บทที่ 3
“แม่แน่ใจนะว่านังสารินมันอยู่เฝ้าร้าน ไม่ได้โผล่มาพังงานแต่งหนู” มุกตาร์ชะเง้อคอมองอย่างหวาดระแวงที่หน้างาน ตั้งแต่เจอหน้ามันเมื่อวานมุกตาร์ก็ใจคอไม่ดี กลัวมันกลับมาล้างแค้นจึงขอให้แม่ส่งมันไปเฝ้าร้านอาหารระหว่างพิธีแต่งงานเช้านี้
“แน่ใจสิ แม่ไล่ให้มันไปเฝ้าร้านอาหารตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แม่รู้สันดานมันดีก็เลยให้คนที่ร้านเฝ้ามันไว้อีกต่อหนึ่ง แกสบายใจได้”
ทว่าลางสังหรณ์บางอย่างบอกมุกตาร์ว่านังงูพิษอาจกลับมาแว้งกัดจนได้
“แม่ให้ยามเฝ้าหน้าบ้านไว้ดีๆ ด้วยล่ะ ใครหน้าตาเหมือนนังสารินก็ไล่ไปให้หมดนะแม่”
“เออ แกนี่ย้ำจริงเชียว”
“ไม่รู้แหละ หลังงานแต่งของหนู แม่หาคนกำจัดมันให้พ้นหูพ้นตาเลยนะ หนูไม่ไว้ใจมัน”
“รู้แล้วล่ะน่า แค่มันกลับมาฉันก็อกจะแตกตายอยู่แล้ว หลังงานแกแล้วแม่ค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”
มุกตาร์ค่อยยิ้มออกมาได้บ้าง พลางควงผู้เป็นแม่เข้าห้องรับรองเพื่อให้ช่างแต่งหน้าเติมเครื่องสำอาง
ทั้งคู่จึงไม่เห็นว่าแขกสาวแปลกหน้าสองคนก้าวเข้ามาในงานด้วยเครื่องแต่งกายที่ดูมีราคาแพง รถยนต์หรู และการ์ดเชิญที่มีร่าขโมยมาจากรถของว่าที่เจ้าบ่าวตอนเขาพาเธอออกไประเริงรักด้วยกันเมื่อคืน ทำให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยซึ่งประจำอยู่ที่ประตูรั้วยอมเปิดทางให้โดยดี
งานแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่ ปูพรมสีสันสดใสสลับกับกำแพงดอกไม้ที่ตั้งใจประดับประดาเพื่ออวดฐานะเจ้าของบ้าน ปารีเห็นมีร่าเดินเข้างานด้วยใบหน้าหงิกงอก็อดแซวไม่ได้
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ นี่งานมงคลนะ”
“ก็ดูชุดที่แกให้ฉันแต่งสิ นี่มันชุดบ้าอะไร สีก็ทึม แทนที่จะได้ใส่ชุดอวดรูปร่าง” มีร่ากรีดนิ้วจับชุดกระโปรงสีเทายาวกรอมเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ “ไหนจะแว่นตาหนาเตอะกับผมฟูฟ่องนี่อีก หมดสวยกันพอดี”
“ขืนปล่อยแกแต่งตัวเซ็กซี่ แต่งหน้าทำผมเหมือนเดิม บรรดาลูกค้าขาประจำคงได้วิ่งมาหาขาขวิดน่ะสิ”
“ก็คนมันสวยช่วยไม่ได้นี่ยะ” มีร่าเชิดหน้าอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
“ฉันถึงให้แกแต่งแบบนี้ อย่าลืมว่าเรามางานนี้เพราะใคร”
“รู้แล้วล่ะน่า ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อน ฉันไม่แต่งชุดบ้าๆ นี่หรอก”
ปารีส่ายหน้าระอาพลางกดโทรศัพท์หาสาริน เพียงแค่อึดใจอีกฝ่ายก็ส่งเสียงสดใสกลับมา
“ถึงงานแล้วเหรอปารี มีอะไรขลุกขลักไหม”
“เรียบร้อย ต้องขอบคุณยายมีร่า มันยอมปลอมตัวเสียจำแทบไม่ได้”
มีร่าได้ยินเข้าก็รีบคว้าโทรศัพท์ไปคุยแทน “จบงานนี้แกต้องพาฉันไปเลี้ยงปลอบใจนะ ปารีมันให้ฉันใส่ชุดบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่องเลย”
ปลายสายหัวเราะร่วน รับปากว่าจะเป็นเจ้าภาพอาหารมื้ออร่อยอย่างแน่นอน หลังวางสายมีร่าก็เหลียวมองแขกในงานด้วยสีหน้าวิตก
“แกแน่ใจใช่ไหมปารีว่าหมอนั่นจะมางานแน่ๆ”
“แน่สิ เตี๊ยมกันไว้แล้ว ไม่พลาดหรอกน่า”
มีร่าถอนหายใจโล่งอก แขกเหรื่อในงานวันนี้ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองลุคน่า อยากรู้เหมือนกันว่าแม่เลี้ยงของสารินจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอละครฉากเด็ดวันนี้
