั่งตอนหัวร่อเสียงดังเมื่อครู่นี้อีกคราหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินอดตั้งความหวังว่าจะโชคดีมิได้ นางหวังว่าชายหน้าเหลี่ยมผู้นี้จะเห็นแก่สามร้อยตำลึงเงิน ยอมละเว้นพวกปลาเล็กปลาน้อยเช่นพวกนาง หรือเห็นแก่วรยุทธ์สูงส่งของชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้น ไม่อยากก่อปัญหาแทรกขึ้นมาจึงทำเป็นมองไม่เห็นพวกนางไปเสีย

นางค่อยๆ กระเถิบตัวถอยทีละนิดไปหาท่านเก้าซึ่งนอนอยู่ด้านหลัง หมายใจว่าจะขดตัวให้เล็กที่สุดจนไม่อยู่ในสายตาของคนกลุ่มนั้นได้!

น่าเสียดายที่ความหวังของนางต้องดับวูบลง

ชายร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งวิ่งมาทางพวกนาง จากนั้นออกแรงผลักรถเข็นไม้ไปด้านข้าง ตะโกนโวยวายวางท่าเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ “แล้วพวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน”

รถเข็นไม้ล้มตะแคงทำให้เสื่อสาน จานชามตะเกียบและของอื่นๆ หล่นกระจายเต็มพื้น

ฟู่ถิงจวินโล่งอก ยังดีที่เมื่อครู่นี้นางเห็นท่าไม่ดี เอาเงินทองกับของมีค่าซ่อนไว้ใต้เสื่อของท่านเก้า

นางลุกลนกล่าวขึ้น “ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย! พวกเราหนีภัยแล้งมาจากผิงเหลียง ถึงได้พลัดหลงเข้ามาในถิ่นของท่าน หวังว่าท่านจะโปรดเมตตาให้ที่พำนักพักพิงแก่พวกเราสักคืนด้วยเจ้าค่ะ” นางพูดพลางหยิบห่อสัมภาระที่มีอาหารกับถุงหนังตรงมุมโถงออกมา “ของพวกนี้ท่านโปรดรับไว้ด้วย นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของพวกข้าเจ้าค่ะ”

แม้ตอนกล่าววาจา นางพยายามกดสุ้มเสียงให้ต่ำลงอย่างเต็มที่ กระนั้นยังคงยากจะเก็บงำน้ำเสียงที่กังวานใสรื่นหูไว้ได้

ทุกคนในที่นั้นได้ยินแล้วตะลึงงัน พากันมองไปทางฟู่ถิงจวิน

มีเพียงชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นที่โคลงศีรษะเบาๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น เขายกชามขึ้นกินอาหารดังซู้ดซ้าด เสียงของมันก้องกังวานเป็นพิเศษในโถงกว้าง แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาสักคน

ชายร่างเตี้ยม่อต้อมีสีหน้าตื่นเต้น เขากล่าวด้วยความลิงโลดใจ เดินรี่เข้าไปจะดึงผ้าคลุมศีรษะของนางออก “พี่ใหญ่ ทางนี้มีผู้หญิงคนหนึ่ง”

ฟู่ถิงจวินยืดตัวตรงกะทันหันแล้วเงื้อมือขึ้น มีประกายสีเงินสายหนึ่งตวัดวูบไปที่บุรุษผู้นั้น

“โอ๊ย!” เขากุมมือร้องโอดโอย โลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว

ยามนี้ทุกคนถึงมองเห็นกริชที่หญิงสาวกำอยู่ในมือ

ใต้แสงไฟ กริชเล่มนั้นเปล่งประกายเป็นลวดลายพิสดารละลานตา แฝงไว้ด้วยความงามน่าหลงใหลชวนให้พิศวง

ภายในโถงกลางเงียบกริบ

สายตาของชายหน้าเหี้ยมฉายแววทึ่ง ขณะที่ชายท่วงท่าผึ่งผายผู้นั้นสืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าว แต่ถูกชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่ดึงตัวไปอยู่ด้านหลัง

“นางตัวดี เจ้ากล้าลอบทำร้ายข้าเชียวหรือ!” ชายร่างเตี้ยม่อต้อตะคอกลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว เงื้อเท้าขึ้นตั้งท่าจะถีบไปที่ยอดอกของนาง

“อ๊ะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายอุทานพร้อมกับกำมือเป็นหมัดแน่น แม้แต่ชายหน้าเหี้ยมยังวางชามในมือลง

ฟู่ถิงจวินหน้าซีดขาวดุจดอกอวี้หลันกลางพายุฝน นางขบสันกราม ใช้สองมือกำกริชแน่นๆ แทงไปที่บุรุษคนนั้น

ฝ่าเท้าเขากระแทกเข้ากลางอกของหญิงสาวเต็มรัก แต่กริชของนางก็เสียบเข้าไปที่น่องของอีกฝ่าย อีกทั้งพอนางล้มหงายไปด้านหลัง มือยังลากกริชลงตามจนเฉือนเนื้อของเขาหลุด

เขากุมขา ร้องลั่นด้วยความเจ็บ “พี่ใหญ่ๆ!”

ทุกคนตะลึงลานไปตามๆ กัน นานครู่ใหญ่ถึงพบว่าบนพื้นยังมีนิ้วเท้าขาดสองท่อน

“พี่ใหญ่ ฆ่านางตัวดีคนนี้เลย!” คนด้านหลังชายหน้าเหลี่ยมตะโกนเอะอะ แต่กลับไม่มีสักคนกล้าเข้าไป

ฟู่ถิงจวินตะกายลุกขึ้น

มือที่กำกริชไว้สั่นระริกไม่หยุด ปอยผมรุ่ยร่ายปรกใบหน้าขาวกระจ่าง หยดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาจากหน้าผาก ดวงตาเรียวยาวลุกโชนดุจเปลวไฟ ทั้งยังทอประกายวาวโรจน์ยิ่งกว่าคบเพลิง ทำให้ดวงหน้างามสะคราญของนางแฝงความแกร่งกร้าวอยู่ในที เป็นความงามเฉิดฉายแกมหยิ่งทะนงละม้ายดอกหลิงเซียว* ที่บานสะพรั่ง

ชายหน้าเหลี่ยมแลเห็นกริชที่สะอาดหมดจดดุจหิมะแรกแล้ว สีหน้าเขาขุ่นมัวดุจเดียวกับท้องฟ้าก่อนหิมะตกหนัก

เขากำหมัดเดินเข้าไปหาฟู่ถิงจวิน

ทั่วทั้งโถงกลางเงียบงันลงในชั่วอึดใจ

เสียงฝีเท้าหนักๆ ประสานเสียงข้อนิ้วลั่นกร๊อบๆ ของชายหน้าเหลี่ยมเหมือนเสียงรัวกลองดังกระทบไปถึงกลางใจของทุกคนไม่หยุด

ชายร่างกำยำตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือขมวดคิ้ว ย่างเท้าไปสองสามก้าว กลับถูกชายท่วงท่าผึ่งผายผู้นั้นดึงรั้งไว้

“นางตัวดี หากข้าไม่หาความสุขกับเจ้าสักพันครั้งหมื่นครั้ง ข้าก็มิได้แซ่หลี่…” ชายหน้าเหลี่ยมตวาดเสียงดุร้าย

ฟู่ถิงจวินรู้สึกข้างในตัวเจ็บร้าวไปหมดราวกับอวัยวะภายในถูกดึงทึ้ง เบื้องหน้าสายตาเป็นภาพเงาทับซ้อนกัน มองเห็นแค่ร่างร่างหนึ่งอย่างพร่าเลือน

นางไม่ไหวแล้วกระมัง! หลังจากถูกบุรุษผู้นั้นถีบครั้งหนึ่งอย่างนั้น อยากจะทำร้ายใครโดยไม่ให้ตั้งตัวคงเป็นไปไม่ได้…

นางคิดถึงสตรีที่ถูกจับตัวไว้สองคนนั้นแล้ว ยกแขนที่หนักอึ้งเหมือนโดนถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ เอากริชจ่อลำคอไว้

นางไม่รู้ว่าหลังจากนางตายแล้วท่านเก้าจะเป็นเช่นไร

เป็นเพราะนางคนเดียวทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย!

บุญคุณของเขา นางไม่อาจตอบแทนได้แล้วในชาตินี้ คงได้แต่รอชาติหน้า ทว่าบางทีชาติหน้านางยังคงเป็นคนที่ถ่วงรั้งเขาไว้อีก ไม่แน่ว่าเขาอยากหลบลี้หนีหน้าแทบไม่ทันก็เป็นได้

คิดถึงตรงนี้ มุมปากนางมีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้น ประหนึ่งดอกไม้น้อยที่สั่นระรัวกลางลมหนาว ดูบอบบางหากแฝงไว้ด้วยความทรหด

ทันใดนั้น มีมือข้างหนึ่งวางทาบลงบนบ่าของฟู่ถิงจวินจากทางเบื้องหลัง

นางตกใจจนขวัญกระเจิง ส่งผลให้มืออ่อนแรงจนกริชร่วงหล่นกระทบพื้นดังเคร้ง

ทุกคนในศาลเจ้าพากันมองนางด้วยความแปลกใจ ไม่กระจ่างแจ้งว่าหญิงสาวซึ่งดูหมองเศร้าหากยังคงห้าวหาญเด็ดขาดอย่างที่ขอยอมตายก็ไม่ยอมจำนนเมื่อชั่วขณะก่อนหน้า เหตุใดในชั่วขณะถัดมาก็ตกใจจนทำกริชหล่นพื้น ครั้นทุกคนแลไปเห็นหน้าตาถมึงทึงของชายหน้าเหลี่ยม ดูเหมือนจะไขข้อข้องใจนี้ได้แล้ว แม้กระทั่งตัวชายหน้าเหลี่ยมที่สาวเท้าก้าวยาวเข้าไปหานางก็มีสีหน้าย่ามใจเช่นกัน

ชายท่วงท่าผึ่งผายตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงผิดหวังอย่างมาก

เสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบดังขึ้นที่ริมหูฟู่ถิงจวิน “หยิบพลองเสมอคิ้วของอาเซินให้ข้า”

น้ำเสียงเรียบเฉยระคนไม่อนาทรร้อนใจอยู่หลายส่วน กลับทำให้ขอบตานางร้อนผ่าวมีน้ำตาเอ่อคลอ

เป็นท่านเก้า…ท่านเก้า

พลองเสมอคิ้วของเขาถูกฟันหักเป็นท่อนๆ ไปแล้วตอนต่อสู้กับเฝิงเหล่าซื่อ

นางอยากถามไถ่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้าง อยากหันหน้าไปดูว่าเขาเป็นปกติดีหรือไม่ แต่เห็นชายหน้าเหลี่ยมย่างสามขุมใกล้เข้ามาทุกที นางไม่กล้าชักช้ารีรอ ตะเกียกตะกายไปเก็บพลองเสมอคิ้วที่ตกอยู่ด้านข้างมายื่นส่งให้เขา

ใบหน้าท่านเก้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำปรือ เขาใช้พลองเสมอคิ้วยันกายลุกขึ้นยืนโงนๆ เงนๆ

ทุกคนประจักษ์แจ้งในบัดดล

ชายหน้าเหลี่ยมชะงักฝีเท้า แต่พอเห็นท่านเก้าผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก ท่าทางก็ผ่อนคลายลง เขาทำสีหน้าเยาะหยันแกมอำมหิต “รนหาที่ตายอีกคนแล้ว!”

“ไปหลบอยู่หลังข้า” ท่านเก้ากระซิบสั่งฟู่ถิงจวิน

ท่านเก้ายังไม่สบายอยู่เลยนะ!

ฟู่ถิงจวินละล้าละลังเล็กน้อย เห็นท่านเก้าสืบเท้าสองสามก้าวมายืนบังอยู่ข้างหน้าตนเอง นางรีบขานตอบ จากนั้นฉวยกริชที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วซุกตัวอยู่ตรงมุมโถง แต่ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขาโดยไม่กะพริบตา

“ขุนเขาเขียวไม่แปรผัน สายน้ำไหลชั่วนิรันดร์” ท่านเก้ามองไปที่ชายหน้าเหลี่ยม แต่สายตากลับเลื่อนลอย “ท่านผู้กล้า หากมีอันใดล่วงเกินไป โปรดอภัยให้ด้วย…” ผิวแก้มชายหนุ่มแดงจัดเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ เขาทรงตัวอยู่ได้ล้วนเพราะอาศัยพลองเสมอคิ้วยันพื้นไว้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าป่วยหนักไม่น้อย เพียงทนฝืนเอาไว้เท่านั้น

ชายท่วงท่าผึ่งผายเห็นแล้วโคลงศีรษะเบาๆ เขาหันกลับไปกระซิบกระซาบกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาอย่างหมดความสนใจ

ชายหน้าเหลี่ยมตัดบทเขาด้วยเสียงหัวร่อขบขัน “เช่นนั้นต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถทำให้ข้าอภัยให้หรือไม่…” เขาพูดพลางเหวี่ยงหมัดต่อยไปที่ใบหน้าท่านเก้า

ท่านเก้าเอียงหัวหลบทำให้หมัดนั้นพลาดเป้าไป พร้อมกับพลองเสมอคิ้วในมือเขาวาดเป็นครึ่งวงกลมบังเกิดเสียงแหลมเล็กดังแหวกอากาศ ฟาดลงไปที่หัวไหล่ของชายหน้าเหลี่ยม ได้ยินเสียงผัวะดังขึ้น ชายหน้าเหลี่ยมก็เซถลาหงายหลังล้มลงกับพื้น

ส่วนท่านเก้าใช้พลองเสมอคิ้วยันกายยืนอยู่ที่เดิม ดูมั่นคงดุจภูผาและเยือกเย็นดั่งวารี ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน

“เอ๊ะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายจ้องท่านเก้าเขม็ง สายตาเขาคมกล้ามีประกายอัศจรรย์ใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง ส่วนชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับชายร่างใหญ่กำยำด้านหลังเขาสบตากัน คนหนึ่งวางมือทาบเอว อีกคนหนึ่งกำมือที่ไพล่หลังอยู่เป็นหมัดแน่น

ด้านชายหน้าเหี้ยมตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้วางของในมือแล้วลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ชายหน้าเหลี่ยมมองท่านเก้าอย่างตกตะลึง

เขารู้ว่าหมัดของตนเองมีพิษสงอย่างไร เคยมีคนถูกเขาต่อยหน้ายับเยินกระทั่งบิดามารดายังจดจำใบหน้ามิได้

แต่ครานี้ เจ้าคนตรงหน้าที่ป่วยป้อแป้จนดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อผู้นี้ ไม่เพียงหลบการจู่โจมดุจสายฟ้าแลบของเขาได้ ตรงจุดที่เขาถูกฟาดด้วยพลองยังเจ็บแปลบถึงกระดูก

ภายในใจเขาเริ่มรู้สึกไม่เข้าทีเสียแล้ว

ทุกคนล้วนจับตามองเขาอยู่ หากหยุดมือแค่นี้ วันหน้าจะคุมพี่น้องใต้อาณัติได้อย่างไร กลัวก็แต่ว่าเงินที่ได้มาเมื่อครู่นี้คงรักษาไว้ไม่อยู่ เขามองเรือนกายผ่ายผอมของท่านเก้าแล้วลอบมั่นใจขึ้นบ้าง

“มารดามันเถอะ ไอ้เจ้าผีอมโรค ยังบังอาจลอบกัดข้าทีเผลอรึ!” ชายหน้าเหลี่ยมร้องตวาด ดวงตาทอประกายโหดเหี้ยมกระหายเลือดขณะหมุนกายไปดึงดาบจากเอวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมา จากนั้นก้าวปราดๆ ไปทางท่านเก้า “พวกเรา…รุม! ผู้ใดสังหารไอ้เศษสวะนี่ได้ นางหญิงข้างกายมันก็เป็นของผู้นั้น!”

รูปโฉมของฟู่ถิงจวินเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนพวกนั้นแล้ว พวกเขาดาหน้ากันเข้าไปพร้อมทั้งกู่ร้องด้วยน้ำเสียงแฝงความละโมบ ตื่นเต้น และหื่นตัณหาอย่างปิดไม่มิด ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วเข่าอ่อนไปหมด มือที่กำกริชไว้แน่นสั่นเทา

นางขอยอมตายก็ไม่ยอมถูกย่ำยี

ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด ริมฝีปากบางเม้มแน่น ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏรอยเหี้ยมเกรียมจุดวาบขึ้น ยามหางคิ้วเลิกขึ้น มีกลิ่นอายสังหารเย็นเยือกแผ่ซ่านรอบกาย แม้แต่คนสองกลุ่มซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโถงกว้างยังสัมผัสได้ แต่คนที่กรูกันเข้าไปอาศัยว่ามีพวกมาก หาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตา พวกเขาเงื้อพลองบ้างถือดาบบ้างถลันเข้าไปกวัดแกว่งสะเปะสะปะ

ภายในศาลเจ้ามีเสียงผัวะๆ ดังรัวราวกับประทัด

คนที่กรูเข้าไปบางคนถูกฟาดจนร่างทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นขยับเขยื้อนไม่ไหว บางคนถูกกระแทกจนถอยกรูด บางคนกุมหัวกุมไหล่ร้องครางโอดโอย…อย่าว่าแต่โจมตีถูกท่านเก้าเลย แค่คิดจะเข้าไปประชิดตัวยังยากมาก ตรงกลางโถงตกอยู่ในสภาพชุลมุนวุ่นวาย

ชายท่วงท่าผึ่งผายแลมองท่านเก้าด้วยสายตากระตือรือร้นเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง

ทว่าท่านเก้าไม่อาจทำอะไรชายฉกรรจ์ที่ถอยหนีออกไปพวกนั้นได้เช่นกัน เพราะเขาไม่ไล่ตาม ฉะนั้นขอเพียงคนพวกนั้นไม่เข้าใกล้ในรัศมีโจมตีของพลองเสมอคิ้วก็จะไม่เป็นอะไร

ชายหน้าเหลี่ยมบุกเข้าไปเป็นคนแรกและตะโกนเสียงดังที่สุด แต่สุดท้ายกลับเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ไม่นานนักเขาพบต้นสายปลายเหตุแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการปกป้องสตรีที่อยู่ข้างหลัง หากท่านเก้าแค่ขยับเท้า เกราะกำบังเบื้องหน้านางจะหายไปทันที พวกเขาก็เล่นงานสตรีผู้นั้นได้โดยปราศจากความกริ่งเกรงใด

เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ได้ ชายหน้าเหลี่ยมมีท่าทางคึกคักขึ้นมา เขาตะโกนบอกลูกน้องเสียงดัง “เขาต้องการคุ้มครองผู้หญิงคนนั้น รีบจับตัวนางไว้”

พอมีเขาบอกเตือนขึ้นเช่นนี้ คนพวกนั้นก็ตั้งตัวได้ในเวลาอันสั้น

พวกเขาพากันจู่โจมฟู่ถิงจวิน

ท่านเก้ายืนตระหง่านขวางอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว เห็นหมัดหวดคน เห็นดาบฟาดมือ ทำให้มีอีกหลายคนล้มคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้น

ใบหน้าของคนที่เหลือล้วนปรากฏแววหวาดกลัววาบขึ้น

พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพียงยืนล้อมท่านเก้าไว้ ไม่มีผู้ใดยินยอมบุกเข้าโจมตีเป็นคนแรกอีก

“หน้าโง่!” ชายหน้าเหลี่ยมแผดเสียงกราดเกรี้ยวอยู่ด้านข้าง “พวกเราคนมากย่อมได้เปรียบ ทั้งเขาไม่กล้าขยับตัว พวกเจ้าก็เข้าไปประมือกับเขาคนละสองสามกระบวน ต่อให้เขามีเรี่ยวแรงผิดมนุษย์มนาอย่างไรก็ต้องเหนื่อยตาย…”

คนกลุ่มนั้นแจ่มแจ้งในบัดดล ผลัดกันวนเวียนเข้าไปต่อสู้กับท่านเก้าทีละคนสองคน

ฟู่ถิงจวินได้ยินที่ชายหน้าเหลี่ยมบัญชาการทุกคนแล้วลอบนึกชิงชังยิ่งนัก นางรำพึงในใจว่าหากอาเซินอยู่ที่นี่จะดีสักปานใด ไม่แน่อาจสบช่องชายหน้าเหลี่ยมไม่ระวังตัวสังหารเขาทิ้งซะ…เมื่อคนกลุ่มนี้เป็นมังกรไร้หัว ย่อมแตกฉานซ่านเซ็นไปเอง!

ครั้นคิดคำนึงไปเช่นนี้ นางอดเป็นห่วงอาเซินมิได้

ไม่รู้ว่าเขาเชิญหมอมาได้หรือยัง

จะพบเจออันตรายอะไรหรือเปล่า

คำนวณเวลาดู เขาสมควรกลับมาแล้ว…แต่อย่าได้ทะเล่อทะล่าเข้ามาเป็นอันขาดจึงจะดี!

นางลอบวิตกกังวล

ท่านเก้าเริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง

พอคนที่รุมโจมตีเขาอยู่เห็นเช่นนั้นต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี

แต่แล้วในโถงกว้างพลันมีเสียงโครมดังสนั่นราวกับว่าหลังคายังสั่นสะเทือนตามไปด้วย ส่วนพวกที่กลุ้มรุมท่านเก้าอยู่เซถลาถอยหลังไปไกลเกินหนึ่งจั้ง

ฟู่ถิงจวินมองเห็นพลองเสมอคิ้วที่กวัดแกว่งอยู่ในมือท่านเก้าโดยตลอดอันนั้นปักลงไปในพื้นแล้ว พื้นโถงซึ่งปูด้วยแผ่นศิลาเขียวเป็นระเบียบอยู่แต่เดิมปริแตกเหมือนใยแมงมุม

“ขืนพวกเจ้าไม่รู้ดีรู้ชั่วอีก อย่าหาว่าข้าไม่ยั้งมือไว้ไมตรีก็แล้วกัน!” ท่านเก้าตวาดเสียงดังกึกก้องไปทั้งโถงกว้างคลับคล้ายเสียงฟ้าคำรามชวนให้อกสั่นขวัญหนี

คนที่รุมล้อมอยู่มองไปที่ชายหน้าเหลี่ยมแล้วหันกลับมามองท่านเก้า พวกเขาจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้าไป แต่ก็ไม่ถอยหลัง

ทุกคนนิ่งเงียบ ยืนคุมเชิงกันไปเช่นนี้

เส้นประสาทของหญิงสาวเขม็งเกลียว

ยิ่งถ่วงเวลานานเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีต่อพวกชายหน้าเหลี่ยม…ต้องหาวิธีหลุดพ้นจากสถานการณ์จนมุมนี้ให้ได้!

ความคิดนี้แล่นวาบเข้ามาในหัว นางเห็นร่างท่านเก้าซวนเซไปเล็กน้อย

หญิงสาวหน้าถอดสีไปถนัดตา

ท่านเก้า…นี่คงเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว!

ฟู่ถิงจวินเจ็บปวดใจดุจถูกมีดกรีด อดโทษตัวเองมิได้

ทำไมนางถึงขี้ขลาดตาขาวนัก

ตอนสะดุ้งตกใจเมื่อครู่นี้ ถ้านางมิใช่ทำกริชตกพื้น แต่ฆ่าตัวตายด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่แน่ว่าท่านเก้ายังหนีรอดไปได้

ทั้งที่รู้ว่าท่านเก้าได้รับบาดเจ็บ แต่มองเห็นเขาต่อสู้กับพวกของชายหน้าเหลี่ยม ในใจยังรู้สึกโชคดีว่าอาจจะเป็นดังเช่นที่ผ่านมา พอท่านเก้าออกโรงก็จะกำชัยชนะได้ ถ้าตอนนั้นนางเลือกจบชีวิตตัวเองโดยไม่ลังเลใจ ท่านเก้าไม่มีนางเป็นตัวถ่วง ไหนเลยจะตกอยู่ในสภาพจนตรอกเยี่ยงนี้

ดวงตานางแห้งผาก

ได้ยินชายหน้าเหลี่ยมตะโกนขึ้น “พวกเราต้านเอาไว้ เจ้าหนุ่มนั่นจะไม่ไหวแล้ว!” น้ำเสียงอำมหิตของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

พลองเสมอคิ้วของท่านเก้าพุ่งเร็วรี่ดุจลมกรดแหวกอากาศตรงไปหาเขาดังฟ้าว

ชายหน้าเหลี่ยมตกใจยกใหญ่ เอี้ยวกายคิดจะหลบ พลองเสมอคิ้วก็กระแทกเข้ากลางอกเขาแล้ว

เขาผงะถอยกรูดติดกันเจ็ดแปดก้าวจากแรงพุ่งทะยานที่หลงเหลืออยู่ของพลองเสมอคิ้ว ก่อนที่มันจะร่วงตกพื้นดังเคร้ง เวลานี้ชายหน้าเหลี่ยมถึงกับกุมอก ทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น คอพับล้มกระแทกพื้นเสียงดังตึงแน่นิ่งไป

“พี่ใหญ่!” คนที่รุมโจมตีท่านเก้าอยู่วิ่งถลันไปหาเขาพร้อมกัน

ท่านเก้าซวนเซหงายหลังตึง

“ท่านเก้า!” ฟู่ถิงจวินร้องเสียงหลงพลางถลาเข้าไป “ท่านเก้า…”

เขาหลับตาแน่น ใบหน้าซีดเหลือง

“ท่านเก้า!” น้ำตานางหยดต้องใบหน้าเขาไม่ขาดสาย

ชายร่างท้วมหนาเหมือนคนเชือดสัตว์ผู้นั้นได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว เขากลอกตาไปมาแล้วผละจากชายหน้าเหลี่ยม ฉวยดาบใหญ่บนพื้นขึ้นมาได้ก็ปรี่เข้าไปหานาง

กระบี่อ่อนสีเงินวาววับดั่งงูพิษ พุ่งไล่ตามไปเสียบทะลุเข้ากลางหลังเขาอย่างฉับไว

ชายร่างท้วมหนาหยุดชะงักกึก จวบจนกระบี่อ่อนถูกดึงออก มีโลหิตพวยพุ่งออกมาจากตัวเขาระลอกหนึ่ง ถึงล้มลงกับพื้นดังตุบ

คนที่ห้อมล้อมชายหน้าเหลี่ยมอยู่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงร้องตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง

คนๆ อื่นพากันเงยหน้าขึ้น เห็นชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้นซึ่งยังมอบเงินให้พวกเขาอย่างพินอบพิเทาเมื่อครู่นี้ ถือกระบี่อ่อนยืนอยู่ข้างศพชายร่างท้วมหนา ใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพดังเก่า

ทุกคนสะท้านเยือกวูบหนึ่งอย่างสุดระงับ ต่างคนต่างมองเห็นแววสะพรึงกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย

“สังหารให้หมดเถอะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายกล่าวโพล่งขึ้น เสียงเฉยเมยเจือความเย็นชาน่ายำเกรงเฉกผู้ทรงอำนาจ

“ขอรับ” ชายร่างกำยำขานตอบเสียงดัง ในน้ำเสียงถึงกับแฝงความยินดีรางๆ

เขาก้าวปราดๆ เข้าไป เหวี่ยงหมัดชกใส่คนที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุด

ในโถงกว้างมีเสียงของแตกหักดังขึ้นแผ่วๆ ใบหน้าคนผู้นั้นยุบเข้าไปรอยหนึ่งทันที เขาไม่ร้องสักแอะ ล้มลงแล้วไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

ข้างฝ่ายกระบี่อ่อนในมือชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่ก็ว่องไวดุจอสรพิษ ปลิดชีพได้ในกระบี่เดียว

ชายหน้าเหลี่ยมฟื้นขึ้นมาแล้วร้องโวยวายวิ่งหนีออกไป

แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้นมือสังหารทั้งสองไปได้

ภายในศาลเจ้ากลายเป็นขุมนรกอเวจีไปในชั่วพริบตาเดียว

ฟู่ถิงจวินตะลึงลาน

ความรู้สึกที่มีต่อกลุ่มคนตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือย่ำแย่ถึงขีดสุด

ในเมื่อมีฝีมือเหนือกว่าทุกทางเช่นนี้ เหตุใดพอเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยเหลือ

นางอดปรายตามองไปทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้มิได้

ชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นหายตัวไปแล้วหรือนี่!

นางหันซ้ายแลขวาอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เห็นชายหน้าเหี้ยมคนนั้น กลับเห็นชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เอากระบี่อ่อนที่เหยียดตรงแทงซ้ำตรงกลางอกของทุกคนที่ล้มนอนอยู่กลางโถง

ความรู้สึกพะอืดพะอมพลุ่งขึ้นกลางอกหญิงสาวระลอกหนึ่ง

นางเบนหน้าไปอีกทางแล้วอาเจียนอย่างกลั้นไม่อยู่

“แม่นาง ท่านไม่เป็นไรกระมัง!” มีคนเดินเข้ามาหา ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้

บทที่สิบ

 สุ้มเสียงของคนผู้นั้นทุ้มใหญ่ติดจะแหบพร่าเหมือนจงใจกดเสียงพูดให้ต่ำลง

ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้างามเกลี้ยงเกลา

หรือว่าคนผู้นี้ไม่เข้าใจว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน

นางจะรับผ้าเช็ดหน้าของบุรุษได้อย่างไร

อาจเป็นเพราะมีความรู้สึกไม่ดีต่อพวกเขา ทำให้ฟู่ถิงจวินขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่คิดถึงว่าอย่างไรพวกเขาช่วยท่านเก้ากับนางไว้ จึงกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณท่านมาก บุญคุณในครั้งนี้ข้าไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต แล้วคงมิบังอาจรบกวนคุณชายไปมากกว่านี้!” กล่าวจบนางเบือนหน้าออกแล้วก้มตัวลงพยุงท่านเก้า

บุรุษผู้นั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นคลายยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสาทันที “แม่นาง ให้ข้าช่วยเถอะ! ลำพังท่านคนเดียวจะแบกเขาขึ้นมาได้อย่างไร!” เสียงเล็กๆ อ่อนหวานนุ่มนวลประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม ต่างจากเสียงเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง ฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลายอย่างยิ่ง

นี่กระมังถึงจะเป็นเสียงที่แท้จริงของเขา

เหตุอันใดเขาต้องกดเสียงให้ทุ้มต่ำลงยามพูดกับนาง

ฟู่ถิงจวินปรายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างแปลกใจอยู่บ้าง

เขามีสีหน้ากระดากๆ ขณะย่อเข่าลงไปพยุงท่านเก้า

“พวกท่านอย่าขยับตัวเขาส่งเดช!” ชายร่างกำยำผู้นั้นเดินเข้ามา ฝ่ามือใหญ่เท่าพัดใบลานยังเปื้อนโลหิต ไม่รู้ว่าเป็นโลหิตของเขาหรือพวกลูกน้องของชายหน้าเหลี่ยม “เขาใช้พละกำลังเกินตัว เกรงว่าจะบอบช้ำภายในด้วย ระวังจะทำให้อาการของเขาทรุดหนักขึ้น!”

