ภายในจวนของเซียวกั๋วกง หากไม่นับรวมเจ้านาย เพียงแค่คนรับใช้คุ้มกันจวนก็มีห้าถึงหกร้อยคนแล้ว ในจวนปกครองด้วยกฎทหาร มีกฎที่เข้มงวด ทุกคนล้วนรู้ว่าอยู่ภายในจวนกั๋วกงคำพูดใดที่ไม่ควรพูด เรื่องใดที่ไม่ควรทำ สถานที่ใดที่ย่างกรายเข้าไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด…ซึ่งสถานที่ต้องห้ามที่ผู้บุกรุกเข้าไปมีโทษถึงตายมีสองที่ หนึ่งคือ ‘เรือนสังหารพยัคฆ์’ ห้องหนังสือของท่านกั๋วกง สองคือ ‘เรือนไร้อักษร’ ห้องหนังสือของท่านแม่ทัพใหญ่
แต่เรือนสังหารพยัคฆ์ของท่านกั๋วกง ฮูหยินของท่านกั๋วกงยังนำเครื่องดื่ม อาหารมื้อดึกไปส่งให้บ่อยๆ สองสามีภรรยาเฒ่าดื่มกินพร้อมกับพูดคุยกันโดยมีเสียงหัวเราะ ส่วนเรือนไร้อักษรของท่านแม่ทัพใหญ่กลับห้ามเข้าโดยเด็ดขาด สั่งไว้ว่าแม้แต่ฮูหยินน้อยก็ไม่ให้ย่างกรายเข้าไปแม้เพียงก้าวเดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวาเหนียนซึ่งเผลอลอบจ้องมองดวงหน้านิ่งเรียบงดงามของฮูหยินน้อยก็แอบถอนหายใจอยู่ภายใน
แม้ฮูหยินน้อยจะมีชาติกำเนิดไม่สูงศักดิ์ เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของรองเสนาบดีฟู่รองเสนาบดีกรมพิธีการคนก่อน แต่ได้รับความเมตตาให้แต่งงานเข้าจวนเซียวกั๋วกงที่มากด้วยอำนาจและบารมี กลายมาเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่เซียวผู้กุมอำนาจทหารและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ดินแดนทางเหนือ อีกทั้งเป็นเพราะความประจวบเหมาะของเหตุการณ์ในปีนั้นด้วย
ได้ยินว่าตอนนั้นฮูหยินน้อยที่อายุเพียงห้าขวบเกิดหลงทาง แล้วได้นายน้อยเซียวอี้เหรินพากลับมาที่จวน หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ได้รับเลี้ยงไว้ที่จวนกั๋วกง แต่กลับเป็นท่านกั๋วกงที่ออกหน้าฝากฝังใต้เท้าฟู่สหายรักให้รับเลี้ยงเป็นลูกด้วยตนเอง ภายหลังทั้งสองบ้านก็ได้ไปมาหาสู่กันจึงนำมาสู่เรื่องการแต่งงานไปโดยปริยาย
สี่ปีก่อนหน้า ก่อนที่รองเสนาบดีฟู่จะป่วยหนักได้ขอร้องให้กั๋วกงกับภรรยารับปากว่าหลังจากฮูหยินน้อยอายุครบสิบห้าปีถึงวัยที่ต้องเข้าพิธีปักปิ่น* ให้นางหมั้นหมายกับนายน้อยตามความปรารถนาของพ่อผู้ชราคนนี้
แต่ระยะเวลาสามปีที่ฮูหยินน้อยแต่งเข้ามาในจวนกลับพบเจออุปสรรคไม่หยุดหย่อน เริ่มแรกในตอนพิธีกราบไหว้ฟ้าดินได้รู้ว่าชนเผ่าหรงเหนือเข้ามารุกราน นายน้อยจึงจำต้องรีบรุดไปยังชายแดนทางเหนือเพื่อเผชิญหน้าต่อสู้กับศัตรู จนกระทั่งได้รับชัยชนะกลับมาก็เป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากนั้นแล้ว
นายน้อยพักอยู่ในเมืองหลวงไม่ถึงครึ่งเดือน ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะประทานรางวัลไปถึงที่จวน แต่กลับถูกนายน้อยปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นได้ยินว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะประทานองค์หญิงให้เป็นภรรยารอง นายน้อยรีบถวายฎีกากลับไปป้องกันชายแดนทันที แล้วยังรีบนำทหารคนสนิทกลับไปยังทางเหนือราวกับมังกรที่โกรธเกรี้ยวจนเกิดพายุ
ฮูหยินท่านกั๋วกงเป็นกังวลห่วงลูกสะใภ้ที่ต้องแยกจากสามีเป็นเวลานานทั้งที่เพิ่งแต่งงานกัน นางเคยเสนอให้ฮูหยินน้อยติดตามไปด้วย แต่กลับถูกประโยคหนึ่งของนายน้อยที่ว่า ‘ขุนพลประจำการอยู่นอกบ้านเพื่อจงรักภักดีต่อชาติ ภรรยาและบุตรรออยู่ที่เมืองหลวงเพื่อแสดงความกตัญญูแทนสามี ถือเป็นหลักธรรมของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้’ แย้งกลับไป
ไม่เพียงแต่ฮูหยินท่านกั๋วกงที่หัวเสียเป็นอย่างมาก คนที่รู้เรื่องราวความเป็นไปอย่างละเอียดล้วนรู้ดีว่านายน้อยถูกจับให้หมั้นหมายจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโดยพลการ
หวาเหนียนหนาวสั่นขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกถึงเมื่อสองปีก่อนตอนที่บังเอิญได้ยินเสียงกราดเกรี้ยวออกมาตรงหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจว่า…
‘ข้ามองนางเป็นน้องสาวมาโดยตลอด ให้เอาน้องมาเป็นภรรยา พวกท่านใครเคยถามความคิดเห็นข้าบ้าง!’
สองปีผ่านไป ฮูหยินน้อยสุภาพอ่อนโยน เอาใจใส่เสมอต้นเสมอปลาย ทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดีของจวนเซียวกั๋วกงได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง หวาเหนียนไม่เคยเห็นสีหน้าขุ่นเคืองใจแม้เพียงเล็กน้อยจากนางเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ทราบว่านายน้อยจะกลับมาฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง ฮูหยินน้อยยิ่งทำงานจนหัวหมุน ประเดี๋ยวก็จัดการเรื่องในชีวิตประจำวัน ประเดี๋ยวก็เตรียมนั่นเตรียมนี่ แล้วยังคอยดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายของพ่อแม่สามี อีกทั้งดูแลทั้งนอกและในจวนกั๋วกง อย่างเช่นดูแลจัดการของขวัญสิ้นปีให้แก่ญาติสนิท ของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หมู่บ้าน ร้านค้า และที่ดิน