ร้านอาหารของรานีตั้งอยู่ในตัวเมืองลุคน่าใกล้โบสถ์พราหมณ์ แต่เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาลบูชาองค์เทพ ผู้คนจึงค่อนข้างบางตา ประกอบกับแม่เลี้ยงเกณฑ์แม่ครัวและลูกมือไปช่วยทำอาหารเลี้ยงแขกในงานแต่งงานของลูกสาวจึงเท่ากับเป็นการปิดร้านกลายๆ แต่ที่สารินต้องอยู่โยงเฝ้าร้านก็คงเพราะไม่อยากให้เธอออกไปป่วนงานแต่งงานของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาติดผนังก็พบว่าใกล้เย็นแล้ว งานแต่งงานผ่านไปแล้ว แต่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่พวกมันฝันไว้หรอก เพราะปารีส่งคลิปเด็ดมาให้ดูทางมือถือ
เมื่อพิธีแต่งงานเข้าสู่ขั้นตอนบูชาไฟ มีพราหมณ์เป็นผู้นำประกอบพิธี โดยให้เจ้าบ่าวจูงเจ้าสาวเดินรอบกองไฟเจ็ดรอบนั้น จู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้ารูปร่างล่ำบึ้ก หน้าตาคมคายเดินเข้ามาประกาศคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ ทำเอาแขกเหรื่อในงานตกใจกันยกใหญ่
‘ผมไม่ยอม ผมรักคุณนะมุกตาร์’ ถ้อยคำคัดค้านของอดีตคนงานร้านอาหาร สามีตัวจริงของมุกตาร์ที่ถูกรานีไล่ออกหลังรู้ว่าแอบได้เสียกับลูกสาว เสียงฮือใหญ่ในหมู่แขกเหรื่อทำให้รานีต้องรีบเข้ามาปราม
‘แกมาทางไหนไสหัวไปทางนั้นเลย ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ’
ทว่าผู้ชายคนนั้นกลับไม่ยี่หระต่อคำขู่ หันไปทอดเสียงหวานใส่เจ้าสาว
‘ลืมแล้วเหรอมุกตาร์ว่าเราเคยรักเคยมีความสุขกันแค่ไหน’
‘คุณหายไปไหนมา คุณทิ้งฉันตอนที่ฉันต้องการคุณ’ พูดไปน้ำตาของมุกตาร์ก็ร่วงพรูด้วยความอัดอั้น
‘แม่ของคุณไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมา ให้คนซ้อมผม ขู่ผมว่าถ้าผมยังไม่เลิกรากับคุณ จะรังควานครอบครัวผม จะฆ่าผมให้ตาย’
มุกตาร์ตวัดตามองแม่อย่างโกรธเคือง
‘มันตอแหล มันจงใจป่วนงานแต่งของแกนะ!’
‘ผมรักคุณนะมุกตาร์ เด็กในท้องของคุณ…ลูกผมใช่ไหม’ คำถามของชายแปลกหน้าทำเอาแขกเหรื่อในงานร้องเสียงหลง
‘พวกแกมัวยืนเฉยทำไม ไล่มันออกไปสิ!’ รานีตวาดเสียงกราดเกรี้ยวใส่คนงาน
‘อย่าแตะต้องเขานะ!’ มุกตาร์กรีดเสียงแหลม สะบัดมือจากเจ้าบ่าว สาวเท้าไปหาชายแปลกหน้าหุ่นล่ำ ‘เขาเป็นพ่อของลูกหนูนะคะ แม่จะพรากพ่อพรากลูกลงคอรึไง’
‘นังโง่! ถ้ามันรักแกจริงทำไมมันเพิ่งมาเอาป่านนี้ แกคิดสิมุกตาร์’
‘ก็แม่ขู่จะฆ่าเขา ใครก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น’ มุกตาร์กางแขนปกป้องชายคนรัก ทำเอารานีเนื้อเต้น ตวัดมือตบหน้าลูกสาวเป็นครั้งแรก ‘แม่ตบหนู!’
‘ก็เออน่ะสิ แกจะได้ตาสว่างสักที!’
‘แม่นั่นแหละทำให้หนูเป็นแบบนี้ แม่คอยขัดขวางความรักของหนูตลอด พอมีคนที่รักหนูจริง แม่ก็กีดกัน ขู่ทำร้ายเขา คราวนี้หนูจะไม่ยอมให้แม่มาขวางอีกเด็ดขาด ลูกของหนูต้องการพ่อนะคะ!’
‘ฉันก็หาพ่อให้เลือดชั่วๆ ในท้องแกแล้ว แกยังจะต้องการอะไรอีก’
‘ไอ้ลูกแหง่ยังไม่หย่านมแม่น่ะเหรอ’ มุกตาร์เหลือบมองเจ้าบ่าวร่างเตี้ย สวมแว่นหนาเตอะอย่างนึกสะอิดสะเอียน ‘แม่จะให้หนูแต่งกับไอ้เตี้ยนี่เหรอ แค่คิดก็สะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วก!’