ฟู่ถิงจวินฟังแล้วร้อนใจขึ้นมา นางคิดคำนึงว่าในเมื่อบุรุษผู้นี้ดูอาการบาดเจ็บของท่านเก้าออก เห็นทีว่าคงพอรู้วิชาแพทย์เล็กๆ น้อยๆ ด้วยเหตุนี้สายตาของนางที่มองเขาจึงฉายแววอ้อนวอนเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง “แล้วต้องทำอย่างไร”

ดวงตาดำขลับของนางฉาบด้วยม่านน้ำตา ยิ่งทอประกายแวววาวดุจหยกเนื้อใสชั้นเลิศ

ชายร่างกำยำมองนางซ้ำอีกคราอย่างอดใจไม่อยู่ก่อนกล่าว “ให้ข้าตรวจชีพจรของเขาดู”

ฟู่ถิงจวินรีบลุกขึ้นเปิดทางให้

เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ นิ้วมือแข็งสากใหญ่เทอะทะวางทาบบนจุดฉื่อกวนชุ่น* บนข้อมือท่านเก้าแล้วหลับตาลง ดูเหมือนกำลังจับชีพจรของท่านเก้าอยู่

ฟู่ถิงจวินกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ฉะนั้นมาตรว่าคนสองคนซึ่งยืนตรงอยู่หน้าประตูโถงจะสนทนากันเบาๆ ยังคงได้ยินเสียงลอยมาอย่างกระท่อนกระแท่น

“…ถูกปล้นสะดมไม่เหลือหลอ…หลายวันนี้ทางการตรวจค้นอย่างเข้มงวด พวกเขาไม่กล้ารั้งอยู่นาน…แต่ยังไม่ทันไรก็พบเข้ากับพวกเรา”

เป็นเสียงของชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่

พวกเขากำลังพูดคุยถึงสตรีที่ตกใจจนสิ้นสติสองนางนั่นใช่ไหม

ฟู่ถิงจวินอดชำเลืองมองไปทางนั้นมิได้

เห็นชายท่วงท่าผึ่งผายมีสีหน้าบูดบึ้ง เอ่ยกับอีกฝ่าย “ก็บอกมิใช่หรือว่าจะระดมกำลังจากกองพลมณฑลส่านซีมาปราบปราม ไฉนยังไม่ได้ยินข่าวใดอีก”

“ระดมพลครั้งใหญ่ มีหรือจะรวดเร็วปานนั้น!” ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่หยักยิ้ม ในรอยยิ้มมีร่องรอยระมัดระวังหลายส่วน “สองวันนี้สมควรเริ่มลงมือดำเนินการแล้วขอรับ”

ชายท่วงท่าผึ่งผายแค่นเยาะ “ถ้าพวกต๋าจื่อบุกมารุกรานเล่า พวกเขาก็ชักช้าอืดอาดเยี่ยงนี้หรือ ราชสำนักเลี้ยงทหารพันวัน ก็เพื่อใช้ในสงครามวันเดียว…”

ฟู่ถิงจวินฝืนข่มความตื่นตระหนกในใจไว้

คนผู้นี้เป็นใครกัน

ไม่เพียงล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของราชสำนัก ยังวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของราชสำนักด้วยน้ำเสียงติเตียนไม่พอใจประหนึ่งมีฐานะเป็นผู้อยู่เบื้องบน

ในใจฟู่ถิงจวินบังเกิดความระแวดระวัง นางเงี่ยหูหมายฟังให้ละเอียด กลับมีเสียงของชายร่างกำยำดังขึ้นข้างหู “เหลียนเซิง ท่านน่าจะมีรากตันเซิน* ติดไม้ติดมือบ้างกระมัง ขอสักสองชิ้นมาบรรเทาอาการก่อนชั่วคราว!”

ถ้อยคำของเขาดึงดูดความสนใจของฟู่ถิงจวินไป นางหยุดฟังคนทั้งสองสนทนากันแล้วมองไปทางบุรุษรูปงามเกลี้ยงเกลาผู้นั้น

บุรุษที่ชายร่างกำยำเรียกขานว่า ‘เหลียนเซิง’ พยักหน้า จากนั้นพูดด้วยสีหน้าสองจิตสองใจ “ข้ายังมียาทะลวงเลือดลม ท่านว่าจะให้เขากินสองเม็ดได้หรือไม่”

“ใช้ยาทะลวงเลือดลมไม่ได้” ชายร่างกำยำกล่าว “ยานี้มีสรรพคุณเดินลมปราณและสลายการอุดตัน แม้จะเป็นผลดีต่ออาการบอบช้ำภายในของเขา แต่เขามีบาดแผลภายนอกด้วย กินรากตันเซินฟื้นฟูร่างกายก่อน รอเมื่อได้สติเต็มที่แล้วค่อยใช้ยาทะลวงเลือดลมก็ยังไม่สาย”

ฟู่ถิงจวินเคยอ่านตำราแพทย์มาบ้างจึงรู้จักยาทั้งสองชนิดนี้เช่นกัน อีกทั้งวิธีใช้ยาของเขาก็ถูกต้องตามหลักการ นางอดมิได้ที่จะลอบเห็นพ้องอยู่ในใจและเชื่อถือในวิชาแพทย์ของบุรุษผู้นี้มากขึ้นอีกหลายส่วน

เหลียนเซิงเดินเขย่งปลายเท้าอ้อมผ่านศพตรงกลางโถงไปเอายาสองขวดมาให้

ฟู่ถิงจวินหาชามของตนเองจากกองข้าวของกระจัดกระจายด้านข้าง และเตรียมน้ำไว้พร้อมสรรพ

ชายร่างกำยำป้อนยาให้ท่านเก้ากินไปพลาง เอ่ยถามนางไปพลาง “มีเสื้อเก่าสะอาดๆ หรือไม่ ข้าจะใส่ยาสมานแผลให้เขา”

“มีๆๆ!” ฟู่ถิงจวินคิดถึงเสื้อผ้าไหมตัวสั้นสีฟ้านวลของนางตัวนั้น รีบเร่งหาออกมาแล้วตั้งท่าจะฉีกเป็นแถบยาวๆ

มีคนพลิ้วกายเดินเข้ามาแผ่วเบาดุจนกนางแอ่น “ท่านสิบหก!”

ฟู่ถิงจวินมองไปตามต้นเสียง

คนที่เข้ามากลับเป็นชายหน้าเหี้ยมที่หายตัวไปกลางคันผู้นั้น เขาค้อมกายคารวะชายท่วงท่าผึ่งผายอย่างนอบน้อม “ข้าน้อย…” เสียงของเขาเบาลงกะทันหัน ทำให้นางได้ยินไม่ชัดเจน “…สำเร็จลุล่วงตามที่มอบหมายขอรับ!”

พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน?

แล้วเมื่อครู่นี้ทำไมต้องแสร้งทำท่าไม่รู้จักกัน

ฟู่ถิงจวินตะลึงพรึงเพริดไปหมด มือเท้าอ่อนระทวย ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะฉีกเสื้อไปชั่วขณะ

พวกเขามีวิชายุทธ์สูงขนาดนี้ กลับยอมมอบเงินดีกว่าเป็นปฏิปักษ์กับชายหน้าเหลี่ยม พอเห็นพวกนางวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตายก็ไม่ช่วยเหลือ วางท่านิ่งเฉยไม่อยากมีเรื่องมีราว…เช่นนั้นเหตุไฉนพวกเขาถึงเปลี่ยนใจช่วยเหลือท่านเก้ากับนางเล่า

ฟู่ถิงจวินเย็นวาบที่สันหลัง แขนขาสั่นระริก รับรู้ได้รางๆ ว่าตนเองประสบพบเจอกับบางอย่างที่ไม่พึงควรพบเจอเสียแล้ว นางสูดลมหายใจลึกๆ หลายเฮือก ถึงจะฉีกเสื้อผ้าไหมขาดดังแคว่ก

ท่านสิบหกอมยิ้มพยักหน้าให้ชายหน้าเหี้ยมแล้วกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว มีเจ้าคนเดียวรึ”

“พวกข้ามีกันทั้งหมดยี่สิบคนขอรับ” เสียงพูดของเขาเป็นจังหวะจะโคนแฝงความหนักแน่นมั่นคงดุจขุนเขา “คนที่อยู่กับข้ามี…” เขาลดสุ้มเสียงลงเบาลงอีกครา “มีเพียงพวกข้าที่โชคดีได้พบท่านสิบหก…เขาไปตอบสารกลับแล้ว อีกไม่นานก็จะตามมาถึงขอรับ”

ท่านสิบหกผงกศีรษะน้อยๆ เดินเข้าไปหาฟู่ถิงจวิน

ชายหน้าเหี้ยมกับชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่พยักหน้าส่งยิ้มทักทายกัน ดูท่าทางคุ้นเคยกันดี

ทั้งคู่เดินตามอยู่ข้างหลังท่านสิบหกห่างไปสองก้าว

“เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านสิบหกเอ่ยถามชายร่างกำยำ “อาการสาหัสแค่ไหน”

ชายร่างกำยำรีบลุกขึ้นยืนคำนับแล้วกล่าวเสียงนอบน้อม “หัวไหล่กับกลางหลังมีบาดแผลจากดาบที่ละหนึ่งแห่ง แต่ไม่โดนเข้าจุดสำคัญ ดูท่าทางได้รับบาดเจ็บมาไม่ถึงสองวัน แต่มิได้ชำระล้างและใส่ยาสมานแผลอย่างทันท่วงที จึงเริ่มเน่าเปื่อยเป็นหนองแล้ว หากสามารถให้หมอตรวจอาการแล้วเขียนใบสั่งยาแก้พิษบาดแผลและพิษไข้ได้ก็จะเป็นการดีที่สุด ยังมีอาการบอบช้ำภายในที่รุนแรงมากเช่นกัน อย่างน้อยต้องนอนพักรักษาตัวหนึ่งถึงสองเดือนถึงจะหายเป็นปกติขอรับ…”

ฟู่ถิงจวินนั้นมองดูที่ด้านนอกสาบเสื้อของท่านเก้าแวบเดียวเท่านั้น หาได้รู้ไม่ว่าเขายังมีบาดแผลที่แผ่นหลังอีก เพราะข้อแรกนางรู้สึกอาย ข้อสองคือพันแผลไม่เป็น

พอได้ยินชายร่างกำยำกล่าวขึ้นเช่นนี้ นางเจ็บปวดใจเหลือหลาย

ไม่รู้ว่าหลายวันก่อนหน้านี้ท่านเก้าอดทนผ่านมาได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังพูดปลอบนางด้วยรอยยิ้มเสมอ

น้ำตาหญิงสาวไหลพรากอย่างสุดจะห้ามด้วยความร้อนอกร้อนใจ

ได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ ทางที่ดีคือเชิญหมอชื่อดังของเมืองซีอานมารักษาได้ แต่เขาต้องนอนพักนิ่งๆ ไม่อาจทนนั่งรถม้าตรากตรำ แม้นในมือนางมีตั๋วเงินสองพันตำลึง และของมีค่าราคาพันกว่าตำลึงเงิน หากเป็นยามปกติ คงใช้เงินก้อนนี้เช่าเรือนสักหลังและเชิญหมอชื่อดังของเมืองซีอานมาตรวจอาการได้อย่างไม่เป็นปัญหา ทั้งยังมีเหลือให้ใช้สอยอย่างสบายมือ แต่ขณะนี้เกิดภัยแล้งทุกหย่อมหญ้า ถึงมีเงินจ่าย หมอพวกนั้นคงไม่ออกจากซีอาน ครั้นจะเช่าเรือนก็กลัวถูกคนเร่ร่อนปล้นชิง…

นางต้องคิดหาหนทางให้ท่านสิบหกผู้นี้พาพวกนางไปส่งที่เมืองซีอาน

ขอแค่ไปถึงเมืองซีอาน มีอวี้เฉิงกับหยวนเป่า ท่านเก้าก็ปลอดภัยแล้ว

ฟู่ถิงจวินกัดริมฝีปาก คุกเข่าตัวตรงอยู่เบื้องหน้าท่านสิบหก

“ท่านผู้มีคุณ!” นางก้มหัวเล็กน้อย แลดูอ่อนแอหากยังแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็งอยู่ในที “ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิต ได้โปรดบอกนามต้องห้ามของท่านให้ข้าทราบด้วย ข้าจะได้ตั้งป้ายหินสดุดีให้ท่านผู้มีคุณอายุมั่นขวัญยืน และขอให้องค์โพธิสัตว์คุ้มครองท่านอยู่เย็นเป็นสุข พรั่งพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญ มีลูกหลานสืบสกุลบริบูรณ์ วงศ์ตระกูลเจริญรุ่งเรือง…”

ขณะที่กล่าววาจา นางสัมผัสได้ว่าสายตาของท่านสิบหกจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลาทำให้นางอึดอัดมาก แต่นางไม่กล้าเพ่งพิศสีหน้าของอีกฝ่าย ครั้นหางตาเหลือบมองไปที่รองเท้าเขาโดยไม่ตั้งใจ ฟู่ถิงจวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง

นางแลเห็นถุงเท้าของท่านสิบหก เป็นผ้าฝ้ายซานหลิงจากซงเจียง* ปักลายดอกไม้มงคล มีสายรัดสีเหลืองอร่าม

สายรัดสีเหลืองอร่าม…จากนั้นนางคิดไปถึงเสียงของเหลียนเซิง…เงินหลวง…

ในหัวนางอึงอลว่างเปล่า เหงื่อเย็นผุดออกมาตามหน้าผาก จอนข้างหู และแผ่นหลัง สุ้มเสียงของนางเนิบช้าตึงเครียดยิ่งขึ้นทุกทีแล้วก็ยังไม่รู้ตัว

“เจ้าเป็นอะไรกับเขารึ” เสียงของท่านสิบหกทำให้หัวใจนางเต้นเป็นรัวกลอง “แล้วไว้ทุกข์ให้ผู้ใดกัน”

ฟู่ถิงจวินดึงสติคืนมา ไม่รู้จะกล่าวตอบเช่นไรดี

หากบอกว่านางกับท่านเก้าเป็นนายบ่าวกัน ถ้าท่านสิบหกถามซักไซ้ต่อไป นางคงเผยพิรุธเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้นางปัดคำตอบนี้ทิ้งไปทันทีโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ

หากบอกว่าเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องต่างสกุลกัน ก็จะมีแค่ว่าเป็นบุตรของอาหญิงกับบุตรของลุงฝั่งมารดา หรือไม่ก็เป็นบุตรของน้าหญิงและบุตรของป้าฝั่งมารดาเท่านั้น

ถ้านางกับท่านเก้าเกี่ยวดองกันในแบบแรก เช่นนั้นลุงของนางคือ ’บิดา‘ ของท่านเก้า ส่วนน้าหญิงของนางก็เป็น ’อาหญิง‘ ของท่านเก้าด้วย ขณะที่บิดาของนางจะเป็น ’อาเขย‘ ของท่านเก้า

ถ้านางกับท่านเก้าเกี่ยวดองกันในแบบหลัง เช่นนั้นมารดาของนางก็คือ ’น้าหญิง‘ ของท่านเก้า ส่วนป้าของนางจะเป็น ’มารดา‘ ของท่านเก้า ขณะที่น้าชายของนางก็จะเป็น ’น้าชาย‘ ของท่านเก้าด้วย ฉะนั้นจะมีเหตุผลที่นางแต่งกายไว้ทุกข์แต่ท่านเก้าไม่ต้องที่ไหนกัน

ฝ่ามือหญิงสาวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ทว่านางไม่กล้าถ่วงเวลาแม้เสี้ยวขณะ

เหลือความเป็นไปได้เพียงประการเดียว…นางกลั้นใจเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นว่าที่ภรรยาของเขา!”

เมื่อเป็นว่าที่ภรรยา ท่านเก้าย่อมไม่ต้องไว้ทุกข์ให้ ’พ่อตา‘ เป็นธรรมดา

ในโถงกลางเงียบงันไปชั่วอึดใจ

หรือนางตอบไม่ถูก

ฟู่ถิงจวินฉุกคิดขึ้นได้ รูปโฉมภายนอกของท่านเก้ากับนาง…คนหนึ่งยากจนต่ำต้อย คนหนึ่งร่ำรวยสูงศักดิ์…

หญิงสาวเหงื่อกาฬแตกพลัก

“บ้านว่าที่สามีข้าอยู่ที่อำเภอหล่งซี” ที่นั่นขึ้นอยู่กับเมืองก่งชาง ห่างจากเมืองซีอานพันกว่าลี้ อีกทั้งในคราวนี้ผู้ประสบภัยอพยพหนีภัยออกมาจากที่นั่นเป็นที่แรก ต่อให้พวกเขาอยากสืบก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสืบได้เรื่องอะไร และยังสามารถอธิบายได้พอดีว่าเหตุใดท่านเก้าถึงผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก “ส่วนข้าเป็นคนอำเภอผิงเหลียงเจ้าค่ะ” นางจดจำถ้อยคำของท่านเก้าตอนอยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่ได้ แต่หล่งซีกับผิงเหลียงอยู่ห่างไกลกันเกินไป แล้วการแต่งงานครั้งนี้ได้รับการชักนำมาจากทางใดเล่า ความคิดในหัวนางแล่นเร็วรี่ “พวกเราสองตระกูลล้วนมีผู้อาวุโสทำการค้าอยู่ต่างเมือง จึงได้คบหากันเป็นสหายสนิท และตกลงจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน”

น่าจะพอพ้นตัวไปได้กระมัง!

“ต่อมาเมืองก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง คู่หมั้นข้าบ่ายหน้ามาพึ่งพาอาศัย ผู้ใดจะรู้ว่าความเป็นอยู่ของตระกูลข้าก็ประสบกับความลำบากอัตคัด เลยเดินทางไปหาญาติที่เว่ยหนาน คู่หมั้นข้าเสาะหามาตลอดทางกว่าจะได้พบกันที่หฺวาอินอย่างไม่ง่ายดาย กลับถูกคนเร่ร่อนปล้นชิง คู่หมั้นข้าคุ้มครองข้าหนีมาได้…” นางเริ่มร้องไห้กระซิกๆ

ส่วนว่าไว้ทุกข์ให้ใคร ก็ให้พวกเขาคิดกันเอาเองก็แล้วกัน!

ท่านสิบหกส่งสายตาไปทางเหลียนเซิง เขารีบเข้าไปกล่าวปลอบเสียงนุ่ม “แม่นาง โปรดระงับความโศกเศร้าด้วย!”

ฟู่ถิงจวินขยี้ตาแรงๆ ตอนที่ลดแขนเสื้อลง ทำให้ดวงตาแดงเรื่อๆ

ท่านสิบหกกล่าว “ในเมื่อพวกท่านจะไปเมืองซีอาน ไฉนมาที่อำเภอหลันเถียน อีกอย่างเขาได้รับบาดเจ็บเพราะอะไร”

นางเล่าเรื่องที่พบกับเฝิงเหล่าซื่อให้ท่านสิบหกฟัง ส่วนเรื่องบาดหมางเก่าก่อนของเฝิงเหล่าซื่อกับท่านเก้า และเรื่องที่คนของเฝิงเหล่าซื่อถูกท่านเก้าสังหารไปเกือบหมด รวมถึงข้อตกลงระหว่างท่านเก้ากับเฝิงเหล่าซานล้วนต้องปิดบังไว้ “…พอท่านเก้าหมดสติไป พวกข้าทั้งไม่รู้จักทาง ทั้งเข็นรถเข็นไม่ชำนาญ ก็โซซัดโซเซมาจนถึงที่นี่ ได้ยินว่าห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลมีเมืองหนึ่ง คิดจะเชิญหมอสักคนมารักษาท่านเก้า แต่เป็นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงเข็นท่านเก้าเข้าไปในเมือง เลยจำต้องหยุดพักในศาลเจ้าแห่งนี้ คาดไม่ถึงเลยว่า…”

ฟู่ถิงจวินพูดช้าๆ นางพูดไปพลางครุ่นคิดเรื่องนี้ไปพลาง

ฮ่องเต้ครองราชย์มานานสามสิบแปดปีแล้ว พวกองค์ชายไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ ฉะนั้นท่านสิบหกคงเป็นแค่เจ้าผู้ครองเขต

บัณฑิตจวี่เหรินชราวัยเลยหกสิบ คนที่สอนหนังสือนางเมื่อก่อนเคยเล่าว่าตั้งแต่ในรัชศกหยวนคังเคยมีท่านอ๋องยกข้ออ้าง ’กวาดล้างขุนนางทุจริต‘ เพื่อก่อกบฏจนเกือบล้อมบุกเข้ามาถึงเมืองหลวง นับจากนั้นเป็นต้นมาได้เกิดข้อห้ามเด็ดขาดสองข้อคือหนึ่งท่านอ๋องจะออกจากอาณาเขตของตนโดยไม่มีพระราชโองการไม่ได้ สองจะติดต่อพบปะขุนนางใหญ่ไม่ได้ โดยมีองครักษ์ประจำพระองค์หน่วยอาชาเหินทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวภายในอาณาเขตของเจ้าผู้ครองเขตทุกคน เสด็จอาของฮ่องเต้พระองค์นี้ซึ่งครองอาณาเขตซื่อชวนก็ถูกปลดเป็นสามัญชนเพราะถูกผู้บัญชาการหน่วยอาชาเหินถวายฎีกาฟ้องร้องว่าผูกสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้นกับหลิวรุ่ยเฮ่าผู้ตรวจราชการเขตซงฟานนั่นเอง

เจ้าผู้ครองเขตส่านซีคือเจี่ยนอ๋อง แต่ได้ยินคนพูดว่า เจี่ยนอ๋องมีวัยเลยห้าสิบแล้ว ไม่มีทายาทสืบสกุล หลายปีนี้กำลังเกิดปัญหายุ่งเหยิงจนสางไม่ออกเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ท่านสิบหกจะเป็นคนในตระกูลของเจี่ยนฮุ่ยอ๋อง ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นท่านอ๋องคนอื่น อาณาเขตที่ใกล้ๆ กับส่านซีมีอันอ๋องแห่งซื่อชวนทางทิศตะวันตก กับมู่อ๋องแห่งหูกว่างทางทิศใต้

นางเย็นวาบๆ ที่แผ่นหลัง

มิน่าเขาถึงต้องปกปิดร่องรอย!

ถ้าคนของหน่วยอาชาเหินล่วงรู้เข้า แค่การออกจากอาณาเขตโดยพลการเพียงข้อเดียวก็ทำให้เขาถูกปลดหรือจบชีวิตได้แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรท่านสิบหกถึงช่วยพวกนางไว้

ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ฟู่ถิงจวินได้ยินท่านสิบหกถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “บ้านเมืองวุ่นวายเฉกยามนี้ ใช้ยุทธ์หยุดกาลีใช่อื่นใด” น้ำเสียงเขาทดท้ออย่างมาก

นี่เป็นกลอนบทหนึ่งในราชวงศ์ก่อนที่ตู้ฝู่* มอบให้แม่ทัพหลี่ซื่อเยี่ยซึ่งปกครองเมืองปินโจวอยู่ขณะเดินทางผ่านไปทางนั้น มีนัยความหมายถึง ’บัณฑิตปกครองดูแลบ้านเมือง นักรบปกปักรักษาแผ่นดิน’

คนที่อยู่ด้านข้างท่านสิบหกฟังแล้วก้มหน้านิ่งเงียบไป

ฟู่ถิงจวินกลับคิดคำนึงในใจ

ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง พี่ชายสามกับพี่ชายสี่พูดคุยถกเถียงกันว่า หลายปีมานี้ฮ่องเต้มุ่งแสวงหาวิถีสู่ความเป็นอมตะมาโดยตลอด ปล่อยให้ราชเลขาธิการเสิ่นซื่อชงเป็นผู้ดูแลงานราชกิจแผ่นดินทั้งหมด แต่เสิ่นซื่อชงผู้นี้มีจิตใจคับแคบ เชี่ยวชาญการประจบสอพลอ เจ้าคิดเจ้าแค้น อีกทั้งเลือกใช้คนใกล้ชิด กำจัดคนคิดต่าง ในรัชศกซีผิงปีที่สามสิบสี่ พวกต๋าจื่อมารุกราน ซูมู่ ผู้บัญชาการกองพลมณฑลส่านซีสนับสนุนให้สู้รบ ขณะที่เสิ่นซื่อชงสนับสนุนให้สงบศึก ซูมู่ถวายฎีกาสามฉบับภายในวันเดียว ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพเจิงซี ควบคุมดูแลกำลังทหารในส่านซี ต้าถง และเซวียนฝู่ ต่อมาซูมู่ขาดแคลนเสบียง ทว่าเสิ่นซื่อชงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ ทำให้เขาพ่ายศึกสิ้นชีพไป

หญิงสาวคิดถึงสีหน้าของท่านสิบหกตอนวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักกับชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เมื่อครู่นี้

ท่านสิบหกจะต้องทั้งขุ่นเคืองใจทั้งจนปัญญากับการบริหารราชการบ้านเมืองเป็นแน่แท้

นางยังคิดถึงสตรีและเด็กทารกที่พบเจอมาตลอดทาง ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าตนเองยังเอาตัวไม่รอดยังมีใจอยากช่วยเหลือเจือจาน นับประสาอะไรกับเจ้าผู้ครองเขตอย่างท่านสิบหก ยามมองเห็นชาวบ้านในอาณาเขตตนประสบความยากแค้นทุกข์เข็ญ เห็นทีว่าเขาจะต้องเสียใจ เป็นทุกข์ และคับแค้นยิ่งกว่านาง ดังนั้นคาดเดาได้ไม่ยากว่าเหตุไฉนท่านสิบหกต้องยื่นมือช่วยเหลือแล้ว

ในใจฟู่ถิงจวินสงบลงบ้าง

เสียงครางแผ่วๆ ดังขึ้นข้างหู จากนั้นเป็นเสียงอู้ๆ อี้ๆ ของท่านเก้า “แม่นางฟู่…”

ท่านเก้าฟื้นแล้ว!

ความรู้สึกนานัปการประดังประเดเข้ามาตรงกลางอก ไหนเลยหญิงสาวจะยังสนใจอีกว่าใครเป็นท่านอ๋องหรือไม่ นางลุกขึ้นวิ่งไปหาท่านเก้า “ข้าอยู่นี่ๆ”

ท่านเก้าหน้าซีดขาวราวกระดาษ

เขาพยายามลืมตาขึ้น

“ข้าเองๆ!” ฟู่ถิงจวินทรุดตัวลงนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างเขา

เขาเพ่งสายตาไปทางต้นเสียง มองนางด้วยแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “พวกเราคงมิได้ตายกันหมดแล้วกระมัง”

“ยังไม่ตายๆ” ฟู่ถิงจวินพูดตอบ ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางเพียงรู้สึกแปลบปลาบใจ พาให้น้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย “เป็นท่านสิบหกกับผู้ติดตามหลายท่านนี้ช่วยพวกเราไว้!” นางกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง

ท่านเก้าพยายามยันตัวจะลุกขึ้นแสดงคารวะพวกท่านสิบหก

“ไม่ต้องเกรงใจปานนี้” ท่านสิบหกบุ้ยใบ้บอกให้เหลียนเซิงเข้าไปห้ามปรามพลางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นขึ้นมารวดเร็วอย่างนี้ เห็นได้ว่าท่านมีพื้นฐานพลังยุทธ์ดีมาก ท่านร่ำเรียนวิชายุทธ์กับใครหรือ” ท่าทางเขาสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ท่านเก้าลุกขึ้นนั่งจนได้

หยดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาจากหน้าผาก

“แค่วิชายุทธ์แบบงูๆ ปลาๆ สองสามกระบวนท่าที่ถ่ายทอดในตระกูล ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง” เขากล่าวยิ้มๆ

“วิชายุทธ์เช่นนี้ยังเรียกว่างูๆ ปลาๆ? เจ้าออกจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” ท่านสิบหกเอ่ยขันๆ แล้วถามขึ้น “เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”

ฟู่ถิงจวินหน้าซีดไปทันใด

เมื่อครู่นี้นางมัวแต่คิดว่าจะปกปิดความจริงไว้ กลับลืมเลือนไปว่าถ้าเกิดท่านเก้าฟื้นขึ้นมา พอท่านสิบหกถามความกับเขา ทั้งสองยังมิได้ซักซ้อมคำตอบไว้ล่วงหน้า จะไม่เผยพิรุธออกมาหรืออย่างไร

ท่านเก้านึกว่าฟู่ถิงจวินเหนื่อยล้าแล้ว ส่งสายตาเป็นเชิงปลอบโยนนางก่อนเอ่ย “มิกล้า ข้าน้อยมีนามว่าจ้าวหลิง”

ที่แท้ท่านเก้าชื่อว่าจ้าวหลิงนี่เอง!

หญิงสาวร้อนใจยิ่งขึ้น

“จ้าวหลิง!” ท่านสิบหกขบคิดความหมายของชื่อนี้ “แกร่งกล้ายืนยงไร้ผู้กล้ำกราย เป็นนามที่ดี! ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่ มีชื่อรองหรือไม่”

“ข้าน้อยไม่เคยเข้าสำนักศึกษา เพราะเหตุนี้จึงไม่มีชื่อรอง” ท่านเก้ากล่าวตอบทว่าทำเฉไฉข้ามเรื่องอายุไป

ฟู่ถิงจวินกำลังร้อนรนอยากจะนัดแนะคำพูดกับท่านเก้าพอดี นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ท่านเก้า “ท่านเช็ดเหงื่อสิ” พร้อมกับฉวยจังหวะนี้กระซิบบอกข้างหูเขาสองสามคำอย่างฉับไว

ยามที่ได้ยินคำว่า ’คู่หมั้น‘ ท่านเก้าชะงักค้างไปชั่วขณะถึงดึงสติคืนมา แต่เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ท่านสิบหกก็เอ่ยขึ้นแล้ว “เจ้าอ่านออกเขียนได้หรือไม่” สายตาอีกฝ่ายฉายแวววาดหวังหลายส่วน

ฟู่ถิงจวินกระจ่างแจ้งฉับพลันในเสี้ยวเวลาชั่วแล่น

ท่านสิบหกเห็นว่าท่านเก้ามีวรยุทธ์ดี หมายดึงตัวเข้าเป็นพวก

ดุจเดียวกับสกุลฟู่ ยามพบผู้มีความสามารถในจัดการสะสางงานได้ดีก็จะหาทางดึงตัวมาเป็นคนดูแลงานต่างๆ ในตระกูลเช่นกัน

ทว่ายามนี้เจ้าผู้ครองเขตเองใช่ว่าอยู่ดีมีสุขนัก หากเข้าไปสวามิภักดิ์จริงๆ ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป

นางต้องหาทางบอกเตือนท่านเก้าสักหน่อย

ท่านเก้าอมยิ้มกล่าว “เคยหัดเขียนอ่านกับมารดาเมื่อสมัยเยาว์วัยขอรับ”

ในเมื่อมารดาสอนบุตรชายอ่านหนังสือได้ จะต้องเป็นหญิงสาวตระกูลใหญ่ ฉะนั้นเห็นได้ว่าครอบครัวเขาตกอับ

ท่านสิบหกได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “ตอนนี้เจ้าทำมาหากินอะไร”

ท่านเก้ากล่าว “เดิมที่ครอบครัวข้ามีที่นาอยู่หลายหมู่ รอเมื่อผ่านพ้นภัยแล้งไปแล้วค่อยกลับไปฟื้นฟูขอรับ”

“เจ้ามีฝีมือดีขนาดนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายพอดู” ท่านสิบหกพูดยิ้มๆ

“แรกเริ่มที่ฝึกวรยุทธ์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีอันใดน่าเสียดายเล่า”

ท่านสิบหกฟังแล้วสีหน้ายิ่งพออกพอใจ

ฟู่ถิงจวินมองเห็นแล้วลอบร้อนรุ่มใจ ขณะกำลังคิดจะใช้วิธีอะไรสักอย่างตัดบทสนทนาของพวกเขาก็มีคนพูดรายงานอยู่นอกประตูโถง “พี่โม่ พี่เถามาแล้วขอรับ!”

