บทที่หนึ่ง
ในตอนนั้น ใต้ต้นท้อ
เด็กชายหน้าตางามสง่าคนหนึ่งกำลังเขย่งปลายเท้า พลางยกแขนขึ้นไปเด็ดกิ่งท้อที่ประดับด้วยดอกตูมมาหนึ่งช่อ บนใบหน้าน่ารักและงดงามนั้นมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่ง ก่อนจะนำช่อดอกท้อในมือซึ่งได้มาอย่างยากเย็นยัดใส่อ้อมแขนของเด็กหญิงซึ่งตั้งตาคอยอย่างกระตือรือร้นอยู่ด้านข้าง
‘อ่ะ เอาไป!’ คิ้วของเด็กชายขมวดขึ้นมาจนเห็นเด่นชัด ทั้งยังไม่ลืมที่จะขู่ซ้ำอีกประโยคหนึ่ง ‘รับไปแล้วก็รีบไป ต่อจากนี้ไม่อนุญาตให้วิ่งตามก้นข้าอีกและไม่อนุญาตให้ฟ้องท่านพ่อท่านแม่ข้าด้วย!’
ดวงหน้าเนียนใสของเด็กหญิงแดงขึ้นราวกับผิงกั่ว* ดวงตากลมดำดั่งผลึกเบิกกว้าง ในนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมศรัทธาและนับถือที่มีต่อเด็กชาย เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแม้จะยากที่ต้องซ่อนความผิดหวังแต่กลับยังพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง
‘เอาล่ะ ข้าไปละ’ เด็กชายโบกมือโดยไม่ได้สนใจแม้แต่นิด ก่อนจะก้มลงหยิบลูกธนูและคันธนูขึ้นมา เตรียมจะก้าวออกไป
เด็กหญิงร้อนใจขึ้นมาทันที จึงเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก ‘ท่านพี่!’
‘มีอะไรอีกหรือ’ เด็กชายกลอกตา กระแทกเท้าลงอย่างหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
‘ข้า…’
เด็กชายกำลังจะเปิดปากต่อว่า พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงอดไม่ได้ที่จะเบะปากออกมาอย่างรำคาญใจ แล้วยื่นมือออกไปด้วยความไม่เต็มใจ ‘มา จับไว้ ถ้าปล่อยมือไปแล้วหลงทางอีกข้าจะไม่สนใจแล้วนะ’
นัยน์ตากลมของเด็กหญิงที่เดิมปรากฏความหดหู่พลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที มือน้อยๆ ที่อวบนุ่มรีบคว้ามือของ ‘พี่ชาย’ แล้วจับไว้แน่นราวกับกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้ เขาอาจเปลี่ยนใจได้ในชั่วพริบตา
สายลมเย็นพัดผ่าน ดอกท้อพลิ้วไหว ภาพเด็กชายและเด็กหญิงจูงมือกัน คนหนึ่งก้าวยาวๆ เดินนำ อีกคนก้าวสั้นๆ เดินตาม ค่อยๆ หายไปท่ามกลางพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม
ในตอนนั้น ชีวิตของพวกเขาใสซื่อบริสุทธิ์ ร่าเริง สดใส ไร้ทุกข์ ไร้กังวล
ในตอนนั้น หัวใจของเหลียงเฉินตัวน้อยก็ยึดติดกับท่านพี่อี้เหริน
ในตอนนั้น ดอกไม้ก็งดงาม พระจันทร์ก็กลมโต ส่วนคนก็ยัง…
เมืองหลวง จวนเซียวกั๋วกง*
หิมะตกหนักอย่างต่อเนื่อง ภายในหอพลิ้วคลื่นซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของจวนกลับมีเหล่าสาวใช้เดินเข้าๆ ออกๆ กันอย่างวุ่นวาย
แต่ที่สะดุดตาที่สุดในบริเวณห้องโถงกลางคือหญิงสาวสวมเสื้อสีชมพู กระโปรงผ้าไหมสีนวล หน้าตาของนางแม้จะไม่ได้โดดเด่นมากแต่กลับมีผิวพรรณขาวดุจหิมะ ท่าทางอ่อนโยน ผมดำขลับเป็นประกายนุ่มลื่นถูกมวยขึ้นเป็นทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้วอย่างประณีต มีเพียงปิ่นหยกสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาวเสียบไว้เท่านั้น
“เอาตัวซวนหนี* ทองแดงที่ท่านแม่ชอบที่สุดตัวนั้นไปวางไว้ตรงนั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพใหญ่ชอบไม้หอม เอาไม้จันทน์ใส่ไปในกระบอกไม้หอมด้วย” ฟู่เหลียงเฉินสั่งงานอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางสง่างามแต่กลับปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด “ผ้าไหมทองบนที่นั่งก็เอาออกมา เปลี่ยนเป็นผืนสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆาเคลื่อนขอบสีทองที่อยู่ในห้องเก็บของ”
เขากำลังจะกลับมาแล้ว
เมื่อนึกถึงสามีที่ไปเฝ้าป้องกันอยู่ดินแดนทางเหนือนานหลายปี จิตใจของฟู่เหลียงเฉินก็เบิกบานขึ้นมา แม้กระทั่งความเหนื่อยล้าจากการดูแลจัดการงานบ้านจนหามรุ่งหามค่ำเพราะใกล้จะสิ้นปีก็ราวกับหายไปกว่าครึ่ง
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ เหล่าผู้ดูแลร้านล้วนมาถึงกันหมดแล้วเจ้าค่ะ” ตู้เจวียนสาวใช้ข้างกายมารายงาน “บ่าวสั่งให้พวกเขารออยู่ในห้องอุ่น* ด้านนอกตามที่ท่านบอก แล้วเพิ่มจำนวนเตาถ่านเข้าไปหลายเตา ชาร้อนก็จัดขึ้นโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ฟู่เหลียงเฉินพยักหน้า จากนั้นหันหน้ากลับไปมองด้วยความลังเลเล็กน้อย จนแล้วจนรอดก็ยังรู้สึกวางใจไม่ได้ “ตู้เจวียน ที่นี่มอบหมายให้เจ้าเป็นคนดูแลให้ดี อย่าให้พวกเขาเกียจคร้านจนเกิดข้อผิดพลาดได้”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ” ตู้เจวียนรีบรับปาก
“หวาเหนียน เจ้าไปคอยจับตาดูในห้องครัว วันสองวันมานี้ฮูหยินท่านกั๋วกงไอเป็นพักๆ หมอหลวงกำชับมาว่าอาหารเย็นหรือของแห้งเกินไปล้วนต้องงดไปก่อน” นางหันไปบอกกับสาวใช้อีกคนหนึ่ง “อีกอย่างคอยดูน้ำแกงที่อยู่บนเตาว่าเคี่ยวเสร็จหรือยัง ถ้าหากเรียบร้อยแล้วก็ยกไปให้ท่านกั๋วกงที่ห้องหนังสือ แล้วอย่าลืมว่าต้องส่งให้บ่าวรับใช้หน้าห้องหนังสือเช่นเดิม”
“เจ้าค่ะ บ่าวรับทราบแล้ว” หวาเหนียนรับคำสั่งด้วยความเคารพ