‘พูดอย่างนี้ได้ยังไง พวกเธอนั่นแหละที่มาบังคับลูกฉัน’ แม่เจ้าบ่าวออกโรงปกป้องลูกชายทันที แต่คราวนี้รานีไม่คิดจะปกป้องลูกสาว กลับสาวไส้เรื่องคาวๆ ของลูกสาวออกมาประจาน
‘ไม่ใช่แกเหรอที่สาระแนไปนอนกับผู้ชายจนท้องโย้ ฉันถึงต้องวิ่งโร่หาเจ้าบ่าวให้!’
‘ก็เพราะแม่นั่นแหละที่ไล่คนรักของหนูไป แม่นั่นแหละผิด!’
สองแม่ลูกต่างขุดปมของกันและกันขึ้นมาเปิดโปง ไม่ได้ระวังเลยว่าแขกในงานบางคนจะแอบถ่ายคลิปเหล่านั้นไว้ทั้งหมด แน่นอนว่างานแต่งวันนี้ล่มไม่เป็นท่า เจ้าสาวหนีตามชายแปลกหน้าออกจากงานโดยมีแขกผู้ใหญ่ระดับพ่อเมืองต่างแยกย้ายออกจากงาน
“ฉันดูคลิปจบแล้วล่ะปารี ขอบใจพวกแกมาก”
“เสียดายที่แกไม่ได้อยู่ในงาน ดูสดแซ่บสะท้านทรวงกว่าในคลิปเยอะ ว่าแต่ตอนนี้แกออกมาได้ไหม หมอนั่นมาที่ร้านบอกว่าอยากเจอแก”
“มีเรื่องอะไร ฉันโอนเงินให้แล้วนี่”
“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้บอก อาจจะอยากได้เงินเพิ่มล่ะมั้ง”
“แล้วมุกตาร์ล่ะ ขืนออกมากลางค่ำกลางคืนยายนั่นอาจสงสัย”
“ยายมุกตาร์นอนหลับปุ๋ยอยู่ที่โรงแรม หมอนั่นเลยแอบมาหาฉันที่ร้าน”
“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันออกไป”
หลังจากวางสายเพื่อนสนิทได้ไม่นาน สารินก็รีบตรงไปหาปารีที่ร้านหมอดู ห่างจากร้านอาหารของรานีไปไม่กี่ช่วงตึก ทันทีที่สารินเข้ามาในร้านปารีก็รีบปิดร้านทันที ก่อนเดินนำเพื่อนสนิทเข้าไปหลังร้านซึ่งชายแปลกหน้าหุ่นล่ำกำลังนั่งรออยู่
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาเสียแล้ว” ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นพลางมองปารีละม้ายจะบอกเป็นนัยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ปารีรู้งานจึงขอตัวออกไปรอข้างนอก
ลับร่างปารีแล้ว ชายคนนั้นก็รวบสารินเข้าไปในอ้อมแขน ทว่าสารินกลับค่อยๆ เบี่ยงตัวออก หลบเลี่ยงความคิดลึกซึ้งของชายหนุ่มด้วยการยิ้มบางๆ
“ขอบใจที่ทำเพื่อลุงการัน”
เขาเป็นคนงานในร้านที่รักลุงการันเหมือนพ่อ ตอนรู้ว่าเธอถูกจับข้อหาฆาตกรรมลุงการัน เขามาเยี่ยมเธอในคุกและเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าเธอไม่มีวันทำร้ายลุงการัน
‘เพราะฉันรู้จักเธอดีสาริน เธอไม่มีวันฆ่าลุงการันแน่ๆ’
เขารับปากว่าจะช่วย แต่เมื่อไม่มีหลักฐานเพียงพอ เขาจึงยอมเอาตัวเข้าแลก ยอมแก้แค้นพวกมันด้วยการหลอกให้มุกตาร์รัก ร่วมวางแผนกับปารีและมีร่าเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่สารินเป็นคนต้นคิด
“ฉันทำเพื่อเธอนะสาริน”
เขากุมมือเธอไว้ แววตาพราวระยับคู่นั้นบ่งบอกว่าเขามีความรู้สึกพิเศษ แต่สารินกลับชักมือออก
“ความรักของฉันมันตายไปแล้ว อย่าพยายามเลย”
“เพราะไอ้ซันเจย์ตัวเดียว…ฉันน่าจะฆ่ามันทิ้งตั้งแต่ตอนนั้น”
หากไม่ใช่เพราะไอ้สารเลวนั่น ผู้หญิงที่เขาหลงรักก็คงไม่ต้องสังเวยอนาคตอันสดใสในคุก
“อย่าเอาชีวิตของนายไปทิ้งเพื่อหมอนั่นเลย”