พอชายหน้าเหี้ยมคนนั้นได้ยิน พูดกระซิบสองสามคำที่ข้างหูท่านสิบหกทันที

ท่านสิบหกนิ่งคิดแล้วออกไปที่ประตูโถงกับเขา ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับเหลียนเซิงติดตามไปด้วย ด้านชายร่างกำยำกลับยกนิ้วโป้งให้ท่านเก้าพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ลูกผู้ชาย” ก่อนถึงตามออกไป

ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นรีบบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบกับท่านเก้า “…ท่านสิบหกผู้นี้ออกจากอาณาเขตของตนเองโดยพลการ ข้างกายยังมีองครักษ์ฝีมือล้ำเลิศหลายคนอย่างนี้ เพียงดูก็รู้ว่ามิใช่เจ้านายที่รักสงบนัก ทางที่ดีพวกเราอย่าเข้าไปพัวพันกับเขาจะดีกว่า แต่ยาของเขาสรรพคุณดีมาก อีกประเดี๋ยวพวกเราหาวิธีให้เขามอบยาให้พวกเราบ้าง ตอนนี้รออาเซินกลับมา พวกเราก็ไปพำนักที่ตำบลหลินชุน ในเมื่อโจรป่าพวกนั้นถูกกำจัดไปแล้ว คงอยู่อย่างเงียบสงบได้อย่างน้อยสักสองวัน แล้วก็พวกเราไม่ต้องเชิญหมออีกแล้ว ให้อาเซินไปที่เมืองซีอานตามอวี้เฉิงกับหยวนเป่ามาคุ้มครองท่านไปที่ซีอาน…” ครั้นหางตานางมองเห็นพวกท่านสิบหกเดินมา รีบนั่งตัวตรงเรียบร้อย และเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแนบเนียน “ท่านสิบหกเป็นคนดี ประเดี๋ยวพวกเราขอยาจากเขา เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่…อุ๊ย…” หญิงสาวพูดอยู่ดีๆ ก็อุทานขึ้นเบาๆ แล้วหยุดสนทนาลงทันใด นางลุกขึ้นยืนราวกับร้อนตัวที่อีกฝ่ายล่วงรู้การดีดลูกคิดในใจของตนเอง

ท่านสิบหกกล่าวอย่างไม่เก็บใส่ใจ “ข้ายังมีธุระ ต้องจากไปในราตรีนี้เลย ถึงกระนั้นได้พบกันก็คือมีวาสนาต่อกัน ข้ามีบางเรื่องอยากบอกเจ้า” สีหน้าเขาขึงขังเป็นอันมาก

ฟู่ถิงจวินใจกระตุกวูบหนึ่ง

“ยามนี้ทางซีเป่ยเกิดสงครามใหญ่ พวกต๋าจื่อมารุกรานทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องการคนพอดี” ท่านสิบหกเอ่ยอย่างตรึกตรอง “เจ้ามีฝีมือดีขนาดนี้ ไยไม่ไปเป็นทหารที่ซีเป่ย สร้างคุณความดีที่สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน เชิดชูเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูล และไม่ทำให้วิชายุทธ์ประจำตระกูลของเจ้าต้องสูญเปล่า!”

นางประหลาดใจมาก ด้วยนึกว่าท่านสิบหกจะชักชวนท่านเก้าไปอยู่ด้วย เลยคาดไม่ถึงว่าจะเป็นการชักจูงให้ไปเป็นทหาร

ท่านเก้ามองท่านสิบหกอย่างตกตะลึง เขานิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ท่านสิบหกให้เวลาข้าตรองดูดีๆ เถิด!”

แม้นท่านเก้ามิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ท่านสิบหกกลับเห็นว่าเขาตอบอย่างซื่อตรง จึงมองเหลียนเซิงแวบหนึ่ง

เหลียนเซิงหยิบเทียบชื่อสีแดงเข้มเคลือบทองใบหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระยื่นส่งให้ท่านเก้า

ท่านสิบหกกล่าว “ข้ารู้จักกับอู๋ซิน หัวหน้ากองพลมณฑลส่านซี หากเจ้าอยากไปเป็นทหารก็ถือเทียบชื่อของข้าไป เขาจะเป็นธุระให้เจ้าเอง หากเจ้าไม่ไป เทียบชื่อนี้ก็ให้เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะ!” เขาพูดพลางชี้ไปที่ชายหน้าเหี้ยมคนนั้น “เขาชื่อโม่อี้เป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของข้า ตอนนี้พวกเจ้าไปไหนมาไหนไม่สะดวก ข้าจะให้เขาอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือ ส่วนพวกยาต่างๆ ก็ล้วนมอบไว้ที่เขา พวกเจ้าตามเขาไปที่ตำบลหลินชุนพักรักษาตัวอย่างสบายใจ” กล่าวจบเขาไม่รอท่านเก้ากับฟู่ถิงจวินพูดอะไรก็หมุนกายเดินออกไปด้านนอก

“ท่านสิบหก บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ข้าจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน” ท่านเก้าตะโกนพูดไล่หลังเขาไป

ท่านสิบหกหันมายิ้ม ก่อนจะหมุนกายออกจากศาลเจ้าไป

ด้านนอกมีเสียงร้องของอาชาลอยแว่วเข้ามา ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้าเร็วรี่ดุจพายุฝนกระหน่ำดังห่างออกไปทุกที

ค่ำคืนแห่งคิมหันตฤดูคืนสู่ความสงบเงียบอีกครา

โม่อี้ชายหน้าเหี้ยมยิ้มพลางเอ่ยกับท่านเก้า “ข้าเห็นพวกเจ้ามีรถเข็นไม้คันหนึ่ง หรือไม่ข้าเข็นให้เจ้านั่งแล้วพวกเรารุดไปที่ตำบลหลินชุนในราตรีนี้กันเลยเถอะ อยู่ในที่ที่มีซากศพกองเต็มไปหมด บอกตามตรง ถึงข้าจะไม่กลัว แต่ก็รู้สึกขยะแขยงอยู่สักหน่อยเหมือนกัน”

ยามเขายิ้ม ใบหน้าหยาบกร้านขรุขระจะสั่นกระตุกทำให้ดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น สู้ไม่ยิ้มจะดีกว่า

“พวกเรารอสักครู่เถอะ” ฟู่ถิงจวินไม่อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้แม้ชั่วเค่อเดียว แต่อาเซินยังไม่กลับมา “พวกข้ายังมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาไปหาหมอในหลินชุน…”

ไม่ทันสิ้นเสียงนาง อาเซินก็พุ่งทะยานเข้ามา “ท่านเก้า แม่นางฟู่…”

เสียงของเขาสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ พอแลเห็นซากศพเต็มโถงก็ตะลึงค้างตัวแข็งอยู่กับที่

 

ตอนที่พวกเขาเข้าสู่ตำบลหลินชุน ตรงปลายฟ้าเริ่มปรากฏแสงเงินเรื่อเรือง

สองฟากฝั่งของถนนใหญ่ซึ่งปูด้วยแผ่นศิลาเขียวเต็มไปด้วยชาวบ้านหนีภัยที่นอนกันระเกะระกะ บางคนมีเสื่อขาดๆ รองใต้ร่าง บางคนล้มกายลงนอนบนพื้นหินทั้งอย่างนั้น บางคนไม่แม้แต่สวมเสื้อสักตัว เพียงนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว แต่ละคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เปลือยเท้าดำเปรอะ พอได้ยินเสียง มีคนยกหัวขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วพลิกตัวนอนหลับต่อ บางคนลุกขึ้นนั่งมองพวกเขาเดินผ่านไปด้วยแววตาว่างเปล่า

ใกล้ๆ กันนั้นมีเด็กตกใจตื่นขึ้นส่งเสียงร้องไห้จ้าดังกังวานเป็นพิเศษในรุ่งเช้ากลางฤดูร้อนอันเงียบเชียบนี้ แม่ของเด็กน้อยรีบอุ้มเขาขึ้นมาปลอบเบาๆ ทว่าเสียงร้องไห้กลับดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางเปิดสาบเสื้อให้นมลูก เด็กน้อยดูดเต้านมที่แบนแฟ่บเป็นการใหญ่ แต่ดูดได้สองสามทีก็คลายปากออกแผดเสียงร้องไห้อีก บุรุษด้านข้างลุกพรวดขึ้นมาทำหน้าถมึงทึง “ร้องๆๆ อยู่ได้ ขืนเจ้าร้องอีก ข้าจะเอาเจ้าไปแลกเนื้อกินเสียเลย!” แม่เด็กหน้าเผือดลงทันควัน กดศีรษะลูกน้อยซุกกับอกแนบแน่น ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วเสียงร้องไห้ของเขาจะเบาลงได้ นางลุกขึ้นเดินตัวสั่นงันงกไปที่หัวมุมถนนซึ่งมีคนน้อย ทางหนึ่งพยายามป้อนเต้านมใส่ปากลูก ทางหนึ่งกล่าวพึมพำไม่หยุด “ไม่ร้องนะๆ ระวังพ่อจะเอาเจ้าไปแลกเนื้อกินนะ”

ฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ

อาเซินเอ่ยปลอบนาง “ถ้าเขาอยากขายลูกประทังชีวิตคงทำไปนานแล้ว คงไม่รอมาจนอีกแค่สองวันก็ถึงเมืองซีอานจึงคิดจะทำแบบนี้”

คนที่เดินอยู่ด้านข้างพวกเขาเป็นลูกน้องคนหนึ่งของโม่อี้ เขาบอกว่าชื่อเสี่ยวอู่ เป็นคนงานในสำนักการค้า

เขาได้ยินถ้อยคำของอาเซินแล้วตั้งท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป

อาเซินมองด้วยรอยยิ้มเย็นชา พร้อมกับกล่าวเป็นเชิงท้าทาย “หรือข้ากล่าวไม่ถูกต้อง”

 

เมื่อคืน ไม่สิ…สมควรพูดว่าเป็นวันนี้ตอนย่ำรุ่งราวๆ ยามอิ๋น ระหว่างทางที่กลับมาอาเซินได้กลิ่นคาวโลหิตจางๆ ระลอกหนึ่งแต่ไกล เขาคิดถึงท่านเก้าที่สลบไสลไม่ได้สติกับฟู่ถิงจวินที่อ่อนแอไร้ทางสู้แล้วเริ่มกระวนกระวายใจ สาวเท้าวิ่งเต็มเหยียดไปทางศาลเจ้าประจำเมือง ผลปรากฏว่ายิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้ากลิ่นคาวโลหิตยิ่งฉุนแรง จนกระทั่งเข้าไปในโถงกลาง เห็นแต่ศพกลาดเกลื่อนเต็มพื้น ตอนนั้นเขาตะลึงงันไปด้วยความตกใจ ถ้ามิใช่ฟู่ถิงจวินเรียกเขาไว้ได้ทันการ เขาคงถลันเข้าไปคุ้ยหาในกองศพแล้ว

เมื่อรู้ว่าโม่อี้เป็นหนึ่งในผู้มีคุณที่ช่วยชีวิตท่านเก้าไว้ เขาคุกเข่าลงโขกศีรษะเก้าทีให้อีกฝ่าย จากนั้นกอดขาท่านเก้าร้องไห้โฮๆ ’เป็นเพราะข้าคนเดียว…ถ้าข้ารีบกลับมาก็คงดี!’

ท่านเก้าลูบหัวเขายิ้มๆ ’เจ้ารีบกลับมาทำอะไรได้ เป็นเป้าให้พวกนั้นรุมตีรึ‘ น้ำเสียงท่านเก้าอ่อนโยนมาก

เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้น ก้มหน้าพูดเสียงงึมงำ ’พอข้าออกจากศาลเจ้ารู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตาม ข้าเลยวนเวียนอยู่แถวนี้ตั้งหลายรอบกว่าจะสลัดเขาทิ้งได้ ตอนขากลับ ดูเหมือนคนผู้นั้นติดตามมาอีก ข้าโมโหสุดจะทน วางกับดักในดงต้นหลิวนอกเมือง ล่อหลอกเขาอยู่นานพักใหญ่…’ อาเซินกล่าวแล้วเงยหน้ามองท่านเก้าตาปริบๆ สีหน้าจริงจังอย่างสำนึกตน ’ท่านเก้า วันหลังข้าไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!’

’กลับมาได้ก็ดีแล้ว’ ท่านเก้าคลายยิ้มอย่างไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ จากนั้นเอ่ยกับโม่อี้ ’เช่นนั้นรบกวนผู้ช่วยโม่ด้วย พวกเรามุ่งหน้าไปหลินชุนกันตอนนี้เลยเถอะ’

โม่อี้แม้มีหน้าตาดุร้าย ในยามนั้นสีหน้าเขาแลดูกระด้างอยู่บ้าง แต่ทุกคนล้วนไม่คิดอะไร พอเก็บข้าวของเสร็จ โม่อี้ก็พยุงท่านเก้าขึ้นรถเข็นไม้ จวบจนออกจากศาลเจ้าแล้ว พวกฟู่ถิงจวินถึงพบว่าข้างกายโม่อี้ยังมี ‘คนงาน’ อีกสองคน ทั้งคู่มีรูปโฉมสามัญ จัดอยู่ในพวกที่เดินอยู่กลางฝูงชนแล้วมองหาไม่เจอ คนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าชื่อเฉินลิ่ว อีกคนอายุสิบห้าสิบหกชื่อเสี่ยวอู่ ทั้งสองสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้าง เพียงแต่ร่างกายของเฉินลิ่วสะอาดสะอ้าน ขณะที่เสี่ยวอู่เปรอะเปื้อนฝุ่นดิน ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นเหม็นอุจจาระติดตัว ทันทีที่อาเซินมองเห็นเสี่ยวอู่ก็ทำตาโต ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ท่านเก้าก็เอ่ยสั่งเขา ’ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ถ้าพบกับพวกเจ้าหน้าที่ ต่อให้พวกเรากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างมลทินไม่ได้ รีบไปให้ถึงตำบลหลินชุนจะดีกว่า!’

โม่อี้คิดเช่นนี้ดุจเดียวกัน

คนทั้งกลุ่มออกเดินทางกันอย่างเร่งรีบ

ระหว่างทาง อาเซินกระซิบบอกฟู่ถิงจวิน ’คนที่สะกดรอยตามข้าถูกข้าล่อตกลงไปหลุมที่ขุดไว้…ข้ายังถ่ายอุจจาระไว้ในนั้นด้วย’

ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้างอย่างห้ามไม่อยู่ ’เจ้า…เจ้า…’

อาเซินกลับภาคภูมิใจ ’ผู้ใดใช้ให้เขาตามข้าล่ะ ข้าเลยเลี้ยงอาหารอร่อยๆ เขาสักมื้อ!’

ฟู่ถิงจวินฝืนสะกดความขบขันไว้ถึงไม่หัวเราะออกมา แต่ในใจบังเกิดความเคลือบแคลงขึ้นบ้าง

ถึงกระนั้นนางเชื่อใจท่านเก้ามากที่สุด

เรื่องชัดเจนแจ่มแจ้งปานนี้ ในเมื่อท่านเก้ายังไม่เอ่ยถาม ย่อมมีเหตุผลเป็นธรรมดา

’รอประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน‘ ฟู่ถิงจวินกำชับอาเซินเสียงเบา ’มีพวกโม่อี้อยู่ด้วย’

อาเซินพยักหน้า แต่ไม่วายรู้สึกว่าเสี่ยวอู่ขัดนัยน์ตาอยู่สักหน่อย ดังนั้นตั้งแต่ออกจากศาลเจ้าจนถึงตำบลหลินชุน เขาไม่ติเรื่องนั้นก็ติเรื่องนี้ ทว่าเสี่ยวอู่แลดูใจกว้างมาก ทำท่าทำทางไม่ถือสาหาความเด็กน้อยอย่างอาเซิน เป็นต้นเหตุให้เขาหัวเสียยิ่งขึ้น

 

ตอนนี้อาเซินถึงกับคัดกระดูกในไข่ไก่* พูดจาตีรวนใส่เสี่ยวอู่อีกแล้ว

ข้างฝ่ายเสี่ยวอู่แม้มิได้ยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจเฉกหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำกับอาเซิน กลับเอ่ยกับฟู่ถิงจวินด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนพากันคิดว่าพอถึงเมืองซีอานก็จะสบายแล้ว แท้ที่จริงเมืองซีอานยังเทียบกับตำบลหลินชุนไม่ได้เลย ดีชั่วที่นี่ยังมีที่นอน เมื่อครึ่งเดือนก่อนประตูเมืองซีอานปิดตายไม่ให้เข้า อนุญาตให้ออกได้เท่านั้น ที่ว่าการยังส่งคนออกลาดตระเวนทุกวัน ห้ามมิให้คนหยุดพักภายในรอบระยะห้าสิบจั้งของกำแพงเมือง ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกโบยจนตายโดยไม่ยกเว้น ฉะนั้นมีคนหิวตายและถูกโบยตายนับไม่ถ้วน จนคูเก้าลี้ทางทิศใต้ของเมืองใกล้จะกลายเป็นสุสานร้างอยู่แล้ว”

อาเซินโต้เถียงเสี่ยวอู่ “ซีอานเป็นเมืองหลักของส่านซี หรือไม่มีคนออกมาตั้งเพิงข้าวต้มเลย?” น้ำเสียงเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เสี่ยวอู่แค่นเสียง “ที่ว่าการไม่ออกหน้า ใครจะกล้าตั้งเพิงข้าวต้มโดยพลการ?”

ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้ว “หรือว่าใต้เท้าต่งไม่ดูแล”

“ใต้เท้าต่ง?” เสี่ยวอู่ทำหน้าเยาะหยัน “ตอนนี้เขาคิดแต่ว่าจะประจบสอพลอหัวหน้าขันทีตรวจฎีกาที่ชื่อหงตู้นั่นอย่างไร หรือจะจัดที่พำนักให้เจี่ยนอ๋องที่จะมาหลบภัยอยู่ในเมืองซีอานอย่างไร หากฮ่องเต้ทรงไล่เลียงเอาโทษจะได้มีคนช่วยพูดให้ แล้วก็ปัดความรับผิดชอบได้ ยังจะมีแก่ใจเหลียวแลว่าราษฎรในส่านซีจะเป็นหรือตายที่ไหนกัน!”

ฟู่ถิงจวินกับอาเซินหวนนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาตลอดทางแล้วต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา

ฉับพลันนั้น มีเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีสองคนโผล่พรวดออกจากด้านข้าง “นายท่าน พี่สาว! พวกเราไม่ได้กินอะไรมาสามวันสามคืนแล้ว พวกท่านได้โปรดทำบุญทำทาน ขออาหารให้พวกข้ากินสักหน่อยเถอะ!” ดวงตาคู่นั้นหลุกหลิกไปมา

เฉินลิ่วซึ่งเข็นรถเข็นไม้อยู่มองไปทางโม่อี้ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งอย่างลังเลใจอยู่บ้าง โม่อี้ส่ายหน้าเบาๆ

เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกับเด็กเจ็ดแปดคนจากที่ใดก็สุดรู้วิ่งกรูกันมา แต่ละคนสวมเสื้อขาดกะรุ่งกะริ่ง ผอมแห้งดุจท่อนฟืน วิ่งเข้ามาห้อมล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง แบมือขอทานพลางแย่งกันพูดตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์ “นายท่าน พี่สาว ทำบุญทำทานด้วย” บางคนถึงกับเอื้อมมือเข้ามาในรถเข็นไม้

“ไสหัวไปให้หมด!” โม่อี้ตวาดดังลั่นดุจเสียงฟ้าผ่า จับตัวเด็กคนหนึ่งในนั้นเหวี่ยงลงไปบนพื้นถนนศิลาเขียว

ชั่วขณะเดียวถนนทั้งสายเงียบกริบ ทุกคนมองดูโม่อี้ด้วยแววตาเกรงกลัว

“ยังไม่ไสหัวไปอีก!” โม่อี้ตวาดขึ้นอีกครั้ง พวกเด็กๆ คล้ายสะดุ้งได้สติ ช่วยกันแบกเด็กที่ล้มอยู่บนพื้นคนละไม้คนละมือแล้ววิ่งหนีไป

เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ส่งผลให้พวกเขายึดครองร้านค้าที่ไร้เจ้าของแห่งหนึ่งอย่างราบรื่นง่ายดาย

โม่อี้กับเฉินลิ่วช่วยพาท่านเก้าขึ้นไปพักอยู่ที่ห้องชั้นบน ส่วนฟู่ถิงจวินพักอยู่ในห้องเล็กที่เชื่อมติดกัน

“ยังต้องรบกวนให้ผู้ช่วยโม่กับเฉินลิ่วเสี่ยวอู่พักอยู่ชั้นล่างด้วย” ท่านเก้ากล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “พวกข้ามีสตรี…”

โม่อี้กลับพูดง่ายมาก “เช่นนั้นท่านมีเรื่องใดก็เรียกข้าได้เลย!”

“ขอบคุณมาก!” ท่านเก้าประสานมือคำนับโม่อี้ จากนั้นเอ่ยสั่งฟู่ถิงจวินให้เก็บกวาดห้องหับ และเรียกอาเซินให้ออกไปส่งพวกโม่อี้ลงไป

รอกระทั่งเสียงฝีเท้าของพวกโม่อี้หายลับไปทางบันได ท่านเก้าพูดกับหญิงสาวที่กำลังมองหาผ้าขี้ริ้วไปทั่วห้อง “ท่านพักสักครู่เถอะ เรื่องพวกนี้ประเดี๋ยวให้อาเซินกลับมาทำ!”

มิใช่ให้นางเก็บกวาดห้องหรือ? ไฉนยังบอกให้รออาเซินกลับมาทำ

ฟู่ถิงจวินงุนงงอยู่บ้าง

ท่านเก้าหน้าตาซีดเซียว เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียงที่ไม่มีม่านคลุม ส่งยิ้มมาให้นาง “ข้ามีเรื่องพูดกับท่าน” ท่าทีเขาอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

คนเราพอล้มป่วยจะอ่อนแอลงเป็นพิเศษใช่หรือไม่นะ!

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงพลางยกม้านั่งตัวหนึ่งไปนั่งตรงหัวเตียง “ท่านไม่ไว้ใจพวกโม่อี้ใช่ไหม ถึงได้ให้พวกเขาไปพักอยู่ชั้นล่าง”

ชั้นบนยังมีห้องอีกสี่ห้าห้อง ส่วนชั้นล่างเป็นที่ค้าขาย จึงมีแค่หน้าร้านกับห้องเล็กๆ ติดกันไว้วางสินค้า

ท่านเก้าพยักหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง อาเซินย้อนกลับมาเห็นฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ตรงหัวเตียงก็พูดขึ้นทันที “ท่านเก้า ข้าไปหาถังน้ำมาให้!”

“เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยไปทำ! เจ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ มีคนมาก็ส่งเสียงบอก” ท่านเก้าบอกเด็กน้อยแล้วพูดกับฟู่ถิงจวิน “ท่านหยิบเทียบชื่อของท่านสิบหกคนนั้นออกมาที”

อาเซินขานรับแล้วเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่วนฟู่ถิงจวินหยิบเทียบชื่อส่งให้เขา เพราะในห้องไม่มีผ้าห่ม นางเอาห่อสัมภาระเสื้อผ้าวางหนุนหลังเขาและผลักบานหน้าต่างเปิดออก อยากให้เขาอ่านได้ถนัดตาขึ้น

นอกหน้าต่างเป็นทิวไม้ที่ยืนต้นแห้งตาย สามารถมองเห็นถนนหลวงสู่อำเภอหลันเถียนได้ไกลๆ

สายลมร้อนผ่าวพัดโชยเข้ามา ทว่าเพียงเท่านี้ยังทำให้ฟู่ถิงจวินเต็มตื้นเหลือหลาย “ไม่ได้รู้สึกถึงลมพัดมานานกี่วันแล้วนี่” นางกล่าวต่อ “ถ้าเป็นปีที่ฝนต้องตามฤดูกาล ไม่รู้ว่าทิศทัศน์จะงดงามสักปานใด”

ท่านเก้าแย้มยิ้มไม่พูดว่าอะไร เขามองเทียบชื่อในมืออย่างพินิจ

ฟู่ถิงจวินแลมองท่านเก้า

หน้าผากกว้าง จมูกโด่งเป็นสัน ดูลักษณะเป็นคนเจ้าปัญญา ริมฝีปากบาง ยามเม้มแน่นแฝงรอยเย็นชาจนไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ ยามยิ้ม มุมปากจะยกขึ้นน้อยๆ ทำให้ใบหน้าฉายแววมาดมั่นดูห้าวหาญเปิดเผย…ยามยิ้มชวนมองมากกว่า

บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง หรือดูเทียบชื่อในมืออย่างชัดเจนแล้ว ท่านเก้าเงยหน้าขวับ สบตาเข้ากับฟู่ถิงจวินพอดิบพอดี

ท่านเก้างันไป “มีอะไรรึ”

มองเขาแบบนี้…กลับไม่ระมัดระวังตัวสักนิด ดูเหมือนเขากับนางยังไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนี้กระมัง

ชายหนุ่มพลันหวนนึกถึงที่นางพูดว่า ‘ข้าไม่มีทางเลือก ได้แต่บอกพวกเขาว่าพวกเราเป็นคู่หมั้นกัน‘ แล้วรู้สึกเก้อกระดาก เขากระแอมไปทีหนึ่งเบาๆ

ฟู่ถิงจวินหน้าแดงจรดใบหู

ผีตนใดมาดลใจกัน มองแวบหนึ่งยังพอทำเนา ไฉนไปจับจ้องเขาไม่วางตา เอาเถอะจ้องเขาแล้วก็แล้วกันไป ซ้ำยังถูกเขาจับได้คาตาอีก…เกิดเขาเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นคนไม่สำรวมกิริยาจะทำประการใด

นางคิดถึงที่พูดกับพวกท่านสิบหกว่าทั้งคู่เป็นว่าที่สามีภรรยากันขึ้นได้ ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ไม่เหมาะจะพูดอะไรมาก ขณะนี้ได้พูดคุยกันตามลำพังแล้ว ต้องหาจังหวะอธิบายสักหน่อยจึงจะดี

“อ้อ! ที่แท้ท่านเก้าชื่อว่าจ้าวหลิงนั่นเอง” ฟู่ถิงจวินประหม่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้คำพูดที่เก็บไว้ในใจหลุดปากออกมา

พูดจบนางก็นึกเสียใจทีหลังอีก

พูดอะไรไม่พูด ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมานะ ทำให้ดูเหมือนที่จ้องหน้าเขาก็เพื่อซักไซ้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาต้องปกปิดนาง

จ้าวหลิงกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น

แรกเริ่มนึกว่าส่งนางถึงเว่ยหนานแล้วทั้งสองก็จะแยกย้ายกันไปคนละทางไม่เกี่ยวข้องกันอีกสืบไป เป็นแค่คนที่ผ่านมาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น จะบอกชื่อเสียงเรียงนามไปไย ทีนี้เป็นอย่างไรเล่า กลับกลายเป็นว่าเขาทำปิดบังเฉกคนใจคอคับแคบ

“เดิมทีมิได้คิดจะปกปิด…” เขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นไรดี

ฟู่ถิงจวินมองออกว่าเขาอึดอัด ลอบนึกเห็นใจอยู่บ้าง

เขาแค่ช่วยนางไว้จากอันตรายเท่านั้น หาใช่คู่หมั้นคู่หมายกัน อาศัยอะไรต้องบอกชื่อแซ่วงศ์วานว่านเครืออย่างแจ่มชัดด้วย หญิงสาวก็เลยเอ่ยแก้สถานการณ์ให้ “ข้าบอกกับท่านสิบหกว่าท่านเป็นชาวอำเภอหล่งซี ไม่ทำให้ท่านลำบากใจกระมัง”

จ้าวหลิงโล่งอก รีบพูดทันที “ข้าอาศัยอยู่ในเหลียงโจวมาก่อนหลายปี ทั้งเคยไปหล่งซีบ่อยๆ นับว่าคุ้นเคยกับที่นั่นพอประมาณ”

ฟู่ถิงจวินวางใจลงได้ นางกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินจากอาเซินเช่นกันว่าท่านเก้าเก็บเขาได้ที่เหลียงโจว ถึงได้พูดว่าท่านเป็นชาวอำเภอหล่งซีไปโดยไม่ทันคิด” นางรู้สึกได้รางๆ ว่าไม่ใคร่จะเหมาะที่พูดถึงวงศ์ตระกูลของผู้อื่นส่งเดชเยี่ยงนี้ จึงกล่าวอธิบายต่อ “ตอนนั้นข้าคิดว่าถึงอย่างไรหลังจากนี้พวกเราคงไม่ได้พบกับท่านสิบหกอีกแล้ว เลยตอบอะไรเขาไปก็ได้สักอย่างหนึ่ง…อ๊ะ…” พอพูดถึงตรงนี้ นางอุทานขึ้น

จ้าวหลิงหายใจไม่ทั่วท้องทันควัน

นางคงมิได้จะอธิบายเรื่อง ‘คู่หมั้น’ นั่นกับเขากระมัง

มาตรว่ามันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดใจ มิสู้ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยถึง ปล่อยให้เป็นประหนึ่งสายน้ำไหลผ่านไปไม่เหลือร่องรอยดีแล้ว

ดังที่นางกล่าวไว้ ถึงอย่างไรหลังจากนี้คงไม่ได้พบกับท่านสิบหกอีก ทั้งเขามิได้ตั้งใจจะไปพึ่งพาอาศัยอีกฝ่ายด้วย ซึ่งในจุดนี้ทั้งคู่กลับคิดตรงกัน

แม้นพูดว่าผู้หวังในลาภยศสรรเสริญต้องกล้าได้กล้าเสีย แต่ถ้าต้องเสี่ยงกระทำเรื่องที่จะเป็นที่ประณามของคนทั่วหล้า ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น

เขาได้ยินฟู่ถิงจวินกล่าว “ท่านเก้า ท่านดูเทียบชื่อนั่นแล้วมองอะไรออกบ้างหรือไม่”

ในที่สุดก็ไม่ต้องวนเวียนกับเรื่องนี้แล้ว จ้าวหลิงเบาใจขึ้นราวกับตนเองเดินหลงทางแล้วหาทางออกพบ

เขายื่นเทียบชื่อในมือให้ฟู่ถิงจวิน “ท่านดูสิ!”

