“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ”
เซียวเหอซื่อโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องมองนางด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม “ช่างเจรจาเช่นนี้ สองสามประโยคก็จะเอาน้ำเน่ามาสาดใส่เฉินเอ๋อร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกชายโง่ที่ใสซื่อของข้าจะต้องโดนเจ้าหลอกลวงไปแล้ว เหอะ เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงข้ากับท่านกั๋วกงยังอยู่ เจ้าก็อย่าได้คิดที่จะแต่งเข้าบ้านสกุลเซียว!”
“เหยาเอ๋อร์ต้องการเพียงท่านแม่ทัพใหญ่คนเดียวเท่านั้น ไม่กล้าร้องขอผู้อื่นหรอกเจ้าค่ะ” กู่เหยาเอ๋อร์ไม่เดือดร้อน แต่กลับยิ้มกว้างกว่าเดิม “พี่ฟู่ได้เป็นเจ้าของแต่ในนาม แต่ข้าได้คนมาครอบครอง เช่นนี้แล้วยังไม่พอใจทั้งสองฝ่ายอีกหรือเจ้าคะ”
“เจ้า…เจ้า…” เซียวเหอซื่อไม่คิดไม่ฝันว่าใต้หล้านี้จะมีสตรีที่หน้าไม่อายเช่นนี้ นางโกรธเสียจนหายใจหอบ หน้าอกกระเพื่อมรุนแรง มือสั่นเทาชี้ไปที่อีกฝ่ายด้วยความแค้นเคือง
“แม่นางกู่!” ฟู่เหลียงเฉินรีบเข้าไปโอบไหล่ที่สั่นเทาเพราะความโกรธของแม่สามีไว้ สีหน้าที่อ่อนหวานมาโดยตลอดเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดนิ่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง นางจ้องกู่เหยาเอ๋อร์เขม็งพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าภายภาคหน้าท่านแม่ทัพใหญ่กับเจ้าจะเป็นเช่นไร แม่สามีข้าก็ถือเป็นผู้ใหญ่ เจ้ามีฐานะเป็นผู้น้อยไม่ควรถกเถียงต่อหน้านาง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับพูดเต็มปากเต็มคำเรื่องแต่งงานของตนเอง เจ้าไม่กลัวผู้คนจะหัวเราะเยาะเอาหรือ”
“ก็มีเพียงสตรีในเรือนเช่นพวกเจ้าที่อ่านข้อห้ามสตรีจนเสียสติแล้วนำชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นมายึดถือเป็นมารยาทเป็นแนวทาง ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”
กู่เหยาเอ๋อร์แสยะยิ้มแล้วมองไปที่ญาติสตรีซึ่งตกตะลึงอยู่รอบๆ ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม “ถ้าเอาพวกเจ้าทุกคนไปทิ้งไว้บนสนามรบนองเลือดแล้ว อยากจะรู้นักว่าพวกเจ้ายังจะพูดเรื่องมารยาทศีลธรรมอะไรนั่นกับกองทัพหรงเหนือหรือไม่!”
ฟู่เหลียงเฉินมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้า…” เซียวเหอซื่อหายใจไม่ออกพลันภาพตรงหน้าดับวูบลง
“ท่านแม่!” ฟู่เหลียงเฉินประคองแม่สามีที่หมดสติไปไว้แน่น
งานเลี้ยงพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที กู่เหยาเอ๋อร์นิ่งอึ้งไป ดวงหน้าปรากฏความร้อนรนใจ แต่เมื่อเห็นท่าทาง ‘แสร้งเป็นคนดีมีคุณธรรม’ น้ำตาไหลด้วยความกระวนกระวายของฟู่เหลียงเฉินซึ่งกำลังโอบกอดฮูหยินท่านกั๋วกงไว้นางก็อดเหยียดริมฝีปากเสียไม่ได้ สีหน้ายิ่งทวีความกระด้างกระเดื่องขึ้น
สตรีในห้องเหล่านั้นต่างใช้อุบายตีโพยตีพายโวยวายหาอยู่บ่อยครั้ง ช่างน่าสงสารท่านแม่ทัพใหญ่ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมผู้ซึ่งถูกสตรีเหล่านี้ก่อปัญหาให้แล้ว
เป็นโชคดีที่เขามีนาง นับจากนี้ไปเมื่อพวกเขาอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ นางจะไม่มีทางให้เขาต้องพบเจอกับสถานการณ์น่าหงุดหงิดใจและน่าอายเช่นนี้อีก
แต่เมื่อฮูหยินท่านกั๋วกงวิงเวียนหมดสติไป ข่าวก็ถูกส่งต่อไปในงานเลี้ยงในลานด้านหน้าจนบังเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!” ภายในจวน เซียวกั๋วกงมองภรรยาตนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนที่นอน ตะคอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลร้อนรนใจ “ลูกสะใภ้ เจ้าบอกมาซิ แม่สามีเจ้าเหตุใดจึงหมดสติไปได้”
“ท่านพ่อ รอให้ท่านหมอหลวงตรวจอาการท่านแม่แล้วค่อยว่าเถิดเจ้าค่ะ”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของฟู่เหลียงเฉินนั้นมองไปยังใบหน้าขาวซีดของแม่สามีแล้วจึงมองใบหน้าเคร่งเครียดของเซียวอี้เหรินซึ่งอยู่ด้านข้างกับหมอหลวงและคนอื่น ฝืนทนต่อความร้อนใจที่ต้องการจะบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องในงานเลี้ยง “ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องสุขภาพร่างกายของท่านแม่อีกแล้ว”
“ใช่ๆ หมอหลวง รีบตรวจภรรยาข้าว่าแท้จริงแล้วนางป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่” เซียวกั๋วกงรีบเบนความสนใจทันทีดังคาด เร่งรีบเอ่ยถามกับหมอหลวง
“ท่านกั๋วกงโปรดวางใจ ฮูหยินท่านกั๋วกงอารมณ์ร้อนขึ้นมาชั่วครู่ เลือดลมติดขัดจึงได้หมดสติไป ตอนนี้ได้ฝังเข็มให้ ไม่เป็นอันตรายแล้ว” หมอหลวงหยุดชะงักแล้วจึงเอ่ยต่อ “อีกสักครู่ข้าจะจัดยาสองสามอย่าง ต้มให้ฮูหยินดื่มเช้าเย็น เนื่องจากอายุของฮูหยินมากขึ้นแล้ว นับจากนี้ต้องรักษาสุขภาพให้มากๆ อย่าได้โมโหฉุนเฉียวมากและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ดีแล้ว…” ในที่สุดเซียวกั๋วกงจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “เฉินเอ๋อร์…”
“คำแนะนำของท่านหมอหลวง เฉินเอ๋อร์จดจำไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อได้โปรดวางใจ”
“ดีๆ” เซียวกั๋วกงวางใจลูกสะใภ้ที่ฉลาดและจิตใจดีผู้นี้เป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด “หมอหลวง เชิญทางนี้”
“รบกวนท่านกั๋วกงที่มาส่ง” หมอหลวงตกตะลึงที่ตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างดี