“เธอยังรักมันรึเปล่า”
คำถามนั้นทำให้สารินนิ่งไปชั่วขณะ ความรักของเธอถูกยกให้ ‘เขา’ ไปนานแล้ว ไม่ใช่ไอ้สารเลวซันเจย์ที่ทำให้เธอตกนรกทั้งเป็น
“ฉันจะรักคนที่ทำให้ฉันติดคุกได้ยังไง นายออกมาแบบนี้แล้วมุกตาร์ล่ะ”
“หลับอยู่ ฉันทิ้งโน้ตว่าจะออกไปซื้ออะไรเข้ามา เวลานี้ฉันคือที่พึ่งเดียวของนังนั่น บอกอะไรมันก็เชื่อ”
“ขอบคุณที่ยอมรับปากช่วยฉันนะ” สารินยื่นกล่องคุกกี้ทรงสี่เหลี่ยมให้อีกฝ่าย “รับไปสิ ฉันให้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเปิดกล่องออกก็พบว่าภายในมีทองอร่ามบรรจุอยู่สองแท่ง
“แทนคำขอบคุณจากฉัน”
“เธอขอบคุณฉันแล้วนะสาริน”
“แค่คำพูดจะอิ่มท้องได้ยังไง” คุกสอนให้สารินรู้ว่าแค่คำอ้อนวอนซื้อชีวิตไม่ได้ ต้องเงินหรือไม่ก็บุหรี่สักซอง “รับไปเถอะ ฉันเอามาจากครอบครัวนั้น นายสบายใจได้”
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงกับมุกตาร์ต่อดี”
“อยู่กับมุกตาร์สักพักแล้วกัน อย่างน้อยก็ให้ฉันจัดการพวกที่เหลือก่อน”
“เธอมีอะไรสนุกๆ จะให้ฉันช่วยรึเปล่า”
สารินส่ายหน้ายิ้มๆ “เรื่องนี้ฉันต้องจัดการเอง นายรีบกลับไปเถอะ อยู่นานเดี๋ยวมุกตาร์จะสงสัย หูตาของรานีแพรวพราว ป่านนี้คงให้คนออกตามหาลูกสาวแล้ว”
“ยายแก่นั่นโกรธควันออกหู ตัดแม่ตัดลูกไปแล้ว คงอีกสองสามวันกว่าจะหายโกรธ”
“อย่าชะล่าใจไป ถึงยังไงก็อย่าให้ถูกจับได้เร็วนัก ช่วงนี้ก็ทำดีกับมุกตาร์หน่อยแล้วกัน”
ชายหนุ่มพยักหน้า กุมกล่องคุกกี้ในมือแน่น ก่อนแอบออกทางหลังร้านเพื่อไม่ให้คนผ่านไปผ่านมาเห็น
“หมอนั่นต้องการอะไรจากแก” ปารีย้อนเข้ามาในห้อง
“ก็แค่รำลึกความหลังตามประสาคนรู้จักกัน คืนนี้ฉันขอค้างที่นี่สักคืนนะ”
“ได้สิ ฉันจะโทรบอกมีร่าด้วย มันคันปากอยากเม้าท์กับแกใจจะขาด”
ลับร่างหญิงสาวร่างบางแล้ว สารินก็ทิ้งศีรษะพิงโซฟา คลี่ยิ้มออกมา ในที่สุดแผนการแรกที่เธอเฝ้าวางแผนในคุกก็สำเร็จ เหลือแค่สองผัวเมียที่เธอหมายมั่นจะตอบแทนบุญคุณให้สาสมกับที่พวกมันฆ่าลุงการัน ผู้มีพระคุณของเธอ
หากไม่มีลุงการัน สารินคงเสียคน ตกนรกทั้งเป็นตามที่แม่เลี้ยงปรารถนาไปแล้ว
ลุงการันเป็นผู้ชายร่างใหญ่ ไว้หนวดเคราเฟิ้ม รูปลักษณ์เหมือนโจรในหนัง แกเป็นคนท่าทางดุดัน พูดจาโผงผางเสียงดัง แต่ใจดีมีเมตตาต่อเด็กผู้หญิงตาดำๆ แปลกหน้าคนหนึ่ง
หลังจากรานีอัปเปหิเธอออกจากบ้านมาอยู่เฝ้าร้านอาหาร โดยหวังลึกๆ ว่าเธอจะเสียคนตกเป็นของคนงานวัยฉกรรจ์สักคนหรือหลายคน แต่ความปรารถนานั้นถูกยับยั้งโดยผู้ชายวัยกลางคนชื่อ ‘การัน’
ลุงการันเป็นพ่อครัวประจำร้านอาหาร เป็นคนเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นพ่อของรานี มีฝีมือทำอาหารอย่างหาตัวจับยาก ในเมืองนี้ใครๆ ก็อยากได้แกเป็นพ่อครัวทั้งนั้น รานีจึงทั้งเกรงใจและกลัวร้านเจ๊งในคราวเดียว
พอลุงการันรู้ว่าสารินต้องนอนรวมกับพวกคนงานชายฉกรรจ์ที่ห้องพักชั้นบน ลุงการันถึงกับด่ากราด จนคนงานหัวหดกันเป็นทิวแถว