เทียบชื่อเป็นแผ่นเทียบสีแดงเคลือบทองที่หาซื้อได้ทุกหนแห่ง ตัวอักษรเป็นลวดลายตัวบรรจงแบบที่นักศึกษาทั่วแผ่นดินล้วนต้องหัดคัดลายมือ

“ส่งผู้ใต้อาณัติมาเยี่ยมคารวะ ด้วยความนับถือ คนจรแห่งปี้ซี” ฟู่ถิงจวินอ่านชื่อบนเทียบ “ในเมื่อไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเทียบของใคร อีกทั้งไม่ได้เขียนอย่างชัดเจนว่าส่งผู้ใต้อาณัติไปพบด้วยเรื่องใด แล้วนามลงท้ายก็เป็นแค่ ‘ฉายา’…ต่อให้พวกเรานำเทียบใบนี้ให้ผู้อาวุโสที่มีหูตากว้างไกลพินิจแยกแยะ เกรงว่าคงบอกไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเทียบชื่อของใคร” นางดูเทียบชื่อใบนั้นทั้งข้างนอกข้างในอีกรอบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ถ้าทำหายไป คนอื่นก็เดาไม่ออกว่านี่เป็นเทียบชื่อของใคร ระวังตัวถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าท่านสิบหกต้องเป็นเจ้าผู้ครองเขตแน่แท้”

จ้าวหลิงผงกศีรษะน้อยๆ กล่าวขึ้น “ท่านช่วยเล่าเรื่องที่พวกท่านมาหยุดพักที่ศาลเจ้าได้อย่างไรให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบหนึ่งซิ” ก่อนหน้านี้มีคนของท่านสิบหกอยู่ด้วย นางบอกแค่สั้นๆ ไม่กี่คำ

ฟู่ถิงจวินรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกมามีความสำคัญต่อการตัดสินใจของจ้าวหลิงเป็นอันมาก นางทบทวนความทรงจำอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะเล่าอย่างละเอียดยิบโดยไม่ให้มีอะไรตกหล่นแม้แต่น้อย

เขาไม่พูดไม่จาเป็นนาน นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกล่าว “ตามที่ท่านเล่ามาเช่นนี้ ตอนเข้าไป โม่อี้กับท่านสิบหกแสร้งทำไม่รู้จักกัน ต่อมาพอพวกเรากับหัวหน้าโจรปะทะกัน โม่อี้ก็หายตัวไป ส่วนท่านสิบหกกลับนิ่งเฉยดูดายอยู่ตลอด จวบจนข้าสังหารหัวหน้าโจรแล้ว คนของเขาถึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ?”

นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ตอนนั้นข้าโกรธเคืองมาก ทั้งๆ ที่พวกเขามีวรยุทธ์สูงส่งขนาดนี้ เหตุใดต้องรอจนพวกเราเข้าตาจนแล้วถึงยื่นมือเข้ามา ข้ารู้เช่นกันว่าวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คนสำนึกบุญคุณคือส่งถ่านกลางหิมะ แต่เขาทำแบบนี้มันใช่เสียที่ไหนกัน แทบจะเป็นการส่งพัดกลางฤดูใบไม้ผลิโดยแท้ ต้องรอจนท่านต้านทานไม่อยู่ถึงปรากฏตัว หากเป็นข้าล่ะก็ คงลงมือตั้งแต่ตอนท่านกับหัวหน้าโจรต่อสู้กันแล้ว ข้าจะตะโกนขึ้นว่า ‘พี่ชาย ข้าขอช่วยท่านอีกแรงหนึ่ง’ จากนั้นให้ลูกน้องคนนั้นพุ่งเข้าไป…ตอนนั้นหัวหน้าโจรยังไม่ตาย ความดีความชอบส่วนใหญ่ย่อมตกเป็นของพวกเขา พวกเราก็ต้องซาบซึ้งใจต่อเขาไม่สิ้นสุด ทั้งได้หน้าได้ตาทั้งได้ใจคน…”

จ้าวหลิงมองดูท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นของหญิงสาว เหมือนเด็กน้อยแย่งลูกกวาดไม่ได้แล้วมาฟ้องผู้ใหญ่ มุมปากเขายกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

เขาพูดกับนาง “ท่านเรียกอาเซินเข้ามา ข้ามีอะไรจะถามเขาสักสองสามคำ”

ฟู่ถิงจวินเรียกอาเซินเข้ามาแล้ว

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่สะกดรอยตามเจ้าได้หล่นลงไปในกับดักของเจ้า?” จ้าวหลิงทำท่าจริงจัง สีหน้ามีรอยเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นบ้าง พาให้บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่นี้อันตรธานไปสิ้น

“แน่ใจขอรับ” อาเซินยืนยัน “เดิมทีข้าตั้งใจจะจับเป็นเขา แต่กลัวว่าจะเป็นสายของเฝิงเหล่าซาน ท่านเก้า…ท่านบอกกับพวกเราเสมอมิใช่หรือว่าไม่ว่าทำอะไรให้เผื่อทางไว้สายหนึ่ง วันหลังยังมองหน้ากันได้ ข้ากลัวจะล่วงเกินเขาแล้วเขาไปพูดเหลวไหลต่อหน้าเฝิงเหล่าซาน ทำให้เฝิงเหล่าซานเอาจริงขึ้นมาแล้วตามไล่ล่าพวกเราอย่างไม่รามือ” เขากล่าวต่ออย่างลุกลนราวกับกลัวจ้าวหลิงเข้าใจผิด “แน่นอนว่ามิใช่พวกเรากลัวเกรงเฝิงเหล่าซาน ตอนนี้พวกเรากำลังจะรีบไปเมืองซีอาน ก็เลยไม่อยากก่อปัญหาแทรกขึ้นมาอีกเท่านั้น…”

ฟู่ถิงจวินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วปิดปากหัวเราะอยู่ในลำคอ

จ้าวหลิงเห็นหัวไหล่นางสั่นระริก ในดวงตาฉายแววยิ้มๆ ขณะพูดเอ็ดอาเซินเสียงเบา “เอาล่ะๆ เจ้าไม่ต้องมาพูดจาเล่นลิ้นกับข้า!”

อาเซินมองปราดไปยังฟู่ถิงจวินที่หัวเราะไม่หยุดแล้วมองจ้าวหลิงที่หัวเราะตามไปด้วยแวบหนึ่ง รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องผิดไปจากเดิม แต่จะบอกว่าแตกต่างอย่างไรเขาก็พูดได้ไม่แจ่มแจ้ง ถึงกระนั้นเขารู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ดีมาก

“ข้าพูดความจริงนะขอรับ” เขากล่าวอ้อมแอ้ม “หากมิใช่ได้กลิ่นคาวเลือด ข้ายังมีของดีไว้ต้อนรับเขาอีก…”

จ้าวหลิงไม่ไต่ถามต่อ เพียงบอกว่า “ไปเฝ้าอยู่นอกประตูเถอะ”

อาเซินเชื่อฟังคำพูดของเขาเป็นที่สุด ออกไปหน้าประตูทันที

ฟู่ถิงจวินเอ่ยถามจ้าวหลิง “ท่านพบอะไรแล้วหรือ” นางตาเป็นประกายด้วยความสนใจใคร่รู้มาก

จ้าวหลิงชะงักไปเล็กน้อยถึงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ว่าตอนข้าสลบอยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”

คิดจะหลอกใครกัน!

ทุกคราล้วนเป็นอย่างนี้ พอถึงยามคับขันเขาก็จะทำหน้าเย็นชาไม่ให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้เพื่อกลบเกลื่อนความร้ายแรงของเหตุการณ์ลง…เห็นผู้อื่นเป็นคนโง่งมไปหมดก็ไม่ปาน

นางยังไม่ไล่เลียงเรื่องที่เขาปกปิดชื่อ เขาถึงกับตีหน้าแบบนี้ใส่นางเชียวรึ!

ฟู่ถิงจวินโมโหแทบอกแตกตาย ลุกพรวดขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

แต่พอเดินไปสองก้าวก็เห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะ ถ้าวันหน้าพวกเขาเผชิญกับเรื่องทำนองนี้อีก นางจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแบบนี้หรือ

ใช่ว่านางทำแบบนี้แล้วจ้าวหลิงจะเป็นฝ่ายบอกนางเองว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

นางเดินวนไปวนมาในห้องสองรอบ รอเมื่ออารมณ์ค่อยๆ สงบลงแล้วเอ่ยถามจ้าวหลิง “ท่านเก้าตอบข้าอย่างขอไปทีเช่นนี้ เพราะเห็นว่าข้าโง่เขลาเกินไป ถึงพูดให้ฟังข้าก็ไม่เข้าใจ หรือเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ฉะนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้เล่า”

ข้างฝ่ายจ้าวหลิงกำลังนึกฉงนอยู่ว่า ทั้งสองคุยกันอยู่ดีๆ ไฉนมีน้ำโหอีกแล้ว

อารมณ์ของนางเสมือนดั่งอากาศเดือนหก ประเดี๋ยวลมพัด ประเดี๋ยวฝนตก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซ้ำยังแปรปรวนอย่างปราศจากสาเหตุ

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ห่อผ้านุ่มนิ่มข้างหลังกับลมร้อนที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ตลอดจนห้องที่โล่งสว่าง ล้วนกำลังบอกเตือนเขาว่านางดูแลเขาอย่างเอาใจใส่เช่นไร หากเขาไม่อินังขังขอบนาง ก็ออกจะไม่เห็นอกเห็นใจกันเกินไปแล้ว

ภายในใจเขากระสับกระส่ายอยู่บ้าง คิดคำนึงอยู่ว่าสมควรทำลายความอึดอัดนี้อย่างไรดี ฟู่ถิงจวินก็ย้อนกลับมานั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง

เขากล่าวอย่างผ่อนคลายขึ้น “แม่นางฟู่อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงยังคิดไม่ออก หากคิดออกแล้วจะต้องบอกท่านแน่นอน”

ใจเร็วทำการด่วนมักไม่บังเกิดผล มีบางเรื่องต้องค่อยเป็นค่อยไป มีถ้อยคำนี้ของเขาก็พอแล้ว

ฟู่ถิงจวินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืน อีกทั้งได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้ พักผ่อนให้มากๆ เถอะ ไว้ตอนบ่ายพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน” นางไม่รอให้ท่านเก้าพูดอะไรก็เปิดประตูออกดังปึง ทำเอาอาเซินซึ่งพิงขอบประตูอยู่สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ “แม่นาง มีอะไรรึขอรับ”

“ไม่มีอะไร” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะลงไปข้างล่างหาผ้าขี้ริ้วสักผืน จะได้เช็ดถูห้อง”

ห้องที่นางพำนักอยู่ก็สกปรกเลอะเทอะเช่นกัน

“ข้าไปเอง!” อาเซินวิ่งตึงๆ ลงไปข้างล่าง

พวกเขาล้วนมิได้สังเกตเห็นว่าจ้าวหลิงทำสีหน้าปั้นยากอยู่สักหน่อย

ทำไมถึงเอ่ยถ้อยคำว่า ’ข้าเพียงยังคิดไม่ออก หากคิดออกแล้วจะต้องบอกท่านแน่นอน‘ พรรค์นี้ออกมาได้

หรือว่าตอนบ่ายจะถกเถียงหารือกับนางจริงๆ?

นางเป็นแค่อิสตรีคนหนึ่ง ต่อให้รู้แล้วจะทำอันใดได้ รังแต่ทำให้นางวิตกหวาดกลัวเปล่าๆ ปลี้ๆ เท่านั้น

เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า จึงเอนตัวลงนอนขมวดคิ้วแน่น

 

ชั้นล่างมีแค่โม่อี้นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงธรณีประตูหน้าร้าน

พอเห็นอาเซินลงมา เขาผินหน้าเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “มีเรื่องใดหรือ”

“ไม่มีเรื่องอะไร” อาเซินกล่าว “ข้าช่วยหาผ้าขี้ริ้วให้คุณหนูของข้า จะได้เช็ดถูห้องขอรับ”

โม่อี้พยักหน้า เฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่เดินเข้ามา

พวกเขาคนหนึ่งแบกถังน้ำ คนหนึ่งหิ้วตะกร้าใส่แป้งหมี่ ไข่ไก่ และต้นหอม

อาเซินตาเป็นประกาย “พวกท่านไปเอาของเหล่านี้มาจากที่ใด”

ทั้งคู่เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร

อาเซินคาดเดาเอาว่าของของพวกเขาอาจมีที่มาอย่างไม่สุจริต ก็ไม่ถามไถ่มากความ รอคอยให้ทั้งคู่ทำแป้งย่างแล้วยกขึ้นไปให้ท่านเก้ากับฟู่ถิงจวิน

โม่อี้ส่งสายตาบอกเฉินลิ่ว

เฉินลิ่วยกชามข้าวไปนั่งยองๆ ตรงเชิงบันไดข้างล่าง

โม่อี้ถามเสี่ยวอู่ “เป็นเจ้าเด็กนั่นที่ทำให้เจ้าตกลงไปในหลุมอุจจาระรึ”

เสี่ยวอู่หน้าแดง

โม่อี้มีสีหน้าขุ่นมัวเหมือนท้องฟ้ายามใกล้ฝนตก

 

ชั้นบน ฟู่ถิงจวินนั่งลงตรงหัวเตียง มองดูอาเซินปรนนิบัติท่านเก้ากินยา “ท่านเก้า เรื่องที่ศาลเจ้าท่านคิดออกหรือยัง” นางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าขบคิดอย่างละเอียดแล้ว ในเมื่อท่านสิบหกออกจากอาณาเขตโดยพลการมิได้ แล้วเขาลอบมาที่ส่านซีเช่นนี้ ท่านว่าโม่อี้มาหาเขาหรือเปล่า แล้วก็พบกันที่ศาลเจ้าพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราพลัดหลงเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาเลยจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก…”

จ้าวหลิงทำสีหน้าชวนขันพอดู ไม่รู้ว่าประหลาดใจในถ้อยคำของนางหรือว่าจนปัญญากับความไม่ลดละของนาง

ฟู่ถิงจวินเลิกคิ้วให้เขา “ท่านเก้า ที่ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ”

จ้าวหลิงยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน มิได้กล่าวตอบนาง

ฟู่ถิงจวินเอ่ยขึ้นเสียเอง “หรือไม่ท่านเก้ามีอะไรคิดไม่ออก ถามข้ามาสิ”

จ้าวหลิงแลเห็นแววเจ้าเล่ห์จุดวาบขึ้นในดวงตานางแล้วอดกุมขมับไม่ได้

คุณหนูเก้าสกุลฟู่ผู้นี้มีความดื้อรั้นเล็กน้อยแกมดันทุรังอยู่สักหน่อย…หาไม่แล้วตอนที่นางถูกคนใส่ร้ายว่ามีความสัมพันธ์ลับกับบุรุษคงไม่เพียรไต่ถามเอาความกระจ่างให้จงได้

บทที่สิบเอ็ด

ฟู่ถิงจวินเฉลียวฉลาดมาก ทั้งมีสายตาเฉียบคม เรื่องในศาลเจ้าก็คาดเดาออกได้ถึงเจ็ดแปดส่วน ทว่ามันไม่ได้ทำให้จ้าวหลิงเปลี่ยนความคิดที่จะพูดเปิดอกกับนางทุกอย่าง

ในเมื่อนางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไขความเรื่องนี้ให้แจ่มแจ้ง เขาตอบคำถามนางก็แล้วกัน นางจะได้เลิกถามซักไซ้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

จ้าวหลิงคิดคำนึงพลางลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก

ตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแออยู่มาก จะลุกจากเตียงยังต้องให้คนประคอง ตามหลักแล้วฟู่ถิงจวินสมควรช่วยเหลือเขาถึงจะถูก แต่พอนางคิดถึงที่ตนเองเห็นเขาเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุด ขอเพียงเป็นการตัดสินใจของเขา นางล้วนทำตามโดยไม่ลังเลใจสักนิด ส่วนเขากลับเห็นนางเป็นเช่นคนผ่านทาง มีอะไรก็ปิดบังอยู่ร่ำไปแล้วรู้สึกคับอกคับใจ จึงตกลงใจว่าจะให้เขาลิ้มรสชาติถูกนางเห็นเป็นคนผ่านทางบ้าง

เห็นเขาลุกขึ้นนั่ง นางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ลุกขึ้นไปหาพัดใบลาน

อากาศร้อนจัด นางไม่คิดฝืนตัวเองให้ลำบาก เวลาที่เย็นสบายได้จะปฏิเสธไปไย

ครั้นหมุนกายลงนั่ง เพิ่งพบว่าจ้าวหลิงหน้าตาซีดเผือด เหงื่อไหลท่วมศีรษะ

ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเห็นเขาพิงกับราวเตียงโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และคิดถึงเรือนกายผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกของเขาแล้ว…นางไม่สบายใจอยู่สักหน่อย

หลังพิงกับของแข็งๆ อย่างนี้น่าจะเจ็บมากกระมัง!

ยิ่งกว่านั้นเขายังป่วยอยู่

หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างห้ามใจไม่อยู่ หยิบห่อสัมภาระที่ใช้หนุนหลังเขาก่อนหน้าแต่ตอนนี้ถูกทิ้งไว้ด้านข้างขึ้นมา “ขยับตัวหน่อย” เสียงพูดของนางทุ้มต่ำ น้ำเสียงติดจะกระด้างเย็นชา

จ้าวหลิงอดหันหน้าไปมองนางไม่ได้

เรียวคิ้วของนางขมวดเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวหลุบลง นางใช้ผ้าหยาบสีฟ้านวลทำเป็นเชือกมัดเรือนผมดำสลวยแล้วมุ่นเป็นมวยแน่นไว้ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นเรียวคอนวลเนียนขาวผ่องปานหิมะแรก มีรอยข่วนสีแดงบางๆ ตรงหลังคอเป็นทางยาวหายเข้าไปในปกเสื้อ ดุจดั่งรอยร้าวเส้นหนึ่งบนกระเบื้องขาวจนทำลายความงามอันสมบูรณ์แบบไป ทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความเสียดาย

เขาพลันจดจำได้ว่านั่นเป็นรอยที่หลงเหลืออยู่ตอนนางเกาผื่นบนหลัง ก็รู้สึกวาบลึกในอกอย่างปราศจากสาเหตุ

เขาคิดถึงว่าตลอดทางที่ระหกระเหินมา นางไม่เคยปริปากบ่น

เขาคิดถึงว่านางดูแลเขาอย่างเอาใจใส่โดยไม่เคยคำนึงถึงชื่อเสียง…

คำพูดที่มารออยู่ตรงปลายลิ้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เอ่ยออกมาไม่ได้

ด้านฟู่ถิงจวินกลับไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย

นางนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตรงหัวเตียง ฉวยพัดใบลานขึ้นมาโบกลม ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง นางลอบนึกเสียใจอย่างช่วยมิได้

เห็นจ้าวหลิงไม่ปริปากพูดอะไรอีก นางก็ไม่เอ่ยปากเช่นกัน ทั้งสองนั่งประจันหน้าอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดจาไปเช่นนี้ ปล่อยให้สายลมร้อนผะผ่าวพัดผ่านร่างกายจนเหงื่อซึมสาบเสื้อ

เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นกลัวดังมาจากชั้นล่าง

ฟู่ถิงจวินหน้าถอดสี

“เป็นอาเซิน!” นางลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไปข้างนอก “ข้าไปดูเอง!”

“กลับมานี่!” จ้าวหลิงคว้าข้อมือนางไว้

ถึงจะมีอาภรณ์ขวางกั้นอยู่ นางยังสัมผัสได้ว่ามือของจ้าวหลิงกำลังสั่นเทา พอหันไปมองอีกก็เห็นสีหน้าเขาขาวซีดมากกว่าเมื่อครู่นี้ บนหน้าผากมีหยดเหงื่อเม็ดโป้งผุดพราย

“ท่านเป็นอะไรไป” ฟู่ถิงจวินไม่กล้าบิดข้อมือออก “เจ็บแผลอีกแล้วใช่หรือไม่”

“ข้างล่างมีโม่อี้ เฉินลิ่ว กับเสี่ยวอู่” เขาไม่กล่าวตอบ แต่พูดไปตามความคิดของตน “หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วพวกเขายังจัดการไม่ได้ ท่านลงไปมีแต่รนหาที่ตายเปล่า ท่านอยู่ข้างๆ ข้าจะปลอดภัยกว่า!”

ชั่วเสี้ยวขณะนี้เอง ฟู่ถิงจวินประจักษ์แจ้งในบัดดลแล้วว่าเหตุไฉนนางถึงขุ่นเคืองที่จ้าวหลิงปิดบังตนเองขนาดนั้น

นางจ้องตาเขา “ข้าย่อมรู้ว่าข้าอยู่ข้างๆ ท่านจะปลอดภัยที่สุด ดีที่สุดคือแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วหลบเข้าไปอยู่ใต้เตียง ถ้าเกิดมีคนบุกเข้ามาสังหารท่านทิ้ง ไม่แน่ว่าคนพวกนั้นจะแบกศพท่านจากไปด้วยความดีใจ เลยไม่ทันสนใจว่าใต้เตียงมีคนอยู่หรือไม่ ข้ายังอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้เพราะเหตุนี้ก็เป็นได้” ริมฝีปากแดงของนางสั่นระริก “แต่ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างหรือไม่ ในเมื่อข้างล่างมีพวกโม่อี้อยู่ เหตุไฉนอาเซินยังส่งเสียงร้องอย่างตกใจกลัวแบบนี้”

นางคิดถึงความรู้สึกตื่นกลัวและลนลานทำอะไรไม่ถูกตอนจ้าวหลิงล้มฟุบลงกับพื้นดินจนฝุ่นตลบขึ้นมา

นางคิดถึงความรู้สึกพรั่นพรึงและโศกเศร้าหมองหม่นตอนเอากริชจ่อลำคอตนเองในศาลเจ้า

สุ้มเสียงของหญิงสาวเบาลงอย่างช่วยมิได้ “เพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ ท่านให้ข้ามองดูพวกท่านเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา มองดูพวกท่านจบชีวิตอยู่ตรงหน้าข้า เช่นนี้ข้าขอตายดีกว่า ข้าขอตายก่อนเสียดีกว่า!”

ฟู่ถิงจวินยืนเหยียดแผ่นหลังตรงอยู่ที่เดิมประหนึ่งบุปผาแห่งคิมหันต์ฤดูบานสะพรั่ง แสงแดดยิ่งแรงกล้า มันก็ยิ่งเบ่งบานเต็มที่ แววตาของนางลุกโชนดุจเปลวไฟขับดวงหน้างามให้สว่างไสว และทำให้แขนเสื้อในมือเขาราวกับจะร้อนระอุขึ้นมา

เขาอดคลายยิ้มไม่ได้ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยข้อมือนางอย่างเชื่องช้า

“ไปยืนมองตรงหัวบันไดแวบหนึ่ง” รอยยิ้มฉายฉานออกมาทางดวงตาเขา ฉาบใบหน้าคร้ามเข้มให้เป็นประกายสดใส ชวนให้รื่นรมย์ใจดั่งสายลมเย็นดุจแสงจันทร์กระจ่าง “ถ้าไม่ชอบมาพากล ท่านก็หลบเข้าไปอยู่ใต้เตียงข้า ถ้าเกิดมีคนบุกเข้ามาสังหารข้าทิ้ง ไม่แน่ว่าคนพวกนั้นจะแบกศพข้าจากไปด้วยความดีใจ เลยไม่ทันสนใจว่าใต้เตียงมีคนอยู่หรือไม่ ท่านยังอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้เพราะเหตุนี้ก็เป็นได้!” ถ้อยคำสุดท้ายแฝงรอยกระเซ้า ไหนเลยจะมีท่าทางลึกล้ำยากหยั่งถึงเฉกที่ผ่านมา ทำให้ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้างด้วยความหลากใจ

เสียงตวาดเบาๆ ของอาเซินคละเคล้าเสียงตะคอกของเฉินลิ่วดังลอยมาจากชั้นล่าง

ฟู่ถิงจวินไม่ทันคิดมาก วิ่งตึงๆ ออกนอกประตูไป จับราวบันไดไว้แล้วก้มลงมองไปข้างล่าง

ภายในบริเวณร้านที่ไม่กว้างใหญ่ อาเซินกำลังวิ่งไล่ตามเด็กชายที่สูงไล่เลี่ยกับเขาคนหนึ่ง

อาเซินก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับว่องไวยิ่งกว่า ทั้งยังลื่นเป็นปลาไหล พอเด็กชายผู้นั้นหันหน้ามาทางนางโดยไม่ตั้งใจ ถึงพบว่าเป็นหนึ่งในหัวหน้าของพวกเด็กที่มาขอทานพวกนางบนถนนก่อนหน้านี้กลุ่มนั้น

โม่อี้ยืนนิ่งเฉยมองดูอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าบึ้งตึง เฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่ คนหนึ่งสกัดอยู่ที่ประตูหน้า คนหนึ่งสกัดอยู่ที่ประตูหลัง เด็กคนนั้นเผ่นหนีไปถึงหน้าประตูหลายครั้งหลายคราก็มีเฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่ขวางอยู่จนต้องล่าถอยกลับมา

ผ่านไปหลายรอบเยี่ยงนี้ เด็กชายผู้นั้นสบช่องอาเซินหยุดพักหายใจ ร้องตะโกนขึ้น “นี่ไม่ยุติธรรม!”

อาเซินจับอีกฝ่ายไม่ได้ก็รู้สึกขายหน้าพวกโม่อี้มาก พอได้ยินเช่นนี้ เขาพูดเสียงดังทันที “ยุติธรรม!? เจ้าขโมยอาหารของพวกเราถึงยุติธรรมอย่างนั้นสิ!”

“อาหารของพวกเจ้าก็ซื้อมาด้วยการขู่เข็ญเช่นกัน” เด็กชายโต้คืนอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้วทำไมข้าจะขโมยไม่ได้”

“เช่นนั้นเจ้าถูกจับก็สมน้ำหน้าแล้ว” อาเซินไม่ใส่ใจเรื่องที่ซื้ออาหารมาด้วยการขู่เข็ญ “อย่างน้อยพวกเราก็จ่ายเงิน”

โม่อี้ดูพึงพอใจกับคำตอบของอาเซินมาก เขาพูดตวาด “จะพูดอะไรกับเขาหนักหนา จับตัวไว้ก็สิ้นเรื่อง”

อาเซินฟังแล้วเหวี่ยงกำปั้นใส่เด็กชายผู้นั้นหมัดหนึ่ง

เด็กชายผู้นั้นเบี่ยงกายแล้วต่อยกลับอาเซินหนึ่งหมัด

ทั้งคู่ต่อสู้กันอุตลุดอีกครา

ฟู่ถิงจวินกลับไปที่ห้อง “หัวหน้าคนหนึ่งในพวกเด็กขอทานกลุ่มนั้นมาขโมยของกิน ถูกอาเซินจับได้ก็เลยต่อยตีกัน”

จ้าวหลิงผงกหัวเบาๆ ท่าทางไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเอ่ยกับนาง “รินน้ำให้ข้าหน่อย!”

ในเมื่อโม่อี้รับผิดชอบอาหารน้ำดื่มให้ พวกเขาจึงมีน้ำกับหมั่นโถวแห้งเหลือเฟือ

ฟู่ถิงจวินรินน้ำชามหนึ่งแล้วยกมาให้ “น้ำทิ้งค้างไว้นานๆ ก็ต้องเน่าเสียอยู่ดี มิสู้ดื่มไปเลยดีกว่า”

จ้าวหลิงหัวเราะแผ่วๆ ดื่มรวดเดียวหมด “สาเหตุที่โม่อี้กับท่านสิบหกแสร้งทำไม่รู้จักกัน ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาสงสัยว่าพวกเราตั้งใจมาหาพวกเขา” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งถึงคิดตามทัน แต่นางเป็นดั่งลูกหนังถูกปล่อยลมออก มิได้กระตือรือร้นเช่นเมื่อครู่นี้อีกต่อไป

“อย่างนั้นหรือ?” นางนั่งลงบนม้านั่งตรงหัวเตียงอย่างเนือยๆ รอฟังเขาพูด

นางเป็นคนถามซักไซ้อย่างไม่ลดละเองมิใช่หรือ ไฉนพอตอนนี้บอกนาง นางกลับมีท่าทางหมดความสนใจเสียแล้ว

จ้าวหลิงรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจนางจริงๆ หากแต่ไม่อยากเห็นท่าทางเซื่องซึมของนาง

เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ย “มิใช่ว่าข้าไม่อยากบอกท่าน เพียงแต่ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง…” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนมาก

“ข้ารู้” ฟู่ถิงจวินตัดบทเขา “ข้าคิดอยู่บ่อยๆ ว่าจะเป็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านลุงใหญ่ หรือว่าท่านย่าที่เป็นคนต้นคิดให้กรอกยาพิษข้า แล้วท่านแม่รู้เรื่องก่อนล่วงหน้าหรือไม่ และใช่หรือไม่ว่าท่านแม่ก็คิดเช่นกันว่าเป็นอย่างนี้ดีกว่า” นางพูดแล้วก้มหน้าลงมองสองมือเนียนนุ่มดุจหยกเนื้อดีของตนเอง สุ้มเสียงเบาลงเรื่อยๆ “ข้าถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยป้ายสีเช่นนี้ หรือว่าทุกคนล้วนเห็นว่าทำแบบนี้ถึงจะดีต่อข้า แต่ใจข้ายอมรับไม่ได้ ข้าขอยอมเผชิญหน้ากับจั่วจวิ้นเจี๋ย หรือใช้ผ้าแพรขาวผูกคอตายที่ซุ้มประตูยังดีเสียกว่าต้องมีชีวิตอยู่หลบๆ ซ่อนๆ ปกปิดชื่อแซ่อย่างนี้” นางรับรู้ได้ว่าขอบตาตนเองเริ่มร้อนผ่าวๆ

“ยังมีเรื่องที่ท่านได้รับบาดเจ็บ บางทีถึงข้ารู้แล้วก็อาจไม่มีปัญญาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ตอนข้าอยู่ที่ศาลเจ้า คิดว่าท่านคงต้องตายอยู่ที่นั่น จิตใจข้าเป็นทุกข์อย่างมาก ข้าถามตัวเองไม่หยุดว่าข้าทำแบบนี้ถูกหรือผิด ถ้าข้ามิได้เลือกที่จะมาหลินชุน ใช่หรือไม่ว่าจะไม่พบเจอโจรป่า หรือถ้าพวกเรามาที่หลินชุนแล้ว แต่เลือกหยุดพักในเมือง เหตุการณ์จะพลิกผันไปเป็นอีกแบบหนึ่งเลยหรือไม่…ข้ารู้สึกอยู่ไม่วายว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ท่านตาย…” น้ำตาของนางไหลรินลงมาหยดลงบนฝ่ามือละม้ายหยาดน้ำค้างวาววับ พอต้องไอแดดก็จะเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฉับพลันนั้น ในใจจ้าวหลิงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด

ถึงอย่างไรนางก็เป็นสาวน้อยที่เพิ่งปักปิ่นคนหนึ่ง จู่ๆ ต้องพบกับมรสุมชีวิต อีกทั้งต้องร่วมเดินทางกับคนแปลกหน้าที่เกือบฆ่าตนเองตายอย่างเขา แม้ภายนอกนางจะดูสงบเยือกเย็น ทว่าภายในใจคงหวาดหวั่นว้าวุ่นอยู่ตลอด…

“ข้าไม่ดีเอง” บางทีอาจเป็นเพราะน้อยครั้งนักที่จะยอมอ่อนข้อ คำขอโทษของเขาฟังดูค่อนข้างขัดเขิน “วันหลังหากมีเรื่องอะไร ข้าล้วนบอกท่านทุกอย่าง แต่ท่านจะทำเป็นคนเจ้าอารมณ์อีกไม่ได้เหมือนกัน มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ มิใช่เอะอะก็โกรธ…”

เขายิ่งพูดยิ่งคล่องปาก ฟู่ถิงจวินซึ่งเริ่มจะตื้นตันใจอยู่สักหน่อยเมื่อครู่นี้เลิกคิ้วสูงขึ้นทุกที สุดท้ายนางก็เต้นผางๆ อย่างทนไม่ไหว “ข้าเจ้าอารมณ์เมื่อไหร่กัน กลับเป็นท่านต่างหากที่มักทำตัวพิลึกพิลั่นจนผู้อื่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เรื่องที่ผ่านมาข้าก็จะไม่พูดกับท่านแล้ว แต่จะขอพูดเรื่องตอนนี้ ทั้งๆ ที่ท่านระแวงโม่อี้ กลับไม่บอกอะไรข้าทั้งนั้น หากมิใช่ข้าหัวไว เกิดวันใดโม่อี้นึกอยากตะล่อมถามความข้าขึ้นมา ข้ามิพรั่งพรูทุกอย่างให้เขาฟังจนหมดสิ้นหรือไร ดูสิว่าท่านจะทำฉันใด มีคนกล่าวว่าวีรบุรุษยังต้องมีพวกพ้องสามคน ข้าจะดูสิว่าท่านคนเดียวจะทำอะไรได้…”

จ้าวหลิงส่งเสียงหัวร่ออย่างขบขัน

นิสัยเยี่ยงเด็กน้อยจริงๆ พูดอยู่ดีๆ ก็โมโหโทโสอีก

แต่สีหน้ามีชีวิตชีวาแบบนี้ดูแล้วสบายตากว่าท่าทางสลดหดหู่คล้ายดังดอกไม้เหี่ยวเฉาเป็นไหนๆ

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังเกินไปจนกระเทือนถูกบาดแผล เขารีบหยุดหัวเราะ กุมแผลตรงหัวไหล่พลางไอออกมาหลายที

ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแดงก่ำไปหมด

ไฉนจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ ถูกเขาพูดยั่วยุไม่กี่คำก็บันดาลโทสะแล้ว…

“นี่!” นางอายจนพาลโกรธ กล่าวขึ้น “พวกเรามีทั้งคนเจ็บ เด็กเล็ก ซ้ำพาสตรีมาอีกหนึ่งคน เหตุใดพวกเขาถึงสงสัยว่าพวกเราตั้งใจมาหาพวกเขา”

ท่าทางกระดากอายของฟู่ถิงจวินล้วนตกอยู่ในสายตาของจ้าวหลิง

ชายหนุ่มไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจริงๆ เขาเอ่ยต่อบทสนทนานี้ยิ้มๆ “เพราะเรื่องมันประจวบเหมาะเกินไปน่ะสิ”

ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้างมองจ้าวหลิง สีหน้าเอาจริงเอาจัง

เขาทำหน้าจริงจังเช่นกัน “ข้าก็เห็นพ้องกับการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของท่าน”

นางได้ยินแล้วมีรอยยิ้มปลื้มปีติปรากฏบนหน้า

“แม้หน่วยอาชาเหินได้รับคำสั่งให้จับตาดูเจ้าผู้ครองเขตทุกแห่ง แต่จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นพี่น้องของฮ่องเต้ หากมิใช่เรื่องใหญ่อย่างก่อกบฏ พวกนั้นย่อมไม่กล้าถวายฎีกาส่งเดช ทว่าหลังจากสือเหวินปินรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยอาชาเหิน นับวันหน่วยอาชาเหินยิ่งดำเนินการด้วยความโหดเหี้ยมรุนแรง และใช้วิธีการแปลกพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีการฟ้องร้องเอาผิดพวกท่านอ๋องบ่อยๆ ถึงขั้นที่สู่อ๋องถูกปลดเป็นสามัญชน และส่งผลให้ท่านอ๋องทั้งหลายพากันหวั่นกลัววิตก ด้วยไม่รู้ว่านี่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือว่าสือเหวินปินถือตนเป็นคนโปรดจึงหยิ่งผยองพองขนจนลืมตน ทำให้ยามเอ่ยถึงหน่วยอาชาเหิน พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสี จะพูดจะทำอะไรก็กลายเป็นระแวดระวังตัวขึ้นมา”

ยามจ้าวหลิงพูดเรื่องจริงจัง สีหน้าจะฉายรอยขึงขังหลายส่วน พลอยให้บรรยากาศเคร่งเครียดไปด้วย “ฉะนั้นตอนท่านสิบหกออกจากอาณาเขต เพียงพาองครักษ์ประจำตัวที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศสองคนกับขันทีที่ปรนนิบัติดูแลเรื่องการกินการอยู่หนึ่งคนติดตามมาเท่านั้น ถ้าในยุคบ้านเมืองสงบสุข มีสองสามคนนี้ข้างกายก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าภัยแล้งจะก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในส่านซี ดังนั้นการเดินทางกันไม่กี่คนเป็นเรื่องอันตรายเกินไป บางทีท่านสิบหกอาจต้องการปกปิดคนของหน่วยอาชาเหิน หรือไม่สถานการณ์วุ่นวายทำให้เขาขาดการติดต่อกับผู้ติดตาม ท่านสิบหกถึงได้เอ่ยถามโม่อี้ว่า ‘มีเจ้าเพียงคนเดียวรึ’ และโม่อี้ตอบว่า ‘พวกข้ามีกันทั้งหมดยี่สิบคน…มีเพียงพวกข้าที่โชคดีได้พบท่านสิบหก’ ”

ฟู่ถิงจวินพยักหน้าหงึกหงัก

“มีคำกล่าวว่ายุทธภพมิตอแยคนสามจำพวกคือ ผู้ละทางโลก เด็ก และสตรี” จ้าวหลิงกล่าว “ผู้ละทางโลกไม่บำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดวาอารามแต่กลับข้องแวะทางโลกียวิสัย เห็นได้ว่าอินทรีย์ทั้งหกไม่บริสุทธิ์ ยังตัดความโลภโกรธหลงไม่ขาด ส่วนสตรีกับเด็กที่กล้าออกมาผจญโลกภายนอกที่มีอันตรายแอบแฝงรอบด้าน ถ้ามิใช่เล่ห์กลชั้นเชิงเหนือผู้อื่น ก็ต้องมีผู้อาวุโสหรือเป็นศิษย์สำนักซึ่งมีชื่อลือลั่นในยุทธภพ พวกแรกไร้ความเมตตาการุญ พวกหลังชมชอบเอาชนะไม่ยอมใคร ไปตอแยเข้าล้วนเป็นเรื่องยุ่ง โม่อี้มีพวกมากมายยังหาท่านสิบหกพบได้ไม่ง่ายดาย พวกเรากลับปะเหมาะเจอเข้าพอดี หนำซ้ำยังเป็นหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีเข็นรถให้บุรุษสูงเจ็ดเชียะที่ล้มป่วยคนหนึ่ง อีกทั้งพอพวกเจ้าเสาะหาที่พักได้แล้ว อาเซินก็จะไปหาหมอในหลินชุนอีก ท่านว่าพวกเขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร”

“ด้วยเหตุนี้โม่อี้ถึงส่งเสี่ยวอู่ไปสะกดรอยตามอาเซิน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยอย่างใช้ความคิด “จริงๆ แล้วหมายจะหยั่งตื้นลึกหนาบางของพวกเรา ผลปรากฏว่าอาเซินหลงคิดว่าเสี่ยวอู่เป็นคนของเฝิงเหล่าซาน เลยเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับเขาอยู่ครึ่งค่อนคืน”

จ้าวหลิงพยักหน้า “อาเซินกับเสี่ยวอู่เล่นเจ้าล่อเอาเถิดอยู่ด้านนอก ฝ่ายโม่อี้ไม่ได้ข่าวคราวอะไร พวกโจรป่าก็บุกเข้ามาในศาลเจ้าอีก” พอกล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดเว้นจังหวะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมชื่นชม “ท่านสิบหกนับเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำใจ! ทั้งกลัวว่าพวกเราเป็นเขี้ยวเล็บของหน่วยอาชาเหิน อีกทั้งกลัวว่าพวกเราเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทางหนึ่งส่งสัญญาณบอกให้โม่อี้ดูต้นทางอยู่ด้านนอก ทางหนึ่งจับตาดูว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกับโจรป่าหรือไม่”

“จวบจนท่านสังหารหัวหน้าโจรคนนั้น พวกเขาถึงมั่นใจว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน จึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ” ฟู่ถิงจวินกระจ่างแจ้ง “จากนั้นก็มอบยาและพันแผลให้ สุดท้ายยังมอบเทียบชื่อใบหนึ่งให้ท่านไปเป็นทหาร และมอบหมายโม่อี้พาท่านมาพักรักษาบาดแผลที่หลินชุน” นางกล่าวพึมพำ “ดูท่าท่านสิบหกผู้นี้เป็นคนไม่เลว!”

จ้าวหลิงฟังแล้วเพียงยิ้มเท่านั้น

ฟู่ถิงจวินมักรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาคล้ายมีนัยบางอย่าง พาให้นางร้อนตัวอยู่บ้าง

คงมิใช่พูดอะไรผิดอีกแล้วกระมัง!

“บอกว่ามีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ มิใช่หรือ” นางอดบ่นอุบอิบไม่ได้ “ข้าไม่เหมือนกับท่านที่หูตากว้างขวาง ทั้งเป็นคนเจ้า…” เดิมทีนางตั้งใจจะพูดว่า ‘เจ้าเล่ห์’ แต่พอหวนคิดถึงรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนอยู่บ้างของเขาในวันนั้น รีบกลืนคำว่า ‘เล่ห์’ กลับลงไปแล้วเอ่ยว่า “ปัญญา…”

จ้าวหลิงได้ยินชัดถนัดหู ทำให้รอยยิ้มฉายฉานออกมาทางดวงตาอีกครา เขากล่าว “ท่านมองออกไปนอกหน้าต่างว่ามีอะไรต่างออกไปบ้าง”

ฟู่ถิงจวินไม่เข้าใจ วิ่งไปข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอก

“ไม่มีอะไรต่างออกไปนี่!” นางกล่าวงึมงำ “ที่นี่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง แต่ถนนหลวงกลับอยู่ทางทิศตะวันตก ที่ตั้งออกจะเปลี่ยวอยู่สักหน่อย…”

จ้าวหลิงกล่าวเตือนนาง “มองจุดที่ไกลออกไป”

“ไกลออกไป…” ฟู่ถิงจวินทอดสายตามองไป “ไกลออกไปมองเห็นถนนหลวง ป่าข้างทางหลวงก็เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง เอ๊ะ ยังมีศาลเจ้า ศาลเจ้าที่พวกเราหยุดพักเมื่อวานนี้…ล้วนมองเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง” นางพูดพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ อดเอ่ยพึมพำไม่ได้ “ไม่รู้ว่ามีคนพบศพพวกนั้นหรือยัง”

จ้าวหลิงจนวาจาไปครู่ใหญ่

ฟู่ถิงจวินดึงความคิดคืนมาแล้วรีบกล่าวขึ้น “ข้าเห็นเท่านี้เอง!”

เขาถอนใจ “เส้นทางมายังหลินชุนมีแค่สองสาย ทางหนึ่งคือถนนหลวง ทางหนึ่งคือทางดินลูกรังด้านข้างศาลเจ้า ที่นี่มองเห็นได้ทั้งถนนหลวงและศาลเจ้า หรือพูดอีกอย่างคือไม่ว่ามีคนเข้าสู่หลินชุนจากทางใดก็ตาม ถ้ายืนมองออกไปจากที่นี่จะสังเกตเห็นได้หมด ไม่ว่าจะเป็นถนนหลวงก็ดี หรือศาลเจ้าก็ดี ล้วนอยู่ค่อนข้างห่างออกไป ถ้าเกิดมีคนบุกมา จะมีเวลาออกจากที่นี่ได้อย่างสบายๆ” เขาเอ่ยทอดถอนใจ “รุกก็โจมตีได้ รับก็ป้องกันได้ โม่อี้ผู้นี้เป็นยอดฝีมือในเรื่องการเคลื่อนพลจัดทัพคนหนึ่ง”

ฟู่ถิงจวินอยากถามเขาคำหนึ่งมากว่า ‘ในเมื่อท่านมองออกเช่นกัน แสดงว่าท่านก็เป็นยอดฝีมือในเรื่องการเคลื่อนพลจัดทัพคนหนึ่งใช่หรือไม่’ ถ้อยคำมารอที่ปลายลิ้นแล้ว แต่นางเห็นว่าพูดเช่นนี้ดูสนิทสนมกันเกินไป จึงรีบเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “ท่านเก้า เมื่อครู่นี้ท่านฉวยจังหวะตอนพวกเราไม่อยู่ไปยืนมองสำรวจอยู่ข้างต่างอย่างละเอียดมาแล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ดีขนาดนี้ได้อย่างไร ข้ายังไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มองเห็นศาลเจ้าได้ด้วย”

มุมปากของจ้าวหลิงกระตุกเบาๆ สีหน้าเขาเหมือนไม่อยากถือสาหาความนาง

เขากล่าวโพล่งขึ้น “ท่านบอกว่าอาเซินกำลังต่อยตีกับหนึ่งในหัวหน้าเด็กชายกลุ่มนั้นที่มาขอทานพวกเราบนถนนก่อนหน้านี้หรือ”

ไฉนจู่ๆ จึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้น

“อื้อ!” ฟู่ถิงจวินเอ่ย “บอกว่าเด็กคนนี้มาขโมยอาหาร”

จ้าวหลิงกล่าว “อีกประเดี๋ยวท่านถามโม่อี้ดูว่าหลายวันนี้พวกเราจะเอาเสบียงอาหารจากที่ไหน”

หญิงสาวก็สนใจปัญหานี้อยู่เช่นกัน นางเห็นจ้าวหลิงมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนก็คุยเล่นกับเขาอีกไม่กี่คำแล้วพยุงเขานอนลง จากนั้นโบกลมให้ครู่หนึ่ง เห็นเขาหลับสนิทไปแล้วถึงเดินย่องลงไปข้างล่าง

เด็กชายคนนั้นหายตัวไปแต่นานแล้ว ส่วนอาเซินกับเสี่ยวอู่กำลังแข่งตั้งท่าขี่ม้ากันอยู่ โม่อี้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเย็นๆ “หากลำตัวช่วงล่างของเจ้ามั่นคง มีหรือจะถูกเจ้าเด็กนั่นเตะตัดขาจนล้มหงายกับพื้น ไม่รู้ว่าเจ้านายของเจ้าสอนเจ้ามาอย่างไร…”

อีกฝ่ายกล่าวไม่ทันจบ อาเซินชักสีหน้าทันควัน “ท่านเก้าของข้าสอนดีมาก เป็นข้าที่เรียนได้ไม่ดีเอง พี่อวี้…”

ฟู่ถิงจวินเห็นว่าเขากำลังจะเอ่ยคำว่า ‘พี่อวี้เฉิง’ ก็รีบกระแอมไอเสียงหนึ่งแล้วพูด “อาเซิน อากาศร้อนเหลือเกิน ตอนนี้ท่านเก้าล้มป่วยอยู่ คงทนไม่ไหวเหมือนปกติ เจ้าขึ้นไปโบกลมให้เขาเถอะ!”

อาเซินวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างเร็วรี่

ฟู่ถิงจวินไต่ถามโม่อี้ว่าหลายวันนี้จะจัดการเรื่องเสบียงอาหารอย่างไร

“พอให้พวกเรากินได้สี่ห้าวันแล้ว” เขากล่าว “แม่นางไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ข้าจะส่งเสี่ยวอู่ไปยังเมืองซีอาน ถึงตอนนั้นค่อยนำน้ำดื่มอาหารมาอีกที”

นางกล่าวตามมารยาทเช่นว่า ‘ทำให้ผู้ช่วยโม่ต้องวุ่นวายแล้ว’ ทำนองนี้ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป

นางอบรมอาเซิน “พวกเรากับผู้ช่วยโม่พบกันโดยบังเอิญ อะไรพูดได้อะไรพูดไม่ได้ต้องคิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน รู้หรือไม่”

อวี้เฉิงกับหยวนเป่าเป็นหมากตัวสุดท้ายของจ้าวหลิง ลึกๆ ในใจนางไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้

อาเซินพูดแย้ง “พวกเขาพูดว่าท่านเก้าสอนไม่ดี…”

“ดีหรือไม่พวกเขามิใช่ผู้ตัดสิน” ฟู่ถิงจวินตัดบทเขา “ท่านเก้ายังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ ยิ่งเป็นเวลานี้เจ้ายิ่งต้องระแวดระวังตัว อย่ามีเรื่องมีราวกับพวกเขาจึงจะถูก”

“อื้ม” อาเซินพยักหน้า “พวกเราจะได้ไม่ตีกันเองเสียก่อน คนเร่ร่อนพวกนั้นเห็นแล้วจะวิ่งเข้ามาแย่งชิงอาหารของพวกเรา”

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม

รอจนจ้าวหลิงตื่นขึ้นมา นางจึงเอาคำพูดของโม่อี้บอกกับเขา

“พูดเช่นนี้ พวกเขามิใช่คนของท่านสิบหกแล้ว” จ้าวหลิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง “น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าในเมืองซีอานตอนนี้มีใครพำนักอยู่บ้าง…”

นางประหลาดใจเล็กน้อย

เขาเอ่ยอธิบาย “เสี่ยวอู่ผู้นั้นบอกว่าขณะนี้เมืองซีอานให้ออกไม่ให้เข้ามิใช่หรือ ถ้าพวกเขาเป็นคนของท่านสิบหกจะต้องไม่คุ้นเคยกับที่นั่นเป็นแน่ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เข้าออกเมืองได้ตามชอบใจเยี่ยงนี้”

“เช่นนั้นพวกเขาเป็นคนของใคร” ฟู่ถิงจวินฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน

“ถึงไม่ใช่คนของท่านสิบหกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด” จ้าวหลิงกล่าวปลอบนาง “ถึงอย่างไรก็สืบรู้ได้” เขาเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปเชิญผู้ช่วยโม่มา!” จากนั้นพูดกับหญิงสาว “ถ้าฉวยโอกาสนี้ไปเมืองซีอานได้จะดีที่สุด”

น้ำเสียงเขาเริ่มจะมีร่องรอยเป็นเชิงปรึกษาหารือกับนางบ้างแล้ว

“แล้วบาดแผลของท่าน” ฟู่ถิงจวินเป็นห่วงมาก

“อดทนถึงเมืองซีอานได้ไม่เป็นปัญหา”

นางคิดถึงนัดหมายของจ้าวหลิงกับอวี้เฉิงและหยวนเป่า…อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว

หญิงสาวนิ่งเงียบไป

 

โม่อี้ประหลาดใจมาก

“พวกเราเตรียมตัวไปพักพิงที่เมืองซีอานแต่แรก ต่อมาได้ยินเสี่ยวอู่พูดว่าที่นี่ให้ออกไม่ให้เข้าก็เลยล้มเลิกความตั้งใจนี้ไป” จ้าวหลิงกล่าว “ในเมื่อผู้ช่วยโม่มีวิธีเข้าไปได้ พวกข้าไปเมืองซีอานเลยจะดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้พอพวกข้าตามหาญาติพี่น้องพบ ผู้ช่วยโม่ก็สามารถกลับไปหาท่านสิบหกได้ ไม่อย่างนั้นท่านคอยอยู่เป็นเพื่อนพวกข้าแบบนี้ พวกข้าไม่สบายใจเลย”

“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านระหว่างรักษาตัวเป็นความต้องการของท่านสิบหก ดังนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม พวกท่านจะไม่สบายใจไปไย” โม่อี้ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ยิ่งกว่านี้ในเมืองซีอานเต็มไปด้วยขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่หนีภัยมา มีการขึ้นราคาข้าวของมาห้าหกรอบจนวุ่นวายไปหมด ข้าว่าอยู่ในหลินชุนจะดีกว่า ถึงอย่างไรท่านต้องพักรักษาตัวสองสามเดือนจึงจะหายดี มิต้องด่วนใจร้อนตอนนี้”

“หรือไม่พรุ่งนี้พวกท่านพาอาเซินไปเมืองซีอานส่งสารให้ญาติข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็เบาใจได้บ้าง” จ้าวหลิงก็ไม่ยืนกราน เพียงเอ่ยอย่างประนีประนอม

โม่อี้ตอบตกลงอย่างง่ายดาย

 

จ้าวหลิงนั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ดูท่าทางพวกเราถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่แล้ว!”

ฟู่ถิงจวินหน้าถอดสีไปถนัดตา “เป็นท่านสิบหกใช่ไหม เพราะอะไร หรือว่ากลัวพวกเราเปิดเผยร่องรอยของเขา?”

“เป็นไปได้” เขานิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไป ขอเพียงท่านสิบหกกลับอาณาเขตไปแล้ว ต่อให้พวกเรามีเจตนาจะทำเช่นนั้น แต่ปราศจากพยานหลักฐานใด ยังสามารถไปรายงานหน่วยอาชาเหินได้หรือไร เมื่อนั้นเขาย่อมปล่อยตัวพวกเราเป็นธรรมดา” เขาสั่งกำชับอาเซิน “พรุ่งนี้เจ้าต้องหูไวตาไวหน่อย ข้อแรกดูว่าพวกเขาใช้วิธีการใดเข้าเมือง ข้อสองคิดหาหนทางส่งข่าวถึงอวี้เฉิงกับหยวนเป่า บอกสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเราให้พวกเขารู้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงจนออกตามหาสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันไร้หัว”

อาเซินพยักหน้าอย่างขึงขัง

วันรุ่งขึ้น เขาก็ติดตามเสี่ยวอู่ไปยังเมืองซีอาน

หลังจากอาเซินออกไป ฟู่ถิงจวินหารือกับจ้าวหลิง “ข้าอยากไปดูว่าสตรีคนที่อุ้มเด็กไว้ยังอยู่หรือไม่”

เขารู้สึกงุนงง

ฟู่ถิงจวินกล่าว “ถึงอย่างไรระหว่างนี้อาหารการกินของพวกเราล้วนมีโม่อี้จัดเตรียมให้ มิสู้เอาหมั่นโถวกับน้ำของพวกเรามอบให้ผู้อื่น ไม่แน่ว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนคับขันของพวกเขาได้พอดี”

แววยิ้มฉายชัดออกมาทางดวงตาชายหนุ่มอย่างเก็บงำไม่อยู่

เขานึกว่าพอนางประสบกับเรื่องของน้าชายแล้วคงไม่เชื่อใจใคร และไม่มีความเห็นใจให้คนที่อ่อนแอโดดเดี่ยวพวกนั้นอีกสืบไป คิดไม่ถึงว่า….

“ได้สิ!” เขาหยักยิ้มมองนาง ดวงตาเปล่งประกายวาววับดุจเม็ดหยก ฟู่ถิงจวินมองจนตาลอยไปบ้าง “ท่านระวังสักหน่อย อย่าให้คนเห็น ประเดี๋ยวจะรุมกันเข้ามาแย่งชิง กลับจะทำให้ตนเองบาดเจ็บเสียเอง”

“อื้อ!” นางรวบรวมสติคืนมาแล้วพยักหน้าไม่หยุด “ข้าจะแอบให้นาง ไม่ให้คนอื่นเห็น”

จ้าวหลิงยังกำชับนางอีกสองสามคำถึงยอมให้นางออกไป

หญิงสาวซึ่งออกเรือนแล้วคนนั้นยังอยู่ที่เดิม นางอุ้มลูกนั่งอยู่บนเสื่อด้วยสีหน้าเซื่องซึม ส่วนบุรุษที่ตวาดใส่นางไม่ได้อยู่ด้านข้าง

ฟู่ถิงจวินฉวยจังหวะเข้าไปใกล้ๆ นางแล้วก็ขยิบตาบอกให้ตามตนเองมา

สตรีผู้นั้นสองจิตสองใจครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะตนเองไร้สมบัติใดติดกาย ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะประสงค์ร้าย ท้ายที่สุดนางยังคงตามฟู่ถิงจวินไปยังลานด้านหลังร้านค้าที่อีกฝ่ายพักแรมอยู่

ฟู่ถิงจวินมองแล้วว่ารอบด้านปลอดคน เอาถุงหนังใส่น้ำใบหนึ่งกับหมั่นโถวสองใบให้นาง “มีเพียงเท่านี้ ให้พวกเจ้าประทังหิวชั่วคราว”

สตรีผู้นั้นมองอาหารในมืออีกฝ่าย นานครู่ใหญ่กว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ นางหลั่งน้ำตาไหลพรั่งพรูลงมา ขยับปากพะงาบๆ เหมือนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สุดท้ายอุ้มลูกคุกเข่าลงเบื้องหน้าหญิงสาวโขกศีรษะไม่หยุด

“รีบลุกขึ้น ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้ เจ้าป้อนให้ลูกกินเร็วเข้าเถอะ!” ฟู่ถิงจวินประคองนางขึ้น ลูบศีรษะที่มีเส้นผมหร็อมแหร็มของเด็กทารกซึ่งนอนกะปลกกะเปลี้ยอยู่ในอ้อมอกมารดา “ลูกของเจ้าหิวจนไม่มีแรงแล้ว!”

สตรีผู้นั้นพยักหน้าไม่หยุดพลางพูดซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วตั้งท่าจะอุ้มลูกคุกเข่าลงโขกศีรษะให้นางอีก

ฟู่ถิงจวินออกแรงรั้งเอาไว้ สตรีผู้นั้นถึงยอมเลิกรา นางขอยืมชามกับช้อนไปแล้วบิหมั่นโถวชิ้นเล็กๆ แช่น้ำ จากนั้นรีบนั่งลงตรงธรณีประตูป้อนให้ลูกกินโดยไม่รอช้า

ฟู่ถิงจวินนั่งมองอยู่ด้านข้าง

นับจากท่านน้าล่วงลับไป นางคิดคำนึงถึงเคราะห์ร้ายของครอบครัวท่านน้ามาโดยตลอด

ทั้งที่เป็นการกระทำความดี เหตุใดลงท้ายกลับชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ครอบครัวพินาศ ชีวิตสูญสิ้น

การทำบุญกุศลเป็นความผิดกระนั้นหรือ

นางได้รับการอบรมสั่งสอนมาแต่เยาว์วัยว่าต้อง ‘เผื่อแผ่เพื่อนบ้าน เมตตาเด็กกำพร้า นับถือผู้อาวุโส เอ็นดูผู้เยาว์’ ไฉนความเป็นจริงถึงแตกต่างกับสิ่งที่รับรู้มาถึงเพียงนี้

จวบจนได้พบกับท่านสิบหกในศาลเจ้า ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้นมือหนึ่งถือเงินมือหนึ่งถือกระบี่ ทำให้นางบังเกิดความสะทกสะท้อนในใจ

ไม่มีความสามารถปกป้องตนเองก็ไปช่วยเหลือคน และการวางทรัพย์สินเงินทองล่อตาล่อใจ มีแต่ทำให้ผู้อื่นจับจ้องตาเป็นมัน ทั้งพาตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก มีเพียงในภาวะที่ป้องกันตัวเองได้แล้วถึงค่อยไปชั่วเหลือคน ถึงจะสามารถเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน เมตตาเด็กกำพร้าได้

ด้วยเหตุนี้มีวาทะอันเฉียบคมว่าไว้ ’ยามยากพึงรักษาคุณความดีแห่งตน ยามมีเพียรทำคุณประโยชน์ต่อผู้คน’

ตอนนี้พวกนางมีโม่อี้คุ้มครองอยู่ ทั้งยังมีอาหารเหลือเฟือ นางถึงกล้าช่วยเหลือเจือจานสตรีผู้นั้น

มาตรว่าจะเป็นเช่นนี้ ฟู่ถิงจวินยังไม่กล้ามอบอาหารทั้งหมดให้อีกฝ่ายในคราเดียว ด้วยกลัวว่าหลังจากนางกลับไปแล้วเป็นที่ริษยาของคนเร่ร่อนคนอื่นๆ จนถูกยื้อแย่งช่วงชิงไปเพราะไม่มีกำลังป้องกันตนเองได้ และอาจถึงขั้นจบชีวิตลงเพราะเหตุนี้ จากความหวังดีจะกลายเป็นเรื่องร้ายไปเสีย อีกประการหนึ่งหญิงสาวยังกลัวว่าสตรีผู้นี้อาจมีใจคิดร้ายต่อตนเองขึ้นมาด้วย

เห็นฟู่ถิงจวินมองตนเอง สตรีซึ่งออกเรือนแล้วเอ่ยอย่างกระดากอาย “ข้าอยากป้อนอาหารลูก แต่กลัวพวกเขาแย่งหมั่นโถวไป”

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ นางถึงคลายใจลงได้

อาจเป็นเพราะเด็กทารกไม่คุ้นเคย แรกเริ่มเขาอมไว้ในปากไม่กลืนลงคอ แต่เมื่อป้อนไปได้สองสามคำ เขารับรู้ถึงรสชาติแล้วก็กินไม่หยุดอย่างตะกรุมตะกราม

ใบหน้าของแม่เด็กเริ่มประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจ ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วพลอยรู้สึกอบอุ่นในใจไปด้วย

นางถามสตรีผู้นั้น “เด็กอายุเท่าไหร่แล้ว”

“สิบเดือนห้าวันเจ้าค่ะ!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น “เขาเกิดปีซินโม่* เดือนสิบเอ็ดวันที่หนึ่งเจ้าค่ะ หมอดูบอกว่าเขามีดวงแปดอักษรดี” พูดถึงตรงนี้ ราวกับนางคิดอะไรขึ้นได้ รีบกล่าวกับฟู่ถิงจวิน “หรือไม่ให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเถอะ” ไม่ทันสิ้นเสียง นางรู้ตัวว่าพลั้งวาจาไป ลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลน “แม่นาง ดูข้าซิ ดีใจจนเลอะเลือนไปแล้ว ท่านยังไม่แต่งงานกระมัง ท่านเป็นคนช่วยชีวิตลูกข้า ข้าเลยอยากตอบบุญคุณของท่าน…”

คนชนบทมีธรรมเนียมรับบุตรบุญธรรมเพื่อขอลูก

ฟู่ถิงจวินรู้ว่านางประสงค์ดี จึงยิ้มอย่างไม่ถือสา

สตรีผู้นั้นขอขมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนลูกของนางร้องไห้ขึ้นมาเพราะกินไม่อิ่ม ถึงนั่งลงด้วยสีหน้าลุแก่โทษ และป้อนหมั่นโถวแช่น้ำจนเหมือนโจ๊กข้นๆ ให้เขากินต่อ

ฟู่ถิงจวินกล่าวเตือนนาง “อย่าป้อนมากเกินไป เวลาคนที่บ้านข้าไม่สบาย ต้องอดอาหารสองสามวันก่อน จากนั้นจะต้มแค่โจ๊กให้กิน ตอนเริ่มแรกยังกินได้แค่ครึ่งชามเล็กๆ ด้วย เพราะคนที่หิวมานาน กินทีเดียวมากๆ จะไม่สบายท้องได้”

สตรีผู้นั้นพยักหน้าแล้ววางช้อนลงตามคำบอกทันที

เด็กทารกกลับแผดเสียงร้องไห้อย่างไม่ยินยอม

สตรีผู้นั้นอุ้มลูกเดินกล่อมอยู่ในลานเรือน

“แม่นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่กระมัง” นางสนทนากับฟู่ถิงจวิน

คุณหนูตระกูลใหญ่?