‘ไอ้ฉิบหาย เด็กตัวเท่าเมี่ยงให้มานอนร่วมกับพวกมึงน่ะเรอะ อีคุณนายมันเอาส้นตีนข้างไหนคิด ถ้าพวกมึงกล้าคิดระยำตำบอนกับเด็กตัวเท่านี้ กูจะเอาอีโต้ฟันหัวแบะทุกตัว’
เหล่าชายฉกรรจ์ยืนตัวหงอ ก้มหน้างุด ‘คุณนายสั่งให้นอนห้องเดียวกับพวกเรานี่ลุง พวกเราไม่ได้คิดอะไรเลยนะ’
‘ให้มันจริงอย่างปากมึงว่าเถอะ นังคุณนายนี่ก็แปลก ไม่คิดดูดำดูดีแล้วเอานังเด็กนี่มาเลี้ยงแต่แรกทำไมวะ แล้วนี่อะไร ส่งเนื้อถึงปากถ้ำ เสือหิวที่ไหนมันจะอดใจไหว’
‘พวกเราค้านแล้วนะลุง แต่คุณนายบอกว่าให้นอนห้องเดียวกัน ไม่เปลืองที่’
‘จิตใจมันทำด้วยอะไรวะ คงวิปริตพอๆ กับผัวมันนั่นแหละ เขาลือกันให้แซ่ดว่านังคุณนายต้องเอาเงินฟาดหัวบรรดาพ่อแม่เด็กสาวที่ผัวมันล่อลวงมาข่มขืน’ ลุงการันว่าพลางยกมีดปังตอชี้หน้าชายฉกรรจ์เรียงตัว ‘อย่าให้กูรู้ว่าพวกมึงรังแกนังเด็กนี่ ไม่งั้นกูจะสับให้เละโยนให้วัวข้างถนนกิน แม้แต่ซากก็ไม่เจอ’
คำขู่ของลุงการันทำให้สารินใจชื้นขึ้นมาหน่อย
‘ข้าได้ข่าวว่าเอ็งก็ใช่ย่อยไม่ใช่เหรอนังหนู ถึงกับเอาขวดซีอิ๊วฟาดหัวไอ้เวรตะไลนั่นสลบคาที่ เรื่องเลยแดงที่โรง’บาลจนตำรวจต้องสอบสวนไอ้วิตถารนั่น นังคุณนายต้องใช้เงินปิดข่าวเป็นการใหญ่’
‘หนูไม่ได้ตั้งใจทำร้ายพ่อหรอกจ้ะลุง หนูแค่ตกใจ’
‘คนพรรค์นั้นเอ็งอย่าเรียกพ่อให้เสียปากเลยวะ ถึงข้าทำงานให้นังคุณนาย แต่ข้าไม่นับถือมันสองคนหรอก ถ้าไม่เห็นว่าพ่อของนังคุณนายมีบุญคุณกับข้า ป่านนี้ข้าไปทำงานร้านอื่นนานแล้ว’
นับจากวันนั้นสารินก็มีลุงการันเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม คอยสั่งสอนวิชาการครัว และสอนให้อ่านเขียนหนังสือ ลุงการันรู้หนังสือแต่ไม่ใช่คนชอบอ่าน เวลาแกไปตลาดทีไรก็จะพาเธอไปซื้อหนังสือทุกครั้ง
‘สายตาข้าไม่ดี เอ็งอ่านแทนข้าแล้วกันสาริน’
ลุงการันไม่เพียงให้ชีวิตใหม่ แต่ยังให้ปัญญาอย่างไม่รู้จักประหยัดผ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า
‘ข้าส่งเอ็งไปโรงเรียนได้ แต่เอ็งจะรอดพ้นหูตานังคุณนายได้ยังไง เอ็งก็รู้ว่ามันไม่อยากให้เอ็งได้ดีเกินหน้าเกินตาลูกสาวมัน’
สารินกุมหนังสือในมือแน่นอย่างคับแค้นใจ
‘นังมุกตาร์มันหัวทึบ วันๆ ดีแต่กินเที่ยวมั่วผู้ชายไปทั่ว เขาลือกันให้แซ่ดทั้งเมือง แต่ถึงยังไงเอ็งก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกเลี้ยง จะเก่งเกินลูกแท้ๆ นังคุณนายมันคงหาทางกำจัดเอ็งเข้าสักวัน’
‘ฉันรู้จ้ะลุง ฉันอ่านเขียนหนังสือเป็นก็เพราะลุงสอน ที่ฉันพูดฟังภาษาอังกฤษคล่องเพราะลุงให้ฉันฝึกกับลูกค้าต่างชาติในร้าน ได้แค่นี้ก็เกินฝันมากแล้วจ้ะลุง’
แน่นอนว่าการมีลุงการันเป็นโล่กำบังภัยและส่งเสริมเลี้ยงดูให้เติบใหญ่เป็นดอกไม้แสนงาม ทำให้รานีและอรุณไม่พอใจ คนพวกนั้นอยากให้เธอเสียคน ท้องไม่มีพ่อ หรือทางที่ดีก็หายไปจากโลกใบนี้เลยก็ได้
‘ข้ารู้ว่านังคุณนายมันเกลียดขี้หน้าเอ็ง ยังไงเอ็งก็หลบๆ หน่อยแล้วกัน อย่าออกไปข้างนอกบ่อยนัก’