เมื่อก่อนนั่นใช่ แต่ตอนนี้…นางก็ไม่ต่างกับพวกเขา เป็นคนที่ตกระกำลำบากเช่นกัน นางแค่โชคดีได้พบกับจ้าวหลิง

นางส่ายหน้ายิ้มๆ

สตรีผู้นั้นกลับกล่าวอย่างไม่เชื่อ “คุณหนู หากท่านมีเสื้อผ้าสกปรกต้องการซักล้าง เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” แต่แล้วนางก็รีบพูดขึ้นอีกด้วยกลัวหญิงสาวเข้าใจผิด “ข้ามิใช่ต้องการของกิน แค่อยากตอบแทนบุญคุณท่านที่ช่วยชีวิตไว้เท่านั้น” กล่าวจบนางยิ้มอย่างเก้อกระดาก

ยามนี้แม้แต่น้ำดื่มยังฝืดเคือง ยังจะเอ่ยถึงเรื่องซักผ้าอะไรได้เล่า

“สามีข้ามักติว่าข้าพูดจาไม่เป็น” นางอธิบายเสียงอ้อมแอ้ม “คุณหนูอย่าได้เก็บไปใส่ใจเป็นอันขาดนะเจ้าคะ” นางปิดปากไม่กล่าววาจาอีก

ฟู่ถิงจวินเห็นว่าสตรีผู้น่าสนใจดี จึงเอ่ยถามนาง “เจ้าชื่อว่าอะไร”

“สามีข้าแซ่เจิ้ง เป็นบุตรคนที่สามของตระกูล” นางลังเลใจครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ข้าแซ่เถียน เป็นเพราะเกิดเดือนห้าก็เลยมีชื่อว่าอู่เยวี่ยเจ้าค่ะ”

นางยังบอกชื่อก่อนออกเรือนอย่างถือฟู่ถิงจวินเป็นคนกันเอง

มีเพียงผู้ที่มีไมตรีเฉกคนครอบครัวเดียวกันหรือมีสัมพันธ์เป็นนายบ่าวกันถึงจะบอกชื่อก่อนออกเรือน

อันว่าผู้อื่นนับถือเราหนึ่งเชียะ เรานับถือผู้อื่นหนึ่งจั้ง

ฟู่ถิงจวินเอ่ย “เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าเจิ้งซานเหนียงแล้วกัน”

“มิกล้าๆ!” สตรีผู้นั้นรีบกล่าว “ท่านเรียกข้าว่าอู่เยวี่ยเถอะเจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินเห็นนางเป็นคนซื่อตรงก็ไม่โต้แย้งด้วย เพียงแย้มยิ้มเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าไปเมืองซีอานแล้วเสียอีก”

“พวกเรามาจากเมืองซีอานนี่แหละเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงกล่าว “ตอนนี้เมืองซีอานออกได้เข้าไม่ได้ ทุกคนถูกขับไล่ไปที่คูเก้าลี้หมด สามีข้าบอกว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดโรคระบาด เลยพาพวกข้ามายังตำบลหลินชุน…”

ฟู่ถิงจวินประหลาดใจอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่าบุรุษหยาบกระด้างปานนั้นถึงกับมีหูตากว้างไกลอย่างนี้

เจิ้งซานเหนียงพูดราวกับหยั่งเดาได้ว่าฟู่ถิงจวินไม่ชอบหน้าเจิ้งซานสักเท่าไหร่ “แต่ก่อนสามีข้าเป็นผู้คุ้มภัยอยู่ในสำนักคุ้มภัย ต่อมาเห็นสหายร่วมสำนักที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็พิการไป จึงไม่อยากมีชีวิตอย่างนั้นอีก พอหาเงินได้ก้อนหนึ่งก็กลับไปที่บ้านนอกซื้อที่นาหลายหมู่” ดวงตานางเป็นประกายวาววับด้วยความชื่นชมศรัทธา มองออกได้ว่านางภาคภูมิใจในตัวสามีผู้นี้เป็นอันมาก

“ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มภัยหรือว่าทำนา เขาล้วนเชี่ยวชาญช่ำชอง” แต่แล้วแววตานางค่อยๆ หม่นแสงลง “แต่เป็นเพราะปีนี้ผลเก็บเกี่ยวไม่ดี ถึงทำให้กลายเป็นเช่นตอนนี้” นางพูดแล้วสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝืนยิ้มสดใสออกมา “แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ดีกับพวกเราแม่ลูกมาก พาพวกข้าหนีภัยไปจนถึงเมืองซีอาน ยามไม่มีกิน มีคนอื่นจะเอาของมาแลกกับลูก สามีข้าไม่ตอบตกลง…”

ฟู่ถิงจวินขมขื่นใจจนน้ำตาเจียนไหลหยาดลงมา

เจิ้งซานเหนียงรีบกล่าวปลอบนาง “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเราได้พบกับคุณหนูแล้ว ดวงแปดอักษรของลูกดีมากจริงๆ”

ฟู่ถิงจวินยิ้มพลางสูดจมูก “สามีของเจ้าเล่า”

“เขาเข้าไปในเมืองดูว่าจะหาเปลือกไม้กับดินขาวได้หรือเปล่า…อุ๊ย…” พูดถึงตรงนี้ เจิ้งซานเหนียงอุทานขึ้นแล้วรีบเร่งลุกขึ้นยืน “เขาให้ข้าอยู่ที่เดิมอย่าไปไหน บอกว่าครู่เดียวก็กลับมา…” นางเงยหน้ามองดูท้องฟ้า จวนเจียนเป็นยามเที่ยงแล้ว “คุณหนู ข้าต้องกลับไปแล้ว รอสักครู่ค่อยมาโขกศีรษะให้ท่าน” นางพูดพร้อมกับเอาของกินที่เหลือยัดเข้าไปในซอกมุมหนึ่งของลานด้านหลัง จากนั้นกล่าวกับฟู่ถิงจวินอย่างอายๆ “เก็บไว้กินพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!”

“แล้วพวกเจ้า…” ฟู่ถิงจวินมองนางอย่างตกตะลึง

“พวกข้าเป็นผู้ใหญ่ หิวสองสามวันไม่เป็นไร แต่ลูกหิวไม่ได้เจ้าค่ะ” ใบหน้าเหลืองซีดของเจิ้งซานเหนียงเปล่งรัศมีรางๆ เทียบเทียมได้กับประกายเม็ดหยก ทำให้ฟู่ถิงจวินนิ่งไปเป็นนานกว่าจะพูดออก “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ข้าค่อยเอามาให้เจ้าอีก เจ้ากินรองท้องไปก่อนได้เลย…”

เจิ้งซานเหนียงส่ายหน้า “ขอบคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ!” นางมองหญิงสาวด้วยแววตาจริงใจ “ทุกคนล้วนกำลังลำบาก แต่ท่านสามารถเจียดเสบียงของตนเองแบ่งปันให้พวกเราได้ พวกเราก็ซาบซึ้งใจไม่สิ้นสุดแล้ว ไหนเลยจะให้ท่านช่วยเหลือเจือจานต่อไปอีกได้…” นางพร่ำพูดขอบคุณหนแล้วหนเล่า ก่อนจะอุ้มลูกจากไป

ตอนเดินออกไป นางยังปิดประตูลานเรือนให้อย่างรอบคอบ

ฟู่ถิงจวินยืนอยู่ในลานกว้างเนิ่นนาน ถึงได้หมุนกายขึ้นไปข้างบนอย่างเชื่องช้า

“เป็นอะไรไป จมูกแดงๆ” จ้าวหลิงถามนางเสียงนุ่ม “สตรีผู้นั้นทำให้ท่านเสียใจหรือ” ดวงตาเขามีประกายคมปลาบวาบขึ้น

ฟู่ถิงจวินซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดหาได้สังเกตเห็นไม่

“ไม่ใช่…” นางส่ายหน้าเบาๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง

จ้าวหลิงคลี่ยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ “เห็นได้ว่านางยังเป็นคนดีอยู่”

ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มละไม ครั้นคิดได้ว่าตนเองออกไปครึ่งค่อนวัน จ้าวหลิงนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ไม่มีคนให้เรียกใช้สักคนก็รีบเร่งไปรินน้ำเย็นให้เขา “ตอนเช้าท่านเก้าทำอะไรบ้าง”

“มิได้ทำอะไร” จ้าวหลิงดื่มน้ำ “นอนตลอดทั้งเช้า”

น่าเบื่อปานนั้น!

ฟู่ถิงจวินกล่าว “ถ้าหาหนังสือสักเล่มมาอ่านคลายเบื่อได้ก็คงดี” นางพูดแล้วตาเป็นประกาย ยามข้าวยากหมากแพง สิ่งมีค่าคืออาหาร หนังสือตำราน่าจะไม่มีคนต้องการกระมัง!

“ท่านรอสักครู่ ข้าลองไปหาดู” นางจดจำได้ว่าชั้นล่างมีห้องบัญชีอยู่ ดังนั้นไม่ฟังเสียงห้ามของจ้าวหลิง เดินลิ่วๆ ลงบันไดไป

ที่ชั้นล่าง โม่อี้กำลังจุดไฟอยู่หน้าเตา

เขม่าควันดำลอยคลุ้งไปทั่วเรือน ทว่าฟืนยังคงเป็นฟืน กระทะเย็นยังคงเป็นกระทะเย็น

เขากระอักกระไอไปพลาง สบถด่าเสียงเบาๆ ไปพลาง เห็นได้ชัดว่าไม่ถนัดเรื่องจุดเตาหุงหาอาหารเอาเสียเลย

พอเห็นฟู่ถิงจวิน เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี ราวกับปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า “แม่นางฟู่ ท่านน่าจะทำอาหารเป็นกระมัง”

แม่นางฟู่? ใครบอกเขาว่านางแซ่ฟู่ โม่อี้ผู้นี้มิใช่ธรรมดาจริงๆ

ฟู่ถิงจวินแค่นเสียงฮึอยู่ในใจ นางทำตาโต เอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “ข้าหรือ? ยามข้าอยู่บ้านมีบ่าวคนครัวทำอาหารให้”

โม่อี้อ้าปากค้างหุบไม่ลงอยู่เนิ่นนาน

แป้งย่างเหลืองเกรียม โรยด้วยต้นหอมสีเขียวสด เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอ

โม่อี้มองจ้าวหลิงที่กำลังกินแกงจืดไข่น้ำอย่างเอื่อยเฉื่อยแวบหนึ่ง จากนั้นมองแป้งย่างอีกแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ อย่างห้ามไม่อยู่

พวกเขามีกันสามคน แต่เหลือแป้งย่างแผ่นนี้แผ่นเดียวแล้ว…

ท่าทางของโม่อี้ตกอยู่ในสายตาจ้าวหลิง เขาวางชามลง กล่าวเสียงเนิบนาบ “พี่โม่ไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อรู้สึกว่าอร่อยก็กินได้เลยเต็มที่ หากยังระมัดระวังตัวอย่างนี้ มิตรภาพระหว่างท่านข้าก็ไร้ความหมาย หลังจากนี้ไปการกินการอยู่ของพวกข้าล้วนต้องอาศัยพี่โม่เป็นธุระให้ หรือว่าพี่โม่ยังคิดบัญชีกับข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย” เขาพูดแล้วยิ้มออกมา สายตามีร่องรอยกระเซ้าน้อยๆ “ข้านั้นเตรียมตัวจะดื่มกินโดยไม่เสียเงินสักอีแปะเดียว ต่อให้พี่โม่อยากคิดบัญชีกับข้า ข้าก็ไม่รับมือท่านหรอกนะ!”

โม่อี้นิ่งงันไป ก่อนจะหัวร่อเสียงดังออกมา

เสียงหัวเราะเขาก้องกังวานฟังดูห้าวหาญ ทั้งแฝงไว้ด้วยความแกร่งกล้าน่าคร้ามเกรงอยู่รางๆ ผิดจากท่าทีเงียบขรึมยามปกติลิบลับราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ฟู่ถิงจวินตระหนกในใจ

หรือว่านี่ถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของโม่อี้

เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ยังจะเหลือลักษณะท่าทางของบริวารผู้อยู่ใต้อำนาจใครที่ไหนกัน กลับคล้ายแม่ทัพใหญ่จอมอหังการผู้หนึ่ง

จ้าวหลิงมีสีหน้านิ่งสนิท กินแกงจืดไข่น้ำคำหนึ่งอย่างสงบเยือกเย็น

“สหาย เป็นข้าถือดีเอง” โม่อี้พูดแล้วหยิบแป้งย่างขึ้นกัดคำโตๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แป้งย่างของน้องสะใภ้เทียบเคียงได้กับคนครัวมือหนึ่งของ ‘สือซานซาน’ ได้แล้ว ข้ายังแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยเลย”

‘สือซานซาน’ เป็นหนึ่งในหอสุราใหญ่ที่สุดของเมืองซีอาน เชี่ยวชาญการทำอาหารจากเส้นหมี่ และขึ้นชื่อลือชาเรื่องขนมหวาน คนที่มาถึงซีอานล้วนต้องนำขนมหวานของหอสุราสือซานซานติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของขวัญของกำนัล

ได้ยินโม่อี้เรียกขานฟู่ถิงจวินว่า ‘น้องสะใภ้’ จ้าวหลิงมีสีหน้าเก้อเขิน เขาชำเลืองมองนางปราดหนึ่งอย่างว่องไว เห็นนางกำลังก้มตัวเช็ดล้างพื้นแท่นเตา ดูเหมือนไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกันอยู่ ก็เบาใจขึ้นบ้าง เขากล่าวยิ้มๆ “พี่โม่ให้เกียรติแล้ว นางมีฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้ที่ดีพอจะอวดผู้อื่นได้”

“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เหลือจะพอ” โม่อี้ได้ยินวาจานี้แล้วหัวเราะเสียงดังอีกครา “วันหน้าน้องจ้าวมีลาภปากแล้ว!”

จ้าวหลิงอมยิ้ม มีแววขัดเขินจุดวาบขึ้นในดวงตา

โม่อี้ไม่เก็บใส่ใจ

ถึงอย่างไรก็เป็นคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังเป็นว่าที่สามีภรรยากัน ย่อมหน้าบางเป็นธรรมดา

ฟู่ถิงจวินกลับค่อนขอดอยู่ในใจ

ผู้ใดบอกว่าข้าทำได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่เจ้าเป็นกบในกะลาถึงไม่รู้เท่านั้นเอง!

แม้กระนั้นก็ตามที พอคิดถึงว่าดีชั่วจ้าวหลิงยังยอมรับว่าฝีมือทำครัวของตนเองดีพอจะอวดผู้อื่นได้ พาให้นึกยินดีอยู่บ้าง

น่าเสียดายที่มีเครื่องปรุงอยู่จำกัด ไม่อย่างนั้นนางจะทำเครื่องจิ้มสูตรลับประจำตระกูลฟู่ให้พวกเขาจิ้มรับประทาน หรือว่าสอดไส้หมู เอ็นหอยตากแห้ง หรือเห็ดหอม ก็ยิ่งรสชาติดีมาก…

นางยกน้ำสกปรกจากการชะล้างพื้นแท่นเตาสาดออกไปที่ลานด้านหลัง

มีคนเมียงมองอยู่ด้านหลังกำแพง

ฟู่ถิงจวินเพ่งสายตามองไป เป็นเจิ้งซานเหนียงที่อุ้มลูกอยู่

เจิ้งซานเหนียงมองเห็นฟู่ถิงจวินแล้วเผยรอยยิ้มอย่างยินดี

ฟู่ถิงจวินไปเปิดประตูหลัง

กลิ่นน้ำมันต้นหอมเจียวลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณทำให้เจิ้งซานเหนียงทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มน้อยๆ นางต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ อย่างสุดกำลัง ถึงจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “คุณหนู ข้าบอกเรื่องที่ท่านเมตตามอบอาหารให้กับสามี เขาได้ยินแล้วซาบซึ้งใจมาก เดิมทีเขาสมควรมาโขกศีรษะขอบคุณด้วยตนเอง แต่ว่าชายหญิงต่างกัน เขาเลยให้ข้ากับลูกมาโขกศีรษะให้ท่านแทนเขาด้วย” นางพูดแล้วคุกเข่าลง

ฟู่ถิงจวินเห็นว่าตนเองเพียงกระทำเรื่องที่มิได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด ไม่อาจรับคำขอบคุณคราแล้วคราเล่าจากคนของสกุลเจิ้งเช่นนี้จริงๆ แต่ไม่ว่านางพูดปรามเช่นไร เจิ้งซานเหนียงก็ยังคงโขกศีรษะให้เก้าที

นางแย้มยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น มีสีหน้าสบายใจขึ้นบ้าง ราวกับทำงานที่สำคัญมากอย่างหนึ่งลุล่วงไปแล้ว “คุณหนู สามีข้าบอกว่าอยากขอให้ท่านตั้งชื่อให้เจ้าหนูของพวกเรา พอเขาเติบใหญ่ขึ้นจะได้จดจำบุญคุณของคุณหนูไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”

“ตั้งชื่อ?” ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน “ไม่ๆๆ เรื่องสำคัญแบบนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าได้อย่างไรกันเล่า หรือไม่ข้าตั้งชื่อแรกเกิดให้เขาดีหรือไม่”

ชื่อแรกเกิดเป็นชื่อที่คนในครอบครัวตั้งให้ สำหรับชื่อจริงส่วนใหญ่เมื่อถึงวัยเริ่มเล่าเรียนจึงจะเชิญบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในถิ่นเดียวกันหรือผู้อาวุโสในวงศ์ตระกูลเป็นผู้ตั้งให้

“สามีข้าบอกว่าขอให้ท่านตั้งชื่อจริงให้เจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงเอ่ยยิ้มๆ “เขาเกิดวันที่หนึ่ง เป็นทั้งลูกและหลานคนหัวปีของตระกูล มีชื่อแรกเกิดว่าหยวนหยวนเจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินเหงื่อตก

โม่อี้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูหลัง “เป็นผู้ใดรึที่อยู่ในลาน” น้ำเสียงเจือความระแวงระวัง ฟังดูคล้ายกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง

“คนรู้จักของข้าเอง” ฟู่ถิงจวินพูดพลางขยิบตาให้เจิ้งซานเหนียง “ข้ากลับเข้าเรือนก่อน มีเรื่องอะไรไว้ค่อยว่ากันคราวหน้า”

เจิ้งซานเหนียงนึกแต่ว่าโม่อี้เป็นคนในครอบครัวของหญิงสาว นางเห็นกับตาถึงความดุร้ายเมื่อตอนเข้าเมืองของโม่อี้ กอปรกับคิดว่าเรื่องที่ฟู่ถิงจวินมอบอาหารให้นั้นกระทำลับหลังเขา กลัวว่าทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน นางลุกลนยอบกายคารวะแล้วอุ้มลูกวิ่งออกไป

ฟู่ถิงจวินเอาอาหารให้คนอื่นอยู่ใต้จมูกโม่อี้นี่เอง แล้วจะปิดบังเขาได้อย่างไร

เขารู้สึกว่านี่เป็นความใจอ่อนเยี่ยงสตรี ก็เลยไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเป็นอย่างยิ่ง

โม่อี้ไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดเจิ้งซานเหนียงเห็นตนเองก็กลับไป เขารำพึงเบาๆ สองสามคำก่อนจะหมุนกายเข้าเรือนไปเอ่ยกับจ้าวหลิง “ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นสตรีที่อุ้มเด็กไว้นางหนึ่ง น้องสะใภ้ใจดีเกินไป ระวังถูกคนหลอกลวง”

“แทนที่จะถูกผู้อื่นหลอกลวงในวันหน้า มิสู้หัดดูคนอย่างไรเสียแต่บัดนี้” จ้าวหลิงกล่าวเอื่อยๆ พร้อมกับเทน้ำสะอาดลงในชามอ่างของโม่อี้ “พี่โม่ เชิญ”

โม่อี้ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

ผู้ไม่รู้ยังนึกว่าเป็นสุรา

โม่อี้กล่าวอย่างทอดถอนใจเช่นกัน “หากเป็นสุราก็คงดี!” เขาพูดแล้วสีหน้ากระฉับกระเฉงขึ้น “แต่ท่านวางใจได้ ข้ากำชับเฉินลิ่วให้เขานำหมูเห็ดเป็ดไก่มาบ้าง ถึงตอนนั้นให้น้องสะใภ้จัดโต๊ะให้พวกเราพี่น้องได้สังสรรค์กันอย่างเต็มที่”

จ้าวหลิงกล่าวอย่างอ้อมค้อม “ปกติยามอยู่บ้าน น้อยครั้งนักที่นางจะทำเรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าปรุงพวกหมูเห็ดเป็ดไก่ออกมาเป็นอย่างไร แต่หวังว่าจะสามารถทำให้ถูกปากพี่โม่ได้เป็นพอ”

โม่อี้นิ่งงันไป

เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าฝีมือทำครัวของฟู่ถิงจวินดีพอจะอวดผู้คนได้ เวลาชั่วพริบตาเดียวกลับบอกว่าไม่รู้ว่านางปรุงพวกหมูเห็ดเป็ดไก่ออกมาเป็นอย่างไร…เขาฉุกคิดในใจแล้วหัวเราะเสียงดังออกมา

เห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายของถ้อยความนี้อยู่ที่ประโยคแรก ‘ปกติยามอยู่บ้าน น้อยครั้งนักที่นางจะทำเรื่องพวกนี้’

“พี่จ้าว ยังมิได้แต่งเข้าเรือนท่านก็ทูนไว้เหนือหัวเสียแล้ว นี่ถ้าแต่งงานกันท่านมิตกเป็นทาสของภรรยาหรือไร” เขาสัพยอกจ้าวหลิง “ท่านปกป้องแม่นางฟู่เกินไป ข้าจะบอกให้ พวกสตรีนั้นล้วนสามวันไม่ตี ลามปามขี่คอ…”

ตอนฟู่ถิงจวินเข้ามา ได้ยินคำพูดของโม่อี้พอดีก็อดหน้าแดงไม่ได้

เข้าใจผิดกันไปยกใหญ่แล้ว…ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้กระจ่างได้เมื่อใด

ใครจะรู้ว่าโม่อี้ยังกล่าวถ้อยคำต่อจากนั้นอีกว่า ‘สตรีล้วนสามวันไม่ตี ลามปามขี่คอ’ บันดาลให้ความเขินอายเล็กน้อยถูกกลบทับด้วยความเดือดดาลจนหมดสิ้น

มีการยุยงผู้อื่นอย่างนี้ด้วยหรือ!

ยากจะโทษที่คนหยาบกระด้างไร้การศึกษาพวกนั้นมักตบตีภรรยา ล้วนเป็นคนพรรค์อย่างโม่อี้ที่เสี้ยมสอนไว้

โม่อี้ผู้นี้มิใช่ผู้ที่จะคบหาเป็นมิตรได้

กระนั้นหญิงสาวไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ฉาบใบหน้า

จ้าวหลิงมองเห็นนางแล้วคิดถึงคำว่า ‘ยังไม่แต่งเข้าเรือน’ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างที่สุด เขารีบส่งเสียงไอทีหนึ่ง

โม่อี้ได้ยินแล้วลอบหัวร่อจนท้องคัดท้องแข็ง

ต้องมาติดอยู่ในสถานที่ผีสางนี้ช่างน่าเบื่อเหลือแสนโดยแท้ หากไม่หาเรื่องทำฆ่าเวลาสักนิด เขาเจียนคลั่งตายอยู่แล้ว

ยังดีที่มีว่าที่สามีภรรยาคู่นี้…

ทว่าเขาหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าตนเองได้ล่วงเกินฟู่ถิงจวินโดยสิ้นเชิงแล้ว

 

ตกดึก ฟู่ถิงจวินเทน้ำให้จ้าวหลิงล้างหน้าบ้วนปาก

จ้าวหลิงขอโทษนางแทนโม่อี้เสียงเบาๆ “แม่นางฟู่ ท่านอย่าเก็บคำพูดของโม่อี้มาใส่ใจเลย คนในกองทหารเป็นแบบนี้เอง ชมชอบพูดกระเซ้าเย้าแหย่ รออีกสักพัก พวกเราย่อมจะแยกกันไปคนละทาง”

ฟู่ถิงจวินตัดบทเขาอย่างฮึดฮัด “เขายังคิดจะกินหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ข้าทำอีก ฮึ…ฝากไว้ก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะเล่นงานเขาอย่างไร!”

จ้าวหลิงเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของนางแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน

เขาหัวเราะขลุกขลักในลำคอ สายตาที่มองนางแจ่มจ้าดุจแสงจันทร์นวลกระจ่าง

ความหงุดหงิดในใจหญิงสาวพลันสงบลง

“เรื่องนี้จะโทษท่านเก้าได้อย่างไร” นางก้มหน้าลง แสงจันทร์ส่องลอดบานหน้าต่างกรุกระดาษเข้ามา มีเงาช่องหน้าต่างทอดทาบอยู่บนพื้น ในค่ำคืนแห่งฤดูร้อนที่ไร้สรรพเสียงประหนึ่งแฝงไว้ด้วยความเงียบสงบชั่วนิรันดร์ “จะพูดไปแล้วล้วนเป็นความผิดของข้า ถ้ามิใช่ข้าพูดจาส่งเดช ผู้ช่วยโม่จะเอ่ยถ้อยคำอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร…”

“ไม่ใช่ๆๆ” เห็นนางก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ จ้าวหลิงรีบเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นท่านทำไปเพื่อช่วยข้า หากจะพูดว่าใครผิด ล้วนเป็นความผิดของข้าคนเดียว…” แต่ผิดตรงไหน กลับนึกหาเหตุผลไม่ออกไปชั่วขณะ ชายหนุ่มจนวาจาไปทันใด

ณ เสี้ยวเวลานี้ ภายในห้องเงียบสนิท เฉกเดียวกับดวงจันทร์ที่ทอแสงเย็นตาอย่างไร้สุ้มเสียง

ใต้แสงจันทร์ ฟู่ถิงจวินแลเห็นสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของเขาได้ชัดถนัดถนี่

นางหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างสุดระงับจนทำลายความเงียบในห้อง “ทั้งที่เป็นความผิดของโม่อี้ กลับต้องให้พวกเราสองคนขอโทษกันไปมา เช่นนี้ออกจะสบายโม่อี้เกินไปแล้ว”

ท่ามกลางแสงจันทร์นวลตา รอยยิ้มพริ้มพรายของนางอ่อนหวานหยดย้อยแกมซุกซนอยู่สามส่วน ทำให้หัวใจเขากระตุกวูบหนึ่งด้วยความว้าวุ่นลนลานอยู่บ้าง “นั่นสิๆ!” เขายิ้มอย่างเก้อกระดาก

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วนึกเสียใจทีหลัง

เรื่องน่าอายเยี่ยงนี้ นางกลับกล่าวออกมาอย่างคะนองปาก ว่ามิได้ที่จ้าวหลิงไม่รู้จะเอ่ยตอบเช่นไรดี

นางแสนจะละอายใจ เดินคอตกออกไปข้างนอก “เช่นนั้นข้าออกไปก่อน ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านเก้าล้างหน้าบ้วนปากแล้วรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเถอะ”

เห็นหญิงสาวทำหน้าม่อยๆ จ้าวหลิงก็ส่งเสียงเรียกไว้ด้วยความร้อนใจ “แม่นางฟู่”

นางหันหน้าไปมองเขาอย่างงุนงงไม่เข้าใจ ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้างสุกใสดุจธารน้ำละม้ายเห็นเงาของเขาสะท้อนอยู่ในนั้น ทำให้ในหัวของจ้าวหลิงซึ่งเดิมทียังไม่ได้คิดดีๆ ว่าสมควรพูดอะไรยิ่งสับสนยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ เขานึกหาคำพูดส่งเดช “ถ้าท่านไม่อยากทำอาหาร ข้าจะพูดกับโม่อี้เอง” แต่เขายังกล่าวไม่ทันจบก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าไม่เหมาะ ราวกับว่านางเคยพูดบ่นเรื่องเหล่านี้กับเขามาก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วตลอดทางที่ผ่านมา ไม่ว่าพบกับเรื่องใด นางไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดออกมาแม้แต่น้อย ส่งผลให้เขาอธิบายด้วยสุ้มเสียงร้อนรนน้อยๆ “ความหมายของข้าคือ ระหว่างที่อาเซินไม่อยู่หลายวันนี้ พวกเรากินง่ายๆ ก็พอ ท่านไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากอย่างนั้นเพื่อทำแป้งย่าง…”

เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฟู่ถิงจวินคับใจพอดู “ข้ารู้…โม่อี้นั่นก็ช่างกินจุเหลือเกิน…ข้าทำแป้งย่างสิบแผ่น เขาคนเดียวกินไปแปดแผ่นแล้วยังไม่พอ จะให้ข้าทำอีกสิบแผ่น…ตอนแรกข้าตั้งใจจะปล่อยให้โม่อี้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปคนเดียว…” นางพูดแล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง “พวกข้าสามารถกินอะไรง่ายๆ ได้ แต่ท่านยังมีบาดแผลอยู่ จะอย่างไรก็กินตามมีตามเกิดไม่ได้กระมัง”

จ้าวหลิงหวนนึกถึงที่นางบังคับให้โม่อี้ออกไปหาไข่ไก่

‘แป้งย่างต้องใส่ไข่เท่านั้น ไม่ใส่ไข่แล้วจะทำอย่างไร!’

ผลสุดท้ายไข่ไก่สามฟอง สองฟองถูกนางเอาไปทำเป็นแกงจืดไข่น้ำให้เขา…

ส่วนลึกในใจเขาพลันบังเกิดอารมณ์ที่ไม่เคยคุ้นอย่างหนึ่งขึ้นเสมือนดั่งน้ำที่กระเพื่อมออกไปเป็นระลอกๆ พอชั่วอึดใจต่อมาดูเหมือนมันกำลังเอ่อท้นตรงกลางอก ทำให้เขาหวั่นหวาดระคนงงงันจนพูดไม่ออก

ภายในห้องเงียบงัน

ไม่ได้ยินคำตอบ ฟู่ถิงจวินอดประหลาดใจมิได้ ครั้นนางได้ตรึกตรองอย่างละเอียดแล้วก็หน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก

ไฉนนางเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างสนิทสนมว่า ‘พวกข้าสามารถกินอะไรง่ายๆ ได้ แต่ท่านยังมีบาดแผลอยู่ จะอย่างไรก็กินตามมีตามเกิดไม่ได้กระมัง!’ อย่างนี้ออกจากปาก มิน่าจ้าวหลิงไม่รู้ว่าจะกล่าวตอบเช่นไร

วิญญูชนพึงระวังปากคำทว่าการกระทำต้องว่องไว’ หญิงสาวบอกเตือนตนเองในใจไม่หยุด พูดมากผิดมาก…จะทำผิดพลาดซ้ำสองอีกไม่ได้’ 

บทที่สิบสอง

 เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลอยสูง ตรงขอบฟ้าปรากฏริ้วเมฆสีแดงเพลิง แสงแดดเจิดจ้าร้อนระอุส่องสว่างไปทั่วทุกซอกมุม

จ้าวหลิงเอนพิงหัวเตียงโดยมีห่อผ้าหนุนหลังอยู่ อ่าน ‘พันบทกวี’* เล่มหนึ่งที่ฟู่ถิงจวินเสาะหามาจากที่ใดก็สุดรู้ ขณะที่นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมด้านนอกพลิกเปิด ’อรรถาธิบายสี่ตำรา‘ อยู่ ด้านโม่อี้ฝืกปรือเพลงมวยอยู่ลานด้านหลัง มีเสียงตะโกนคึกคักฮึกเหิมดังแว่วมาเป็นระยะ ทำให้รอบด้านเงียบสงบยิ่งขึ้น

ตั้งชื่ออะไรดีนะ

กัง (แข็งแกร่ง) อี้ (เด็ดเดี่ยว) มู่ (ซื่อสัตย์) เน่อ (สำรวม)** เปรียบได้ผู้ทรงธรรม

เลือกคำหนึ่งในถ้อยความนี้มาตั้งชื่อ…แต่เด็กคนนั้นเกิดในครอบครัวสามัญต่ำต้อย คำพวกนี้สละสลวยเกินไป ไม่ใคร่จะเหมาะ

วิญญูชนหนักแน่นไม่ยโส คนถ่อยยโสไม่หนักแน่น…คำว่า ‘ไท่***’ ยังมีความหมายว่าปลอดภัยด้วย คนเราหลังผ่านพ้นเภทภัยร้ายแรงมาได้ ย่อมปรารถนาเพียงสิ่งเดียวคือความสงบสุขปลอดภัย ชื่อนี้ไม่เลว!

ขณะที่ฟู่ถิงจวินครุ่นคิดอยู่ รู้สึกอยู่ไม่วายว่าคลับคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งแต่ก็ไม่เชิง กำลังจับจ้องอยู่ที่ตัวนางอย่างค้นหาอยู่บ้าง พอนางเงยหน้าขึ้น สายตาคู่นั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ในห้องนี้มีแค่นางกับจ้าวหลิง

นางมองไปทางเขา

จ้าวหลิงนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่เดิม

ใบหน้าซูบผอมเยือกเย็นดุจแสงจันทร์สาดส่องลานเรือน แฝงรอยสงบมั่นคงดั่งขุนเขาไม่สั่นคลอน

ฟู่ถิงจวินกระดากใจเล็กน้อย

น่าจะมิใช่เขากระมัง ดูท่าทางเขาไม่คล้ายคนชอบแอบดู!

ยิ่งกว่านั้นเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบดูนางด้วยเล่า

พอฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงคิดถึงคำพูดเมื่อคืนพวกนั้นแล้วเตือนตนว่า…ไม่ทำอะไรตามความรู้สึก ต้องคิดทบทวนก่อนทำการใด หาไม่แล้วยังจะสร้างเรื่องขบขันขึ้นอีก…สายตาค้นหานั่นก็กลับมาอีกทันควัน

ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นอีกครา

ในห้องเงียบเชียบ มีเพียงเสียงจ้าวหลิงพลิกหน้าหนังสือดังสวบสาบ

หญิงสาวงุนงงไปชั่วขณะ

“มีอะไรหรือ” จ้าวหลิงพลันมองมา ดวงตาเขากระจ่างแจ่มใสทอแววอ่อนโยนดั่งแสงเดือนสว่างไสว

ฟู่ถิงจวินอดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ตนเองสงสัยเขาเมื่อครู่นี้…

“ข้ารู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองข้าอยู่” นางเอ่ยเสียงอุบอิบ “แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร…”

“เป็นอย่างนั้นหรือ” จ้าวหลิงวางหนังสือลงด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ใบหน้าคล้ายจะฉาบด้วยความเคร่งขรึม “ข้าลุกไปดูเอง” เขาพูดช้าๆ ด้วยสุ้มเสียงเนิบนาบกว่าปกติ จากนั้นยันตัวขึ้นตั้งท่าจะลงจากเตียง

“บางทีอาจเป็นข้าช่างระแวงไปเอง ท่านก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้เจ้าเด็กวายร้ายนั่นมาขโมยอาหารอีกแล้ว!” ฟู่ถิงจวินรีบทัดทานเขา “อีกอย่างหนึ่ง ข้างล่างยังมีโม่อี้อยู่ทั้งคน”

ถ้ามีใครที่ไหนเข้ามาจริงๆ แล้วแม้กระทั่งโม่อี้ยังสกัดไม่อยู่ จ้าวหลิงซึ่งบาดเจ็บอยู่ก็ยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าสายตาคู่นั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรต่อตนเอง แล้วไยต้องก่อปัญหาเพิ่มขึ้น บางครั้งจ้าวหลิงก็เจ้าอารมณ์อยู่เหมือนกัน

ทว่าถ้อยคำพรรค์นี้จะพูดกับเขาไม่ได้ ประเดี๋ยวจะเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของเขา

“อืม” จ้าวหลิงขานรับคำหนึ่งแล้วมิได้ดึงดันต่อไป

ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจเฮือก รินน้ำเย็นให้เขาถ้วยหนึ่ง “ท่านอ่านหนังสือมานานขนาดนี้ จะพักสักครู่หรือไม่”

เขาดื่มน้ำแล้วยื่นชามคืนให้ “ก็ดี! ข้าเอนตัวนอนสักครู่เถอะ”

นางประคองเขานอนลง

เขาถามนาง “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้ใจลอยอย่างนั้น”

ใจลอยมากหรือ? ฟู่ถิงจวินถามตนเอง

ตัวนางกลับไม่รู้สึกเช่นนี้

“ท่านเก้ายังจำเจิ้งซานเหนียงผู้นั้นได้หรือไม่” นางปิดหนังสือแล้ววางลงข้างหมอนของจ้าวหลิง จากนั้นนั่งลงบนม้านั่งตรงหัวเตียง “สตรีคนที่ข้ามอบหมั่นโถวสองลูกให้อย่างไรล่ะ เมื่อวานตอนบ่าย นางอุ้มลูกมาอีกแล้วบอกว่าสามีของนางอยากให้ข้าตั้งชื่อให้เด็ก เขาจะได้จดจำไปชั่วชีวิตว่าผู้ใดช่วยชีวิตเขาไว้…” นางเล่าต้นสายปลายเหตุไปยืดยาว “…ข้าพลิกหนังสืออยู่พักใหญ่ก็ยังหาชื่อที่เหมาะเจาะไม่ได้สักชื่อหนึ่ง ท่านว่าชื่อเจิ้งไท่เป็นอย่างไร” นางขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง

ชื่อจะติดตัวคนเราไปทั้งชีวิต นางถึงลังเลตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ได้

จ้าวหลิงขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คำว่า ‘ไท่’ ไม่ใคร่จะดี แม้มันจะมีความหมายว่าปลอดภัย แต่ใน “โจวอี้”* ยังมีนัยถึง ‘สภาวะเกิดดับ’ ข้าว่าเปลี่ยนเป็นคำอื่นดีกว่า” เขาพูดเป็นเชิงรำพึง “…ตั้งชื่อว่าหลินชุนเป็นอย่างไร” เขาเอ่ยพลางทอดสายตามองไปที่ฟู่ถิงจวิน “เภทภัยทุกข์ยากผ่านพ้นไป ทุกคนต่างมุ่งหวังเพียงความปลอดภัยราบรื่นเท่านั้น ท่านช่วยเด็กคนนี้ที่หลินชุน ชุนคือฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นฤดูแรกในสี่ฤดูกาล มีความหมายว่าเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต ข้าว่าชื่อนี้ดีที่สุดแล้ว!”

เขารู้จัก ’โจวอี้‘ ด้วยหรือนี่…

ฟู่ถิงจวินยิ่งอ่านชายหนุ่มไม่ออก

จ้าวหลิงเห็นนัยน์ตาสุกใสเป็นสีดำขาวตัดกันชัดของนางมองตนเองอย่างใคร่รู้ ก็เอ่ยขึ้นอย่างละล้าละลังเล็กน้อย “ตอนข้ายังเล็กๆ มารดาข้าตั้งความหวังไว้ที่ตัวข้ามาก สามขวบจึงเริ่มเล่าเรียน ต่อมาพอฐานะตกต่ำลงก็ไม่มีกำลังส่งเสียอีก…เอาเป็นว่าแต่ละเรื่องข้าพอรู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น”

ฟู่ถิงจวินนึกถึงที่เขาเคยบอกว่าหัดเขียนอ่านกับมารดาตั้งแต่เยาว์วัย

“มารดาท่านจะต้องเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศเป็นแน่”

แววอ่อนโยนบนใบหน้าจ้าวหลิงค่อยๆ เลือนหายไป สีหน้าสีตาเผยรอยกระด้างเย็นชา เขาไม่พูดไม่จาอยู่นาน

บรรยากาศตึงเครียดไปในชั่วพริบตา

ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองกล่าวถ้อยคำที่ไม่สมควรกล่าวเสียแล้ว

“ชื่อหลินชุนนี้ไม่เลว” นางคลี่ยิ้มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา หมายทำให้บรรยากาศดีขึ้นดังเดิม “หลินชุน…หลินชุนหมายถึงวสันตฤดูมาเยือน พวกเรารอดชีวิตอีกครั้งในตำบลนี้เช่นกัน เป็นชื่อที่ดี!”

จ้าวหลิงได้ยินแล้วส่งยิ้มให้นาง สีหน้าละมุนลงดังเดิมดุจน้ำแข็งละลาย

ฟู่ถิงจวินโล่งอก

มีคนวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดมา

เสียงของโม่อี้ดังมาจากชั้นล่าง “น้องจ้าวๆ!”

ฟู่ถิงจวินลุกขึ้นไปเปิดประตู

ในมือโม่อี้ถือเขียงทรงสี่เหลี่ยมยาวสองเชียะซึ่งฟู่ถิงจวินใช้คลึงแป้งเมื่อวานนี้ ยังมีเศษแท่งไม้อีกหลายชิ้น

“อากาศบัดซบนี่ร้อนเจียนคลั่งตายอยู่แล้ว” เขาก้าวปราดๆ เข้ามาแล้ววางเขียงลงบนโต๊ะ “ข้าทำหมากรุกชุดหนึ่ง พวกเรามาเดินหมากกันเถอะ!”

บนเศษแท่งไม้ใช้ถ่านเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ปืนใหญ่’ บ้าง ‘เบี้ย’ บ้าง

จ้าวหลิงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น “หรือไม่ข้าลงไปข้างล่างดวลกับพี่โม่สักสองกระดานเถอะ”

โม่อี้รู้ว่าอีกฝ่ายกลัวว่าข้างล่างไม่มีใครอยู่ จะมีคนเข้ามาขโมยอาหารในห้องครัว

“ท่านวางใจได้ ย่อมมีคนช่วยพวกเราเฝ้าประตูแน่นอน” โม่อี้หัวเราะลั่นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มเปี่ยม เขากล่าวขึ้นโดยไม่รอให้จ้าวหลิงซักไซ้ “ข้ารับปากเจ้าเด็กวายร้ายที่มาขโมยของกินว่าจะให้หมั่นโถวเขาวันละสิบลูก เขาตอบตกลงช่วยเฝ้าประตูให้พวกเราทันที”

“หมั่นโถวสิบลูก?” อาหารเย็นเมื่อวานนี้กับอาหารเช้าวันนี้ล้วนเป็นฟู่ถิงจวินทำ นางเอ่ยอดขึ้นไม่ได้ “ผู้ช่วยโม่ได้หมั่นโถวมาจากที่ใด”

“รอท่านทำนะสิ!” โม่อี้เบิ่งตาโต “เรื่องเข้าครัวทำอาหารนี้มิใช่เรื่องของสตรีเช่นพวกท่านหรือ”

แม้จะเป็นเช่นนี้จริง แต่พอโม่อี้ทำท่าทำทางว่ามันย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจฟู่ถิงจวินไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อย

ท่าทีของหญิงสาวตกอยู่ในสายตาจ้าวหลิง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชื่อแน่ว่าพี่โม่คงไม่ตระหนี่ที่จะให้หมั่นโถวเพิ่มอีกสองลูกกระมัง”

โม่อี้ประหลาดใจน้อยๆ

จ้าวหลิงพูด “ท่านยังจำสตรีที่อุ้มลูกนางนั้นได้กระมัง ข้าว่าจ้างนางมาทำอาหารก็แล้วกัน!”

ตอนแรกโม่อี้อึ้งไป จากนั้นหัวร่อเสียงดังพลางแลมองฟู่ถิงจวินด้วยสีหน้าเย้าหยอก เสียงหัวเราะของเขาทำให้นางอายจนพานโกรธ แม้แต่จ้าวหลิงยังพลอยฟ้าพลอยฝนถูกนางถลึงตาใส่หลายทีติดกัน

จ้าวหลิงเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นมองไม่เห็น แต่แล้วเขากลับอุทานขึ้นพร้อมกับชี้ไปนอกหน้าต่าง “เอ๊ะ พี่โม่ท่านดูสิ!”

โม่อี้ได้ยินจึงวิ่งพรวดเดียวมาถึงริมหน้าต่าง วางมือบนบ่าจ้าวหลิง “มีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน มีทั้งเด็กเล็กคนชรา ยังมีสตรีสี่คนกับเด็กสองคน…” เขาพูดแล้วกระโดดลงไปที่ถนนด้านล่าง “ข้าไปดูเอง ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา!” เขาตะโกนบอกจ้าวหลิง ก่อนจะลับร่างไปบนถนนอย่างว่องไว

ฟู่ถิงจวินสาวเท้าฉับๆ เข้ามา มองเห็นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาตามถนนหลวง แต่เป็นแค่เงาร่างเล็กใหญ่อยู่ไกลๆ ไหนเลยจะแยกแยะออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เป็นเด็กหรือคนชรา

“โม่อี้ผู้นี้มีสายตาดีไม่น้อย” ถ้อยคำของโม่อี้ยังดังวนเวียนอยู่ริมหูฟู่ถิงจวิน ทำให้นางมีสีหน้ากระดากอายอยู่บ้าง

“อืม” จ้าวหลิงขานรับเบาๆ เพ่งสายตามองไปทางถนนหลวง สีหน้าแลดูเคร่งเครียดมาก

ฟู่ถิงจวินยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่กล้าพูดมาก นางหาได้สังเกตเห็นไม่ว่าระหว่างนั้นจ้าวหลิงชำเลืองมองนางแวบหนึ่งอย่างฉับไว

ไม่นานนักโม่อี้ก็ย้อนกลับมาแล้ว “ไม่มีอะไรๆ พวกเขามาจากคูเก้าลี้ บอกว่าดูเหมือนทางนั้นจะมีคนติดโรคระบาด พวกเขาทั้งหมู่บ้านจึงรวมกลุ่มกันเดินทางลงใต้ ตั้งใจจะบ่ายหน้าไปที่หูกว่าง ก็เลยผ่านมาทางตำบลหลินชุน” เขาชักชวนจ้าวหลิงอีก “มาๆๆ พวกเราเดินหมากรุกกัน!”

 

คนกลุ่มนั้นไม่ได้แค่หยุดพักในตำบลหลินชุนอย่างที่โม่อี้ว่าไว้ หากแต่ปักหลักพำนักอยู่ที่นี่เลย ไม่เพียงเท่านี้ยังถือตนว่ามีพวกมากย่อมได้เปรียบ ให้ชายฉกรรจ์ที่ถนัดเรื่องต่อยตีสองสามคนยึดครองร้านค้าสามแห่งตรงหัวถนนไป

ยามที่เจิ้งซานเหนียงเล่าเรื่องนี้ให้ฟู่ถิงจวินฟัง นางดูกังวลใจมาก “ลานด้านหลังเรือนหลังนั้นมีบ่อน้ำที่ยังตักน้ำขึ้นมาได้ คนที่นี่ล้วนอาศัยดื่มน้ำจากบ่อนั้น พอถึงเวลาจะต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นแน่เจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินมิได้เป็นห่วงเรื่องนี้

มีโม่อี้ทั้งคน เรื่องนี้น่าจะสะสางได้ไม่ยากเย็น

นางเป็นห่วงเรื่องเจิ้งซาน “เจ้ามิได้บอกกล่าวกับเขาหรือว่าเจ้ามาทำอาหารให้พวกข้า จะได้หมั่นโถววันละสองลูก บอกให้เขาอย่ากินดินขาวอะไรนั่นอีกเลย”

“บอกแล้วเจ้าค่ะ!” เจิ้งซานเหนียงก้มหน้าลงด้วยความอับอาย “เขาบอกว่าพวกท่านมีความสามารถขนาดนี้ คงหยุดพักในหลินชุนแค่ชั่วคราว รอเมื่อพวกท่านจากไป พวกข้าก็จะขัดสนอาหารดังเก่า ฉะนั้นหมั่นโถวพวกนี้ต้องเก็บเอาไว้ให้ข้ากับหลินชุนกินเจ้าค่ะ”

เจิ้งซานเหนียงชมชอบชื่อที่จ้าวหลิงตั้งให้ลูกของนางมาก มักอุ้มเขาและเรียก ‘หลินชุนๆ’ ไม่ขาดปาก นางยังบอกอีกว่าเจิ้งซานก็เห็นว่าชื่อนี้มีความหมายเข้าใจได้ง่าย

ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ โม่อี้เดินเข้ามา

เห็นเจิ้งซานเหนียงอุ้มลูกจุดไฟอยู่หน้าเตา ขณะที่ฟู่ถิงจวินเอาผ้าโพกศีรษะทำแป้งย่าง เขาทำหน้าบึ้ง “ถ้าสตรีผู้นี้ทำอาหารไม่เป็น เจ้าก็หาอีกสักคน ให้หมั่นโถวสองลูก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนเต็มใจมา”

เดิมทีเจิ้งซานเหนียงเห็นเขาก็กลัวลนลาน ครั้นเขากล่าวเช่นนี้อีกก็ตกใจจนหน้าซีด สั่นเทาไปทั้งร่างจนลุกไม่ขึ้นอยู่เป็นนาน

“เรื่องทำครัวนี้ผู้ช่วยโม่อย่ามายุ่งวุ่นวายเลย” ฟู่ถิงจวินส่งสายตาให้นางอย่างเชื่อมั่นในตนเองเต็มเปี่ยม เป็นเชิงบอกนางว่าไม่ต้องตระหนกตกใจ จากนั้นมองโม่อี้พลางเอ่ย “ผู้ช่วยโม่เพียงบอกพวกข้ามาก็พอว่าวันนี้อยากกินอะไร”

ธรรมเนียมในตระกูลใหญ่ เรื่องภายในเรือนล้วนให้สตรีแม่เรือนเป็นผู้ตัดสินใจ

โม่อี้จนถ้อยคำไปทันใด เขาขยับปากพะงาบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเดินออกไปโดยไม่ปริปากสักคำ

“คุณหนูเก่งกาจมากเจ้าค่ะ!” เวลานี้เจิ้งซานเหนียงถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ นางแลมองฟู่ถิงจวินอย่างเลื่อมใสเต็มเปี่ยม

ดูท่าทางชาติตระกูลของโม่อี้ผู้นี้มิได้ต่ำต้อยสักเท่าไหร่!

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึง นางฉวยจังหวะตอนดูแลจ้าวหลิงกินยาเอ่ยเตือนเขา

“อืม” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่ง ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจอะไร แต่กลับเอ่ยขึ้น “ท่านว่าเมื่อก่อนเจิ้งซานเป็นผู้คุ้มภัยหรือ เช่นนั้นท่านให้เจิ้งซานเหนียงถามไถ่เขาดูว่าอยากรับงานหรือไม่”

“งาน?” ฟู่ถิงจวินกล่าวอย่างหลากใจ “งานอะไรหรือ”

จ้าวหลิงกล่าว “โม่อี้บอกว่าในเรือนเหลือน้ำไม่มากแล้ว ต้องคิดวิธีหามาเพิ่มสักหน่อย แต่เวลาที่เขาออกไป ในเรือนต้องมีคนช่วยอยู่เฝ้าจึงจะดี ในเมื่อเจิ้งซานเคยเป็นผู้คุ้มภัย ท่านก็ฝากเจิ้งซานเหนียงไปบอกเขาว่า หมั่นโถวห้าลูกต่อวัน หากเขาเต็มใจ พรุ่งนี้เช้าก็มาพบโม่อี้”

เจิ้งซานเหนียงย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา

วันต่อมา เจิ้งซานมาหาแต่เช้าตรู่

เขาดูท่าทางมีอายุราวสามสิบสองสามสิบสามปี เรือนกายสันทัด รูปหน้ายาวเป็นสันเป็นเหลี่ยม เรียวปากค่อนข้างหนา ดูเป็นคนเรียบง่ายซื่อสัตย์

ไม่ว่าอย่างไรฟู่ถิงจวินก็นึกภาพไม่ออกว่าคนตรงหน้าผู้นี้กับบุรุษที่เอ็ดตะโรเสียงดังใส่ภรรยาในวันนั้นเป็นคนคนเดียวกัน

โม่อี้ซักถามเขาสองสามคำแล้วพึงพอใจมาก มอบค่าตอบแทนเป็นหมั่นโถวห้าลูกให้ล่วงหน้า และสั่งกำชับเขาไม่กี่คำ จากนั้นหยิบพลองมาอันหนึ่งแล้วเดินออกนอกประตูไป

เจิ้งซานให้เจิ้งซานเหนียงอุ้มลูกขึ้นไปข้างบนพักผ่อนเป็นเพื่อนฟู่ถิงจวิน ส่วนเขาปิดประตูหลังแล้วเฝ้าอยู่ตรงเชิงบันได

ไม่ถึงชั่วครู่ ทางฟากหัวถนนบังเกิดความโกลาหลขึ้น

เจิ้งซานเหนียงมีสีหน้าตื่นกลัว

ฟู่ถิงจวินอยากเปิดหน้าต่างมองออกไป กลับถูกจ้าวหลิงห้ามปรามไว้ “รอดูผลก็พอ” ท่าทางเขาไม่เป็นกังวลใดๆ

ความเยือกเย็นของเขาส่งผลให้หญิงสาวสงบใจลง นางพาเจิ้งซานเหนียงแม่ลูกไปยังห้องนอนของตนเองแล้วหยอกล้อกับหลินชุน

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม โม่อี้กลับมาแล้ว

เขาอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับย่นผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่สีหน้าสีตากลับเบิกบานมาก ถึงขั้นแฝงไว้ด้วยความยิ้มย่องลำพองใจรางๆ “ถูกข้าจัดการหมดแล้ว วันหลังพวกเราอยากไปตักน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ” กล่าวจบเขาตบบ่าเจิ้งซาน “เจ้าก็ทำได้ไม่เลว รู้ตัวมีกำลังคนเดียว มีคนบุกเข้ามาเจ้าจะป้องกันได้ไม่ทั่วถึง เลยให้ทุกคนไปอยู่รวมกันชั้นบน ส่วนตัวเองเฝ้าอยู่ตรงบันได ดังคำกล่าวว่า หนึ่งคนเฝ้าปากด่าน หมื่นคนฝ่าผ่านมิได้…” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแกมชมเชย “เจ้าสนใจจะรับงานจากพวกเราต่อไปหรือไม่”

เจิ้งซานเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้ช่วยโม่โปรดกำชับมาได้เลยขอรับ!”

โม่อี้พยักหน้าแล้วกล่าวยิ้มๆ “เจ้าช่วยหาบน้ำจากหัวถนนมาให้พวกเราวันละสี่ถัง ค่าตอบแทนเป็นหมั่นโถวสองลูก”

เจิ้งซานตอบรับทันควัน

ฟู่ถิงจวินจึงมีน้ำสำหรับอาบน้ำและซักผ้าด้วยเหตุฉะนี้

เจิ้งซานเหนียงยังมาช่วยงานทุกวัน

ไม่กี่วันผ่านไป พวกเฉินลิ่วก็เข็นรถเข็นไม้บรรทุกสิ่งของกลับมาเต็มคัน

“ท่านเก้าๆ!” อาเซินแบกห่อสัมภาระใบเขื่องบนหลัง วิ่งตะโกนเรียกเสียงดังโหวกเหวกขึ้นมาชั้นบน “ช้ากลับมาแล้วๆ!” คนเร่ร่อนในละแวกใกล้ๆ ล้วนแตกตื่นตกใจไปตามๆ กัน

เขาวางห่อสัมภาระลงแล้วโขกศีรษะให้จ้าวหลิงหลายที

“ท่านเก้า ข้าจัดการเรื่องที่ท่านสั่งกำชับไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเงยหน้ามองจ้าวหลิง ขอบตาแดงเรื่อ “ท่านเก้า ท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง” สีหน้าเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

“รีบลุกขึ้นเถอะ” จ้าวหลิงซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ลูบศีรษะเขา “ข้าดีขึ้นมากแล้ว แล้วเจ้าเล่ากินข้าวหรือยัง” เสียงของเขาอ่อนโยนมาก

“กินแล้วๆ” อาเซินยิ้มพลางตะกายลุกขึ้นพูด “พวกเรากินเสบียงแห้งระหว่างทาง ท่านเก้า ข้าดูหน้าตาท่านสดชื่นกว่าตอนข้าไปไม่น้อย!” พอเห็นฟู่ถิงจวิน เขาค้อมกายคารวะอย่างร่าเริงด้วยความดีอกดีใจเหลือแสน “แม่นางฟู่”

“เจ้ากลับมาได้สักที” ฟู่ถิงจวินมองสำรวจอาเซินด้วยรอยยิ้มละไม เห็นไม่ต่างจากตอนขาไปก็คลายใจลงได้

อาเซินวิ่งไปด้านข้างแก้ห่อสัมภาระที่เขานำกลับมาเปิดออก หยิบพัดผ้าไหมกลมด้ามไม้ไผ่ปักลายดอกกล้วยไม้ยื่นส่งให้ “แม่นางฟู่ นี่เป็นของที่ท่านเก้ากำชับให้ข้าซื้อให้ท่าน ยังมีอาภรณ์อีกสองสามชุด…” เขากล่าวพร้อมกับยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้อีกห่อหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินประหลาดใจมาก

“ข้าเห็นท่านใช้พัดใบลานไม่ถนัด อาเซินไปเมืองซีอานหนนี้เลยให้เขาหาพัดกลมกลับมาด้ามหนึ่ง” จ้าวหลิงเอ่ยเสียงเรียบๆ “ยังกำชับให้เขาซื้ออาภรณ์ให้พวกเราสองสามชุด” เขายังพูดเป็นเชิงอธิบาย “ดังคำกล่าวว่าคนเราอาศัยเสื้อผ้า อาชาอาศัยเครื่องเทียม พวกเราจะกลับไปเมืองซีอาน ต้องมีอาภรณ์ดีๆ สองสามชุดสวมใส่ จะได้ไม่ถูกพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเหยียดหยามว่าพวกเราต่ำต้อยด้อยกว่า แล้วจะสร้างความลำบากใจให้”

“อ้อ!” ฟู่ถิงจวินถือพัดกลมไว้ รู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผะผ่าว ไม่รู้จะพูดอะไรดี

อาเซินกลับมิได้สังเกตเห็น เขาเล่าสิ่งที่ได้พบได้เห็นตลอดทางไปเมืองซีอานให้จ้าวหลิงฟังด้วยสีหน้าเริงร่าคึกคัก “พี่เฉินลิ่วกับพี่เสี่ยวอู่ดูแลข้าดีมาก พวกเขายังพาข้าไปกินข้าวในร้านชื่อดังที่สุดของเมืองซีอานด้วย…”

จ้าวหลิงชำเลืองเห็นฟู่ถิงจวินยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างไม่พูดไม่จา เอาแต่ใช้นิ้วมือขาวนวลเนียนถูไถกับด้ามพัดสีเหลืองแก่เบาๆ ในดวงตามีแววยิ้มๆ จุดวาบขึ้นแทบสังเกตไม่เห็น เขาพูดปรามอาเซินเสียงเบา “เอาล่ะๆ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนพวกเรากินอาหารเย็น”

อาเซินฉีกยิ้มกว้างพลางขานรับอย่างเข้าใจ เขาลงไปข้างล่างหาพวกโม่อี้กับเฉินลิ่วแล้วขนย้ายสิ่งของบนรถเข็นไม้ไปวางไว้ในห้องเล็กที่ติดกัน

ตกเย็น ฟู่ถิงจวินทำกับข้าวเจ็ดแปดอย่าง เช่นเนื้อย่างผัดต้นหอมไฟแดง พริกหยวกผัดไข่ ไก่ตุ๋นเห็ดหอม และอื่นๆ นางคีบอาหารอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วให้อาเซินเอาไปให้เจิ้งซานกับภรรยา ส่วนนางยกอาหารของจ้าวหลิงขึ้นไปข้างบน หลังอาหารยังชงชาขึ้นไปให้อีกด้วย

อาเซินกำลังนั่งพูดอยู่ด้านข้างชายหนุ่ม “พวกเขาจ่ายสามสิบตำลึงเงินเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมือง แล้วนั่งกระเช้าชักรอกเข้าไปในเมืองตอนมืดสนิท นอกจากพวกเราแล้วยังมีอีกสองสามคนก็เข้าเมืองแบบนี้…

“…เข้าเมืองแล้ว เฉินลิ่วจะส่งข้าไปที่บ้าน ‘ญาติ’ ข้าก็เลยพาพวกเขาไปยังเรือนที่ภายนอกดูไม่เลวสักหลังหนึ่งแล้วเคาะประตู…เพียงบอกว่าที่อยู่ซึ่งนายท่านกับนายหญิงบอกไว้คือที่นั่น หลังจากนั้นพวกเขาพาข้าไปเดินซื้อหาข้าวของ ข้าฉวยจังหวะนี้ทิ้งสัญลักษณ์ลับให้พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่า แล้วก็ซื้อรองเท้าถุงเท้ากับเสื้อผ้ากลับมาตามที่ท่านกำชับไว้ด้วย…

“…ตอนกลับมา พวกเราออกจากประตูหย่งหนิงทางทิศใต้ ให้เงินเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองสองสามตำลึงเงินก็ไม่ถูกซักถามตรวจค้นอย่างละเอียด พอเดินมาได้หนึ่งลี้กว่า พบเข้ากับขบวนพ่อค้าที่จะมาตำบลหลินชุน เฉินลิ่วจ่ายค่าจ้างให้สิบตำลึงเงิน พวกเขาถึงตอบตกลงพาพวกเรามาที่นี่”

ชั้นล่าง โม่อี้กำลังถามเฉินลิ่ว “เจ้าเด็กนั่นทำอะไรบ้าง”

เฉินลิ่วกล่าว “เขาอยู่กับพวกข้าตลอด พวกข้าพาเขาไปส่งที่บ้านญาติ พอเคาะประตูเข้าไป คนในเรือนหลังนั้นบอกว่าพวกเขาย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อสามสิบปีก่อน ไม่เคยรู้จักญาติคนที่อาเซินพูดถึงอะไรนั่น ต่อมาเขาไปซื้อของกับพวกข้านอกจากซื้อพัดกลมด้ามหนึ่งให้แม่นางฟู่ ยังซื้ออาภรณ์ทำจากแพรพรรณเนื้อดีหลายชุดให้นางกับจ้าวหลิง หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับพวกข้าขอรับ”

โม่อี้ขมวดคิ้ว “มีเท่านี้?”