แต่ขึ้นชื่อว่า ‘สาวงาม’ ต่อให้หลบซ่อนอย่างไรก็ไม่อาจพ้นสายตาของเหล่าภู่ภมรที่หูไวตาไวได้ สารินในวัยสิบเจ็ดปีจัดเป็นดอกไม้แรกแย้มงดงามส่งกลิ่นหอมเลื่องลือไปทั่วเมืองลุคน่า ยังความอิจฉาริษยามาสู่สาวน้อยสาวใหญ่ เพราะหนุ่มๆ มักแวะเวียนมาเป็นลูกค้าเพื่อให้ได้เห็นหน้าหวานๆ กิริยานอบน้อม และน้ำเสียงไพเราะของเธอ
‘รักษาตัวรักษาใจให้ดีก่อนเถอะวะสารินเอ๋ย อย่าเพิ่งรีบมีผัวเหมือนนังมุกตาร์เลย ถึงเวลามันก็มาเอง’
ทว่าผู้ชายคนนั้นกลับก้าวเข้ามาในชีวิตของสารินเร็วกว่าที่เธอและลุงการันคาดคิด
ซันเจย์…ผู้ชายที่คว่ำโลกทั้งใบของเธอจนคะมำหงายมาแล้ว
ตอนนั้นเธอมีอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดปี เป็นหญิงสาวเนื้อหอมในเมืองลุคน่าที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างส่งเทียบเชิญสู่ขอเป็นแม่เรือน แต่ล้วนได้รับการปฏิเสธจากรานี เพราะลูกแท้ๆ ยังไม่มีแม่สื่อมาติดต่อ แล้วจะปล่อยให้ลูกเลี้ยงแต่งงานออกหน้าออกตาไปได้อย่างไร กระทั่งวันหนึ่งผู้ชายแปลกหน้าก้าวเข้ามาในร้าน มาดของเขาเป็นพวกคงแก่เรียน พูดจาสุภาพอ่อนโยน ผิดแผกจากลูกค้าในร้านคนอื่นๆ
วันๆ สารินพบแต่ผู้ชายเจ้าชู้ประตูดิน เสี่ยกระเป๋าหนัก หรือไม่ก็ผู้ชายที่พูดจากระโชกโฮกฮากจึงรู้สึกต้องตาต้องใจแต่แรกเห็น ดูเหมือนเขาเองจะรู้สึกเช่นเดียวกันจึงแวะเวียนมาหลายครั้งจนมารู้ภายหลังว่าเขาคือหลานชายของรานี เป็นลูกพี่ลูกน้องกับมุกตาร์
พ่อแม่ของเขาอยู่ที่เวฬปุระ พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ส่วนแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กว่าสารินจะรู้ความจริง เธอก็ทุ่มเทความรักให้เขาจนหมดตัวหมดใจเสียแล้ว
‘พี่จะบอกคุณพ่อคุณแม่เรื่องของเรา สารินไม่ต้องห่วงนะ’
‘แต่สารินเป็นกำพร้า ไม่คู่ควรกับพี่ซันเจย์เลยนะคะ’
‘สารินรักพี่ไหม’ เขาพึมพำพลางพร่ำจูบไปตามลาดไหล่อย่างหิวกระหาย ก่อนรวบเธอขึ้นมานั่งบนตัก แต่สารินพยายามขืนตัวหนี
‘พี่ซันเจย์อย่าทำแบบนี้ค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น’
‘พี่จะขาดใจตายอยู่แล้ว สารินไม่รักพี่เลยเหรอ’
‘สารินรักพี่ซันเจย์ แต่ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ สารินไม่อยากให้ใครนินทา’
‘ช่างมันปะไร พี่กับสารินรักกัน แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ’
สารินรู้ดีว่าไม่พอ ครอบครัวของซันเจย์ไม่มีวันยอมรับลูกสะใภ้ฐานะต่ำต้อยแน่นอน แต่ความรักที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจทำให้สารินมองข้ามอุปสรรค หลงละเมอว่าซันเจย์จะพาเธอฝ่าฟันขวากหนามทุกอย่างได้
‘พี่รักสารินมากนะ รักมากก็หวงมาก ไม่อยากให้ใครเห็นสาริน อยากเก็บสารินไว้แต่ในบ้าน’
‘สารินจะทำแบบนั้นได้ยังไง สารินต้องเลี้ยงดูตัวเองนะคะ’
‘ถ้างั้นเราแต่งงานกันนะสาริน พี่จะดูแลสารินเอง’
‘พี่ซันเจย์!’
สารินมองเขาด้วยสายตาเทิดทูนราวกับเขาคือเทพเจ้า คือผู้ที่เธอมอบชีวิตและจิตวิญญาณให้ ดูเหมือนซันเจย์เองก็พอใจที่เธออ่อนน้อมเชื่อฟังจึงพาเธอไปแต่งงานนอกเมืองลุคน่า เขาจ้างพราหมณ์คนหนึ่งทำพิธีให้ แม้ไม่มีญาติของเขาหรือของสารินร่วมงาน แต่สารินก็ยอมเพราะคำว่า ‘รัก’ ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน
‘สารินเห็นรึยังว่าพี่รักสารินแค่ไหน’
‘แล้วถ้าคุณแม่รู้ล่ะคะ คุณแม่ต้องตีสารินตายแน่ๆ’
‘น้ารานีไม่ใช่เจ้าชีวิตของสาริน ตอนนี้สารินเป็นภรรยาของพี่แล้ว พี่จะปกป้องสารินเอง’
คืนนั้นที่โรงแรมในเมืองปาฏลีอบอวลไปด้วยแรงรักและเพลิงปรารถนา สัมผัสของเขาอ่อนหวานนุ่มนวลสร้างความตะลึงตะลานแปลกใหม่ให้เด็กสาวว้าเหว่ขาดความรักจนยอมกระโจนเข้าหากองเพลิงอย่างไม่ระวังตัว
เรื่องมาแดงเข้าหูพ่อแม่ของเขาหลังจากนั้นเกือบสองเดือนเมื่อมหาวิทยาลัยของซันเจย์เปิดภาคเรียน เขาต้องกลับไปเวฬปุระ แต่จะให้ทิ้งสารินไว้ที่ลุคน่าก็ทำไม่ได้ จึงเปิดเผยเรื่องของสารินให้พ่อแม่รับรู้ ทำเอาแม่ของซันเจย์แล่นมาต่อว่ารานีถึงเมืองลุคน่า
‘ทำไมแกไม่รู้จักคุมลูกแกให้ดี ปล่อยให้มันมายั่วลูกชายฉันได้ยังไง’
‘ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าสองคนนี้แอบเจอกัน ฉันไม่ได้เฝ้ามันไว้สักหน่อย’ รานีออกตัวพลางถลึงตาใส่สาริน ‘สะใจแกรึยังที่ทำให้ครอบครัวเขาแตกกันได้’
‘หนูเปล่านะคะคุณแม่ หนูแค่…หนู…’
‘ไม่ต้องมาบีบน้ำตา ถ้าแกไม่ให้ท่า ออดอ้อนให้หลานฉันพาไปแต่งงาน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง’
‘น้ารานีอย่าว่าสารินเลยครับ ผมผิดเอง’
‘แกผิดแน่นอน ส่วนแม่นี่ก็ผิดที่สุด’ รานีฟาดสารินไม่ยั้ง ซันเจย์ทำทีจะเข้ามาห้าม แต่แล้วเขาก็ชะงักฝีเท้า ก่อนถูกแม่ของเขาดึงออกไปนอกบ้าน แม่เลี้ยงจึงถือโอกาสชำระความรวบยอด
ร่างกายของสารินบอบช้ำแต่ไม่เท่าหัวใจ ซันเจย์ไม่ได้ปกป้องเธออย่างที่เคยสัญญาไว้แม้แต่น้อย
‘อยู่ในห้องนี่ล่ะ ไม่ต้องออกไปก่อเรื่องอีก’ รานีลากเธอเข้าไปขังไว้ในห้องเก็บของพลางชี้หน้าคาดโทษ
‘คุณแม่อย่าทำกับสารินแบบนี้ สารินสำนึกผิดแล้วค่ะ’
‘ฉันจะขังแกไว้จนกว่าจะคิดวิธีจัดการแกได้ อยู่เงียบๆ ล่ะ ไม่งั้นฉันจะให้อรุณมาจัดการแก’
คำขู่ได้ผล สารินยอมคู้เข่าพิงลังกระดาษอย่างหมดแรง เพียงครู่เดียวเธอก็ได้ยินเสียงไขกุญแจ ความดีใจทำให้เธอรีบลุกขึ้นยืน หมายจะเดินไปหาซันเจย์ แต่แล้วก็ต้องย่นคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นหน้าคนไขกุญแจ
‘พี่มุกตาร์!’
‘แกคิดว่าพี่ซันเจย์จะช่วยแกรึไง โน่นแน่ะ ตามแม่เขากลับเวฬปุระไปแล้ว’ มุกตาร์กรีดเสียงหัวเราะ
‘ไม่จริง พี่ซันเจย์สัญญาว่า…’
‘แกนี่มันโง่กว่าที่ฉันคิดเยอะเลยนะสาริน’
‘พี่มุกตาร์หมายความว่าไง สารินแต่งงานกับพี่ซันเจย์แล้ว เขาจะทิ้งสารินไว้ที่นี่ได้ยังไง พี่มุกตาร์โกหก’
‘แอบไปแต่งงานนอกเมือง มีแค่พราหมณ์คนเดียวเป็นพยาน ไม่มีแขกจากฝั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวเนี่ยนะเรียกว่างานแต่งงาน มันก็แค่ละครหลอกๆ ที่พี่ซันเจย์สร้างขึ้นเพื่อหวังฟันแกนั่นแหละ’
‘ไม่จริง พี่ซันเจย์ไม่ทำแบบนั้น เขารักสาริน’
มุกตาร์เท้าเอว บิดปากหยัน ‘บทแกจะโง่ก็โง่อย่างไม่น่าเชื่อเลยนะสาริน’
‘พี่มุกตาร์หมายความว่ายังไง’
‘แกคิดว่าเรื่องของแกกับพี่ซันเจย์เป็นความลับนักเหรอ แกคิดเหรอว่าเหตุผลที่พี่ซันเจย์ไปพบแกที่ร้านเป็นพรหมลิขิตอย่างที่เขาบอกแก คนฉลาดอย่างแกลองคิดสิว่าพี่ซันเจย์ตีสนิทกับแกเพราะอะไร’
‘พี่มุกตาร์!’
‘ใช่! ฝีมือฉันเอง ฉันเห็นว่าเขาอยู่ว่างๆ ก็เลยแนะนำว่าที่ร้านมีสาวงามเมืองอยู่ พี่ซันเจย์ก็แค่คึกคะนองตามประสาวัยรุ่น แต่ใครจะคิดว่าแกจะจับพี่ซันเจย์แบบนี้’
‘ไม่จริง สารินแต่งงานกับพี่ซันเจย์แล้วสารินจึงยอมตกเป็นของเขา สารินไม่ใช่พี่มุกตาร์ที่มั่วผู้ชายไปทั่วจนเป็นขี้ปากคนทั้งเมือง’
‘แกก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันนักหรอกนังสาริน ถึงฉันจะมั่วผู้ชายแต่ฉันก็เต็มใจ ฉันไม่ได้ถูกทิ้ง ฉันเขี่ยพวกนั้นทิ้งต่างหาก แต่แกถูกผู้ชายหลอกกินฟรีแล้วยังคิดว่างานแต่งงานหลอกๆ นั่นเป็นเรื่องจริงอีกเหรอแม่คนฉลาด’
‘พี่มุกตาร์หลอกสาริน พี่ซันเจย์ไม่ใช่คนแบบนั้น’
‘พี่ซันเจย์เป็นแบบนั้นมาตลอด แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าเมื่อกี้แกถูกคุณแม่ตบตีเสียน่วม เขาไม่เห็นจะเข้ามาช่วยแกสักนิด’
สารินขบริมฝีปาก พยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แต่กลับทำไม่ได้เลย
‘ใครบ้างไม่อยากลิ้มลองหญิงงามประจำเมือง ผู้ชายอนาคตไกลอย่างพี่ซันเจย์ก็แค่อยากกินฟรี มีหรือจะยกย่องเด็กกำพร้าไร้การศึกษาเป็นเมียออกหน้าออกตา แกเอาสมองส่วนไหนคิดนังสาริน’
ใช่แล้ว! หากสารินใช้สมองมากกว่าหัวใจก็คงไม่ถูกหลอกให้เสียตัวและเสียน้ำตาแบบนี้
‘ทำไมพี่มุกตาร์ต้องทำกับสารินแบบนี้’
‘แกยังมีน้ำหน้ามาถามอีกเหรอนังสาริน ใครใช้ให้แกสวยเด่นเกินหน้าเกินตาฉัน ไปไหนก็มีแต่คนชมแก มีแม่สื่อมาสู่ขอแก แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นพี่แกด้วยซ้ำกลับไม่มีใครมาสู่ขอ แล้วแกจะให้ฉันยอมเห็นแกได้ดีกว่าเหรอ ไม่มีวันหรอก ฉันต้องลากแกลงมาตกต่ำยิ่งกว่าฉันให้ได้น่ะสิ…นังโง่!’
คำตอบของมุกตาร์ทำให้สารินเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัด ความอิจฉาริษยาของมุกตาร์ทำให้สารินถูกลากลงไปในโคลนตม โดยมีซันเจย์เป็นเหยื่อล่อชั้นดี
แน่นอนว่าเรื่องราวที่เธอถูกผู้ชายหลอกกินฟรีแพร่ขยายไปทั่วเมืองลุคน่าโดยฝีมือของรานีและมุกตาร์ สารินแค่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่หลังร้านไป สักวันคงทำใจได้เอง
แต่ดูเหมือนโชคชะตายังไม่หยุดกลั่นแกล้ง พายุแห่งความเปลี่ยนแปลงพัดพาซันเจย์กลับมาหาเธออีกครั้ง และพรากลุงการันไปจากเธอตลอดกาล!
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 62)
Comments
comments