เฉินลิ่วพยักหน้า “มีเท่านี้ขอรับ”

โม่อี้มองเสี่ยวอู่

เสี่ยวอู่ก็เอ่ยขึ้น “นอกจากมองเห็นขนมที่ขายตามข้างถนนแล้วจ้องตาเป็นมัน ขอเหรียญอีแปะสองสามเหรียญจากพี่หกไปซื้อกินสองครั้ง เขาก็ติดตามพวกข้าอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวตลอดขอรับ”

ใบหน้าโม่อี้ฉายแววครุ่นคิด

นอกเรือนมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นหลายที ทั้งคล้ายแมวเผ่นข้ามกำแพงรั้ว ทั้งคล้ายสายลมโชยผ่าน

โม่อี้ลุกขึ้นยืนทันทีอย่างระแวดระวัง

ไม่ถึงชั่วครู่ มีเสียงต่อสู้กันดังมาจากชั้นล่าง

อาเซินเอ่ยอย่างลังเลใจ “จะลงไปช่วยพวกเขาหรือไม่”

“ไม่ต้อง!” จ้าวหลิงกล่าวยิ้มๆ “เขาเอาของกินมาเยอะแยะจะไม่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้อย่างไร ปล่อยให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าไปเถอะ” เขายังซักถามถึงขบวนพ่อค้ากลุ่มนั้นอย่างละเอียดลออ “มีทั้งหมดกี่คน หัวหน้าขบวนมีอายุเท่าไหร่ ตอนค้างแรมพวกเขาจัดการอย่างไรบ้าง”

อาเซินทบทวนความทรงจำเต็มที่

จ้าวหลิงยิ่งฟังยิ่งมีสีหน้าหนักอึ้ง

ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วในใจหวาดวิตกกระสับกระส่าย “มีอะไรรึ”

“ข้าสงสัยว่าเป็นคนของหน่วยทหารใดสักแห่ง” จ้าวหลิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง “ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เป็นชายฉกรรจ์อายุยี่สิบสามสิบปีทั้งหมด แล้วแต่ละคนก็กำยำแข็งแรง…”

เขายังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าด้วยความสำราญใจจากข้างล่าง “คิดจะแย่งชิงของของข้ารึ พวกเจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย ข้ากำลังอยู่ว่างๆ พอดี จะเล่นสนุกกับพวกเจ้าก็แล้วกัน”

อาเซินกับฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วอ้าปากค้าง ขณะที่จ้าวหลิงกลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

นับจากนั้นโม่อี้ก็ต่อสู้กับคนที่มาแย่งชิงบ้างขโมยของบ้างอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้กระทั่งเจิ้งซานเหนียงที่มาซักผ้าให้พวกเขาทุกวันยังพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“พวกนั้นนึกว่าข้าซุกซ่อนของกินไว้บนตัว” เจิ้งซานเหนียงหวนคิดขึ้นมาแล้วยังหวาดผวาไม่หาย “หากมิใช่สามีข้ามาถึงอย่างรวดเร็ว กลัวแต่ว่าข้ากับลูกคงจบชีวิตไปแล้ว”

“เจ้ากับเจิ้งซานย้ายมาพำนักที่นี่เถอะ” ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปมิใช่เรื่องดี “ถึงอย่างไรในสายตาคนพวกนั้น พวกเจ้ากับพวกข้าเป็นพวกพ้องเดียวกัน พักอยู่ริมถนนอันตรายเกินไป”

เจิ้งซานเหนียงลังเลใจอยู่นานพักใหญ่ สุดท้ายตอบตกลงว่าจะกลับไปพูดกับเจิ้งซาน

ตกดึกเจิ้งซานพาภรรยากับลูกชายเข้ามาพำนักอยู่ในลานเรือนเดียวกับพวกฟู่ถิงจวิน

ผ่านไปไม่กี่วัน เรือนหลังนี้ก็กลับคืนสู่ความสงบสุขดังเดิม หนำซ้ำคนเร่ร่อนซึ่งเดิมอาศัยอยู่บริเวณรอบๆ พากันย้ายออกไป โม่อี้ร้องบ่นว่าน่าเบื่อไม่หยุด ยามเจิ้งซานเหนียงเห็นเขายิ่งมีสีหน้าเกรงกลัวมากขึ้น มิไยว่าฟู่ถิงจวินจะพูดปลอบอย่างไรก็ไม่ใคร่จะได้ผลนัก

วันเวลาอันสุขสงบเช่นนี้ผ่านไปได้ไม่กี่วันก็มีคนมาปล้นชิงพวกเขาอีก

ด้านโม่อี้คึกคักกระฉับกระเฉง

ขณะที่เจิ้งซานกลับมาพบจ้าวหลิง

“ท่านจ้าว เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะขอรับ” สีหน้าเขามีรอยวิตกกังวลอยู่หลายส่วน “คนที่มาหยุดพักในหลินชุนมากขึ้นทุกทีๆ ต่อให้ผู้ช่วยโม่มีสามเศียรหกกรก็รับมือเช่นนี้ทุกวันไม่ไหว ยิ่งกว่านั้นในหมู่สามัญชนย่อมมีพยัคฆ์หมอบมังกรเร้น แม้นผู้ช่วยโม่มีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อพบกับยอดฝีมือที่แท้จริง หวั่นใจว่าอาจมิได้เป็นต่อเสมอไปนะขอรับ”

แววตาของจ้าวหลิงแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ ใบหน้าเรียบเฉยในทีแรกปึ่งชาขึ้นทันใด บรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลงตามไป มีกลิ่นอายเย็นเยียบอำมหิตแผ่ออกมาเพิ่มขึ้นระลอกหนึ่ง เป็นเหตุให้เจิ้งซานสะท้านเยือก สายตาที่มองจ้าวหลิงฉายแววหวั่นกลัวสงสัยในฉับพลัน

“พูดเช่นนี้ เจ้าสังเกตเห็นอะไรแล้วหรือ” เขากล่าวเนิบๆ แต่ทำให้เจิ้งซานตกประหม่าจนลำคอแห้งผาก

“ข้าน้อยมิได้สังเกตเห็นอะไรขอรับ” เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เปลี่ยนคำเรียกขานตัวเองต่อหน้าจ้าวหลิงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “เพียงแต่ตอนหนีภัยเคยเห็นกับตาว่าเพื่อหมั่นโถวไม่กี่ลูก มีคนเร่ร่อนถือกระบองหลายร้อยคนรุมตีมือหมัดชื่อดังในยุทธภพผู้หนึ่งจนตาย…”

แล้วพวกเขามีหมั่นโถวไม่กี่ลูกเท่านั้นหรือ

จ้าวหลิงเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าไปเชิญผู้ช่วยโม่ขึ้นมา ข้ามีเรื่องพูดกับเขา”

เจิ้งซานระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วไปเชิญโม่อี้อย่างว่องไว

“พวกข้าจะไปในราตรีนี้เลย” สีหน้าสีตาของจ้าวหลิงเย็นชาแกมเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่ยอมให้ผู้ใดทัดทานได้ “ข้าหวังว่าพี่โม่จะร่วมรุกร่วมถอยกับพวกเรา”

ความนัยที่แฝงอยู่คือถ้าโม่อี้ไม่ไป เขาก็จะพาฟู่ถิงจวินกับคนอื่นๆ ไปอยู่ดี

จ้าวหลิงที่เป็นเช่นนี้ทำให้โม่อี้ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งยวด…เขาอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้

จ้าวหลิงมองโม่อี้อย่างสงบนิ่ง แววตาคู่นั้นลึกล้ำยากเกินหยั่งทำให้ในใจเขาบังเกิดความกริ่งเกรงอยู่ลึกๆ จนไม่อยากปะทะกับอีกฝ่ายซึ่งหน้า

“ไม่รู้ว่าพี่จ้าวมีแผนการอะไรต่อไป” โม่อี้พูดช้าๆ น้ำเสียงสุขุมรอบคอบ ไม่หลงเหลือร่องรอยสัพยอกดังปกติ

“พวกเราไปที่เมืองซีอานกัน” จ้าวหลิงกล่าวอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยนิด “ที่นั่นเป็นเมืองหลัก มีเจี่ยนอ๋อง มีต่งฮั่นเหวิน ถ้ายังถูกคนตีแตกได้ เช่นนั้นเกรงว่าวันที่แผ่นดินวอดวายคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”

โม่อี้เย็นวาบตรงกลางอก

ทว่าสายตาที่แลมองจ้าวหลิงกลับเผยแววชมเชยออกมาอย่างไม่เก็บงำสักนิด “ตกลง พวกเราไปเมืองซีอานกัน!”

เมืองซีอานเป็นเมืองหลักของมณฑลส่านซี ทั้งยังเป็นเมืองหลวงเก่า มีกำแพงเมืองสูงตระหง่านและตึกรามบ้านช่องใหญ่โต จึงเป็นเมืองที่โอ่อ่าตระการตาผิดแผกจากที่อื่น

ฟู่ถิงจวินจับเชือกเส้นใหญ่ไว้แน่น แลเห็นเงาร่างของพวกโม่อี้ที่แหงนหน้ามองนางอยู่บนพื้นเล็กลงเรื่อยๆ

“คุณหนู ระวังด้วยเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงที่ขึ้นมาก่อนหน้ายื่นมือมาดึงนาง

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น มองเห็นจ้าวหลิงยืนอยู่ใต้หอคอยบนกำแพงเมือง

พระจันทร์สาดแสงอ่อนละมุนกระทบร่างสูงชะลูด ดวงหน้าซีกหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดของหอคอยสูงลิ่ว ซีกหนึ่งอยู่ใต้แสงเดือน ดูสงบนิ่งระคนโดดเดี่ยวอย่างไรชอบกล

เมื่อเห็นฟู่ถิงจวินมองมาทางตนเอง เขายกยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นแผ่ซ่านความอบอุ่นจางๆ ขับไล่กลิ่นอายวังเวงทั่วสรรพางค์กายเขาออกไป

อาเซินอุ้มหลินชุนเดินเข้ามา “แม่นาง ท่านไม่เป็นไรกระมังขอรับ”

“ไม่เป็นไร!” ฟู่ถิงจวินผลิยิ้มส่งให้เขาใต้แสงจันทร์ ดูงามผุดผาดเฉิดฉันละม้ายดอกถาน* เบ่งบานอย่างเงียบงัน

เจิ้งซานเหนียงอดพึมพำขึ้นไม่ได้ “คุณหนู ท่านช่างงามจริงๆ เจ้าค่ะ”

เจ้าหน้าที่เฝ้ายามด้านข้างรอด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้าเร็วเข้าหน่อย อย่ามัวอืดอาดยืดยาด ถ้าเกิดถูกหัวหน้าที่ลาดตระเวนผลัดดึกจับได้ พวกเราคงต้องจบชีวิตกันหมด”

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงรับลูกมาจากมืออาเซิน กล่าวขอขมาอย่างกลัวเกรง

 

เมื่อจ้าวหลิงตกลงใจออกจากตำบลหลินชุน ฟู่ถิงจวินอยากพาครอบครัวเจิ้งซานไปด้วยกัน “เพราะหาบน้ำซักผ้าให้พวกเรา ทำให้คนเร่ร่อนในหลินชุนเห็นพวกเขาทั้งครอบครัวเป็นคนของพวกเรา ถ้าพวกเราจากไปแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงมีแต่ตายสถานเดียว ข้ายังมีของมีค่าติดตัวอยู่บ้าง คงเพียงพอจะใช้ติดสินบนตอนพวกเราเข้าเมืองได้”

เจิ้งซานรู้เรื่องเข้าก็ตื้นตันใจเหลือจะกล่าว เขาขอบตาแดงเรื่อพาเจิ้งซานเหนียงมาตั้งท่าจะโขกศีรษะให้ฟู่ถิงจวิน

ฟู่ถิงจวินรีบรั้งตัวเจิ้งซานเหนียงไว้ “พูดไปแล้ว ล้วนเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไปด้วย”

“คุณหนูอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย หากมิใช่ท่าน พวกเราทั้งครอบครัวคงมีชีวิตอยู่ไม่รอดแล้ว” เจิ้งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ตัวข้าเองไร้ความสามารถอะไร มีก็แต่เรี่ยวแรงพละกำลัง แล้วสิ่งนี้ยังได้มาเพราะโชคดีที่คุณหนูมอบข้าวปลาอาหารให้กิน บุญคุณใหญ่หลวงของท่าน ชาตินี้พวกเราสองสามีภรรยาก็ทดแทนไม่หมด แต่ยังมีหลินชุนของพวกเรา ถ้าหลินชุนทดแทนไม่หมด ก็ยังมีลูกหลานของหลินชุน ขอแค่ท่านพูดมาคำเดียว ถึงบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดายชีวิต”

จ้าวหลิงมองดูอยู่ด้านข้างมีท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยกับเจิ้งซานระหว่างทาง “ถ้าพวกเจ้าไม่มีที่ไป มิสู้ติดตามคุณหนูฟู่เถอะ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ขอแค่นางมีข้าวกินหนึ่งคำ พวกเจ้าก็มีเช่นกัน”

เจิ้งซานไม่พูดพร่ำทำเพลง นับถือนางเป็นเจ้านายตรงกลางทางเลย

นี่มิใช่หว่านพืชหวังผลหรือไร

“ไม่ต้อง!” ฟู่ถิงจวินโบกไม้โบกมือไม่หยุด

จ้าวหลิงพูดกับเจิ้งซานโดยไม่สนใจนาง “รอเข้าไปในเมืองซีอานแล้ว ให้ผู้ช่วยโม่เป็นพยาน เจ้าเขียนสัญญามอบตนสักหน่อยเถอะ!”

ยังจะเอาสัญญาขายตัวของเขาอีกด้วยหรือนี่!

ฟู่ถิงจวินขยับปากจะคัดค้าน กลับมองเห็นจ้าวหลิงขึงตาใส่ ได้แต่กลืนถ้อยคำที่มารออยู่ปลายลิ้นกลับลงไป

เจิ้งซานตอบตกลงทันควัน

ตอนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่เฝ้ายามพวกนั้นโก่งราคาขูดรีด เรียกเอาเงินคนละสามสิบตำลึงเงิน กระทั่งหลินชุนก็นับเป็นหนึ่งคน ทั้งยังต้องจ่ายด้วยเงินแท่ง ทำให้โม่อี้โกรธจนเนื้อเต้นไม่หยุด

จ้าวหลิงล้วงปลาเหลืองใหญ่สามแท่งออกมาจากที่ใดก็สุดรู้ส่งให้เจ้าหน้าที่ เขาตาเป็นประกาย บอกให้เจ้าหน้าที่บนกำแพงเมืองหย่อนกระเช้าลงมาทันใด

เจิ้งซานเหนียงคิดถึงปลาเหลืองใหญ่ที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่เฝ้ายามแล้วในใจกระสับกระส่าย

ถ้าเกิดเป็นเพราะพวกนางทำให้พวกเขาเข้าเมืองไม่ได้ ถึงนางตายร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่สาสม

ไหนเลยนางจะกล้าพูดอะไรมาก ลุกลนไปยืนด้านข้างมองดูเจ้าหน้าที่พวกนั้นชักรอกดึงพวกโม่อี้ เจิ้งซาน เฉินลิ่ว และเสี่ยวอู่ขึ้นมาทีละคน

“ไปเถอะ!” ต่างจากเจิ้งซานและอาเซินที่นิ่งเงียบ พวกโม่อี้ เฉินลิ่ว กับเสี่ยวอู่ดูผ่อนคลายอย่างมาก “พวกเราเสาะหาที่สักแห่งรอฟ้าสางกันเถอะ ดึกดื่นป่านนี้ในเมืองห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล หากให้ยามลาดตระเวนพบเห็นเข้า จะเป็นเรื่องยุ่งเหมือนกัน”

ทุกคนไม่เปล่งเสียงพูด ก้าวเท้าตามโม่อี้ลงจากกำแพงเมืองตรงไปทางทิศตะวันตก มีหลายครั้งหลายหนเดินสวนกับยามลาดตระเวนเมือง ล้วนเป็นโม่อี้นำทางพวกเขาเลี่ยงหลบอย่างคล่องแคล่ว ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ข้างถนนสายหนึ่งที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูในยามบ้านเมืองวุ่นวาย “พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าไปดูว่าจะหาที่สักแห่งให้พวกเจ้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้หรือไม่ พวกเราในสภาพนี้ ตอนดึกยังพอทำเนา แต่พอถึงยามกลางวันจะเด่นสะดุดตามาก คนอื่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนเร่ร่อน เมืองซีอานในเวลานี้พอเห็นคนเร่ร่อนจะจับตัวส่งไปที่คูเก้าลี้ทั้งหมด”

คนทั้งกลุ่มพากันปิดปากเงียบรออยู่ที่เดิม ส่วนโม่อี้พาเฉินลิ่วไปละแวกใกล้ๆ

ฟู่ถิงจวินเห็นบนถนนแขวนโคมแดงส่องแสงสว่างไสวไปครึ่งฟ้า มีเสียงหัวเราะกระซิกกระซี้ดังไม่ขาดสาย บรรยากาศสนุกคึกคักอย่างยิ่งยวด นางเอ่ยอย่างแปลกใจ “ด้านข้างมีการแสดงขับร้องหรือ ไม่รู้เป็นเรือนใดถึงกับจัดอย่างเอิกเกริกขนาดนี้”

จ้าวหลิงยืนเอามือไพล่หลังเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของนาง อาเซินก้มหน้า เสี่ยวอู่เหลียวซ้ายแลขวา ส่วนเจิ้งซานสะพายห่อสัมภาระใบเขื่องยืนอยู่ไกลๆ ไม่มีคนใดกล่าวตอบนาง

ท่ามกลางความเงียบ เสียงพูดคุยหัวร่อฉอเลาะของสตรีดังกระจ่างชัดยิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกับความว่างเปล่าโหวงเหวงของถนนสายเล็กที่ปราศจากผู้คน

เจิ้งซานเหนียงเห็นทุกคนไม่สนใจคำพูดของฟู่ถิงจวิน กลัวนางไม่พึงใจ จึงกล่าวยิ้มๆ “สมแล้วที่ซีอานเป็นเมืองหลักของส่านซี ตระกูลใหญ่มีการแสดงขับร้องก็เชิญคนมามากมายขนาดนี้ในงานเดียว ที่บ้านเดิมข้า ตอนงานวันเกิดของท่านนายอำเภอยังไม่ครึกครื้นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”

“พูดอะไรเหลวไหล!” เจิ้งซานมีเหงื่อผุดซึมออกมาทางหน้าผากแล้ว เขาตวาดดุภรรยา “คุณหนูพูดอยู่ เจ้าสอดปากได้รึ!”

เจิ้งซานเหนียงทำคอย่นทีหนึ่ง

“แค่คุยเล่นกันเท่านั้น มีธรรมเนียมมากมายปานนั้นที่ไหนกัน” ฟู่ถิงจวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ระวังลูกจะตกใจตื่นนะ”

เจิ้งซานยิ้มอย่างกระดากอาย

จ้าวหลิงเอ่ยโพล่งขึ้น “พวกเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเถอะ! ยืนอยู่ปากทางจะถูกยามลาดตระเวนพบเห็นได้ง่าย”

“ใช่ๆ” เสี่ยวอู่ขานตอบติดๆ กัน ทุกคนพากันถอยหลังยี่สิบกว่าก้าว

ไม่ถึงชั่วครู่ โม่อี้กับเฉินลิ่วย้อนกลับมา

“เรียบร้อย!” ใบหน้าโม่อี้เปี่ยมไปด้วยความยินดี “พวกเจ้าตามข้ามา” เขาเดินนำหน้าพาคนอื่นๆ เลี้ยวเข้าสู่ตรอกแคบๆ ของถนนอีกสายหนึ่งแล้วเข้าไปในเรือนหลังเล็กที่เปลี่ยวร้างและรกรุกรัง

ด้านในมีห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินกับเจิ้งซานเหนียงไปผลัดอาภรณ์ก่อน จากนั้นเป็นพวกจ้าวหลิง

รอเมื่อเตรียมตัวได้พอสมควรแล้ว ตรงขอบฟ้ามีแสงสว่างปรากฏขึ้นเรื่อๆ คนทั้งกลุ่มก้าวออกมาจากเรือนหลังนั้น

ถนนด้านข้างเงียบสงัด บุรุษซึ่งมีกลิ่นหอมฉุนแรงติดตัวเดินสวนกับพวกเขาไปอย่างลุกลี้ลุกลนเป็นครั้งคราว

ฟู่ถิงจวินลอบแปลกใจ

โม่อี้พาพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลนักชื่อว่า ‘เกาเซิง’ เขาบอกว่าตนเองเป็นพ่อค้าเร่ อยากจะจับจองเรือนพำนักปีกหนึ่งทั้งหมด

เถ้าแก่เป็นบุรุษผิวขาวอวบอ้วนวัยสี่สิบกว่า ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงจนยิบหยี “นายท่าน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ โรงเตี๊ยมเรามีคนเข้าพักเต็มแล้ว หรือไม่ท่านลองไปดูโรงเตี๊ยม ‘เหลียนเซิง’ ที่อยู่ติดกันไหมขอรับ”

พวกเขาไปที่โรงเตี๊ยมเหลียนเซิง ผลปรากฏว่าที่นั่นมีห้องพักเหลือแค่สองห้อง เถ้าแก่แนะนำให้พวกเราไปที่โรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘สี่เหลียน’ ที่นี่มีเรือนพำนักหลังเล็ก แต่วันละสิบตำลึงเงิน ทั้งยังต้องจ่ายด้วยเงินแท่งเท่านั้น

โม่อี้มองจ้าวหลิง

จ้าวหลิงก็มองโม่อี้ “ข้าไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะแล้ว”

ทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน

ฟู่ถิงจวินทุกข์ใจยิ่งขึ้น

เขาไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดสักนิดได้อย่างไร ถ้ามิใช่พักโรงเตี๊ยมคราวนี้ โม่อี้จะให้เขาจ่ายเงิน ใช่หรือไม่ว่าเขาตั้งใจจะไม่ให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ไปตลอด นางหวนประหวัดถึงน้ำที่ใช้อาบน้ำถังนั้นที่หุบเขาสกุลหลี่ ในหัวมีภาพท่าทางลำบากใจเพราะไม่มีเงินของจ้าวหลิงปรากฏขึ้น นางรู้สึกคล้ายถูกคนแทงด้วยมีดทีหนึ่ง เจ็บปวดใจเสียจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก

นางสืบเท้าเข้าไปดึงชายเสื้อเขา

เขาหันหน้ามา “มีเรื่องอะไรประเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

ต่อหน้าทุกคน ฟู่ถิงจวินจะทำดึงดันก็ใช่ที่

โม่อี้ถลึงตามองจ้าวหลิง “ท่านไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียวยังเอาปลาเหลืองใหญ่ให้ยามเฝ้าประตูพวกนั้นทีเดียวสามแท่ง?”

จ้าวหลิงกล่าว “ข้าเห็นท่านซื้ออาหารคราเดียวมากมาย ทั้งตอนออกจากที่นั่นก็ไม่หยิบมาสักอย่าง เลยนึกว่าพี่โม่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว”

โม่อี้ย่ำเท้าวนไปวนมาหน้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างฉุนเฉียว นานครู่ใหญ่กว่าจะหยุดเดิน และพาพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมแห่งถัดไป

ฟู่ถิงจวินสบจังหวะกระซิบบอกจ้าวหลิง “ในห่อสัมภาระข้ายังมีของมีค่าอยู่บ้าง…”

ไม่รอให้นางกล่าวจบ จ้าวหลิงก็เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ขอบเขตดี ท่านไม่ต้องสนใจ”

ฟู่ถิงจวินคลายใจลงได้

พวกเขาวิ่งวุ่นเสาะหาที่พักเช่นนี้จนถึงยามเที่ยง ในที่สุดก็พบที่ที่เหมาะสมเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘สี่เซิง’

อาหารเช้าก็ไม่ได้กิน แสงแดดยังแรงกล้า พวกเขาเดินไปเดินมาอยู่ตลอดจนเป็นเหตุให้อ่อนเพลียจนแทบทนไม่ไหว พอได้ที่พำนักเรียบร้อย กินอาหารกลางวันที่ราคาแพงลิบทว่ารสชาติไม่ถูกปากมื้อหนึ่งแล้วได้ล้างผมสางผม ทุกคนต่างล้มตัวลงนอนหลับไป เว้นแต่เจิ้งซานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเล็กอย่างระแวดระวัง จวบจนยามจุดตะเกียงถึงทยอยตื่นขึ้นทีละคน

จ้าวหลิงเรียกเจิ้งซานกับภรรยามาแล้วให้พวกเขาประทับลายนิ้วมือบนสัญญาที่เขียนไว้เรียบร้อยโดยมีโม่อี้เป็นพยาน จากนั้นโขกศีรษะตรงหน้าประตูห้องปีกตะวันออกที่ฟู่ถิงจวินพำนักอยู่ เขามอบสัญญาให้นาง พลางเอ่ยเสียงเบา “กำไลข้อมือของท่านล่ะ ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีๆ”

รีบร้อนให้เจิ้งซานทำสัญญาโดยไม่รอช้าแบบนี้ ฟู่ถิงจวินเห็นว่าเรื่องนี้จ้าวหลิงไม่ใจกว้างมากพอ

จ้าวหลิงกระซิบพูด “ข้าจับตาดูอย่างละเอียดแล้ว เจิ้งซานหลักแหลมทำงานได้ดี อีกทั้งรู้วิชาหมัดมวย ส่วนเจิ้งซานเหนียงซื่อสัตย์สุจริตและขยันขันแข็ง มีสองคนนี้ติดตามอยู่ข้างกายท่าน วันหน้าเกิดเรื่องอะไรก็มีที่พึ่งพา ฉะนั้นจำเป็นต้องทำสัญญาขายตัวไว้”

ที่พึ่งพา?

ทำไมนางต้องพึ่งพาเจิ้งซานกับเจิ้งซานเหนียงด้วย!

ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ฟู่ถิงจวินตระหนักขึ้นได้ทันใดว่าขณะนี้นางอยู่ในเมืองซีอานแล้ว

ตามที่ทั้งคู่สัญญากันไว้ พอถึงเมืองซีอาน เขาจะหาวิธีส่งสารให้มารดาของนาง หลังจากนั้นนางจะบ่ายหน้าไปทางใดก็สุดแท้แต่มารดาของนางจะจัดแจงให้

จ้าวหลิงกับนางกำลังจะแยกจากกันในอีกไม่ช้าแล้ว!

ใบหน้าฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดฉับพลัน

ความรู้สึกหวาดกลัว เสียใจ ผิดหวัง ประดังประเดกันเข้ามา

แล้วจะทำฉันใดได้เล่า

นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้เป็นมั่นเหมาะแต่แรก

เขาเสียสละเพื่อนางมามาก…จากหวาอินถึงเว่ยหนาน จากเว่ยหนานถึงซีอาน นางไม่อาจรบกวนเขาได้อีกสืบไป

ทั้งที่รู้ว่าเป็นเช่นนี้ เหตุไฉนในใจนางเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูกเล่า

ทั้งที่รู้ว่าเขาคิดอ่านอะไรต่อมิอะไรไว้ให้นางหมดแล้ว เหตุไฉนนางยังหวาดกลัวอีกเล่า

ทั้งที่รู้ว่าขณะนี้สมควรกล่าวขอบคุณเขาอย่างซาบซึ้งใจ เหตุไฉนนางเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณออกจากปากไม่ได้เล่า

ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างสับสนวุ่นวายใจ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างปราศจากเหตุผล

จ้าวหลิงลอบถอนใจเฮือกหนึ่งเบาๆ

ส่งไกลถึงพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน

สิ่งที่เขาทำให้นางได้มีเพียงเท่านี้แล้ว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางคือบุตรสาวของสกุลฟู่ บนมีบิดามารดา ล่างมีท่านลุงท่านอา จะอย่างไรคงมิใช่หน้าที่ของเขาที่จะมายุ่มย่ามเรื่องพวกนี้

เหนืออื่นใดเขามีเรื่องของตัวเองที่ต้องสะสาง ส่วนนางต้องไปตามทางของนาง ถึงเขามีใจแต่คงช่วยอะไรมิได้ ดีไม่ดีจะกลายเป็นยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง สุดท้ายยังเป็นการให้ร้ายนางอีก

ดังเช่นเรื่องที่อารามปี้อวิ๋น เขาลักพาตัวคนมาแบบนี้ยังไม่รู้ว่าสกุลฟู่จะคิดเช่นไร แล้วก็ไม่รู้ว่าสกุลฟู่จะโยนความผิดในเรื่องนี้ไปที่นางด้วยหรือไม่

ในใจเขาว้าวุ่นอยู่สักหน่อย

หวังเพียงว่าหลังจากประสบผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไป สวรรค์จะเมตตานางบ้าง อย่าให้นางต้องเป็นทุกข์เสียใจอีกก็คงดี

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นกลับเห็นดวงตาของนางมีประกายน้ำวาววับ กระจ่างใสบริสุทธิ์ไร้มลทินจนไม่อาจทำใจแข็งได้

“ท่านวางใจได้ หลังจากข้าแน่ใจว่าท่านปลอดภัยแล้วถึงค่อยจากไป”

และแล้วราวกับมีอะไรมาดลใจกระนั้น อีกหนึ่งคำสัญญาก็ลั่นออกจากปากเขาไปโดยไม่รู้ตัว

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม

 

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: